เรื่องเล่าที่ 1: เมล็ดพันธุ์ แผ่นดินโลก ต้นไม้ แสงอาทิตย์ นก และมนุษย์
วันนี้เราจะสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับหัวข้อใหม่ หัวข้อนี้คืออะไรน่ะหรือ? ชื่อของหัวข้อนี้ก็คือ...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!

สิ่งที่ห้าคืออะไร? สิ่งนี้เกี่ยวโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตของแต่ละบุคคลในแต่ละวัน ความสัมพันธ์ของสิ่งนี้กับชีวิตมนุษย์ใกล้ชิดมากเสียจนร่างกายมนุษย์ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในโลกเชิงวัตถุนี้ได้หากปราศจากมัน สิ่งนี้คือกระแสลมนั่นเอง ลางทีไม่ว่าใครก็สามารถเข้าใจคำนามว่า “กระแสลม” ได้ แม้เพิ่งเคยได้ยินคำนี้ ดังนั้นกระแสลมคืออะไรหรือ? เจ้าสามารถพูดได้ว่า “กระแสลม” เป็นเพียงความเคลื่อนไหวที่ไหลเลื่อนไปของอากาศ กระแสลมเป็นลมที่ดวงตามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นได้ มันยังเป็นหนทางหนึ่งที่ก๊าซทั้งหลายเคลื่อนที่ด้วย กระนั้นในการพูดคุยนี้ ในเบื้องต้นแล้ว “กระแสลม” อ้างอิงถึงอะไรเล่า? ทันทีที่เราพูด พวกเจ้าจะเข้าใจ แผ่นดินโลกบรรทุกภูเขา ทะเลและสรรพสิ่งทั้งปวงแห่งการทรงสร้างไปด้วยเมื่อมันหมุน และเมื่อมันหมุน มันก็หมุนด้วยความเร็ว แม้ว่าเจ้าจะไม่รู้สึกถึงการปั่นหมุนนี้แต่อย่างใด การหมุนรอบตัวของแผ่นดินโลกก็ยังดำรงอยู่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม การหมุนรอบตัวของแผ่นดินโลกก่อให้เกิดสิ่งใดหรือ? เมื่อเจ้าวิ่ง ลมไม่เกิดขึ้นและแล่นวูบผ่านหูของเจ้าไปหรอกหรือ? หากลมสามารถกำเนิดออกมาได้ยามที่เจ้าวิ่ง จะไม่สามารถมีลมเมื่อแผ่นดินโลกหมุนรอบตัวได้อย่างไร? เมื่อแผ่นดินโลกหมุนรอบตัว ทุกสรรพสิ่งก็อยู่ในการเคลื่อนที่ แผ่นดินโลกเองกำลังอยู่ในการเคลื่อนที่และหมุนรอบตัวด้วยความเร็วเฉพาะ ในขณะที่ทุกสรรพสิ่งบนแผ่นดินโลกก็กำลังแพร่พันธุ์และพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นกัน เพราะฉะนั้นการเคลื่อนไหวด้วยความเร็วเฉพาะจะทำให้เกิดกระแสลมโดยธรรมชาติ นี่คือสิ่งที่เราให้ความหมาย “กระแสลม” กระแสลมนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกายมนุษย์ในขอบข่ายหนึ่งหรอกหรือ? ลองพิจารณาพายุไต้ฝุ่นดูสิว่า พายุไต้ฝุ่นปกติไม่มีพลังเป็นพิเศษ แต่เมื่อพวกมันซัดกระหน่ำ ผู้คนไม่สามารถแม้แต่จะยืนได้อย่างคงที่ไม่สั่นคลอน และมันยากเย็นที่พวกเขาจะเดินในลม แม้แต่ก้าวเดียวก็ลำบากยากเข็ญแล้ว และผู้คนบางคนอาจถึงกับถูกลมดันไปอัดติดกับบางสิ่งบางอย่างโดยไร้ความสามารถที่จะขยับได้ นี่คือหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่กระแสลมสามารถส่งผลกระทบต่อมวลมนุษย์ได้ หากทั้งแผ่นดินโลกถูกปกคลุมด้วยที่ราบ เช่นนั้นแล้วเมื่อโลกและทุกสรรพสิ่งหมุนรอบตัว ร่างกายมนุษย์ก็คงจะไม่มีความสามารถที่จะทานทนได้โดยสิ้นเชิงต่อกระแสลมที่ถูกผลิตขึ้นจากการนั้น มันจะลำบากยากเย็นสุดขั้วที่จะตอบโต้สถานการณ์เช่นนั้น หากเป็นเช่นนั้นจริง กระแสลมเช่นนี้คงจะไม่เพียงแค่นำอันตรายมาสู่มวลมนุษย์ แต่จะนำมาซึ่งการทำลายล้างโดยสมบูรณ์ มนุษย์คงจะไม่มีความสามารถที่จะอยู่รอดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น นี่คือเหตุผลที่พระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันเพื่อแก้ปัญหากระแสลมเช่นนั้น—ในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันกระแสลมจะอ่อนตัวลง เปลี่ยนทิศทางของพวกมัน เปลี่ยนความเร็วของพวกมัน และเปลี่ยนกำลังของพวกมัน นั่นคือเหตุผลที่ผู้คนสามารถมองเห็นลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน เช่นภูเขา เทือกเขาขนาดใหญ่ ที่ราบ เนินเขา ลุ่มน้ำ หุบเขา ที่ราบสูง และแม่น้ำสายใหญ่ ด้วยคุณสมบัติพิเศษทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกันเหล่านี้ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนความเร็ว ทิศทาง และกำลังของกระแสลม นี่คือวิธีการที่พระองค์ทรงใช้เพื่อลดหรือบงการกระแสลมให้เป็นลมที่มีความเร็ว ทิศทาง และกำลังที่เหมาะสม เพื่อให้มนุษย์มีสภาพแวดล้อมปกติที่จะดำรงชีวิตอยู่ในนั้นได้ มีความจำเป็นที่ต้องมีการนี้หรือไม่? (มี) การทำบางสิ่งเช่นนี้ดูเหมือนจะลำบากยากเย็นสำหรับมนุษย์ แต่เป็นเรื่องง่ายสำหรับพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงสังเกตการณ์ทุกสรรพสิ่ง สำหรับพระองค์แล้ว การสร้างสภาพแวดล้อมที่มีกระแสลมซึ่งเหมาะสมสำหรับมนุษย์ไม่สามารถเรียบง่ายหรือง่ายดายไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นในสภาพแวดล้อมที่พระเจ้าทรงสร้างเช่นนี้ แต่ละสิ่งภายในการทรงสร้างทั้งหมดของพระองค์จึงมิอาจขาดไปได้ การดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่งนั้นมีคุณค่าและความจำเป็น อย่างไรก็ตามซาตานหรือมนุษย์ซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามแล้วนั้นไม่เข้าใจหลักธรรมนี้ พวกเขายังคงทำลายและพัฒนาและหาประโยชน์ต่อไป ด้วยความฝันอันสูญเปล่าที่จะแปรสภาพภูเขาให้กลายเป็นพื้นที่ราบ ถมหุบผาชันให้เต็มและสร้างตึกระฟ้าบนพื้นที่ราบเพื่อสร้างป่าคอนกรีต เป็นความหวังของพระเจ้าว่ามวลมนุษย์จะสามารถดำรงชีวิตอย่างมีความสุข เติบโตอย่างมีความสุข และใช้แต่ละวันอย่างมีความสุขในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมที่สุดนี้ ซึ่งพระองค์ได้ทรงตระเตรียมไว้ให้พวกเขา นั่นคือเหตุผลที่พระเจ้าไม่เคยได้ทรงประมาทในวิธีที่พระองค์ทรงปฏิบัติต่อสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ จากอุณหภูมิถึงอากาศ จากเสียงถึงแสง พระเจ้าได้ทรงทำแผนการและการจัดการเตรียมการที่สลับซับซ้อนเพื่อที่ร่างกายของพวกมนุษย์และสภาพแวดล้อมเพื่อการมีชีวิตของพวกเขาจะไม่อยู่ภายใต้การแทรกแซงอันใดจากสภาพเงื่อนไขทางธรรมชาติทั้งหลาย และเพื่อที่มวลมนุษย์จะมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตและเพิ่มทวีคูณตามปกติ และดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติกับทุกสรรพสิ่งในการอยู่ร่วมกันอย่างกลมกลืนแทน พระเจ้าทรงจัดเตรียมทั้งหมดนี้ให้แก่ทุกสรรพสิ่งและให้แก่มวลมนุษย์
ในหนทางที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพเงื่อนไขพื้นฐานทั้งห้านี้เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ เจ้าสามารถมองเห็นวิธีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์หรือไม่? (เห็น) กล่าวคือ พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างสภาพเงื่อนไขพื้นฐานที่สุดทั้งหมดสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์ และพระเจ้าก็กำลังทรงบริหารจัดการและควบคุมสิ่งเหล่านี้อยู่ด้วยเช่นกัน แม้แต่ในตอนนี้หลังจากที่มนุษย์ได้ดำรงอยู่มาหลายพันปีแล้ว พระเจ้าก็ยังคงกำลังทรงทำการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง อันเป็นการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสมที่สุดให้แก่พวกเขาเพื่อให้ชีวิตของพวกเขาสามารถได้รับการธำรงรักษาไว้ได้ในหนทางปกติ สถานการณ์เช่นนั้นจะได้รับการธำรงรักษาไว้ได้นานเท่าใดเล่า? กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าจะยังทรงจัดเตรียมสภาพแวดล้อมเช่นนี้ต่อไปได้อีกนานเท่าใดกัน? สิ่งนี้จะยืนยาวจนกระทั่งพระเจ้าทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์อย่างครบถ้วน จากนั้นพระเจ้าก็จะทรงเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตของมวลมนุษย์ อาจจะเป็นว่าพระองค์จะทรงทำการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ด้วยวิธีการเดียวกัน หรืออาจจะเป็นด้วยวิธีการที่แตกต่างออกไป แต่สิ่งที่ผู้คนต้องรู้ในตอนนี้ก็คือพระเจ้ากำลังทรงจัดเตรียมสิ่งที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมี กำลังบริหารจัดการสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ และกำลังทรงคุ้มครอง กำลังทรงอารักขาและทรงธำรงรักษาสภาพแวดล้อมนั้นอยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยสภาพแวดล้อมเช่นนี้ ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรย่อมมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตในลักษณะที่เป็นปกติและยอมรับความรอดและการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าได้ ทุกสรรพสิ่งอยู่รอดต่อไปเพราะอธิปไตยของพระเจ้า และมวลมนุษย์ทั้งปวงจึงเคลื่อนไปข้างหน้าต่อไปก็เพราะการจัดเตรียมทั้งหลายเช่นนั้นจากพระเจ้า
ส่วนสุดท้ายนี้ของการสามัคคีธรรมของพวกเราได้นำความคิดใหม่ๆ มาให้พวกเจ้าบ้างหรือไม่? บัดนี้พวกเจ้าได้กลายเป็นตระหนักรู้ถึงความแตกต่างอันยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์แล้วหรือไม่? ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้ใดหรือที่เป็นเจ้านายของทุกสรรพสิ่ง? เป็นมนุษย์หรือ? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วอะไรเล่าคือความแตกต่างระหว่างวิธีที่พระเจ้าและมนุษย์ปฏิบัติต่อสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง? (พระเจ้าทรงปกครองและทรงจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่ง ในขณะที่มนุษย์ชื่นชมสิ่งเหล่านั้น) พวกเจ้าเห็นด้วยกับการนี้หรือไม่? ความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์ก็คือการที่พระเจ้าทรงปกครองและจัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง พระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสิ่งทุกอย่าง และในขณะที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง มวลมนุษย์ก็ชื่นชมทุกสิ่งทุกอย่างเหล่านั้น กล่าวคือ มนุษย์ชื่นชมสรรพสิ่งทั้งปวงแห่งการทรงสร้างเมื่อเขายอมรับชีวิตที่พระเจ้าประทานให้แก่ทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าทรงเป็นองค์อธิปัตย์ และมวลมนุษย์ชื่นชมดอกผลของการที่พระเจ้าทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง เช่นนั้นแล้วจากมุมมองของสรรพสิ่งทั้งมวลแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า สิ่งใดหรือ คือความแตกต่างระหว่างพระเจ้ากับมวลมนุษย์? พระเจ้าสามารถมองเห็นกฎทั้งหลายแห่งวิธีที่ทุกสรรพสิ่งเติบโตได้อย่างชัดเจน และพระองค์ทรงควบคุมและมีอำนาจครอบครองอยู่เหนือกฎเหล่านี้ นั่นคือ ทุกสรรพสิ่งอยู่ภายในสายพระเนตรของพระเจ้าและภายในวงเขตแห่งการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ มวลมนุษย์สามารถมองเห็นทุกสรรพสิ่งได้หรือ? สิ่งที่มวลมนุษย์สามารถมองเห็นได้ถูกจำกัดอยู่กับสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าของพวกเขาโดยตรง หากเจ้าปีนขึ้นภูเขา เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เจ้ามองเห็นก็คือภูเขานั้นเท่านั้น เจ้าไม่สามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขาได้ หากเจ้าไปที่ชายฝั่ง สิ่งที่เจ้าเห็นเป็นเพียงด้านหนึ่งของมหาสมุทร และเจ้าไม่สามารถรู้ได้ว่าอีกด้านของมหาสมุทรเป็นเหมือนอะไร หากเจ้าเข้าไปในป่าไม้เจ้าจะสามารถมองเห็นพืชพรรณที่อยู่เบื้องหน้าเจ้าและรอบๆ เจ้า แต่เจ้าไม่สามารถเห็นสิ่งที่ตั้งอยู่ไกลออกไปข้างหน้า มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสถานที่ที่สูงกว่า ไกลกว่า ลึกกว่าได้ ทั้งหมดที่พวกเขาสามารถมองเห็นได้คือสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขาโดยตรง ภายในลานสายตาของพวกเขา ต่อให้มนุษย์จะรู้จักกฎที่บงการฤดูกาลทั้งสี่ของปี หรือกฎทั้งหลายแห่งวิธีที่ทุกสรรพสิ่งเติบโต พวกเขาก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะบริหารจัดการหรือบงการทุกสรรพสิ่งได้ กระนั้นหนทางที่พระเจ้าทรงมองเห็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวงเป็นเช่นเดียวกับที่พระองค์จะทรงมองเห็นเครื่องจักรที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระองค์เองไม่มีผิด พระองค์ทรงคุ้นเคยอย่างลึกซึ้งกับทุกส่วนประกอบและทุกการเชื่อมต่อ สิ่งที่เป็นหลักการของสิ่งเหล่านั้น สิ่งที่เป็นแบบแผนของสิ่งเหล่านั้น และสิ่งที่เป็นจุดประสงค์ของสิ่งเหล่านั้น—พระเจ้าทรงรู้ทั้งหมดนี้ด้วยความกระจ่างแจ้งในระดับสูงสุด ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าจึงทรงเป็นพระเจ้า และมนุษย์ก็คือมนุษย์! แม้ว่ามนุษย์อาจลงลึกในการศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ของเขาและกฎทั้งหลายที่ปกครองทุกสรรพสิ่ง แต่การศึกษาวิจัยนั้นมีวงเขตที่จำกัด ในขณะที่พระเจ้าทรงควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งสำหรับมนุษย์แล้วเป็นการควบคุมที่เป็นอนันต์ มนุษย์ผู้หนึ่งอาจสามารถใช้เวลาทั้งชีวิตทำการศึกษาวิจัยกิจการที่เล็กที่สุดของพระเจ้าโดยไม่สัมฤทธิ์ผลลัพธ์แท้จริงอันใด นี่คือเหตุผลที่เจ้าจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะรู้จักพระเจ้าหรือเข้าใจพระองค์ได้หากเจ้าใช้แค่ความรู้และสิ่งที่เจ้าได้เรียนรู้เพื่อศึกษาพระเจ้า แต่หากเจ้าเลือกวิธีแห่งการแสวงหาความจริงและแสวงหาพระเจ้า และมองดูพระเจ้าจากมุมมองแห่งการมารู้จักพระองค์ เช่นนั้นแล้วสักวันหนึ่งเจ้าจะระลึกได้ว่า การกระทำของพระเจ้าอยู่ทุกแห่งหนและพระปรีชาญาณของพระเจ้าอยู่ทุกแห่งหนในเวลาเดียวกัน และเจ้าจะรู้เหตุผลที่พระเจ้าทรงได้รับการเรียกขานว่าองค์อธิปัตย์แห่งสรรพสิ่งและแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง ยิ่งเจ้าได้รับความเข้าใจเช่นนี้มากขึ้นเท่าใด เจ้าก็จะยิ่งเข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงได้รับการเรียกขานว่าองค์อธิปัตย์แห่งสรรพสิ่ง สรรพสิ่งและทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งตัวเจ้า กำลังได้รับการจัดเตรียมของพระเจ้าที่หลั่งไหลแบบคงเส้นคงวาอยู่เป็นนิตย์ เจ้าจะสามารถสำนึกรับรู้ได้อย่างชัดเจนอีกด้วยว่า ในโลกนี้และท่ามกลางมวลมนุษย์นี้ ไม่มีผู้ใดเลยนอกเหนือจากพระเจ้าที่จะสามารถมีความสามารถและแก่นแท้ที่พระองค์ทรงใช้ปกครอง บริหารจัดการ และธำรงรักษาการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง เมื่อเจ้าไปถึงความเข้าใจนี้ เจ้าก็จะระลึกได้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าของเจ้า เมื่อเจ้าไปถึงจุดนี้ เจ้าย่อมจะได้ยอมรับพระเจ้าอย่างแท้จริงและได้ให้โอกาสพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของเจ้าและองค์อธิปัตย์ของเจ้าแล้ว เมื่อเจ้าได้รับความเข้าใจเช่นนั้นแล้วและชีวิตของเจ้าได้ไปถึงจุดดังกล่าวแล้ว พระเจ้าก็จะไม่ทรงทดสอบเจ้าและพิพากษาเจ้าอีกต่อไป อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงทำการเรียกร้องอันใดจากเจ้า เพราะเจ้าจะเข้าใจพระเจ้า จะรู้จักพระหฤทัยของพระองค์ และจะได้ยอมรับพระเจ้าอย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้าแล้ว นี่คือเหตุผลสำคัญในการสามัคคีธรรมในหัวข้อเหล่านี้เกี่ยวกับการที่พระเจ้าทรงมีอำนาจครอบครองและทรงบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง การทำเช่นนี้หมายที่จะให้ความรู้และความเข้าใจมากขึ้นแก่ผู้คน—ไม่ใช่เพียงเพื่อให้เจ้ายอมรับรู้ แต่เพื่อให้เจ้ารู้จักและเข้าใจการกระทำทั้งหลายของพระเจ้าในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้น
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
วันนี้เราจะสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าเกี่ยวกับหัวข้อใหม่ หัวข้อนี้คืออะไรน่ะหรือ? ชื่อของหัวข้อนี้ก็คือ...
หลังจากการพูดคุยเกี่ยวกับบางสิ่งเหล่านี้แล้ว...
หัวข้ออะไรหรือที่พวกเราเพิ่งได้เสวนากันไป?...
วันนี้ เราจะพูดถึงหัวข้อเกี่ยวกับว่า กฎประเภทนี้ที่พระเจ้าได้ทรงนำมาสู่ทุกสรรพสิ่งนั้น เลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวงอย่างไร...