ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมวลมนุษย์ ด้วยการนั้นจึงเป็นการไถ่มวลมนุษย์จากบาป พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา และการชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตานอย่างถึงที่สุด เหตุใดพระองค์จึงต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองหนเพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์? นัยสำคัญที่แท้จริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์สองหนนี้คืออะไรหรือ?
ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง
“พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ เพื่อจะได้ทรงแบกบาปของคนจำนวนมากไว้ แล้วพระองค์จะทรงปรากฏเป็นครั้งที่สอง ไม่ใช่เพื่อกำจัดบาป แต่เพื่อนำความรอดมาให้บรรดาผู้ที่รอคอยพระองค์ด้วยใจจดจ่อ” (ฮีบรู 9:28)
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
การจุติเป็นมนุษย์ครั้งแรกนั้นก็เพื่อไถ่มนุษย์จากบาป เพื่อไถ่เขาโดยวิถีทางของพระกายเนื้อหนังของพระเยซู นั่นก็คือ พระองค์ได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขน แต่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานยังคงตกค้างอยู่ในตัวมนุษย์ การจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนั้นมิใช่เพื่อทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปอีกต่อไป แต่เพื่อช่วยบรรดาผู้ที่ได้รับการไถ่จากบาปให้รอดอย่างครบถ้วนเสียมากกว่า การนี้ทำไปก็เพื่อที่บรรดาผู้ที่ได้รับการยกโทษไปแล้วอาจได้รับการช่วยให้พ้นจากบาปของพวกเขา และได้รับการทำให้สะอาดอย่างครบถ้วน และหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตานและคืนสู่เบื้องพระบัลลังก์ของพระเจ้าโดยการบรรลุถึงอุปนิสัยที่เปลี่ยนแปลงไป เพียงในหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการทำให้สะอาดบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน หลังจากที่ยุคธรรมบัญญัติได้สิ้นสุดลงและกำลังเริ่มต้นด้วยยุคพระคุณ พระเจ้าได้ทรงเริ่มพระราชกิจแห่งความรอดซึ่งดำเนินต่อมาจนถึงยุคสุดท้ายที่พระองค์จะทรงชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ในการพิพากษาและการตีสอนเผ่าพันธุ์มนุษย์สำหรับความเป็นกบฏของพวกเขา เมื่อนั้นเท่านั้นพระเจ้าจึงจะทรงสรุปพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์และเข้าสู่การพักผ่อน ดังนั้น ในสามระยะของพระราชกิจ มีเพียงสองระยะเท่านั้นที่พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อดำเนินพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์โดยพระองค์เอง นั่นเป็นเพราะว่า มีเพียงหนึ่งในสามช่วงระยะของพระราชกิจเท่านั้นที่ทรงนำมนุษย์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขา ในขณะที่อีกสองนั้นประกอบด้วยพระราชกิจแห่งการช่วยให้รอด ด้วยการบังเกิดเป็นมนุษย์เท่านั้นพระเจ้าจึงจะสามารถดำรงพระชนม์ชีพเคียงข้างไปกับมนุษย์ รับประสบการณ์ความทุกข์ของโลกนี้ และดำรงพระชนม์ชีพในพระกายเนื้อหนังปกติได้ เพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์สามารถจัดหาให้กับมนุษย์ในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงที่พวกเขาจำเป็นต้องมีในฐานะสิ่งมีชีวิตซึ่งทรงสร้าง โดยผ่านทางการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านี่เองมนุษย์จึงได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้าอย่างครบถ้วน และไม่ใช่โดยตรงจากสวรรค์ในคำตอบของคำอธิษฐานของเขา เนื่องจากสำหรับมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนัง เขาไม่มีหนทางที่จะมองเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่จะเข้าหาพระวิญญาณของพระองค์ ทั้งหมดที่มนุษย์สามารถมาติดต่อได้คือเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ และเพียงด้วยวิถีทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจหนทางทั้งหมดและความจริงทั้งหมดและได้รับความรอดอย่างครบถ้วน การจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองนี้จะเพียงพอสำหรับการชะล้างบาปทั้งหลายจากมนุษย์ และทำให้เขาบริสุทธิ์อย่างครบถ้วน ด้วยเหตุนี้ พระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าในเนื้อหนังก็จะปิดตัวลงและนัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าจึงได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์ด้วยการทรงจุติครั้งที่สองนี่เอง นับแต่นั้นมาพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังจึงจะได้มาถึงปลายทางอย่างบริบูรณ์ ภายหลังการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง พระองค์จะไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เป็นครั้งที่สามเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ เพราะการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์จะได้มาถึงปลายทางแล้ว การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายจะได้รับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรไว้อย่างครบถ้วน และมนุษยชาติในยุคสุดท้ายทั้งหมดจะถูกแบ่งชนชั้นไปตามประเภท พระองค์จะไม่ทรงพระราชกิจแห่งความรอดและจะไม่ทรงกลับคืนสู่เนื้อหนังเพื่อทรงพระราชกิจใดอีกต่อไป
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)
ในกาลเวลาที่พระเยซูได้กำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่นั้น ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระองค์เป็นบุตรของดาวิด และป่าวประกาศว่าพระองค์เป็นผู้เผยวจนะที่ยิ่งใหญ่ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีความกรุณามากมายผู้ซึ่งได้ทรงไถ่บาปทั้งหลายของมนุษย์ ด้วยความเชื่อที่แข็งแกร่งของพวกเขา บางคนก็ได้รับการรักษาแค่จากการที่สัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระองค์ คนตาบอดได้สามารถมองเห็น และแม้แต่คนตายก็สามารถคืนชีวิตมาได้ อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะค้นพบอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานซึ่งฝังรากลึกอยู่ภายในตัวเขาได้ อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งมันไปอย่างไร มนุษย์ได้รับพระคุณมามากมาย อาทิ สันติสุขและความสุขของเนื้อหนัง ความเชื่อของสมาชิกหนึ่งคนที่นำมาซึ่งพรต่อทั้งครอบครัว การรักษาอาการป่วย และอื่นๆ ที่เหลือก็คือความประพฤติที่ดีของมนุษย์และรูปลักษณ์ตามแบบพระเจ้าของเขา หากใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมได้ถูกถือว่าเป็นผู้เชื่อที่ยอมรับได้ เฉพาะผู้เชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่อาจสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้หลังจากความตาย ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด แต่ทว่าในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจหนทางของชีวิตเลยสักนิด ทั้งหมดที่พวกเขาทำลงไปก็คือการทำบาปแล้วก็สารภาพบาปของพวกเขาอย่างเป็นวัฏจักรสม่ำเสมอโดยไม่มีเส้นทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเลย เช่นนั้นเองที่เป็นสภาพเงื่อนไขของมนุษย์ในยุคพระคุณ มนุษย์ได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์แล้วหรือยังหนอ? ยัง! ดังนั้นภายหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนั้นได้แล้วเสร็จลง ยังคงมีพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนค้างอยู่ ช่วงระยะนี้คือการทำให้มนุษย์บริสุทธิ์โดยวิถีทางของพระวจนะ และด้วยการนั้นจึงเป็นการให้เส้นทางสำหรับเขาที่จะติดตาม ช่วงระยะนี้คงจะไม่ออกผลหรือเปี่ยมความหมายหากมันดำเนินต่อไปด้วยการขับไล่ปีศาจ เพราะมันคงจะล้มเหลวที่จะขุดรากถอนโคนธรรมชาติบาปของมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่การยกโทษบาปของเขา มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังไม่ทรงได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก เพราะฉะนั้น การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)
พระเจ้าในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของการจุติเป็นมนุษย์จนครบบริบูรณ์ พระองค์ทรงเพียงแต่ปฏิบัติพระราชกิจในขั้นตอนแรกที่พระเจ้าทรงจำเป็นต้องปฏิบัติในเนื้อหนังให้ครบบริบูรณ์เท่านั้น ดังนั้น เพื่อให้พระราชกิจของการจุติเป็นมนุษย์ลุล่วง พระเจ้าได้ทรงกลับมายังเนื้อหนังอีกครั้ง และดำเนินพระชนม์ชีพตามความเป็นปกติทั้งหมดและความเป็นจริงทั้งหมดของเนื้อหนัง นั่นคือ ทำให้พระวจนะของพระเจ้าได้รับการสำแดงในเนื้อหนังที่ปกติธรรมดาทั้งหมด และด้วยการนั้น จึงทำให้พระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำไม่เสร็จสิ้นในเนื้อหนังได้สรุปปิดตัวลง โดยแก่นสารแล้ว เนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองเป็นเหมือนกับเนื้อหนังแรก แต่เป็นจริงมากยิ่งกว่า เป็นปกติมากยิ่งกว่าเนื้อหนังแรก ดังนั้นแล้ว ความทุกข์ที่เนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองสู้ทนจึงมากกว่าของเนื้อหนังครั้งที่หนึ่ง แต่ความทุกข์นี้เป็นผลจากพันธกิจของพระองค์ของในเนื้อหนัง ซึ่งไม่เหมือนกับความทุกข์ของมนุษย์ที่ถูกทำให้เสื่อมทราม นอกจากนี้ยังเกิดจากความเป็นปกติและความเป็นจริงของเนื้อหนังของพระองค์ด้วย เพราะพระองค์ทรงปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ในเนื้อหนังที่ปกติและเป็นจริงอย่างที่สุด เนื้อหนังนี้จึงต้องสู้ทนความยากลำบากมากมาย ยิ่งเนื้อหนังนี้เป็นปกติและเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด พระองค์ก็จะยิ่งทรงทนทุกข์ในการปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ยิ่งขึ้นเท่านั้น พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในเนื้อหนังสามัญอย่างยิ่ง เนื้อหนังที่ไม่ได้เกินธรรมชาติเลย เนื่องจากเนื้อหนังของพระองค์ปกติและยังต้องรับภาระพระราชกิจในการช่วยมนุษย์ให้รอดเช่นกัน พระองค์จึงทรงทนทุกข์ในระดับที่มากยิ่งกว่าที่เนื้อหนังที่เกินธรรมชาติจะเป็น—และความทุกข์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากความเป็นจริงและความเป็นปกติของเนื้อหนังนี้ คนเราสามารถมองเห็นแก่นสารของเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ได้จากความทุกข์ที่เนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์สองครั้งได้ก้าวผ่านขณะที่ปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ทั้งหลาย ยิ่งเนื้อหนังเป็นปกติมากขึ้นเท่าใด ความยากลำบากที่พระองค์ต้องทรงสู้ทนขณะที่ทรงปฏิบัติพระราชกิจก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งเนื้อหนังที่ดำเนินพระราชกิจเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด มโนคติอันหลงผิดของผู้คนก็ยิ่งรุนแรงมากขึ้นเท่านั้น และภยันตรายก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะบังเกิดกับพระองค์มากขึ้นเท่านั้น แต่กระนั้น ยิ่งเนื้อหนังเป็นจริงมากขึ้นเท่าใด และยิ่งเนื้อหนังมีความต้องการและประสาทสัมผัสทั้งหมดของมนุษย์ที่ปกติมากขึ้นเท่าใด พระองค์ก็ยิ่งจะทรงมีความสามารถในการรับพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังมากขึ้นเท่านั้น เนื้อหนังของพระเยซูคือเนื้อหนังที่ถูกตรึงกางเขน เนื้อหนังของพระองค์ที่พระองค์ทรงละวางในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป พระองค์ทรงเอาชนะซาตานและช่วยมนุษย์ให้รอดจากกางเขนได้อย่างบริบูรณ์ด้วยการใช้เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และพระเจ้าในการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระองค์ทรงประกอบพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยและเอาชนะซาตานในฐานะเนื้อหนังที่ครบบริบูรณ์ เนื้อหนังที่ปกติและเป็นจริงอย่างบริบูรณ์เท่านั้นที่สามารถกระทำพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั้งหมดทั้งมวลและเป็นคำพยานที่ทรงพลัง กล่าวคือ การพิชิตชัยของมนุษย์ได้รับการทำให้เกิดประสิทธิผลโดยผ่านทางความเป็นจริงและความเป็นปกติของพระเจ้าในเนื้อหนัง ไม่ใช่โดยผ่านทางการอัศจรรย์เกินธรรมชาติและวิวรณ์ พันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นี้คือการพูด และด้วยการนั้นจึงพิชิตและทำให้มนุษย์เพียบพร้อม กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจของพระวิญญาณที่ได้เป็นจริงในเนื้อหนัง นั่นคือหน้าที่ของเนื้อหนัง คือการพูด และด้วยการนั้นจึงพิชิต เผย ทำให้เพียบพร้อม และกำจัดมนุษย์อย่างบริบูรณ์ และดังนั้นแล้ว พระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังจึงจะสำเร็จลุล่วงอย่างครบถ้วนในพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย พระราชกิจแห่งการไถ่ในครั้งแรกเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของพระราชกิจแห่งการจุติเป็นมนุษย์ เนื้อหนังที่กระทำพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจะปฏิบัติพระราชกิจแห่งการจุติเป็นมนุษย์ทั้งหมดให้ครบบริบูรณ์ ในด้านเพศ การจุติครั้งหนึ่งเป็นชายและอีกครั้งหนึ่งเป็นหญิง ดังนั้นจึงทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์ และขจัดมโนคติที่หลงผิดที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้า กล่าวคือ พระเจ้าสามารถบังเกิดเป็นได้ทั้งชายและหญิง และโดยแก่นสารแล้ว พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นไร้เพศ พระองค์ทรงสร้างทั้งชายและหญิง และสำหรับพระองค์แล้วไม่มีการแบ่งแยกของเพศ ในพระราชกิจในช่วงระยะนี้ พระเจ้าไม่ได้ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อให้พระราชกิจสัมฤทธิ์ผลลัพธ์โดยการใช้พระวจนะ ยิ่งไปกว่านั้น เหตุผลสำหรับการนี้เป็นเพราะพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ในครั้งนี้ไม่ใช่การรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ แต่เป็นการพิชิตมนุษย์โดยการพูด กล่าวได้ว่าความสามารถโดยกำเนิดที่เนื้อหนังของพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์นี้มีคือการพูดพระวจนะและพิชิตมนุษย์ ไม่ใช่การรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ พระราชกิจของพระองค์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติไม่ใช่การแสดงการอัศจรรย์ ไม่ใช่การรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจ แต่เป็นการพูด และดังนั้น สำหรับผู้คนแล้ว เนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองจึงดูเป็นปกติมากกว่าครั้งแรก ผู้คนมองเห็นว่าการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องโกหก แต่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์องค์นี้ทรงแตกต่างจากพระเยซูผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์ต่างเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่ทั้งสองพระองค์ก็ไม่ได้ทรงเป็นสิ่งเดียวกันไปทั้งหมด พระเยซูทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ธรรมดา แต่พระองค์ทรงมีหมายสำคัญและการอัศจรรย์มากมายเสริมเพิ่มเติมด้วย ในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นี้ ตาของมนุษย์จะมองไม่เห็นหมายสำคัญหรือการอัศจรรย์ ไม่เห็นทั้งการรักษาคนป่วยและการขับไล่ปีศาจ ไม่เห็นทั้งการเดินบนทะเล ไม่เห็นทั้งการอดอาหารนานสี่สิบวัน…พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจเดียวกันกับที่พระเยซูทรงปฏิบัติ ไม่ใช่เพราะว่าโดยแก่นสารแล้วเนื้อหนังของพระองค์แตกต่างจากเนื้อหนังของพระเยซู แต่เป็นเพราะว่าการรักษาคนป่วยและการขับไล่ปีศาจไม่ใช่พันธกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงทำลายพระราชกิจของพระองค์เอง และไม่รบกวนพระราชกิจของพระองค์เอง เนื่องจากพระองค์ทรงพิชิตมนุษย์โดยผ่านทางพระวจนะที่แท้จริงของพระองค์ จึงไม่มีความจำเป็นต้องทำให้การอัศจรรย์อยู่เหนือพระองค์ และดังนั้นช่วงระยะนี้จึงเป็นไปเพื่อทำพระราชกิจแห่งการจุติเป็นมนุษย์ให้ครบบริบูรณ์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ
นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่หนึ่งคือ มนุษย์ที่ปกติธรรมดากระทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นคือ พระเจ้าทรงประกอบพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ และเช่นนั้นจึงกำราบซาตาน การจุติเป็นมนุษย์หมายความว่า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระราชกิจที่เนื้อหนังกระทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณ ซึ่งทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง แสดงออกโดยเนื้อหนัง ไม่มีผู้ใดเว้นแต่เนื้อหนังของพระเจ้าที่สามารถทำให้พันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ลุล่วง นั่นคือ มีเพียงเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินี้เท่านั้น—และไม่มีผู้อื่นใด—ที่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าได้ หากในระหว่างการเสด็จมาครั้งแรก พระเจ้าไม่ได้ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติก่อนพระชันษายี่สิบเก้าปี—หากพระองค์สามารถแสดงการอัศจรรย์ได้ทันทีที่พระองค์ประสูติ หากพระองค์สามารถพูดภาษาของสวรรค์ได้ทันทีที่พระองค์ทรงเรียนรู้ที่จะพูด หากพระองค์สามารถเข้าใจเรื่องราวทางโลกทั้งหมด วินิจฉัยความคิดและเจตนาของทุกคนในชั่วขณะที่พระองค์ทรงย่างพระบาทครั้งแรกบนโลก—บุคคลเช่นนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเนื้อหนังเช่นนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเนื้อหนังของมนุษย์ หากเป็นเช่นนี้กับพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วความหมายและแก่นสารของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คงจะสูญสิ้นไป การที่พระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าซึ่งจุติเป็นมนุษย์ในเนื้อหนัง ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงก้าวผ่านกระบวนการเติบโตของมนุษย์ที่ปกติยังแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นเนื้อหนังที่ปกติ ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกิจของพระองค์เป็นหลักฐานเพียงพอว่าพระองค์ทรงเป็นพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เนื่องจากความจำเป็นของพระราชกิจของพระองค์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจช่วงระยะนี้ต้องดำเนินการเสร็จสิ้นในเนื้อหนัง ต้องกระทำในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับ “พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” และสำหรับ “การทรงปรากฏของพระวจนะในเนื้อหนัง” และเป็นเรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังการจุติเป็นมนุษย์สองครั้งของพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ
เหตุใดเราจึงพูดว่าความหมายของการจุติเป็นมนุษย์ไม่ได้ครบบริบูรณ์ในพระราชกิจของพระเยซู? นั่นเป็นเพราะพระวจนะไม่ได้กลายมาเป็นเนื้อหนังทั้งหมด สิ่งที่พระเยซูทรงทำเป็นเพียงส่วนหนึ่งของพระราชกิจในเนื้อหนังของพระเจ้า พระองค์ทรงปฏิบัติเพียงพระราชกิจแห่งการไถ่ และไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการได้รับมนุษย์อย่างบริบูรณ์ ด้วยเหตุผลนี้ พระเจ้าจึงทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย พระราชกิจช่วงระยะนี้ยังเสร็จสิ้นในเนื้อหนังที่ธรรมดา กระทำโดยมนุษย์ที่ปกติอย่างที่สุด มนุษย์ที่สภาวะความเป็นมนุษย์ไม่ได้เหนือธรรมชาติแม้แต่น้อย กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าได้ทรงกลายเป็นมนุษย์อย่างบริบูรณ์ พระองค์ทรงเป็นผู้ที่มีพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า มนุษย์ที่บริบูรณ์ เนื้อหนังที่บริบูรณ์ ผู้ที่กำลังปฏิบัติพระราชกิจ ตาของมนุษย์มองเห็นกายที่มีเนื้อหนังที่ไม่ได้เหนือธรรมชาติเลย ผู้ที่ธรรมดายิ่งที่สามารถพูดภาษาของสวรรค์ ผู้ที่ไม่แสดงหมายสำคัญมหัศจรรย์ใดๆ ไม่แสดงการอัศจรรย์ใดๆ นับประสาอะไรที่จะเผยความจริงภายในเกี่ยวกับศาสนาในหอประชุมที่ยิ่งใหญ่ สำหรับผู้คนแล้ว พระราชกิจของเนื้อหนังซึ่งพระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองดูไม่เหมือนกับของครั้งแรกเอาเสียเลย ไม่เหมือนมากจนเนื้อหนังทั้งสองครั้งดูไม่มีสิ่งใดร่วมกันเลย และไม่มีสิ่งใดในพระราชกิจครั้งที่หนึ่งที่สามารถพบได้ในครั้งนี้ แม้ว่าพระราชกิจของเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองจะแตกต่างจากครั้งแรก นั่นก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าแหล่งกำเนิดของทั้งสองครั้งไม่ได้เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งเดียวกัน แหล่งกำเนิดของทั้งสองครั้งจะเป็นสิ่งเดียวกันหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับธรรมชาติของพระราชกิจที่เนื้อหนังทั้งสองได้กระทำ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเปลือกนอกของเนื้อหนังนั้น ในระหว่างพระราชกิจสามช่วงระยะของพระองค์ พระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์สองครั้ง และในทั้งสองครั้งพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ก็เปิดฉากยุคใหม่และนำพระราชกิจใหม่เข้ามา การจุติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งนั้นเสริมซึ่งกันและกัน เป็นไปไม่ได้เลยที่ตามนุษย์จะบอกได้ว่าเนื้อหนังทั้งสองมาจากแหล่งกำเนิดเดียวกันจริงๆ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านี่อยู่เหนือความสามารถของตามนุษย์หรือจิตใจมนุษย์ แต่ในแก่นสารของเนื้อหนังทั้งสองแล้วเป็นสิ่งเดียวกัน เพราะพระราชกิจของเนื้อหนังทั้งสองมีจุดเริ่มต้นจากพระวิญญาณเดียวกัน เนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งจะเกิดขึ้นจากแหล่งกำเนิดเดียวกันหรือไม่นั้นไม่สามารถตัดสินได้โดยยุคและสถานที่ที่เนื้อหนังทั้งสองเกิดขึ้นหรือปัจจัยดังกล่าวอื่นๆ แต่ตัดสินได้โดยพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าที่เนื้อหนังทั้งสองได้แสดงออก เนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองไม่ได้กระทำพระราชกิจใดๆ ที่พระเยซูทรงได้กระทำ เพราะพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้ยึดติดอยู่กับแบบแผน แต่เปิดเส้นทางใหม่ๆ ในแต่ละครั้ง เนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ครั้งที่สองไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเพื่อจะทำให้ความประทับใจที่จิตใจของผู้คนมีเกี่ยวกับเนื้อหนังครั้งแรกลึกซึ้งหรือแข็งแกร่งยิ่งขึ้น แต่เพื่อเสริมและทำให้ความประทับใจนั้นเพียบพร้อม เพื่อทำให้ความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้าลึกซึ้งขึ้น เพื่อทำลายกฎทั้งหมดที่มีอยู่ในหัวใจของผู้คน และเพื่อขจัดภาพเกี่ยวกับพระเจ้าที่ไม่ถูกต้องในหัวใจของพวกเขา สามารถกล่าวได้ว่าไม่มีช่วงระยะใดของพระราชกิจของพระเจ้าเองที่สามารถให้ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าอย่างบริบูรณ์แก่มนุษย์ แต่ละช่วงระยะให้ความรู้เพียงส่วนหนึ่ง ไม่ใช่ทั้งหมด แม้ว่าพระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ทั้งหมด แต่เพราะศักยภาพในการทำความเข้าใจที่จำกัดของมนุษย์ ความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าจึงยังคงไม่บริบูรณ์ เป็นไปไม่ได้เลยที่จะสื่อสารถึงทั้งหมดทั้งปวงของพระอุปนิสัยของพระเจ้าโดยใช้ภาษาของมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์จะสามารถแสดงออกถึงพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ได้อย่างไร? พระองค์ทรงพระราชกิจในเนื้อหนังภายใต้การบังตาด้วยสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์ และคนเราสามารถรู้จักพระองค์ได้จากการแสดงออกถึงเทวสภาพของพระองค์เท่านั้น ไม่ใช่จากเปลือกร่างกายของพระองค์ พระเจ้าเสด็จมาในเนื้อหนังเพื่อให้มนุษย์สามารถรู้จักพระองค์ได้โดยวิถีทางแห่งพระราชกิจทั้งหลายของพระองค์ และไม่มีช่วงระยะสองช่วงใดๆ ของพระราชกิจของพระองค์ที่เหมือนกัน มนุษย์สามารถมีความรู้ที่ครบถ้วนเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าในเนื้อหนังได้ในหนทางนี้เท่านั้น ซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดขอบเขตอยู่ในด้านเหลี่ยมมุมหนึ่งเดียว
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ
พระราชกิจในช่วงระยะที่พระเยซูได้ทรงปฏิบัตินั้นเพียงแค่ทำให้เนื้อแท้ของ “พระวจนะทรงอยู่กับพระเจ้า” ลุล่วงไปเท่านั้น กล่าวคือ ความจริงเรื่องพระเจ้าทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวิญญาณของพระเจ้าทรงอยู่กับเนื้อหนังและไม่สามารถแยกจากเนื้อหนังนั้นได้ นั่นคือ เนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นอยู่กับพระวิญญาณของพระเจ้า ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์อันยิ่งใหญ่ยิ่งขึ้นว่าพระเยซูผู้ซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ครั้งแรกของพระเจ้า พระราชกิจช่วงระยะนี้ทำให้ความหมายภายในของคำว่า “พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” ลุล่วงไปอย่างแท้จริง ให้ความหมายที่ลึกยิ่งขึ้นต่อคำว่า “พระวจนะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวจนะทรงเป็นพระเจ้า” และเปิดโอกาสให้เจ้าเชื่ออย่างมั่นคงในพระวจนะที่ว่า “ในปฐมกาลพระวจนะทรงดำรงอยู่” กล่าวคือ ณ เวลาแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งพระเจ้าทรงถูกครอบครองโดยพระวจนะ พระวจนะของพระองค์ทรงอยู่กับพระองค์และไม่สามารถแยกจากพระองค์ได้ และในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงทำให้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระวจนะของพระองค์แจ่มชัดยิ่งขึ้นไปอีก และเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้เห็นหนทางทั้งหมดของพระองค์—ได้ยินพระวจนะทั้งหมดของพระองค์ เช่นนั้นคือพระราชกิจของยุคสุดท้าย เจ้าจะต้องมาเข้าใจสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างทะลุปรุโปร่ง มันไม่ใช่ประเด็นเกี่ยวกับการรู้จักเนื้อหนัง แต่เกี่ยวกับว่าเจ้าเข้าใจเนื้อหนังและพระวจนะอย่างไร นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องเป็นคำพยาน สิ่งที่ทุกคนต้องรู้ เนื่องจากนี่เป็นพระราชกิจของการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง—และเป็นครั้งสุดท้ายที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์—จึงทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์นั้นครบบริบูรณ์อย่างเต็มเปี่ยม ดำเนินการและส่งพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าในเนื้อหนังออกไปอย่างละเอียดถี่ถ้วน และนำยุคแห่งการทรงเป็นมนุษย์ของพระเจ้าไปสู่บทอวสาน
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)
ในระหว่างยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ตรัสพระวจนะเพื่อพิชิตทุกคนผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์ นี่คือ “พระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์” พระเจ้าได้เสด็จมาในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจนี้ กล่าวคือ พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์ พระองค์เพียงตรัสพระวจนะเท่านั้น และแทบจะไม่มีการมาถึงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย นี่คือแก่นแท้จริงๆ ของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และเมื่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ตรัสพระวจนะของพระองค์ นี่เป็นการทรงปรากฏของพระวจนะในมนุษย์ และเป็นพระวจนะซึ่งกำลังทรงมาเป็นมนุษย์ “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า และพระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์” นี่ (พระราชกิจแห่งการทรงปรากฏของพระวจนะเป็นมนุษย์) คือพระราชกิจซึ่งพระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงในยุคสุดท้าย และเป็นบทสุดท้ายของแผนการบริหารจัดการทั้งสิ้นทั้งมวลของพระองค์ และดังนั้นพระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกและทรงสำแดงพระวจนะของพระองค์ในมนุษย์ สิ่งซึ่งถูกทำให้สำเร็จวันนี้ สิ่งซึ่งจะถูกทำให้สำเร็จในภายภาคหน้า สิ่งซึ่งจะถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยพระเจ้า บั้นปลายสุดท้ายของมนุษย์ บรรดาผู้ที่จะได้รับการช่วยให้รอด พวกที่จะถูกทำลาย เป็นต้น—ทั้งหมดของพระราชกิจนี้ซึ่งควรถูกทำให้สัมฤทธิ์ผลในท้ายที่สุดได้ถูกระบุไว้แล้วทั้งหมดอย่างชัดเจน และเป็นไปทั้งหมดก็เพื่อที่จะสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ประกาศกฤษฎีกาบริหารและธรรมนูญซึ่งถูกบัญญัติขึ้นก่อนหน้านั้น พวกที่จะถูกทำลาย บรรดาผู้ที่จะเข้าสู่การหยุดพัก—พระวจนะเหล่านี้ทั้งหมดจะต้องถูกทำให้ลุล่วง นี่คือพระราชกิจซึ่งถูกทำให้สำเร็จลุล่วงเป็นหลักโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย พระองค์ทรงทำให้ผู้คนเข้าใจว่าบรรดาผู้ที่ถูกกำหนดชะตาไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้าเป็นของที่แห่งใด และพวกที่ไม่ได้ถูกกำหนดชะตาไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้าเป็นของที่แห่งใด ประชากรและบรรดาบุตรของพระองค์จะถูกแยกประเภทอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นต่ออิสราเอล จะเกิดอะไรขึ้นต่ออียิปต์—ในภายภาคหน้า ทุกๆ ถ้อยคำของพระวจนะเหล่านี้จะถูกทำให้สำเร็จลุล่วง ก้าวย่างของพระราชกิจของพระเจ้ากำลังเร่งความเร็วขึ้น พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเป็นวิถีทางที่จะเปิดเผยต่อมนุษย์ถึงสิ่งซึ่งจะต้องถูกทำให้เสร็จสิ้นในทุกยุค สิ่งซึ่งจะต้องถูกทำให้เสร็จสิ้นโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และพันธกิจของพระองค์ซึ่งจะต้องได้รับการปฏิบัติ และพระวจนะเหล่านี้เป็นไปทั้งหมดเพื่อที่จะสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ