ฉันได้เชื่อในองค์พระเยซูเจ้ามาหลายปี และแม้ว่า ฉันตระหนักรู้ว่า องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจความจริงอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการทรงจุติเป็นมนุษย์ หากว่าตอนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์ทรงปรากฏดังที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปรากฏจริงๆ โดยทรงพระราชกิจในฐานะบุตรมนุษย์ เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะระลึกได้ว่าเป็นพระองค์ หรือถวายการต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์ ฉันรู้สึกว่าการทรงจุติเป็นมนุษย์เป็นข้อล้ำลึกประการหนึ่ง และมีผู้คนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่เข้าใจความจริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์ กรุณาสามัคคีธรรมกับฉันว่า การทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นคือสิ่งใดกันแน่

วันที่ 07 เดือน 11 ปี 2020

คำถาม 1: ตลอดหลายปีในศรัทธาของผม นอกจากรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แล้ว ผมไม่ได้เข้าใจความจริงเรื่องการจุติเป็นมนุษย์เลย ถ้าการทรงปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้าในการเสด็จมาครั้งที่สองนั้นเหมือนกับวิธีที่องค์พระเยซูเจ้าทรงจุติเป็นบุตรมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ งั้นเราก็จะไม่สามารถจำองค์พระเยซูเจ้าได้ เราจะไม่สามารถต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ ผมเชื่อว่าการจุติเป็นมนุษย์เป็นความล้ำลึกอย่างยิ่ง มีไม่กี่คนที่สามารถเข้าใจความจริงของการจุติเป็นมนุษย์ได้อย่างแท้จริง งั้นวันนี้มาเข้าสนิทในเรื่องนี้กันเถอะ การจุติเป็นมนุษย์คืออะไรกันแน่

ตอบ: สำหรับคำถามที่ว่าการจุติเป็นมนุษย์นี้คืออะไรและพระคริสต์คืออะไร พวกคุณพูดได้ว่า นี่คือความล้ำลึกของความจริงที่ไม่มีผู้เชื่อคนไหนเข้าใจ แม้ว่าเป็นเวลาหลายพันปีที่ผู้เชื่อได้รู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าซึ่งจุติเป็นมนุษย์ แต่ไม่มีใครเข้าใจการจุติเป็นมนุษย์นี้และเนื้อแท้จริงๆ ของการจุติเป็นมนุษย์นี้เลย มีเพียงตอนนี้ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายได้เสด็จมา ความล้ำลึกของความจริงในด้านนี้จึงถูกเปิดเผยต่อมนุษย์ มาดูกันว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงว่าไว้ยังไง: “‘การจุติเป็นมนุษย์’ คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น เพื่อที่พระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ทรงต้องเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง คือว่าพระเจ้าในแก่นสารที่แท้จริงของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงกลายเป็นมนุษย์(“—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ)

พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เรียกว่าพระคริสต์ และพระคริสต์คือเนื้อหนังมนุษย์ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงจุติมา เนื้อหนังมนุษย์นี้ไม่เหมือนกับมนุษย์คนใดที่มีเนื้อหนัง ความแตกต่างนี้เป็นเพราะว่า พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นเนื้อและเลือด พระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ พระองค์ทรงมีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองเทวสภาพของพระองค์ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ช่วยในการทำกิจกรรมตามปกติทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง ในขณะที่เทวสภาพของพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง(“—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของพระคริสต์คือการเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์)

พระคริสต์ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติทรงเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณทรงได้เป็นจริงขึ้น และทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ประสาทสัมผัสที่ปกติ และความคิดของมนุษย์ ‘การได้เป็นจริง’ หมายถึงพระเจ้าทรงกลายเป็นมนุษย์ พระวิญญาณทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ กล่าวอย่างง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นคือ นั่นคือเวลาที่พระเจ้าพระองค์เองทรงประทับในเนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และทรงแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าของพระองค์โดยผ่านทางเนื้อหนังนี้—นี่คือความหมายของการได้เป็นจริง หรือจุติเป็นมนุษย์(“—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ)

เพราะพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่มีแก่นสารของพระเจ้า พระองค์จึงทรงอยู่เหนือมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งปวง เหนือมนุษย์คนใดๆ ที่สามารถกระทำพระราชกิจของพระเจ้าได้ และดังนั้นแล้ว ท่ามกลางทุกคนที่มีเปลือกมนุษย์เช่นเดียวกับของพระองค์ ท่ามกลางทุกคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์แล้ว มีเพียงพระองค์ที่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์—ผู้คนอื่นๆ ทั้งหมดต่างเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้น แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นไม่มีสิ่งใดนอกจากสภาวะความเป็นมนุษย์ ในขณะที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นแตกต่างออกไป นั่นคือ ในเนื้อหนังของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีเพียงแค่สภาวะความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ พระองค์ทรงมีเทวสภาพด้วยเช่นกัน สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์สามารถมองเห็นได้ในการปรากฏภายนอกของเนื้อหนังของพระองค์และในพระชนม์ชีพแต่ละวันของพระองค์ แต่เทวสภาพของพระองค์นั้นล่วงรู้ได้ยาก เนื่องจากเทวสภาพของพระองค์แสดงออกเมื่อพระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้เกินธรรมชาติเหมือนดังที่ผู้คนจินตนาการไว้ว่าจะเป็น จึงเป็นการยากยิ่งที่ผู้คนจะมองเห็น…เนื่องจากพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ แก่นสารของพระองค์จึงเป็นการรวมกันระหว่างสภาวะความเป็นมนุษย์และเทวสภาพ การรวมกันนี้เรียกว่าพระเจ้าพระองค์เอง พระเจ้าพระองค์เองบนแผ่นดินโลก(“—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ)

จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราเห็นว่าการทรงจุติเป็นมนุษย์คือพระวิญญาณพระเจ้าที่ทรงสวมใส่เนื้อหนัง นั่นก็คือ พระวิญญาณพระเจ้าบังเกิดขึ้นมาในเนื้อหนังพร้อมความเป็นมนุษย์ที่ปกติและการคิดแบบมนุษย์ปกติ และเพราะแบบนั้น ทรงกลายเป็นคนธรรมดาทั่วไปที่ทรงพระราชกิจและตรัสท่ามกลางมนุษย์ เนื้อหนังนี้มีความเป็นมนุษย์ที่ปกติ แต่มีเทวสภาพโดยสมบูรณ์ด้วย แม้ว่าในการทรงปรากฏภายนอก เนื้อหนังของพระองค์จะดูปกติธรรมดา แต่พระองค์สามารถทรงพระราชกิจของพระเจ้า สามารถทรงแสดงพระสุรเสียงของพระเจ้า และทรงนำและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด นี่เป็นเพราะพระองค์มีเทวสภาพโดยสมบูรณ์ เทวสภาพโดยสมบูรณ์หมายถึงทั้งหมดที่พระวิญญาณพระเจ้าครอบครอง พระอุปนิสัยภายในเนื้อแท้ของพระเจ้า เนื้อแท้ที่บริสุทธิ์และชอบธรรมของพระเจ้า ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระเจ้า และสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ได้บังเกิดขึ้นในเนื้อหนัง เนื้อหนังนี้คือพระคริสต์ คือพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงผู้ทรงอยู่บนแผ่นดินโลกนี้เพื่อทรงพระราชกิจและช่วยมวลมนุษย์ให้รอด จากการทรงปรากฏภายนอกของพระองค์ พระคริสต์ทรงเป็นบุตรมนุษย์ปกติธรรมดา แต่โดยเนื้อแท้ของพระองค์นั้นแตกต่างจากมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นใดๆ มนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมีเพียงความเป็นมนุษย์เท่านั้น เขาไม่มีวี่แววของเนื้อแท้ที่เป็นของพระเจ้าแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ ยังไงก็ตาม พระคริสต์ไม่ได้ทรงมีความเป็นมนุษย์ที่ปกติเท่านั้น ที่สำคัญกว่านั้นคือพระองค์มีเทวสภาพที่สมบูรณ์ เช่นนี้ พระองค์ทรงมีเนื้อแท้ของพระเจ้า พระองค์สามารถทรงเป็นตัวแทนพระเจ้าโดยสมบูรณ์ ทรงแสดงความจริงในฐานะพระเจ้าพระองค์เอง ทรงแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทรงประทานความจริง หนทาง และชีวิตให้มนุษย์ ไม่มีมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นคนไหนที่มีความสามารถแบบนั้น พระคริสต์ทรงพระราชกิจและตรัส ทรงแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ในเนื้อหนังของพระองค์ ไม่ว่าพระองค์ทรงแสดงพระวจนะของพระเจ้าและทรงพระราชกิจของพระเจ้ายังไง พระองค์ก็ทรงทำภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติเสมอ พระองค์ทรงมีเนื้อหนังปกติ ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติเกี่ยวกับพระองค์เลย นี่พิสูจน์ว่าพระเจ้าได้เสด็จมาอยู่ในเนื้อหนังนั้น พระองค์ได้ทรงกลายเป็นมนุษย์ทั่วไปแล้ว เนื้อหนังปกติธรรมดานี้ได้ทำให้ข้อเท็จจริงของ “พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์” ให้ลุล่วง พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เพราะพระคริสต์ทรงมีเทวสภาพที่สมบูรณ์ พระองค์สามารถทรงเป็นตัวแทนพระเจ้า ทรงแสดงความจริง และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ เพราะพระคริสต์ทรงมีเทวสภาพที่สมบูรณ์ พระองค์สามารถทรงแสดงพระวจนะของพระเจ้าโดยตรง ไม่ใช่แค่ทรงถ่ายทอดหรือส่งผ่านพระวจนะของพระเจ้า พระองค์สามารถทรงแสดงความจริงเมื่อไรก็ได้ ที่ใดก็ได้ ทรงให้เสบียง รดน้ำ และดูแลมนุษย์ ทรงนำมวลมนุษย์ทั้งหมด เพียงเพราะพระคริสต์ทรงมีเทวสภาพที่สมบูรณ์ และทรงครอบครองพระอัตลักษณ์และเนื้อแท้ของพระเจ้า เราสามารถพูดได้ไหมว่าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงพระองค์เอง

ความล้ำลึกยิ่งยวดที่สุดของการทรงจุติเป็นมนุษย์แทบไม่เกี่ยวข้องกับว่าเนื้อหนังของพระเจ้าทรงสูงใหญ่หรือเหมือนมนุษย์ทั่วไปหรือไม่ แต่มันเกี่ยวข้องกับข้อเท็จจริงที่ว่าเทวสภาพโดยสมบูรณ์นั้นถูกซ่อนอยู่ในเนื้อหนังปกติไหม ไม่มีมนุษย์คนไหนสามารถค้นพบหรือเห็นเทวสภาพที่ซ่อนอยู่นี้ได้ เหมือนกับตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ ถ้าไม่มีใครเคยได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์และได้รับประสบการณ์พระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ งั้นก็จะไม่มีใครจำได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์ บุตรของพระเจ้า ดังนั้นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จึงเป็นหนทางที่ดีที่สุดสำหรับพระองค์ที่จะเสด็จลงมาอย่างลับๆ ท่ามกลางมนุษย์ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมา ไม่มีใครบอกได้จากการทรงปรากฏภายนอกของพระองค์ว่าพระองค์คือพระคริสต์ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ และไม่มีใครสามารถเห็นเทวสภาพที่ซ่อนอยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เพียงหลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงความจริงและทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ของพระองค์เท่านั้น ที่มนุษย์ค้นพบว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และเพียงตอนนั้นที่มนุษย์เริ่มติดตามพระองค์ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏต่อผู้คนหลังจากพระองค์คืนพระชนม์เท่านั้น ที่พวกเขาตระหนักว่าพระองค์คือพระคริสต์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ การทรงปรากฏของพระเจ้า ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงแสดงความจริงและเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์ ก็คงไม่มีใครติดตามพระองค์ ถ้าพระองค์ไม่ได้ทรงเป็นพยานต่อข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์คือพระคริสต์ การทรงปรากฏของพระเจ้า ก็คงไม่มีใครจำพระองค์ได้ เพราะมนุษย์เชื่อว่า ถ้าพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จริงๆ เนื้อหนังของพระองค์ก็ควรมีคุณสมบัติที่เหนือธรรมชาติ พระองค์ควรทรงเป็นยอดมนุษย์ พร้อมร่างทรงพลังสูงใหญ่ และการทรงสถิตที่ตั้งตระหง่าน พระองค์ไม่ควรแค่ตรัสด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเท่านั้น แต่ควรทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในทุกที่ที่พระองค์ไปด้วย พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ควรทรงเป็นเช่นนี้ หากการทรงปรากฏภายนอกของพระองค์ดูธรรมดาเหมือนคนทั่วไป และมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ งั้นพระองค์ก็ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน มานึกทบทวนกันอีกครั้งนะครับ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์เพื่อตรัสและทรงพระราชกิจ ไม่ว่าพระองค์ทรงแสดงความจริงและพระสุรเสียงของพระเจ้ายังไง ก็ไม่มีใครจำพระองค์ได้ เมื่อได้ยินบางคนเป็นพยานต่อองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาถึงกับพูดว่า คนนี้คือลูกของโยเซฟไม่ใช่หรือ คนนี้เป็นชาวนาซาเร็ธไม่ใช่หรือ ทำไมผู้คนพูดถึงพระองค์แบบนี้ล่ะ ก็เพราะองค์พระเยซูเจ้าทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติในรูปกายภายนอก พระองค์ทรงเป็นคนปกติทั่วไป และพระองค์ไม่ได้มีการทรงสถิตที่สูงสง่ากำยำ จึงไม่มีใครยอมรับพระองค์ ที่จริงแล้ว ตราบเท่าที่พระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ พระองค์ต้องทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติตามนิยาม พระองค์ต้องทรงแสดงให้ผู้คนเห็นว่าเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงใช้นุ่งห่มพระองค์เองเป็นเนื้อหนังปกติธรรมดา พระองค์ทรงปรากฏเหมือนมนุษย์ปกติ ถ้าพระเจ้าทรงนุ่งห่มพระองค์เองในเนื้อหนังที่เหนือมนุษย์ ไม่ใช่คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ งั้นความหมายทั้งหมดของการทรงจุติเป็นมนุษย์ก็จะเสียไป ดังนั้น พระคริสต์ต้องทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ โดยทางนี้เท่านั้นที่จะพิสูจน์ได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์

มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีกบทตอนกันครับ “นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่หนึ่งคือ มนุษย์ที่ปกติธรรมดากระทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นคือ พระเจ้าทรงประกอบพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ และเช่นนั้นจึงกำราบซาตาน การจุติเป็นมนุษย์หมายความว่า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระราชกิจที่เนื้อหนังกระทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณ ซึ่งทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง แสดงออกโดยเนื้อหนัง ไม่มีผู้ใดเว้นแต่เนื้อหนังของพระเจ้าที่สามารถทำให้พันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ลุล่วง นั่นคือ มีเพียงเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินี้เท่านั้น—และไม่มีผู้อื่นใด—ที่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าได้ หากในระหว่างการเสด็จมาครั้งแรก พระเจ้าไม่ได้ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติก่อนพระชันษายี่สิบเก้าปี—หากพระองค์ทรงสามารถแสดงการอัศจรรย์ได้ทันทีที่พระองค์ประสูติ หากพระองค์ทรงสามารถพูดภาษาของสวรรค์ได้ทันทีที่พระองค์ทรงเรียนรู้ที่จะพูด หากพระองค์ทรงสามารถเข้าใจเรื่องราวทางโลกทั้งหมด วินิจฉัยความคิดและเจตนาของทุกคนในชั่วขณะที่พระองค์ทรงย่างพระบาทครั้งแรกบนโลก—บุคคลเช่นนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเนื้อหนังเช่นนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเนื้อหนังของมนุษย์ หากเป็นเช่นนี้กับพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วความหมายและแก่นสารของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คงจะสูญสิ้นไป การที่พระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าซึ่งจุติเป็นมนุษย์ในเนื้อหนัง ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงก้าวผ่านกระบวนการเติบโตของมนุษย์ที่ปกติยังแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นเนื้อหนังที่ปกติ ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกิจของพระองค์เป็นหลักฐานเพียงพอว่าพระองค์ทรงเป็นพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เนื่องจากความจำเป็นของพระราชกิจของพระองค์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจช่วงระยะนี้ต้องดำเนินการเสร็จสิ้นในเนื้อหนัง ต้องกระทำในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นสำหรับ ‘พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์’ และสำหรับ ‘การทรงปรากฏของพระวจนะในเนื้อหนัง’ และเป็นเรื่องจริงที่อยู่เบื้องหลังการจุติเป็นมนุษย์สองครั้งของพระเจ้า(“—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ)

หากนับจากช่วงเวลาแห่งการประสูติของพระองค์ พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์อย่างจริงจัง และทำการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่เกินธรรมชาติ เช่นนั้นแล้วพระองค์คงจะไม่ทรงมีแก่นสารที่มีตัวตน ดังนั้น สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์จึงปรากฏเพื่อประโยชน์ของแก่นสารที่มีตัวตนของพระองค์ หากไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์แล้วก็ไม่อาจมีเนื้อหนังได้ และผู้ที่ไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์ก็มิใช่มนุษย์ ในวิถีทางนี้ สภาวะความเป็นมนุษย์ของเนื้อหนังของพระเจ้าจึงเป็นคุณสมบัติที่เป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมา การจะกล่าวว่า “เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าทั้งหมด และทรงไม่ได้เป็นมนุษย์เลย” นั้นเป็นการหมิ่นประมาท เพราะคำกล่าวนี้เพียงแค่ไม่มีอยู่ และฝ่าฝืนหลักการของการจุติเป็นมนุษย์…สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์มีอยู่เพื่อรักษาพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าที่ปกติในเนื้อหนัง การคิดของมนุษย์ที่ปกติของพระองค์สนับสนุนสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์และกิจกรรมที่มีตัวตนที่ปกติทั้งหมดของพระองค์ เราอาจกล่าวได้ว่าการคิดของมนุษย์ที่ปกติของพระองค์มีอยู่เพื่อสนับสนุนพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าในเนื้อหนัง หากเนื้อหนังนี้ไม่ได้มีจิตใจของมนุษย์ที่ปกติ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจในเนื้อหนังได้ และสิ่งที่พระองค์ทรงต้องทำในเนื้อหนังคงไม่มีวันสำเร็จลุล่วงได้…ดังนั้น พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงต้องมีพระทัยของมนุษย์ที่ปกติ ทรงต้องมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เนื่องจากพระองค์ทรงต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจที่ปกติ นี่คือแก่นสารของพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แก่นสารที่แท้จริงของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์(“—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ)

จากพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราเห็นชัดเจนว่า พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ต้องทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ไม่อย่างนั้นพระองค์จะไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ในการทรงปรากฏภายนอก พระองค์ทรงดูเหมือนคนปกติธรรมดา และสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ไม่มีอะไรเหนือธรรมชาติเลย ดังนั้น ถ้าเราประเมิณพระคริสต์โดยใช้มโนคติและจินตนาการของเรา เราจะไม่มีทางหมายรู้หรือยอมรับพระคริสต์เลย อย่างมากที่สุดเราจะแค่หมายรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นผู้เผยพระวจนะที่พระเจ้าทรงส่งมา หรือคนที่พระเจ้าทรงใช้ หากเราต้องการรู้จักพระคริสต์จริงๆ เราต้องศึกษาพระวจนะและพระราชกิจของพระองค์ เพื่อดูว่าสิ่งที่พระองค์ทรงแสดงเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่ พระวจนะที่พระองค์ทรงแสดงเป็นการสำแดงของพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นหรือไม่ และดูว่าพระราชกิจของพระองค์และความจริงที่พระองค์ทรงแสดงสามารถช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้หรือไม่ เมื่อนั้นเท่านั้นที่เราสามารถรู้จัก ยอมรับ และเชื่อฟังพระคริสต์ได้ หากเราไม่แสวงหาความจริง ไม่ตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้า ถึงแม้เราจะฟังพระวจนะของพระคริสต์และเห็นพระราชกิจของพระคริสต์ เราก็จะยังไม่รู้จักพระคริสต์อยู่ดี ถึงแม้เราอยู่กับพระคริสต์ตั้งแต่เช้าจดเย็น เราก็ยังจะปฏิบัติต่อพระองค์เหมือนคนธรรมดา และเช่นนี้จะต่อต้านและกล่าวโทษพระคริสต์ ที่จริงแล้ว เพื่อรับรู้และยอมรับพระคริสต์ ทั้งหมดที่เราจำเป็นต้องทำก็คือจำพระสุรเสียงของพระเจ้าให้ได้และรับรองว่าพระองค์ทรงทำพระราชกิจของพระเจ้า แต่เพื่อรู้จักเนื้อแท้ที่เป็นของพระเจ้าของพระคริสต์ และเพราะแบบนั้น บรรลุการเชื่อฟังที่แท้จริงต่อพระคริสต์และรักพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริง เราต้องค้นพบความจริงภายในพระวจนะและพระราชกิจของพระคริสต์ เห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น เห็นเนื้อแท้อันบริสุทธิ์ ความมหิทธิฤทธิ์ และพระปรีชาญาณของพระเจ้า เห็นว่าพระเจ้าทรงดีงามและซึ้งคุณค่าเจตจำนงอันแรงกล้าของพระองค์ โดยทางนี้เท่านั้นที่คนเราจะสามารถเชื่อฟังพระคริสต์อย่างแท้จริงและนมัสการพระเจ้าผู้ทรงภาคชีวิตจริงในใจของเขาได้

เราผู้เชื่อทุกคนรู้ ว่าวิธีที่องค์พระเยซูเจ้าทรงประกาศ พระวจนะที่พระองค์ทรงแสดง ความล้ำลึกต่างๆ ของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่พระองค์ทรงเปิดเผย และพระบัญชาที่พระองค์มีต่อมนุษย์เป็นความจริงทั้งหมด เป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าพระองค์เองทั้งหมด และทั้งหมดเป็นการสำแดงถึงพระอุปนิสัยแห่งชีวิตของพระเจ้า และทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น การอัศจรรย์ต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำ รักษาคนเจ็บ ขับผีออก ทำให้ลมทะเลสงบ เลี้ยงคน 5,000 ด้วยขนมปังห้าแถวและปลาสองตัว และชุบชีวิตคนตาย ทั้งหมดเป็นการสำแดงถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าพระองค์เอง บรรดาผู้ที่แสวงหาความจริงในเวลานั้น อย่างเปโตร ยอห์น มัทธิว และนาธานาเอล จำได้จากพระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า ว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์แห่งพระสัญญา และดังนั้นจึงติดตามพระองค์ และได้รับความรอดของพระองค์ ในขณะที่พวกฟาริสียิว แม้จะได้ฟังการเทศนาขององค์พระเยซูเจ้าและเห็นพระองค์ทรงทำการอัศจรรย์ ก็ยังเห็นพระองค์เป็นเพียงคนธรรมดา ที่ไม่มีฤทธานุภาพหรือภูมิรู้ พวกนั้นจึงกล้าต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์อย่างหน้าไม่อายโดยไม่กลัวสักนิด สุดท้าย พวกนั้นก็ทำบาปที่ใหญ่หลวงที่สุดในการตรึงองค์พระเยซูเจ้าที่กางเขน บทเรียนของพวกฟาริสีเตือนให้ใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง! นี่เปิดโปงธรรมชาติศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดความจริงและเกลียดพระเจ้าของพวกเขาอย่างชัดเจน และเปิดเผยความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษยชาติที่เสื่อมทราม ปัจจุบัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ก็เหมือนองค์พระเยซูเจ้า ทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดที่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามต้องการเพื่อถูกช่วยให้รอด และดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ไม่เพียงทรงพิพากษาและเปิดโปงธรรมชาติเยี่ยงซาตานของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามและความจริงของความเสื่อมโทรมของพวกเขาเท่านั้น พระองค์ยังได้ทรงเปิดเผยความล้ำลึกทั้งหมดของแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด ทรงจาระไนเส้นทางที่มวลมนุษย์สามารถเป็นอิสระจากบาป บรรลุการชำระให้บริสุทธิ์และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้า ทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยชอบธรรมภายในเนื้อแท้ของพระเจ้า ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจหนึ่งเดียวของพระเจ้า พระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นการสำแดงที่สมบูรณ์ของพระอัตลักษณ์และเนื้อแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง ทุกวันนี้ บรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้เห็นการสำแดงของพระวจนะของพระเจ้าในเนื้อหนังและมาอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และการทำให้มีความเพียบพร้อมของพระเจ้า พวกคนในโลกศาสนาที่ยังปฏิเสธ ต่อต้าน และกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้ทำสิ่งผิดพลาดเดียวกับพวกฟาริสียิว โดยปฏิบัติต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย เหมือนคนธรรมดาอื่นๆ โดยไม่เฉลียวใจที่จะใส่ใจแสวงหาและศึกษาความจริงทั้งหมดที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงสักนิด ด้วยเหตุนี้ พวกเขาตรึงพระเจ้าที่กางเขนอีกครั้งและทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าเดือดดาล อย่างที่เห็นได้ หากมนุษย์ยึดติดกับมโนคติและจินตนาการของเขา และไม่แสวงหาและศึกษาความจริงที่พระคริสต์ทรงแสดง เขาจะไม่สามารถจำพระสุรเสียงของพระเจ้าที่พระคริสต์ทรงแสดงได้ จะไม่สามารถยอมรับและเชื่อฟังพระราชกิจของพระคริสต์ได้ และจะไม่มีทางได้รับความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้าย หากมนุษย์ไม่เข้าใจความจริงของการจุติเป็นมนุษย์ เขาจะไม่สามารถยอมรับและเชื่อฟังพระราชกิจของพระเจ้าได้ เขาจะกล่าวโทษพระคริสต์และต่อต้านพระเจ้า และเขาจะมีแนวโน้มที่จะได้รับการลงโทษและการสาปแช่งจากพระเจ้าด้วย ดังนั้นในความเชื่อของเรา การจะได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า เป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดที่ เราแสวงหาความจริงและเข้าใจความล้ำลึกของการทรงจุติเป็นมนุษย์!

ตัดตอนจากบทภาพยนตร์เรื่อง ความล้ำลึกของความเลื่อมใสในศาสนา

ก่อนหน้า: พวกคุณให้คำพยานว่า องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว และว่าพระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน? พระคัมภีร์กล่าวว่า “ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น” (กิจการ 1:11) ภายหลังจากที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสำเร็จพระราชกิจแห่งการตรึงกางเขน พระองค์ก็ทรงเป็นขึ้นจากตายและปรากฏต่อสาวกทั้งหลายของพระองค์ พระองค์ได้ทรงกลายเป็นกายพระวิญญาณและเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์ก็ควรทรงปรากฏต่อพวกเราเป็นกายพระวิญญาณที่ทรงเป็นขึ้นจากตายด้วยเช่นกัน ทำไมหรือ พวกคุณจึงกล่าวว่าพระเจ้าต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และทรงปรากฏกับทรงพระราชกิจในฐานะบุตรมนุษย์ในยุคสุดท้าย?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พวกคุณให้คำพยานว่า พระเจ้าแห่งยุคสุดท้ายได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง พวกเราไม่สามารถยอมรับการนั้นได้ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พระเยซูได้ทรงเรียกขานพระเจ้าในสวรรค์ว่าพระบิดา และพระเจ้าในสวรรค์ทรงเรียกขานพระเยซูว่าบุตรที่รัก บิดาและบุตรทั้งหลายไม่ใช่เพศชายหรอกหรือ? พระคัมภีร์ยังกล่าวด้วยว่า “และชายเป็นศีรษะของหญิง” (1 โครินธ์ 11:3) เพราะฉะนั้น ผู้หญิงจึงไม่มีสิทธิอำนาจ ดังนั้น ทำไมพวกคุณจึงพูดว่าพระเจ้าของยุคสุดท้ายได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งเล่า?

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา...

ติดต่อเราผ่าน Messenger