บทที่ 120

ศิโยน!  จงชื่นบาน!  ศิโยน!  จงเปล่งเสียงขับร้อง!  เราได้หวนคืนมาด้วยความมีชัย เราได้หวนคืนมาอย่างมีชัยชนะ!  กลุ่มชนทั้งผอง!  จงเร่งเรียงแถวให้เป็นระเบียบเถิด!  ทุกสรรพสิ่งแห่งการสร้าง!  จงหยุดนิ่ง ณ บัดนี้เถิด เพราะสภาวะบุคคลของเราเผชิญหน้าทั้งจักรวาลและปรากฏทางทิศตะวันออกของโลก!  ผู้ใดกล้าที่จะไม่คุกเข่าลงนมัสการ?  ผู้ใดกล้าที่จะไม่เรียกเราว่าพระเจ้าเที่ยงแท้?  ผู้ใดกล้าที่จะไม่มองขึ้นมาด้วยหัวใจแห่งความยำเกรง?  ผู้ใดกล้าที่จะไม่ให้การสรรเสริญ?  ผู้ใดกล้าที่จะไม่ชื่นบาน?  ประชากรของเราจะได้ฟังเสียงของเรา และบุตรทั้งหลายของเราจะรอดชีวิตในราชอาณาจักรของเรา!  ภูเขา แม่น้ำ และทุกสรรพสิ่งจะโห่ร้องยินดีอย่างมิรู้จบ และกระโดดโลดเต้นอย่างไม่หยุดหย่อน  ณ เวลานี้ ไม่มีผู้ใดกล้าถอยกลับ และไม่มีผู้ใดกล้าลุกขึ้นต้านทาน  นี่คือกิจการอันน่าอัศจรรย์ของเรา และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือว่า นี่คือฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา!  เราจะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างมีหัวใจแห่งความยำเกรงต่อเรา และนอกเหนือจากการนี้อีกก็คือ เราจะให้ทุกสิ่งทุกอย่างสรรเสริญเรา!  นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของเรา และเป็นสิ่งที่เราได้ลิขิตเอาไว้  ไม่มีบุคคลสักคนเดียวหรือวัตถุหรือเหตุการณ์สักอย่างเดียวกล้าที่จะลุกขึ้นต้านทานเราหรือต่อต้านเรา  ประชากรทั้งหมดของเราจะหลั่งไหลไปยังภูเขาของเรา (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือพิภพที่เราจะสร้างขึ้นในภายหลัง) และพวกเขาจะยอมจำนนอยู่เบื้องหน้าเราเพราะเรามีบารมีและการพิพากษา และเรากุมสิทธิอำนาจ  (การนี้อ้างอิงถึงตอนที่เราอยู่ในร่างกาย  เรามีสิทธิอำนาจในเนื้อหนังอีกด้วย แต่เพราะไม่สามารถก้าวข้ามข้อจำกัดทั้งหลายทางด้านเวลาและพื้นที่เมื่ออยู่ในเนื้อหนังได้ จึงไม่สามารถกล่าวได้ว่าเราได้มาซึ่งสง่าราศีอันครบบริบูรณ์แล้ว  ถึงแม้ว่าเราได้มาซึ่งบุตรหัวปีทั้งหลายในเนื้อหนัง แต่ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าเราได้มาซึ่งสง่าราศีแล้ว  มีเพียงเมื่อเราหวนคืนสู่ศิโยนและเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ของเราแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถกล่าวได้ว่าเราถือสิทธิอำนาจ—นั่นคือ กล่าวได้ว่าเราได้มาซึ่งสง่าราศีแล้ว)  จะไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็นสำหรับเรา  โดยวจนะจากปากของเรา ทั้งหมดจะถูกทำลาย และโดยวจนะจากปากของเรา ทั้งหมดจะถือกำเนิดและได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์  เช่นนั้นคือฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเรา และเช่นนั้นคือสิทธิอำนาจของเรา  เนื่องจากเราเต็มไปด้วยฤทธานุภาพและบริบูรณ์ด้วยสิทธิอำนาจ จึงไม่มีบุคคลใดจะกล้าขัดขวางเรา  เรามีชัยเหนือทุกสิ่งทุกอย่างแล้ว และเราได้ชัยชนะเหนือบุตรทั้งปวงแห่งการกบฏแล้ว  เรากำลังพาบุตรหัวปีทั้งหลายของเราหวนคืนสู่ศิโยนพร้อมกับเรา  เราไม่ได้กำลังหวนคืนสู่ศิโยนเพียงลำพัง  ดังนั้นทั้งหมดจะได้เห็นบุตรหัวปีทั้งหลายของเรา และด้วยเหตุนั้นจึงพัฒนาหัวใจแห่งการยำเกรงเราขึ้นมา  นี่คือจุดมุ่งหมายของเราในการได้มาซึ่งบุตรหัวปีทั้งหลาย และการนี้ก็เป็นแผนการของเรานับตั้งแต่การสร้างโลกแล้ว

เมื่อทั้งหมดพร้อม นั่นจะเป็นวันที่เราหวนคืนสู่ศิโยนและกลุ่มชนทั้งปวงจะฉลองรำลึกวันนี้  เมื่อเราหวนคืนสู่ศิโยน ทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกจะเงียบเสียง และทั้งหมดบนแผ่นดินโลกจะอยู่ในสันติสุข  เมื่อเราหวนคืนสู่ศิโยน ทุกสิ่งทุกอย่างจะกลับสู่รูปลักษณ์ดั้งเดิมของตน  จากนั้นเราจะเริ่มงานของเราในศิโยน  เราจะลงโทษคนเลวและให้บำเหน็จคนดี และเราจะนำความชอบธรรมของเรามาบังคับใช้ และเราจะดำเนินการพิพากษาของเราให้เสร็จสิ้น  เราจะใช้วจนะของเราเพื่อสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งทุกอย่าง โดยทำให้ผู้คนทั้งหมดและทุกสรรพสิ่งมีประสบการณ์กับมือที่ตีสอนของเรา และเราจะทำให้ผู้คนทั้งปวงมองเห็นสง่าราศีอันเต็มเปี่ยมของเรา ปัญญาอันเต็มเปี่ยมของเรา และความอารีอันเต็มเปี่ยมของเรา  ไม่มีบุคคลใดจะกล้าลุกขึ้นมาตัดสิน เพราะในเรานั้น ทุกสรรพสิ่งสำเร็จลุล่วงแล้ว และในที่นี้ จงให้มนุษย์ทุกคนมองเห็นศักดิ์ศรีอันเต็มเปี่ยมของเรา และลิ้มรสแห่งชัยชนะอันเต็มเปี่ยมของเรา เพราะทุกสรรพสิ่งสำแดงอยู่ในเรา  จากการนี้ย่อมเป็นไปได้ที่จะมองเห็นฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ของเราและสิทธิอำนาจของเรา  ไม่มีผู้ใดจะกล้าล่วงเกินเรา และไม่มีผู้ใดจะกล้าขัดขวางเรา  ในเรานั้น ทั้งหมดถูกทำให้เปิดกว้าง  ผู้ใดจะกล้าซ่อนเร้นสิ่งอันใดไว้เล่า?  เรามั่นใจว่าจะไม่แสดงความกรุณาต่อบุคคลนั้น!  พวกวายร้ายเช่นนั้นต้องได้รับการลงโทษอันรุนแรงของเรา และเดนมนุษย์เช่นนั้นต้องได้รับการชำระล้างไปจากสายตาของเรา  เราจะปกครองพวกเขาด้วยคทาเหล็ก และเราจะใช้สิทธิอำนาจของเราพิพากษาพวกเขาโดยไม่มีความกรุณาแม้แต่น้อยและโดยไม่ถนอมความรู้สึกของพวกเขาเลย เพราะเราคือพระเจ้าพระองค์เอง ผู้ปราศจากความรู้สึกทางเนื้อหนังและเปี่ยมบารมี และไม่สามารถถูกล่วงเกินได้  ทุกคนควรเข้าใจและมองเห็นการนี้เพื่อมิให้พวกเขาถูกเราบดขยี้และทำให้สลายไปสิ้น “โดยไม่มีสาเหตุหรือเหตุผล” เพราะคทาของเราจะบดขยี้ทุกคนที่ล่วงเกินเรา  เราไม่ใส่ใจว่าพวกเขารู้จักประกาศกฤษฎีกาบริหารของเราหรือไม่ นั่นย่อมจะไม่มีความสำคัญต่อเรา เพราะสภาวะบุคคลของเราไม่ทนยอมรับการถูกใครก็ตามล่วงเกิน  นี่คือสาเหตุที่กล่าวกันว่าเราคือสิงโต เราย่อมบดขยี้ผู้ใดก็ตามที่เราสัมผัส  นั่นคือสาเหตุที่กล่าวกันว่า บัดนี้ถือเป็นการหมิ่นประมาทหากพูดว่าเราคือพระเจ้าแห่งความสงสารและความรักเมตตา  ในแก่นแท้แล้ว เราไม่ใช่ลูกแกะ แต่เป็นสิงโต  ไม่มีผู้ใดกล้าล่วงเกินเรา ผู้ใดก็ตามที่ล่วงเกินเรา เราจะลงโทษด้วยความตายทันทีและโดยปราศจากความกรุณา  นี่ก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นอุปนิสัยของเรา  ดังนั้นในยุคสุดท้าย ผู้คนกลุ่มใหญ่จะล่าถอยไป และผู้คนจะทนรับการนี้ได้อย่างลำบากยากเย็น แต่ในส่วนของเรา เรากลับผ่อนคลายและมีความสุข และเราไม่ได้มองการนี้ว่าเป็นกิจที่ลำบากยากเย็นแต่อย่างใด  เช่นนั้นเองคืออุปนิสัยของเรา

เราหวังว่าทุกคนจะนบนอบทุกสิ่งที่เป็นเราด้วยหัวใจที่นบนอบ หากพวกเขาทำเช่นนั้น แน่นอนว่าเราย่อมจะอวยพรมวลมนุษย์เป็นอย่างมาก เพราะก็เป็นดังที่เราพูดไปแล้วว่าบรรดาผู้ที่เข้ากันได้กับเราจะได้รับการสงวนรักษาไว้ ในขณะที่พวกที่ไม่เป็นมิตรกับเราจะถูกสาปแช่ง  เราได้ลิขิตการนี้ไว้แล้วและไม่มีผู้ใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงได้  สิ่งที่เรากำหนดพิจารณาเอาไว้ก็คือสิ่งที่เราได้สำเร็จลุล่วงแล้ว และผู้ใดก็ตามที่สวนทางกับสิ่งเหล่านั้นย่อมจะถูกตีสอนทันที  เรามีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจำเป็นต้องมีในศิโยนและมีทุกสิ่งทุกอย่างที่เราปรารถนา  ไม่มีร่องรอยของโลกนี้อยู่ในศิโยน และเทียบกับโลกนี้แล้ว ศิโยนก็คือวัง มั่งคั่งและโอฬาร แต่ไม่มีใครเคยเข้าสู่ศิโยน และดังนั้นศิโยนจึงไม่มีการดำรงอยู่ในจินตนาการของมนุษย์  ชีวิตในศิโยนไม่เหมือนกับชีวิตบนแผ่นดินโลก บนแผ่นดินโลก ชีวิตคือการกิน การแต่งกาย การเล่น และการแสวงหาความยินดี ขณะที่ในศิโยนกลับแตกต่างไปอย่างมาก  เป็นชีวิตที่พระบิดาและบุตรทั้งหลายดื่มด่ำอยู่ในความชื่นบาน เติมเต็มพื้นที่ว่างของทั้งจักรวาลอยู่เสมอ แต่ก็มาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเสมอเช่นกัน  บัดนี้ที่ได้มาถึงการนี้แล้ว เราจะบอกพวกเจ้าว่าศิโยนตั้งอยู่ที่ใด  ศิโยนคือที่ที่เราพักอาศัย คือสถานที่ตั้งแห่งสภาวะบุคคลของเรา  ดังนั้น ศิโยนจึงต้องเป็นสถานที่บริสุทธิ์ และต้องอยู่ไกลออกไปจากแผ่นดินโลก  นั่นคือสาเหตุที่เราดูหมิ่นผู้คน สิ่งทั้งหลาย และเรื่องทั้งหลายของแผ่นดินโลก และเรารังเกียจการกิน การดื่ม การเล่น และการแสวงหาความยินดีทางเนื้อหนัง เพราะไม่ว่าความยินดีทางโลกจะน่าสุขสำราญเพียงใด แต่สิ่งเหล่านั้นก็ไม่สามารถเทียบได้กับชีวิตในศิโยน เป็นความแตกต่างระหว่างสวรรค์กับแผ่นดินโลก และไม่มีทางที่จะนำทั้งสองมาเปรียบเทียบกัน  สาเหตุที่มีปริศนามากมายบนแผ่นดินโลกที่มนุษย์ไม่สามารถไขให้กระจ่างได้ก็คือว่า ผู้คนยังไม่เคยฟังเรื่องของศิโยนเลย  เอาละ ศิโยนอยู่ที่ใดกันแน่?  อยู่บนดาวเคราะห์อีกดวงตามที่ผู้คนจินตนาการหรือไม่?  ไม่!  นั่นเป็นเพียงความเพ้อฝันตามความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์  มนุษย์คำนึงถึงสวรรค์ชั้นที่สามซึ่งเราได้กล่าวถึงไปแล้ว ว่ามีความหมายเชิงอนาคตวิสัย แต่สิ่งที่มนุษย์เข้าใจในมโนคติอันหลงผิดของพวกเขานั้นตรงกันข้ามกับความหมายของเราโดยแท้  สวรรค์ชั้นที่สามที่กล่าวถึงในที่นี้ไม่ได้เทียมเท็จเลยแม้แต่น้อย  นั่นคือสาเหตุที่เราพูดว่าเราจะไม่ทำลายดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ มวลดารา และเทห์ฟากฟ้า และเราจะไม่กำจัดสวรรค์และแผ่นดินโลกทิ้ง  เราจะสามารถทำลายสถานที่อยู่อาศัยของเราได้ลงกระนั้นหรือ?  เราจะสามารถกำจัดภูเขาศิโยนได้ลงกระนั้นหรือ?  การนี้ไม่น่าหัวร่อหรอกหรือ?  สวรรค์ชั้นที่สามคือสถานที่อยู่อาศัยของเรา ซึ่งก็คือภูเขาศิโยน และการนี้จริงแท้แน่นอน  (เหตุใดเราจึงพูดว่าการนี้จริงแท้แน่นอน?  นั่นเป็นเพราะมนุษย์ไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่เราพูดในตอนนี้ได้ เขาสามารถเพียงรับฟังไว้เท่านั้น  วงเขตการคิดของมนุษย์แค่ไม่สามารถทำความเข้าใจสิ่งนี้ และดังนั้น ตอนนี้เราจะไม่พูดถึงศิโยนอีก เพื่อมิให้ผู้คนคิดว่าเป็นนิยายเรื่องหนึ่ง)

หลังจากที่เราหวนคืนสู่ศิโยน บรรดาผู้ที่อยู่บนแผ่นดินโลกจะสรรเสริญเราต่อไปดั่งเช่นในอดีต  พวกคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีจะรอคอยเหมือนที่เคยเป็นมาเพื่อทำการปรนนิบัติเรา แต่หน้าที่ของพวกเขาย่อมจะมาถึงปลายทาง  พวกเขาสามารถทำได้ดีที่สุดเพียงใคร่ครวญรูปการณ์แวดล้อมแห่งการมาอยู่บนแผ่นดินโลกของเรา  ในเวลานั้นเราจะเริ่มนำความวิบัติลงมาสู่พวกที่จะทนทุกข์กับหายนะ กระนั้นทุกคนก็เชื่อว่าเราคือพระเจ้าผู้ชอบธรรมองค์หนึ่ง  เราจะไม่ลงโทษบรรดาคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีอย่างแน่นอน แต่จะให้พวกเขาได้รับพระคุณจากเราเท่านั้น  เพราะเรากล่าวไว้แล้วว่าเราจะลงโทษคนทำชั่วทั้งปวง และว่าบรรดาผู้ที่มีความประพฤติดีจะได้รับความชื่นชมยินดีทางวัตถุที่เรามอบให้ อันเป็นการแสดงให้เห็นว่าเราคือพระเจ้าแห่งความชอบธรรมและความสัตย์ซื่อพระองค์เอง  เมื่อเราหวนคืนสู่ศิโยน เราจะเริ่มหันไปหาแต่ละชนชาติในโลก เราจะนำความรอดมาสู่คนอิสราเอลและตีสอนคนอียิปต์  นี่คือขั้นตอนถัดไปแห่งงานของเรา  จากนั้นงานของเราจะไม่เป็นเช่นเดียวกับที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ กล่าวคือ งานของเราจะไม่ใช่งานในเนื้อหนัง แต่จะอยู่พ้นวิสัยของเนื้อหนังโดยสิ้นเชิง—และจะถูกทำให้เป็นผลสำเร็จเช่นนั้นตามที่เราได้พูดไว้ และจะยืนหยัดเช่นนั้นตามที่เราบัญชาไว้  ไม่ว่าสิ่งใดถูกกล่าวออกมา ตราบเท่าที่กล่าวออกมาจากปากของเรา ก็ย่อมจะลุล่วงในความเป็นจริงทันที  นี่คือความหมายที่แท้จริงของการที่เมื่อวจนะของเราถูกกล่าวออกมา การบรรลุผลตามวจนะนั้นก็ย่อมเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เพราะวจนะของเราคือสิทธิอำนาจในตัวเอง  ตอนนี้เรากำลังพูดถึงสิ่งทั่วไปบางอย่างเพื่อเป็นหนทางหนึ่งในการให้เบาะแสสักสองสามประการแก่ผู้คนบนแผ่นดินโลก เพื่อให้พวกเขาไม่ไขว่คว้าไปทั่วอย่างสะเปะสะปะ  เมื่อเวลานั้นมาถึง ทุกสิ่งทุกอย่างจะได้รับการจัดการเตรียมการโดยเรา และไม่ควรมีผู้ใดกระทำการตามอำเภอใจ เพื่อมิให้พวกเขาถูกมือของเราบดขยี้  ในจินตนาการของมนุษย์นั้น ทั้งหมดที่เราพูดถึงล้วนคลุมเครือ เพราะจะว่าไปแล้ว วิธีการคิดของมนุษย์มีข้อจำกัด และความคิดของมนุษย์ก็อยู่ไกลจากสิ่งที่เราพูดถึงเหมือนที่แผ่นดินโลกอยู่ไกลจากสวรรค์  เพราะฉะนั้นจึงไม่มีผู้ใดสามารถจับใจความในการนี้ได้  สิ่งเดียวที่จะต้องทำก็คือมาอยู่ในแนวเดียวกันกับสิ่งที่เราพูด นี่คือครรลองที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ของสิ่งทั้งหลาย  เราได้พูดไว้ว่า “ในยุคสุดท้าย สัตว์ร้ายจะโผล่ขึ้นมาข่มเหงประชากรของเรา และพวกที่เกรงกลัวความตายจะถูกทำเครื่องหมายด้วยตราผนึกเพื่อให้สัตว์ร้ายคร่าเอาตัวไป  บรรดาผู้ที่เคยเห็นเราจะถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย”  ไม่ต้องสงสัยเลยว่า “สัตว์ร้าย” ในวจนะเหล่านี้หมายถึงซาตาน จอมชักพามวลมนุษย์ให้หลงผิด  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อเราหวนคืนสู่ศิโยน คนปรนนิบัติกลุ่มใหญ่จะถอนตัวไป  นั่นคือ พวกเขาจะถูกสัตว์ร้ายคร่าเอาตัวไป  สรรพสิ่งสร้างทั้งหมดนี้จะไปยังบาดาลลึกเพื่อรับการตีสอนชั่วนิรันดร์ของเรา  “บรรดาผู้ที่เคยเห็นเรา” อ้างอิงถึงบรรดาคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีซึ่งถูกเราพิชิตแล้ว  “เคยเห็นเรา” อ้างอิงถึงการที่พวกเขาถูกเราพิชิต  “ถูกสัตว์ร้ายฆ่าตาย” อ้างอิงถึงซาตานที่เมื่อถูกเราพิชิตแล้ว ก็ไม่กล้าลุกขึ้นมาต้านทานเรา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ซาตานจะไม่กล้าปฏิบัติงานอันใดกับคนปรนนิบัติเหล่านี้ และดังนั้น ดวงจิตของผู้คนเหล่านี้จะได้รับการช่วยให้รอด การที่กล่าวเช่นนี้ก็สืบเนื่องจากความสามารถในการจงรักภักดีต่อเราของพวกเขา และหมายความว่าบรรดาคนปรนนิบัติที่จงรักภักดีจะสามารถรับพระคุณของเราและพรของเราได้  ดังนั้นเราจึงพูดว่า ดวงจิตของพวกเขาจะได้รับการช่วยให้รอด  (นี่ไม่ได้อ้างอิงถึงการขึ้นสู่สวรรค์ชั้นที่สาม ซึ่งเป็นเพียงมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์เท่านั้น)  แต่พวกคนรับใช้ที่ชั่วจะถูกซาตานผูกมัดไว้อีกครั้ง แล้วจากนั้นก็ถูกโยนลงไปในบาดาลลึก  นี่คือการที่เราลงโทษพวกเขา นี่คือการลงทัณฑ์อันสาสมของพวกเขา และเป็นบำเหน็จสำหรับบาปทั้งหลายของพวกเขา

ขณะที่งานของเราเร่งความเร็วขึ้น เวลาของเราบนแผ่นดินโลกก็ค่อยๆ ลดน้อยลง  วันที่เราจะหวนคืนสู่ศิโยนใกล้เข้ามาแล้ว  เมื่องานของเราบนแผ่นดินโลกได้มาถึงปลายทาง ก็ย่อมจะเป็นเวลาที่เราหวนคืนสู่ศิโยน  เราไม่ปรารถนาที่จะดำรงชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกเลย แต่เพื่อประโยชน์แห่งการบริหารจัดการของเรา เพื่อประโยชน์แห่งแผนการของเรา เราจึงสู้ทนความทุกข์ทั้งมวล  ในวันนี้ เวลานั้นได้มาถึงแล้ว  เราจะเร่งจังหวะก้าวเดินของเราให้เร็วขึ้น และไม่มีผู้ใดจะสามารถตามเราได้ทัน  ไม่ว่ามนุษย์จะสามารถเข้าใจได้หรือไม่ก็ตาม เราก็จะบอกพวกเจ้าอย่างละเอียดถึงทั้งหมดที่มนุษย์ไม่อาจจับใจความได้ กระนั้นก็เป็นสิ่งที่พวกเจ้าบนแผ่นดินโลกต้องรู้ไว้  ดังนั้นเราจึงพูดว่า เราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงอยู่พ้นกาลเวลาและพื้นที่  หากไม่ใช่เพราะจุดประสงค์ของเราในการได้มาซึ่งบุตรหัวปีทั้งหลาย และทำให้ซาตานปราชัยด้วยเหตุนี้แล้วไซร้ เราคงจะหวนคืนสู่ศิโยนไปแล้ว หากมิได้เป็นเช่นนั้น เราคงจะไม่มีวันสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมาเป็นแน่  เราดูหมิ่นโลกของมนุษย์ และเรารังเกียจผู้คนที่แยกไปจากเราจนถึงขอบเขตที่เราคำนึงถึงการทำลายล้างมวลมนุษย์ทั้งปวงในคราวเดียว  อย่างไรก็ตาม งานของเรามีลำดับและโครงสร้าง มีสำนึกถึงสัดส่วนและความพอประมาณ และไม่ได้เป็นไปอย่างส่งเดช  ทั้งหมดที่เราทำนั้นหมายที่จะทำให้ซาตานปราชัย และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ หมายที่จะทำให้เราสามารถอยู่ร่วมกับบุตรหัวปีทั้งหลายของเราโดยเร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้  นี่คือจุดมุ่งหมายของเรา

ก่อนหน้า: บทที่ 119

ถัดไป: บทนำ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger