พระเจ้าทรงสร้าง ทรงปกครอง และทรงบริหารจัดการทั้งหมด//อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

สองเรื่องที่เราเพิ่งได้บอกเล่าไปนั้น ถึงแม้ว่าเนื้อหาและลักษณะการแสดงออกจะผิดปกติไปเล็กน้อย ซึ่งได้ถูกเล่าไปในหนทางที่ค่อนข้างพิเศษอย่างที่เป็น แต่ก็เป็นความพยายามของเราที่จะใช้ภาษาซึ่งตรงไปตรงมาและการเข้าหาที่เรียบง่ายเพื่อช่วยให้พวกเจ้าได้รับและยอมรับบางสิ่งบางอย่างที่ลุ่มลึกมากยิ่งขึ้น นี่คือเป้าหมายเดียวของเรา ในเรื่องเล่าเล็กน้อยเหล่านี้และภาพที่เรื่องเล่าเหล่านี้วาดระบายให้เห็น เราต้องการให้พวกเจ้ามองเห็นและเชื่อว่าพระเจ้าทรงครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งปวง เป้าหมายในการเล่าเรื่องเหล่านี้ก็คือเพื่อเปิดโอกาสให้พวกเจ้าได้มองเห็นและรู้จักกิจการอันไม่สิ้นสุดของพระเจ้าภายในขอบเขตที่จำกัดของเรื่องราว สำหรับการที่เจ้าจะตระหนักและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้ในตัวพวกเจ้าเองอย่างเต็มที่เมื่อใดนั้น—นั่นขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของพวกเจ้าเองและการไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้าเอง หากเจ้าเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและพยายามที่จะรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้ก็จะทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนความจำที่มีกำลังบังคับมากขึ้นทุกที สิ่งเหล่านั้นจะให้เจ้าได้มีความตระหนักรู้ที่ลึกซึ้ง ความชัดเจนในความเข้าใจของเจ้า ซึ่งจะค่อยๆ เข้าใกล้ชิดกับกิจการจริงทั้งหลายของพระเจ้า ด้วยความใกล้ชิดที่จะไม่มีระยะห่างและไม่มีข้อผิดพลาดเลย อย่างไรก็ตาม หากเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่พยายามจะรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเรื่องเล่าเหล่านี้ก็ไม่สามารถที่จะทำอันตรายใดๆ กับพวกเจ้าได้ แค่คำนึงถึงว่าเรื่องเหล่านี้คือเรื่องจริงเท่านั้นเอง

พวกเจ้าได้รับความเข้าใจใดๆ จากสองเรื่องเหล่านี้แล้วหรือยัง? ประการแรก สองเรื่องเหล่านี้แยกต่างหากจากการหารือก่อนหน้านี้ของพวกเราเกี่ยวกับความห่วงใยของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์หรือไม่? มีความเชื่อมโยงตามธรรมชาติหรือไม่? จริงหรือไม่ว่า ภายในสองเรื่องเหล่านี้ พวกเรามองเห็นกิจการทั้งหลายของพระเจ้าและการพิจารณาถ้วนทั่วที่พระองค์ทรงให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงวางแผนการสำหรับมวลมนุษย์? จริงหรือไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าดำรินั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งการดำรงอยู่ของมวลมนุษย์? (จริง) พระดำริและการพิจารณาอันรอบคอบของพระเจ้าที่มีต่อมวลมนุษย์เป็นที่ประจักษ์ชัดอย่างยิ่งมิใช่หรือ? มวลมนุษย์ไม่ต้องทำสิ่งใด พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมอากาศให้แก่ผู้คน—ทั้งหมดที่พวกเขาจำเป็นต้องทำก็คือหายใจด้วยอากาศนั้น ผักและผลไม้ที่พวกเขากินก็มีพร้อมอยู่แล้ว จากเหนือถึงใต้ จากตะวันออกถึงตะวันตก แต่ละภูมิภาคมีทรัพยากรธรรมชาติของมันเอง พืชผลและผลไม้และผักที่แตกต่างกันประจำภูมิภาคนั้นพระเจ้าล้วนได้ทรงตระเตรียมไว้แล้วทั้งหมด ในสภาพแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่กว่า พระเจ้าได้ทำให้ทุกสรรพสิ่งเสริมกำลังซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยกัน เสริมความแข็งแกร่งซึ่งกันและกัน ตอบโต้ซึ่งกันและกัน และดำรงอยู่ร่วมกัน นี่คือวิธีการของพระองค์ กฎเกณฑ์ของพระองค์ในการธำรงรักษาไว้ซึ่งการอยู่รอดและการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง ในหนทางนี้ มวลมนุษย์จึงได้มีความสามารถที่จะเติบโตอย่างปลอดภัยและอย่างปลอดโปร่งใจภายในสภาพแวดล้อมแห่งการดำรงชีวิตนี้ ที่จะเพิ่มทวีจากชนรุ่นหนึ่งไปสู่รุ่นถัดไป แม้กระทั่งมาจนถึงวันปัจจุบัน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงนำพาความสมดุลมาให้แก่สภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ หากพระเจ้าไม่ทรงครองอธิปไตยและทรงควบคุม เช่นนั้นแล้ว สภาพแวดล้อมก็คงจะเกินความสามารถของผู้ใดที่จะธำรงรักษาและคงไว้ในความสมดุลได้ แม้ว่ามันยังคงได้ถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าก็ตาม ในบางสถานที่ที่ไม่มีอากาศ และมวลมนุษย์ไม่สามารถรอดชีวิตในที่เช่นนั้นได้ พระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้เจ้าไปยังที่เหล่านั้น ดังนั้น จงอย่าไปเกินขีดจำกัดที่ถูกต้องเหมาะสม การนี้เป็นไปเพื่อการปกป้องมวลมนุษย์—มีความล้ำลึกทั้งหลายอยู่ภายใน แต่ละแง่มุมของสภาพแวดล้อม ความกว้างและความยาวของแผ่นดินโลก ทุกสิ่งที่ทรงสร้างบนแผ่นดินโลก—ทั้งที่มีชีวิตและที่ตายไปแล้ว—พระเจ้าได้ทรงก่อกำเนิดและทรงตระเตรียมไว้ล่วงหน้า เหตุใดสิ่งนี้จึงจำเป็นต้องมี? เหตุใดสิ่งนั้นจึงไม่จำเป็น? สิ่งใดคือจุดประสงค์ของการมีสิ่งนี้ที่นี่ และเหตุใดสิ่งนั้นจึงควรไปที่นั่น? พระเจ้าได้ดำริไว้แล้วโดยผ่านทางคำถามทั้งหมดเหล่านี้ และไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้คนที่ต้องคิดถึงสิ่งเหล่านั้น มีผู้คนโง่เขลาบางคนที่คิดถึงการเคลื่อนย้ายภูเขาอยู่เสมอ แต่แทนที่จะทำเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่เคลื่อนย้ายที่ราบทั้งหลายเล่า? หากเจ้าไม่ชอบภูเขา เหตุใดเจ้าจึงใช้ชีวิตอยู่ใกล้ภูเขาเล่า? นั่นไม่โง่เขลาหรอกหรือ? จะเกิดสิ่งใดขึ้นหากเจ้าเคลื่อนย้ายภูเขานั้น? เฮอริเคนและคลื่นขนาดใหญ่คงจะมาและบ้านเรือนของผู้คนคงจะถูกทำลาย นี่ไม่ใช่ความเขลาหรอกหรือ? ผู้คนมีความสามารถในการทำลายล้างเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถแม้กระทั่งธำรงรักษาสถานที่เดียวที่พวกเขามีเพื่อดำรงชีวิต แต่ถึงกระนั้นพวกเขายังต้องการที่จะจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง นี่เป็นไปไม่ได้

พระเจ้าทรงเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์บริหารจัดการทุกสรรพสิ่งและมีความเป็นนายเหนือสิ่งเหล่านั้น แต่มนุษย์ทำได้ดีหรือไม่? มนุษย์ทำลายสิ่งใดก็ตามที่เขาสามารถทำได้ เขาไม่เพียงไม่มีความสามารถที่จะรักษาทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไว้เพื่อเขาให้อยู่ในสภาพเงื่อนไขดั้งเดิมของมันได้เท่านั้น—แต่เขาได้ทำตรงกันข้ามและได้ทำลายการทรงสร้างของพระเจ้า มวลมนุษย์ได้เคลื่อนย้ายภูเขาและทวงคืนแผ่นดินจากทะเล และได้เปลี่ยนที่ราบให้เป็นทะเลทรายซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ ถึงกระนั้น ในทะเลทรายนั่นเองที่มนุษย์ได้ทำอุตสาหกรรมและได้สร้างฐานนิวเคลียร์ หว่านเพาะการทำลายล้างไปทุกหนแห่ง บัดนี้ แม่น้ำไม่เป็นแม่น้ำอีกต่อไป ทะเลไม่เป็นทะเลอีกต่อไป…ทันทีที่มวลมนุษย์ได้ทำลายสมดุลแห่งสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติและกฎเกณฑ์ของมันแล้ว วันแห่งความวิบัติและความตายของเขาก็อยู่ไม่ไกลออกไปแล้ว สิ่งนั้นไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เมื่อความวิบัติมาถึง มวลมนุษย์จะรู้ความล้ำค่าของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไว้ให้แก่เขาและรู้ว่าสิ่งนั้นมีความสำคัญเพียงใดต่อมวลมนุษย์ สำหรับมนุษย์แล้ว การดำรงชีวิตในสภาพแวดล้อมที่มีลมและฝนมาตามเวลาของพวกมันเป็นเหมือนการดำรงชีวิตอยู่ในสรวงสวรรค์ ผู้คนไม่ตระหนักว่านี่คือพระพร แต่ชั่วขณะที่พวกเขาสูญเสียสิ่งเหล่านั้นไปทั้งหมด พวกเขาจะมองเห็นว่านั่นเป็นสิ่งที่หายากและล้ำค่าเพียงใด และทันทีที่สิ่งนั้นหมดไป คนเราจะได้สิ่งนั้นกลับคืนมาอย่างไรเล่า? ผู้คนสามารถทำสิ่งใดได้หากพระเจ้าไม่เต็มพระทัยที่จะสร้างสิ่งนั้นขึ้นมาอีกครั้ง? มีสิ่งใดหรือไม่ที่พวกเจ้าสามารถทำได้? แท้ที่จริงแล้ว มีบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าสามารถทำได้ สิ่งนั้นง่ายอย่างยิ่ง—เมื่อเราบอกพวกเจ้าว่านั่นคือสิ่งใด พวกเจ้าจะรู้โดยทันทีว่านั่นเป็นไปได้ เป็นอย่างไรบ้างที่มนุษย์ได้พบตัวเขาเองอยู่ในสภาวะปัจจุบันแห่งการดำรงอยู่ของเขา? นั่นเป็นเพราะความโลภและการทำลายล้างของเขาใช่หรือไม่? หากมนุษย์หยุดการทำลายล้างนี้ สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของเขาจะไม่ถูกต้องไปเองทีละน้อยหรอกหรือ? หากพระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งใด หากพระเจ้าไม่ทรงปรารถนาที่จะทำสิ่งใดเพื่อมวลมนุษย์อีกต่อไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ หากพระองค์ไม่ทรงแทรกแซงในเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้ว ทางออกที่ดีที่สุดของมวลมนุษย์ก็คงจะเป็นการระงับการทำลายล้างทั้งหมดนั้นและเปิดโอกาสให้สภาพแวดล้อมแห่งการดำรงชีวิตได้กลับคืนมาสู่สภาวะตามธรรมชาติของมัน การหยุดการทำลายล้างทั้งหมดนี้หมายถึงการหยุดการปล้นสะดมและการล้างผลาญสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ การทำดังนั้นคงจะเปิดโอกาสให้สภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ฟื้นคืนกลับมาทีละน้อย ในขณะที่ความล้มเหลวในการทำเช่นนั้นจะส่งผลให้เกิดสภาพแวดล้อมที่น่าเกลียดน่าชังมากขึ้นทุกทีสำหรับชีวิตที่การทำลายล้างมันจะเร่งขึ้นตามเวลา ทางออกของเราเรียบง่ายหรือไม่? นั่นเรียบง่ายและเป็นไปได้มิใช่หรือ? เรียบง่ายโดยแท้ และเป็นไปได้สำหรับผู้คน—แต่มันเป็นไปได้สำหรับผู้คนส่วนใหญ่จำนวนมากบนแผ่นดินโลกหรือไม่? (นั่นเป็นไปไม่ได้) อย่างน้อยที่สุดสำหรับพวกเจ้า นั่นเป็นไปได้ใช่หรือไม่? (ใช่) สิ่งใดทำให้พวกเจ้าพูดว่า “ใช่”? จะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่านั่นมาจากรากฐานแห่งความเข้าใจกิจการทั้งหลายของพระเจ้า? จะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าสภาพเงื่อนไขของสิ่งนั้นคือการเชื่อฟังอธิปไตยและแผนของพระเจ้า? (ได้) มีหนทางหนึ่งที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งทั้งหลาย แต่นั่นไม่ใช่หัวข้อที่พวกเรากำลังสนทนากันอยู่ตอนนี้ พระเจ้าทรงรับผิดชอบชีวิตมนุษย์ทุกๆ ชีวิต และพระองค์ทรงรับผิดชอบไปจนถึงที่สุด พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่เจ้า และต่อให้ในสภาพแวดล้อมที่ซาตานได้ทำลายล้างแล้วนี้ เจ้าได้ถูกทำให้ล้มป่วย ได้รับมลพิษ หรือถูกละเมิด นั่นก็ไม่สำคัญ—พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมให้แก่เจ้า และพระเจ้าจะทรงปล่อยให้เจ้าดำรงชีวิตต่อไป พวกเจ้าควรมีความเชื่อในการนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์ตายโดยง่าย

บัดนี้พวกเจ้าได้มารู้สึกถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นความสำคัญของการระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่งแล้วหรือยัง? (ใช่ พวกเรารู้สึกแล้ว) พวกเจ้ามีความรู้สึกใด? จงบอกเรามา (ในอดีต พวกเราไม่เคยคิดที่จะเชื่อมโยงภูเขา ทะเล และทะเลสาบเข้ากับการกระทำของพระเจ้า ก่อนที่พวกเราจะได้รับฟังการสามัคคีธรรมของพระเจ้าวันนี้ พวกเราไม่เคยเข้าใจว่าสิ่งเหล่านี้มีการกระทำและพระปรีชาญาณของพระเจ้าอยู่ภายในพวกมัน พวกเรามองเห็นว่า แม้กระทั่งเมื่อพระเจ้าได้ทรงเริ่มต้นการทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ก็ได้ทรงทำให้แต่ละอย่างอิ่มเอิบด้วยชะตาลิขิตและน้ำพระทัยอันดีงามของพระองค์แล้ว ทุกสรรพสิ่งเสริมกำลังซึ่งกันและกันและพึ่งพาอาศัยกัน และมวลมนุษย์เป็นผู้ได้รับประโยชน์ในท้ายที่สุด สิ่งที่พวกเราได้รับฟังวันนี้ให้ความรู้สึกสดชื่นและแปลกใหม่อย่างยิ่ง—พวกเราได้รู้สึกว่าการกระทำของพระเจ้านั้นเป็นจริงเพียงใด ในโลกที่เป็นจริงนั้น ในชีวิตประจำวันของพวกเรา และในการเผชิญหน้าของพวกเรากับทุกสรรพสิ่ง พวกเรามองเห็นว่าการนี้เป็นดังนั้น) เจ้าได้เห็นอย่างแท้จริงแล้ว มิใช่หรือ? พระเจ้าไม่ทรงจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์โดยปราศจากรากฐานที่ดี การจัดเตรียมของพระองค์ไม่ใช่แค่พระวจนะสั้นๆ ไม่กี่คำ พระเจ้าได้ทรงทำมากมายยิ่งนัก และแม้กระทั่งสิ่งทั้งหลายที่เจ้าไม่เห็นก็ล้วนเป็นไปเพื่อประโยชน์ของเจ้า มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมนี้ ภายในทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ให้เขา ที่ซึ่งผู้คนและทุกสรรพสิ่งพึ่งพาอาศัยกันและกัน ยกตัวอย่างเช่น ต้นไม้คายก๊าซที่ชำระอากาศให้บริสุทธิ์ และผู้คนหายใจเอาอากาศที่บริสุทธิ์นั้นเข้าไปและได้รับประโยชน์จากมัน แต่ทว่าต้นไม้บางชนิดก็เป็นพิษต่อผู้คน ในขณะที่ต้นอื่นๆ ก็ต้านต้นไม้พิษ นี่คือการอัศจรรย์แห่งการทรงสร้างของพระเจ้า! แต่ขอให้พวกเราออกจากหัวข้อนี้สำหรับตอนนี้ วันนี้ การสนทนาของเราโดยหลักแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับการดำรงอยู่ร่วมกันของมนุษย์และสิ่งทรงสร้างที่เหลือ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากสิ่งเหล่านั้น ความสำคัญของการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าคือสิ่งใด? มนุษย์ไม่สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากสิ่งอื่นที่เหลือ ดังเช่นที่มนุษย์จำเป็นต้องมีอากาศเพื่อการดำรงชีวิต—หากเจ้าถูกกำหนดที่ให้อยู่ในสุญญากาศ เจ้าคงจะตายในไม่ช้า นี่เป็นหลักการที่เรียบง่ายอย่างยิ่งที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์ไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยแยกออกจากสิ่งทรงสร้างที่เหลือ ดังนั้นมนุษย์ควรมีท่าทีใดต่อทุกสรรพสิ่ง? ผู้ที่มองเห็นความล้ำค่าของสิ่งเหล่านั้น ปกป้องสิ่งเหล่านั้น ทำให้การใช้สิ่งเหล่านั้นมีประสิทธิภาพ ไม่ทำลายสิ่งเหล่านั้น ไม่ทำให้สิ่งเหล่านั้นสิ้นเปลือง และไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งเหล่านั้นตามอำเภอใจ เพราะทุกสรรพสิ่งล้วนมาจากพระเจ้า ทุกสรรพสิ่งคือการจัดเตรียมของพระองค์แก่มวลมนุษย์ และมวลมนุษย์ต้องปฏิบัติต่อสิ่งเหล่านั้นอย่างมีสติ

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

การมองเห็นเสบียงอาหารของพระเจ้าสำหรับมนุษย์โดยผ่านทางสภาพแวดล้อมพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น

ในหนทางที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพเงื่อนไขพื้นฐานทั้งห้านี้เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์...

อาณาเขตได้เกิดขึ้นเนื่องจากลีลาชีวิตอันหลากหลายของมวลมนุษย์

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและได้ทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับพวกมัน ในท่ามกลางสรรพสิ่งพระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในขณะเดียวกัน...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger