พระวจนะของพระเจ้าให้ความเชื่อแก่ฉันในช่วงเวลายากลำบาก

วันที่ 29 เดือน 01 ปี 2022

โดย เจิ้งหลาน, ประเทศจีน

ตอนนั้น ฉันกับพี่น้องหญิงหลายคนถูกตัดสินให้ไป “รับการศึกษาอบรมใหม่ผ่านทางการใช้แรงงาน” พวกเราต้องทำงานล่วงเวลาทุกวัน วันหนึ่งไม่ต่ำกว่า 13 ชั่วโมง ถ้าผู้คุมไม่พอใจ ก็จะใช้กระบองไฟฟ้ามาทำร้ายเรา ไม่ก็เตะต่อยเรา ทุกวันเราต้องอยู่ในสภาวะวิตกกังวลอย่างมาก ต้องเข้าชั้นเรียนล้างสมอง เขียนรายงานเกี่ยวกับอุดมคติ การทรมานระยะยาวนั้นช่างทุกข์ระทมจริงๆ ทำให้ฉันปรารถนาพระวจนะของพระเจ้าอย่างที่สุด ในช่วงนั้น มีเพียงเศษเสี้ยวพระวจนะกับเพลงสรรเสริญที่จำได้ให้เราพึ่งพา และคอยเกื้อหนุนช่วยเหลือกัน จำได้มีครั้งหนึ่ง รองหัวหน้าผู้คุมบอกฉันว่า ถ้าทำงานหนัก โทษของฉันจะลดลงหนึ่งเดือน ที่จริงแล้ว ฉันไม่อยากอยู่ที่ค่ายแรงงานแม้แต่วันเดียว ฉันเลยหักโหมทำงาน ฉันแทบไม่ดื่มน้ำด้วยซ้ำ เพราะกลัวเสียเวลาเข้าห้องน้ำ ฉันทำงานใช้แรงงานที่ต้องถือคีมหนีบทุกวัน พอเวลาผ่านไป นิ้วโป้งฉันก็เริ่มเจ็บมากๆ ค่ะ แต่ที่ทำได้ก็แค่กินยาแก้ปวด แต่ไม่ว่าทำงานหนักแค่ไหน ก็ไม่เคยอยู่ในรายชื่อที่ได้ลดโทษ ต่อมา ฉันมีอาการเอ็นข้อมืออักเสบ กระทั่งจะซักเสื้อผ้าของตัวเองก็ทำไม่ได้ แถมสภาพความเป็นอยู่ที่ค่ายแรงงานแย่เอามากๆ ด้วยค่ะ ฉันมีอาการลำไส้อักเสบกับไข้รูมาติก แต่ถึงเป็นแบบนี้ ฉันก็ยังต้องทำงาน ถ้าทำน้อยลงก็จะโดนด่า และไม่ได้ลดโทษ ตอนอยู่ที่นั่นฉันทุกข์ระทมจริงๆ ต่อมา พวกพี่น้องหญิงรู้ว่าฉันป่วย และพบวิธีช่วยสนับสนุนฉันจนได้ ฉันจำได้มีครั้งหนึ่ง พี่หลี่อาศัยตอนปลอดคน ท่องพระวจนะให้ฉันฟังเงียบๆ ว่า “ทุ ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่สภาพแวดล้อมรอบตัวไปจนถึงผู้คน กิจการงาน และสิ่งทั้งหลาย ล้วนดำรงอยู่ด้วยการอนุญาตแห่งพระบัลลังก์ของพระเจ้าทั้งสิ้น จงอย่าปล่อยให้ความคับข้องหมองใจเกิดขึ้นในหัวใจของเจ้าไม่ว่าด้วยเหตุอันใด มิเช่นนั้นพระเจ้าจะไม่ประทานพระคุณแก่เจ้า เมื่ออาการป่วยบังเกิดขึ้น นี่คือความรักของพระเจ้า และแน่นอนว่าย่อมมีเจตนารมณ์อันใจดีมีเมตตาของพระองค์เก็บงำไว้ภายใน แม้ว่าร่างกายของเจ้าอาจก้าวผ่านความทุกข์บ้าง ก็จงอย่ารับแนวคิดทั้งหลายจากซาตานมาคิดคำนึง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6) พระวจนะทำให้ฉันตื่นขึ้น จริงอยู่ พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันเจ็บป่วย การใช้ชีวิตอย่างตรอมตรมเพราะเจ็บป่วย ไม่ใช่การเชื่อฟังพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย ฉันทบทวนถึงการที่ตัวเองทำงานหนักแค่ไหนในตอนนั้น และการที่ฉันอยากไปจากสภาพแวดล้อมนั้นที่สุด แต่ที่จริง เมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันถูกจับขัง ฉันก็ควรเผชิญกับมัน ฉันจะออกไปได้เมื่อไร พระเจ้าจะเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ฉันมักจะมีแผนและกำหนดข้อต้องการเสมอ ทำให้ถูกซาตานหลอกใช้และปั่นหัว พญานาคใหญ่สีแดงหลอกลวงทำร้ายผู้คนด้วยคำโกหกพวกนี้เสมอ ฉันเชื่อคำโกหกไปได้ยังไง? พอตระหนักในเรื่องพวกนี้ ฉันก็ทิ้งแผนกับความต้องการของฉัน และเลิกทำในแบบของตัวเอง ฉันจะได้ออกไปเมื่อไร ก็ให้พระเจ้าทรงเป็นผู้ตัดสิน

เป็นเพราะในตอนนั้น พวกเราจำพระวจนะได้น้อยมาก หลังจากอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เจ็บปวดและซึมเศร้ามานาน โดยไม่มีพระวจนะของพระเจ้า ฉันก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ระทมและอ่อนแอเป็นพิเศษ ฉันคิดอยู่บ่อยครั้งว่าก่อนถูกจับกุม ฉันอ่านพระวจนะได้ตลอดเวลา เข้าใจความจริงจากพระวจนะ หาหนทางปฏิบัติ พบความสว่างและการปลดปล่อยในหัวใจ แต่ภายในคุกแห่งนั้น ฉันทั้งถูกตัดขาดจากพระวจนะ ซ้ำยังเผชิญการทรมานทุกรูปแบบ ฉันไม่รู้ว่าฉันจะสู้ทนในคุกถึงสามปีได้ยังไง ตอนนั้น พี่น้องหญิงอยู่ในสภาวะเดียวกันหมด ฉันจำได้มีคืนหนึ่ง หลังจากที่เราทำงานเสร็จ พี่น้องหญิงคนหนึ่งกระซิบบอกฉันว่า “อยู่ที่นี่ยากลำบากเหลือเกิน ไม่รู้จะเผชิญกับมันอย่างไร ถ้าอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้ ก็คงจะวิเศษมาก! ฉันเสียใจริงๆ ที่เมื่อก่อนไม่ได้อ่านพระวจนะให้มากกว่านี้ จำได้อีกแค่ย่อหน้าก็ยังดี” ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน แล้วฉันก็เริ่มคิดว่า ถ้าได้อ่านพระวจนะอีกครั้ง มันคงจะวิเศษมาก ในตอนนั้น พี่น้องหญิงหลายคนมีสุขภาพแย่มาก คนหนึ่งความดันเลือดสูง แค่เดินก็ยากลำบาก อีกคนหนึ่งก็เป็นโรคหัวใจขั้นรุนแรง ส่วนพี่จ้าว ที่เป็นโรคเบาหวานรุนแรง ก็ยังต้องทำงานทุกวัน ตอนนั้นฉันหวังเหลือเกินว่าทุกคนจะได้มีพระวจนะ มีเพียงพระวจนะเท่านั้น ที่ทำให้คนเข้มแข็งและมีความมั่นใจ และนำพาเราผ่านความยากลำบาก ในคืนหนึ่ง ฉันอธิษฐานบนเตียง จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่ามีพี่น้องหญิงสองคน ที่ทำงานในห้องเยี่ยม พวกเขาติดต่อกับคนภายนอกบ่อยๆ และน่าจะมีพระวจนะ แต่ว่าฉันไม่รู้ว่าจะติดต่อพวกเขาได้อย่างไร คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้นไม่นาน พระเจ้าก็ทรงเปิดทางให้ฉัน

วันหนึ่ง หัวหน้าผู้คุมเข้ามาคุยกับฉัน ถามว่าอยากเป็น “คนดูแล” รึเปล่า คนดูแลคือคอยรับใช้ผู้คุม อย่างเช่น ซักผ้า ทำกับข้าว ทำความสะอาดห้อง และพวกงานสกปรกอื่นๆ ก็ให้คนดูแลทำ ดังนั้นในทีแรก ฉันเลยไม่อยากทำ เพราะว่ามันคงจะเหนื่อยกว่างานที่ที่ทำงานฉัน โดยเฉพาะเวลารับใช้ผู้คุม ถ้าหากทำได้ไม่ดีก็จะโดนด่า มีครั้งหนึ่ง พี่น้องหญิงคนหนึ่งเห็นฉันอารมณ์ไม่ดี แล้วเข้ามาคุยกับฉัน พูดว่า “เจตนารมณ์พระเจ้าอยู่ในทุกสิ่ง คุณควรแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า” พอได้ยินแบบนั้น ฉันก็คิดว่า “ใช่ ทำไมฉันคำนึงถึงแต่ความรู้สึกของตัวเอง ไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าล่ะ? ถ้าเป็นคนดูแล ฉันก็ไปทำงานข้างนอกได้ ซึ่งจะทำให้ฉันมีโอกาสเจอพี่น้องหญิงในห้องเยี่ยม นี่พระเจ้าทรงเปิดเส้นทางให้ฉันแล้วไม่ใช่หรือ? ฐานะคนดูแลทำให้ฉันไปมาอิสระ คุ้มกันพี่น้องหญิงได้ เวลาพวกเธอสามัคคีธรรมในห้องขัง รับมือผู้คุมได้ถ้ามีสถานการณ์อะไรเกิดขึ้น นี่ไม่ดีหรือคะ?” ในหมู่นักโทษหน่วยฉันกว่าสองร้อยคน มีแค่สี่คนเท่านั้นที่จะได้รับเลือกเป็นคนดูแล โอกาสนี้เป็นการจัดการเตรียมการอันยอดเยี่ยมโดยพระเจ้า

แต่ก่อนที่ฉันจะได้ติดต่อกับพี่น้องหญิงทั้งสองในห้องเยี่ยม พวกเราคนหนึ่งก็ได้รับพระวจนะแห่งพระเจ้า คืนหนึ่ง ตอนที่ฉันเพิ่งล้มตัวนอน มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งมาคุกเข่ากระซิบข้างหูฉันว่า พี่น้องชายหญิงข้างนอกได้ส่งจดหมายถึงเรา เธอเก็บไว้ในที่ทำงาน ทำให้คืนนั้นฉันดีใจมากจนนอนไม่หลับ แล้วในเช้าวันต่อมา พอฉันไปถึงที่ทำงาน น้องผู้หญิงคนนั้นก็แอบเอาจดหมายออกมา กระดาษมีขนาดกว้างประมาณนี้ค่ะ พอฉันได้เห็นประโยคแรกที่ว่า “พี่น้องชายหญิงในคุก…” จู่ๆ น้ำตาก็ไหลอาบหน้าฉัน คำเหล่านี้ช่างจับใจฉันเหลือเกิน ฉันอ่านพร้อมกับปาดน้ำตาตัวเอง ในจดหมายมีพระวจนะอยู่หลายบทตอน แต่มีสองบทที่ประทับใจฉันเป็นพิเศษ พระวจนะกล่าวไว้ว่า “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมีในช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจ พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทำกำลังทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย เมื่อพวกเขาเชื่อฟังตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่อยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เส้นทาง… (8))ในระหว่างวันสุดท้ายเหล่านี้พวกเจ้าต้องเป็นคำพยานต่อพระเจ้า ไม่สำคัญว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด เจ้าควรต้องเดินไปจนถึงวาระสิ้นสุด และแม้กระทั่งถึงลมหายใจสุดท้ายของพวกเจ้า พวกเจ้ายังคงต้องสัตย์ซื่อต่อพระเจ้าและนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า การนี้เท่านั้นคือการรักพระเจ้าอย่างแท้จริง และการนี้เท่านั้นคือคำพยานที่หนักแน่นและดังกึกก้อง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าสามารถรู้จักความน่ารักของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับบททดสอบอันเจ็บปวดเท่านั้น) ตอนนั้นฉันรู้สึกประทับใจและเกิดแรงบันดาลใจ พระเจ้าทรงสังเกตเห็นภายในใจเราอย่างแท้จริง ทรงเข้าใจถ่องแท้ถึงสภาวะและสถานการณ์ของเรา และทรงใช้พี่น้องชายหญิงเหล่านี้ เพื่อส่งการให้น้ำและพระวจนะแก่เรา นี่คือความรักของพระเจ้า ฉันได้ใคร่ครวญพระวจนะแล้วก็เข้าใจ การยอมทนทุกข์ ทิ้งครอบครัวการงานเพื่อประกาศข่าวประเสริฐและทำหน้าที่นั้น เป็นคำพยาน เช่นเดียวกับการถูกทรมานและไม่ทรยศพระเจ้า การยังมีความเชื่อและติดตามพระเจ้า หลังการทรมานอันยาวนาน นี่ยิ่งคือคำพยานที่มีอานุภาพยิ่งกว่า ตอนนี้ฉันมีโอกาสเป็นพยานยืนยันให้กับพระเจ้าต่อหน้าซาตาน เป็นการข่มเหงเพื่อความชอบธรรม พระเจ้าทรงยกชูฉัน เมื่อฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันก็ร้องไห้อธิษฐานว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์จะดำเนินชีวิต ให้สมกับที่ทรงรัก แม้เวลาสามปีจะยาวนาน ไม่ว่าจะถูกตำรวจทรมานหรือข้าพระองค์ทุกข์ทนเพียงใด ก็จะตั้งมั่น เป็นพยานยืนยัน และดูหมิ่นซาตาน” หลังอ่าน พวกเขาก็เกิดแรงบันดาลใจมากเช่นกันค่ะ จำได้ว่าพี่หลิวมักจะกังวลว่าความดันเลือดเธอสูงไป เธอกลัวว่าถ้าไม่ได้รักษาทันท่วงที เธออาจจะตายอยู่ในค่ายแรงงานนั้น เธอจึงอยากออกไปให้เร็วที่สุด หลังอ่านพระวจนะ เธอก็ตระหนักว่า เธอไม่มีความเชื่อที่จริงใจในพระเจ้า ไม่มีคำพยาน เธอยังพูดว่า “ฉันมีความเชื่อน้อยเกินไป ฉันเป็นหนี้พระเจ้า ต่อให้ต้องตายในค่าย ฉันก็ยังอยากตั้งมั่นเป็นพยานยืนยันแด่พระเจ้า” แล้วก็ยังมีพี่เกา เธอกังวลว่าพวกญาติมิตรจะเยาะเย้ยเลือกปฏิบัติเพราะเธอติดคุก ว่าจะโดนซุบซิบนินทา แต่หลังอ่านพระวจนะเธอก็เข้าใจ ว่าการติดคุกเพราะเชื่อในพระเจ้า ก็เพื่อความชอบธรรม ไม่น่าอาย ว่าความทุกข์จากการตั้งมั่นเป็นพยานยืนยันนั้น มีคุณค่าความหมาย

จากนั้น พวกเราก็เสวนาด้วยกัน เราตัดสินใจว่าจะต้องส่งต่อพระวจนะเหล่านี้ ให้พี่น้องหญิงคนอื่นๆ เพื่อให้พวกเขาได้รับพระวจนะด้วยเช่นกัน กฎของค่ายนั้นเข้มงวดมาก เราไม่ได้รับอนุญาตให้คุยหรือส่งต่อสิ่งของให้นักโทษจากหน่วยอื่น แค่สบตาก็ไม่ได้ ต่อให้เราบังเอิญเจอพวกเขา ก็เข้าใกล้ไม่ได้ ดังนั้นถ้าเราอยากส่งต่อโน้ต ให้กับพี่น้องหญิงกว่าร้อยคนในอีกเจ็ดหน่วย จึงอันตรายมาก ยิ่งกว่านั้นคือผู้คุมจะมาพลิกเตียงของเรา และค้นตัวเราทุกสัปดาห์ พวกเขาค้นทุกซอกทุกมุมค่ะ ถ้ามีจุดใดที่เราไม่ระวังและถูกพบเข้า ฉันจะถูกสอบสวน ผู้คุมคนหนึ่งเตือนฉันว่า “ถ้าแกกล้าเผยแพร่พระวจนะแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันจะส่งแกไปอยู่ในคุกหญิงอีกสามปี” มีผู้เชื่อศาสนาคนหนึ่งที่ถูกจับได้ว่าส่งต่อพระคัมภีร์ ผู้คุมก็ลากเธอไปทั้งกุญแจมือเลย ลากเธอผ่านพื้นยางมะตอยนานมากค่ะ เสื้อผ้าที่หลังก็ขาดวิ่นแทบไม่เหลือสภาพเลย ส่วนตามผิวหนังก็ครูดถลอกจนเลือดซิบ อีกคนหนึ่งถูกลงโทษให้นั่งอยู่บนพื้นคอนกรีต ห้ามขยับไปไหนกว่าสิบวัน ตอนนั้นฉันคิดว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ แล้ว ถ้าพวกเขารู้เข้า ฉันจะต้องทนทุกข์ยิ่งกว่านี้” ยิ่งฉันคิดก็ยิ่งดูยากขึ้น ฉันรู้สึกกลัวนิดหน่อย แต่แล้ว ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล หากว่ามนุษย์เก็บงำความคิดที่ขลาดอายและเกรงกลัว นั่นก็เป็นเพราะซาตานได้หลอกพวกเขา ด้วยกลัวว่าพวกเราจะข้ามสะพานแห่งความเชื่อเพื่อเข้าสู่พระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6) พระวจนะหนุนใจฉันอย่างมาก แล้วผู้คุมไม่ได้อยู่ในพระหัตถ์ด้วยหรือยังไง? ฉันจะถูกจับได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพระหัตถ์ ฉันเชื่อว่าทุกอย่างเป็นไปได้ ถ้าเราพึ่งพาพระเจ้า ที่ฉันรู้สึกกลัวเพราะถูกซาตานก่อความไม่สงบ เพราะฉันกลัวจะถูกลงโทษและถูกทรมาน ซาตานคว้าจุดอ่อนฉันมาขัดขวางให้ฉันหยุดชะงัก ถ้าฉันยอมแพ้เพราะกลัวจะถูกทรมาน ไม่เท่ากับว่าฉันหลงกลอุบายซาตานหรือคะ? ขณะเดียวกันพี่น้องหญิงต่างก็อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เจ็บปวด และทุกคนต้องการพระวจนะ มันจึงเป็นหน้าที่ของฉันที่จะส่งต่อพระวจนะให้พวกเขา ในขั้นตอนงานปกติของเรา จะติดต่อพี่น้องหน่วยอื่นเป็นเรื่องยาก จะเจอกันก็ตอนกินอาหารในโรงอาหารใหญ่เท่านั้น เราจึงวางแผนส่งต่อโน้ตในระหว่างเวลาอาหาร ที่ห้องอาหารก็มีกล้องวงจรปิดเต็มไปหมดค่ะ แถมไม่อนุญาตให้คุยหรือเดินไปมาระหว่างกินอาหารด้วย เราต้องกินให้เสร็จในห้านาที ดังนั้นการส่งต่อพระวจนะจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ว่า ในการดำเนินการส่งต่อพระวจนะ ฉันก็ได้เห็นกิจการอันอัศจรรย์ของพระเจ้า วันนั้น ฉันวางแผนส่งต่อโน้ตให้พี่น้องหญิงหน่วยที่สี่และเจ็ด ตอนที่ฉันล้างจานอยู่ ฉันก็มองพี่หมิ่นจากหน่วยที่สี่ เธอก็เงยหน้ามองมาทางฉันด้วยพอดีโดยไม่คาดคิด ฉันใช้สายตาบุ้ยใบ้บอกให้เธอมาล้างจาน ทีแรกฉันก็กังวลว่าเธอจะไม่เข้าใจความหมาย ขอบคุณพระเจ้า เธอเข้าใจได้ทันที เราทั้งคู่เดินไปยังจุดเก็บภาชนะรับประทานอาหารพร้อมกัน ฉันก็รีบเอาโน้ตออกมาและยัดใส่ในกระเป๋าเธอ ใช้เวลาแค่ไม่กี่วินาที ตอนนั้นฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าจริงๆ ค่ะ

ฉันบังเอิญโชคดี พี่น้องหญิงที่รู้จักจากหน่วยที่เจ็ด นั่งอยู่ในแถวฉันพอดี ห่างจากที่นั่งฉันไม่ถึงเมตร ที่ค่ายแรงงานมีกฎว่า เราต้องรอผู้คุมของแต่ละหน่วยสั่งให้ลุกก่อนถึงจะออกไปได้ ตอนนั้นฉันกังวลมาก ถ้าทั้งสองหน่วยของเราไม่ได้ลุกพร้อมกัน ฉันคงเข้าใกล้เธอไม่ได้ ฉันจึงเฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าในใจ ไม่นาน ผู้คุมหน่วยของเราทั้งสองคนก็สั่งให้เรายืนขึ้นแทบจะพร้อมกันเลยค่ะ พอยืนขึ้นได้ ฉันก็รีบเอาโน้ตใส่ในมือของเธอทันที มันเกิดขึ้นแค่พริบตาเดียวเองค่ะ พวกผู้คุมไม่ทันสังเกตเลย ขอบคุณพระเจ้า! เพราะความช่วยเหลือของพี่น้องหญิง พี่น้องหญิงในหน่วยอื่นจึงได้รับพระวจนะกันหมด ฉันคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะสามารถส่งต่อพระวจนะได้ราบรื่นแบบนี้ ฉันเห็นแล้วว่าไม่มีอะไรยากสำหรับพระเจ้าเลย โดยอาศัยการดำเนินการส่งต่อนี้นี่เอง พี่น้องหญิงจึงมีความเชื่อในพระเจ้ามากขึ้น

หลังจากส่งต่อพระวจนะไม่ถึงเดือน ทางค่ายก็ให้ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เขียนจดหมายบอกเลิก เราต้องสัญญาว่าจะหยุดเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่กี่วันก่อน พี่น้องหญิงเพิ่งอ่านพระวจนะไป ทุกคนมีความเชื่อที่จะตั้งมั่นและเป็นพยานยืนยันเพื่อพระเจ้า เราคอยแนะและให้กำลังใจกันและกัน เพื่อไม่ให้ยอมแพ้ต่อซาตาน แต่ว่า หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ฉันได้ยินว่าพี่น้องหญิงในหน่วยอื่น ที่ไม่ได้เขียนจดหมายบอกเลิก บางคนถูกทรมาน บางคนถูกบังคับให้นั่งยองอยู่ในกรงเล็กๆ บางคนถูกตัดสินเพิ่มโทษจำคุก ช่วงนั้น บรรยากาศที่ค่ายกดขี่น่าอึดอัดกว่าตอนไหนๆ ที่เคยเป็นมา มีความสะพรึงกลัวอยู่ตลอด เหมือนมหันตภัยจะเกิดได้ทุกเมื่อ เป็นเพราะเราไม่รู้ว่าสภาพแวดล้อมนี้มันจะสิ้นสุดเมื่อไร หรือว่าพวกผู้คุมจะใช้วิธีไหนทรมานเราอีก ดังนั้นในตอนนั้น ทุกคนทุกข์ระทมและซึมเศร้าอย่างมาก ทำได้เพียงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้ทรงเปิดทางให้เรา ตอนนั้น พี่น้องหญิงทุกคนยึดทรรศนะที่ว่า ถึงยังไงก็จะไม่เขียนจดหมายบอกเลิก เราต้องตั้งมั่นเป็นพยานแด่พระเจ้า เรากับผู้คุมคุมเชิงกันไปประมาณครึ่งเดือน พอเห็นว่าวิธีนี้ไม่ได้ผล เธอจึงยอมประนีประนอม เพื่อแค่ทำไปตาม ที่เธอถูกสั่งมา เธอจึงอนุญาตให้เราเขียนอะไรไปก็ได้ ไม่สำคัญเลย พวกเราทุกคนรู้ดีว่า พระเจ้าทรงเปิดทางให้เราแล้ว ทุกคนขอบคุณพระเจ้าเป็นอย่างยิ่งค่ะ

ทีแรกเราได้รับพระวจนะน้อยเกินไป พอเวลาผ่านไป ใจของเราก็ต้องการพระวจนะอีก โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่ทุกข์ระทมและซึมเศร้าแบบนั้น ที่ซึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้ เราต้องการพระวจนะมากขึ้นไปอีก จำได้มีครั้งหนึ่ง มีน้องผู้หญิงคนหนึ่งร้องไห้มาหาฉันพูดว่า พ่อเธออยากให้เธอรับโทษที่ไม่ใช่การคุมขัง แต่ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้สิทธิ์นี้ เธอว่าตัวเองอายุแค่ 23 และจะต้องอยู่ในค่ายแรงงานนานกว่าหนึ่งพันวัน เธอไม่รู้ว่าจะผ่านมันไปอย่างไร เธอแค่อยากจะออกไปเท่านั้น หลังจากได้ยินที่เธอพูด ฉันก็รู้สึกเศร้าไปกับเธอด้วย ฉันจึงท่องพระวจนะบทตอนหนึ่งให้เธอฟัง พระวจนะกล่าวว่า “บางทีพวกเจ้าทุกคนอาจจำคำพูดเหล่านี้ได้ กล่าวคือ ‘เพราะว่าความยากลำบากชั่วคราวและเล็กน้อยของเรา จะทำให้เรามีศักดิ์ศรีนิรันดร์มากมายอย่างไม่มีที่เปรียบ’ พวกเจ้าทุกคนเคยฟังคำพูดเหล่านี้มาก่อน แต่ไม่มีใครในพวกเจ้าที่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้เลย วันนี้พวกเจ้าตระหนักรู้อย่างลุ่มลึกในนัยสำคัญที่แท้จริงของคำพูดเหล่านี้แล้ว คำพูดเหล่านี้จะได้รับการทำให้ลุล่วงโดยพระเจ้าในระหว่างยุคสุดท้าย และจะได้รับการทำให้ลุล่วงในบรรดาผู้ที่ถูกข่มเหงอย่างทารุณโหดร้ายโดยพญานาคใหญ่สีแดงในแผ่นดินที่มันนอนขดกายอยู่ พญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงพระเจ้าและเป็นศัตรูของพระเจ้า และฉะนั้น ในแผ่นดินนี้ เหล่าผู้เชื่อในพระเจ้าจึงตกอยู่ในการเหยียดหยามและการกดขี่ และผลที่ได้ก็คือคำพูดเหล่านี้จักได้รับการทำให้ลุล่วงในพวกเจ้า ในคนกลุ่มนี้นี่เอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการหรือไม่?) หลังได้ยินพระวจนะ เธอก็เข้าใจนัยสำคัญของความทุกข์ พบความเชื่อ และไม่คิดหนีจากสภาพแวดล้อมนี้อีกต่อไป มีอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งเป็นวันเยี่ยม ฉันเห็นครอบครัวคนอื่นมาเยี่ยมที่คุก ฉันเองก็คิดถึงครอบครัวฉันมาก ฉันคิดถึงพ่อแม่ที่แก่เฒ่าของฉัน ไม่รู้พวกท่านจะเป็นอย่างไรบ้าง ในช่วงเวลานั้น ฉันมักนึกถึงความทรงจำตอนอยู่ที่บ้านบ่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกเป็นลบ พอพี่น้องหญิงในห้องขังเดียวกันเห็นว่าฉันอยู่ในสภาวะเป็นลบ เธอก็กระซิบพระวจนะบทตอนหนึ่งข้างหูฉันว่า “ชะตากรรมของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า เจ้าไม่มีความสามารถในการควบคุมตัวของเจ้า กล่าวคือ ทั้งที่มนุษย์จะสาละวนเร่งรีบและทำตัวเขาเองให้วุ่นวายในนามของเขาเองอยู่เสมอ เขาก็ยังคงไม่สามารถควบคุมตัวเขาเองได้ หากเจ้าสามารถรู้ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถควบคุมชะตากรรมของเจ้าเองได้ เจ้าจะยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างอยู่หรือ? กล่าวสั้นๆ ก็คือ ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจอย่างไร พระราชกิจของพระองค์ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของมนุษย์ ดูตัวอย่างของฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างเพื่อรับใช้มนุษย์ กล่าวคือ ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดวงดาวทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ สัตว์และต้นพืชทั้งหลาย ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว และอื่นๆ—ทั้งหมดล้วนถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์แห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์) ฉันได้ใคร่ครวญพระวจนะ แล้วฉันก็เข้าใจ ชะตาทุกคนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ครอบครัวฉันจะสบายดีหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับอธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ถ้าฉันมอบครอบครัวให้แก่พระเจ้า ฉันจะต้องกังวลอะไรอีกล่ะ? ฉันไม่ควรวิตกกังวลในเรื่องนี้จริงๆ พระวจนะทำให้ฉันเลิกคิดแง่ลบ และให้ความเข้มแข็งกับฉัน ฉันตระหนักอย่างแท้จริงว่า เราอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีการนำแห่งพระวจนะ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า เพื่อถามว่าจะได้พระวจนะมากขึ้นได้อย่างไร และให้ทรงนำเราต่อไป จากนั้น ฉันก็นึกถึงพี่น้องหญิงสองคนในห้องเยี่ยม ถ้าฉันติดต่อกับพวกเขาได้ ก็มีโอกาสที่ฉันจะได้พระวจนะมากขึ้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ประทานโอกาสที่เหมาะสมแก่เรา

เช้าวันหนึ่ง หัวหน้าผู้คุมเรียกฉัน พูดว่า “มากับฉัน อยากให้ทำความสะอาดห้องเยี่ยมหน่อย” พอได้ยินว่าจะไปห้องเยี่ยม ใจฉันก็เบิกบาน โอกาสมาแล้ว นี่เป็นครั้งเดียวในสามปีที่ฉันได้ไปที่ห้องเยี่ยม ตอนนั้นฉันมั่นใจว่า นี่เป็นโอกาสที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการให้ฉัน เมื่อเราไปถึงห้องเยี่ยม หัวหน้าผู้คุมก็เดินไปคุยกับผู้คุมคนอื่น ฉันรีบตรงไปที่ห้องครัวด้านหลัง ฉันเห็นพี่น้องหญิงทั้งสองคนทำอาหารอยู่ ฉันเลยรีบถามไปว่า มีอะไรให้กินหรือเปล่า พวกเขาเข้าใจที่ฉันพูดทันที แล้วก็ตอบว่า “มี” แล้วพวกเขาคนหนึ่ง หยิบลูกบอลกระดาษจากถุงผ้ามอบให้ฉัน ฉันตระหนักว่าในที่สุดฉันก็มีพระวจนะที่รอคอยมานาน ฉันไม่รู้จะบรรยายอารมณ์ความรู้สึกยังไงเลยค่ะ แต่ฉันก็กังวลนิดหน่อยด้วย เพราะลูกบอลกระดาษที่เขียนด้วยลายมือนั้นใหญ่กว่าไข่ห่าน ฉันใส่ในชั้นใน แต่มันก็นูนออกมาจนเห็นชัด ฉันลองใส่ในกระเป๋ากางเกง แต่มันไม่พอดี ก็เลยหล่นออกมา พอเห็นว่าไม่มีที่ซ่อนตามตัวเลย ฉันก็ตื่นตระหนกขึ้นมาทันที ฉันมองขึ้นไปเห็นกล้องวงจรปิดอยู่เต็มไปหมด ฉันรู้สึกวิตกกังวลมาก ถ้าหากถูกจับได้ ทุกอย่างก็จบ ผลที่ตามมาคงเลวร้ายมาก แต่เวลาเดียวกันฉันก็คิดว่า ถ้าหากฉันพลาดโอกาสนี้ ก็อาจไม่มีโอกาสที่จะได้รับพระวจนะอีก เราต้องการพระวจนะมาก ฉันทนไม่ได้แน่ถ้าต้องคืนไป ในตอนนั้นฉันประสาทเสียมาก จนทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ จู่ๆ พระวจนะท่อนหนึ่ง ก็ผุดขึ้นอย่างชัดแจ๋วในใจฉัน “จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26) จริงๆ ค่ะ ทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง ฉันจะถูกจับได้หรือไม่ก็อยู่ในพระหัตถ์ มีพระเจ้าทรงหนุนหลัง จะต้องกลัวอะไร? พอตระหนักตรงนี้ ฉันก็รู้สึกสงบใจเย็นลงมาก ฉันนึกถึงเหล่าพี่น้องชายหญิงที่ขนย้ายหนังสือพระวจนะ แม้จะมีพญานาคใหญ่สีแดงคอยจับตาดู พวกเขาก็สามารถส่งหนังสือพระวจนะจำนวนมาก ให้พี่น้องชายหญิงได้ พวกเขาก็พึ่งพาพระเจ้าเพื่อรับประสบการณ์นั้นไม่ใช่หรือคะ? ฉันคิดว่า “ถ้าฉันพึ่งพาพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงเปิดทางให้ฉันด้วย” เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้ว ฉันก็ไม่ลังเลอีก ฉันตัดสินใจจะเอาพระวจนะกลับไปด้วยให้ได้ ฉันเลยยัดลูกบอลกระดาษลงในชั้นในอีกครั้ง ใช้มือดึงเสื้อให้ห่างหน้าอกออกไป แล้วก็เอี้ยวตัวเล็กน้อย พอทำแบบนั้นก้อนนูนก็เห็นไม่ชัดนัก ฉันคิดในใจว่า “ฉันต้องนำพระวจนะกลับไปที่ทำงานก่อน แล้วค่อยกลับมาทำความสะอาดต่อ” ฉันจำได้ว่าหัวหน้าส่วนจาง เป็นคนคุ้มกันประตูที่จะพาไปสู่ที่ทำงาน ซึ่งเธอเคยขอให้ฉันทำงานแปลกๆ ให้ เลยมีไมตรีกันอยู่ ในตอนนั้นฉันตระหนักชัด ว่านี่คือการที่พระเจ้าทรงเปิดทางให้ฉัน ฉันได้ตรงไปที่ห้องทำงานของหัวหน้าส่วนจาง และพูดเสียงต่ำกับเธอว่า “หัวหน้าจางคะ ฉันมีประจำเดือน ขอขึ้นไปชั้นบนสักครู่” พอได้ยินว่าฉันอยากจะขึ้นไปคนเดียว หน้าเธอก็เปลี่ยนทันที เธอว่า “ไม่ได้ ให้ผู้คุมที่พามานี่พากลับไป ผู้คุมอยู่ไหน” เธอมองไปรอบๆ เพื่อหาผู้คุมของเรา ฉันรู้สึกท่าไม่สู้ดี ก็เลยประสาทเสียไปใหญ่ ถ้าผู้คุมมาพาฉันกลับไป ทุกอย่างก็จบ ผู้คุมของเรา เข้มงวดกับนักโทษเป็นพิเศษ ถ้าเธอรู้ว่าฉันอยากกลับ ไม่เพียงไม่ยอม แต่จะตรวจดูว่าฉันมีประจำเดือนจริงไหม ถ้าเธอเจอพระวจนะที่ตัวฉัน เธอคงทุบตีฉันแบบไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต ในตอนนั้น ฉันรู้สึกเหมือนหัวใจมาจุกอยู่ที่คอหอย ฉันหยุดร้องไห้ไม่ได้ เฝ้าอธิษฐานต่อพระเจ้า ในตอนนั้นเอง จู่ๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าสองสามวันก่อน ฉันทำถุงผ้าให้หัวหน้าส่วนจาง ฉันเลยรีบถามเธอว่า “หัวหน้าจางคะ ถุงผ้าที่ฉันทำให้ใช้ได้ไหมคะ? มีอะไรเรียกใช้ฉันได้เลยนะคะ” พอได้ยินฉันพูดแบบนี้ เธอก็ผ่อนคลายลงทันที ฉันตระหนักได้ว่า นี่คือพระเจ้าทรงเปิดทางให้ฉัน ฉันพูดกับเธอไปว่า “หัวหน้าจาง ไม่ต้องห่วง แป๊บเดียวฉันก็กลับมาค่ะ” เธอไม่ได้ตอบมา ฉันเลยรีบวิ่งไปชั้นบน จู่ๆ ระหว่างทางฉันก็นึกขึ้นได้ว่า ต้องผ่านประตูเหล็กก่อนจะถึงที่ทำงาน ตามกฎระเบียบ ประตูนี้ปกติต้องล็อกไว้ แต่ถึงจุดนี้ ฉันไม่มีกะจิตกะใจจะคำนึงถึงเรื่องนั้น และฉันก็ไม่ได้รู้สึกกลัวอะไร เพราะระหว่างการดำเนินการนี้ ฉันเห็นชัดเลยว่าพระเจ้าทรงอยู่กับฉัน ทรงนำฉันไปทีละขั้นตอน พอฉันไปถึงประตูเหล็กนั่น ฉันก็แปลกใจที่พบว่ามันไม่ล็อก และอีกด้านหนึ่ง ก็ไม่มีผู้คุมที่ทางเดิน ฉันขอบคุณพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากใจ ฉันรีบไปที่ทำงาน และมอบพระวจนะให้กับพี่น้องหญิง จิตใจรู้สึกราวกับว่ายกภูเขาออกจากอก ฉันนึกถึงที่พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสกับโยชูวา ว่า “เราสั่งเจ้าแล้วไม่ใช่หรือว่าจงเข้มแข็งและกล้าหาญเถิด อย่าครั่นคร้ามหรือตกใจเลย เพราะว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าของเจ้าสถิตกับเจ้าทุกแห่งที่เจ้าไป(โยชูวา 1:9) จริงๆ ค่ะ พระเจ้าคือพระผู้สร้าง ทุกสิ่งล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกคน ทุกเรื่องและสิ่งต่างๆ ล้วนแต่รับใช้พระราชกิจ ประสบการณ์นี้ทำให้ฉันเห็นกิจการอันอัศจรรย์ของพระเจ้า และเห็นว่าทรงมีสิทธิอำนาจเหนือสิ่งอื่นใดอย่างแท้จริง พอมองย้อนไป ฉันก็เห็นว่าทรงมีการจัดการเตรียมการแยบยลทุกขั้นตอน เช่น การที่นักโทษได้ติดต่อกับหัวหน้าส่วนจางนั้นเป็นเรื่องยากมาก ท่ามกลางนักโทษพันกว่าคน แต่เธอเรียกใช้ฉันเท่านั้น นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้ฉัน หัวหน้าผู้คุมที่คอยจับตาดูเราทำงานในแต่ละช่วงเวลา ครั้งนั้นก็ไม่ได้คอยดูฉันพอดี แม้แต่ประตูเหล็กที่ปกติล็อกไว้ ครั้งนั้นก็ไม่ได้ล็อก ทุกอย่างไม่เหมือนปกติ ดังที่พระคัมภีร์ว่าไว้ “พระทัยพระราชาเหมือนธารน้ำในพระหัตถ์พระยาห์เวห์ พระเจ้าจะทรงชักนำไปทางไหนก็ตามแต่จะโปรด” (สุภาษิต 21:1) พระวจนะทั้งหมดนี้ช่างแท้จริง! ฉันได้แต่สรรเสริญฤทธานุภาพของพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า! มีพระวจนะบทใหม่สามบท “พวกเจ้าควรจะพิจารณาความประพฤติทั้งหลายของเจ้า” “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์” “การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” และมีเพลงสรรเสริญอีกหลายร้อย ในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น จิตวิญญาณเรากระหาย การเห็นพระวจนะให้ความรู้สึกที่วิเศษ แต่พออ่านบทตอนนี้ก็ยิ่งรู้สึกดีเป็นพิเศษค่ะ “ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วด้วยพระดำริแห่งองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และภายใต้พระเนตรของพระองค์ สิ่งทั้งหลายที่มนุษยชาติไม่เคยได้ยินมาก่อนได้มาถึงอย่างฉับพลันทันใด แต่ทว่าสิ่งทั้งหลายที่มนุษยชาติได้ครอบครองมาเนิ่นนานพลันหลุดมือไปอย่างไม่ทันรู้ตัว ไม่มีใครสามารถหยั่งลึกได้ว่าองค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สถิตอยู่ ณ แห่งหนใด นับประสาอะไรที่จะมีใครสามารถสำนึกรับรู้ความเหนือธรรมชาติและความยิ่งใหญ่แห่งพลังชีวิตขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงอยู่เหนือธรรมชาติตรงที่พระองค์ทรงล่วงรู้ในสิ่งที่มนุษย์มิอาจรู้ได้ พระองค์ทรงยิ่งใหญ่ตรงที่พระองค์คือหนึ่งเดียวที่ถูกมนุษยชาติทอดทิ้ง แต่พระองค์กลับยังคงทรงคอยช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงรู้ถึงความหมายของชีวิตและความตาย และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงรู้กฎแห่งการดำรงอยู่ซึ่งมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาควรปฏิบัติตาม พระองค์คือรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของมนุษย์ และพระองค์คือพระผู้ไถ่ที่ช่วยชุบชีวิตมนุษย์ให้ฟื้นคืนมาอีกครั้ง พระองค์ทรงถ่วงหัวใจที่มีความสุขด้วยความทุกข์และทรงชูใจที่ทุกข์ให้เปี่ยมสุข ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ต่องานของพระองค์ และเพื่อประโยชน์ต่อแผนของพระองค์นั่นเอง…องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีพระเมตตาปรานีต่อผู้คนเหล่านี้ที่ทุกข์อย่างล้ำลึก ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็ทรงเอือมระอากับผู้คนที่ไร้สติเหล่านี้ เนื่องจากพระองค์ต้องทรงรอคอยคำตอบจากมนุษย์นานเกินไป พระองค์ทรงเฝ้าปรารถนาที่จะแสวงหา แสวงหาหัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้า เพื่อนำน้ำและอาหารมามอบให้เจ้า เพื่อปลุกเจ้าให้ตื่นขึ้นมา เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องกระหายและหิวโหยอีกต่อไป ยามที่เจ้ารู้สึกอ่อนล้าท้อใจและยามที่เจ้าเริ่มรู้สึกถึงความหนาวเหน็บอ้างว้างบางอย่างในโลกใบนี้ จงอย่าหลงทาง จงอย่าร่ำไห้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้เฝ้าดู จะทรงโอบกอดการมาถึงของเจ้าไม่ว่า ณ เวลาใดก็ตาม พระองค์จะทรงเฝ้าจับตาดูอยู่ข้างกายเจ้า รอคอยให้เจ้าหันหลังกลับมา พระองค์กำลังทรงรอคอยวันที่เจ้าพลันฟื้นความทรงจำขึ้นมา กล่าวคือ ยามที่เจ้าได้ตระหนักว่า ตัวเจ้านั้นมาจากพระเจ้า ได้ตระหนักว่า ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้หลงทางไป ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้สูญเสียสติไปในระหว่างเส้นทาง และ ณ เวลาหนึ่ง เจ้าได้ ‘บิดา’ มาหนึ่งคน ยิ่งไปกว่านั้นคือ ยามที่เจ้าตระหนักว่า องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงติดตามเฝ้าดูเจ้าตลอดมา ทรงรอคอยปักหลักอยู่ตรงนั้นเป็นเวลานานแสนนานเพื่อการกลับมาของเจ้า พระองค์ทรงเฝ้ารอดูด้วยความถวิลหาสุดพระทัย รอคอยการตอบสนองที่ไม่มีแม้คำตอบสักคำ การเฝ้าดูและการรอคอยของพระองค์นั้นเลอค่าเหนือกว่าจะประมาณได้ และเป็นไปเพื่อประโยชน์ของหัวใจมนุษย์และจิตวิญญาณของมนุษย์ บางที การเฝ้าดูและการรอคอยนี้อาจไม่มีจุดสิ้นสุด และบางทีอาจมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว แต่ตัวเจ้านั้นก็ควรรู้ว่า หัวใจของเจ้าและจิตวิญญาณของเจ้านั้นอยู่ที่ไหนในเวลานี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การทอดถอนพระทัยขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์) หลังอ่านพระวจนะ พี่น้องหญิงหลายคนถึงกับร้องไห้ออกมา เรารู้สึกถึงความรักความกรุณาที่พระเจ้าทรงมีให้จากในพระวจนะ มีเพียงพระเจ้าที่ทรงห่วงใยเราแท้จริง ทั้งเรื่องอนาคตและโชคชะตา ผู้ใดจะมีความรักที่ยิ่งใหญ่ได้เช่นนี้? ตอนนั้น ฉันมองหาโอกาสที่จะมอบให้กับพี่น้องหญิงที่ป่วยหนัก สภาวะของเธอแย่มากเป็นพิเศษ แต่เธอได้เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจากพระวจนะ และตระหนักว่าถ้าพร่ำบ่นเรื่องความทุกข์ของตัวเอง ก็จะไม่มีคำพยาน ซึ่งทำให้พระเจ้าปวดพระทัย เธอเสียใจกับการกระทำ หวังที่จะแสวงหาน้ำพระทัยจากความเจ็บป่วยนี้ และยืนหยัดเป็นพยานเพื่อชูพระทัย ตอนนั้นฉันเองก็ประทับใจมาก โดยเฉพาะตอนอ่านพระวจนะส่วนนี้ค่ะ “นับแต่ชั่วขณะที่เจ้าเข้ามาในโลกนี้พร้อมกับเสียงร้องจ้า เจ้าก็เริ่มทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง เจ้าแสดงไปตามบทบาทของเจ้าและเริ่มการเดินทางของชีวิตของเจ้า เพื่อแผนของพระเจ้าและเพื่อการทรงลิขิตของพระองค์ ไม่ว่าเจ้าจะมีภูมิหลังอย่างไร และการเดินทางข้างหน้าของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของฟ้าได้ และไม่มีใครควบคุมชะตาลิขิตของตนเองได้ เพราะมีเพียงพระองค์ผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนั้นได้ นับตั้งแต่วันที่มนุษย์ได้มาสู่การดำรงอยู่ พระเจ้าได้ทรงพระราชกิจเช่นนี้มาตลอด บริหารจัดการจักรวาล กำกับกฎเกณฑ์แห่งการเปลี่ยนแปลงสำหรับทุกสรรพสิ่งและวิถีโคจรของทุกสรรพสิ่งเหล่านั้น เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์ได้รับการบำรุงเลี้ยงอย่างเงียบเชียบและไม่รู้ตัว ด้วยความอ่อนหวานและหยาดฝน ตลอดจนหยดน้ำค้างจากพระเจ้า เช่นเดียวกับทุกสรรพสิ่ง—มนุษย์อยู่ภายใต้การจัดวางเรียบเรียงของพระหัตถ์พระเจ้าโดยไม่รู้ตัว หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม สิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) เมื่อได้ใคร่ครวญพระวจนะ น้ำตาฉันก็ไหลอาบหน้า นึกถึงการที่ครอบครัวชอบลูกชายมากกว่า ฉันถูกเลือกปฏิบัติและโตมาอย่างโดดเดี่ยว จากนั้นชีวิตคู่ก็ไปไม่รอดถึงสองครั้ง และพยายามฆ่าตัวตายหลายครั้ง ฉันมาคิดว่า “จากมนุษย์มากมาย พระเจ้าทรงเลือกให้ฉันมาอยู่ในพระนิเวศ ตอนนี้ฉันเข้าใจและรอดมาได้ เพราะพระองค์ทรงปกป้องฉัน ทรงมีพระบัญชาให้ฉัน ฉันมีภารกิจในชีวิต มีบทบาทที่ต้องทำ ฉันทิ้งครอบครัวเพื่อประกาศข่าวประเสริฐ ถูกจับขังที่ค่ายแรงงาน ฉันได้เป็นคนดูแล ทั้งหมดล้วนแต่พระเจ้าทรงอนุญาต ฉันมีโอกาสเผยแพร่พระวจนะที่นี่ และสามารถช่วยสนับสนุนพี่น้องหญิงเหล่านั้นได้ พระเจ้าทรงประทานภาระนี้แก่ฉัน นี่คือภารกิจของฉัน” พอฉันนึกถึงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉันก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ ฉันรู้สึกโชคดีที่ได้ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง รับประสบการณ์กับราชกิจ เห็นกิจการอัศจรรย์ของพระเจ้า ฉันช่างได้รับการอวยพร! ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างฉัน เป็นองค์อธิปไตยแห่งชะตากรรมฉัน แล้วฉันจะต้องการอะไรอีก? พอนึกถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันก็รู้สึกว่าการอยู่ในค่ายไม่ใช่เรื่องยากลำบากนัก ฉันไม่รู้สึกโดดเดี่ยวแล้ว

เราสามัคคีธรรมกันเรื่องน้ำพระทัย ความรักของพระเจ้าบันดาลใจเราทุกคน เรารู้สึกขอบคุณอย่างสุดซึ้ง มุ่งมั่นมากขึ้นที่จะยืนหยัดเป็นพยานพระเจ้า จากนั้น เราก็รีบคัดลอกพระวจนะ ฉันใช้หน้าที่ในห้องโถงคอยดูต้นทางให้พี่น้องหญิง ให้สามารถคัดลอกพระวจนะกันได้โดยไม่ต้องกังวล บางคน อยู่เขียนถึงเที่ยงคืน นักโทษอีกคนที่ปฏิบัติหน้าที่กับฉัน ก็ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เธอก็ทำเป็นว่าไม่เห็นอะไร ดังนั้นแค่สามวัน เราก็คัดลอกพระวจนะเสร็จโดยไม่เกิดเรื่องอะไร เรารีบส่งให้กับพี่น้องหญิงอีกหลายสิบคน ตลอดช่วงนั้น พี่น้องหญิงได้แบ่งปันและสามัคคีธรรมเรื่องพระวจนะ เราทุกคนต่างหนุนใจกัน และพบความเชื่อมากขึ้นที่จะยืนหยัดเป็นพยานในสภาพแวดล้อมยากเย็นนี้

ฉันย้อนคิดถึงช่วงที่เผยแผ่พระวจนะอยู่ที่ค่ายแรงงาน ฉันจะไม่มีวันลืมได้จริงๆ ด้วยประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฉันได้รับประสบการณ์กับกิจการเปี่ยมปาฎิหาริย์ของพระเจ้าด้วยตัวเอง เห็นสิทธิอำนาจ ความทรงมหิทธิฤทธิ์ และพระปัญญา และฉันก็รู้สึกจริงๆ ว่า พระวจนะทำให้ผู้คนมีความเข้มแข็งในชีวิต ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ ฉันรู้สึกประทับใจและได้รับแรงบันดาลใจอย่างมาก ฉันขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้าอย่างสุดหัวใจ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ผ่านการทรมานที่ไม่หยุดยั้ง

โดย อู๋หมิง, ประเทศจีนวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2000 ประมาณห้าโมงเย็น ตอนที่ผมกับภรรยาและพี่น้องชายหญิงอีกสองคนกำลังชุมนุมกันอยู่ที่บ้าน...

คืนที่ฉันถูกจับกุม

วันนั้นเป็นเดือนเมษายนปี 2011ตอนสองทุ่มกว่าค่ะ พี่หลิวกับฉันกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าในห้องของเรา จู่ๆ ตอนนั้น เราก็ได้ยินเสียงทุบประตู...

ความทุกข์ยากของเรือนจำ

โดย เซี่ยวฝาน ประเทศจีน วันหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004 ฉันกำลังเข้าร่วมการชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงบางคนอยู่...

ความเชื่อที่ไม่อาจถูกทำลาย

โดย เมิ่งหย่ง ประเทศจีน ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2012 ผมกับพี่น้องชายหญิงหลายคนขับรถไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อเผยแผ่ข่าวประเสริฐ...

ติดต่อเราผ่าน Messenger