สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับมวลมนุษย์: อุณหภูมิ

วันที่ 02 เดือน 10 ปี 2020

สิ่งที่สองที่พวกเราจะเสวนากันคือ อุณหภูมิ ทุกคนรู้ว่าอุณหภูมิคืออะไร อุณหภูมิเป็นบางสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์ หากอุณหภูมิสูงเกินไป—ตัวอย่างเช่น สมมุติว่าอุณหภูมิสูงกว่าสี่สิบองศาเซลเซียส—นี่จะไม่เป็นการสูญเสียน้ำอย่างมากสำหรับมนุษย์หรอกหรือ? นี่จะไม่น่าอ่อนเพลียสำหรับมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ในสภาพเงื่อนไขเช่นนั้นหรอกหรือ? แล้วถ้าหากอุณหภูมิต่ำเกินไปล่ะ? สมมุติว่าอุณหภูมิลงไปถึงลบสี่สิบองศาเซลเซียส—มนุษย์ก็คงไม่อาจทานทนต่อสภาพเงื่อนไขเหล่านี้ได้เช่นกัน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงพิถีพิถันมากในการกำหนดช่วงอุณหภูมิซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับตัวเข้าหาได้ ซึ่งตกอยู่ระหว่างลบสามสิบองศาเซลเซียสกับสี่สิบองศาเซลเซียสโดยประมาณ อุณหภูมิในแผ่นดินทั้งหลายจากเหนือจรดใต้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตกอยู่ภายในช่วงนี้ ในภูมิภาคที่หนาวจัด อุณหภูมิสามารถลดฮวบลงได้จนบางทีไปถึงลบห้าสิบหรือหกสิบองศาเซลเซียส พระเจ้าคงจะไม่ทรงให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ในภูมิภาคเช่นนั้น ดังนั้น เหตุใดภูมิภาคเยือกแข็งเหล่านี้จึงดำรงอยู่เล่า? พระเจ้าทรงมีพระปัญญาของพระองค์เอง และพระองค์ทรงมีเจตนารมณ์ของพระองค์เองสำหรับการนี้ พระองค์จะไม่ทรงให้เจ้าไปใกล้สถานที่เหล่านั้น สถานที่ซึ่งร้อนเกินไปและเย็นเกินไปนั้นได้รับการทรงอารักขาโดยพระเจ้า หมายความว่า พระองค์มิได้ทรงวางแผนให้มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ที่นั่น สถานที่เหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับมวลมนุษย์ แต่เหตุใดเล่า พระเจ้าจึงทรงให้มีสถานที่เช่นนั้นดำรงอยู่บนแผ่นดินโลก? หากสถานที่เหล่านี้เป็นสถานที่ซึ่งพระเจ้าน่าจะไม่ทรงให้มนุษย์อาศัยอยู่หรือแม้แต่อยู่รอด เช่นนั้นแล้วเหตุใดเล่า พระเจ้าจึงจะทรงสร้างสถานที่เหล่านั้นขึ้นมา? มีพระปัญญาของพระเจ้าอยู่ในเรื่องนั้น นั่นก็คือ พระเจ้าได้ทรงปรับเทียบช่วงอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์อยู่รอดอย่างสมเหตุสมผล ยังมีกฎธรรมชาติกำลังทำงานอยู่ตรงนี้ด้วยเช่นกัน พระเจ้าได้ทรงสร้างสิ่งทั้งหลายเฉพาะอย่างขึ้นก็เพื่อธำรงรักษาและควบคุมอุณหภูมิ สิ่งเหล่านั้นคืออะไรหรือ? อย่างแรก ดวงอาทิตย์สามารถนำพาความอบอุ่นมาให้ผู้คนได้ แต่ผู้คนมีความสามารถที่จะสู้ทนความอบอุ่นนี้ได้หรือไม่ เมื่อมันสูงมากเกินไป? มีผู้ใดบ้างที่กล้าเข้าหาดวงอาทิตย์? มีเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ใดบ้างบนแผ่นดินโลกที่สามารถเข้าหาดวงอาทิตย์ได้? (ไม่มี) เหตุใดจึงไม่มี? ดวงอาทิตย์ร้อนเกินไป สิ่งใดที่มาใกล้เกินไปจะหลอมละลาย เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงได้ทรงพระราชกิจอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อกำหนดความสูงของดวงอาทิตย์เหนือมวลมนุษย์และระยะห่างของมันจากมนุษย์โดยสอดคล้องกับการทรงคำนวณอย่างละเอียดรอบคอบของพระองค์และมาตรฐานของพระองค์ แล้วก็ยังมีขั้วทั้งสองของแผ่นดินโลก ที่ทิศใต้และทิศเหนือ ภูมิภาคทั้งสองนี้เยือกแข็งและเป็นธารน้ำแข็ง มวลมนุษย์สามารถดำรงชีวิตอยู่ในภูมิภาคที่เป็นธารน้ำแข็งได้หรือ? สถานที่ทั้งหลายเช่นนั้นเหมาะสมต่อความอยู่รอดของมนุษย์หรือไม่? ไม่ ดังนั้นผู้คนจึงไม่ไปยังสถานที่เหล่านี้ ในเมื่อผู้คนไม่ไปที่ขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือ ธารน้ำแข็งของที่นั่นจึงได้รับการอนุรักษ์และมีความสามารถที่จะทำหน้าที่ตามจุดประสงค์ของพวกมันได้ ซึ่งก็คือการควบคุมอุณหภูมิ เจ้าเข้าใจใช่หรือไม่? หากไม่ได้มีขั้วโลกใต้และไม่ได้มีขั้วโลกเหนือ เช่นนั้นแล้วความร้อนอันต่อเนื่องของดวงอาทิตย์ก็คงจะทำให้ผู้คนบนแผ่นดินโลกมีอันพินาศ ว่าแต่พระเจ้าทรงรักษาอุณหภูมิไว้ภายในช่วงที่เหมาะสมต่อความอยู่รอดของมนุษย์โดยผ่านทางสองสิ่งนี้เท่านั้นใช่หรือไม่? ไม่ ยังมีสิ่งมีชีวิตทั้งหลายทุกจำพวกอีกด้วย อาทิ หญ้าในทุ่งหญ้า ต้นไม้สารพัดชนิด และพืชทุกประเภทในป่าไม้ที่ดูดซับความร้อนของดวงอาทิตย์ และการทำเช่นนั้นทำให้พลังงานความร้อนของดวงอาทิตย์เป็นกลางอยู่ในหนทางที่บังคับควบคุมอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ แหล่งน้ำทั้งหลาย อาทิ แม่น้ำและทะเลสาบก็มีอยู่ด้วยเช่นกัน ไม่มีผู้ใดสามารถตัดสินได้เกี่ยวกับพื้นที่ที่แม่น้ำและทะเลสาบนั้นครอบคลุม ไม่มีผู้ใดสามารถควบคุมปริมาณน้ำที่มีบนแผ่นดินโลก หรือแห่งหนที่น้ำไหลไป ทิศทางการไหลของน้ำ ปริมาตรของการไหล หรือความเร็วของการไหล พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้ แหล่งน้ำสารพันเหล่านี้ ตั้งแต่น้ำใต้ดินไปจนถึงแม่น้ำและทะเลสาบที่มองเห็นได้เหนือพื้นดิน สามารถควบคุมอุณหภูมิของสภาพแวดล้อมที่มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ได้ นอกเหนือจากแหล่งน้ำทั้งหลายแล้ว ยังมีการก่อตัวทางภูมิศาสตร์ทุกประเภท อาทิ ภูเขา ที่ราบ หุบผาชัน และพื้นที่ชุ่มน้ำ ซึ่งทั้งหมดควบคุมอุณหภูมิในขอบข่ายที่เป็นสัดส่วนเหมาะสมกับวงเขตและพื้นที่ทางภูมิศาสตร์ของพวกมัน ตัวอย่างเช่น หากภูเขาลูกหนึ่งมีเส้นรอบวงหนึ่งร้อยกิโลเมตร เช่นนั้นแล้ว หนึ่งร้อยกิโลเมตรนั้นก็จะมีส่วนร่วมสนับสนุนการใช้ประโยชน์เทียบเท่ากับหนึ่งร้อยกิโลเมตร สำหรับการที่จำนวนเทือกเขาและหุบผาชันดังกล่าวที่พระเจ้าได้ทรงสร้างบนแผ่นดินโลกมีเท่าใดกันแน่นั้น นี่เป็นตัวเลขที่พระเจ้าได้ทรงพิจารณาแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ มีเรื่องราวอยู่เบื้องหลังการดำรงอยู่ของทุกๆ สิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง และแต่ละสิ่งบรรจุไปด้วยพระปัญญาและแผนการของพระเจ้า ลองพิจารณาตัวอย่างเช่น ป่าไม้และพืชพรรณหลากหลายประเภททั้งหมด—แนวเขตและขอบข่ายของพื้นที่ซึ่งพวกมันดำรงอยู่และเติบโตนั้น อยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์คนใด และไม่มีผู้ใดมีส่วนในการตัดสินใจเหนือสิ่งเหล่านี้ ในทำนองเดียวกัน ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถควบคุมปริมาณน้ำที่พวกมันดูดซับ หรือปริมาณพลังงานความร้อนที่พวกมันดูดซับจากดวงอาทิตย์ได้ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดตกอยู่ภายในวงเขตของแผนการที่พระเจ้าได้ทรงทำเมื่อตอนที่พระองค์ได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง

นั่นเป็นเพราะการทรงวางแผน การทรงพิจารณาและการทรงจัดการเตรียมการอย่างรอบคอบของพระเจ้าในทุกๆ ความคิดคำนึงนั่นเอง มนุษย์จึงสามารถดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเหมาะสมเช่นนี้ได้ เพราะฉะนั้นทุกๆ สิ่งที่มนุษย์มองเห็นด้วยตาของมนุษย์ เช่นดวงอาทิตย์ ขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือที่ผู้คนได้ยินเกี่ยวกับพวกมันอยู่บ่อยๆ ตลอดจนสิ่งมีชีวิตอันหลากหลายทั้งบนและใต้พื้นดินและในน้ำ และปริมาณของพื้นที่ซึ่งปกคลุมโดยป่าไม้และพืชพรรณจำพวกอื่นๆ และแหล่งน้ำ น่านน้ำอันหลากหลาย ปริมาณน้ำทะเลและน้ำจืด และสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน—เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงใช้ในการธำรงรักษาอุณหภูมิปกติเพื่อความอยู่รอดของมนุษย์ นี่เป็นเรื่องที่แน่นอนเด็ดขาด นั่นเป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงดำริอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการนี้ทั้งหมดแล้วเท่านั้น มนุษย์จึงมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีอุณหภูมิเหมาะสมเช่นนั้นได้ มันต้องไม่เย็นเกินไปหรือร้อนเกินไป กล่าวคือ สถานที่ซึ่งร้อนเกินไป ที่ซึ่งมีอุณหภูมิเกินกว่าที่ร่างกายมนุษย์จะสามารถปรับเข้าหาได้นั้น พระเจ้าไม่ทรงกันไว้ให้เจ้าอย่างแน่นอน สถานที่ซึ่งเย็นเกินไป ที่ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำเกินไป ซึ่งหลังจากไปถึงที่นั่นแล้ว มนุษย์จะหนาวเย็นจนเยือกแข็งไปทั้งตัวในเวลาเพียงไม่กี่นาที จนถึงระดับที่พวกเขาไม่สามารถพูดได้ สมองของพวกเขาเย็นจนเยือกแข็ง พวกเขาไร้ความสามารถที่จะคิด และในไม่ช้าพวกเขาก็จะทนทุกข์กับภาวะขาดอากาศหายใจ—สถานที่เช่นนั้นพระเจ้าก็ไม่ทรงกันไว้สำหรับมนุษย์เช่นกัน ไม่สำคัญว่ามนุษย์ต้องการดำเนินการศึกษาวิจัยประเภทใดให้เสร็จสิ้น และไม่ว่าพวกเขาต้องการที่จะคิดค้นหรือฝ่าทะลุข้อจำกัดเหล่านี้หรือไม่—ไม่ว่าผู้คนจะมีความคิดอะไรก็ตาม พวกเขาจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะไปเกินขีดจำกัดของสิ่งที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับเข้าหาได้ พวกเขาจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะปลดทิ้งข้อจำกัดเหล่านี้ที่พระเจ้าได้ทรงสร้างให้แก่มนุษย์ได้ นี่เป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์ และพระเจ้าทรงรู้ดีที่สุดว่า อุณหภูมิใดที่ร่างกายมนุษย์สามารถปรับเข้าหาได้ แต่มนุษย์เองนั้นไม่รู้ ทำไมเราจึงพูดว่ามนุษย์ไม่รู้? มนุษย์ได้ทำสิ่งโง่ๆ อะไรไปบ้างหรือ? ผู้คนมากมายไม่ได้พยายามท้าทายขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้อยู่เนืองนิตย์หรอกหรือ? ผู้คนเช่นนั้นได้ต้องการไปยังสถานที่เหล่านั้นเสมอ เพื่อยึดครองแผ่นดิน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถตั้งรกรากที่นั่นได้ นั่นน่าจะเป็นการกระทำที่ไร้สาระสิ้นดี ต่อให้เจ้าได้ศึกษาวิจัยขั้วโลกทั้งสองแล้วอย่างถ้วนทั่ว แล้วยังไงหรือ? ต่อให้เจ้าสามารถปรับตัวเข้ากับอุณหภูมิได้และมีความสามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ที่นั่น มันจะเป็นประโยชน์ต่อมวลมนุษย์ในหนทางใดหนทางหนึ่งหรือ หากเจ้าจะต้อง “ปรับปรุง” สภาพแวดล้อมปัจจุบันเพื่อชีวิตแห่งขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือ? มวลมนุษย์มีสภาพแวดล้อมที่มวลมนุษย์สามารถอยู่รอดได้ในนั้น ทว่าพวกมนุษย์ไม่ได้ยังคงอยู่ที่นั่นอย่างสงบนิ่งและคล้อยตาม แต่กลับยืนกรานที่จะเสี่ยงไปยังสถานที่ที่พวกเขาไม่สามารถอยู่รอดได้แทน การนี้หมายความเช่นไรหรือ? พวกเขาได้กลายเป็นเบื่อหน่ายและหมดความอดทนกับชีวิตในอุณหภูมิที่เหมาะสมนี้ และได้ชื่นชมพระพรไปมากมายเกินไป นอกจากนั้น สภาพแวดล้อมอันเป็นปกตินี้สำหรับชีวิต ก็ได้ถูกทำลายไปจนแทบหมดสิ้นโดยมวลมนุษย์ ดังนั้นบัดนี้ พวกเขาจึงคิดว่า พวกเขาอาจจะไปยังขั้วโลกใต้และขั้วโลกเหนือด้วยเช่นกัน เพื่อทำความเสียหายให้มากขึ้น หรือไล่ตามเสาะหา “เหตุ” บางอย่างให้พวกเขาสามารถพบบางหนทางแห่งการ “บุกเบิกลู่ทางใหม่” ได้ นี่ไม่ใช่เรื่องโง่ๆ หรอกหรือ? กล่าวคือ ภายใต้การนำของกำพืดซาตานของพวกเขา มวลมนุษย์นี้ทำสิ่งไร้สาระครั้งแล้วครั้งเล่าติดๆ กัน พร้อมกับทำลายบ้านอันสวยงามที่พระเจ้าได้ทรงสร้างให้แก่พวกเขาอย่างบ้าบิ่นและพิเรนทร์ นี่เป็นการกระทำของซาตาน ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นว่าความอยู่รอดของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลกค่อนข้างตกอยู่ในอันตราย ผู้คนมากมายจึงแสวงหาหนทางไปเยี่ยมดวงจันทร์ โดยต้องการจัดตั้งหนทางที่จะอยู่รอดขึ้นที่นั่น แต่ในท้ายที่สุด ดวงจันทร์ก็ขาดออกซิเจน มนุษย์จะสามารถอยู่รอดโดยปราศจากออกซิเจนได้หรือ? ในเมื่อดวงจันทร์ขาดออกซิเจน นั่นจึงไม่ใช่สถานที่ที่มนุษย์สามารถพำนักอยู่ได้ ทว่ามนุษย์ยืนกรานในความอยากของเขาที่จะไปที่นั่น พฤติกรรมนี้ควรเรียกว่าอะไร? เป็นการทำลายตัวเองเช่นกันใช่หรือไม่? ดวงจันทร์เป็นสถานที่ที่ไม่มีอากาศ และอุณหภูมิที่นั่นก็ไม่เหมาะกับความอยู่รอดของมนุษย์—ดังนั้นจึงไม่ใช่สถานที่ที่พระเจ้าทรงกันไว้ให้มนุษย์

หัวข้อของพวกเราเมื่อตะกี้นี้ อุณหภูมิ เป็นบางสิ่งที่ผู้คนเผชิญในชีวิตประจำวันของพวกเขา อุณหภูมิเป็นบางสิ่งที่ร่างกายมนุษย์ทั้งปวงสามารถสำนึกรับรู้ได้ แต่ไม่มีผู้ใดเลยที่คิดว่าอุณหภูมิเกิดขึ้นอย่างไร หรือใครเป็นผู้กำกับดูแลอุณหภูมิและควบคุมอุณหภูมิจนถึงระดับที่มันเหมาะสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์ นี่คือสิ่งที่พวกเรากำลังเรียนรู้ในขณะนี้ ภายในการนี้มีพระปัญญาของพระเจ้าอยู่หรือไม่? ภายในการนี้ มีการกระทำของพระเจ้าอยู่หรือไม่? (มี) เมื่อพิจารณาว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างสภาพแวดล้อมพร้อมด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับความอยู่รอดของมนุษย์ นี่เป็นหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้แก่ทุกสรรพสิ่งใช่หรือไม่? นั่นเป็น

—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 8

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

สภาพแวดล้อมพื้นฐานสำหรับชีวิตที่พระเจ้าทรงสร้างสำหรับมวลมนุษย์: เสียง

สิ่งที่สามคืออะไร? มันก็เป็นบางสิ่งที่เป็นส่วนจำเป็นอย่างยิ่งของสภาพแวดล้อมปกติของการดำรงอยู่ของมนุษย์...

พระเจ้าทรงสร้าง ทรงปกครอง และทรงบริหารจัดการทั้งหมด//อย่างครบถ้วนบริบูรณ์เพื่อความอยู่รอดของมวลมนุษย์

สองเรื่องที่เราเพิ่งได้บอกเล่าไปนั้น ถึงแม้ว่าเนื้อหาและลักษณะการแสดงออกจะผิดปกติไปเล็กน้อย...

การมองเห็นเสบียงอาหารของพระเจ้าสำหรับมนุษย์โดยผ่านทางสภาพแวดล้อมพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิตซึ่งพระเจ้าได้ทรงสร้างขึ้น

ในหนทางที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพเงื่อนไขพื้นฐานทั้งห้านี้เพื่อความอยู่รอดของมนุษย์...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger