พระเจ้าทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุลเพื่อประทานสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่มีเสถียรภาพแก่มวลมนุษย์
พระเจ้าทรงสำแดงกิจการของพระองค์ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และท่ามกลางทุกสรรพสิ่งพระองค์ทรงปกครองและทรงควบคุมกฎของทุกสรรพสิ่ง พวกเราเพิ่งได้พูดคุยเกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงปกครองกฎของทุกสรรพสิ่ง ตลอดจนวิธีที่พระองค์ทรงจัดเตรียมให้มวลมนุษย์และทรงเลี้ยงดูมวลมนุษย์ทั้งปวงภายใต้กฎเหล่านั้น นี่คือแง่มุมหนึ่ง ถัดไป พวกเรากำลังจะพูดคุยเกี่ยวกับอีกแง่มุมหนึ่งซึ่งเป็นหนทางหนึ่งที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อควบคุมทุกสิ่งทุกอย่าง เรากำลังพูดถึงวิธีที่พระเจ้าได้ทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุลหลังจากที่ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งแล้ว นี่ยังเป็นหัวข้อที่ค่อนข้างกว้างสำหรับพวกเจ้าอีกด้วย การทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุล—นี่คืออะไรบางอย่างที่ผู้คนสามารถทำให้สำเร็จลุล่วงได้หรือ? ไม่ มนุษย์ไม่สามารถทำผลสำเร็จเช่นนั้น ผู้คนมีความสามารถในการทำลายล้างเท่านั้น พวกเขาไม่สามารถทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งเกิดสมดุลได้ พวกเขาไม่สามารถบริหารจัดการพวกมันได้ และสิทธิอำนาจและพลังอำนาจยิ่งใหญ่เช่นนั้นอยู่เกินการจับความเข้าใจของมวลมนุษย์ พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่มีฤทธานุภาพที่จะทำสิ่งแบบนี้ได้ แต่อะไรคือพระประสงค์ของพระเจ้าในการทำสิ่งดังกล่าว—มันเป็นไปเพื่ออะไร? นี่ก็มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับการอยู่รอดของมวลมนุษย์เช่นกัน ทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำนั้นมีความจำเป็น—ไม่มีสิ่งใดที่พระองค์อาจทำหรืออาจไม่ทำ มีสิ่งที่จะขาดเสียไม่ได้และสำคัญยิ่งที่พระองค์ต้องทรงทำ เพื่อที่พระองค์จะทรงพิทักษ์การอยู่รอดของมวลมนุษย์และประทานสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยสำหรับการอยู่รอดแก่ผู้คน
จากความหมายตามตัวอักษรของวลีที่ว่า “พระเจ้าทรงสร้างสมดุลให้กับทุกสรรพสิ่ง” ดูเหมือนจะเป็นหัวข้อที่ครอบคลุมกว้างขวางมาก ประการแรก มันให้มโนทัศน์กับผู้คนว่า “การสร้างสมดุลให้กับทุกสรรพสิ่ง” ยังอ้างอิงถึงความเป็นเจ้านายของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่งอีกด้วย คำว่า “สมดุล” นี้หมายความว่าอย่างไร? ประการแรก “สมดุล” อ้างอิงถึงการไม่เปิดโอกาสให้อะไรบางอย่างออกนอกสมดุล มันเป็นเหมือนการใช้ตราชั่งเพื่อชั่งน้ำหนักสิ่งทั้งหลาย เพื่อที่จะสร้างสมดุลของตราชั่ง น้ำหนักที่อยู่บนแต่ละด้านต้องเท่ากัน พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งต่างๆ ต่างชนิดกันไว้มากมาย สิ่งต่างๆ ที่ถูกกำหนดไว้ในที่ทางของพวกมัน สิ่งต่างๆ ที่เคลื่อนย้ายได้ สิ่งต่างๆ ที่มีชีวิต สิ่งต่างๆ ที่หายใจ ตลอดจนสิ่งต่างๆ ที่ไม่หายใจ เป็นการง่ายหรือที่สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดจะสัมฤทธิ์สัมพันธภาพแห่งการพึ่งพาซึ่งกันและกัน แห่งความเชื่อมโยงระหว่างกัน โดยที่พวกมันทั้งคู่เสริมกำลังซึ่งกันและกันและตรวจสอบซึ่งกันและกัน? แน่นอนว่ามีหลักการภายในทั้งหมดนี้ แต่พวกมันซับซ้อนมาก หรือไม่ใช่? มันไม่ยากสำหรับพระเจ้า แต่สำหรับผู้คนแล้วมันเป็นเรื่องที่ซับซ้อนมากเรื่องหนึ่งที่จะศึกษา มันเป็นคำที่ธรรมดามากคำหนึ่ง “สมดุล” อย่างไรก็ดี หากผู้คนได้ศึกษามัน และหากผู้คนจำเป็นต้องสร้างสมดุลด้วยตัวพวกเขาเองแล้วไซร้ ต่อให้นักวิชาการทุกประเภทกำลังทำงานเกี่ยวกับมัน—นักชีววิทยามนุษย์ นักดาราศาสตร์ นักฟิสิกส์ นักเคมี และแม้แต่นักประวัติศาสตร์—ผลลัพธ์ขั้นสุดท้ายของการศึกษาวิจัยนั้นจะเป็นอย่างไร? ผลสุดท้ายของมันคงจะไม่มีอะไรเลย นี่เป็นเพราะการทรงสร้างแห่งทุกสรรพสิ่งของพระเจ้านั้นเหลือเชื่อเกินไป และมวลมนุษย์จะไม่มีวันไขความลับของมันได้ เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงจัดตั้งหลักการระหว่างพวกมัน ได้ทรงจัดตั้งหนทางแห่งการอยู่รอดที่ต่างกันเพื่อการควบคุมยับยั้งกันและกัน การพึ่งพาอาศัยกัน และเพื่อเสบียงอาหาร วิธีการหลากหลายเหล่านี้สลับซับซ้อนมาก และพวกมันไม่ธรรมดาหรือมีทิศทางเดียวอย่างแน่นอน เมื่อผู้คนใช้จิตใจของพวกเขา ความรู้ที่พวกเขาได้รับ และปรากฏการณ์ที่พวกเขาได้สังเกตเพื่อยืนยันหรือศึกษาหลักการเบื้องหลังการควบคุมของพระเจ้าเหนือทุกสรรพสิ่ง สิ่งเหล่านี้ยากอย่างที่สุดที่จะค้นพบ และมันยังยากมากที่จะสัมฤทธิ์ผลสุดท้ายใดๆ อีกด้วย มันยากลำบากมากที่ผู้คนจะได้รับผลลัพธ์ใดๆ มันลำบากยากเย็นมากที่ผู้คนจะคงไว้ซึ่งสมดุลของตนเมื่อพึ่งพาการคิดและความรู้ของมนุษย์เพื่อกำกับดูแลทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า นี่เป็นเพราะหากผู้คนไม่รู้หลักการแห่งการอยู่รอดของทุกสรรพสิ่ง พวกเขาก็จะไม่รู้วิธีที่จะพิทักษ์ความสมดุลนี้ ดังนั้นแล้ว หากผู้คนได้บริหารจัดการและกำกับดูแลทุกสรรพสิ่ง พวกเขาคงจะมีแนวโน้มอย่างมากที่จะทำลายสมดุลนี้ ทันทีที่สมดุลถูกทำลาย สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะถูกทำลาย และเมื่อการนั้นได้เกิดขึ้น วิกฤติสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะตามมา มันคงจะก่อให้เกิดความวิบัติ หากมนุษยชาติกำลังดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความวิบัติ อนาคตของพวกเขาจะเป็นอย่างไร? ผลลัพธ์สุดท้ายคงจะประเมินยากมาก และเป็นไปไม่ได้ที่จะคาดการณ์ได้อย่างมั่นใจ
ดังนั้นแล้ว พระเจ้าทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุลอย่างไร? ประการแรก มีสถานที่บางแห่งในโลกที่ถูกปกคลุมด้วยน้ำแข็งและหิมะตลอดทั้งปี ในขณะที่ในสถานที่อื่นๆ บางแห่ง ฤดูกาลทั้งสี่เป็นเหมือนฤดูใบไม้ผลิ และฤดูหนาวกลับไม่เคยมาเยือน และในสถานที่เช่นนี้ เจ้าจะไม่มีวันได้เห็นแม้แต่น้ำแข็งแผ่นหนึ่งหรือหิมะเกล็ดหนึ่ง ณ ที่นี้ พวกเรากำลังพูดเกี่ยวกับภูมิอากาศที่กว้างใหญ่ขึ้น และตัวอย่างนี้คือหนึ่งในหนทางต่างๆ ที่พระเจ้าทรงใช้ในการทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุล หนทางที่สองเป็นดังนี้ กล่าวคือ เทือกเขาแห่งหนึ่งถูกปกคลุมด้วยพืชพรรณเขียวชอุ่ม โดยมีพืชพรรณทุกประเภทปูพรมคลุมผืนดิน และแนวป่าที่หนาทึบมากถึงขั้นที่เจ้าไม่สามารถเห็นได้แม้กระทั่งดวงอาทิตย์เบื้องบนเมื่อเจ้าเดินเข้าแนวป่าเหล่านั้น แต่เมื่อมองไปที่เทือกเขาอีกเทือกหนึ่ง กลับไม่มีหญ้าขึ้นแม้สักใบ มีแค่ภูเขาแห้งแล้งรกรุงรังที่ซ้อนกันไปมาอยู่หลายลูก โดยรูปลักษณ์ภายนอก ทั้งสองจำพวกนั้นโดยพื้นฐานแล้วคือกองดินขนาดใหญ่มากที่ซ้อนทับกันขึ้นไปเพื่อก่อรูปเป็นภูเขา แต่จำพวกหนึ่งนั้นปกคลุมไปด้วยป่าที่หนาแน่น ในขณะที่อีกจำพวกไร้ซึ่งการเจริญเติบโต โดยไม่มีแม้กระทั่งหญ้าสักใบ นี่คือหนทางที่สองที่พระเจ้าได้ทรงทำให้สัมพันธภาพระหว่างทุกสรรพสิ่งมีสมดุล หนทางที่สามคือการนี้ กล่าวคือ เมื่อมองไปทางหนึ่ง เจ้าอาจเห็นทุ่งหญ้าอันไม่รู้จบ ทุ่งหญ้าเขียวขจีที่พลิ้วไหว เมื่อมองไปอีกทาง เจ้าอาจมองเห็นทะเลทรายที่ไกลสุดลูกหูลูกตา แห้งแล้ง ปราศจากสิ่งมีชีวิตแม้สักสิ่งท่ามกลางทรายที่ส่งเสียงเฟี้ยวฟ้าวด้วยลมพัดพา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงแหล่งน้ำใดๆ หนทางที่สี่คือการนี้: เมื่อมองไปทางหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างจมอยู่ใต้ทะเล แหล่งน้ำอันยิ่งใหญ่นั้น ในขณะที่เมื่อมองไปอีกทาง เจ้าตกที่นั่งลำบากในการค้นหาแม้กระทั่งน้ำพุสักหยด หนทางที่ห้าคือการนี้: บนแผ่นดินตรงนี้ ฝนตกพรำบ่อยและภูมิอากาศก็เต็มไปด้วยหมอกและเปียกชื้น ในขณะที่บนแผ่นดินตรงนั้น ดวงอาทิตย์เกรี้ยวกราดมักจะลอยค้างอยู่บนท้องฟ้า และการที่ฝนแม้สักหยดจะตกลงมานั้นก็หายาก หนทางที่หกคือการนี้: ในที่แห่งหนึ่งมีที่ราบสูงซึ่งอากาศเจือจางและมนุษย์หายใจได้ยาก ขณะที่ในที่อีกแห่งมีหนองบึงและบริเวณพื้นที่ลุ่มซึ่งทำหน้าที่เป็นถิ่นอาศัยสำหรับนกอพยพย้ายถิ่นนานาชนิด เหล่านี้คือภูมิอากาศต่างชนิดกัน หรือก็คือภูมิอากาศหรือสภาพแวดล้อมที่สอดรับกับสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน นั่นจึงกล่าวได้ว่า พระเจ้าทรงทำให้สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ในด้านของสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่มีสมดุล ตั้งแต่ภูมิอากาศไปจนถึงสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ และจากองค์ประกอบที่แตกต่างกันของดินไปจนถึงจำนวนของแหล่งน้ำ ทั้งหมดเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความสมดุลในอากาศ อุณหภูมิ และความชื้นของสภาพแวดล้อมที่ผู้คนอยู่รอดได้ เพราะสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่ขัดแย้งกันเหล่านี้ ผู้คนจึงมีอากาศที่เสถียร และอุณหภูมิและความชื้นของฤดูกาลที่แตกต่างกันก็ธำรงอยู่อย่างคงตัว การนี้อำนวยให้ผู้คนยังคงดำรงชีวิตต่อไปในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดประเภทนั้นเช่นเดียวกับที่พวกเขาได้ทำเช่นนั้นเสมอมา ก่อนอื่น สภาพแวดล้อมขนาดใหญ่จะต้องมีสมดุล การนี้ทำไปโดยผ่านทางการใช้ที่ตั้งและการก่อรูปทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงระหว่างภูมิอากาศที่แตกต่างกัน ซึ่งอำนวยให้พวกมันจำกัดและตรวจสอบกันและกันเพื่อที่จะสัมฤทธิ์ความสมดุลที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์และที่มวลมนุษย์พึงต้องมี นี่เป็นการพูดจากมุมมองของสภาพแวดล้อมขนาดใหญ่
ตอนนี้พวกเราจะพูดถึงรายละเอียดที่ประณีตยิ่งขึ้น เช่น พืชพรรณ สมดุลของพวกมันสัมฤทธิ์ผลได้อย่างไร? กล่าวคือ พืชพรรณสามารถอยู่รอดต่อไปภายในสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่สมดุลได้อย่างไร? คำตอบคือ โดยการบริหารจัดการช่วงอายุ อัตราการเจริญเติบโต และอัตราการสืบพันธุ์ของพืชพรรณนานาชนิดเพื่อพิทักษ์สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมัน พวกเราลองมาดูหญ้าต้นเล็กจิ๋วเป็นตัวอย่างกันเถิด—มีการแตกหน่อในฤดูใบไม้ผลิ การผลิดอกสะพรั่งในฤดูร้อน และการออกผลในฤดูใบไม้ร่วง ผลร่วงลงสู่ผืนดิน ปีถัดไป เมล็ดจากผลก็แตกหน่อและดำเนินต่อไปตามกฎเดียวกัน ช่วงอายุของหญ้านั้นสั้นมาก เมล็ดทุกเมล็ดร่วงลงสู่ผืนดิน งอกราก และแตกหน่อ ผลิดอกและให้ผล และกระบวนการทั้งหมดทั้งมวลก็ครบบริบูรณ์เพียงหลังจากฤดูกาลทั้งสามแล้วเท่านั้น—ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง ต้นไม้ทุกประเภทก็มีช่วงอายุของพวกมันเองและช่วงเวลาที่แตกต่างกันสำหรับการแตกหน่อและการออกผลเช่นกัน ต้นไม้บางต้นตายหลังจากผ่านไปแค่ 30 ถึง 50 ปี—นี่คือช่วงอายุของพวกมัน แต่ผลของพวกมันร่วงลงสู่ผืนดิน ซึ่งจากนั้นก็งอกรากและแตกหน่อ ออกดอก และให้ผล และมีชีวิตไปอีก 30 ถึง 50 ปี นี่คืออัตราการเกิดซ้ำของพวกมัน ต้นไม้แก่ตายลงและต้นไม้ที่อ่อนเยาว์เจริญเติบโตขึ้น นี่คือเหตุผลที่เจ้าสามารถเห็นต้นไม้เติบโตอยู่ในป่าเสมอ แต่พวกมันยังมีวงจรและกระบวนการเกิดและการตายที่ปกติของพวกมันอีกด้วย ต้นไม้บางต้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้เกินหนึ่งพันปี และบางต้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้กระทั่งถึงสามพันปี ไม่สำคัญว่ามันจะเป็นพืชพรรณประเภทใดหรือช่วงอายุของมันจะยาวนานเพียงใด กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พระเจ้าทรงบริหารจัดการสมดุลของมันบนพื้นฐานว่ามันมีชีวิตยาวนานเพียงใด ความสามารถในการสืบพันธุ์ของมัน ความเร็วและความถี่ของการสืบพันธุ์ของมัน และจำนวนลูกหลานที่มันผลิต นี่เปิดโอกาสให้พืชพรรณ ตั้งแต่ต้นหญ้าไปจนถึงต้นไม้ มีความสามารถที่จะยังคงงอกงามและเติบใหญ่ต่อไปได้ภายในสภาพแวดล้อมทางนิเวศวิทยาที่สมดุล ดังนั้นแล้วเมื่อเจ้ามองดูป่าบนแผ่นดินโลก ทุกสิ่งทุกอย่างที่เติบโตภายในป่า ทั้งต้นหญ้าและต้นไม้ กำลังสืบพันธุ์และเติบโตอย่างต่อเนื่องตามกฎของพวกมันเอง พวกมันไม่ต้องการแรงงานเพิ่มเติมหรือความช่วยเหลือใดๆ จากมวลมนุษย์ เป็นเพราะพวกมันมีสมดุลประเภทนี้เท่านั้น พวกมันจึงมีความสามารถที่จะคงไว้ซึ่งสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของพวกมันเองได้ เป็นเพราะพวกมันมีสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับการอยู่รอดเท่านั้น ป่าและทุ่งหญ้าของแผ่นดินโลกจึงสามารถยังคงอยู่รอดต่อไปได้บนแผ่นดินโลก การดำรงอยู่ของพวกมันเลี้ยงดูผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่าตลอดจนสิ่งมีชีวิตทุกชนิดรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่มีถิ่นอาศัยในป่าและทุ่งหญ้า—นั่นคือ บรรดานกและสิงสาราสัตว์ แมลง และจุลินทรีย์ทุกชนิด
พระเจ้ายังทรงควบคุมสมดุลระหว่างสัตว์ทุกชนิดอีกด้วย พระองค์ทรงควบคุมสมดุลนี้อย่างไรหรือ? ก็คล้ายกันกับพวกพืชพรรณนั่นเอง—พระองค์ทรงบริหารจัดการสมดุลของพวกมันและทรงกำหนดพิจารณาจำนวนของพวกมันบนพื้นฐานของความสามารถในการสืบพันธุ์ของพวกมัน จำนวนและความถี่ของการสืบพันธุ์ของพวกมัน และบทบาทที่พวกมันมีในโลกของสัตว์ ตัวอย่างเช่น สิงโตกินม้าลาย ดังนั้นแล้วหากจำนวนของสิงโตมีมากเกินกว่าจำนวนของม้าลาย ชะตากรรมของม้าลายจะเป็นอย่างไร? พวกมันคงจะสูญพันธุ์ และหากม้าลายผลิตลูกหลานน้อยกว่าสิงโตมากเกินไป ชะตากรรมของพวกมันจะเป็นอย่างไร? พวกมันก็คงจะสูญพันธุ์เช่นกัน ดังนั้นแล้ว จำนวนของม้าลายจะต้องมากกว่าจำนวนของสิงโตอย่างมาก นี่เป็นเพราะม้าลายไม่เพียงดำรงอยู่เพื่อพวกมันเองเท่านั้น แต่พวกมันดำรงอยู่สำหรับสิงโตอีกด้วย เจ้าสามารถกล่าวในทางนี้ได้เช่นกัน กล่าวคือ ม้าลายทุกตัวเป็นส่วนหนึ่งของม้าลายทั้งหมดทั้งมวล แต่มันยังเป็นอาหารให้แก่ปากสิงโตอีกด้วย ความเร็วของการสืบพันธุ์ของสิงโตไม่มีวันสามารถไปเร็วกว่าความเร็วของการสืบพันธุ์ของม้าลาย ดังนั้นแล้วจำนวนของพวกมันจึงไม่มีวันที่จะมากกว่าจำนวนของม้าลาย ด้วยวิธีนี้เท่านั้นแหล่งอาหารของสิงโตจึงจะสามารถได้รับการรับประกัน และดังนั้นแล้ว แม้ว่าสิงโตจะเป็นศัตรูตามธรรมชาติของม้าลาย ผู้คนก็เห็นสายพันธุ์ทั้งสองพักผ่อนกันตามสบายภายในบริเวณพื้นที่เดียวกันอยู่บ่อยๆ ม้าลายจะไม่มีวันลดจำนวนลงหรือสูญพันธุ์ไปเพราะสิงโตที่ล่าและกินพวกมัน และสิงโตจะไม่มีวันเพิ่มจำนวนเพราะสถานะ “เจ้าป่า” ของพวกมัน สมดุลนี้คือบางสิ่งบางอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งไว้นานมาแล้ว กล่าวคือ พระเจ้าได้ทรงจัดตั้งกฎของสมดุลระหว่างสัตว์ทั้งหมดเพื่อที่พวกมันจะสามารถสัมฤทธิ์สมดุลแบบนี้ และนี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนมักจะได้เห็น สิงโตเป็นศัตรูตามธรรมชาติชนิดเดียวเท่านั้นของม้าลายใช่หรือไม่? ไม่ จระเข้ก็กินม้าลายเช่นกัน ม้าลายนั้นดูเหมือนว่าจะเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งซึ่งอับจนหนทางอย่างมาก พวกมันไม่มีความดุร้ายของสิงโต และเมื่อเผชิญหน้ากับสิงโต ศัตรูที่น่าเกรงขามนี้ ทั้งหมดที่พวกมันสามารถทำได้ก็คือวิ่ง พวกมันไร้พลังแม้แต่จะต้านทาน เมื่อพวกมันไม่สามารถวิ่งหนีสิงโตได้พ้น พวกมันก็สามารถเพียงยอมตัวให้สิงโตกินเท่านั้น นี่สามารถเห็นได้บ่อยๆ ในโลกของสัตว์ เจ้ามีความรู้สึกและความคิดใดเมื่อพวกเจ้าเห็นเรื่องแบบนี้? เจ้ารู้สึกเสียใจไปกับม้าลายหรือไม่? เจ้ารังเกียจสิงโตหรือไม่? ม้าลายช่างดูสวยงามเหลือเกิน! แต่สิงโต พวกมันกลับมองดูม้าลายอย่างตะกละตะกลามเสมอ และช่างโง่เขลาสิ้นดีที่ม้าลายไม่วิ่งไปให้ไกลๆ พวกมันเห็นสิงโตอยู่ตรงนั้นรอคอยพวกมันอยู่ในร่มเงาเย็นฉ่ำใต้ต้นไม้ มันสามารถมากินพวกมันได้ทุกขณะ พวกมันรู้การนี้ในหัวใจของพวกมัน แต่พวกมันก็ยังคงไม่ไปจากแผ่นดินผืนนั้น นี่เป็นสิ่งมหัศจรรย์อย่างหนึ่ง สิ่งมหัศจรรย์ซึ่งสำแดงการลิขิตชะตาไว้ล่วงหน้าของพระเจ้าและการปกครองของพระองค์ เจ้ารู้สึกเสียใจไปกับม้าลาย แต่เจ้าไร้ความสามารถที่จะช่วยมันให้รอดได้ และเจ้าก็รังเกียจสิงโต แต่เจ้าไม่สามารถทำลายมันได้ ม้าลายเป็นอาหารที่พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมสำหรับสิงโต แต่ไม่ว่าสิงโตจะกินไปกี่ตัว ม้าลายย่อมจะไม่ถูกกวาดล้าง จำนวนของลูกหลานที่สิงโตผลิตนั้นน้อยมาก และพวกมันสืบพันธุ์ช้ามาก ดังนั้นแล้วไม่ว่าพวกมันจะกินม้าลายไปกี่ตัว จำนวนของพวกมันจะไม่มีวันแซงหน้าจำนวนของม้าลาย มีสมดุลอยู่ในการนี้
อะไรคือเป้าหมายของพระเจ้าในการคงไว้ซึ่งสมดุลแบบนี้? นี่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คน ตลอดจนการอยู่รอดของมวลมนุษย์ หากม้าลายหรือเหยื่อใดๆ ที่คล้ายกันของสิงโต—กวางหรือสัตว์อื่นๆ—สืบพันธุ์ช้าเกินไปและจำนวนของสิงโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มนุษย์จะเผชิญกับอันตรายชนิดใด? การที่สิงโตกินเหยื่อของพวกมันเป็นปรากฏการณ์ปกติ แต่การที่สิงโตตัวหนึ่งกินบุคคลคนหนึ่งเป็นโศกนาฏกรรม โศกนาฏกรรมนี้ไม่ใช่อะไรบางอย่างที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า มันไม่ใช่อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นภายใต้การปกครองของพระองค์ ยิ่งน้อยไปกว่านั้นก็คืออะไรบางอย่างที่พระองค์ได้ทรงนำมาสู่มวลมนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น มันเป็นอะไรบางอย่างที่ผู้คนนำมาสู่ตัวพวกเขาเอง ดังนั้น ตามสายพระเนตรของพระเจ้า สมดุลระหว่างทุกสรรพสิ่งสำคัญอย่างยิ่งยวดสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นพืชพรรณหรือสัตว์ ไม่มีสิ่งใดที่สามารถสูญเสียสมดุลอันถูกต้องเหมาะสมของมันได้ พืชพรรณ สัตว์ ภูเขา และทะเลสาบ—พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสภาพแวดล้อมทางนิเวศที่ปกติไว้สำหรับมวลมนุษย์ เฉพาะเมื่อผู้คนมีสภาพแวดล้อมทางนิเวศประเภทนี้แล้วเท่านั้น—ระบบที่สมดุล—การอยู่รอดของพวกเขาจึงจะปลอดภัย หากต้นไม้หรือต้นหญ้ามีความสามารถต่ำที่จะสืบพันธุ์หรือความเร็วของการสืบพันธุ์ของพวกมันช้ามาก ดินจะไม่สูญเสียความชุ่มชื้นของมันหรอกหรือ? หากดินได้สูญเสียความชุ่มชื้นของมัน มันจะยังคงเป็นดินสมบูรณ์อยู่หรือ? หากดินได้สูญเสียพืชพรรณของมันและความชุ่มชื้นของมัน มันคงจะเกิดการกัดเซาะเร็วมาก และทรายคงจะเกิดขึ้นแทนที่มัน เมื่อดินเสื่อมสภาพลง สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คนคงจะถูกทำลายเช่นกัน ความวิบัติมากมายคงจะเกิดควบคู่ไปกับการทำลายล้างนี้ หากปราศจากสมดุลทางนิเวศแบบนี้ หากปราศจากสภาพแวดล้อมทางนิเวศประเภทนี้ ผู้คนคงจะทนทุกข์กับความวิบัติต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง เนื่องจากความไม่สมดุลระหว่างทุกสรรพสิ่ง ตัวอย่างเช่น เมื่อมีความไม่สมดุลทางสภาพแวดล้อมซึ่งนำไปสู่การทำลายล้างสภาพแวดล้อมทางนิเวศของกบ พวกมันทั้งหมดรวมตัวกัน จำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างกะทันหัน และผู้คนถึงกับเห็นกบจำนวนมากพากันข้ามถนนในเมืองต่างๆ หากกบจำนวนมากได้ยึดครองสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คน จะเรียกการนั้นว่าอย่างไร? ความวิบัติอย่างหนึ่ง เหตุใดจึงเรียกว่าความวิบัติ? สัตว์ขนาดเล็กเหล่านี้ที่เป็นประโยชน์สำหรับมวลมนุษย์มีประโยชน์สำหรับผู้คนเมื่อพวกมันยังคงอยู่ในที่ที่เหมาะสมกับพวกมัน พวกมันสามารถคงไว้ซึ่งสมดุลของสภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของผู้คน แต่หากพวกมันกลายเป็นความวิบัติ พวกมันจะส่งผลกระทบต่อความเป็นระเบียบของชีวิตของผู้คน สิ่งต่างๆ ทั้งหมดและองค์ประกอบทั้งหมดที่บรรดากบนำติดตัวพวกมันมาบนร่างกายของพวกมันสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้คนได้ พวกมันถึงขั้นสามารถทำให้อวัยวะต่างๆ ทางกายของผู้คนถูกโจมตีได้—นี่คือหนึ่งในความวิบัติชนิดต่างๆ ความวิบัติอีกชนิดหนึ่งซึ่งเป็นบางสิ่งที่มนุษย์ได้ผ่านประสบการณ์บ่อยๆ ก็คือการปรากฏของตั๊กแตนโลคัสตาจำนวนมหาศาล นี่ไม่ใช่ความวิบัติหรอกหรือ? ใช่ มันเป็นความวิบัติอันน่าหวาดผวาจริงๆ ไม่สำคัญว่าพวกมนุษย์อาจมีความสามารถเพียงใด—ผู้คนสามารถสร้างเครื่องบิน ปืนใหญ่ และระเบิดปรมาณูได้—เมื่อตั๊กแตนโลคัสตาบุก มวลมนุษย์มีวิธีแก้ไขอันใดหรือ? พวกเขาสามารถใช้ปืนใหญ่กับพวกมันได้หรือไม่? พวกเขาสามารถยิงพวกมันด้วยปืนกลได้หรือไม่? ไม่ พวกเขาไม่สามารถทำได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาสามารถพ่นยาฆ่าแมลงเพื่อไล่พวกมันออกไปได้หรือไม่? นั่นก็ไม่ใช่งานง่ายเช่นกัน ตั๊กแตนโลคัสตาตัวเล็กๆ เหล่านั้นมาเพื่อทำอะไร? พวกมันกินพืชผลและธัญพืชโดยเฉพาะ ที่ใดก็ตามที่ตั๊กแตนโลคัสตาไป พืชผลถูกทำลายล้างอย่างสิ้นเชิง ในกาลสมัยของการบุกของตั๊กแตนโลคัสตา อาหารทั้งหมดที่เกษตรกรพึ่งพาสำหรับปีหนึ่งๆ สามารถถูกตั๊กแตนโลคัสตาบริโภคจนหมดสิ้นในชั่วพริบตาเดียว สำหรับมนุษย์แล้ว การมาถึงของตั๊กแตนโลคัสตาไม่ใช่แค่สิ่งที่สร้างความรำคาญเท่านั้น—มันคือความวิบัติอย่างหนึ่ง ดังนั้นแล้ว พวกเรารู้ว่าการปรากฏของตั๊กแตนโลคัสตาจำนวนมากคือความวิบัติชนิดหนึ่ง แต่หากว่าเป็นหนูล่ะ? หากไม่มีพวกนกล่าเหยื่อที่จะกินหนู เช่นนั้นแล้วพวกมันย่อมจะทวีจำนวนอย่างรวดเร็วมาก รวดเร็วมากกว่าที่เจ้าจะสามารถจินตนาการได้ และหากหนูแพร่กระจายโดยไม่มีการควบคุม มนุษย์จะสามารถมีชีวิตที่ดีได้หรือไม่? มนุษย์จะเผชิญกับสถานการณ์แบบใด? (โรคระบาด) แต่เจ้าคิดหรือว่าการเกิดโรคระบาดจะเป็นผลที่ตามมาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น? หนูจะขบเคี้ยวอะไรก็ได้ และพวกมันจะแทะกระทั่งไม้ หากมีหนูแค่สองตัวในบ้านหนึ่งหลัง พวกมันจะเป็นตัวก่อกวนทุกคนที่อาศัยอยู่ที่นั่น บางครั้งพวกมันขโมยกินน้ำมัน และบางครั้งพวกมันก็กินขนมปังหรือธัญญาหาร และสิ่งต่างๆ ที่พวกมันไม่กินนั้น พวกมันแค่ขบเคี้ยวแล้วเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นเป็นความไม่เป็นระเบียบทั้งสิ้น พวกมันแทะเสื้อผ้า รองเท้า เฟอร์นิเจอร์—พวกมันขบเคี้ยวทุกสิ่งทุกอย่าง บางครั้งพวกมันจะปีนขึ้นไปบนตู้—จานเหล่านั้นยังคงสามารถใช้ได้อยู่หรือไม่หลังจากที่หนูได้ย่ำไปบนจานแล้ว? ต่อให้เจ้านำจานไปฆ่าเชื้อ เจ้าก็จะยังคงไม่รู้สึกสบายใจ ดังนั้นแล้วเจ้าก็แค่โยนจานเหล่านั้นทิ้งไป เหล่านี้คือความรำคาญใจที่หนูนำมาสู่ผู้คน แม้ว่าหนูจะเป็นสัตว์ขนาดจิ๋ว ผู้คนก็ไม่มีหนทางที่จะจัดการกับพวกมัน และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับมีแต่ต้องทนกับการปล้นสะดมของพวกมัน แค่หนูหนึ่งคู่ก็เพียงพอแล้วที่จะก่อให้เกิดการหยุดชะงัก ไม่ต้องไปพูดถึงหนูฝูงใหญ่ หากจำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นและพวกมันกลายเป็นความวิบัติ ผลสืบเนื่องคงจะไม่อาจจินตนาการได้ แม้กระทั่งสัตว์ขนาดเล็กจิ๋วเท่ามดก็สามารถกลายเป็นความวิบัติได้ หากการนั้นเกิดขึ้น ความเสียหายที่พวกมันจะก่อให้กับมวลมนุษย์ย่อมจะไม่สามารถถูกเพิกเฉยได้เช่นกัน มดสามารถก่อให้เกิดความเสียหายกับบ้านเรือนจนบ้านเรือนพังทลายได้ ต้องไม่มองข้ามพละกำลังของพวกมัน มันจะไม่น่าหวาดผวาหรอกหรือหากนกชนิดต่างๆ สร้างความวิบัติขึ้น? (ใช่) หากจะพูดอีกแบบก็คือ เมื่อใดก็ตามที่สัตว์หรือสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าพวกมันจะเป็นชนิดใด สูญเสียสมดุลของพวกมัน พวกมันจะเติบโต สืบพันธุ์ และดำรงชีวิตภายในวงเขตที่ไม่ปกติ วงเขตที่ผิดปกติ นั่นจะนำมาซึ่งผลสืบเนื่องอันไม่อาจจินตนาการได้ต่อมวลมนุษย์ นั่นจะไม่เพียงส่งผลกระทบต่อการอยู่รอดและชีวิตของผู้คนเท่านั้น แต่ยังจะนำความวิบัติมาสู่มวลมนุษย์อีกด้วย กระทั่งถึงจุดที่ผู้คนทนทุกข์กับชะตากรรมของความสิ้นสลายและการสูญพันธุ์โดยสมบูรณ์
เมื่อพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง พระองค์ได้ทรงใช้วิธีการและหนทางทุกชนิดเพื่อให้พวกมันมีสมดุล เพื่อให้สภาพเงื่อนไขในการดำรงชีวิตของภูเขาและทะเลสาบ ของพืชพรรณและสัตว์ นก และแมลงทุกชนิดมีสมดุล เป้าหมายของพระองค์คือการเปิดโอกาสให้สิ่งมีชีวิตทุกชนิดได้ดำรงชีวิตและทวีจำนวนภายใต้กฎที่พระองค์ได้ทรงกำหนดขึ้น ไม่มีสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างใดสามารถออกนอกกฎเหล่านี้ และกฎเหล่านี้ไม่สามารถถูกทำลายได้ เฉพาะภายในสภาพแวดล้อมพื้นฐานประเภทนี้เท่านั้น มนุษย์จึงสามารถอยู่รอดและทวีจำนวนได้อย่างปลอดภัยรุ่นแล้วรุ่นเล่า หากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ ไปพ้นจำนวนหรือวงเขตที่พระเจ้าทรงกำหนด หรือหากมันเกินอัตราการเติบโต ความถี่ของการสืบพันธุ์ หรือจำนวนที่พระองค์สั่งการ สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์คงจะประสบทุกข์กับการทำลายล้างในระดับที่หลากหลาย และในเวลาเดียวกัน การอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็คงจะถูกคุกคาม หากสิ่งมีชีวิตทรงสร้างชนิดหนึ่งมีจำนวนมากเกินไป มันจะปล้นอาหารจากผู้คน ทำลายแหล่งน้ำของผู้คน และทำให้ถิ่นฐานของพวกเขาย่อยยับ ด้วยหนทางนั้น การสืบพันธุ์หรือสภาวะการอยู่รอดของมวลมนุษย์คงจะได้รับผลกระทบในทันที ตัวอย่างเช่น น้ำนั้นสำคัญมากสำหรับทุกสรรพสิ่ง หากมีหนู มด ตั๊กแตนโลคัสตา กบ หรือสัตว์ชนิดอื่นใดมากเกินไป พวกมันจะดื่มน้ำมากขึ้น เมื่อปริมาณน้ำที่พวกมันดื่มเพิ่มขึ้น น้ำดื่มและแหล่งน้ำของผู้คนภายในวงเขตที่ตายตัวของแหล่งน้ำดื่มและพื้นที่ซึ่งประกอบด้วยน้ำจะลดลง และพวกเขาจะได้รับประสบการณ์เป็นการขาดแคลนน้ำ หากน้ำดื่มของผู้คนถูกทำลาย ปนเปื้อน หรือถูกตัดขาดเพราะสัตว์ทุกประเภทได้เพิ่มจำนวนขึ้น ภายใต้สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดอันโหดร้ายแบบนั้น การอยู่รอดของมวลมนุษย์จะถูกคุกคามอย่างร้ายแรง หากสิ่งมีชีวิตประเภทหนึ่งหรือหลายประเภทมีจำนวนเกินความเหมาะสมของพวกมัน เช่นนั้นแล้วอากาศ อุณหภูมิ ความชื้น และแม้กระทั่งองค์ประกอบของอากาศภายในพื้นที่สำหรับการอยู่รอดของมวลมนุษย์ก็จะเป็นพิษและถูกทำลายในระดับที่หลากหลาย ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ การอยู่รอดและชะตากรรมของมนุษย์จะอยู่ภายใต้การคุกคามที่มีต้นเหตุจากปัจจัยทางนิเวศเหล่านี้เช่นกัน ดังนั้นแล้ว หากความสมดุลเหล่านี้สูญเสียไป อากาศที่ผู้คนหายใจจะถูกทำลาย น้ำที่พวกเขาดื่มจะถูกปนเปื้อน และอุณหภูมิที่พวกเขาพึงต้องมีก็จะเปลี่ยนแปลงและได้รับผลกระทบในระดับที่หลากหลายเช่นกัน หากการนั้นเกิดขึ้น สภาพแวดล้อมสำหรับการอยู่รอดที่เป็นของมวลมนุษย์โดยธรรมชาติจะได้รับผลกระทบและอยู่ภายใต้ความท้าทายอันใหญ่หลวง ในฉากเหตุการณ์แบบนี้ที่สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับการอยู่รอดของมนุษย์ได้ถูกทำลายลง ชะตากรรมและความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของมวลมนุษย์จะเป็นอย่างไร? นี่เป็นปัญหาที่รุนแรงมากปัญหาหนึ่ง! เพราะพระเจ้าทรงทราบว่าแต่ละสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างดำรงอยู่เพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ด้วยเหตุผลใด บทบาทของสิ่งต่างๆ ทุกชนิดที่พระองค์ได้ทรงสร้างคืออะไร แต่ละสิ่งมีผลกระทบแบบใดต่อมวลมนุษย์ และมันเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ถึงระดับใด เพราะในพระทัยของพระเจ้ามีแผนการสำหรับทั้งหมดนี้และพระองค์ทรงบริหารจัดการทุกๆ แง่มุมของทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นมา นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำจึงสำคัญและจำเป็นมากสำหรับมวลมนุษย์ ดังนั้นแล้วตั้งแต่นี้ไป เมื่อใดก็ตามที่เจ้าสังเกตดูปรากฏการณ์ทางนิเวศบางอย่างท่ามกลางสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า หรือกฎธรรมชาติบางอย่างที่ดำเนินอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้า เจ้าจะไม่สงสัยเกี่ยวกับความจำเป็นของทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างอีกต่อไป เจ้าจะไม่ใช้ถ้อยคำที่ไม่รู้เท่าทันมาตัดสินโดยพลการเกี่ยวกับการจัดการเตรียมการทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าและหนทางอันหลากหลายของพระองค์ในการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์อีกต่อไป อีกทั้งเจ้าจะไม่มาสู่ข้อสรุปเกี่ยวกับกฎของพระเจ้าสำหรับทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระองค์โดยพลการ นี่ไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรอกหรือ?
ทั้งหมดนี้ที่พวกเราเพิ่งจะพูดคุยกันไปคืออะไร? จงคิดถึงมันสักอึดใจ พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ของพระองค์เองในทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำ แม้ว่าเจตนารมณ์ของพระองค์ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้สำหรับมนุษย์ มันเกี่ยวข้องกับการอยู่รอดของมวลมนุษย์อย่างแยกกันไม่ออกและอย่างมีอานุภาพเสมอ มันจะขาดเสียไม่ได้โดยสิ้นเชิง นี่เป็นเพราะพระเจ้าไม่เคยทรงทำสิ่งใดที่หาประโยชน์มิได้ หลักการเบื้องหลังทุกๆ สิ่งที่พระองค์ทรงทำนั้นซึมซ่านไปด้วยแผนการของพระองค์และพระปรีชาญาณของพระองค์ เป้าหมายและเจตนารมณ์เบื้องหลังแผนการนั้นเป็นไปเพื่อการปกป้องมวลมนุษย์ เพื่อช่วยมวลมนุษย์หลบหลีกความวิบัติ การปล้นสะดมของสิ่งมีชีวิตอื่นๆ และอันตรายชนิดใดๆ ต่อมนุษย์ที่เกิดจากสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างใดของพระเจ้า ดังนั้นแล้วจะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า กิจการของพระเจ้าที่พวกเราได้เห็นภายในหัวข้อนี้ประกอบขึ้นเป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการจัดเตรียมสำหรับมวลมนุษย์? พวกเราจะสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า โดยผ่านทางกิจการเหล่านี้ พระเจ้ากำลังทรงให้อาหารและทรงเป็นผู้เลี้ยงมวลมนุษย์? (ได้) มีสัมพันธภาพอันชัดเจนระหว่างหัวข้อนี้กับแก่นเรื่องของการสามัคคีธรรมของพวกเรา ซึ่งก็คือ “พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตสำหรับทุกสรรพสิ่ง” หรือไม่? (มี) มีสัมพันธภาพอันชัดเจนมาก และหัวข้อนี้ก็คือแง่มุมหนึ่งของการนั้น ก่อนที่จะพูดถึงหัวข้อเหล่านี้ ผู้คนเพียงมีการจินตนาการอันคลุมเครือบางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า เกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เองและกิจการของพระองค์เท่านั้น—พวกเขาขาดความเข้าใจถ่องแท้ อย่างไรก็ดี เมื่อผู้คนได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับกิจการของพระองค์และสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงทำ พวกเขาสามารถเข้าใจและจับใจความหลักการของสิ่งที่พระเจ้าทรงทำได้และพวกเขาสามารถได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการเหล่านั้นและมาอยู่ภายในระยะที่จะเอื้อมถึงพวกมัน—นี่ไม่เป็นเช่นนั้นหรอกหรือ? แม้ว่าในพระทัยของพระเจ้าจะมีทฤษฎี หลักการ และกฎเกณฑ์อันซับซ้อนมากทุกประเภทเมื่อใดก็ตามที่พระองค์ทรงทำสิ่งใดๆ เช่นการทรงสร้างและการปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง เป็นไปไม่ได้เลยหรือที่เจ้าจะได้รับความเข้าใจในหัวใจของเจ้าว่าเหล่านี้คือกิจการของพระเจ้า และว่าพวกมันเป็นจริงเท่าที่จะสามารถเป็นได้ โดยการให้พวกเจ้าเรียนรู้เพียงส่วนเดียวของพวกมันในการสามัคคีธรรม? (เป็นไปได้) เช่นนั้นแล้วความเข้าใจในปัจจุบันของเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าแตกต่างจากก่อนหน้านี้อย่างไร? มันแตกต่างกันในแก่นแท้ของมัน ก่อนหน้านี้ ความเข้าใจของเจ้านั้นตื้นเกินไป คลุมเครือเกินไป แต่บัดนี้ความเข้าใจของเจ้ามีหลักฐานอันเป็นรูปธรรมมากมายที่เข้ากันได้กับกิจการของพระเจ้า เข้ากันได้กับสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ดังนั้น ทั้งหมดที่เราได้พูดไปแล้วจึงเป็นสื่อการเรียนรู้อันน่าอัศจรรย์สำหรับความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 9
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ