เมื่อแม่ถูกจองจำ

วันที่ 20 เดือน 01 ปี 2022

โดย โจว เจี๋ย, ประเทศจีน

ฉันอายุ 15 ตอนที่ฉันกับแม่หนีจากบ้าน ฉันจำได้ว่าเราออกมากลางดึกคืนหนึ่งในปี 2002 อยู่ๆ แม่ก็กระซิบบอกฉันว่าตำรวจกำลังมาจับท่าน บอกว่าเราอยู่ที่บ้านไม่ได้ และต้องไปกันเดี๋ยวนั้น เราลนลานเก็บรวบรวมข้าวของไม่กี่อย่างและรีบออกจากบ้านค่ะ ฉันกับแม่ไม่เคยกลับไปบ้านนับแต่นั้น แม่ก็เลยไม่พาฉันไปด้วย แม่ให้ฉันไปอยู่กับญาติในขณะที่ท่านไปซ่อนตัวในอีกเมือง แม่ช่วยญาติพวกนั้นไว้เยอะค่ะ ตอนที่แม่ยังทำธุรกิจอยู่ ตอนนี้พอเราอยู่ในความเดือดร้อน พวกเขากลับห่วงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น และไม่อยากมาเกี่ยวด้วย พวกเขาไม่อยากรับฉันไว้ และถึงกับซ้ำเติมแม่ของฉัน ว่าแม่เชื่อในพระเจ้าจนไม่เหลือบ้าน หนำซ้ำยังดูแลลูกไม่ได้ พวกเขาอยากให้แม่เอาฉันไปให้พ้น ฉันโกรธมากที่พวกเขาเข้าใจแม่ของฉันผิด ทั้งหมดนี้เป็นเพราะตำรวจชัดๆ ไม่ใช่ความผิดของแม่ฉันเลย ฉันอยากออกจากที่นั่นทันทีเลยค่ะ ไม่อยากอยู่ต่ออีกสักนาที ฉันหวังว่าแม่จะกลับมารับฉันไปได้เร็วๆ ตอนแรกที่แม่จากไป มันหนักมากสำหรับฉัน ฉันเป็นทุกข์มากที่รู้สึกเหมือนไม่มีใครให้พึ่งพิงเลย ฉันมาจากครอบครัวแม่เลี้ยงเดี่ยว พ่อแม่หย่ากันตอนที่ฉันอายุเพิ่งสามขวบ ฉันกับแม่ตัวติดกันตลอด เราไม่เคยแยกจากกันค่ะ เมื่อไรก็ตามที่ฉันคิดถึงเรื่องที่แม่จะไม่สามารถดูแลฉันได้อีกต่อไป ฉันก็จะเริ่มร้องไห้ เมื่อฉันรู้สึกเศร้าและอับจนหนทาง ฉันจะอธิษฐานต่อพระเจ้า ฉันจะพูดว่า “ข้าแต่พระเจ้า! แม่ไม่สามารถดูแลข้าพระองค์ได้อีกต่อไปแล้ว โปรดทรงช่วยมอบความเข้มแข็งแก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด” หลังอธิษฐาน ฉันก็บังเอิญเจอพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่ว่า “จงอย่ากลัว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จอมทัพจะอยู่กับเจ้าอย่างแน่นอน พระองค์ทรงอยู่เบื้องหลังพวกเจ้า และพระองค์คือโล่ของเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 26)ก้าวต่อไปด้วยความกล้าหาญ เราเป็นศิลาแห่งความแข็งแกร่งของเจ้า ฉะนั้นจงวางใจในเราเถิด!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันเข้าใจแจ่มแจ้ง แม่ไม่อยู่เคียงข้างฉันอีกต่อไป แต่พระเจ้าทรงยืนอยู่ข้างหลังฉัน และฉันสามารถพึ่งพาพระองค์ได้ค่ะ แต่ฉันปล่อยให้ความทุกข์ยากนี้เอาชนะฉันไม่ได้ และฉันพึ่งพาแม่ของฉันไม่ได้อีกต่อไป ฉันต้องเรียนรู้ที่เข้มแข็ง ไม่ว่าสิ่งต่างๆ จะหนักและยากลำบากแค่ไหน ฉันก็ต้องพึ่งพาพระเจ้าและเพียรพยายาม ต่อมา ฉันไปอยู่กับครอบครัวพี่จางค่ะ ครอบครัวสามคนของพวกเขาเป็นผู้เชื่อกันหมด เราไม่เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่พวกเขาก็ยังปฏิบัติต่อฉันดีมาก ลูกสาวของพี่จางจะอ่านพระวจนะของพระเจ้าให้ฉันฟังและสามัคคีธรรมบนความจริงบ่อยๆ แม่อาจจะไม่ได้อยู่เคียงข้างฉัน แต่ฉันก็ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ฉันชอบอยู่กับพี่น้องชายหญิงของฉันจริงๆ ค่ะ

ตอนนั้นเป็นปี 2003 ค่ะ แม่กำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐในอีกเมืองหนึ่ง วันหนึ่ง แม่ส่งจดหมายมาบอกว่าแม่อยากจะพบฉัน และบอกให้ฉันรอแม่ตรงสถานที่และเวลาที่ระบุ ตอนที่ฉันได้จดหมายจากแม่ ฉันดีใจและตื่นเต้นมากจนคืนนั้นแทบนอนไม่หลับเลยค่ะ ในวันนัดพบ ฉันไปถึงจุดนัดพบของเราตรงเวลา แต่หลังจากรออยู่ชั่วโมงหนึ่ง ก็ยังไม่มีวี่แววของแม่ ฉันส่งข้อความเข้าเพจเจอร์แม่สองสามครั้ง แต่แม่ไม่ตอบกลับเลย สุดท้ายฉันก็เฝ้ารอแม่ตั้งแต่เที่ยงจนถึงสองทุ่มคืนนั้น แต่แม่ก็ไม่มา ฉันผิดหวังมากและรู้สึกเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ วันต่อมา ผู้นำของฉันแจ้งฉันว่า เมื่อวันก่อน พี่น้องชายหญิงแปดคนถูกจับในขณะที่กำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และหนึ่งในนั้นคือแม่ของฉันค่ะ เขาแนะนำให้ฉันทำลายเพจเจอร์ที่ฉันใช้ติดต่อแม่ในทันที ฉันกังวลมากตอนที่ได้ยินข่าวนี้ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ขอให้พระองค์ทรงอารักขาให้อารักขาแม่ปลอดภัย และช่วยแม่ให้ยืนหยัดเป็นพยานค่ะ ช่วงระหว่างเวลานั้น ฉันนึกถึงแม่ทีไร ฉันก็อดร้องไห้ไม่ได้ ฉันกังวลบ่อยๆ ว่าแม่จะถูกซ้อมหรือทรมาน ในคุกแม่ต้องเป็นทุกข์มากแน่ แม่จะได้รับการปล่อยตัวเมื่อไหร่? ฉันกังวลมากเกินไป จนวันหนึ่ง จู่ๆ ฉันก็เป็นลมหมดสติไปเลยค่ะ พอท้ายที่สุดฉันได้สติขึ้นมา ฉันก็อาศัยกำแพงพยุงตัว เดินกะปลกกะเปลี้ยกลับมาที่ห้อง แล้วก็นอนร้องไห้อยู่บนเตียง พลางคิดว่าตัวฉันโดดเดี่ยวและขาดที่พึ่งแค่ไหน ในชั่วโมงที่ฉันทุกข์ใจที่สุด พระเจ้านั่นเองที่ทรงนำฉันให้ผ่านพ้นมาได้ ฉันนึกถึงบทเพลงสรรเสริญขึ้นมา ที่ว่า “ในการถลุงข้าพระองค์ พระองค์เจ็บปวดแทนข้าพระองค์ พระวจนะของพระองค์จัดเตรียมสิ่งที่ข้าพระองค์ขาดพร่อง เมื่อข้าพระองค์เศร้า พระวจนะเหล่านั้นนำความชูใจมาให้ข้าพระองค์…” (“ความรักของพระเจ้าได้หลอมละลายหัวใจของฉัน” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) ฉันเห็นชัดเจนว่านี่คือการทรงนำของพระเจ้า ฉันตระหนักทันทีว่าฉันไม่ได้อยู่ลำพัง พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับฉัน เนื่องจากการข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง แม่จึงไม่สามารถอยู่กับฉันได้ แม่ไม่สามารถดูแลและชูใจฉันได้ แต่พระเจ้าทรงไม่ไปจากข้างกายฉันค่ะ ในชั่วโมงที่มืดมิดที่สุดของฉัน พระเจ้าทรงอยู่ที่นั่นเพื่อชูใจฉัน ฉันรู้สึกว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้มาก และตระหนักว่าพระองค์คือองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ฉันพึ่งพาได้จริงค่ะ ฉันคิดในใจว่า “ถ้าพระเจ้าทรงนำฉันแบบนี้ได้ ฉันแน่ใจว่าพระองค์ย่อมทรงช่วยแม่ผ่านความยากลำบากได้เช่นกัน” พอฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็โล่งใจขึ้นเล็กน้อย และรู้สึกกังวลน้อยลงและปล่อยวางกับสถานการณ์ของแม่ค่ะ ต่อมา ฉันได้เจอแม่ แม่อยู่ในคุกสี่เดือนและได้ออกมาก็ต่อเมื่อได้ใช้เส้นสายประกันการปล่อยตัวเท่านั้นเอง พอเราเจอกัน แม่ก็ห่วงใยฉันมากและให้คำแนะนำฉันมากมาย เราสามัคคีธรรมและให้กำลังใจกันและกัน และเราตกลงกันว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราจะติดตามพระเจ้าและทำหน้าที่ของเราให้ลุล่วงเสมอค่ะ

ฉันจำได้ว่าเป็นเดือนกันยายนและแม่ของฉันก็ยังกำลังเผยแผ่ข่าวประเสริฐในต่างเมือง ฉันได้ยินว่าพี่สาวคนหนึ่งซึ่งมีหน้าที่สำคัญถูกจับ และหลายคนที่เคยติดต่อกับเธอก็อยู่ในอันตรายและต้องเปลี่ยนที่อยู่ ฉันคิดกับตัวเองว่า พี่สาวคนนี้เป็นใครนะ? แล้วผู้นำของฉันก็มาบอกฉัน ว่าฉันจำเป็นต้องทำลายซิมการ์ดของฉันที่ใช้ติดต่อกับแม่ ฉันตระหนักได้ทันทีว่าคนที่ถูกจับคือแม่ของฉันเอง ฉันรู้ว่าครั้งนี้แม่ถูกจับเพราะจัดพิมพ์หนังสือพระวจนะของพระเจ้า และอาจจะถูกซ้อมและทรมานอย่างโหดเหี้ยมค่ะ สองสามวันจากนั้นฉันกังวลมากจนตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ได้รู้ว่า พี่น้องชายหญิงมากกว่า 20 คนได้ถูกจับไปแล้ว และพวกเขาทั้งหมดก็ถูกทรมาน เมื่อฉันได้ยินเรื่องนี้ ฉันก็ยิ่งกังวลมากขึ้น ตอนนั้นแม่ของฉันโดนทรมานหรือเปล่านะ? แม่ยังอยู่หรือตายแล้ว? แม่ของฉันตกอยู่ในอันตรายสาหัส ฉันได้แต่กังวลและตื่นตระหนก ฉันทำอะไรให้แม่ไม่ได้เลยค่ะ ฉันรู้สึกแย่มาก ฉันอดไม่ได้ที่จะคิดว่า ถ้าเพียงแต่แม่ของฉันไม่ได้รับหน้าที่อันตรายแบบนี้ แม่อาจจะไม่ถูกจับและทรมานก็ได้ การเชื่อในพระเจ้าในประเทศจีนมันหนักหนาละอันตรายมาก ในช่วงเวลานั้น ฉันอ่อนแอมาก ฉันฟุ้งซ่านและหลงทางและไม่รู้สึกอยากทำอะไรเลย ฉันไม่มีเรี่ยวแรงและขาดแรงจูงใจในการปฏิบัติหน้าที่ ทุกวัน ทั้งหมดที่ฉันทำคืออธิษฐานต่อพระเจ้าและขอให้พระองค์ทรงอารักขาอารักขาแม่ของฉันค่ะ

วันหนึ่ง ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “เมื่อโยบสูญเสียปศุสัตว์ของเขาซึ่งเต็มภูเขาทั้งหลายและความมั่งคั่งมากมายเกินบรรยาย และร่างกายของเขาได้กลายเป็นถูกปกคลุมไปด้วยฝีที่เจ็บปวด มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา เมื่อเขาสามารถได้ยินเสียงของเรา พระยาห์เวห์ และเห็นสง่าราศีของเรา พระยาห์เวห์ มันเป็นเพราะความเชื่อของเขา การที่เปโตรสามารถติดตามพระเยซูคริสต์ได้ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขา การที่เขาสามารถถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อเห็นแก่เราและมอบคำพยานอันรุ่งโรจน์ก็เป็นเพราะความเชื่อของเขาเช่นกัน…ผู้คนได้รับมากมายเพราะความเชื่อของพวกเขา และนั่นไม่ใช่พรเสมอไป พวกเขาอาจไม่ได้รับความสุขและความชื่นบานยินดีแบบที่ดาวิดรู้สึก หรือมีน้ำที่พระยาห์เวห์ประทานให้เหมือนกับที่โมเสสได้รับ ตัวอย่างเช่น โยบได้รับพรจากพระยาห์เวห์เพราะความเชื่อของเขา แต่เขายังทนทุกข์กับความวิบัติด้วยเช่นกัน ไม่ว่าพวกเจ้าจะได้รับพรหรือทนทุกข์กับความวิบัติ ทั้งสองต่างก็เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านการอวยพรทั้งนั้น หากปราศจากความเชื่อ เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะรับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้ แล้วนับประสาอะไรกับการจะได้มองเห็นกิจการของพระยาห์เวห์ที่แสดงอยู่ต่อหน้าต่อตาเจ้าในวันนี้ เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะมองเห็น แล้วนับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะสามารถได้รับ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)) ฉันคิดว่า “ใช่แล้ว ทั้งหมดอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าไม่ว่าเราจะได้รับการทรงอวยพรหรือทนทุกข์กับความวิบัติ ความทุกข์ยากและบททดสอบที่เราก้าวผ่านในความเชื่อของเรา เป็นทางของพระเจ้าในการยกย่องและทดสอบเรา” เหมือนโยบไม่มีผิด ซาตานพนันกับพระเจ้าว่ามันทดลองโยบได้ ด้วยการทำให้เขาสูญเสียลูกๆ และปศุสัตว์ ทำให้ร่างกายของเขาเน่าเหม็นไปด้วยฝีหนองและแผลร้าย เพื่อที่เขาจะไม่ยอมรับและทอดทิ้งพระเจ้า พระเจ้ายังใช้ความทุกข์ยากสาหัสนี้เพื่อทดสอบโยบและทำให้ความเชื่อของเขาเพียบพร้อมด้วยค่ะ ไม่เพียงโยบไม่ติเตียนพระเจ้าเท่านั้น เขายังสรรเสริญพระเจ้าและกล่าวด้วยว่า “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10) “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) โยบยืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระเจ้า และได้รับการชมเชยจากพระองค์ และเขาถึงกับได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าในพายุหมุน ผลก็คือ เขาได้รับความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้ายิ่งขึ้นไปอีก และนี่เป็นการทรงอวยพรที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นจากพระองค์ค่ะ ฉันคิดว่าภายนอก ดูเหมือนโชคร้ายที่แม่ของฉันถูก ทำร้ายโดยพญานาคใหญ่สีแดง แต่ที่จริงแล้วพระเจ้ากำลังทรงใช้สิ่งนี้เพื่อทดสอบเราและทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม นี่คือการทรงยกย่องของพระเจ้าค่ะ ฉันตระหนักทันทีว่าซาตานกำลังเฝ้าดูฉัน และพระเจ้ากำลังทรงรอให้ฉันบอกจุดยืนให้รู้ ทั้งสองกำลังรอดูว่าฉันจะสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า ไม่ยอมรับและทรยศพระองค์เพราะแม่ของฉันถูกจับหรือเปล่า เมื่อฉันตระหนักถึงเรื่องนี้ ฉันก็ตั้งใจจะยืนอยู่ข้างพระเจ้า ไม่ติเตียนพระองค์หรือทรยศพระองค์ และทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงเพื่อทำให้พระองค์พึงพอพระทัยค่ะ พอฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็เลิกกังวลและเป็นห่วงแม่ และเต็มใจนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้าค่ะ

แม่ถูกตัดสินโทษให้รับการศึกษาใหม่ผ่านการใช้แรงงานนานสองปีค่ะ ฉันตกตะลึงตอนที่รู้เข้า สองปีมันนานมากนะคะ ภาวะการใช้ชีวิตและอาหารในคุกแย่มากและคุณต้องทำงานทุกวัน แม่ของฉันจะผ่านภาวะราวขุมนรกและการทำทารุณอันโหดเหี้ยมพวกนั้นยังไง? แม่อายุเกิน 50 ปีแล้ว ร่างกายของแม่จะรับมือกับ การทรมานนี่มากไปกว่านี้ได้จริงๆ เหรอ? วันหนึ่ง ฉันเห็นพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งที่กล่าวว่า “นับแต่ชั่วขณะที่เจ้าเข้ามาในโลกนี้พร้อมกับเสียงร้องจ้า เจ้าก็เริ่มทำหน้าที่ของตนให้ลุล่วง เจ้าแสดงไปตามบทบาทของเจ้าและเริ่มการเดินทางของชีวิตของเจ้า เพื่อแผนของพระเจ้าและเพื่อการทรงลิขิตของพระองค์ ไม่ว่าเจ้าจะมีภูมิหลังอย่างไร และการเดินทางข้างหน้าของเจ้าจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครสามารถหลีกหนีการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของฟ้าได้ และไม่มีใครควบคุมชะตาลิขิตของตนเองได้ เพราะมีเพียงพระองค์ผู้ทรงปกครองเหนือทุกสรรพสิ่งเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนั้นได้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันเข้าใจ ว่าแต่ละคนมีบทบาทและจุดประสงค์ในชีวิตของพวกเขา และครรลองที่ชีวิตของคุณจะดำเนินไปนั้น พระเจ้าทรงลิขิตไว้นานแล้วค่ะ แม่ของฉันมีบทบาทที่ต้องแสดงและภารกิจที่ต้องทำให้เสร็จสิ้น สองปีในคุกเป็นเวลาที่นาน แต่นี่เป็นบางสิ่งที่แม่ต้องผ่าน ร่างกายของแม่จะเป็นเช่นไรและแม่จะก้าวผ่านความทุกข์มากเพียงใดนั้นขึ้นอยู่กับพระเจ้า พระเจ้าทรงอนุญาตแม่ของฉันให้ถูกทำร้ายโดยพญานาคใหญ่สีแดงและถูกจับขังคุก เพื่อที่จะทดสอบเธอ พระเจ้ากำลังทรงมอบโอกาสให้แม่ยืนหยัดเป็นพยานแด่พระองค์ ฉันควรรู้สึกภูมิใจค่ะ ฉันมีบทเรียนให้เรียนรู้จากสถานการณ์นี้ด้วย ฉันจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีที่จะไม่ร้องทุกข์และติเตียนพระเจ้าเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก และจะนบนอบและทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงยังไง หลังจากฉันเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า บอกพระองค์ว่าแม่ของฉันอยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ ขอพระองค์ทรงอารักขาแม่ในคุกเพื่อให้แม่ยืนหยัดเป็นพยานได้

หนึ่งปีครึ่งต่อมา ฉันได้ยินว่าแม่ของฉันได้ออกจากคุกเร็วกว่ากำหนด ฉันจึงติดต่อแม่ไป เพื่อเลี่ยงการติดตามสอดส่องของพวกตำรวจ เราตัดสินใจพบกันที่สถานอบซาวน่า วันนั้น ฉันไปถึงล่วงหน้าชั่วโมงหนึ่ง หัวใจของฉันเต้นแรงด้วยความคาดหวัง ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้เจอแม่ค่ะ ฉันเฝ้ามองประตูทางเข้าไม่วางตา และแล้วฉันก็มองผ่านหน้าต่างไปเห็นหญิงวัยกลางคนตัวซูบผอมคนหนึ่ง พอเธอเข้ามา เธอก็บอกพนักงานว่าลูกสาวกำลังรอเธออยู่ข้างใน พอฉันได้ยินเธอพูด ฉันคิดว่า “นั่นเสียงแม่ของฉันไม่ใช่หรือ?” ฉันใช้เวลาเป็นอึดใจกว่าจะตระหนัก ถ้าแม่ไม่พูด ฉันก็คงจำแม่ไม่ได้เลยค่ะ แม่เคยมีท่วงท่าที่ตั้งตรง ร่างสูงและสง่างาม แต่แม่น้ำหนักลดลงมากมาย และดูหลังโกงมากขึ้น แม่ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลยค่ะ ฉันวิ่งไปหาแม่พลางตะโกนว่า “แม่!” แม่หันมาหาฉัน และใบหน้าของแม่ซูบตอบมากจนฉันจำไม่ได้เลยค่ะ ผิวของแม่ซีดเซียวและดูผอมบางทรุดโทรม ดวงตาของแม่ดูหมองคล้ำ เหมือนคนที่ถูกกระตุ้นให้ตื่นกลัวมาหนักมาก ฉันแทบใจสลายพอเห็นแม่เป็นแบบนั้น ฉันจินตนาการไม่ออกเลยค่ะว่าแม่ผ่านอะไรมาบ้างในคุก ฉันทนไม่ได้ที่จะคิดเรื่องนี้ ฉันเริ่มมีน้ำตาคลอ แม่นั่งอยู่ข้างๆ ฉัน บีบมือฉันแน่น และถามฉันว่าช่วงปีที่ผ่านมาฉันเป็นยังไงบ้าง แม่พูดว่าระหว่างที่แม่อยู่ในคุก แม่กังวลเรื่องฉันที่สุดและอธิษฐานให้ฉันบ่อยๆ แม่กลัวว่าฉันจะไม่สามารถรับมือความบอบช้ำทางใจได้และจะตีจากพระเจ้า พอแม่ได้ยินว่าฉันยังเชื่อในพระเจ้าและกำลังทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วง แม่ก็ดีใจมาก ตอนที่เราอยู่ในห้องแต่งตัวกัน ฉันปวดใจแทนแม่เมื่อเห็นว่าแม่ผอมเหลือแต่กระดูกแค่ไหน พอแม่หันมา ฉันก็เห็นว่ามีแผลเป็นบนกระดูกไหปลาร้าด้านซ้ายของแม่ แผลเป็นสีดำและกระดูกก็บุ๋มลงตรงกลางราวกับว่ามันเคยหักมาก่อน ฉันทนเห็นแม่เป็นแบบนั้นไม่ได้เลยค่ะ ฉันกล้ำกลืนน้ำตาลงไปแล้วถามแม่ว่า “แม่ได้แผลเป็นนี้มายังไงคะ? พวกตำรวจซ้อมแม่หรือเปล่า? มันยังเจ็บอยู่มั้ย?” แม่ของฉันกลัวว่าฉันจะกังวล แม่ก็เลยพูดว่ามันไม่เป็นไรและหายดีแล้ว จนหลายปีหลังจากนั้นนั่นเอง ฉันจึงได้รู้ว่าแม่ถูกทรมานอย่างโหดเหี้ยมหลังจากถูกจับ และเจ้าหน้าที่คนหนึ่งซึ่งถูกฝึกมาอย่างมืออาชีพชกแม่ที่หัวไหล่ถึง 30 ครั้ง ทำให้กระดูกหลายชิ้นหักและแตกร้าว จนหัวไหล่ของแม่หลุด และทำให้กระดูกสันหลังเคลื่อนหลายที่ค่ะ โชคดีที่ด้วยการทรงคุ้มภัยของพระเจ้า แม่ฟื้นตัวเต็มที่อย่างปาฏิหาริย์ และกระดูกทุกชิ้นที่หักก็หายดีเป็นปลิดทิ้ง แม้แต่พวกหมอประจำเรือนจำก็ยังประหลาดใจที่แม่หายเร็วแค่ไหนค่ะ

ไม่นานหลังจากนั้น เราต้องแยกจากกัน เพราะแม่ของฉันเพิ่งได้รับการปล่อยตัว ดังนั้นตำรวจจึงอาจจะยังคอยสอดส่องดูแม่ เพื่อความปลอดภัยของฉันเอง เราต้องแยกกันนานขึ้นอีกหน่อย ตอนนั้นมันยากเย็นสำหรับฉันมากค่ะ ฉันอยากอยู่เคียงข้าง คอยช่วยดูแลแม่ แต่เพราะการข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง ฉันจึงไม่สามารถแม้แต่จะลุล่วงความรับผิดชอบในฐานะลูกสาวได้ ฉันรู้สึกแย่มากค่ะ ระหว่างทางกลับบ้าน ภาพร่างกายที่เปราะบางกับแผลเป็นบนไหปลาร้าของแม่ วนเวียนอยู่ในหัวของฉันซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ละครั้งที่ภาพแว่บขึ้นมานำความทรมานรอบใหม่มาด้วย ฉันนึกภาพไม่ออกเลยว่าเจ้าหน้าที่พวกนั้นทรมานและกระทำโหดเหี้ยมกับแม่ยังไง ฉันเดือดดาลมาก พญานาคใหญ่สีแดงเลวทรามและชั่วมากค่ะ! พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งผุดขึ้นในใจ “เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ข้ารับใช้พวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันหยามเหยียดพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) ฉันเห็นชัดถึงแก่นแท้ปีศาจของพญานาคใหญ่สีแดง ที่โหดร้ายและต้านทานพระเจ้า เจ้าหน้าที่พวกนี้โจมตี หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งอย่างโหดเหี้ยมแค่เพราะเธอเชื่อในพระเจ้า ไม่สนใจว่าเธอจะอยู่หรือตาย นี่ทำให้ฉันโกรธมากค่ะ พระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ ดังนั้นแน่นอนว่าเราควรเชื่อและนมัสการพระเจ้า แต่พญานาคใหญ่สีแดงทำทรมานโหดเหี้ยมกับผู้คนอย่างไม่มีอะไรมาหยุดยั้ง เพื่อที่พวกเขาจะปฏิเสธและทรยศพระเจ้า พวกมันน่าดูหมิ่น ชั่ว และโหดร้ายมาก! ฉันเคยคิดว่าพวกข้าราชการและเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นคนดีกันทั้งนั้น แต่หลังจากถูกพญานาคใหญ่สีแดงข่มเหงเท่านั้นเองฉันจึงตระหนัก ว่าคำอ้างของพวกมันที่ว่าพลเมืองมีสิทธิตามกฎหมายและอิสรภาพทางศาสนา ทั้งหมดเป็นแค่เพียงการหลอกลวงและคำโกหก พวกมันจับกุม ข่มเหง ทรมาน และทุบตีบรรดาผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่ง และกระเหี้ยนกระหือรือที่จะฆ่าพวกเขาให้หมด พวกมันไม่ใช่อะไรนอกจากฝูงปีศาจที่ต้านทานพระเจ้า ฉันเกลียดพวกมันจากก้นบึ้งของหัวใจเลยค่ะ ฉันต้องการมอบหัวใจให้พระเจ้า ติดตามพระองค์และทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงค่ะ

ในปี 2013 แม่ของฉันก็ถูกจับอีกครั้งค่ะ ตอนแรกฉันกังวลมากพอดู ฉันคิดว่า “แม่จะถูกทรมานอีกไหมนะ? แม่จะถูกตัดสินจำคุกมั้ย? ร่างกายของแม่จะทนรับโทษจำคุกอีกครั้งได้จริงๆ หรือ?” ขณะที่ฉันคิดเรื่องนี้ ทันใดนั้นฉันก็ตระหนัก ว่าแม่ของฉันถูกจับด้วยการทรงอนุญาตของพระเจ้า ฉันควรนบนอบและแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าค่ะ ฉันนึกถึงพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกล่าวว่า “พวกเจ้าเคยยอมรับพรทั้งหลายที่พวกเจ้าได้รับหรือไม่? พวกเจ้าเคยแสวงหาสัญญาทั้งหลายที่ทำไว้ให้แก่พวกเจ้าหรือไม่? ภายใต้การนำแห่งความสว่างของเรา พวกเจ้าจะฝ่าพ้นอำนาจกดขี่แห่งกำลังบังคับของความมืดอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะไม่สูญเสียความสว่างที่นำทางพวกเจ้าในท่ามกลางความมืดอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นนายแห่งสิ่งสร้างทั้งปวงอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะเป็นผู้ชนะต่อหน้าซาตานอย่างแน่นอน เมื่อราชอาณาจักรของพญานาคใหญ่สีแดงล่มสลาย พวกเจ้าจะยืนหยัดท่ามกลางฝูงชนมากมายนับไม่ถ้วนเพื่อเป็นพยานให้แก่ชัยชนะของเราอย่างแน่นอน พวกเจ้าจะตั้งมั่นและไม่หวั่นไหวอย่างแน่นอนในแผ่นดินแห่งซีนิม พวกเจ้าจะสืบทอดพรของเราโดยผ่านทางความทุกข์ที่พวกเจ้าทนฝ่า และจะฉายสง่าราศีของเราไปทั่วทั้งจักรวาลอย่างแน่นอน(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 19) พระวจนะของพระเจ้าช่วยให้ฉันตระหนักว่า แม่ของฉันถูกจับครั้งนี้ด้วยการทรงอนุญาตของพระเจ้า พระเจ้าทรงใช้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดง มอบความจริง และทำให้ความเชื่อของเราเพียบพร้อม และอนุญาตให้เรายืนหยัดเป็นพยานให้แก่พระองค์ค่ะ ฉันยังได้ยินพี่น้องชายหญิงสามัคคีธรรม เกี่ยวกับบรรดาผู้เชื่อที่ได้ถูกจับหลายครั้งด้วย จนพวกเขาไม่ถูกอิทธิพลมืดของซาตานบีบบังคับอีกต่อไปเมื่อถึงคราวเผชิญกับการจำคุกโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่ว่าถูกจับกี่ครั้ง พวกเขาก็ยังเชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่จนลุล่วงเมื่อถูกปล่อยตัว และรู้สึกได้รับการปลดเปลื้องและเป็นอิสระ นี่คือความรอดของพระเจ้าค่ะ พอเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นมาก ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าให้แม่ ขอพระองค์ทรงช่วยให้แม่ไม่กลัวอิทธิพลของพญานาคใหญ่สีแดง และเป็นพยานที่ดังกึกก้องแด่พระองค์ ฉันไม่รู้ว่าครั้งนี้ฉันจะแยกจากแม่นานแค่ไหน แต่ฉันรู้สึกสงบสุขในหัวใจ หลังจากนั้นไม่นาน ฉันก็ทุ่มเทให้กับการทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงค่ะ

ต่อมา แม่บอกฉันว่า ตอนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูแฟ้มของแม่เพื่อตรวจสอบการกระทำผิดในอดีต ก็ไม่มีอะไรในบันทึกเลยอย่างน่าอัศจรรย์ แม่พูดว่าในการถูกจับสองครั้งก่อน แม่จะได้รับประสบการณ์กับตัวเองเลยว่า พระเจ้าทรงนำแม่ผ่านความยากลำบากและทรงพระราชกิจอันเปี่ยมปาฏิหาริย์ยังไง แม่ยังได้เข้าใจดีขึ้นถึงพระอธิปไตยอันทรงมหิทธิฤทธิ์ และความเชื่อในพระเจ้าของแม่ก็แข็งแกร่งขึ้นค่ะ เมื่อเจ้าหน้าที่นั่นถามแม่ว่าพวกเขาเผยแผ่ข่าวประเสริฐยังไง แม่ของฉันก็เป็นพยานให้แก่พระราชกิจของพระเจ้าอย่างเปิดเผย ฉันได้เห็นโดยผ่านทางประสบการณ์ของแม่ว่า พระเจ้าทรงพระปัญญาแค่ไหน พระองค์ทรงใช้การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงมอบความกล้า ปัญญา และความเชื่อให้เรา เพื่อปรับปรุงวิจารณญาณของเรา เพื่อให้เรามองเห็นแก่นแท้ปีศาจของพญานาคใหญ่สีแดงและดูหมิ่นและทิ้งมันได้สิ้นเชิง พญานาคใหญ่สีแดงเป็นเพียงเบี้ยในพระหัตถ์ของพระเจ้า มันใช้ทุกวิธีการที่จะรบกวนและทำให้พระราชกิจหลุดออกนอกทาง แต่ความพยายามของมันก็แค่มีส่วนร่วมทำให้ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรมีความเพียบพร้อมเท่านั้นเอง ก็แค่เขียนเสือให้วัวกลัวค่ะ! ฉันได้ประจักษ์ความทรงมหิทธิฤทธิ์และพระปัญญาจนรู้สึกมั่นใจยิ่งขึ้นที่จะติดตามพระเจ้าและรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าค่ะ นี่ทำให้ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าซึ่งกล่าวว่า “เมื่อเราเริ่มงานของเราอย่างเป็นทางการ ผู้คนทั้งหมดก็ขยับเช่นที่เราขยับ จนกระทั่งผู้คนทั่วทั้งจักรวาลยึดครองตัวพวกเขาเองในจังหวะร่วมกับเรา โดยมี ‘ความยินดีปรีดา’ ทั่วจักรวาล และมนุษย์ถูกกระตุ้นไปข้างหน้าโดยเรา ด้วยเหตุนี้ พญานาคใหญ่สีแดงเองถูกเราหวดเข้าสู่สภาวะแห่งความบ้าคลั่งและความงุนงงที่สุด และมันรับใช้งานของเรา และแม้จะไม่เต็มใจ มันก็ไร้ความสามารถที่จะทำตามความอยากมีอยากได้ของมันเองได้ แต่ถูกทิ้งให้ไม่มีทางเลือกนอกจากนบนอบต่อการควบคุมของเรา ในแผนการของเราทั้งหมด พญานาคใหญ่สีแดงคือตัวประกอบเสริมความเด่นของเรา ศัตรูของเราและผู้ปรนนิบัติของเราอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจึงไม่เคยได้ผ่อนคลาย ‘ข้อพึงประสงค์’ ของเราต่อมัน เพราะฉะนั้น ช่วงระยะสุดท้ายของงานแห่งการมาเกิดเป็นมนุษย์ของเราจึงเสร็จสิ้นลงในบ้านของมัน ในหนทางนี้ พญานาคใหญ่สีแดงจะสามารถทำการปรนนิบัติเราได้อย่างเหมาะสมมากขึ้น ซึ่งเราจะพิชิตมันและทำให้แผนการของเราครบบริบูรณ์โดยผ่านทางนี้(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล บทที่ 29)

การข่มเหงของพญานาคใหญ่สีแดงอาจจะได้ทำให้ฉันเป็นทุกข์มากกว่าเด็กคนอื่นๆ แต่แม้จะมีความยากลำบากและชั่วขณะที่อ่อนแอ ฉันก็มีความแข็งแกร่งขึ้น ประสบการณ์เหล่านี้มีคุณค่ามากสำหรับฉันมาก พวกมันช่วยให้ความเชื่อมั่นอย่างลึกซึ้งแก่ฉันว่า พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงอยู่ตรงนั้นเสมอเพื่อช่วยและให้การเกื้อสนุนที่แท้จริงแก่ฉันค่ะ ตราบใดที่เราไม่สูญเสียความเชื่อในพระเจ้า พระองค์ทรงนำเราผ่านความยากลำบากและเราสามารถรู้เห็นพระราชกิจของพระองค์ได้ ฉันเต็มใจจะจะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อติดตามพระองค์อย่างมั่นคง ทำหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงและตอบแทนความรักของพระองค์ค่ะ!

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ยี่สิบวันแห่งความทุกข์ทรมาน

โดย เย่หลิน, ประเทศจีนราวสี่โมงเย็นวันหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 2002 ขณะที่ผมยืนโทรศัพท์อยู่ริมถนน จู่ๆ ผมก็ถูกกระชากผมและแขนจากด้านหลัง...

ประสบการณ์พิเศษในวัยเยาว์

โดย เจิ้งซิน, ประเทศจีนในค.ศ. 2002 ตอนผมอายุ 18 ปี ผมได้ยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ....

ติดต่อเราผ่าน Messenger