ความเจ็บปวดสุดพรรณนา

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย จาง หลิน, ประเทศจีน

บ่ายวันหนึ่ง เดือนธันวาฯ ค.ศ. 2012 ฉันนั่งรถโดยสารไปนอกเมืองเพื่อทำหน้าที่ให้ลุล่วง ฉันผล็อยหลับไปจนได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง ฉันกำลังจะรับ แล้วตำรวจคนหนึ่งก็พูดว่า “คนนี้แหละ” ฉันไม่มีโอกาสได้โต้ตอบด้วยซ้ำ ตอนที่เขาเดินมาเอาโทรศัพท์กับกระเป๋าฉันไป ฉันถามพวกเขา “ทำอะไรน่ะ? มีหมายจับหรือเปล่า?” เจ้าหน้าที่ตำรวจอีกคนแผดเสียงกลับมา “หุบปาก!” พวกเขาบังคับฉันลงจากรถโดยสารไปขึ้นรถพวกเขา ฉันไม่รู้ว่าพวกเขาจะพาไปไหน หรือว่าจะทำอะไรกับฉัน ฉันรู้สึกกลัว จึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า “ขอพระเจ้าสถิตกับข้าพระองค์ ประทานความเชื่อและกำลังเพื่อยืนหยัดในคำพยานด้วยเถิด”

ที่สถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่พาฉันเข้าห้องสอบสวน ใส่กุญแจมือฉันไว้กับเก้าอี้ ฉันถูกใส่กุญแจทั้งมือทั้งเท้า ขยับไม่ได้ พวกเขาสอบสวนฉัน “เป็นผู้นำหรือเปล่า? ใครเปลี่ยนศาสนาให้? มาจากที่ไหน จะไปที่ไหน?” ฉันไม่ตอบ พวกเขาจึงเริ่มข่มขู่ฉัน “ถ้าไม่ยอมรับสารภาพ เราจะจับถอดเสื้อผ้า สาดน้ำเย็น แล้วปล่อยให้แข็งอยู่ข้างนอก” ฉันคิดว่าตัวเองสุขภาพร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก และเกลียดความหนาวเย็นมาก และก็เป็นโรคหัวใจด้วย ตอนนั้นกลางฤดูหนาว ขนาดสวมเสื้อแจ็กเก็ตอยู่ข้างในยังหนาว ถ้าถูกถอดเสื้อผ้า สาดน้ำเย็นแล้วลากออกไปข้างนอกจริง ฉันคงหนาวจนแข็งทันที และตายก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ยิ่งคิดก็ยิ่งกลัว ในตอนนั้นเอง ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้า “จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้? จงจำการนี้ไว้! จงอย่าลืม! ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเจตนารมณ์ที่ดีของเราทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ภายในการเฝ้าสังเกตของเราทั้งสิ้น เจ้าสามารถทำตามคำพูดของเราในทุกๆ สิ่งที่เจ้าพูดและทำได้หรือไม่? เมื่อการทดสอบด้วยไฟมาถึงเจ้า เจ้าจะคุกเข่าลงและร้องเรียกให้ช่วยหรือไม่? หรือว่าเจ้าจะขลาดกลัว ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) พระวจนะของพระเจ้ามอบความเชื่อและกำลังให้ฉัน และฉันก็อธิษฐานถึงพระเจ้าในใจ “พระเจ้า ทุกสิ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์ วันนี้ทรงอนุญาตให้พวกตำรวจจับข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะพึ่งพาพระองค์ จะยอมตายดีกว่าเป็นยูดาส และทรยศพระองค์ จะยืนหยัดในคำพยาน” พอเห็นว่าฉันไม่ยอมพูด พวกเขาก็บังคับถอดเสื้อแจ็กเก็ตฉัน แล้วราดน้ำเย็นใส่หัวฉัน ฉันสั่นไปตั้งแต่หัวจรดเท้า ต่อมาพวกเขาถึงกับเฝ้าดูให้แน่ใจว่าฉันนอนไม่ได้

เช้าวันรุ่งขึ้น คนจากกองกำลังพิเศษสามคนเข้ามา คนหนึ่งดูบันทึกการสอบสวนแล้วตะโกนใส่ฉัน “เรารู้ว่าคุณเป็นผู้นำ สองสามวันก่อนได้ไปที่ไหนมาบ้างและจะไปที่ไหนต่อ รีบสารภาพมาให้ไว!” พอพูดแล้ว เขาก็เดินมาตบหน้าฉันทั้งที่สวมถุงมือหนังอยู่ หน้าฉันแสบร้อนไปด้วยความเจ็บปวด จากนั้น พวกเขาพาฉันไปอีกห้องที่ไม่มีกล้องวงจรปิด ผลักให้ฉันนั่งลงบนเก้าอี้ ใส่กุญแจมือไพล่หลังไว้ เอาถุงเท้าฉันมายัดปากฉัน หยิบรองเท้าแตะขึ้นมาจากพื้นแล้วตบหน้าฉัน ขณะที่ตีก็สบถไปด้วย หลังตีไปได้สักพัก พวกเขาก็เอาถุงเท้าออกจากปากฉัน แล้วถามอย่างนุ่มนวลว่า “ดื้อรั้นนัก จะไม่ยอมพูดสินะ ต้องโดนทุบตีอีกใช่ไหม? ทนทุกข์แบบนี้ไปทำไม? เราทุบตีคุณแบบนี้ได้เหรอถ้าไม่มีหลักฐาน? หน้าที่คุณคืออะไร? คายออกมาให้หมด จะได้ไม่ต้องทนทุกข์อีก” พอเห็นว่าฉันไม่ยอมพูดสักคำ พวกเขาก็ฉุนเฉียว ยัดถุงเท้ากลับเข้าปากฉัน สองคนในนั้นเดินมาขนาบข้างฉัน ใช้เข่าตัวเองงัดเข่าฉันให้ขาถ่างออก ส่วนอีกคนใช้กระบองไฟฟ้าช็อตของสงวนฉันอย่างไร้ความปรานี ฉันรู้สึกเจ็บปวดเหลือทน หลังจากนั้นไม่นานก็หมดสติไป พอได้สติ มีคนกำลังตบหน้าฉันและตะโกนว่า “เลิกแกล้งตายได้แล้ว” พอเห็นฉันฟื้น พวกเขาก็เริ่มใช้กระบองไฟฟ้ากับฉันอีก พวกเขาช็อตฉันแบบนั้นหลายครั้ง ช็อตฉันจนฉันหมดสติ แล้วก็ตีฉันเพื่อปลุกให้ตื่น ครั้งสุดท้ายที่ได้สติ ฉันนอนหงายอยู่บนพื้นคอนกรีต แล้วก็มีผู้ชายมากระทืบหน้าแรงมาก หน้าฉันบิดบดลงกับพื้น ขณะที่พวกเขาบางคนนั่งที่โต๊ะ สูบบุหรี่ กินเมล็ดทานตะวัน พวกเขาคนหนึ่ง ชื่อหลิว พูดกับฉันโดยที่มีเปลือกเมล็ดทานตะวันอยู่ในมือว่า “ผมไม่ต้องออกแรงอะไรเยอะหรอก แค่ทิ่มเปลือกนี่เข้าใต้เล็บ คุณก็จะทนต่อไม่ไหวแล้ว” เขายิ้มชั่วร้ายแล้วถามเจ้าหน้าที่อีกคน “ได้ใช้กลเม็ดนั้นไหม? เอาก้อนน้ำแข็งมา แล้วยัดเข้าไปที่ตรงนั้น เธอทนไม่ไหวแน่ ได้ลิ้มรสแล้วเดี๋ยวก็รู้” แล้วพวกเขาก็หัวเราะกันใหญ่ พอมองดูพวกอันธพาลและสัตว์ร้ายนั่น ฉันทั้งโกรธและรังเกียจมาก จากนั้น นายหลิวพูดกับฉันว่า “ถ้าไม่ยอมสารภาพ เราจะส่งตัวคุณไปที่อื่น และคนที่นั่นจะไม่ดีกับคุณแบบพวกเราหรอกนะ คุณจะได้อยู่ในห้องเล็กๆ มืดๆ ที่ห้องนั้น จะหญิงหรือชาย พวกเขาก็จะจับคุณแขวนและทุบตี ทุบตีจนชั้นในขาดรุ่งริ่งเชียวนะ” ฉันรู้สึกกลัวมาก ได้ยินพวกเขาพูดถึงเรื่องแย่ๆ พวกนั้น บางเรื่องฉันเคยเห็นในทีวี อย่างการทรมานคนจนปางตาย จนอยากตายๆ ไปซะ ฉันคิดในใจ ฉันบอกพวกเขาว่าเป็นโรคหัวใจ แต่พวกเขาก็ยังทุบตีและทรมานฉันอยู่ดี พวกเขาไม่สนใจว่าฉันจะอยู่หรือตาย ถ้าพวกเขาทรมานฉันอย่างนั้นจริง ร่างกายฉันจะรับไหวไหมนะ? ฉันคอยอธิษฐานและร้องเรียกหาพระเจ้า ขอให้ทรงสถิตอยู่กับฉัน ให้ทรงนำฉันยืนหยัดในคำพยานและไม่ยอมแพ้ต่อซาตาน ตอนนั้น ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26) พอรู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นโล่ของฉัน ฉันก็ไม่รู้สึกกลัวอีกต่อไป พอเห็นว่าฉันยังไม่ยอมพูด พวกเขาบอกว่า “ถ้ายอมรับสารภาพ เราจะปล่อยคุณไป เราจะไปหาอาหารและเครื่องดื่มกินกัน แล้วคุณจะไม่ต้องทนทุกข์อีก เราเองก็ด้วย” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งที่ดูเหมือนหัวหน้าพูดอย่างโหดเหี้ยมว่า “ถ้าเธอไม่สารภาพ ก็ให้ถอดเล็บออกทุกนิ้ว นิ้วเท้าด้วย ถอนฟันออกมาด้วย” พอได้ยินอย่างนั้น หัวใจฉันเต้นแรงอีกครั้ง ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า “พระเจ้า พระองค์ประทานชีวิตมาให้ และความเป็นความตายก็อยู่ในพระหัตถ์ ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้มีชีวิตอยู่ เพียงแค่ภายใต้การทรมานและการคุกคามของซาตานนี้ ข้าพระองค์จะไม่ทรยศต่อพระองค์หรือพี่น้องชายหญิง ขอยืนหยัดเป็นพยาน ทำให้ซาตานอับอาย” หลังอธิษฐาน ฉันก็รู้สึกสงบ ไม่ว่าพวกเขาจะขู่หรือติดสินบนฉันยังไง ฉันก็จะไม่พูดอะไร หลังจากนั้น ฉันถูกตำรวจทรมานอย่างนั้นสองวันหนึ่งคืน อ่อนแอไปทั้งร่างกาย ส่วนใจก็เต้นแรงด้วยความวิตก พวกเขารู้ว่าฉันจะไม่ยอมพูดอะไร ก็เลยพาฉันไปสถานกักกัน

ที่นั่น เจ้าหน้าที่หญิงพาฉันเข้าห้อง บังคับให้ฉันถอดเสื้อผ้า และหมุนตัวสองรอบ พอเห็นรอยดำที่ของสงวนฉัน เธอถามว่าฉันเป็นโรคอะไรหรือเปล่า ฉันพูดว่าไม่ได้เป็นโรค แต่เป็นรอยช็อตจากพวกเจ้าหน้าที่ เธอไม่พูดอะไร หลังจากนั้น เธอพูดกับเจ้าหน้าที่ที่พาฉันไปที่นั่น “เธอมีรอยดำใหญ่ๆ เยอะมากที่ของสงวน และรอยนั้นไม่ได้เกิดจากเรา พวกคุณควรเซ็นด้วยนะ ว่าไม่ได้เกิดจากพวกคุณเหมือนกัน” พอได้ยินพวกเขาคุยกันอย่างนั้น ฉันเจ็บแค้นใจมาก เวลาประมาณสองทุ่มคืนนั้น สมาชิกกองกำลังพิเศษกลับมาสอบสวนฉันอีก ฉันรู้สึกใจหายวูบอีกครั้ง จึงอธิษฐานต่อพระเจ้าทันที “พระเจ้า! ไม่รู้ว่าวันนี้พวกเขาจะทรมานข้าพระองค์อย่างไร ขอทรงสถิตอยู่กับข้าพระองค์ ประทานความเชื่อและกำลังให้ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้า “เมื่อผู้คนพร้อมที่จะพลีอุทิศชีวิตของพวกเขา ทุกสิ่งทุกอย่างก็กลายเป็นไม่สลักสำคัญ และไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้ สิ่งใดจะสามารถสำคัญกว่าชีวิตได้? ด้วยเหตุนั้น ซาตานจึงกลายเป็นไม่สามารถทำสิ่งใดมากขึ้นอีกในผู้คน ไม่มีสิ่งใดที่มันสามารถทำกับมนุษย์ ถึงแม้ว่าในคำนิยามของ ‘เนื้อหนัง’ มีการกล่าวว่าเนื้อหนังถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม หากผู้คนยอมมอบตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริง และไม่ถูกซาตานขับดัน เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะพวกเขาได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การตีความความล้ำลึกต่างๆ แห่ง “พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล” บทที่ 36) พระวจนะมอบความเชื่อให้ฉัน ฉันเต็มใจจะพลีอุทิศชีวิตตน ยอมตายเสียดีกว่าทรยศพระเจ้า และขายพี่น้องชายหญิง รู้สึกเหมือนมีคำว่า “พร้อมที่จะตาย” ตัวใหญ่เขียนไว้บนตัวฉัน และฉันรู้สึกพร้อมที่จะรับการทรมาน

เจ้าหน้าที่หลิวสอบสวนฉัน “คุณมีนามแฝงว่าอะไร? รู้อะไรบ้างเกี่ยวกับคริสตจักร? รีบสารภาพมาซะ! จะได้ช่วยเราประหยัดแรง ตัวคุณเองก็ไม่ต้องทุกข์ระทม” ฉันพูด “ฉันไม่มีอะไรให้สารภาพ” พวกเขาเดือดดาล เริ่มใช้การทรมานด้วยความเย็น ตอนนั้นเดือนธันวาคม ช่วงหนาวที่สุดของจีนตะวันออกเฉียงเหนือ เจ้าหน้าที่ผลักฉันไปที่หน้าต่าง ถอดเสื้อคลุมฉันออก ใส่กุญแจมือไพล่หลัง ดึงเสื้อฉันขึ้นจนถึงไหล่ หลังฉันจึงเปลือยเปล่า หันหาหน้าต่าง ข้างนอกหน้าต่างเป็นหิมะชั้นหนา ลมเย็นกระโชกมาเป็นระลอก มันหนาวเย็นน่าขมขื่น แล้วพวกเขาก็ดึงกางเกงฉันขึ้นเหนือเข่า ถอดถุงเท้าออก เอาเท้าฉันจุ่มอ่างน้ำ แล้วก็ราดน้ำเย็นจัดใส่หัวฉัน เอาถุงเท้าฉันไปชุบน้ำ เอามาถูที่ขา ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงเข่าฉัน ถึงกับเอาผ้าชุบน้ำไปตากนอกหน้าต่าง จนมันเป็นน้ำแข็ง แล้วเอามาวางบนท้องฉัน สัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือกไปทั้งตัว และแผ่นหลังทุกตารางนิ้วก็เจ็บปวดสุดจะพรรณนา จากนั้นพวกเขาก็เอารูปถ่ายออกมา ขอให้ฉันระบุว่าในรูปเป็นใคร พูดว่า “คุณทำงานด้วยกันเสมอ จะมาบอกว่าไม่รู้จักไม่ได้นะ” ฉันรู้ว่าเป็นพี่หวัง เราทำหน้าที่ให้ลุล่วงด้วยกัน เราคุยกันทางโทรศัพท์ก่อนที่ฉันจะถูกจับ วันหรือสองวัน จากเสื้อกั๊กสีเหลืองที่พี่เขาใส่ในรูป ฉันรู้ว่าพี่เขาก็โดนจับด้วย ฉันคิดว่า “ตำรวจรู้อยู่แล้วว่าเรารู้จักกัน ถ้าฉันพูดว่าไม่รู้จักเขา ตำรวจก็จะไม่เชื่อ ฉันควรทำยังไงดี?” ฉันเฝ้าอธิษฐานและทูลขอพระเจ้า ตอนนั้น ฉันคิดถึงพระวจนะที่ว่า “เจ้าไม่ควรกลัวสิ่งนั้นสิ่งนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าอาจเผชิญความยากลำบากและภยันตรายมากเพียงใด เจ้าสามารถจะยังคงมั่นคงอยู่ต่อหน้าเราได้ โดยไร้อุปสรรคใดๆ กีดขวาง เพื่อที่เจตจำนงของเราจะได้รับการดำเนินการโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้น นี่คือหน้าที่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) พระวจนะพระเจ้าช่วยให้รู้สึกมั่นใจมากขึ้น ไม่ว่าตำรวจจะรู้เรื่องคริสตจักรมากแค่ไหน ฉันก็ต้องไม่ชี้ตัวพี่เขา และต้องไม่ให้ข้อมูลพี่เขากับพวกนั้นโดยเด็ดขาด ฉันไม่ปริปากพูด พวกเขาเลยเริ่มขู่ฉันว่า “อย่าดื้อนักเลย ตอนแรกเขาเองก็ไม่พูดอะไร หลังจากเราใช้ตะขอโลหะกับเป้าของเขาสองสามครั้ง เขาก็ทนต่อไปไม่ไหว แล้วเขาก็พูด” ฉันรู้สึกโกรธและรังเกียจ หันหน้าไปทางอื่น พวกเขาเดินมา เริ่มตบหน้าฉันอย่างชั่วร้ายทั้งที่สวมถุงมือหนัง พวกเขากลัวว่าหน้าฉันจะบวมไป แล้วคนที่สถานกักกันจะไม่รับตัว ก็เลยเอาน้ำเย็นมาลูบหน้าฉันสักพัก แล้วก็เริ่มตบอีก ฉันรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในปาก พอถ่มน้ำลายออกมาก็มีแต่เลือด พวกเขาไม่หยุด พวกเขาจะพักสักครู่ แล้วตีฉันต่อ ทุบตีฉันจนเวียนหัวและมองเห็นดาว หลังฉันยังหันหาหน้าต่างที่เปิดไว้อยู่ พวกเขาคอยเอาน้ำเย็นมาถู ทั้งตัวฉันถูกกลืนไปในคลื่นความเจ็บปวดเกินบรรยาย พวกเขาตีฉันต่อไป จากนั้นก็ราดน้ำเย็นใส่หัวฉัน ตีฉันอีกแล้วก็ราดอีก ทรมานฉันแบบนั้นทั้งคืน ร่างกายฉันสูญเสียความรู้สึก และฉันกำลังจะหมดสติ ตอนนั้นคิดว่า “นี่ฉันกำลังจะตายเหรอ?” ฉันรู้สึกลางๆ ว่ามีคนเปิดเปลือกตาฉัน และอุ้มฉันไปทางหนึ่ง มีคนสองสามคนมารุมล้อมฉัน ทำอะไรสักอย่าง แล้วฉันก็หมดสติไป ไม่รู้ว่านานแค่ไหน จนได้ยินใครพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่ตายหรอก” ฉันใช้ความพยายามอย่างมากลืมตาขึ้น และเห็นพวกเขาถูมือและเท้าฉันอยู่ ความรู้สึกในร่างกายค่อยๆ กลับคืนมา

ตอนนั้นสว่าง และมีคนกลุ่มใหม่เฝ้าดูฉัน ไม่ยอมให้ฉันนอน จากนั้น มีคนจากห้องข้างๆ เดินเข้ามา ถ่ายรูปฉันแล้วก็ไป ฉันได้ยินคนข้างห้องพูดเสียงดังว่า “คนนี้คือใคร?” ฉันไม่ได้ยินคำตอบ แต่หลังจากนั้นก็ได้ยินเสียงคนถูกตี ได้ยินพี่น้องหญิงคนหนึ่งกรีดร้องอย่างทุกข์ระทม รู้สึกเหมือนหัวใจฉันถูกแทงด้วยมีด ฉันรู้ว่าพี่น้องหญิงคนนั้นเลือกทนทุกข์จากการทุบตี แทนที่จะขายฉัน ฉันรู้สึกแย่มาก และหวังให้พวกเขามาทุบตีฉันแทน และปล่อยเธอไป แต่ฉันทำได้แค่อธิษฐานให้เธอในใจ ขอให้พระเจ้าทรงอารักขาและประทานความเชื่อแก่เธอ พวกเขาทรมานเธอแบบนั้นทั้งวัน

ตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่มาสอบสวนฉันอีกครั้ง พวกเขาคนหนึ่งพยายามโน้มน้ามฉัน “คุณอาจไม่สนใจตัวเอง แต่คิดถึงพวกเขาสิ ถ้าคุณยอมรับว่าคุณเป็นผู้นำ เราจะตัดสินโทษแค่คุณ พวกเขาไม่ใช่คนสำคัญ เราจะปล่อยไป ถ้าคุุณไม่ยอมรับสารภาพ พวกเขาทั้ง 40 คนจะมายืนเข้าแถว และถูกสั่งให้ชี้ตัวคุณ คนที่ปฏิเสธจะถูกทุบตีเหมือนคนห้องข้างๆ” พอได้ยินแบบนั้น ฉันก็นึกถึงเสียงกรีดร้องทิ่มแทงใจของพี่น้องหญิงจากเมื่อกลางวัน แล้วก็ยังมีพี่น้องชายหญิงที่พวกเขาให้ฉันดูบนคอมพิวเตอร์ รวมทั้งพี่สาวสูงวัยอายุ 60 กว่าที่ป่วยหนักมาก ฉันคิดในใจ “ฉันควรสารภาพ ให้พวกเขาลงโทษฉันคนเดียว พี่น้องชายหญิงจะได้ไม่ต้องทนทุกข์” ตอนที่ฉันยอมรับว่าเป็นผู้นำคริสตจักร เขาถอดกุญแจมือฉันทันที เทน้ำดื่มใส่แก้วให้ แล้วรีบร้อนถามว่า “แล้วใครเป็นผู้นำอีกคน? คุณเป็นผู้นำ ก็ต้องรู้ว่าเงินของคริสตจักรอยู่ที่ไหนใช่ไหม?” ฉันมองเขาแล้วคิดว่า เงินของคริสตจักรเป็นของถวายแด่พระเจ้า จากประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกปีศาจอย่างแก แล้วยังอยากจะมายึดไป ไอ้คนชั่วหน้าไม่อาย! พอเห็นว่าฉันไม่ตอบ พวกเขาก็ถามต่อไปเรื่อยๆ จนใกล้เวลารุ่งสาง แต่ก็ยังไม่ได้ข้อมูลอะไรจากฉัน แล้วก็ส่งฉันกลับไปที่สถานกักกัน แต่เมื่อไปถึงแล้ว ฉันนอนไม่หลับ คิดถึงอุบายเยี่ยงปีศาจของพวกเขา พวกเขาไม่ได้จะลงโทษแค่ฉันและปล่อยพี่น้องชายหญิงไปจริงหรอก ฉันโง่เองที่ปล่อยให้ตัวเองโดนหลอก อีกอย่าง ฉันยอมรับไปว่าเป็นผู้นำ ทำให้พี่น้องชายหญิงที่ฉันคุยโทรศัพท์ด้วยตกอยู่ในอันตราย ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ พอได้เห็นว่าตำรวจคิดคดทรยศแค่ไหน ฉันยิ่งต้องอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้ากว่าเดิม ไม่งั้น ฉันก็อาจหลงกลอุบายซาตานที่มีมากกว่านี้

ในคืนวันที่ 24 ตำรวจพาน้องชายฉันมา ฉันรู้สึกตื่นตระหนก อธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำไปซ้ำมา “พระเจ้า ตำรวจพาครอบครัวข้าพระองค์มาที่นี่ ต้องไม่ใช่เจตนาดีแน่ พวกเขากำลังพยายามล่อให้ข้าพระองค์ทรยศพระองค์ พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าไม่อาจทำสิ่งนี้ด้วยตัวเองได้ ขอทรงเฝ้าดูและทรงอารักขา ขอทรงนำข้าพระองค์ให้ชนะการทดลองของซาตานด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันรู้สึกสงบขึ้นเยอะมาก พอน้องชายเห็นฉัน เขาร้องไห้พูดว่า “พี่ นี่มันเกินควบคุมแล้ว ผมคุยกับทนายหลายคน หมดค่าปรึกษาไปเยอะ และทุกคนบอกว่าช่วยพี่ไม่ได้ สำนักงานความมั่นคงบอกผมว่าพี่จะได้รับโทษอย่างน้อย 3 ปี บอกสิ่งที่พี่รู้กับพวกเขาไปเถอะ” ฉันไม่ได้พูดอะไร ต่อมาน้องชายบอกว่าตำรวจไปค้นบ้านฉัน แต่ว่าไม่เจออะไร ฉันจำได้ว่ามีหนังสือพระวจนะของพระเจ้าเก็บอยู่ที่นั่น การที่ตำรวจหาไม่เจอ เป็นพระพรจากพระเจ้า น้องชายพยายามโน้มน้าวฉันต่อไป และพอตำรวจเห็นว่าฉันจะไม่พูดอะไร ไม่ร้องไห้ด้วยซ้ำ พวกเขาข่มขู่ว่า “ถ้าไม่สารภาพ คุณจะได้รับโทษ หลานคุณโตมาก็จะเข้าร่วมกับกองทัพไม่ได้ คุณกำลังทำร้ายตัวเองและครอบครัว ต้องคิดถึงคนอื่นบ้างสิ” ฉันรู้ว่าพวกเขาใช้อารมณ์ฉันมาล่อให้ฉันติดกับ ฉันไม่มีลูก พวกเขาก็เลยเอาหลานฉันมาข่มขู่ ฉันคิดกับตัวเอง “สิ่งที่เกิดกับหลานฉันเมื่อเขาโตขึ้นอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้า ไม่เกี่ยวอะไรกับแก แกถึงกับอยากได้เงินของคริสตจักรจากฉัน คิดใหม่นะ” ฉันยิ่ังไม่พูดอะไร

ต่อมา ในการสอบสวนครั้งถัดมาของกองกำลังพิเศษ พวกเขาให้ดูวิดีโอ รองผบ.พวกเขากับน้องสาวที่เป็นเจ้าบ้าน ฉันตกใจมาก พวกเขาพบตัวเธอได้ยังไง? พวกเขาถามฉันว่า “ตกใจเหรอ? รู้จักเธอไหม?” ฉันบอก “ไม่” พวกเขาโกรธและสบถ “ไม่รู้จักเหรอ? ทำไมเธอเห็นรูปถ่ายแล้วบอกว่าจำคุณได้ล่ะ?” ฉันสงสัยว่าเธอขายฉันจริงๆ เหรอ และฉันควรทำยังไง ทันใดนั้น ฉันก็คิดถึงพระวจนะของพระเจ้า “ในทุกเวลา ประชากรของเราควรเตรียมพร้อมต่อต้านกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน พิทักษ์ประตูบ้านของเราเพื่อเรา…เพื่อหลีกเลี่ยงการตกอยู่ในกับดักของซาตาน ซึ่งในเวลานั้นก็คงจะสายเกินกว่าจะเสียใจ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 3) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันรู้ว่า นี่คืออุบายของซาตาน ไม่ว่าเธอจะทรยศฉันหรือไม่ ฉันก็ต้องไม่ขายเธอ การชี้ตัวเธอจะทำให้ฉันเป็นยูดาส เป็นการทรยศเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ฉันพูดอย่างมั่นใจ “ฉันไม่รู้จักคนคนนี้” ตำรวจเดือดดาลพูดว่า “จะบอกความจริงให้นะ การที่คุณไม่ยอมพูดไม่ดีกับตัวคุณเลย เราเชื่อมโยงทุกอย่างที่เรารู้เข้ากับคุณแล้ว จะบอกคนอื่นว่าคุณขายพวกเขา ต่อให้ออกไปได้ คริสตจักรก็จะไม่ต้องการคุณอีก” ฉันค่อนข้างรู้สึกกังวลกับมัน ถ้าพวกเขาทำแบบนั้นจริง คริสตจักรจะคิดจริงๆ ไหมว่าฉันเป็นยูดาส และไม่ต้องการฉันอีก? แต่แล้วฉันก็คิดว่า พระเจ้าสามารถทอดพระเนตรเข้าไปในใจคนได้ จะทรงทราบว่าฉันขายคนอื่นหรือไม่ ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม และทรงทราบทุกอย่าง ฉันยังพูดว่าฉันไม่รู้จักเธอ ตอนนั้น ตำรวจเดือดดาลเพราะความอับอาย พวกเขาผลักฉันไปที่หน้าต่าง ถอดเสื้อคลุมฉันออก เลิกเสื้อฉันขึ้น และม้วนขากางเกงฉันขึ้น แล้วสาดน้ำเย็นใส่ฉันอีก พอถึงเช้าวันที่สอง มือกับเท้าฉันก็สูญเสียความรู้สึกไปเกือบทั้งหมด เท้าฉันบวมเสียจนสวมรองเท้าแตะยังไม่ได้ พวกเขาสอบสวนฉันต่อไป ว่าเงินของคริสตจักรอยู่ไหน และพยายามให้ฉันระบุชื่อพี่น้องชายหญิง ฉันไม่ได้พูดอะไร พวกเขาเลยทรมานฉันด้วยความเย็นต่อไป เจ้าหน้าที่คนหนึ่งพูดอย่างมุ่งร้ายว่า “พวกผู้เชื่ออย่างคุณตายไปก็ไม่สำคัญหรอก ถ้าไม่สารภาพ ผมจะฆ่าคุณ” ฉันคิดว่า “งั้นก็ฆ่าฉันได้เลย ฉันจะไม่ทรยศต่อพระเจ้าหรือพี่น้องชายหญิง” ต่อมา ฉันได้รู้จากพวกเขาว่า น้องสาวคนนั้นไม่เคยทรยศฉัน พวกเขาแต่งคำโกหกขึ้นมาเพื่อออกอุบายกับฉัน ฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งหัวใจ ที่ทรงอารักขาฉันไม่ให้ตกหลุมพรางของซาตาน

ฉันถูกทรมานแบบนั้นอยู่สองวัน มีครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่อายุ 50 หรือ 60 เดินเข้ามา มีรอยยิ้มที่ชั่วช้าบนใบหน้า เขาถามเจ้าหน้าที่หลิวว่า “ได้ใช้กลเม็ดนั้นไหม” หลิวบอกว่า “ยังเลย” เจ้าหน้าที่คนอื่นๆ ออกไป แล้วเขาก็มาอยู่ตรงหน้าฉัน สอดมือเข้าไปในเสื้อฉัน แล้วบีบหัวนมฉันแรงมาก มันเจ็บมากๆ แต่ฉันถูกใส่กุญแจมือไพล่หลังไว้ เลยขยับไม่ได้ ฉันเลยต้องสู้ทนการทารุณกรรม ฉันโกรธจัดและคิดในใจว่า ยิ่งแกหน้าไม่อายและโหดร้ายแค่ไหน ฉันก็ยิ่งเห็นความชั่วของแกชัด ต่อให้แกทรมานและทำให้ฉันอับอายแค่ไหน ฉันก็จะไม่ทรยศพระเจ้า ฉันทำตัวเป็นเหล็กกล้า กัดฟันและเบือนหน้าหนี จากนั้น เขาเปลี่ยนไปทางหน้าท้อง และสัมผัสฉัน ประมาณ 20 นาทีได้ เขาไม่ถอนมือออกจนกระทั่งเจ้าหน้าที่สองคนที่สอบสวนฉันกลับมา หลังจากนั้น พวกเขาก็เริ่มทรมานฉันด้วยความเย็นอีก เหมือนกับก่อนหน้า ทุกครั้งพวกเขาจะผลักฉันไปที่หน้าต่างเพื่อแช่แข็งฉันอยู่สองสามชั่วโมง พอเห็นว่าฉันตัวเย็นแข็ง ก็ผลักฉันไปด้านข้าง ปิดหน้าต่างและปล่อยให้ฉันได้อุ่นขึ้นหน่อย พอฉันตัวอุ่นขึ้น พวกเขาก็แช่แข็งฉันอีก ฉันหนาวมากจนฟันกระทบกัน แล้วทั้งตัวก็สั่นถึงขนาดที่ เก้าอี้เหล็กเริ่มสั่นไปด้วย พอเห็นฉันแบบนั้น พวกเขาก็เยาะเย้ย ฉันถูกทรมานซ้ำไปซ้ำมา ร่างกายฉันก็เลยรู้สึกอ่อนแอมาก บางครั้งฉันผล็อยหลับไปขณะถูกทรมาน พอเห็นว่ายังไงฉันก็จะไม่พูด พวกเขาก็เริ่มข่มขู่ฉัน พูดว่า “ถ้าคุณยังปฏิเสธที่จะคุย เราจะให้หน่วยอาชญากรรมมาทำคดีคุณ พวกเขาไม่ใจดีด้วยเหมือนเราหรอกนะ” ฉันโกรธมากจนถามพวกเขาไปว่า “ความเชื่อของฉันผิดกฎหมายข้อไหน? ฉันก่อเหตุฆาตกรรมเหรอ? หรือลอบวางเพลิงหรือปล้น? พวกคุณถึงได้ทรมานฉันแบบนี้?” พวกเขาอึกอั่กตอบมาเบาๆ “คุณไม่ได้ทำผิดกฎหมาย” แล้วก็เดินออกไปเลย ฉันคิดในใจ ฉันแค่เชื่อในพระเจ้า ไม่ได้ทำผิดกฎหมายข้อไหนเลย พรรคคอมมิวนิสต์ทำให้เป็นเรื่องใหญ่ ใช้วิธีการที่น่ารังเกียจทุกรูปแบบกับฉัน ตอนนี้หน่วยอาชญากรรมกำลังจะมาสอบสวนฉัน พวกเขาจะไม่พักจนกว่าฉันจะตายจริงๆ! ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าที่บอกว่า “ที่นี่ได้เป็นแผ่นดินแห่งความโสโครกมาเป็นเวลาหลายพันปีแล้ว มันสกปรกเหลือทน ความทุกข์ระทมดาษดื่น พวกผีวิ่งอาละวาดไปทั่วทุกแห่งหน ลวงล่อและหลอกลวง ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล[1] เหี้ยมโหดและชั่วช้า เหยียบย่ำเมืองผีนี้และทิ้งให้มันกลาดเกลื่อนไปด้วยศพ กลิ่นสาบสางของซากที่เสื่อมสลายปกคลุมแผ่นดินและตลบอบอวลในอากาศ และมันถูกพิทักษ์อย่างแน่นหนา[2] ผู้ใดจะสามารถมองเห็นพิภพเหนือโพ้นฟ้าได้?…เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) พรรคคอมมิวนิสต์บอกโลกว่าเรามีเสรีภาพทางศาสนา ว่าพลเมืองมีเสรีภาพส่วนบุคคล แต่ที่จริงไม่อนุญาตให้คนเชื่อในพระเจ้าและติดตามเส้นทางที่ถูกต้อง ใช้วิธีการโหดร้ายน่ารังเกียจข่มเหงประชากรที่ทรงเลือกสรร เพ้อฝันจะทำลายพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย ฉันได้เห็นว่าพรรคคือมารชั่วที่ต้านทานพระเจ้าและทำร้ายผู้คน! ยิ่งพวกเขาข่มเหงฉัน ฉันก็ยิ่งจะบอกปัดและละทิ้งพวกเขา ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าอีก มอบความเป็นความตายไว้ในพระหัตถ์พระองค์ ไม่ว่าพวกเขาจะให้หน่วยไหนทำคดีฉัน พระเจ้าประทานลมหายใจแก่ฉัน ฉันจึงเต็มใจฝากชีวิตไว้กับพระเจ้า ยอมจำนนต่อแผนการของพระองค์

ในระหว่างการสอบสวนครั้งถัดมา ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับฉัน ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้าและพึ่งพาพระองค์ จึงไม่พูดอะไร จากนั้น ฉันเห็นพวกเขากระตือรือร้นที่จะสอบสวนฉันน้อยลงเรื่อยๆ ขณะที่ความเชื่อฉันก็แข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาใช้อุบายและวิธีการโหดร้ายทุกรูปแบบ เพื่อทรมานฉันอยู่ประมาณ 26 วัน ผู้ต้องขังอีกคนพูดกับฉันว่า “ฉันค้ายา ถูกพาตัวมาและถูกทุบตีอยู่หนึ่งคืน พอผู้เชื่ออย่างคุณถูกจับ คุณถูกทุบตีเกินควรไปมาก!”

ต่อมา พวกเขารู้ว่าจะไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักรจากฉัน และน้องชายฉันจ่ายค่าน้ำชาหมดไป 20,000 หยวน พวกเขาเลยให้ประกันตัวเพื่อรอพิจารณาคดี ตอนปล่อยตัว ฉันผอมแห้งแรงน้อย และเป็นโรคไขข้อร้ายแรง เพราะถูกทรมานด้วยความเย็น เจ็บปวดในข้อต่อทุกจุด ไม่สามารถยกคอได้ ความโหดร้ายของพรรคคอมมิวนิสต์ทิ้งรอยลึกไว้บนร่างกายและจิตใจ ในระหว่างช่วงเวลานั้น แม้ฉันจะทนทุกข์มากมาย ก็รู้สึกได้จริงๆ ว่าพระเจ้าสถิตอยู่ข้างๆ และทรงอารักขา ทรงใช้พระวจนะนำฉัน ประทานความเชื่อและกำลังแก่ฉัน ฉันจึงเอาชนะความโหดร้ายของมารได้ ฉันสำนึกบุญคุณและสรรเสริญพระเจ้าเต็มที่ มีความเชื่อที่จะติดตามพระเจ้าไปทั้งชีวิต สละตัวและตอบแทนความรักของพระองค์

เชิงอรรถ:

1. “ตั้งข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูล” อ้างอิงถึงวิธีการที่มารใช้เพื่อทำอันตรายผู้คน

2. “พิทักษ์อย่างแน่นหนา” บ่งบอกว่า วิธีการที่มารใช้ก่อความทุกข์ร้อนให้ผู้คนนั้นชั่วช้าเป็นพิเศษ และควบคุมผู้คนมากเสียจนพวกเขาไม่มีที่ให้ขยับ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การหนีจากความทุกข์ยากลำบากอันเลวร้าย

วันหนึ่งในเดือนพฤษภาคมปี 2003 ฉันกับพี่สาวคนหนึ่งไปประกาศข่าวประเสริฐแก่คนจากนิกายศาสนาหนึ่ง เขาไม่ยอมรับ ทำร้ายเราจนปางตาย แล้วแจ้งความ...

หลังจากถูกจับ

โดย โจว ลี่, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ตอนที่ฉัน กำลังไปชุมนุมพร้อมพี่สาวอีกสามคน เราตระหนักได้ว่า มีรถสองคัน...

ความทุกข์ทนอันทรงค่า

ครั้งแรก คือเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคมปี 1997 ในตอนนั้น ผมกำลังยืนรอใครบางคนอยู่ริมถนน พร้อมกับกล่องหนังสือพระวจนะของพระเจ้าสองกล่อง...

ติดต่อเราผ่าน Messenger