ฉันได้เชื่อในองค์พระเยซูเจ้ามาหลายปี และแม้ว่า ฉันตระหนักรู้ว่า องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจความจริงอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการทรงจุติเป็นมนุษย์ หากว่าตอนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์ทรงปรากฏดังที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปรากฏจริงๆ โดยทรงพระราชกิจในฐานะบุตรมนุษย์ เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะระลึกได้ว่าเป็นพระองค์ หรือถวายการต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์ ฉันรู้สึกว่าการทรงจุติเป็นมนุษย์เป็นข้อล้ำลึกประการหนึ่ง และมีผู้คนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่เข้าใจความจริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์ กรุณาสามัคคีธรรมกับฉันว่า การทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นคือสิ่งใดกันแน่

วันที่ 17 เดือน 03 ปี 2021

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง

“ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 1:1)

“พระวาทะทรงเกิดเป็นมนุษย์และทรงอยู่ท่ามกลางเรา เราเห็นพระสิริของพระองค์ คือ พระสิริที่สมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา บริบูรณ์ด้วยพระคุณและความจริง” (ยอห์น 1:14)

“เราต้องยอมรับว่าความล้ำลึกแห่งความเชื่อของเรานั้นยิ่งใหญ่มาก คือว่า พระองค์ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ทรงได้รับการพิสูจน์ว่าชอบธรรมโดยพระวิญญาณ ทรงปรากฏต่อเหล่าทูตสวรรค์ ทรงได้รับการประกาศออกไปยังบรรดาประชาชาติ ทรงได้รับการเชื่อวางใจจากคนมากมายในโลก และทรงถูกรับขึ้นไปด้วยพระสิริ” (1 ทิโมธี 3:16)

“พระเยซูตรัสกับเขาว่า ‘เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา ถ้าพวกท่านรู้จักเราแล้ว ท่านก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย ตั้งแต่นี้ไปท่านก็จะรู้จักพระองค์และได้เห็นพระองค์’” (ยอห์น 14:6-7)

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

“การจุติเป็นมนุษย์” คือการทรงปรากฏของพระเจ้าในเนื้อหนัง พระเจ้าทรงพระราชกิจท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของเนื้อหนัง ดังนั้น เพื่อที่พระเจ้าจะทรงจุติเป็นมนุษย์ได้นั้น ประการแรกพระองค์ต้องทรงเป็นเนื้อหนังก่อน นั่นคือ เนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ นี่คือข้อกำหนดเบื้องต้นที่สำคัญที่สุด อันที่จริงแล้ว ความหมายโดยนัยของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คือว่า พระเจ้าทรงพระชนม์ชีพและทรงพระราชกิจในเนื้อหนัง คือว่าพระเจ้าในแก่นสารที่แท้จริงของพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ทรงกลายเป็นมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ

พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เรียกว่าพระคริสต์ และพระคริสต์คือเนื้อหนังมนุษย์ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงจุติมา เนื้อหนังมนุษย์นี้ไม่เหมือนกับมนุษย์คนใดที่มีเนื้อหนัง ความแตกต่างนี้เป็นเพราะว่า พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นเลือดเนื้อ พระองค์ทรงเป็นการจุติเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณ พระองค์ทรงมีทั้งสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ และเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ ไม่มีมนุษย์คนใดครอบครองเทวสภาพของพระองค์ สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติของพระองค์ช่วยในการทำกิจกรรมตามปกติทั้งหมดของพระองค์ในเนื้อหนัง ในขณะที่เทวสภาพของพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง

จาก “—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นแท้ของพระคริสต์คือการเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์

พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์จึงปรากฏเพื่อประโยชน์ของแก่นสารที่มีตัวตนของพระองค์ หากไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์แล้วก็ไม่อาจมีเนื้อหนังได้ และผู้ที่ไร้ซึ่งสภาวะความเป็นมนุษย์ก็มิใช่มนุษย์ ในวิถีทางนี้ สภาวะความเป็นมนุษย์ของเนื้อหนังของพระเจ้าจึงเป็นคุณสมบัติที่เป็นเนื้อแท้ของมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมา การจะกล่าวว่า “เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าทั้งหมด และไม่ได้ทรงเป็นมนุษย์เลย” เป็นการหมิ่นประมาท เพราะคำกล่าวนี้เพียงแค่ไม่มีอยู่ และฝ่าฝืนหลักการของการจุติเป็นมนุษย์ แม้หลังจากที่พระองค์ทรงเริ่มต้นปฏิบัติพันธกิจของพระองค์แล้ว พระองค์ยังคงทรงดำเนินพระชนม์ชีพในเทวสภาพของพระองค์ร่วมกับเปลือกนอกของมนุษย์เมื่อพระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์ เป็นเพียงแค่ว่า ณ ขณะนั้น สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ทำหน้าที่เพียงหนึ่งเดียวในการทำให้เทวสภาพของพระองค์สามารถกระทำพระราชกิจในเนื้อหนังที่ปกติได้ ดังนั้น ผู้กระทำพระราชกิจคือเทวสภาพที่อาศัยอยู่ในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ เทวสภาพของพระองค์คือผู้ที่ทรงพระราชกิจ มิใช่สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ ถึงกระนั้นเทวสภาพนี้ยังคงซ่อนอยู่ภายในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ โดยแก่นสารแล้ว พระราชกิจของพระองค์ได้รับการดำเนินการเสร็จสมบูรณ์โดยเทวสภาพที่ครบบริบูรณ์ของพระองค์ มิใช่โดยสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ แต่ผู้ที่กระทำพระราชกิจนี้คือเนื้อหนังของพระองค์ เราอาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ และทรงเป็นพระเจ้าด้วย เพราะพระเจ้าทรงกลายเป็นพระเจ้าที่ทรงดำเนินพระชนม์ในเนื้อหนังที่มีเปลือกของมนุษย์และแก่นสารของมนุษย์ แต่ยังมีแก่นสารของพระเจ้าด้วยเช่นกัน เพราะพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ที่มีแก่นสารของพระเจ้า พระองค์จึงทรงอยู่เหนือมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นทั้งปวง เหนือมนุษย์คนใดๆ ที่สามารถกระทำพระราชกิจของพระเจ้าได้ และดังนั้นแล้ว ท่ามกลางทุกคนที่มีเปลือกมนุษย์เช่นเดียวกับของพระองค์ ท่ามกลางทุกคนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์แล้ว มีเพียงพระองค์ที่ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์—ผู้คนอื่นๆ ทั้งหมดต่างเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้น แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่มนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นไม่มีสิ่งใดนอกจากสภาวะความเป็นมนุษย์ ในขณะที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นแตกต่างออกไป นั่นคือ ในเนื้อหนังของพระองค์ พระองค์ไม่ทรงมีเพียงแค่สภาวะความเป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ พระองค์ทรงมีเทวสภาพด้วยเช่นกัน สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์สามารถมองเห็นได้ในการปรากฏภายนอกของเนื้อหนังของพระองค์และในพระชนม์ชีพแต่ละวันของพระองค์ แต่เทวสภาพของพระองค์นั้นล่วงรู้ได้ยาก เนื่องจากเทวสภาพของพระองค์แสดงออกเมื่อพระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้เกินธรรมชาติเหมือนดังที่ผู้คนจินตนาการไว้ว่าจะเป็น จึงเป็นการยากยิ่งที่ผู้คนจะมองเห็น แม้กระทั่งวันนี้ ผู้คนมีความลำบากยากเย็นอย่างที่สุดที่จะหยั่งลึกถึงแก่นสารที่แท้จริงของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แม้หลังจากที่เราได้กล่าวถึงมันอย่างยืดยาวเช่นนั้นแล้ว เราคาดหวังว่ามันก็จะยังคงเป็นความล้ำลึกสำหรับพวกเจ้าส่วนใหญ่ อันที่จริง ประเด็นนี้นั้นง่ายมาก กล่าวคือ เนื่องจากพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ แก่นสารของพระองค์จึงเป็นการรวมกันระหว่างสภาวะความเป็นมนุษย์และเทวสภาพ การรวมกันนี้เรียกว่าพระเจ้าพระองค์เอง พระเจ้าพระองค์เองบนแผ่นดินโลก

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ

นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่หนึ่งคือ มนุษย์ที่ปกติธรรมดากระทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง นั่นคือ พระเจ้าทรงประกอบพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ และเช่นนั้นจึงกำราบซาตาน การจุติเป็นมนุษย์หมายความว่า พระวิญญาณของพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ นั่นคือ พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระราชกิจที่เนื้อหนังกระทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณ ซึ่งทำให้เป็นจริงในเนื้อหนัง แสดงออกโดยเนื้อหนัง ไม่มีผู้ใดเว้นแต่เนื้อหนังของพระเจ้าที่สามารถทำให้พันธกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ลุล่วง นั่นคือ มีเพียงเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกตินี้เท่านั้น—และไม่มีผู้อื่นใด—ที่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าได้ หากในระหว่างการเสด็จมาครั้งแรก พระเจ้าไม่ได้ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติก่อนพระชันษายี่สิบเก้าปี—หากพระองค์สามารถแสดงการอัศจรรย์ได้ทันทีที่พระองค์ประสูติ หากพระองค์สามารถพูดภาษาของสวรรค์ได้ทันทีที่พระองค์ทรงเรียนรู้ที่จะพูด หากพระองค์สามารถเข้าใจเรื่องราวทางโลกทั้งหมด วินิจฉัยความคิดและเจตนาของทุกคนในชั่วขณะที่พระองค์ทรงย่างพระบาทครั้งแรกบนโลก—บุคคลเช่นนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นมนุษย์ที่ปกติ และเนื้อหนังเช่นนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นเนื้อหนังของมนุษย์ หากเป็นเช่นนี้กับพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วความหมายและแก่นสารของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าก็คงจะสูญสิ้นไป การที่พระองค์ทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าซึ่งจุติเป็นมนุษย์ในเนื้อหนัง ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ทรงก้าวผ่านกระบวนการเติบโตของมนุษย์ที่ปกติยังแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นเนื้อหนังที่ปกติ ยิ่งไปกว่านั้น พระราชกิจของพระองค์เป็นหลักฐานเพียงพอว่าพระองค์ทรงเป็นพระวจนะของพระเจ้า พระวิญญาณของพระเจ้าที่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ

สภาวะความเป็นมนุษย์ของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์มีอยู่เพื่อรักษาพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าที่ปกติในเนื้อหนัง การคิดของมนุษย์ที่ปกติของพระองค์สนับสนุนสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์และกิจกรรมที่มีตัวตนที่ปกติทั้งหมดของพระองค์ เราอาจกล่าวได้ว่าการคิดของมนุษย์ที่ปกติของพระองค์มีอยู่เพื่อสนับสนุนพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าในเนื้อหนัง หากเนื้อหนังนี้ไม่ได้มีจิตใจของมนุษย์ที่ปกติ เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่สามารถปฏิบัติพระราชกิจในเนื้อหนังได้ และสิ่งที่พระองค์ทรงต้องทำในเนื้อหนังคงไม่มีวันสำเร็จลุล่วงได้ แม้ว่าพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงมีพระทัยของมนุษย์ที่ปกติ แต่พระราชกิจของพระองค์ก็มิได้ถูกปลอมปนด้วยความคิดของมนุษย์ พระองค์ทรงดำเนินพระราชกิจในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจที่ปกติ ภายใต้เงื่อนไขเบื้องต้นคือการมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจ ไม่ใช่โดยการใช้ความคิดของมนุษย์ที่ปกติ ไม่สำคัญว่าความคิดเกี่ยวกับเนื้อหนังของพระเจ้าจะสูงส่งอย่างไร พระราชกิจของพระองค์ก็ไม่มีมลทินจากตรรกะหรือความคิด กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ก่อเกิดขึ้นด้วยจิตใจของเนื้อหนังของพระองค์ แต่เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าในสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์คือพันธกิจที่พระองค์ทรงต้องทำให้ลุล่วง และไม่มีพระราชกิจใดที่ก่อเกิดขึ้นด้วยพระมัตถลุงค์ของพระองค์ ตัวอย่างเช่น การรักษาคนป่วย การขับไล่ปีศาจ และการตรึงกางเขนไม่ใช่ผลิตผลของจิตใจของสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์ และไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ด้วยมนุษย์คนใดที่มีจิตใจของมนุษย์ ในทำนองเดียวกัน พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในวันนี้คือพันธกิจที่ต้องกระทำโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่ไม่ใช่พระราชกิจของความต้องการของมนุษย์ พระราชกิจนี้คือพระราชกิจที่เทวสภาพของพระองค์ควรทรงปฏิบัติ เป็นพระราชกิจที่ไม่มีมนุษย์ที่มีเนื้อหนังคนใดสามารถกระทำได้ ดังนั้น พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ต้องมีพระทัยของมนุษย์ที่ปกติ ต้องทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ เนื่องจากพระองค์ต้องกระทำพระราชกิจของพระองค์ในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่มีจิตใจที่ปกติ นี่คือแก่นสารของพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แก่นสารที่แท้จริงของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์

ก่อนที่พระเยซูทรงประกอบพระราชกิจ พระองค์ทรงดำเนินพระชนม์ชีพในสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติของพระองค์เท่านั้น ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า ไม่มีใครพบว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ผู้คนเพียงรู้จักพระองค์ในฐานะมนุษย์ธรรมดาอย่างบริบูรณ์ สภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติธรรมดาอย่างที่สุดของพระองค์คือหลักฐานว่าพระเจ้าทรงจุติเป็นมนุษย์ในเนื้อหนัง และว่ายุคพระคุณคือยุคแห่งพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ ไม่ใช่ยุคแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณ มันคือหลักฐานว่าพระวิญญาณของพระเจ้าได้เป็นจริงอย่างบริบูรณ์ในเนื้อหนัง ว่าในยุคแห่งการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า เนื้อหนังของพระองค์จะทรงประกอบพระราชกิจทั้งหมดของพระวิญญาณ พระคริสต์ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติทรงเป็นเนื้อหนังที่พระวิญญาณทรงได้เป็นจริงขึ้น และทรงมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ประสาทสัมผัสที่ปกติ และความคิดของมนุษย์ “การได้เป็นจริง” หมายถึงพระเจ้าทรงกลายเป็นมนุษย์ พระวิญญาณทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ กล่าวอย่างง่ายๆ ยิ่งกว่านั้นคือ นั่นคือเวลาที่พระเจ้าพระองค์เองประทับในเนื้อหนังที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และทรงแสดงออกถึงพระราชกิจที่เป็นของพระเจ้าของพระองค์โดยผ่านทางเนื้อหนังนี้—นี่คือความหมายของการได้เป็นจริง หรือจุติเป็นมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, แก่นสารของเนื้อหนังที่พระเจ้าประทับ

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และทำหน้าที่เป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมวลมนุษย์ ด้วยการนั้นจึงเป็นการไถ่มวลมนุษย์จากบาป พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา และการชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมวลมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตานอย่างถึงที่สุด เหตุใดพระองค์จึงต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์สองหนเพื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์? นัยสำคัญที่แท้จริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์สองหนนี้คืออะไรหรือ?

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “พระคริสต์ก็ฉันนั้น คือพระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาครั้งเดียวเป็นพอ...

พวกคุณให้คำพยานว่า พระเจ้าแห่งยุคสุดท้ายได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่ง พวกเราไม่สามารถยอมรับการนั้นได้ ในพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า พระเยซูได้ทรงเรียกขานพระเจ้าในสวรรค์ว่าพระบิดา และพระเจ้าในสวรรค์ทรงเรียกขานพระเยซูว่าบุตรที่รัก บิดาและบุตรทั้งหลายไม่ใช่เพศชายหรอกหรือ? พระคัมภีร์ยังกล่าวด้วยว่า “และชายเป็นศีรษะของหญิง” (1 โครินธ์ 11:3) เพราะฉะนั้น ผู้หญิงจึงไม่มีสิทธิอำนาจ ดังนั้น ทำไมพวกคุณจึงพูดว่าพระเจ้าของยุคสุดท้ายได้ทรงจุติเป็นมนุษย์ผู้หญิงคนหนึ่งเล่า?

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา...

ฉันได้เชื่อในองค์พระเยซูเจ้ามาหลายปี และแม้ว่า ฉันตระหนักรู้ว่า องค์พระเยซูเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ แต่ฉันก็ไม่เข้าใจความจริงอย่างครบถ้วนเกี่ยวกับการทรงจุติเป็นมนุษย์ หากว่าตอนที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์ทรงปรากฏดังที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปรากฏจริงๆ โดยทรงพระราชกิจในฐานะบุตรมนุษย์ เช่นนั้นแล้วก็คงจะเป็นไปไม่ได้ที่พวกเราจะระลึกได้ว่าเป็นพระองค์ หรือถวายการต้อนรับการเสด็จมาของพระองค์ ฉันรู้สึกว่าการทรงจุติเป็นมนุษย์เป็นข้อล้ำลึกประการหนึ่ง และมีผู้คนเพียงหยิบมือเดียวเท่านั้นที่เข้าใจความจริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์ กรุณาสามัคคีธรรมกับฉันว่า การทรงจุติเป็นมนุษย์นั้นคือสิ่งใดกันแน่

คำถาม 1: ตลอดหลายปีในศรัทธาของผม นอกจากรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แล้ว...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger