การพึ่งพิงพระเจ้าเพื่อเอาชนะซาตาน
เวลาประมาณตีห้า วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2009 ฉันกำลังออกไปร่วมการชุมนุม แล้วฉันก็เห็นรถเก๋งสีดำจอดอยู่ที่ริมถนน จู่ๆ ตำรวจสี่คนก็พุ่งพรวดออกมา หนึ่งในนั้นมีรูปฉันแล้วก็ตะโกนชื่อฉัน แล้วพวกเขาก็ตรงเข้ามาข้างใน เจ้าหน้าที่คนหนึ่งกันสามีฉันไว้ ให้เขาอยู่ในห้องในขณะที่คนที่เหลือรื้อค้นสถานที่กระจัดกระจายเพื่อค้นหา จนทุกอย่างเละเทะไปหมด ฉันถามพวกเขาว่า พวกเขามาค้นบ้านฉันทำไม มีคนหนึ่งได้ผลักฉันอย่างแรง จ้องมาที่ฉันแล้วก็พูดว่า “มีคนรายงานว่าแกเป็นผู้นับถือศาสนา” ฉันก็บอกว่า “ความเชื่อนั้นถูกต้องและเป็นธรรมชาติ และฉันอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ฉันทำผิดกฎหมายข้อไหนกัน?” แล้วพวกเขาก็เอาหนังสือพระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาค้นเจอมา แล้วตะคอกว่า “ความเชื่อของแกผิดกฎหมาย และนี่คือหลักฐานในการจับกุม” พวกเขาลากแขนฉันไป และบังคับให้ฉันเข้าไปในรถ ระหว่างทางไปสถานีตำรวจ ฉันคิดว่าฉันเองไม่รู้เลย ว่าตอนนี้ที่ฉันอยู่ในเงื้อมมือของตำรวจ การทรมานแบบไหนที่รอฉันอยู่ ฉันกลัว และอธิษฐานต่อพระเจ้าไม่หยุด ฉันว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าข้าพระองค์จะถูกทรมานอย่างไร ขอได้โปรดทรงปกป้องและนำข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะไม่ทรยศพระองค์และเป็นยูดาสเด็ดขาด” หลังจากอธิษฐาน ฉันก็ไม่รู้สึกกลัวเท่าเดิมค่ะ
พอเราไปถึง ตำรวจก็พาฉันไปที่ห้อง ผลักฉันลงไปกับพื้น แล้วก็ต่อยและเตะฉัน หนึ่งในพวกนั้นพูดว่า “ถ้าไม่บอกเราในเรื่องที่แกรู้ แกจบเห่แน่ เดี๋ยวได้เห็นกันว่าฉันร้ายได้แค่ไหน” เขาคว้าผมฉันเต็มกำมือ แล้วก็ต่อยฉันอย่างแรงที่หัวแล้วก็หน้า จนฉันหัวหมุนไปหมด ปากกับจมูกฉันมีเลือดออก แล้วเขาก็ดึงผมฉันอย่างแรง เขาเริ่มตบฉัน ด้านซ้ายทีขวาที จนกระทั่งเขาหมดแรง แล้วก็โยนฉันลงกับพื้น จากนั้นไม่นาน ก็มีชายคนหนึ่งเข้ามา บอกว่าเขาเป็นหัวหน้าฝ่ายความมั่นคงสาธารณะ นั่งลงข้างฉันแล้วตบไหล่ฉัน พูดว่า “คุณดื้อเกินไปแล้ว ลองคิดถึงอนาคตของลูกและครอบครัวของคุณให้ดี รู้ไหมว่าทำไมวันนี้เราไม่เอารถตำรวจไปจอดที่บ้านคุณ? เพื่อจะปกป้องครอบครัวคุณ เราจะได้พาคุณมาที่นี่เงียบๆ และคนในหมู่บ้านคุณจะได้ไม่รู้ แค่บอกเราทั้งหมดเกี่ยวกับเรื่องที่คุณรู้ แล้วเราจะพาคุณกลับบ้านทันที จากนั้นคุณก็กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ พูดกับเราสิ! เงินของคริสตจักรคุณถูกเก็บไว้ที่ไหน? ใครเป็นผู้นำ? ใครเป็นคนเปลี่ยนคุณ?” ฉันเห็นว่ามันเป็นกลลวงของซาตาน แล้วก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “พวกเจ้าต้องตื่นและรอคอยอยู่เสมอ และเจ้าต้องอธิษฐานต่อหน้าเราให้มากขึ้น เจ้าต้องระลึกรู้ถึงแผนร้ายสารพัด และกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน ระลึกรู้ถึงจิตวิญญาณทั้งหลาย รู้จักผู้คน และมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ในผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 17) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันนึกได้ ว่าที่เขาช่างแสนดี ก็เพียงเพื่อจะเอาข้อมูลเกี่ยวกับคริสตจักรจากฉัน เขากำลังล่อใจฉันเพื่อให้ทรยศพระเจ้า ฉันจะตกหลุมพรางไม่ได้ บ่ายวันนั้น เขาถามฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่านานกว่าสองชั่วโมง แต่เมื่อเห็นว่าฉันไม่ยอมพูด จู่ๆ เขาก็ยืนขึ้น พร้อมกับใบหน้าที่น่ากลัวจริงๆ แล้วก็ตบฉันอย่างแรงหลายครั้ง ทำให้หน้าฉันแสบจากความเจ็บปวด เจ้าหน้าที่อีกคนถือมีดที่เงาวับจริงๆ อาจจะยาวประมาณหนึ่งฟุตครึ่งได้ แล้วก็จ้องมาที่ฉัน เดินรอบฉันเป็นวงกลมโดยไม่พูดอะไร ฉันเห็นแบบนั้นก็กลัวอย่างมาก—หัวใจฉันเหมือนมาจุกอยู่ในลำคอ ฉันคิดว่าถ้าเขาแทงฉันด้วยมีดนั่น ฉันคงไม่รอดแน่ ฉันอธิษฐานและเรียกหาพระเจ้าไม่หยุด แล้วจากนั้นสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสไว้ก็ปรากฏขึ้นในความคิดฉัน พระเจ้าตรัสว่า “บรรดาคนเหล่านั้นที่มีอำนาจอาจดูเหมือนเลวทรามจากภายนอก แต่จงอย่าได้กลัวไปเลย ด้วยเหตุที่การนี้เป็นเพราะว่า พวกเจ้ามีความเชื่ออันน้อยนิด ตราบเท่าที่ความเชื่อของพวกเจ้าเพิ่มพูนขึ้น จะไม่มีอะไรยากเย็นเกินไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 75) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันมีความเชื่อและพละกำลัง ไม่ว่าพวกเขาจะโหดเหี้ยมเพียงใด ตำรวจก็อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และชีวิตของฉันก็เช่นกัน พวกเขาไม่สามารถทำอะไรฉันได้ หากไม่มีการอนุญาตจากพระเจ้า ฉันต้องพร้อมที่จะให้ชีวิตของฉันเพื่อการยืนหยัดเป็นพยาน และไม่ทรยศพระเจ้าและเป็นยูดาส ต่อให้ฉันจะตายก็ตาม หลังจากนั้นฉันก็รู้สึกดีขึ้นค่ะ ฉันยังคงไม่พูดอะไร เจ้าหน้าที่จึงกัดฟันด้วยความโกรธ ปักมีดลงบนโต๊ะ แล้วจ้องมาที่ฉันขณะที่เดินออกไป
วันรุ่งขึ้น หัวหน้าฝ่ายความมั่นคงสาธารณะยังคงถามฉันต่อ แล้วพอฉันยังคงเงียบ เขาก็ตวาดใส่ฉันว่า “ถ้าแกไม่ยอมพูดที่นี่ เรามีที่ที่จะเปิดปากแก” หลังจากนั้น พวกเขาก็พาฉันกับอีกสามคนไปยังสำนักงานฝ่ายความมั่นคงสาธารณะ แล้วก็ส่งต่อเราไปยังสถานกักกัน คืนนั้น นักโทษอีกคนหนึ่งได้มาพูดอะไรบางอย่างกับฉัน พอเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเห็นจากการตรวจตรา เขาก็เรียกฉันเข้าไปในห้องสอบสวน ถามว่าฉันได้ชักชวนคนอื่นให้หันมานับถือศาสนาหรือไม่ ฉันบอกว่าไม่ใช่ เขาต่อยฉันเข้าที่ขมับ ทำให้ฉันล้มลงในทันที มันรู้สึกเหมือนโลกกำลังหมุน และมองเห็นดาวเต็มไปหมด มันเจ็บปวดมากๆ จากนั้นก็มีคนอื่นๆ อีกสองสามคนเริ่มมาต่อยและเตะฉัน นานกว่าครึ่งชั่วโมง จนปากกับจมูกฉันเลือดออก ฉันไม่สามารถขยับขาหรือเอวได้เลย ฉันโกรธมาก แล้วฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!…เหตุใดจึงสร้างอุปสรรคที่ไม่อาจเจาะผ่านเข้าไปได้เช่นนั้นให้กับพระราชกิจของพระเจ้า? เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า? ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย? ไหนเล่าความเป็นธรรม? ไหนเล่าความชูใจ? ไหนเล่าความอบอุ่น? เหตุใดจึงใช้กลอุบายที่หลอกลวงเพื่อล่อหลอกประชากรของพระเจ้า? เหตุใดจึงใช้กำลังบังคับเพื่อปราบปรามการเสด็จมาของพระเจ้า? เหตุใดจึงไม่ยอมให้พระเจ้าทรงท่องไปอย่างอิสระบนแผ่นดินโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น? เหตุใดจึงไล่ล่าพระเจ้าจนกระทั่งพระองค์ไม่มีที่ใดให้พักพระเศียร? ไหนเล่าความอบอุ่นท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย? ไหนเล่าการต้อนรับท่ามกลางผู้คน?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) พรรคคอมมิวนิสต์จีนรับประกันเรื่องเสรีภาพในการเชื่ออย่างเป็นทางการ แต่ทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหก เพราะความเชื่อของฉัน ฉันไม่มีสิทธิ์แม้แต่จะพูดด้วยซ้ำ การติดตามพระเจ้านั้นถูกต้อง มันคือสิ่งที่เป็นธรรมชาติที่สุด พวกเขาสนุกกับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ในขณะที่ทำงานต่อต้านพระเจ้าอย่างโจ่งแจ้งและจับกุมผู้เชื่อ โดยคิดว่าพวกเขาสามารถทำลายพระราชกิจของพระเจ้าได้ พวกนั้นคือฝูงปีศาจที่ต่อต้านพระเจ้า! เรื่องนี้ทำให้ฉันรังเกียจพรรคคอมมิวนิสต์จริงๆ
บ่ายวันที่ 4 กรกฎาคม เจ้าหน้าที่สองคนเข้ามาใส่กุญแจมือแล้วก็ตรวนให้ฉัน จากนั้นก็ปิดตาฉัน แล้วก็พาฉันขึ้นรถ ฉันถามพวกเขาว่าจะพาฉันไปไหน แล้วมีคนหนึ่งพูดมาอย่างชั่วร้ายว่า “พาไปฝังทั้งเป็น” ฉันกลัวมาก ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจฉัน “ข้าแต่พระเจ้า ได้โปรดประทานความเชื่อและความกล้าแก่ข้าพระองค์ เพื่อให้ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรกับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ทรยศพระองค์และเป็นยูดาส ต่อให้ข้าพระองค์จะตายก็ตาม” หลังจากอธิษฐาน ข้อพระคัมภีร์นี้ก็ผุดขึ้นในความคิดฉัน “อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถทำลายทั้งจิตวิญญาณและกายในนรกได้” (มัทธิว 10:28) สิ่งนี้ทำให้ฉันมีความเชื่อและพละกำลังขึ้นมาบ้าง ทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ฉะนั้นพวกเขาอาจฆ่าเนื้อหนังของฉันได้ แต่ไม่อาจฆ่าดวงจิตของฉันได้ หลังจากนั้นฉันก็ไม่รู้สึกกลัวเลย เมื่อรถหยุดลง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งคว้าตรวนรอบข้อเท้าฉัน แล้วก็ลากฉันอย่างรุนแรงลงกับพื้นคอนกรีต หัวฉันกระแทกกับพื้นแข็ง และเริ่มมีเสียงก้องในหัว จากนั้นทุกอย่างก็มืดไป ฉันไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานแค่ไหน แต่ฉันได้ยินคนพูดคุยกันอีกครั้ง พอฉันลืมตาขึ้นก็พบว่าตัวเองนอนอยู่บนพื้นคอนกรีต เปียกโชกไปด้วยน้ำ จากนั้นฉันก็จำได้รางๆ ว่าพวกเขาสาดน้ำใส่ฉันเพื่อปลุกให้ฉันฟื้น พอเห็นว่าฉันฟื้นคืนสติแล้ว ตำรวจก็ลากฉันเข้าไปในห้องสอบสวนและให้ฉันนั่งบนเก้าอี้เหล็ก จากนั้นก็มัดข้อมือกับข้อเท้าฉันไว้แน่นมาก พวกเขามีกันห้าหรือหกคน กัดฟันแน่น แล้วก็ระดมต่อยและเตะฉันอีกยก ขณะที่พูดว่า “นี่คือห้องสอบสวนลับ เราสามารถฆ่าผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างแก แล้วก็ฝังแกทั้งเป็นโดยไม่มีใครรู้ก็ได้ เราจะซ้อมแกจนตายก็ยังได้!” เลือดไหลออกจากจมูกและปากฉันไม่หยุด ร่างฉันเจ็บไปทั้งตัว ฉันทำได้แค่ทรุดนั่งฟุบหน้ากับเก้าอี้ หนึ่งในพวกเขาเริ่มสอบสวนถามว่า “เงินของคริสตจักรอยู่ที่ไหน? ใครเป็นผู้นำ? ใครเป็นคนเปลี่ยนแก? ถ้าแกไม่พูด เราจะถลกหนังแกทั้งเป็น!” ฉันบอกไปว่า “ฉันไม่รู้อะไรทั้งนั้น” ด้วยความโกรธ เขากำหมัดแล้วก็เริ่มชกฉันทั้งที่หัวแล้วก็ใบหน้า ฉันหมดสติไปทั้งที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ อีกคนหนึ่งคว้าผมฉันไว้เต็มกำมือแล้วก็สาดน้ำใส่ฉัน และทั้งเลือดและน้ำก็เริ่มไหลลงมาจากหัวฉัน ฉันมึนงงและหัวฉันก็ปวดตุบๆ—ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะตาย ฉันอธิษฐานและเรียกหาพระเจ้า แล้วจากนั้นฉันก็นึกถึงสิ่งนี้ พระเจ้าตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าจะต้องกลัว ซาตานทั้งหลายอยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเรา” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) การอยู่หรือตายนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าซาตานจะโหดร้ายเพียงใด มันก็ไม่สามารถเหนือไปกว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ ความคิดนี้ทำให้ฉันมีความเชื่อ น่าเหลือเชื่อที่หลังจากนั้น เมื่อพวกเขาทุบตีฉัน ฉันก็ไม่เจ็บอะไรมาก ฉันรู้สึกเหมือนถูกห่อหุ้มด้วยปุยฝ้าย ฉันรู้ว่านี่คือการที่พระเจ้าคอยดูแลฉัน และฉันรู้สึกขอบคุณพระองค์อย่างยิ่ง
หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สิบคนก็แยกกันเป็นคู่ สอบปากคำฉันเป็นกะ ไม่ยอมให้ฉันหลับทั้งกลางวันกลางคืน ไม่ให้ฉันกินอะไร เวลาที่ฉันเริ่มหลับตา พวกเขาก็จะทุบตีฉัน และบางคนก็เอาตัวเองมานาบหน้าฉัน พูดจาหยาบโลนเพื่อทำให้ฉันอับอาย คนหนึ่งพูดว่า “ไหนขอถอดเสื้อออกดูหน่อยว่ารูปร่างดีหรือเปล่า” ด้วยความโกรธที่เขาพูดจาน่าสะอิดสะเอียนเหลือเกิน ฉันจึงหันไปถ่มน้ำลายใส่เขา ฉันได้เห็นว่าพวกเขาเป็นเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานจริงๆ อีกคนหนึ่งพูดว่า “ถ้าแกยังเอาแต่เงียบ เราจะถอดเสื้อผ้าแกออก แล้วแห่แกไปตามถนน ให้ตายเพราะความอับอายไปเลย!” ฉันทั้งโกรธแล้วก็กลัว ในหัวใจฉันไม่เคยหยุดอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอการปกป้องจากพระองค์ พอเห็นว่าฉันไม่ยอมพูดจริงๆ พวกเขาหกคนก็เข้ามาหาฉัน ทั้งต่อยแล้วก็เตะฉัน จนหน้าฉันบวมและจมูกฉันฟกช้ำไปหมด ฟันหน้าฉันเบี้ยวไปบางซี่ แล้วก็มีเลือดออก มีซี่หนึ่งเหมือนจะหลุดออกมาให้ได้ พวกเขาถึงกับใช้บุหรี่จี้แขนฉัน ฉันรู้สึกปวดแสบปวดร้อนทุกครั้ง พวกเขาใช้ไม้ตีแมลงวันตบหน้าฉันอย่างแรง แล้วพอด้านบนมันหลุดออก พวกเขาก็ใช้ด้ามตีฉันต่ออีก หน้าฉันช้ำเลือดไปหมด แล้วพวกนั้นสองคนก็คว้าผมฉัน แล้วก็กระชากหัวฉันไปด้านหลังอย่างแรง บังคับให้ฉันอ้าปากกว้างๆ แล้วก็เทน้ำลงไปนานกว่าสิบนาที ทำให้ฉันกระเสือกกระสนหาอากาศ ฉันรู้สึกเหมือนตาจะถลนออกจากเบ้า และฉันก็ร้องไห้ตลอดเวลา ฉันเรียกหาพระเจ้าในหัวใจฉันเป็นการด่วน “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รับไม่ไหวอีกแล้ว ได้โปรดประทานความเชื่อและพละกำลังให้แก่ข้าพระองค์ โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ด้วยเถิด” จากนั้นฉันก็จำพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งได้ พระเจ้าตรัสว่า “จงอย่ากลัวเลย ด้วยการสนับสนุนของเรา ใครเล่าจะสามารถขวางกั้นถนนสายนี้ได้? จงจำการนี้ไว้! จงอย่าลืม! ทั้งหมดที่เกิดขึ้นล้วนมาจากเจตนารมณ์ที่ดีของเราทั้งสิ้น และทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ภายในการเฝ้าสังเกตของเราทั้งสิ้น เจ้าสามารถทำตามคำพูดของเราในทุกๆ สิ่งที่เจ้าพูดและทำได้หรือไม่? เมื่อการทดสอบด้วยไฟมาถึงเจ้า เจ้าจะคุกเข่าลงและร้องเรียกให้ช่วยหรือไม่? หรือว่าเจ้าจะขลาดกลัว ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ความเชื่อกับพละกำลังของฉันก็คืนกลับมา พระเจ้าคือเสาหลักของฉัน เป็นกำลังสนับสนุนของฉัน ฉันไม่มีทางผ่านการทรมานของพวกเขาไปได้ด้วยตัวเอง แต่หากมีการช่วยเหลือจากพระเจ้า ฉันย่อมทำได้ พวกเขาทรมานฉันอีกหลายชั่วโมง หนึ่งในพวกเขาพูดว่า “คนอื่นนั่งเก้าอี้นี้ได้มากสุดสามวัน ก่อนที่พวกเขาจะเริ่มพูด หลังจากห้าวันห้าคืนที่นี่ เรายังง้างปากแกไม่ได้ มาดูกันว่าปากแกหรือกำปั้นฉันจะแข็งกว่ากัน” แล้วเขาก็เริ่มชกฉันที่หัวแล้วก็ปาก จนฉันจอดับเห็นแต่ดาว เพราะพวกเขาไม่ให้ฉันกินหรือนอนมาห้าวันห้าคืน ฉันมีไข้สูง หนาวสั่นไปทั้งตัว ฟันกระทบกันไม่หยุด พอพวกเขาเห็นฉันเป็นแบบนั้น พวกเขาก็จงใจเปิดเครื่องปรับอากาศอีก ผ่านไปไม่นานความหนาวเย็นก็ทำให้ฉันหมดความรู้สึก และฉันสงสัยว่า ฉันกำลังจะหนาวตายหรือเปล่า ทันใดนั้น ฉันก็จำบางอย่างจากพระวจนะของพระเจ้าได้ พระเจ้าตรัสว่า “ความเชื่อเป็นเหมือนสะพานไม้ซุงต้นเดียว กล่าวคือ พวกที่ยึดติดอยู่กับชีวิตอย่างยอมจำนนจะประสบความลำบากยากเย็นในการข้ามสะพานนั้นไป แต่บรรดาผู้ที่พร้อมจะพลีอุทิศตัวพวกเขาเองจะสามารถข้ามไปได้ด้วยเท้าที่มั่นคงและปราศจากความกังวล” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6) ชะตากรรมของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า พระองค์คือผู้ชี้ขาด ฉันได้ตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตาน และฉันไม่มีแผนจะรอดชีวิตออกไป ฉันไม่ได้มีตัวเลือกหรือข้อพึงประสงค์ของตัวเอง แต่ฉันพร้อมที่จะนบนอบต่อกฎของพระเจ้าและยืนหยัดเป็นพยาน ต่อให้มันหมายถึงความตายก็ตาม จากนั้นฉันก็ค่อยๆ ฟื้นความรู้สึกที่มือและเท้าของฉัน แล้วพวกเขาก็เริ่มสอบปากคำฉันอย่างโหดร้ายอีกครั้ง เจ้าหน้าที่ในวัย 30 คนหนึ่ง ต่อยฉันเข้าที่หัวสามครั้ง แล้วบอกว่า “ถ้าแกไม่พูด เราจะซ้อมแกจนตายแน่นอน จากนั้นก็ฝังแกไว้ด้านหลัง ไม่มีใครรู้หรอก เราฆ่าพวกแกไปก็ไม่มีใครสนใจหรอก ไม่มีใครลุกขึ้นปกป้องแกเลย” เขาถึงกับหัวเราะแล้วก็พูดว่า “แกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือ? ทำไมมันไม่มาช่วยแกล่ะ? พระเจ้าของแกอยู่ไหน?” ฉันนิ่งเงียบ แต่ก็คิดว่า มันช่างง่ายดายสำหรับพระองค์เหลือเกิน พระองค์สามารถทำเช่นนั้นได้ด้วยความคิดง่ายๆ แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่พระองค์ทรงทำพระราชกิจ พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันผ่านเรื่องนั้นไปได้ เพื่อช่วยให้ฉันได้รับการหยั่งรู้ เพื่อให้ฉันได้เห็นว่า ภายนอกตำรวจอาจจะดูเหมือนซื่อตรง แต่พวกเขาเป็นแค่ปีศาจในร่างมนุษย์! พวกเขาไม่มีทางทำให้ฉันทรยศพระเจ้าได้
ในเช้าวันที่แปด ตำรวจก็เอาตัวฉันออกจากเก้าอี้ ฉันลุกขึ้นยืนอย่างอ่อนแรง ฉันหน้ามืดล้มลงพร้อมเสียงดังก้องในหัว ฉันไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ก่อนที่ฉันจะตื่น จากนั้นเจ้าหน้าที่สองคนก็พาฉันไปที่ศูนย์กักกัน พอออกจากรถ ฉันสังเกตว่าขาซ้ายของฉันบวมมาก และเท้าข้างนั้นก็บวมด้วย ตรวนหนักสิบปอนด์พวกนั้นยังคงติดอยู่ที่เท้าฉัน แค่ขยับเพียงเล็กน้อยมันก็เจ็บ และฉันไม่กล้าขยับเร็วนัก เจ้าหน้าที่คนหนึ่งบ่นว่าฉันเดินช้า และเตะฉันล้มลงกับพื้น ฉันฉุดตัวเองขึ้นมา แล้วก็เริ่มขยับไปข้างหน้าทีละก้าว คอยพยุงตัวเองกับกำแพง ด้วยความพยายามอย่างหนัก ฉันก็ไปถึงห้องขัง นักโทษบางคนถึงกับร้องไห้ ตอนที่พวกเขาเห็นว่าฉันโดนทุบตีหนักแค่ไหน แล้วก็พูดว่า “พวกนั้นโหดเหี้ยมขนาดนี้ได้อย่างไร?” จมูกฉันฟกช้ำ หน้าฉันบวม และฉันลืมตาได้ไม่เต็มตา ปากฉันบวมมากจนตัวฉันมองเห็นเองได้ และฟันหน้าฉันก็เบี้ยว ขาซ้ายฉันบวมเกินกว่าจะถอดชุดตัวเองออกเพื่อจะใช้ห้องน้ำ ฉันต้องปัสสาวะรดกางเกง เท้าซ้ายฉันบวมเกินกว่าจะใส่รองเท้าได้ และฉันมีภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อน ฉันขยับตัวไม่ได้ ไม่กี่วันหลังจากนั้น ตำรวจพาฉันไปที่โรงพยาบาล เพราะการบาดเจ็บของฉันรุนแรงมาก พวกเขากลัวว่าจะต้องรับผิดชอบ หมอตรวจฉันแล้วก็บอกว่าหลอดเลือดแดงที่ขาซ้ายฉันแตก ถ้าฉันไม่รับการผ่าตัดทันที มันก็จะลามไปถึงปอดอย่างรวดเร็ว มันอาจจะสายเกินไป แต่เจ้าหน้าที่แค่ให้หมอจ่ายยาให้ฉันกลับไปกินที่ศูนย์กักกัน แล้วก็พาฉันขึ้นรถกลับไป กลับไปที่ศูนย์กักกัน ฉันนอนลงกับพื้นซีเมนต์ ไม่สามารถขยับตัวได้เลย หลังจากกินยาไปไม่กี่วัน ไม่เพียงอาการฉันไม่ดีขึ้น แต่มันยังแย่ลงอีกด้วย อาการบวมที่ขากับเท้าฉันแย่ลง และท้องฉันก็บวมมากด้วยเช่นกัน นักโทษคนอื่นทนดูไม่ไหว ได้แต่พูดออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “คนพวกนั้นโหดร้าย ช่างไร้หัวใจจริงๆ” “พวกนั้นตั้งข้อหาคุณว่า ‘ต่อต้านสังคม’ แต่เห็นได้ชัดว่าพวกนั้นต่างหากเป็นพวกต่อต้านสังคมที่แท้จริง” อาการของฉันแย่ลงเรื่อยๆ และความเจ็บปวดที่ขาฉันก็มากมายเหลือเกิน ฉันนึกถึงเรื่องที่หมอบอกว่า ถ้าไม่รับการรักษา มันจะทรุดลงอย่างรวดเร็ว และฉันอาจจะตายได้ทุกเมื่อ ฉันรู้สึกอ่อนแอ แล้วก็คิดว่า “ฉันจะถูกพวกเขาทรมานจนตายจริงๆ หรือ?” แล้วฉันก็จำสิ่งนี้ได้ว่า พระเจ้าตรัสว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือแพทย์ผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งปวง! การอาศัยอยู่ในอาการป่วยก็คือการเจ็บป่วย แต่การอาศัยอยู่ในวิญญาณคือการมีสุขภาพดี ตราบเท่าที่เจ้ายังคงมีลมหายใจ พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าตาย” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6) ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตายนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และหากพระเจ้าไม่ทรงอนุญาต ฉันก็ไม่สามารถตายได้ หากพระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันตาย เช่นนั้นฉันก็ยินดีจะยอมรับและนบนอบ และให้คำพยานแก่พระองค์
หลายสัปดาห์ต่อมา ตำรวจได้ปล่อยตัวฉัน เพราะกลัวว่าฉันจะตายที่ศูนย์กักกัน และพวกเขาจะต้องรับผิดชอบ พวกเขาสองคนเอาฉันใส่เปลหามไปที่ทางเข้า แล้วก็พูดว่า “คดีของคุณยังไม่ปิด คุณถูกปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อให้รับการรักษาทางการแพทย์” ครอบครัวมารับฉัน พอเห็นว่าฉันดูแย่มากแค่ไหน ก็กอดฉันและร้องไห้ แล้วก็พูดกับตำรวจว่า “คุณทำแบบนี้กับเธอ แค่เพราะเธอเชื่อในพระเจ้าหรือ? อันธพาลอย่างพวกคุณถึงกับขู่กรรโชกเงิน 20,000 หยวน เพื่อให้เธอได้รับการปล่อยตัว” “พวกคุณเป็นตำรวจของประชาชนได้อย่างไร? คุณเป็นมาเฟียชัดๆ” จากนั้นครอบครัวก็พาฉันไปที่โรงพยาลบาล และผลการตรวจก็เหมือนกับก่อนหน้านี้ หลอดเลือดแดงที่ขาซ้ายของฉันแตก และหมอบอกว่าฉันควรจะมาให้เร็วกว่านี้ ว่าฉันจะอยู่ในอันตรายหากไม่ทำการผ่าตัดทันที แต่ค่าผ่าตัดนั้นมันแพงเกินไปสำหรับเรา ดังนั้นทางเลือกเดียวของฉันคือลองใช้การรักษาแบบอนุรักษ์ เราไปโรงพยาบาลต่างๆ มากมาย แต่พวกเขาบอกว่าอาการของฉันรุนแรงเกินไปที่จะยอมรับฉันเข้ารักษา ครอบครัวฉันลงเอยที่การใช้เส้นสาย แล้วก็เจอโรงพยาบาลหนึ่งที่ยอมรับฉันเข้ารักษาอย่างไม่เต็มใจนัก ต้องใช้การรักษาประมาณสองระยะ และน่าประหลาดใจที่อาการบวมที่ขาและท้องของฉัน ลดลงไปมาก และฉันสามารถยืนแล้วก็เดินช้าๆ ได้ หมอยกนิ้วให้ฉันแล้วก็บอกว่า “มันเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ ที่อาการคุณดีขึ้นเร็วขนาดนี้โดยไม่ได้ผ่าตัด” ฉันอาการดีขึ้นหลังจากรักษาตัวในโรงพยาบาลหนึ่งเดือน แต่ก็ยังมีอาการหลงเหลืออยู่บ้าง ขาซ้ายของฉันยังคงชาและเย็นเฉียบตลอดเวลา และฉันมีอาการเวียนศีรษะอยู่มาก แล้วก็มีเสียงก้องอยู่ในหัว ฟันบางซี่ของฉันโยกคลอน และฉันต้องใส่รากฟันเทียม ที่หลังส่วนล่างก็มีกระดูกแตกจำนวนมาก ฉันเลยทำงานใช้แรงไม่ได้เลย ภายนอกฉันดูปกติ แต่ที่จริง ฉันแทบจะเป็นคนพิการ
การถูกจับกุมและถูกข่มเหง ทำให้ฉันได้หยั่งรู้ถึงธรรมชาติของพรรคว่าเป็นความชั่วและต่อต้านพระเจ้า และฉันได้เห็นว่าพวกเขาทั้งหมดเป็นปีศาจที่ต่อสู้กับความยุติธรรม บูชาความชั่ว และสวาปามดวงจิตของผู้คน แต่ไม่ว่าพญานาคใหญ่สีแดงจะชั่วร้ายแค่ไหน มันก็เป็นเพียงหมากในพระหัตถ์ของพระเจ้า ที่ถูกใช้เพื่อรับใช้พระเจ้า ทั้งหมดนี้ช่วยให้ฉันได้รับความเข้าใจอย่างลึกซึ้งและการหยั่งรู้ มันยังทำให้ฉันได้รับประสบการณ์และเข้าใจกิจการอันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า ตอนที่พวกเขาทุบตีฉันอย่างโหดเหี้ยม ก็เป็นพระวจนะของพระเจ้าที่ประทานความเชื่อและพละกำลังแก่ฉัน นำฉันให้เอาชนะซาตาน และช่วยให้ฉันรอดมาได้อย่างปาฏิหาริย์ พระเจ้าประทานโอกาสครั้งที่สองในชีวิตแก่ฉัน และฉันรู้สึกขอบคุณสำหรับความรักของพระองค์เป็นอย่างมาก ฉันทนทุกข์ทางร่างกายจากการทรมานอันน่าสยดสยองจากพญานาคใหญ่สีแดง แต่ฉันไม่รู้สึกเป็นลบหรืออ่อนแอเลย—ฉันยิ่งตัดสินใจแน่วแน่ยิ่งขึ้นที่จะติดตามพระเจ้า หลังออกจากโรงพยาบาลได้สองเดือน ฉันก็ได้รับอีกหน้าที่หนึ่ง และตั้งปณิธานที่จะละทิ้งพญานาคใหญ่สีแดง และทำหน้าที่ของฉันเพื่อตอบแทนความรักของพระเจ้า
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ