พวกเราหาเงินอย่างยากลำบากเพื่อส่งเสียให้ลูกเรียนหนังสือ หวังว่าเขาจะมีอนาคตที่ดี แต่ว่าลูกของฉันคนนี้ไม่ตั้งใจเรียน ไม่ว่าจะฉันจะทุ่มเทสอนเขาอย่างไร เขาก็ไม่เปิดหูเปิดตา เพราะเรื่องนี้ฉันกลัดกลุ้มมาก ไม่รู้ว่าควรปฏิบัติและสอนลูกให้ถูกต้องอย่างไร?
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
พระเจ้าคือองค์เจ้านายแต่ผู้เดียวของชะตากรรมมนุษย์ และดังนั้น จึงเป็นไปไม่ได้สำหรับมนุษย์ที่จะลิขิตขีดเขียนชีวิตของเขาเอง เป็นไปไม่ได้สำหรับเขาที่จะก้าวออกจากมัน ไม่สำคัญว่าคนเราจะมีความสามารถมากมายขนาดไหน คนเราไม่สามารถมีอิทธิพลต่อ—นับประสาอะไรที่จะสามารถจัดวางเรียบเรียง จัดการเตรียมการ ควบคุม หรือเปลี่ยนแปลง—ชะตากรรมของผู้อื่น มีเพียงพระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ เท่านั้น ที่ทรงลิขิตขีดเขียนทุกสรรพสิ่งสำหรับมนุษย์ เพราะมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ที่ถือครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ และดังนั้นมีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงเป็นองค์เจ้านายหนึ่งเดียวของมนุษย์ สิทธิอำนาจของพระเจ้าถือครองอธิปไตยไม่เพียงเหนือมนุษยชาติที่ทรงสร้างมาเท่านั้น แต่ยังเหนือสิ่งที่ไม่ได้ทรงสร้างที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถมองเห็นได้ เหนือหมู่ดาว เหนือห้วงจักรวาล นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้ ข้อเท็จจริงที่ดำรงอยู่จริง ที่ไม่มีบุคคลใดหรือสิ่งใดเลยสามารถเปลี่ยนแปลงได้
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3
นอกเหนือจากการเกิดและการเลี้ยงดูเด็ก ความรับผิดชอบของพ่อแม่ผู้ปกครองที่มีต่อชีวิตของลูกๆ ของพวกเขานั้นคือแค่จัดเตรียมสิ่งแวดล้อมที่เป็นทางการให้พวกเขาได้เจริญเติบโต เพราะไม่มีสิ่งใดเลยนอกจากการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้างที่มีอิทธิพลต่อชะตากรรมของบุคคล ไม่มีใครเลยที่สามารถควบคุมได้ว่าบุคคลหนึ่งจะพึงมีอนาคตชนิดใด กล่าวคือ มันได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้านานมาแล้ว และแม้แต่บิดามารดาของคนเราก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนเราได้ ตราบที่คำนึงในเรื่องของชะตากรรม ทุกคนนั้นเป็นอิสระ และทุกคนนั้นมีชะตากรรมของพวกเขาเอง ดังนั้นจึงไม่มีบิดามารดาของใครเลยที่สามารถหยุดยั้งชะตากรรมในชีวิตของคนเรา หรือแสดงอิทธิพลแม้เพียงน้อยนิดต่อบทบาทที่คนเราแสดงในชีวิต อาจกล่าวได้ว่า ครอบครัวที่คนเราถูกลิขิตชะตาให้มาเกิดและสิ่งแวดล้อมที่คนเราเติบโตขึ้นมานั้นไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเงื่อนไขล่วงหน้าที่ต้องมีเพื่อการทำให้ภารกิจในชีวิตของคนเรานั้นลุล่วง ไม่ว่าโดยวิธีใด เงื่อนไขเหล่านี้ไม่ได้กำหนดชะตากรรมในชีวิตของบุคคล หรือประเภทของชะตาลิขิตที่บุคคลพึงปฏิบัติภารกิจของพวกเขาให้ลุล่วง และดังนั้น ไม่มีบิดามารดาของใครเลยที่สามารถช่วยเหลือคนเราให้ทำภารกิจในชีวิตจนสำเร็จลุล่วงได้ และในทำนองเดียวกัน ไม่มีญาติพี่น้องของใครเลยที่สามารถช่วยคนเรารับบทบาทในชีวิตของคนเราได้ วิธีที่คนเราทำภารกิจของคนเราจนสำเร็จลุล่วงและประเภทของสิ่งแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่คนเราแสดงบทบาทของคนเรานั้น ล้วนถูกกำหนดโดยชะตากรรมในชีวิตของคนเราทั้งหมดทั้งสิ้น พูดอีกอย่างว่า ไม่มีเงื่อนไขที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอื่นใดสามารถแสดงอิทธิพลต่อภารกิจของบุคคล ซึ่งถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระผู้สร้าง ผู้คนทั้งมวลกลายมาเป็นผู้ใหญ่เต็มวัยในสิ่งแวดล้อมต่างๆ ที่พวกเขาเติบโตขึ้นมา จากนั้นพวกเขาจึงค่อยๆ เริ่มออกเดินทางไปบนถนนในชีวิตของพวกเขาเองทีละก้าวๆ และทำให้ชะตาลิขิตต่างๆ ที่พระผู้สร้างได้ทรงวางแผนการไว้ให้พวกเขาได้ลุล่วง พวกเขาได้เข้าสู่ทะเลอันกว้างไพศาลแห่งมนุษยชาติโดยธรรมชาติอย่างไม่ตั้งใจ และรับตำแหน่งหน้าที่ในชีวิตของตัวเองที่พวกเขาเริ่มทำให้ความรับผิดชอบต่างๆ ของพวกเขาในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วงเพื่อประโยชน์แห่งการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง เพื่อประโยชน์แห่งอธิปไตยของพระองค์
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3
ทุกคนซึ่งมาอยู่ในโลกนี้มีภารกิจ คนเราไม่มาอยู่ในโลกนี้โดยตามอำเภอใจ อีกทั้งการจัดการเตรียมการนั้นก็ไม่ใช่ข้อผิดพลาด การมาถึงของแต่ละบุคคลในโลกมนุษย์ ไม่สำคัญว่าพวกเขาศึกษาหรือทำอะไร คือเพื่อที่ว่าพวกเขาอาจแสดงบทบาทในโลกนี้ นั่นคือบทบาทอะไรหรือ? บทบาทของพวกเขาคือการทำกิจจนครบบริบูรณ์และปฏิบัติการกระทำบางอย่างในโลกนี้ ตัวอย่างเช่น ผู้คนสองคนแต่งงานกันและมีลูกหนึ่งคน และผู้คนสามคนนี้ก็ประกอบกันเป็นครอบครัวที่ครบบริบูรณ์ ผู้เป็นมารดาดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใดในครอบครัวนี้? นางดำรงชีวิตเพื่อทำภารกิจของนางและบทบาทของนางในฐานะมารดาจนครบบริบูรณ์ ซึ่งก็คือการดูแลเอาใจใส่ลูกและสามีของนาง และดูแลบ้าน นางดำรงชีวิตเพื่อสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ผู้เป็นลูกในครอบครัวนี้ดำรงชีวิตเพื่อสิ่งใด? ผู้เป็นลูกแสดงบทบาทใด? พวกเขาคือลูกหลานของครอบครัวซึ่งจะดำรงสกุลของครอบครัวไว้สืบไป พวกเขาแสดงบทบาทในส่วนของคนรุ่นถัดไปของครอบครัวนี้ การมีอยู่ของผู้เป็นลูกเป็นการสถาปนาครอบครัวและทำให้ครอบครัวครบบริบูรณ์ การทำให้ครอบครัวครบบริบูรณ์ —นี่คือบทบาทแรกของผู้เป็นลูก ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง พวกเขาก็มีภารกิจของพวกเขาในครอบครัว การจัดการเตรียมการทีละขั้นสำหรับชะตาลิขิตของผู้เป็นลูก—ชะตากรรมของพวกเขาจะเป็นอย่างไร พวกเขาจะศึกษาอะไรในสังคม พวกเขาจะทำงานที่ไหน งานที่พวกเขาจะทำ หน้าที่ที่พวกเขาจะทำเมื่อพวกเขาเข้าสู่พระนิเวศของพระเจ้า ทักษะพิเศษของพวกเขา และพวกเขาจะทำอะไร—ทั้งหมดนั้นไม่ได้ถูกวางแผนโดยพระเจ้าหรอกหรือ? ผู้เป็นลูกเองนั้นมีตัวเลือกหรือไม่? จากชั่วขณะที่พวกเขาถือกำเนิดมาอยู่ในครอบครัวของพวกเขา ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาไม่มีตัวเลือกอันใดเลยเหนือทุกช่วงระยะของชะตาลิขิตของพวกเขา ทั้งหมดนั้นถูกจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า มีความจริงอยู่ภายในถ้อยแถลงที่ว่า “ทั้งหมดนั้นถูกจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า” และผู้คนดำรงชีวิตเพื่อสิ่งซึ่งสัมพันธ์กับความจริงนั้น…ในข้อเท็จจริงนั้น ทุกคนเป็นอย่างเดียวกัน พวกเขาดำรงชีวิตเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของอธิปไตยของพระเจ้าและการจัดการเตรียมการของพระองค์ ทุกๆ บุคคลเป็นดังเช่นตัวหมากรุก พระเจ้าทรงวางเจ้าไว้ที่ไหน เจ้าก็ไปที่นั่น สิ่งที่เจ้าทำ และเจ้าจะอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งนานแค่ไหนนั้นล้วนแต่ถูกจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า ดังนั้นแล้ว ในแง่ของการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้านั้น มวลมนุษย์ดำรงชีวิตเพื่อใครกัน? ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาดำรงชีวิตเพื่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และพวกเขาดำรงชีวิตเพื่อการบริหารจัดการของพระองค์ พวกเขาไม่ใช่เจ้านายของตัวพวกเขาเอง
ตัดตอนมาจาก “โดยการปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ดีเท่านั้น ชีวิตของคนเราจึงจะมีคุณค่า” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์
การเกิด การเจริญเติบโต และการสมรสล้วนนำมาซึ่งความผิดหวังหลากหลายประเภทและในระดับที่แตกต่างกัน ผู้คนบางคนไม่พึงพอใจกับครอบครัวของพวกเขาหรือรูปลักษณ์ทางกายของตัวพวกเขาเอง บ้างก็ไม่ชอบพ่อแม่ของตัวเอง บ้างก็คับแค้นใจ หรือมีเรื่องไม่พอใจเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมา และสำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว ท่ามกลางความผิดหวังเหล่านี้ การสมรสคือที่สุดของความไม่สมดังปรารถนา ไม่สำคัญว่าคนเราไม่พึงพอใจกับกำเนิด การเติบโตเต็มวัย หรือการสมรสของคนเราอย่างไร ทุกคนผู้ซึ่งได้ก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้วรู้ว่า คนเราไม่สามารถเลือกสถานที่และเวลาเกิดของพวกเขา รูปร่างหน้าตาของพวกเขา ใครที่เป็นบิดามารดาของพวกเขา และใครที่เป็นคู่สมรสของพวกเขาได้ แต่ต้องยอมรับในน้ำพระทัยแห่งฟ้าโดยง่ายดายเท่านั้น กระนั้นเมื่อถึงเวลาที่ผู้คนจะฟูมฟักคนรุ่นต่อไป พวกเขาจะทุ่มความอยากได้อยากมีทั้งหมดที่พวกเขาไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ในครึ่งแรกของชีวิตพวกเขาลงบนผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของพวกเขา ด้วยความหวังว่าเชื้อสายของพวกเขาจะชดเชยความผิดหวังต่างๆ ในครึ่งแรกของชีวิตของตัวพวกเขาเอง ดังนั้นผู้คนจึงปล่อยตัวเองให้ดื่มด่ำอยู่ในความเพ้อฝันทุกประเภทเกี่ยวกับลูกๆ ของตัวเอง ว่าลูกสาวของพวกเขาจะโตขึ้นไปเป็นสาวงามผู้ชวนตะลึง ลูกชายของพวกเขาเป็นสุภาพบุรุษผู้โก้หรู ว่าลูกสาวของพวกเขาจะรอบรู้วัฒนธรรมและเปี่ยมพรสวรรค์ และลูกชายของพวกเขาเป็นนักเรียนที่ฉลาดหัวดีและเป็นดาวกีฬา ว่าลูกสาวของพวกเขาจะสุภาพอ่อนโยน มีคุณธรรม และมีเหตุผล และลูกชายของเขาเฉลียวฉลาด มีความสามารถ และเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นได้ดี พวกเขาหวังว่า เชื้อสายของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นลูกสาวหรือลูกชาย จะเคารพผู้ใหญ่ จะเข้าใจหัวอกพ่อแม่ เป็นที่รักและยกย่องของทุกคน…ณ จุดนี้ ความหวังของชีวิตผลิบานสดชื่น และความปรารถนาอันแรงกล้าใหม่ๆ จึงถูกจุดประกายขึ้นในหัวใจของผู้คน ผู้คนรู้ว่า พวกเขาไร้พลังและหมดสิ้นความหวังในชีวิตนี้ ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสอีกครั้งหรือความหวังอีกครั้งที่จะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน และว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับชะตากรรมของพวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงทุ่มความหวังทั้งหมดของพวกเขา ความอยากได้อยากมีและอุดมคติที่ไม่สามารถถูกทำให้เป็นจริงของพวกเขาลงบนคนรุ่นต่อไป โดยหวังว่าเชื้อสายของพวกเขาสามารถช่วยให้พวกเขาสัมฤทธิ์ในความฝันของพวกเขาและทำให้ความอยากต่างๆ ของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา หวังว่าลูกสาวและลูกชายของพวกเขาจะนำเกียรติยศมาสู่ชื่อเสียงของวงศ์ตระกูล กลายมามีความสำคัญ ร่ำรวย และโด่งดัง กล่าวสั้นๆ ก็คือ พวกเขาพึงปรารถนาที่จะเห็นโชควาสนาของลูกๆ ของพวกเขาทะยานสูงขึ้นไป แผนการและความเพ้อฝันของผู้คนนั้นเพียบพร้อม พวกเขาไม่รู้หรือว่าจำนวนบุตรที่พวกเขามี รูปลักษณ์ ความสามารถของลูกๆ ของพวกเขาและอื่นๆ นั้นหาใช่ที่พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจไม่ ไม่รู้หรือว่า ไม่มีชะตากรรมของลูกๆ ของพวกเขาแม้เพียงน้อยนิดที่อยู่ในมือพวกเขา? มนุษย์ไม่ได้เป็นนายแห่งชะตากรรมของตัวพวกเขาเอง ทว่าพวกเขาก็ยังหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนรุ่นเยาว์ พวกเขาไร้พลังอำนาจที่จะหลีกหนีชะตากรรมของตัวเอง ทว่าพวกเขากลับพยายามที่จะควบคุมชะตากรรมของลูกชายและลูกสาว พวกเขาไม่ได้กำลังประเมินค่าตัวเองสูงเกินไปหรอกหรือ? นี่มิใช่ความโง่เขลาเบาปัญญาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์หรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3
ในเรื่องการปฏิบัติกับลูกหลาน: บิดามารดาทุกคนหวังว่าลูกหลานของพวกเขาจะได้รับการศึกษาที่สูงขึ้น และวันหนึ่งจะสร้างชื่อให้กับตัวพวกเขาเอง และมีบทบาทให้แสดงในสังคม โดยมีรายได้และอิทธิพลที่มั่นคง การนี้เพียงอย่างเดียวที่จะสร้างเกียรติให้บรรพบุรุษของพวกเขา มโนทัศน์นี้เป็นเรื่องทั่วไปสำหรับทุกคน ดังที่สุภาษิตกล่าวไว้ว่า “ขอให้บุตรชายของข้าเป็นมังกร และบุตรสาวของข้าเป็นนกฟีนิกซ์” มโนทัศน์นี้ถูกต้องหรือไม่? ทุกคนต้องการให้ลูกหลานของพวกเขาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง ตามด้วยการศึกษาในระดับปริญญาโท พวกเขาเชื่อว่าทันทีที่พวกเขาได้รับปริญญาแล้ว ลูกหลานของพวกเขาจะสร้างชื่อให้กับตัวพวกเขาเอง ด้วยเหตุที่ผู้คนทั้งหมดเคารพบูชาความรู้ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่า “ค่าของการไล่ตามเสาะหาอื่นๆ นั้นเล็กน้อย การศึกษาตำราเหนือกว่าการไล่ตามเสาะหาอื่นๆ ทั้งหมด” ที่มากกว่านั้น สังคมในวันนี้เป็นเชิงแข่งขันอย่างสุดขีด หากปราศจากปริญญา คนเราอาจไม่มีกิน—นี่คือวิธีที่ผู้คนทั้งหมดคิด และทรรศนะที่พวกเขายึดถือ—ราวกับว่าปริญญาเพียงอย่างเดียวจะสามารถตัดสินอนาคตและการดำรงชีพของคนเราได้ นี่คือเหตุผลที่ทุกบุคคลทำให้การศึกษาในระดับปริญญาโทและการเป็นที่ยอมรับให้เข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาเป็นความสำคัญลำดับแรกในข้อเรียกร้องที่พวกเขามีต่อลูกหลานของพวกเขา ในความเป็นจริง การศึกษาเหล่านั้นที่ผู้คนไล่ตามเสาะหา ความรู้นั้นที่พวกเขาได้มา และความคิดเหล่านั้นของพวกเขาล้วนแต่ตรงกันข้ามกับพระเจ้าและความจริง พระองค์ทรงเกลียดและกล่าวโทษสิ่งเหล่านั้น สิ่งใดคือทัศนคติของมนุษย์? นั่นก็คือว่า หากปราศจากความรู้และการศึกษา บุคคลหนึ่งก็ไม่มีขาที่จะใช้ยืนในสังคมนี้และโลกนี้ และเป็นบุคคลที่ด้อยกว่า เป็นยาจก ในสายตาของเจ้า ใครก็ตามที่ขาดพร่องความรู้ ใครก็ตามที่ไม่ได้รับการอบรม หรือไร้การศึกษาอย่างมาก คือใครบางคนที่เจ้าดูแคลน และสบประมาท และปฏิบัติอย่างไม่มีนัยสำคัญ นี่ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ? ทัศนคติและข้อสนับสนุนของเจ้าในตัวมันเองนั้นไม่ถูกต้อง พวกเจ้าเลี้ยงดูลูกหลานของพวกเจ้าให้ได้เข้าโรงเรียนและได้รับการศึกษาระดับปริญญาโท เพื่อที่ว่าพวกเขาอาจมีอนาคตที่ดี แต่เจ้าเคยพิจารณาหรือไม่ว่า การศึกษานี้จะได้ปลูกฝังพิษของซาตานไว้ในตัวพวกเขามากมายเท่าใดเมื่อถึงเวลาที่พวกเขาเรียนจบ? ความคิดและทฤษฎีทั้งหลายของสิ่งนั้นจะถูกปลูกฝังในลูกหลานของเจ้ามากมายเท่าใด? ผู้คนไม่คิดถึงสิ่งเหล่านี้ พวกเขารู้เพียงว่าหากลูกหลานของพวกเขาเข้าเรียนที่สถาบันอุดมศึกษา พวกเขาจะประสบความสำเร็จและสร้างเกียรติให้บรรพบุรุษของพวกเขา ผลก็คือ วันนั้นจะมาถึงเมื่อลูกหลานของเจ้ากลับมาบ้าน และเจ้าพูดถึงการที่เชื่อในพระเจ้ากับพวกเขา และพวกเขาถูกผลักไส เมื่อเจ้าพูดถึงความจริงกับพวกเขา พวกเขาจะเรียกเจ้าว่าโง่ และหัวเราะเยาะเจ้า และมีทรรศนะกับคำพูดของเจ้าด้วยการดูหมิ่นเหยียดหยาม เมื่อวันนั้นมาถึง เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้เลือกเส้นทางที่ผิดในการส่งลูกหลานของเจ้าไปยังโรงเรียนเช่นนั้นให้รับการศึกษาเช่นนั้น แต่เมื่อถึงเวลานั้นก็จะสายไปเสียแล้วที่จะเสียใจ ทันทีที่ความคิดและทรรศนะเหล่านั้นได้เข้าสู่บุคคลหนึ่ง และได้วางรากและก่อรูปร่างภายในพวกเขา สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถถูกลบออกหรือปรับเปลี่ยนได้ในชั่วข้ามคืน เจ้าไม่สามารถพลิกฟื้นสภาวะเช่นนั้นได้ อีกทั้งเจ้าไม่สามารถแก้ไขความคิดเช่นนั้นที่พวกเขามีอยู่ตอนนี้ได้ และเจ้าไม่สามารถดึงสิ่งทั้งหลายออกจากความคิดและทรรศนะของพวกเขาได้ ไม่มีใครเลยที่พูดว่า “ฉันจะส่งลูกหลานของฉันไปโรงเรียนแค่ให้เรียนรู้ ก ข ค และวิธีอ่านและเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า หลังจากนั้น ฉันจะให้พวกเขามุ่งเน้นไปที่การที่เชื่อในพระเจ้า และพวกเขาจะศึกษาอาชีพที่เป็นประโยชน์บางอย่างด้วย เป็นการดีเสียกว่าที่พวกเขาควรจะเป็นผู้คนที่มีขีดความสามารถและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ผู้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้าได้ อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้ พวกเขาจะมีหนทางหนึ่งเพื่อจัดเตรียมให้แก่ตัวพวกเขาเองและครอบครัวของพวกเขาในโลก และนั่นก็จะเพียงพอแล้ว สิ่งที่สำคัญคือการมองเห็นว่าพวกเขายอมรับสิ่งที่มาจากพระเจ้าในพระนิเวศของพระองค์ และการไม่ยอมให้พวกเขาถูกสังคมทำให้เปรอะเปื้อนและป้ายสี” เมื่อเป็นเรื่องของลูกหลานของพวกเขาเอง ไม่มีผู้ใดเต็มใจนำพาพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อจุดประสงค์เดียวของการยอมรับความจริงแห่งพระวจนะของพระองค์ แห่งการประพฤติตนโดยสอดคล้องกับความจริงและข้อพึงประสงค์ทั้งหลายของพระเจ้า ผู้คนไม่เต็มใจที่จะทำการนี้ และพวกเขาไม่กล้า เพื่อมิให้ลูกหลานของพวกเขาไม่มีการดำรงชีพหรืออนาคตในสังคม ทรรศนะนี้ยืนยันสิ่งใด? ทรรศนะนี้ยืนยันว่าผู้คนไม่สนใจในความจริงและการที่เชื่อในพระเจ้า พวกเขาไม่มีความเชื่อในพระเจ้า นับประสาอะไรที่จะมีความเชื่อที่แท้จริงในพระองค์ และในหัวใจของพวกเขา สิ่งที่พวกเขาเชิดชูบูชาและสักการะบูชายังคงเป็นโลกใบนี้ พวกเขารู้สึกว่า หากพวกเขาทิ้งโลกนี้ไว้ข้างหลัง พวกเขาจะไม่มีหนทางที่จะใช้ชีวิต ในขณะที่หากพวกเขาทิ้งพระเจ้าไว้ข้างหลัง พวกเขาก็อาจยังมีอาหาร เสื้อผ้า และที่กำบัง พวกเขารู้สึกว่า หากพวกเขาทิ้งความรู้และการศึกษาของสังคมไว้ข้างหลัง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จบแล้ว เป็นหมุดสี่เหลี่ยมในสังคมของรูกลม และว่าการที่จะถูกสังคมทิ้งและกำจัดทิ้งนั้นหมายความว่า พวกเขาไม่สามารถรอดชีวิตได้ เจ้าขาดพร่องความเชื่อที่จะพูดว่า หากเจ้าทิ้งโลกไว้ข้างหลังและพึ่งพาพระเจ้า เจ้าก็สามารถดำรงชีวิตได้ ว่าพระเจ้าจะทรงให้เส้นชีวิตที่จะอำนวยให้เจ้ามีชีวิตแก่เจ้า เจ้าไม่มีความเข้าใจหรือความกล้าที่จะพูดเช่นนี้ วจนะเหล่านี้ไม่ได้มุ่งหมายที่จะเรียกร้องให้เจ้าปฏิบัติดังนั้นอย่างแท้จริง แต่เพื่อที่จะกล่าวว่า ก่อนที่เจ้าจะปฏิบัติดังนั้นและแก้ไขประเด็นปัญหาเหล่านี้ ความคิดและทรรศนะเช่นนั้นได้ก่อรูปร่างภายในตัวเจ้าแล้ว และกำลังควบคุมทุกคำพูดและความประพฤติของเจ้าอยู่ วจนะเหล่านั้นสามารถตัดสินได้ว่า เจ้าจะปฏิบัติตนในอนาคตอย่างไร และเจ้าจะรับมือกับประเด็นปัญหาเหล่านี้อย่างไร
ตัดตอนมาจาก “เจ้าจะสามารถรู้จักตัวเองได้ด้วยการตระหนักรู้ทรรศนะที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้น” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ