การปฏิบัติ (5)
ระหว่างยุคพระคุณ พระเยซูดำรัสพระวจนะบางคำและทรงพระราชกิจช่วงระยะหนึ่ง พระวจนะทั้งหมดมีบริบท และล้วนถูกต้องเหมาะสมกับสภาวะของผู้คนในเวลานั้น พระเยซูได้ตรัสและทรงพระราชกิจอย่างเหมาะสมกับบริบทของเวลานั้น พระองค์ตรัสคำเผยพระวจนะบางอย่างเช่นกัน พระองค์เผยพระวจนะว่าพระวิญญาณแห่งความจริงจะเสด็จมาในระหว่างยุคสุดท้ายและจะปฏิบัติพระราชกิจช่วงระยะหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าพระองค์ไม่ได้เข้าพระทัยสิ่งใดที่อยู่นอกเหนือพระราชกิจที่พระองค์ต้องทำด้วยพระองค์เองในยุคนั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์นำมานั้นมีขีดจำกัด ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงพระราชกิจของยุคที่พระองค์ทรงดำรงอยู่เท่านั้นและไม่ทรงพระราชกิจอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระองค์ ในเวลานั้น พระเยซูไม่ได้ทรงพระราชกิจตามความรู้สึกหรือนิมิต แต่ตามที่เหมาะสมกับกาลเวลาและบริบท ไม่มีผู้ใดนำทางหรือชี้แนะพระองค์ พระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์คือการดำรงอยู่ของพระองค์เอง—เป็นพระราชกิจที่ควรดำเนินการโดยพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ซึ่งเป็นพระราชกิจทั้งหมดที่เริ่มขึ้นโดยการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเยซูทรงพระราชกิจตามสิ่งที่พระองค์ทอดพระเนตรเห็นและสดับฟังเท่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระวิญญาณทรงพระราชกิจโดยตรง ไม่จำเป็นต้องมีบรรดาผู้สื่อสารมาปรากฏต่อพระองค์และหยิบยื่นความฝันให้พระองค์ และไม่จำเป็นต้องมีความสว่างอันยิ่งใหญ่ฉายมาที่พระองค์และเปิดโอกาสให้พระองค์ทอดพระเนตรเห็น พระองค์ทรงพระราชกิจอย่างเป็นอิสระโดยไม่ต้องฝืนพระองค์เอง ซึ่งเป็นเพราะพระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจ พระองค์ไม่ได้ควานหาและคาดเดา แต่ทรงทำให้สิ่งต่างๆ สำเร็จลุล่วงอย่างง่ายดาย โดยทรงพระราชกิจและตรัสตามแนวคิดของพระองค์เอง และตามสิ่งที่พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นด้วยพระองค์เอง ทรงจัดเตรียมเสบียงบำรุงเลี้ยงให้แก่สาวกแต่ละคนที่ติดตามพระองค์โดยตรง นี่คือความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าและงานของผู้คน กล่าวคือ เมื่อผู้คนทำงาน พวกเขาแสวงหาและควานหาไปรอบๆ เลียนแบบและตรึกตรองอยู่ตลอดเวลาตามรากฐานที่ผู้อื่นวางไว้เพื่อสัมฤทธิ์การเข้าสู่ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ส่วนพระราชกิจของพระเจ้าคือการจัดเตรียมให้ในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และพระองค์ทรงพระราชกิจที่พระองค์ควรทำด้วยพระองค์เอง พระองค์ไม่ทรงจัดเตรียมเสบียงบำรุงเลี้ยงให้แก่คริสตจักรโดยใช้ความรู้ที่ได้จากผลงานของมนุษย์คนใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับทรงพระราชกิจในปัจจุบันตามสภาวะของผู้คน ด้วยเหตุนี้ การทรงพระราชกิจในหนทางนี้จึงเป็นอิสระกว่างานที่ผู้คนทำหลายพันเท่า สำหรับผู้คนแล้ว อาจดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงทำหน้าที่และพระราชกิจของพระองค์ตามพระทัยของพระองค์ด้วยซ้ำ—แต่พระราชกิจที่พระองค์ทำนั้นใหม่ทั้งสิ้น กระนั้นก็ตาม เจ้าควรรู้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ไม่เคยอยู่บนพื้นฐานของความรู้สึก ในเวลานั้น หลังจากที่พระเยซูได้ทรงพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนของพระองค์เสร็จสมบูรณ์แล้ว เมื่อบรรดาสาวกที่ได้ติดตามพระเยซูมีประสบการณ์จนถึงจุดหนึ่ง พวกเขาก็รู้สึกว่าวันของพระเจ้ากำลังใกล้เข้ามาแล้ว และรู้สึกว่าพวกเขาจะได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในอีกไม่ช้า นั่นเป็นความรู้สึกที่พวกเขามี และสำหรับพวกเขา ความรู้สึกนี้มีความสำคัญอย่างที่สุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ความรู้สึกต่างๆ ภายในตัวผู้คนนั้นเชื่อถือไม่ได้ พวกเขารู้สึกว่าบางทีพวกเขาอาจกำลังจะไปถึงสุดทางถนน หรือรู้สึกว่าทั้งหมดที่พวกเขาได้ทำและได้ทนทุกข์นั้นถูกพระเจ้าลิขิตเอาไว้ เปาโลยังพูดอีกด้วยว่าเขาได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน เขาได้ต่อสู้แล้ว และมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของเขา เขารู้สึกเช่นนั้น และเขาได้เขียนเรื่องนี้ไว้ในจดหมายฝากและส่งจดหมายเหล่านั้นไปยังคริสตจักรทั้งหลาย การกระทำเช่นนั้นเกิดจากภาระที่เขาแบกรับให้กับคริสตจักรทั้งหลาย และด้วยเหตุนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่สนพระทัย เมื่อเปาโลเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้น เขาไม่ได้มีสำนึกรับรู้ถึงความไม่สบายใจ และเขาก็ไม่ได้รู้สึกถึงความเสื่อมเสียใดๆ และดังนั้นเขาจึงเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นปกติธรรมดามากและถูกต้องทีเดียว และเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เมื่อมองดูจากสมัยนี้ สิ่งต่างๆ เหล่านั้นไม่ได้มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เลย สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงภาพลวงตาของมนุษย์คนหนึ่ง มีภาพลวงตามากมายภายในตัวมนุษย์ และพระเจ้าไม่สนพระทัยภาพลวงตาเหล่านั้นหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ เมื่อมีภาพลวงตาเหล่านั้นเกิดขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงพระราชกิจส่วนใหญ่ผ่านทางความรู้สึกของผู้คน—พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงพระราชกิจภายในความรู้สึกของผู้คน นอกจากช่วงเวลาที่ยากลำบากและมืดมนก่อนที่พระเจ้าจะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ หรือช่วงเวลาที่ไม่มีอัครทูตหรือคนทำงาน ระหว่างช่วงระยะนั้นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความรู้สึกพิเศษบางอย่างแก่ผู้คน ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนไร้ซึ่งการทรงนำแห่งพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็มีสำนึกรับรู้ถึงความสุขอันสุดจะพรรณนาได้ในยามที่พวกเขาอธิษฐาน พวกเขารู้สึกถึงความชื่นชมยินดีในหัวใจของพวกเขา และพวกเขามีสันติสุขและสบายใจ เมื่อพวกเขามีการทรงนำของพระวจนะแล้ว ผู้คนรู้สึกสดใสขึ้นในวิญญาณของพวกเขา พวกเขามีเส้นทางปฏิบัติในการกระทำของพวกเขา และเป็นธรรมดาที่พวกเขาจะมีความรู้สึกที่เปี่ยมสันติสุขและยังสบายใจอีกด้วย เมื่อผู้คนเผชิญอันตราย หรือเมื่อพระเจ้าทรงห้ามพวกเขาทำบางสิ่งบางอย่าง พวกเขารู้สึกกระสับกระส่ายและไม่สบายใจอยู่ในหัวใจของพวกเขา เหล่านี้คือความรู้สึกที่มนุษย์ได้รับจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งสิ้น อย่างไรก็ดี หากสภาพแวดล้อมอันไม่เป็นมิตรก่อให้เกิดบรรยากาศของความกลัว ทำให้ผู้คนกลายเป็นวิตกกังวลและขลาดกลัวเป็นพิเศษ นั่นก็คือการแสดงออกตามปกติของสภาวะความเป็นมนุษย์และไม่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ผู้คนใช้ชีวิตท่ามกลางความรู้สึกของพวกเขาเองตลอดเวลา และได้ทำเช่นนี้มานานปี เมื่อพวกเขามีสันติสุขภายในหัวใจของพวกเขา พวกเขาย่อมลงมือกระทำการ (โดยเชื่อว่าความเต็มใจของพวกเขาคือความรู้สึกแห่งสันติสุข) และเมื่อพวกเขาไม่มีสันติสุขภายในหัวใจของพวกเขา พวกเขาย่อมไม่กระทำการ (โดยเชื่อว่าความไม่อยากทำหรือความไม่ชอบของพวกเขาคือความรู้สึกไม่สบายใจ) หากสิ่งต่างๆ เป็นไปอย่างราบรื่น พวกเขาก็คิดว่านี่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า (แต่ในความเป็นจริงแล้ว นี่คือบางสิ่งที่ควรจะดำเนินไปอย่างราบรื่นยิ่ง เพราะการนี้คือกฎธรรมชาติของสรรพสิ่ง) เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่ราบรื่น พวกเขาก็คิดว่านี่ไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้า เมื่อพวกเขาเผชิญบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ราบรื่น พวกเขาจึงเลิก ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ถูกต้อง และการกระทำตามความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าทั้งหลาย ตัวอย่างเช่น การนำความจริงไปปฏิบัติย่อมจะมีความลำบากยากเย็นอยู่อย่างแน่นอนและจะยิ่งมีมากกว่านั้นอีกในการปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้า หลายสิ่งที่เป็นบวกย่อมจะทำให้เป็นจริงได้ยาก ดังที่มีคำกล่าวว่า “กว่าจะพบสิ่งดีๆ มักต้องผ่านความยากลำบาก” ผู้คนมีความรู้สึกมากมายเกินไปในชีวิตจริงของพวกเขา พาให้พวกเขาหลงทางอยู่ตลอดเวลาและไม่แน่ใจในหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่มีสิ่งใดชัดเจนสำหรับผู้คนนอกเสียจากว่าพวกเขาจะสามารถเข้าใจความจริง แต่โดยทั่วไปแล้ว เมื่อพวกเขากระทำการหรือพูดตามความรู้สึกของพวกเขา ตราบเท่าที่นั่นไม่ใช่บางอย่างที่ละเมิดหลักธรรมสำคัญ พระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมไม่ทรงมีปฏิกิริยาตอบสนองแต่ประการใด เหมือน “มงกุฎแห่งความชอบธรรม” ที่เปาโลรู้สึกได้ กล่าวคือ หลายปีแล้วที่ไม่มีใครเชื่อว่าความรู้สึกของเขาผิดพลาด และเปาโลเองก็ไม่เคยรู้สึกเลยว่าความรู้สึกของเขาไม่ถูกต้อง ความรู้สึกของผู้คนมาจากไหน? แน่นอนว่าความรู้สึกคือปฏิกิริยาตอบสนองที่มาจากสมองของพวกเขา ความรู้สึกที่แตกต่างกันถูกสร้างขึ้นตามสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันและเรื่องราวที่แตกต่างกัน ส่วนมากแล้ว ผู้คนอนุมานตามตรรกะของมนุษย์เพื่อให้ได้สูตรต่างๆ มาชุดหนึ่งผ่านทางตรรกะนี้ ซึ่งส่งผลให้เกิดการก่อตัวของความรู้สึกของมนุษย์มากมาย ผู้คนเข้าสู่การอนุมานเชิงตรรกะของพวกเขาเองโดยไม่รู้ตัว และในหนทางนี้ ความรู้สึกเหล่านี้ก็กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนพึ่งพาในชีวิตของพวกเขา ความรู้สึกเหล่านี้กลายเป็นเครื่องค้ำจุนทางอารมณ์ในชีวิตของพวกเขา เช่น “มงกุฎแห่งความชอบธรรม” ของเปาโลหรือ “การได้พบองค์พระผู้เป็นเจ้ากลางอากาศ” ของวิทเนสลี พระเจ้าแทบจะไม่มีทางเข้าไปแทรกแซงความรู้สึกเหล่านี้ของมนุษย์ และจำต้องยอมให้ความรู้สึกเหล่านี้พัฒนาไปตามแต่จะเป็น ในวันนี้ เราได้พูดกับเจ้าตามตรงถึงแง่มุมต่างๆ ของความจริง หากเจ้ายังคงทำไปตามความรู้สึกของเจ้าต่อไป ไม่ใช่ว่าเจ้ายังคงใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางความคลุมเครือหรอกหรือ? เจ้าไม่ยอมรับพระวจนะที่ได้จัดเตรียมไว้อย่างชัดเจนเพื่อเจ้า และกลับพึ่งพาความรู้สึกส่วนตัวของเจ้าตลอดเวลา ในการนี้ เจ้าไม่เหมือนคนตาบอดคลำช้างหรอกหรือ? และเจ้าจะได้รับสิ่งใดในท้ายที่สุด?
พระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทำในวันนี้เป็นของจริง นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่เจ้าสามารถรู้สึกได้ หรือบางสิ่งที่เจ้าสามารถจินตนาการได้ และยิ่งไม่ใช่บางอย่างที่เจ้าสามารถอนุมานได้—แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างซึ่งเจ้าจะเข้าใจได้ก็ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงมาถึงตัวเจ้าเท่านั้น บางครั้งแม้ในคราที่ข้อเท็จจริงเหล่านั้นมาถึง เจ้าก็ยังคงไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน และผู้คนย่อมจะไม่เข้าใจจนกระทั่งพระเจ้าทรงกระทำการด้วยพระองค์เองเพื่อนำความชัดเจนอันยิ่งใหญ่มาสู่ข้อเท็จจริงเที่ยงแท้เกี่ยวกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น ในเวลานั้น มีภาพลวงตามากมายในหมู่สาวกที่ติดตามพระเยซู พวกเขาเชื่อว่าวันของพระเจ้ากำลังจะมาถึง และอีกไม่นานพวกเขาก็จะได้ตายเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและจะสามารถพบกับองค์พระเยซูเจ้า เปโตรรอคอยอยู่ถึงเจ็ดปีเต็มเพราะความรู้สึกนี้—แต่วันนั้นก็ยังคงมาไม่ถึง พวกเขารู้สึกว่าชีวิตของพวกเขาเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ความรู้สึกภายในตัวพวกเขายิ่งเพิ่มพูนขึ้นและความรู้สึกเหล่านี้ได้ทวีความรุนแรงขึ้น แต่พวกเขาก็ประสบความล้มเหลวมากมายและไม่สามารถประสบความสำเร็จได้ พวกเขาเองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เป็นไปได้หรือที่สิ่งที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่อาจลุล่วงได้? ความรู้สึกของผู้คนนั้นเชื่อถือไม่ได้ เนื่องจากผู้คนมีวิธีการคิดและแนวคิดต่างๆ ของพวกเขาเอง พวกเขาจึงสร้างความเชื่อมโยงขึ้นมามากมายตามบริบทและสภาวะในเวลานั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับผู้คนที่มีวิธีการคิดมากมายพอตัว พวกเขาย่อมกลายเป็นตื่นเต้นเกินไปและอดไม่ได้ที่จะสร้างความเชื่อมโยงขึ้นมาอีกมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องนี้ใช้ได้กับกรณีของ “ผู้เชี่ยวชาญ” ที่มีความรู้และทฤษฎีอันสูงส่ง และมีการเชื่อมโยงที่ยิ่งอุดมมากขึ้นหลังจากที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับโลกมานานปี การเชื่อมโยงเหล่านี้เข้าครองหัวใจของพวกเขาและกลายเป็นความรู้สึกอันทรงพลังอย่างที่สุดของพวกเขาโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว และพวกเขาก็พอใจกับการคิดเชื่อมโยงเหล่านี้ เมื่อผู้คนต้องการทำบางสิ่งบางอย่าง ความรู้สึกและการจินตนาการต่างๆ จะปรากฏขึ้นภายในตัวพวกเขาและพวกเขาก็จะคิดว่าสิ่งเหล่านี้ถูกต้อง ภายหลังเมื่อพวกเขาเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ยังไม่ได้เกิดขึ้น ผู้คนก็ขบคิดไม่ออกว่ามีสิ่งใดผิดปกติไป บางทีพวกเขาอาจจะเชื่อว่าพระเจ้าทรงเปลี่ยนแปลงแผนการของพระองค์ก็เป็นได้
การที่ผู้คนทั้งปวงมีความรู้สึกนั้นมิอาจหลีกเลี่ยงได้ ระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ผู้คนจำนวนมากมีความรู้สึกบางอย่างเช่นกัน แต่ข้อผิดพลาดในความรู้สึกของพวกเขามีน้อยกว่าผู้คนสมัยนี้ นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อก่อนนั้นผู้คนสามารถมองเห็นการปรากฏองค์ของพระยาห์เวห์ พวกเขาสามารถมองเห็นบรรดาผู้สื่อสารและพวกเขาฝันเห็นสิ่งต่างๆ ผู้คนทุกวันนี้ไม่สามารถมองเห็นนิมิตหรือบรรดาผู้สื่อสารได้ และด้วยเหตุนี้ข้อผิดพลาดในความรู้สึกของพวกเขาจึงเพิ่มพูนขึ้น เมื่อผู้คนยุคนี้รู้สึกว่ามีบางสิ่งที่ถูกต้องเป็นพิเศษและนำสิ่งนั้นไปปฏิบัติ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็หาได้ทรงตำหนิพวกเขาไม่ และพวกเขาก็มีสันติสุขภายในเป็นอย่างมาก เมื่อมีบางสิ่งเกิดขึ้น พวกเขาจึงค่อยค้นพบผ่านทางการเข้าสนิทหรือการอ่านพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นว่าพวกเขาคิดผิด แง่มุมหนึ่งของเรื่องนี้ก็คือว่าไม่มีผู้สื่อสารปรากฏแก่ผู้คน ความฝันก็แทบจะไม่เกิดขึ้น และผู้คนก็มองไม่เห็นนิมิตบนท้องฟ้าเลย อีกแง่มุมหนึ่งก็คือว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงเพิ่มคำติเตียนและการบ่มวินัยของพระองค์ภายในตัวผู้คน แทบจะไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในตัวพวกเขา ด้วยเหตุนี้ หากผู้คนไม่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ไม่แสวงหาความจริงด้วยหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง และไม่เข้าใจเส้นทางปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่ได้เก็บเกี่ยวอะไรเลย หลักธรรมในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นดังต่อไปนี้คือ พระองค์ไม่สนพระทัยสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระองค์ หากบางสิ่งบางอย่างไม่ได้อยู่ภายในขอบเขตอำนาจของพระองค์ พระองค์ก็ไม่เคยทรงก้าวก่ายหรือแทรกแซงอย่างสิ้นเชิง ทรงปล่อยให้ผู้คนสร้างปัญหาตามที่พวกเขาปรารถนา เจ้าสามารถกระทำการเช่นไรก็ได้ตามที่เจ้าต้องการ แต่จะมีสักวันที่เจ้าพบว่าตัวเจ้าเองนั้นตื่นตระหนกและอับจนหนทาง พระเจ้าทรงพระราชกิจอย่างแน่วแน่ในเนื้อหนังของพระองค์เองเท่านั้น ไม่เคยทรงแทรกแซงงานของมนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงหลีกห่างจากโลกมนุษย์ และทรงพระราชกิจที่พระองค์ควรที่จะทำ เจ้าจะไม่ถูกตำหนิติเตียนหากเจ้าทำบางอย่างที่ผิดในวันนี้ และเจ้าจะไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลหากเจ้าทำบางสิ่งที่ดีในวันพรุ่ง เหล่านี้เป็นเรื่องของมนุษย์ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อยกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์—นี่ไม่ได้อยู่ภายในขอบเขตแห่งงานของเราเลย
ในเวลาที่เปโตรกำลังทำงานอยู่นั้น เขากล่าวถ้อยคำมากหลายและได้ทำงานไปมาก เป็นไปได้หรือที่จะไม่มีสิ่งใดมาจากแนวคิดของมนุษย์เลย? การที่ทั้งหมดนั้นจะมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมเป็นไปไม่ได้ เปโตรเป็นเพียงสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า เขาคือผู้ติดตาม เขาคือเปโตร ไม่ใช่พระเยซู และแก่นแท้ของพระเยซูกับเขาก็ไม่เหมือนกัน แม้ว่าเปโตรจะถูกส่งไปโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ไม่ใช่ว่าทุกสิ่งที่เขาทำจะมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะจะว่าไปแล้วเขาก็คือมนุษย์คนหนึ่ง เปาโลกล่าวคำมากมายและเขียนจดหมายฝากจำนวนไม่น้อยไปยังคริสตจักรต่างๆ เช่นกัน ซึ่งส่วนหนึ่งถูกรวบรวมไว้ในพระคัมภีร์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้ทรงแสดงความคิดเห็นใดๆ เพราะนั่นเป็นเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงใช้งานเปาโลอยู่ เขาได้รับประสบการณ์และความรู้บางอย่าง และเขาได้เขียนถึงสิ่งเหล่านั้นและส่งต่อไปยังพี่น้องชายหญิงในองค์พระผู้เป็นเจ้าของเขา พระเยซูไม่ได้ทรงมีปฏิกิริยาใดๆ เหตุใดพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่ทรงห้ามเขาไว้ในเวลานั้น? นั่นเป็นเพราะมีความไม่บริสุทธิ์บางอย่างซึ่งเกิดจากวิธีการคิดตามปกติของผู้คน การนี้ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ นอกจากนั้น การกระทำของเขาก็ไม่ถึงกับแทรกแซงหรือรบกวน เมื่อมีงานบางอย่างของสภาวะความเป็นมนุษย์เช่นนี้ ผู้คนกลับยอมรับได้ง่ายขึ้น หากว่าความไม่บริสุทธิ์จากวิธีการคิดตามปกติของมนุษย์ไม่ได้แทรกแซงสิ่งใด พวกเขาย่อมถือว่าปกติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนที่มีวิธีการคิดตามปกติสามารถที่จะคิดแบบนั้นกันทุกคน เมื่อผู้คนใช้ชีวิตในเนื้อหนัง พวกเขามีวิธีคิดของพวกเขาเอง แต่ไม่มีทางที่จะถอนวิธีคิดเหล่านี้ทิ้งไปได้ อย่างไรก็ดี หลังจากที่มีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามาระยะหนึ่งและเข้าใจความจริงบางอย่างแล้ว ก็จะมีวิธีการคิดเหล่านี้น้อยลง เมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับสิ่งต่างๆ มากขึ้น พวกเขาจะสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนและด้วยเหตุนี้ย่อมจะขัดจังหวะสิ่งต่างๆ น้อยลง กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อจินตนาการและการอนุมานเชิงตรรกะของผู้คนถูกหักล้าง ความรู้สึกที่ผิดปกติของพวกเขาจะลดน้อยลง ผู้ที่ใช้ชีวิตในเนื้อหนังมีวิธีการคิดของพวกเขาเองกันทุกคน แต่ในท้ายที่สุด พระเจ้าจะทรงพระราชกิจกับพวกเขาจนถึงจุดที่วิธีการคิดของพวกเขาจะไม่สามารถรบกวนพวกเขาได้ พวกเขาจะไม่พึ่งพาความรู้สึกในชีวิตของพวกเขาอีกต่อไป วุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขาจะเติบโต และพวกเขาจะสามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าภายในความเป็นจริงได้ และจะไม่ทำสิ่งต่างๆ ที่คลุมเครือหรือว่างเปล่าอีกต่อไป และแล้วพวกเขาย่อมจะไม่ทำสิ่งต่างๆ ที่ก่อให้เกิดการขัดจังหวะ ในหนทางนี้พวกเขาจะไม่มีภาพลวงตาอีกต่อไป และนับจากเวลานี้ไป การกระทำของพวกเขาย่อมจะเป็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขา