เรื่องเล่าที่ 2 ภูเขาใหญ่ ลำธารน้อย ลมรุนแรง และคลื่นยักษ์

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

มีลำธารสายน้อยสายหนึ่งที่เลี้ยวลดไปมา จนในที่สุดก็มาถึงที่ตีนภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ภูเขาได้บังกั้นเส้นทางของลำธารจิ๋วนี้ไว้ ดังนั้น ลำธารจึงได้กล่าวกับภูเขาด้วยเสียงเล็กๆ ที่อ่อนแรงของมัน “โปรดปล่อยให้ฉันผ่านไปเถิด ท่านกำลังยืนขวางทางของฉันและบังกั้นเส้นทางไปข้างหน้าของฉัน” “ท่านกำลังไปที่ใด?” ภูเขาได้ถามไป “ฉันกำลังมองหาบ้านของฉัน” ลำธารได้โต้ตอบไป “ก็ได้ เชิญไปได้และไหลข้ามตรงไปบนฉันเลย!” แต่ลำธารน้อยนี้อ่อนแอเกินไปและเยาว์วัยเกินไป ดังนั้นมันจึงไม่มีหนทางใดที่จะไหลข้ามภูเขาใหญ่เช่นนั้น มันสามารถทำได้เพียงไหลต่อไปตรงนั้นไปตามตีนเขานั้น…

ลมรุนแรงพัดกวาดมา หอบเอาทรายและเศษซากไปยังที่ซึ่งภูเขาตั้งอยู่ ลมได้แผดร้องใส่ภูเขาว่า “จงให้ฉันผ่านไป!” “ท่านกำลังไปที่ใด?” ภูเขาถาม “เราต้องการข้ามไปยังอีกด้านหนึ่งของภูเขา” ลมส่งเสียงโหยหวนโต้ตอบไป “ก็ได้ หากท่านสามารถฝ่าพ้นส่วนคอดของฉันไปได้ เช่นนั้นแล้วท่านก็สามารถไปได้!” ลมรุนแรงได้ส่งเสียงโหยหวนไปทางนี้ทีทางนั้นที แต่ไม่สำคัญว่ามันจะพัดอย่างระห่ำเพียงใด มันก็ไม่สามารถฝ่าพ้นส่วนคอดของภูเขาไปได้ ลมเริ่มเหนื่อยและหยุดเพื่อพัก—และที่อีกด้านหนึ่งของภูเขานั้น สายลมโชยได้เริ่มโบกโบยให้ความยินดีแก่ผู้คนที่นั่น นี่คือการทักทายของภูเขาที่มีต่อผู้คน…

ณ ชายฝั่งทะเล ละอองน้ำจากมหาสมุทรม้วนตัวอย่างอ่อนโยนเข้าฝั่งที่เป็นโขดหิน ทันใดนั้นเอง คลื่นยักษ์ได้ก่อตัวขึ้นและคำรามกระหึ่มมาตามทางตรงมายังภูเขานั้น “จงหลีกไป!” คลื่นยักษ์ตะโกน “ท่านกำลังไปที่ใด?” ภูเขาถาม คลื่นซึ่งไม่สามารถหยุดการเดินหน้าของมันได้ก็แผดเสียงตอบไปว่า “ฉันกำลังขยายเขตแดนของฉัน! ฉันต้องการยืดแขนของฉันออกไป!” “ก็ได้ หากท่านสามารถผ่านข้ามยอดสูงของฉันไปได้ ฉันจะปล่อยให้ท่านผ่านทางไป” คลื่นใหญ่ถอยไปพอได้ระยะห่าง แล้วก็ถาโถมเข้าใส่ภูเขาอีกครั้ง แต่ไม่สำคัญว่ามันได้พยายามอย่างหนักเพียงใด มันก็ไม่ได้สามารถข้ามยอดสูงของภูเขาไปได้ คลื่นทำได้แค่เพียงม้วนกลับออกไปสู่ทะเลอย่างช้าๆ…

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ลำธารน้อยไหลอย่างอ่อนโยนไปรอบตีนภูเขา โดยติดตามการชี้นำทางของภูเขา ลำธารน้อยนี้ก็ได้สร้างทางกลับบ้านของมัน ที่ซึ่งมันได้รวมเข้ากับแม่น้ำ ซึ่งด้วยการนั้นจึงได้รวมเข้ากับทะเล ลำธารน้อยนี้ไม่เคยหลงทางภายใต้การดูแลของภูเขานี้ ลำธารและภูเขาได้เสริมกำลังซึ่งกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกันและกัน ทั้งสองได้เสริมกำลังซึ่งกันและกัน ตอบโต้กันและกัน และดำรงอยู่ด้วยกัน

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว ลมรุนแรงได้ส่งเสียงโหยหวนเหมือนเป็นนิสัยของมัน มันยังคงมา “เยือน” ภูเขาบ่อยครั้ง พร้อมด้วยทรายหมุนวงใหญ่ที่ควงพลิ้วมาในการกระโชกของมัน มันได้ขู่ภูเขา แต่ไม่เคยได้ฝ่าพ้นส่วนคอดของภูเขาไปได้เลย ลมและภูเขาเสริมแรงซึ่งกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกันและกัน ทั้งสองได้เสริมกำลังซึ่งกันและกัน ตอบโต้กันและกัน และดำรงอยู่ด้วยกัน

เป็นเวลาหลายพันปีแล้ว คลื่นยักษ์ไม่เคยหยุดพัก และมันเดินขบวนไปข้างหน้าอย่างไม่ลดละ ขยายดินแดนของมันอย่างต่อเนื่อง มันคำรามและถาโถมเข้าหาภูเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงกระนั้นภูเขาก็ไม่เคยขยับสักนิ้ว ภูเขาเฝ้ามองดูทะเล และในหนทางนี้ สรรพสิ่งที่ทรงสร้างในทะเลได้เพิ่มทวีและเจริญรุ่งเรือง คลื่นและภูเขาเสริมแรงกันและกัน และพึ่งพาอาศัยกันและกัน ทั้งสองได้เสริมกำลังกันและกัน ตอบโต้กันและกัน และดำรงอยู่ด้วยกัน

ดังนั้นเรื่องเล่าของพวกเราจึงจบลง ก่อนอื่น จงบอกเราว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับสิ่งใด? เริ่มต้นตรงที่ มีภูเขาใหญ่ ลำธารน้อย ลมรุนแรง และคลื่นยักษ์ ได้เกิดสิ่งใดขึ้นกับลำธารน้อย กับภูเขาใหญ่นั้นในบทตอนแรก? เหตุใดเราจึงได้เลือกสรรที่จะพูดคุยเกี่ยวกับลำธารและภูเขา? (ภายใต้การดูแลของภูเขา ลำธารไม่เคยหลงทาง พวกมันพึ่งพากันและกัน) เจ้าจะพูดว่าภูเขาปกป้องหรือเป็นอุปสรรคต่อลำธารน้อยนั้น? (มันปกป้องลำธาร) ว่าแต่มันได้เป็นอุปสรรคต่อลำธารหรือไม่? ภูเขาและลำธารเฝ้าระวังภัยให้กันและกัน ภูเขาปกป้องลำธารและเป็นอุปสรรคต่อมันด้วยเช่นกัน ภูเขาได้ปกป้องลำธารขณะที่มันได้รวมเข้ากับแม่น้ำ แต่ก็ได้เป็นอุปสรรคต่อมันเพื่อกักมันไม่ให้ไหลไปในที่ซึ่งมันอาจจะก่อให้เกิดน้ำท่วมและนำพาความวิบัติมาสู่ผู้คน นี่ไม่ใช่สิ่งที่เกี่ยวข้องกับบทตอนนั้นหรอกหรือ? ด้วยการปกป้องลำธารและด้วยการบังกั้นมัน ภูเขาก็ได้พิทักษ์บ้านเรือนของผู้คน ลำธารน้อยนี้จึงได้รวมเข้ากับแม่น้ำที่ตีนภูเขาและได้ไหลต่อไปลงสู่ทะเล นี่ไม่ใช่กฎเกณฑ์ที่ปกครองดูแลการดำรงอยู่ของลำธารหรอกหรือ? สิ่งใดทำให้ลำธารสามารถรวมเข้ากับแม่น้ำและทะเลได้? สิ่งนั้นไม่ใช่ภูเขาหรอกหรือ? ลำธารพึ่งพาการปกป้องของภูเขาและการเป็นอุปสรรคของมัน ดังนั้น นี่ไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกหรือ? เจ้ามองเห็นความสำคัญของภูเขาที่มีต่อน้ำในการนี้หรือไม่? พระเจ้ามีพระประสงค์ของพระองค์ในการสร้างภูเขาทุกลูก ไม่ว่าใหญ่หรือเล็กใช่หรือไม่? (ใช่) บทตอนสั้นๆ นี้ที่ไม่มีสิ่งใดนอกจากหนึ่งลำธารน้อยกับหนึ่งภูเขาใหญ่ ทำให้พวกเราได้มองเห็นคุณค่าและนัยสำคัญแห่งการทรงสร้างสองสิ่งเหล่านี้ของพระเจ้า มันแสดงให้พวกเราเห็นถึงพระปรีชาญาณและพระประสงค์ในการปกครองเหนือสิ่งเหล่านั้นของพระองค์อีกด้วย นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?

บทตอนที่สองของเรื่องเล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใด? (ลมรุนแรงกับภูเขาใหญ่นั้น) ลมเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่? (ใช่แล้ว) ไม่จำเป็น—บางครั้งลมก็แรงเกินไปและทำให้เกิดความวิบัติ เจ้ารู้สึกอย่างไรหากเจ้าถูกทำให้ต้องไปยืนอยู่ในลมรุนแรง? มันขึ้นอยู่กับเรี่ยวแรงของมันมิใช่หรือ? หากมันเป็นสายลมระดับสามหรือสี่ มันก็คงจะเป็นที่ทนยอมรับได้ อย่างมากที่สุด บุคคลหนึ่งอาจจะมีปัญหาในการเปิดตาของพวกเขาค้างเอาไว้ แต่หากลมนั้นรุนแรงขึ้นและกลายเป็นพายุเฮอริเคน เจ้าจะสามารถทนทานมันได้หรือไม่? เจ้าคงจะไม่สามารถ ดังนั้น จึงผิดสำหรับการที่ผู้คนกล่าวว่าลมนั้นดีอยู่เสมอ หรือว่ามันไม่ดีอยู่เสมอ และการนี้ขึ้นอยู่กับเรี่ยวแรงของมัน บัดนี้ หน้าที่ของภูเขาในที่นี้คือสิ่งใด? หน้าที่ของมันไม่ใช่เพื่อกรองลมหรอกหรือ? ภูเขาลดลมรุนแรงไปเป็นสิ่งใด? (สายลมโชย) บัดนี้ ในสภาพแวดล้อมที่พวกมนุษย์อาศัยอยู่ ผู้คนส่วนใหญ่ได้รับประสบการณ์กับลมพายุหรือสายลมโชย? (สายลมโชย) นี่ไม่ใช่หนึ่งในพระประสงค์ของพระเจ้า หนึ่งในเจตนารมณ์ของพระองค์ในการทรงสร้างภูเขาหรอกหรือ? มันจะเป็นอย่างไรหากผู้คนใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ทรายถูกพัดปลิวในสายลมอย่างลำพอง โดยไม่มีการเหนี่ยวรั้งและกลั่นกรอง? มันอาจจะเป็นว่าแผ่นดินที่ถูกรุมเร้าด้วยทรายและหินที่ปลิวว่อนนั้นคงจะไม่สามารถอยู่อาศัยได้ใช่หรือไม่? ก้อนหินอาจจะกระหน่ำโดนผู้คน และทรายอาจจะทำให้พวกเขาตาบอด ลมอาจจะพัดกวาดผู้คนจนเท้าลอยหรือหอบพาพวกเขาไปในอากาศ บ้านเรือนอาจจะถูกทำลาย และคงจะเกิดความวิบัติทุกลักษณะ กระนั้นยังมีคุณค่าในการดำรงอยู่ของลมรุนแรงหรือไม่? เราพูดว่ามันไม่ดี ดังนั้น คนผู้หนึ่งอาจรู้สึกว่ามันไม่มีคุณค่า แต่การนั้นเป็นดังนั้นหรือ? มันไม่มีคุณค่าทันทีที่มันได้เปลี่ยนไปเป็นสายลมโชยหรือไม่? ผู้คนต้องการสิ่งใดมากที่สุดตอนที่สภาพอากาศชื้นหรืออบอ้าว? พวกเขาต้องการให้สายลมโชยพัดมาที่พวกเขาอย่างอ่อนโยน เพื่อทำให้พวกเขาสดชื่นและสมองปลอดโปร่ง เพื่อทำให้ความคิดของพวกเขาเฉียบคมขึ้น เพื่อซ่อมแซมและปรับปรุงสภาวะทางจิตใจของพวกเขา บัดนี้ เพื่อเป็นตัวอย่าง พวกเจ้าทั้งหมดนั่งในห้องที่มีผู้คนมากมายและอากาศอุดอู้—พวกเจ้าต้องการสิ่งใดมากที่สุด? (สายลมโชย) การไปในที่ซึ่งอากาศขมุกขมัวและโสโครกสามารถทำให้ความคิดของคนเราเชื่องช้า ลดการไหลเวียนโลหิตของคนเรา และลดความกระจ่างแจ้งในจิตใจของคนเราได้ อย่างไรก็ตาม การเคลื่อนไหวและการไหลเวียนทำให้อากาศสดชื่นขึ้น และผู้คนรู้สึกแตกต่างออกไปในอากาศสดชื่น ถึงแม้ว่าลำธารน้อยนั้นจะสามารถก่อให้เกิดความวิบัติได้ ถึงแม้ว่าลมรุนแรงสามารถก่อให้เกิดความวิบัติได้ ตราบเท่าที่ภูเขาอยู่ที่นั่น มันจะเปลี่ยนอันตรายนั้นให้เป็นกำลังที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?

บทตอนที่สามของเรื่องนี้เกี่ยวกับสิ่งใด? (ภูเขาใหญ่กับคลื่นยักษ์) ภูเขาใหญ่กับคลื่นยักษ์ บทตอนนี้เกิดขึ้น ณ ชายฝั่งทะเลที่ตีนภูเขา พวกเรามองเห็นภูเขา ละอองน้ำจากมหาสมุทร และคลื่นลูกใหญ่ ในตัวอย่างนี้ภูเขาเป็นสิ่งใดสำหรับคลื่น? (ผู้คุ้มครองปกป้องและสิ่งกีดขวาง) มันเป็นทั้งผู้คุ้มครองปกป้องและสิ่งกีดขวาง ในฐานะผู้คุ้มครองปกป้อง มันรักษาทะเลไว้ไม่ให้ปลาสนาการไป เพื่อที่สรรพสิ่งทรงสร้างที่อาศัยอยู่ในทะเลอาจเพิ่มทวีและเจริญเติบโต ในฐานะสิ่งกีดขวาง ภูเขากักน้ำในทะเลไว้ไม่ให้ไหลท่วมและก่อให้เกิดความวิบัติ ไม่ให้ก่อให้เกิดอันตรายและการทำลายบ้านเรือนของผู้คน ดังนั้น พวกเราสามารถกล่าวได้ว่าภูเขาเป็นทั้งผู้คุ้มครองปกป้องและสิ่งกีดขวาง

นี่คือนัยสำคัญของการเชื่อมโยงระหว่างกันระหว่างภูเขาใหญ่กับลำธารน้อย ภูเขาใหญ่กับลมรุนแรง และภูเขาใหญ่กับคลื่นยักษ์ นี่คือนัยสำคัญของการเสริมกำลังและการตอบโต้กันและกันของสิ่งเหล่านั้น และนัยสำคัญของการดำรงอยู่ร่วมกันของสิ่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้นนั้น ได้รับการปกครองดูแลในการดำรงอยู่ของพวกมันด้วยกฎเกณฑ์หนึ่งและธรรมบัญญัติหนึ่ง ดังนั้น เจ้ามองเห็นกิจการใดของพระเจ้าในเรื่องนี้? พระเจ้าได้ทรงเมินเฉยต่อทุกสรรพสิ่งนับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงสร้างพวกมันขึ้นมาหรือไม่? พระองค์ได้ทรงสร้างกฎเกณฑ์และทรงออกแบบหนทางทั้งหลายที่ทุกสรรพสิ่งทำหน้าที่ เพียงเพื่อที่จะเมินเฉยต่อพวกมันหลังจากนั้นหรือ? นั่นคือสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกระนั้นหรือ? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้ว ได้เกิดสิ่งใดขึ้น? พระเจ้ายังคงทรงอยู่ในการควบคุม พระองค์ทรงควบคุมทะเล ลม และคลื่น พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นอาละวาดเพ่นพ่าน อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงปล่อยให้พวกมันก่อให้เกิดอันตรายหรือทำลายบ้านเรือนที่ผู้คนดำรงชีวิตอยู่ เนื่องจากการนี้ ผู้คนสามารถดำรงชีวิตต่อไปและเพิ่มทวีและเจริญเติบโตบนแผ่นดินได้ การนี้หมายความว่า เมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าได้ทรงวางแผนกฎเกณฑ์สำหรับการดำรงอยู่ของพวกมันไว้แล้ว เมื่อพระเจ้าได้ทรงทำแต่ละสิ่ง พระองค์ทรงทำให้แน่ใจว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ และพระองค์ทรงเข้าควบคุมเหนือสิ่งนั้น เพื่อที่สิ่งนั้นอาจจะไม่เป็นปัญหาแก่มวลมนุษย์หรือก่อให้เกิดความวิบัติแก่เขา หากไม่ใช่เพราะการบริหารจัดการของพระเจ้า น้ำคงจะไหลโดยปราศจากการยับยั้งมิใช่หรือ? ลมคงจะพัดโดยปราศจากการยับยั้งมิใช่หรือ? น้ำและลมปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายหรือไม่? หากพระเจ้ามิได้ทรงบริหารจัดการพวกมัน ก็คงจะไม่มีกฎเกณฑ์ใดปกครองดูแลพวกมัน และลมคงจะพัดโหยหวนและน้ำคงจะไม่ได้ถูกยับยั้งไว้และก่อให้เกิดน้ำท่วม หากคลื่นสูงกว่าภูเขา ทะเลจะสามารถดำรงอยู่ได้หรือไม่? มันคงจะไม่สามารถ หากภูเขาไม่สูงเท่าคลื่น ทะเลคงจะไม่ดำรงอยู่ และภูเขาก็คงจะสูญเสียคุณค่าและนัยสำคัญของมัน

เจ้ามองเห็นพระปรีชาญาณของพระเจ้าภายในสองเรื่องนี้หรือไม่? พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ และพระองค์ทรงครองอธิปไตยแห่งทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ พระองค์ทรงบริหารจัดการทุกอย่างของมัน และพระองค์ทรงทำการจัดเตรียมเพื่อทุกอย่างของมัน และภายในทุกสรรพสิ่งนั้น พระองค์ทรงมองเห็นและพินิจพิเคราะห์ทุกคำพูดและการกระทำของทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ ดังนั้น พระเจ้าทรงมองเห็นและทรงพินิจพิเคราะห์ทุกมุมของชีวิตมนุษย์ด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าทรงรู้อย่างแนบแน่นในแต่ละรายละเอียดของทุกสิ่งทุกอย่างที่ดำรงอยู่ภายในการทรงสร้างของพระองค์ ตั้งแต่หน้าที่ของแต่ละสิ่ง ธรรมชาติของมัน กฎเกณฑ์แห่งการอยู่รอดของมันไปจนถึงนัยสำคัญแห่งชีวิตของมันและคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของมัน พระเจ้าทรงรู้ทั้งหมดนี้โดยความครบถ้วนบริบูรณ์ของมัน พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง—พวกเจ้าคิดว่าพระองค์ทรงจำเป็นต้องศึกษากฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ปกครองดูแลสิ่งเหล่านั้นหรือ? พระเจ้าทรงจำเป็นต้องศึกษาความรู้และวิทยาศาสตร์แบบมนุษย์เพื่อเรียนรู้และเข้าพระทัยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นหรือไม่? (ไม่) มีผู้ใดท่ามกลางมวลมนุษย์ที่มีการเรียนรู้และความคงแก่เรียนเพื่อเข้าใจทุกสรรพสิ่งดังเช่นที่พระเจ้าทรงรู้หรือไม่? มีนักดาราศาสตร์หรือนักชีววิทยาคนใดที่เข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่สรรพสิ่งใช้เพื่อดำรงชีวิตและเติบโตหรือไม่? พวกเขาสามารถเข้าใจคุณค่าของการดำรงอยู่ของแต่ละสิ่งได้อย่างแท้จริงหรือไม่? (ไม่ พวกเขาไม่สามารถ) การนี้เป็นเพราะทุกสรรพสิ่งได้รับการทรงสร้างโดยพระเจ้า และไม่สำคัญว่ามวลมนุษย์จะศึกษาความรู้นี้มากเพียงใดหรืออย่างลึกซึ้งเพียงใด หรือพวกเขาอุตสาหะพยายามที่จะเรียนรู้มันมายาวนานเพียงใด พวกเขาก็จะไม่มีวันสามารถหยั่งลึกความล้ำลึกหรือพระประสงค์แห่งการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าได้ นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ? บัดนี้ จากการสนทนาของเรามาจนถึงตอนนี้ พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าได้รับความเข้าใจบางส่วนเกี่ยวกับความหมายที่แท้จริงของวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” แล้วหรือยัง? (รู้สึก) เรารู้ว่าเมื่อเราได้สนทนาหัวข้อนี้ พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง ผู้คนมากมายคงจะคิดถึงอีกวลีหนึ่งทันทีที่ว่า “พระเจ้าทรงเป็นความจริง และพระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อจัดเตรียมให้แก่พวกเรา” และไม่มีสิ่งใดเกินพ้นระดับความหมายนั้นของหัวข้อนี้ บางคนอาจถึงขั้นรู้สึกว่าการจัดเตรียมของพระเจ้าด้านชีวิตมนุษย์ ด้านอาหารและเครื่องดื่มประจำวัน และสิ่งจำเป็นประจำวันทุกสิ่งไม่นับว่าเป็นการจัดเตรียมของพระองค์สำหรับมนุษย์ ไม่ได้มีบางคนหรอกหรือที่รู้สึกอย่างนี้? ถึงกระนั้น ความตั้งพระทัยของพระเจ้าในการทรงสร้างของพระองค์ไม่แน่ชัดหรอกหรือ—ที่เปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ดำรงอยู่และใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ? พระเจ้าทรงธำรงรักษาไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมที่ผู้คนใช้ดำรงชีวิต และพระองค์ทรงจัดเตรียมสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่มวลมนุษย์จำเป็นต้องมีเพื่อการอยู่รอดของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงบริหารจัดการและทรงถือครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง ทั้งหมดนี้เปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ได้ใช้ชีวิตและเจริญเติบโตและเพิ่มทวีอย่างปกติ ในหนทางนี้นี่เองที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อสิ่งทรงสร้างทั้งปวงและเพื่อมวลมนุษย์ ไม่จริงหรอกหรือที่มนุษย์จำเป็นต้องระลึกได้และเข้าใจสิ่งเหล่านี้? บางทีบางคนอาจจะกล่าวว่า “หัวข้อนี้ไกลเกินไปจากความรู้ของพวกเราเกี่ยวกับพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง และพวกเราไม่ต้องการรู้การนี้เพราะพวกเราไม่ได้ดำรงชีวิตอยู่ด้วยขนมปังอย่างเดียว แต่กลับดำรงชีวิตด้วยพระวจนะของพระเจ้าแทน” การเข้าใจนี้ถูกต้องหรือไม่? (ไม่) เหตุใดจึงไม่ถูกต้อง? พวกเจ้าสามารถมีความเข้าใจที่ครบบริบูรณ์เกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือไม่หากพวกเจ้าเพียงแค่มีความรู้เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าได้ตรัสไป? หากเจ้าเพียงแค่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าและยอมรับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าสามารถมีความเข้าใจที่ครบบริบูรณ์เกี่ยวกับพระเจ้าได้หรือไม่? หากเจ้าเพียงแค่รู้ส่วนน้อยเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้า ส่วนน้อยเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจะพิจารณาว่านั่นเพียงพอที่จะสัมฤทธิ์การทำความเข้าใจพระเจ้าหรือไม่? (ไม่) การกระทำของพระเจ้าเริ่มด้วยการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระองค์ และสิ่งเหล่านั้นดำเนินต่อไปในวันนี้—การกระทำของพระเจ้าปรากฏชัดตลอดเวลา ทุกชั่วขณะ หากคนเราเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่เพียงเพราะพระองค์ได้ทรงเลือกสรรผู้คนกลุ่มหนึ่งเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์และเพื่อช่วยให้รอด และว่าไม่มีสิ่งอื่นใดมีความเกี่ยวข้องอันใดกับพระเจ้า ไม่ทั้งสิทธิอำนาจของพระองค์ สถานะของพระองค์ และการกระทำของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว สามารถพิจารณาได้หรือไม่ว่าคนเรามีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า? ผู้คนที่มี “ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า” ที่ว่านี้ มีเพียงความเข้าใจแบบด้านเดียวเท่านั้น ตามสิ่งที่พวกเขาใช้จำกัดขอบเขตกิจการทั้งหลายของพระองค์ต่อผู้คนหนึ่งกลุ่ม นี่คือความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่? ผู้คนที่มีความรู้ประเภทนี้ไม่ใช่กำลังปฏิเสธการทรงสร้างทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าและอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระองค์หรอกหรือ? ผู้คนบางคนไม่ปรารถนาที่จะมีส่วนร่วมกับประเด็นนี้ กลับคิดในใจแทนว่า “ฉันไม่เคยเห็นอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า แนวคิดนี้จึงถูกลบออกไป และฉันไม่ใส่ใจที่จะเข้าใจมัน พระเจ้าทรงทำสิ่งที่พระองค์ทรงต้องประสงค์ และนั่นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับฉัน ฉันก็แค่ยอมรับความเป็นผู้นำของพระเจ้าและพระวจนะของพระองค์เพื่อให้ฉันสามารถได้รับการช่วยให้รอดและการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้าเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดสำคัญต่อฉัน กฎเกณฑ์ทั้งหลายของพระเจ้าที่ถูกทำขึ้นเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำเพื่อจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งและให้แก่มวลมนุษย์ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับฉัน” นี่เป็นการพูดคุยประเภทใดกัน? นี่ไม่ใช่การกระทำจากการกบฏหรอกหรือ? มีผู้ใดท่ามกลางพวกเจ้าที่มีความเข้าใจเช่นนี้บ้างหรือไม่? เรารู้ว่ามีจำนวนมากมายในหมู่พวกเจ้าในที่นี้ที่คิดเช่นนั้น แม้ว่าพวกเจ้าจะไม่ได้พูดเช่นนั้นก็ตาม ผู้คนที่ยึดถือหนังสือเยี่ยงนี้มองดูทุกสิ่งทุกอย่างจากมุมมอง “ฝ่ายวิญญาณ” ของพวกเขาเอง พวกเขาต้องการเพียงแค่จำกัดพระเจ้าไว้กับพระคัมภีร์ จำกัดพระเจ้าด้วยพระวจนะที่พระองค์ได้ตรัสไป ไว้กับสำนึกรับรู้ที่ได้จากพระวจนะตามตัวอักษรที่เขียนไว้ พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้น และพวกเขาไม่ต้องการให้พระเจ้าทรงแยกความสนพระทัยของพระองค์ออกเป็นส่วนด้วยการทำสิ่งอื่น ความคิดประเภทนี้เป็นเด็กไม่รู้ภาษา และยังเคร่งศาสนามากเกินไปอีกด้วย ผู้คนที่ยึดทรรศนะเหล่านี้สามารถรู้จักพระเจ้าได้หรือไม่? นั่นคงจะลำบากยากเย็นอย่างยิ่งสำหรับพวกเขาที่จะรู้จักพระเจ้า วันนี้เราได้เล่าไปสองเรื่องแล้ว แต่ละเรื่องระบุถึงแง่มุมที่ต่างกัน เมื่อเพิ่งจะได้มาติดต่อสัมพันธ์กับเรื่องเล่าเหล่านี้ พวกเจ้าอาจจะรู้สึกว่าเรื่องเหล่านี้ลุ่มลึกหรือเป็นนามธรรมสักเล็กน้อย ลำบากยากเย็นที่จะจับใจความและทำความเข้าใจ อาจจะลำบากยากเย็นในการเชื่อมโยงเรื่องเหล่านั้นเข้ากับการกระทำของพระเจ้าและพระเจ้าพระองค์เอง อย่างไรก็ตาม การกระทำทั้งหมดของพระเจ้าและทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงทำไปภายในการทรงสร้างและท่ามกลางมวลมนุษย์นั้น ควรจะเป็นที่รู้อย่างชัดเจนและอย่างถูกต้องแม่นยำโดยทุกบุคคล โดยทุกคนที่พยายามรู้จักพระเจ้า ความรู้นี้จะให้ความมั่นใจแก่เจ้าในการเชื่อของเจ้าในการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้า มันยังจะให้ความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำแก่เจ้าเกี่ยวกับพระปรีชาญาณ ฤทธานุภาพของพระองค์ และลักษณะที่พระองค์ทรงใช้เพื่อจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งอีกด้วย มันจะเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจอย่างชัดเจนถึงการดำรงอยู่ที่แท้จริงของพระเจ้า และมองเห็นว่าการดำรงอยู่ของพระองค์นั้นไม่ใช่เรื่องแต่ง ไม่ใช่ตำนาน ไม่คลุมเครือ ไม่ใช่ทฤษฎี และไม่ใช่การปลอบโยนทางวิญญาณชนิดหนึ่งอย่างแน่นอน แต่เป็นการดำรงอยู่จริง ยิ่งไปกว่านั้น นั่นจะเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้ว่าพระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมให้แก่สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงและให้แก่มวลมนุษย์อยู่เสมอ พระเจ้าทรงทำการนี้ในหนทางของพระองค์เองและโดยสอดคล้องกับจังหวะของพระองค์เอง ดังนั้น เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและได้ทรงให้กฎเกณฑ์ทั้งหลายแก่สิ่งเหล่านั้นนั่นเอง พวกมันแต่ละสิ่งจึงมีความสามารถที่จะปฏิบัติกิจตามที่ได้รับแบ่งสรรของพวกมัน ปฏิบัติความรับผิดชอบของพวกมันให้ลุล่วง แสดงบทบาทของพวกมันเองภายใต้การทรงลิขิตล่วงหน้าของพระองค์ แต่ละสิ่งมีประโยชน์ของมันเองในการปรนนิบัติมวลมนุษย์และพื้นที่และสภาพแวดล้อมที่มวลมนุษย์อยู่อาศัย ภายใต้การทรงลิขิตล่วงหน้าของพระองค์ หากพระเจ้าไม่ได้ทรงทำเช่นนั้น และมวลมนุษย์ไม่ได้มีสภาพแวดล้อมเพื่ออยู่อาศัย เช่นนั้นแล้ว การเชื่อในพระเจ้าหรือการติดตามพระองค์ก็คงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับมวลมนุษย์ ทั้งหมดนั้นคงจะไม่เป็นสิ่งใดมากไปกว่าการพูดคุยที่ว่างเปล่า นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?

ขอให้พวกเรามองที่เรื่องของภูเขาใหญ่กับลำธารน้อยอีกครั้งเถิด หน้าที่ของภูเขาคือสิ่งใด? สิ่งมีชีวิตทั้งหลายเฟื่องฟูขึ้นบนภูเขานั้น ดังนั้นการดำรงอยู่ของมันจึงมีคุณค่าโดยกำเนิด และมันยังเป็นอุปสรรคต่อลำธารน้อย อันเป็นกีดกันมันไม่ให้ไหลไปตามที่มันจะไหลและนำพาความวิบัติมาสู่ผู้คน นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ? ภูเขาดำรงอยู่ในหนทางแห่งการเป็นอยู่ของมันเอง ซึ่งเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตนับหมื่นแสนที่อยู่กับมันได้เฟื่องฟูขึ้น—ทั้งต้นไม้ ต้นหญ้า ต้นพืชอื่นๆ ทั้งหมด และสัตว์บนภูเขา นั่นยังชี้นำครรลองแห่งการไหลของลำธารน้อยนั้นด้วย—ภูเขารวบรวมน้ำของลำธารนั้นและนำน้ำเหล่านั้นให้ไหลวนตามธรรมชาติไปรอบตีนเขาของมัน ที่ซึ่งน้ำเหล่านั้นอาจไหลเข้าสู่แม่น้ำและทะเลในที่สุด กฎเกณฑ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ แต่ได้ถูกวางให้เข้าที่เป็นพิเศษโดยพระเจ้าในเวลาแห่งการทรงสร้าง สำหรับภูเขาใหญ่กับลมรุนแรงนั้น ภูเขาก็จำเป็นต้องมีลมเช่นกัน ภูเขาจำเป็นต้องมีลมเพื่อให้ความสบายแก่สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนมัน ในขณะเดียวกันนั้นก็ยับยั้งกำลังของลมรุนแรงนั้นเพื่อที่มันจะไม่พัดอย่างอุตริพิเรนทร์ กฎเกณฑ์นี้จำแลงร่างอยู่ในหน้าที่ของภูเขาใหญ่ในแง่มุมหนึ่งที่แน่นอน ดังนั้น กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวกับหน้าที่ของภูเขานี้เป็นรูปร่างขึ้นด้วยตัวมันเองหรือไม่? (ไม่) กฎเกณฑ์นี้พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ภูเขาใหญ่นี้มีหน้าที่ของมัน และลมรุนแรงก็มีหน้าที่ของมันด้วยเช่นกัน บัดนี้ ขอให้เราหันมาที่ภูเขาใหญ่กับคลื่นอันมหึมากันเถิด หากไม่มีการดำรงอยู่ของภูเขา น้ำจะพบทิศทางการไหลด้วยตัวมันเองหรือไม่? (ไม่) น้ำคงจะท่วม ภูเขามีคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของมันเองในฐานะภูเขา และทะเลก็มีคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของมันเองในฐานะทะเล อย่างไรก็ตาม ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมที่พวกมันสามารถดำรงอยู่ร่วมกันอย่างเป็นปกติได้และไม่แทรกแซงกันและกันนั้น พวกมันยังจำกัดขอบเขตต่อกันด้วย—ภูเขาใหญ่จำกัดขอบเขตทะเลเพื่อที่มันจะไม่เกิดน้ำท่วม ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการปกป้องบ้านเรือนของผู้คน และการจำกัดขอบเขตทะเลยังเปิดโอกาสให้มันได้เลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตทั้งหลายที่อาศัยอยู่ภายในนั้นอีกด้วย ภูมิประเทศนี้เป็นรูปร่างขึ้นด้วยตัวมันเองหรือไม่? (ไม่) มันก็ได้รับการสร้างขึ้นโดยพระเจ้าด้วยเช่นกัน พวกเรามองเห็นจากภาพลักษณ์นี้ว่า เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงกำหนดพิจารณาไว้ล่วงหน้าว่าภูเขาจะตั้งอยู่ที่ใด ลำธารจะไหลไปที่ใด ลมรุนแรงจะเริ่มพัดจากทิศทางใดและมันจะไปที่ใด และคลื่นมหึมานั้นควรสูงเพียงใด สิ่งเหล่านี้ทั้งปวงบรรจุไว้ด้วยเจตนารมณ์และพระประสงค์ของพระเจ้า—สิ่งเหล่านั้นเป็นกิจการทั้งหลายของพระเจ้า บัดนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ใช่หรือไม่ว่ากิจการทั้งหลายของพระเจ้าปรากฏอยู่ในทุกสรรพสิ่ง? (ใช่)

จุดประสงค์ของพวกเราในการสนทนาถึงสิ่งเหล่านี้คืออะไร? นั่นคือการทำให้ผู้คนศึกษากฎเกณฑ์ทั้งหลายที่พระเจ้าทรงใช้สร้างทุกสรรพสิ่งใช่หรือไม่? นั่นคือการหนุนใจให้มีความสนใจในดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ใช่หรือไม่? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้วนั่นคือสิ่งใด? นั่นคือการทำให้ผู้คนเข้าใจกิจการทั้งหลายของพระเจ้า ในการกระทำของพระเจ้านั้น ผู้คนสามารถรับรองและพิสูจน์ความจริงได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง หากเจ้าสามารถเข้าใจการนี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถยืนยันที่ของพระเจ้าในหัวใจของเจ้าได้อย่างแท้จริง และเจ้าจะสามารถยืนยันได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงเอกลักษณ์ พระผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง ดังนั้น มีประโยชน์ต่อความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่ในการรู้จักกฎเกณฑ์ทั้งหลายของทุกสรรพสิ่งและในการรู้จักกิจการทั้งหลายของพระเจ้า? (มี) นั่นมีประโยชน์อย่างไร? ก่อนอื่น เมื่อเจ้าได้เข้าใจกิจการทั้งหลายของพระเจ้าแล้ว เจ้ายังคงสามารถมีความสนใจในดาราศาสตร์และภูมิศาสตร์ได้หรือไม่? เจ้ายังคงสามารถมีหัวใจที่ระแวงและกังขาว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างแห่งทุกสรรพสิ่งได้หรือไม่? เจ้ายังคงสามารถมีหัวใจของนักวิจัยและกังขาว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างแห่งทุกสรรพสิ่งได้หรือไม่? (ไม่ได้) เมื่อเจ้าได้ยืนยันแล้วว่าพระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างแห่งทุกสรรพสิ่งและได้เข้าใจกฎเกณฑ์ทั้งหลายแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าแล้ว เจ้าจะเชื่ออย่างแท้จริงในหัวใจของเจ้าหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง? (เชื่อ) “การจัดเตรียม” ในที่นี้มีนัยสำคัญโดยเฉพาะ หรือว่าการใช้คำนี้อ้างอิงถึงรูปการณ์แวดล้อมเฉพาะเจาะจงอย่างหนึ่ง? “พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง” เป็นวลีที่มีนัยสำคัญและวงเขตที่กว้างอย่างยิ่ง พระเจ้ามิใช่แค่ทรงจัดเตรียมให้ผู้คนมีอาหารและเครื่องดื่มประจำวันของพวกเขาเท่านั้น พระองค์ทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์ได้มีทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาจำเป็นต้องมี รวมถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ผู้คนสามารถมองเห็น แต่ยังรวมถึงสิ่งทั้งหลายที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยเช่นกัน พระเจ้าทรงค้ำจุน ทรงบริหารจัดการ และทรงครองราชย์เหนือสภาพแวดล้อมเพื่อการดำรงชีวิตนี้ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งต่อมวลมนุษย์ กล่าวคือ ไม่ว่ามวลมนุษย์จำเป็นต้องมีสภาพแวดล้อมอย่างไรในแต่ละฤดูกาล พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสิ่งนั้นไว้แล้ว พระเจ้ายังทรงบริหารจัดการชนิดของอากาศและอุณหภูมิด้วย เพื่อที่สิ่งเหล่านั้นอาจเหมาะสมสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์ กฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ปกครองดูแลสิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นด้วยตัวของมันเองหรือตามยถากรรม พวกมันเป็นผลลัพธ์จากอธิปไตยของพระเจ้าและกิจการทั้งหลายของพระองค์ พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นแหล่งกำเนิดของกฎเกณฑ์เหล่านี้ทั้งหมดและแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อสิ่งนั้นหรือไม่ก็ตาม เจ้าจะสามารถมองเห็นสิ่งนั้นได้หรือไม่ก็ตาม หรือเจ้าจะสามารถเข้าใจสิ่งนั้นได้หรือไม่ก็ตาม การนี้ยังคงเป็นข้อเท็จจริงที่สถาปนาขึ้นแล้วและไม่สามารถถล่มทำลายได้

เรารู้ว่าผู้คนส่วนใหญ่มากเพียงแค่มีความเชื่อในพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าที่รวมอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้น สำหรับผู้คนส่วนน้อย พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยกิจการทั้งหลายของพระองค์และได้ทรงเปิดโอกาสให้ผู้คนได้มองเห็นคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของพระองค์แล้ว พระองค์ยังได้ทรงปล่อยให้พวกเขามีความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระสถานภาพของพระองค์และได้ยืนยันข้อเท็จจริงแห่งการดำรงอยู่ของพระองค์อีกด้วย อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้คนมากมายกว่านั้นอีกมาก ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและว่าพระองค์ทรงบริหารจัดการและทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งนั้นดูเหมือนจะคลุมเครือและไม่เฉพาะเจาะจง ผู้คนเช่นนั้นอาจถึงขั้นยังคงมีท่าทีของความกังขาอยู่ ท่าทีนี้เป็นเหตุให้พวกเขาเชื่ออย่างเสมอต้นเสมอปลายว่าธรรมบัญญัติแห่งโลกธรรมชาติได้ก่อร่างขึ้นอย่างเป็นปกติวิสัย ว่าการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ การเปลี่ยนผ่าน ปรากฏการณ์ และธรรมบัญญัติทั้งหลายที่ปกครองดูแลโลกได้เกิดขึ้นมาจากธรรมชาติโดยตัวมันเอง ผู้คนไม่สามารถคิดฝันในหัวใจของพวกเขาว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและทรงครองราชย์เหนือสิ่งเหล่านั้นอย่างไร พวกเขาไม่สามารถเข้าใจได้ว่าพระเจ้าทรงบริหารจัดการและทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งอย่างไร ภายใต้ขีดจำกัดของหลักฐานอ้างอิงนี้ ผู้คนไม่สามารถเชื่อได้ว่าพระเจ้าได้ทรงสร้าง ทรงครองราชย์เหนือ และทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่ง แม้แต่บรรดาผู้ที่เชื่อก็ถูกจำกัดอยู่ในการเชื่อของพวกเขากับยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักร กล่าวคือ พวกเขาเชื่อว่า กิจการทั้งหลายของพระเจ้าและการจัดเตรียมของพระองค์ที่ให้แก่มวลมนุษย์นั้นเป็นพิเศษเฉพาะสำหรับประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรรเท่านั้น นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เราเกลียดที่จะเห็นมากที่สุด และบางสิ่งบางอย่างที่ก่อให้เกิดความเจ็บปวดมากยิ่งนัก เพราะแม้กระทั่งขณะที่มวลมนุษย์ชื่นชมกับทั้งหมดที่พระเจ้าทรงนำพามา พวกเขาก็ปฏิเสธทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำและทั้งหมดที่พระองค์ทรงให้แก่พวกเขา ผู้คนเพียงแต่เชื่อว่าฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งถูกปกครองดูแลด้วยกฎเกณฑ์ตามธรรมชาติของพวกมันเอง และกฎธรรมชาติแห่งการอยู่รอดของพวกมันเอง และว่าสิ่งเหล่านั้นอยู่โดยปราศจากผู้ปกครองใดๆ ที่จะบริหารจัดการพวกมันหรือครองอธิปไตยเพื่อจัดเตรียมให้แก่พวกมันและรักษาพวกมันไว้ ต่อให้เจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็อาจจะไม่เชื่อว่าทั้งหมดเหล่านี้เป็นกิจการทั้งหลายของพระองค์ แท้จริงแล้ว นี่คือหนึ่งในสิ่งทั้งหลายที่ได้รับการละเลยบ่อยครั้งมากที่สุดโดยผู้เชื่อในพระเจ้าทุกคน ทุกคนที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้า และทุกคนที่ติดตามพระเจ้า ดังนั้น ทันทีที่เราเริ่มต้นการสนทนาบางสิ่งบางอย่างที่ไม่สัมพันธ์กับพระคัมภีร์ หรือสิ่งที่เรียกว่าคำศัพท์เฉพาะฝ่ายวิญญาณ ผู้คนบางคนก็กลายเป็นเบื่อหน่ายหรือระอาหรือแม้กระทั่งไม่สบายใจ พวกเขารู้สึกว่าคำพูดของเราดูเหมือนจะขาดการเชื่อมต่อกับผู้คนฝ่ายจิตวิญญาณและสิ่งทั้งหลายฝ่ายจิตวิญญาณ นั่นคือสิ่งที่ร้ายแรง เมื่อกล่าวถึงการรู้จักกิจการทั้งหลายของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกเราไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงดาราศาสตร์ อีกทั้งพวกเราไม่ได้ศึกษาวิจัยภูมิศาสตร์หรือชีววิทยา แต่ถึงกระนั้นพวกเราก็ต้องเข้าใจอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้า พวกเราต้องรู้เกี่ยวกับการจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งของพระองค์ และว่าพระองค์ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง นี่คือบทเรียนที่จำเป็นและเป็นบทเรียนที่ต้องศึกษา เราเชื่อว่าเจ้าได้เข้าใจคำพูดของเราแล้ว!

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 7

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าทรงวาดอาณาเขตสำหรับหมู่นก เหล่าสัตว์ร้าย ปลา หมู่แมลง และพืชพรรณทั้งมวลอันหลากหลาย

เพราะอาณาเขตที่พระเจ้าได้ทรงวาดขึ้นเหล่านี้ ภูมิประเทศอันหลากหลายจึงได้สร้างสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันสำหรับการอยู่รอด...

อาณาเขตได้เกิดขึ้นเนื่องจากลีลาชีวิตอันหลากหลายของมวลมนุษย์

พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและได้ทรงกำหนดอาณาเขตสำหรับพวกมัน ในท่ามกลางสรรพสิ่งพระองค์ได้ทรงเลี้ยงดูสิ่งมีชีวิตทุกชนิด ในขณะเดียวกัน...

ติดต่อเราผ่าน Messenger