บทที่ 5
เมื่อพระเจ้าทรงมีข้อกำหนดกับมนุษย์ซึ่งยากที่พวกเขาจะอธิบาย และเมื่อพระวจนะของพระองค์บดขยี้เข้าใส่หัวใจของมนุษย์โดยตรงและผู้คนมอบถวายหัวใจอันจริงใจของพวกเขาให้พระองค์ทรงสำราญ เมื่อนั้นพระเจ้าย่อมประทานโอกาสให้พวกเขาใคร่ครวญ ตั้งปณิธาน และเสาะแสวงเส้นทางปฏิบัติ ในหนทางนี้ บรรดาผู้ที่เป็นประชากรของพระองค์จะกำมือแน่นด้วยความตั้งใจแน่วแน่และมอบถวายการดำรงอยู่ทั้งมวลของพวกเขาแด่พระเจ้าอีกครั้ง บางทีบางคนอาจร่างแผนการและกำหนดตารางเวลาประจำวัน ขณะที่พวกเขาเตรียมระดมกำลังของพวกเขาเพื่อทำงานหนัก โดยมอบอุทิศพละกำลังส่วนหนึ่งของพวกเขาให้แก่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อที่จะนำพระสิริมาสู่แผนการดังกล่าวและเร่งให้แผนการบริหารจัดการนั้นไปถึงการสรุปปิดตัว ตอนที่ผู้คนมีวิธีการคิดเช่นนี้และเก็บงำสิ่งเหล่านี้ไว้ในจิตใจของพวกเขาขณะที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายในชีวิตประจำวันของตน ขณะที่พวกเขาพูดคุยและขณะที่พวกเขาทำงานนี่เอง พระเจ้าก็เริ่มตรัสอีกครั้งว่า “เสียงแห่งวิญญาณของเราคือการแสดงออกถึงอุปนิสัยทั้งมวลของเรา พวกเจ้าเข้าใจหรือไม่?” ยิ่งมนุษย์มุ่งมั่นมากเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งโหยหาที่จะจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างท้อแท้สิ้นหวังมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาจะยิ่งโหยหาอย่างจริงจังจริงใจมากขึ้นเท่านั้นให้พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าย่อมจะประทานสิ่งที่ผู้คนต้องการแก่พวกเขา โดยทรงใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้เพื่อสื่อพระวจนะของพระองค์ไปยังซอกหลืบส่วนลึกที่สุดภายในตัวพวกเขา อันเป็นพระวจนะซึ่งอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมมานานแล้ว แม้ว่าพระวจนะเหล่านี้อาจดูเหมือนเกรี้ยวกราดหรือกระด้างอยู่บ้าง แต่สำหรับมนุษยชาติแล้วพระวจนะกลับฟังดูหวานหูเกินจะหาใดเปรียบ ทันใดนั้นเอง หัวใจของพวกเขาก็เบ่งบานด้วยความชื่นชมยินดี ราวกับว่าพวกเขาอยู่บนสวรรค์หรือถูกพาไปยังอาณาจักรแห่งหนึ่ง—ซึ่งเป็นสวรรค์ในจินตนาการจริงๆ—ที่ซึ่งกิจการต่างๆ ของโลกภายนอกไม่ส่งผลกระเทือนถึงมนุษยชาติอีกต่อไป เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่ผู้คนจะพูดจาจากภายนอกและกระทำจากภายนอก อย่างที่พวกเขาเคยทำเป็นนิสัยในอดีต และดังนั้นจึงล้มเหลวที่จะหยั่งรากอันถูกต้องเหมาะสม ทันทีที่ผู้คนสัมฤทธิ์สิ่งที่พวกเขาอยากได้อยากมีในหัวใจของพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น ทันทีที่พวกเขาเตรียมพร้อมที่จะไปทำงานด้วยความกระตือรือร้นอันแรงกล้า พระเจ้าจึงยังคงปรับใช้วิธีการตรัสของพระองค์กับวิธีการคิดของพวกเขา และทรงหักล้างความกระหายร้อนรนและพิธีกรรมทางศาสนาทั้งปวงที่พวกเขาถือครองไว้ภายในหัวใจของพวกเขา อย่างรวบรัดและโดยไม่ระงับยับยั้ง ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า “แท้จริงแล้วพวกเจ้าได้เห็นความสำคัญของเรื่องนี้หรือไม่?” ไม่ว่าจะก่อนหรือหลังจากที่มนุษย์ตั้งใจมั่นกับบางสิ่งบางอย่างก็ตาม พวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญมากกับการรู้จักพระเจ้าในการกระทำของพระองค์หรือในพระวจนะของพระองค์ แต่กลับใคร่ครวญต่อไปถึงคำถามที่ว่า “ฉันสามารถทำอะไรเพื่อพระเจ้าได้? นี่คือประเด็นปัญหาสำคัญ!” ซึ่งนี่คือสาเหตุที่พระเจ้าตรัสว่า “และพวกเจ้ายังกล้าดีที่จะเรียกตัวเองว่าประชากรของเราต่อหน้าเรา—เจ้าไม่มีความละอายใจ และยิ่งไม่มีสำนึกใดๆ!” ทันทีที่พระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนก็มาตระหนักได้ในทันใดและราวกับว่าถูกกระแสไฟฟ้าช็อต พวกเขารีบหดมือทั้งสองมาไว้ที่อกของพวกเขาเพื่อความปลอดภัย เต็มไปด้วยความยำเกรงอยู่ลึกๆ ว่าจะยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้าเป็นครั้งที่สอง นอกเหนือไปจากนี้ พระเจ้ายังตรัสอีกด้วยว่า “ไม่ช้าก็เร็ว ผู้คนเยี่ยงเจ้าจะถูกขับออกไปจากบ้านของเรา! จงอย่ามาพยายามหลอกลวงเรา โดยทึกทักเอาว่าเจ้าได้ยืนหยัดเป็นคำพยานให้เราแล้ว!” เมื่อได้ยินพระวจนะเช่นนี้ ผู้คนยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก ราวกับว่าพวกเขามองเห็นสิงโต พวกเขารู้อยู่แก่ใจดี พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะถูกสิงโตกิน แต่ในทางกลับกัน พวกเขาไม่รู้ว่าจะหลีกหนีไปอย่างไร ในชั่วขณะนี้นี่เอง แผนการภายในหัวใจของมนุษย์ก็ปลาสนาการไปอย่างไร้ร่องรอย อย่างหมดสิ้นและอย่างสิ้นเชิง เรารู้สึกราวกับว่าเราสามารถเห็นทุกๆ แง่มุมของความน่าอับอายของมนุษยชาติโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า นั่นคือ ศีรษะที่ก้มต่ำและอากัปกิริยาของคนที่ระทมทุกข์ ดุจดังผู้สมัครสอบที่สอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้ ทั้งที่มีอุดมคติสูงส่งเช่นนั้น ครอบครัวที่มีความสุขเช่นนั้น อนาคตที่สดใสเช่นนั้น และอื่นๆ อีกมากมาย พร้อมด้วยนโยบายสี่ทันสมัยที่มุ่งจะสำเร็จผลภายในปี ค.ศ. 2000 ซึ่งทั้งหมดนั้นได้แปรสภาพเป็นเพียงการพูดเลื่อนลอยที่สร้างฉากจินตนาการในภาพยนตร์แนวนิยายวิทยาศาสตร์เท่านั้น การนี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ประกอบเชิงรับให้เป็นองค์ประกอบเชิงรุก ทำให้ผู้คนที่อยู่ท่ามกลางสภาพนิ่งเฉยของพวกเขา ยืนหยัดขึ้นในสถานภาพที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้พวกเขา ที่สำคัญเป็นพิเศษก็คือข้อเท็จจริงที่ว่า มนุษย์ล้วนกลัวอยู่ลึกๆ ว่าจะสูญเสียสถานภาพนี้ไป เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงยึดติดกับเครื่องหมายประจำสถานภาพของพวกเขาเองอย่างสุดชีวิต ด้วยกลัวอยู่ลึกๆ ว่าใครบางคนอาจพยายามกระชากเครื่องหมายเหล่านั้นไป เมื่อมนุษยชาติอยู่ในกรอบความรู้สึกนึกคิดเช่นนี้ พระเจ้าไม่ทรงกังวลว่าผู้คนจะกลายเป็นนิ่งเฉย ดังนั้นพระองค์จึงเปลี่ยนแปลงพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระองค์เป็นพระวจนะแห่งการไต่สวนอย่างสอดคล้องกัน ไม่เพียงพระองค์ทรงให้โอกาสผู้คนได้พักสูดหายใจเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงให้โอกาสพวกเขานำเอาความทะเยอทะยานที่พวกเขาเคยมีนั้นมาจำแนกแยกแยะเพื่อใช้อ้างอิงในภายภาคหน้าอีกด้วย กล่าวคือ สิ่งใดก็ตามที่ไม่เหมาะสมสามารถปรับแก้ได้ นี่เป็นเพราะพระเจ้ายังไม่ได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์—นี่เป็นโชคดีอย่างหนึ่งในท่ามกลางโชคร้ายอันใหญ่หลวง—และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ทรงกล่าวโทษพวกเขา ดังนั้น ขอให้เราได้ถวายการอุทิศทั้งหมดของเราแด่พระองค์ต่อไปเถิด!
ลำดับถัดไป เจ้าต้องไม่ละวางพระวจนะของพระเจ้าเพราะความกลัวของเจ้า จงดูให้เห็นว่าพระเจ้าทรงมีข้อกำหนดใหม่อันใดหรือไม่ แน่นอนว่าเจ้าจะค้นพบข้อกำหนดเช่นนี้ นั่นคือ “นับจากเวลานี้ไป ในทุกสิ่ง เจ้าจะต้องเข้าสู่ความเป็นจริงของการปฏิบัติ เพียงการพูดเรื่อยเจื้อยอย่างที่เจ้าเคยทำในอดีต จะไม่ทำให้เจ้าเอาตัวรอดได้อีกต่อไป” พระปัญญาของพระเจ้ายังคงสำแดงให้เห็นในที่นี้ พระเจ้าทรงปกปักรักษาบรรดาพยานของพระองค์เองเสมอมา และเมื่อความเป็นจริงของพระวจนะในอดีตได้มาถึงการสรุปปิดตัว ก็ไม่มีใคร ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด สามารถหยั่งถึงความรู้ของ “ความเป็นจริงของการปฏิบัติ” นี่เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ความจริงของสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสว่า “เรายอมรับที่จะทำงานด้วยตัวเราเอง” มันเกี่ยวข้องกับความหมายที่แท้จริงของพระราชกิจในเทวสภาพ และเกี่ยวข้องกับเหตุผลที่ว่ามวลมนุษย์นั้นแม้จะมาถึงจุดเริ่มต้นใหม่แล้ว แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงไม่สามารถหยั่งถึงความหมายที่แท้จริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า นี่เป็นเพราะว่าในอดีต ผู้คนส่วนใหญ่ยึดติดอยู่กับความเป็นจริงในพระวจนะของพระเจ้า ในขณะที่วันนี้พวกเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความเป็นจริงของการปฏิบัติเลย โดยเข้าใจเฉพาะแง่มุมที่ผิวเผินของพระวจนะเหล่านี้เท่านั้น แต่ไม่เข้าใจแก่นแท้ของพระวจนะ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เป็นเพราะวันนี้ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้แทรกแซงในการก่อร่างสร้างราชอาณาจักร มีแต่ต้องทำตามที่พระเจ้าทรงบัญชาดุจดังมนุษย์กลเท่านั้น จงจำการนี้ไว้ให้ดี! ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงเอ่ยถึงอดีต พระองค์ย่อมเริ่มตรัสเกี่ยวกับสถานการณ์จริงของวันนี้ นี่คือรูปแบบหนึ่งของการตรัสที่สร้างความแตกต่างอันโดดเด่นระหว่างสิ่งที่มาก่อนและสิ่งที่มาภายหลัง และด้วยเหตุนี้จึงสามารถสัมฤทธิ์ดอกผลที่ดียิ่งขึ้นไปอีก ทำให้ผู้คนสามารถนำปัจจุบันมาวางเทียบเคียงกับอดีต และในหนทางนี้จึงหลีกเลี่ยงการเอาทั้งสองอย่างนั้นมาจำสับสนกัน นี่คือแง่มุมหนึ่งแห่งพระปัญญาของพระเจ้า และจุดประสงค์ของแง่มุมนี้ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งดอกผลแห่งพระราชกิจ หลังจากบทตอนนี้ พระเจ้าทรงเผยให้เห็นความน่าเกลียดของมนุษยชาติอีกครั้ง เพื่อที่มนุษยชาติจะได้ไม่มีวันลืมกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ทุกวัน และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักตัวเองและนำเอาการนี้ไปเป็นบทเรียนซึ่งพวกเขาต้องเรียนรู้ทุกวัน
หลังจากที่ตรัสพระวจนะเหล่านี้แล้ว พระเจ้าทรงสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ซึ่งเป็นจุดประสงค์ดั้งเดิมของพระองค์ และดังนั้น โดยที่ไม่ได้ใส่พระทัยอันใดเพิ่มเติมว่ามนุษยชาติได้เข้าใจพระองค์หรือไม่ พระองค์ทรงขยับผ่านเรื่องนี้ไปภายในไม่กี่ประโยคเพราะงานของซาตานไม่เกี่ยวข้องกับมนุษยชาติ—ซึ่งมนุษยชาติไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการนี้เลย ตอนนี้เมื่อทิ้งโลกฝ่ายวิญญาณไว้เบื้องหลัง จงมองต่อไปถึงวิธีที่พระเจ้าทรงมีข้อกำหนดของพระองค์กับมนุษยชาติ กล่าวคือ “ขณะที่พักผ่อนอยู่ในที่พำนักของเรา เราเฝ้าสังเกตอย่างใกล้ชิดว่า ผู้คนทั้งปวงบนแผ่นดินโลกวุ่นวายไม่หยุด ‘เดินทางรอบโลก’ และวิ่งเทียวไปเทียวมา ทั้งหมดก็เพื่อโชคชะตาของพวกเขาและอนาคตของพวกเขา แต่กลับไม่มีแม้สักคนที่สงวนพลังงานไว้สำหรับการก่อร่างสร้างราชอาณาจักรของเรา แม้แต่ความพยายามที่ใช้ในการสูดลมหายใจก็ยังมีมากกว่า” หลังจากที่ตรัสทักทายกับมนุษย์ตามมารยาทแล้ว พระเจ้ายังคงไม่ใส่พระทัยในตัวพวกเขา แต่ยังคงตรัสจากมุมมองแห่งพระวิญญาณต่อไป และทรงเปิดเผยรูปการณ์แวดล้อมทั่วไปทั้งมวลในชีวิตของเผ่าพันธุ์มนุษย์โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ เห็นได้ชัดเจนจากวลีที่ว่า “เดินทางรอบโลก” และ “วิ่งเทียวไปเทียวมา” ว่าชีวิตของมนุษย์นั้นไร้ซึ่งเนื้อหาสาระโดยสิ้นเชิง หากไม่ใช่เพราะความรอดอันทรงมหิทธานุภาพของพระเจ้า และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหากไม่ใช่เพราะพวกที่ถือกำเนิดในครอบครัวใหญ่ซึ่งกำลังเสื่อมถอยของเชื้อสายจักรพรรดิของประเทศจีนแล้ว ผู้คนคงมีแนวโน้มที่จะใช้ชีวิตทั้งชีวิตอย่างสูญเปล่ามากยิ่งขึ้นไปอีก และคงเป็นการดีกว่าสำหรับพวกเขาที่จะตกลงสู่แดนคนตายหรือนรกแทนที่จะมายังโลก ภายใต้อำนาจครอบครองของพญานาคใหญ่สีแดง พวกเขาได้ล่วงเกินพระเจ้า โดยที่พวกเขาเองไม่รู้ตัวเลย และดังนั้นจึงตกอยู่ภายใต้การตีสอนของพระเจ้าเป็นธรรมดาและโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงนำเอา “ผู้ที่ได้ทรงช่วยกู้” และ “คนอกตัญญู” มาเทียบให้เห็นความแตกต่างเพื่อที่มนุษย์อาจรู้จักตัวเองชัดเจนมากขึ้น โดยจากการนี้ ทรงสร้างตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับพระคุณที่กำลังช่วยให้รอดของพระองค์ นี่ไม่ทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ทรงประสิทธิภาพยิ่งขึ้นไปอีกหรอกหรือ? แน่นอนว่าเราไม่จำเป็นต้องอธิบายอย่างชัดแจ้งมากนักว่า จากเนื้อหาสาระแห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า ผู้คนสามารถอนุมานได้ว่ามีองค์ประกอบของการตำหนิติเตียน องค์ประกอบของความรอดและการวิงวอน และการตรัสเป็นนัยอีกเล็กน้อยถึงความเศร้า เมื่ออ่านพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนเริ่มรู้สึกเป็นทุกข์ยิ่งโดยไม่ทันรู้สึกตัว และอดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตา… อย่างไรก็ดี พระเจ้าจะไม่ทรงถูกความรู้สึกโศกเศร้าไม่กี่อย่างมายับยั้งไว้ และพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งพระราชกิจในการบ่มวินัยประชากรของพระองค์และสร้างข้อกำหนดกับพวกเขาเนื่องเพราะความเสื่อมทรามของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งมวล เนื่องด้วยเหตุนี้ หัวข้อต่างๆ ของพระองค์จึงกล่าวถึงรูปการณ์แวดล้อมดังเช่นของวันนี้ทันที และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงกล่าวประกาศแก่มนุษยชาติถึงบารมีแห่งประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระองค์เพื่อที่แผนการของพระองค์จะยังคงคืบหน้าต่อไป นี่คือสาเหตุที่พระเจ้าทรงประกาศใช้ธรรมนูญแห่งยุคในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ เพื่อติดตามผลของการนี้ด้วยความเร็วที่เหมาะสมและเพื่อตีเหล็กขณะที่ยังร้อน—เป็นธรรมนูญที่มนุษย์ต้องอ่าน ก่อนที่พวกเขาจะสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ โดยใส่ใจทุกประโยคอย่างรอบคอบ ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องพูดถึงการนี้เพิ่มเติมในขณะนี้ ผู้คนเพียงต้องอ่านอย่างใส่ใจมากขึ้น
วันนี้ พวกเจ้า—ผู้คนที่อยู่ที่นี่กลุ่มนี้—เป็นเพียงกลุ่มเดียวที่สามารถเห็นพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ตาม ในการรู้จักพระเจ้า ผู้คนยุคนี้กลับล้าหลังกว่าบุคคลหนึ่งๆ ในยุคสมัยที่ผ่านมาอย่างมาก นี่ทำให้เห็นได้ชัดเจนเพียงพอว่าซาตานได้ทุ่มเทความพยายามไปมากเพียงใดในตัวผู้คนตลอดเวลาหลายพันปีมานี้ รวมถึงว่าซาตานได้ทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามถึงระดับใด—เป็นระดับที่ร้ายแรงมากเสียจนแม้ว่าพระเจ้าได้ตรัสพระวจนะไปมากมายแล้วก็ตาม มนุษยชาติก็ยังคงไม่เข้าใจและไม่รู้จักพระองค์ แต่กลับกล้าที่จะลุกขึ้นต่อต้านพระองค์อย่างเปิดเผย และดังนั้น พระเจ้าจึงทรงหยิบยกผู้คนของยุคสมัยต่างๆ ในอดีตมาเปรียบเทียบกับผู้คนยุคนี้ เพื่อให้พวกเขาซึ่งขาดสามัญสำนึกและเบาปัญญา มีจุดอ้างอิงอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เนื่องจากมนุษย์ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และเพราะพวกเขาขาดความเชื่ออันแท้จริงในพระองค์ พระเจ้าจึงทรงวินิจฉัยว่ามนุษยชาติขาดพร่องคุณสมบัติและเหตุผล ดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงแสดงให้ผู้คนเห็นถึงความยอมผ่อนปรนและประทานความรอดแก่พวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า การสู้รบในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณดำเนินไปในทำนองนี้ กล่าวคือ เป็นความหวังลมๆ แล้งๆ ของซาตานที่จะทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามถึงระดับหนึ่ง ทำให้โลกเลวทรามและชั่ว แล้วจึงลากผู้คนลงสู่ปลักโคลนพร้อมกับมันและทำลายแผนการของพระเจ้า อย่างไรก็ดี แผนการของพระเจ้านั้นไม่ใช่เพื่อทำให้มนุษยชาติทั้งปวงเป็นผู้คนที่รู้จักพระองค์ แต่ในทางตรงกันข้ามเพื่อเลือกสรรส่วนหนึ่งให้เป็นตัวแทนของส่วนรวม โดยทิ้งที่เหลือไว้เป็นเศษผลิตภัณฑ์ เป็นสินค้ามีตำหนิที่จะถูกโยนลงกองขยะ ด้วยเหตุนี้ แม้ว่าจากมุมมองของซาตาน การเข้าครอบครองปัจเจกบุคคลไม่กี่คนอาจดูเหมือนว่าเป็นโอกาสอันดีเยี่ยมที่จะทำลายแผนการของพระเจ้า แต่คนที่ขาดสามัญสำนึกเช่นซาตานนั้นจะสามารถรู้เจตนารมณ์ของพระเจ้าได้อย่างไร? นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าได้ตรัสไว้เมื่อนานมาแล้วว่า “เราได้ปิดหน้าของเราเพื่อหลีกเลี่ยงการมองดูโลกนี้” พวกเรารู้เกี่ยวกับการนี้เพียงเล็กน้อย และพระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้มนุษย์มีความสามารถที่จะทำสิ่งใด แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงประสงค์ให้พวกเขาระลึกรู้ว่า สิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นเปี่ยมปาฏิหาริย์และมิอาจหยั่งถึงได้ และทรงประสงค์ให้พวกเขามีหัวใจที่ยำเกรงต่อ หากพระเจ้าทรงตีสอนพวกเขาโดยไม่คำนึงถึงรูปการณ์แวดล้อมอย่างที่มนุษย์จินตนาการ เช่นนั้นแล้วโลกทั้งใบก็คงพินาศไปนานแล้ว นี่จะไม่เป็นประหนึ่งการตกลงไปในกับดักของซาตานหรอกหรือ? และดังนั้น พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพียงเพื่อบรรลุดอกผลที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้เท่านั้น แต่แทบจะไม่มีการมาถึงของข้อเท็จจริงต่างๆ นี่ไม่ใช่ตัวอย่างหนึ่งของพระวจนะของพระองค์หรอกหรือ ความว่า “หากเราไม่ได้เวทนาการขาดพร่องคุณสมบัติ เหตุผล และความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของพวกเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็คงพินาศไปท่ามกลางการตีสอนของเรา ถูกกวาดล้างจากการดำรงอยู่ กระนั้นก็ตาม จนกว่างานของเราบนแผ่นดินโลกจะเสร็จสิ้น เราจะยังคงปรานีต่อมวลมนุษย์”?