พระราชกิจสามช่วงระยะ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 1

แผนบริหารจัดการทั้งหมดของเรา ซึ่งเป็นแผนบริหารจัดการนาน 6,000 ปีนั้นประกอบด้วยสามระยะ หรือสามยุค ได้แก่ ยุคธรรมบัญญัติซึ่งเป็นยุคเริ่มต้น ยุคพระคุณ (ซึ่งเป็นยุคแห่งการไถ่ด้วย) และยุคแห่งราชอาณาจักรแห่งยุคสุดท้าย  งานของเราในสามยุคดังกล่าวแตกต่างกันในด้านเนื้อหาตามลักษณะของแต่ละยุค ทว่าในแต่ละระยะ งานส่วนนี้จะมีความเหมาะสมกับความจำเป็นของมนุษย์ หรือกล่าวให้ชัดเจนกว่านั้นได้ว่า ถูกกระทำไปโดยสอดรับกับเล่ห์เพทุบายที่ซาตานนำมาใช้ในสงครามที่เราต้องเข้าต่อกรด้วย  วัตถุประสงค์แห่งงานของเราคือเพื่อทำให้ซาตานพ่ายแพ้  เพื่อสำแดงปัญญาและฤทธานุภาพอันไม่สิ้นสุดของเราให้เป็นที่ประจักษ์ เพื่อเปิดโปงเล่ห์เพทุบายทั้งสิ้นของซาตาน และด้วยเหตุนั้นจะเป็นการช่วยเผ่าพันธุ์มนุษยชาติทั้งมวลซึ่งอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานให้รอด  ทั้งหมดก็เพื่อแสดงถึงปัญญาและฤทธานุภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดของเรา และเพื่อเผยให้เห็นความน่าขยะแขยงเกินจะทานทนของซาตาน และที่ยิ่งกว่านั้นก็คือ เพื่อช่วยให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายสามารถแยกแยะระหว่างความดีกับความชั่วได้ เพื่อจะรับรู้ได้ว่าเราคือผู้ปกครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  เพื่อให้ได้เห็นกันอย่างชัดแจ้งว่าซาตานคือศัตรูแห่งมนุษยชาติ เป็นผู้ที่เสื่อม เป็นมารชั่วร้าย และเพื่อให้พวกเขาสามารถบอกกล่าวด้วยความเชื่อมั่นเต็มหัวใจถึงข้อแตกต่างระหว่างความดีกับความชั่ว ความจริงและความลวง ความบริสุทธิ์และความโสมม รวมถึงสิ่งใดยิ่งใหญ่เลอค่าและสิ่งใดไร้เกียรติควรเหยียดหยาม  ด้วยเหตุนี้มนุษย์ผู้ไม่รู้เท่าทันจึงจะสามารถเป็นประจักษ์พยานฝ่ายเราได้ว่า ไม่ใช่เราที่เป็นผู้บ่อนทำลายมนุษยชาติให้เสื่อมทราม และมีแต่เรา—พระผู้สร้าง—เท่านั้น ที่สามารถช่วยมนุษยชาติให้อยู่รอด ที่สามารถมอบสิ่งต่างๆ ซึ่งให้ความสุขแก่พวกเขาได้ จนกระทั่งพวกเขาได้ตระหนักรู้ว่าเราคือผู้ปกครองทุกสรรพสิ่ง และซาตานเป็นเพียงหนึ่งในสิ่งดำรงอยู่ที่เราได้สร้างขึ้นมาและซึ่งต่อมากลับผันแปรพักตร์ไปจากเรา  แผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีของเราแบ่งออกเป็นสามระยะ และด้วยเหตุนั้นเราได้ดำเนินงานเพื่อให้บรรลุผลในการทำให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างสามารถเป็นพยานต่อเราได้ เข้าใจเจตนาของเราได้ และรู้ได้ว่าเราคือความจริง  ด้วยเหตุนี้ ในช่วงระหว่างงานช่วงต้นในแผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีของเรา เราได้ทำงานด้านธรรมบัญญัติ อันเป็นงานที่มีพระยาห์เวห์ทรงนำทางประชาชน  ระยะที่สองดำเนินเข้าสู่งานของยุคพระคุณในหมู่บ้านต่างๆ ของแคว้นยูเดีย  พระเยซูคือผู้ทำงานทั้งหมดของยุคพระคุณแทนเรา พระองค์ได้จุติมาบังเกิดในเนื้อหนังและถูกตอกตรึงบนกางเขน และพระองค์ยังทรงเป็นผู้เริ่มต้นยุคพระคุณด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนก็เพื่อบรรลุพระราชกิจแห่งการไถ่ เพื่อปิดฉากยุคธรรมบัญญัติและเริ่มต้นยุคพระคุณ และด้วยการนั้นพระองค์จึงทรงได้รับการขนานพระนามว่า “จอมทัพ”  “เครื่องบูชาไถ่บาป” และ “พระผู้ไถ่”  ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ พระราชกิจของพระเยซูจึงมีความแตกต่างทางด้านเนื้อหาจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์ แม้จะมีหลักการเดียวกันก็ตาม  พระยาห์เวห์ทรงเริ่มต้นยุคธรรมบัญญัติ สร้างรากฐานหรือจุดกำเนิดสำหรับงานของพระเจ้าบนโลก และสำหรับการออกกฎธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ  นี่คือพระราชกิจสองอย่างที่พระองค์ได้ทรงดำเนินการ และเป็นพระราชกิจที่เป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติ  พระราชกิจที่พระเยซูทรงทำในยุคพระคุณนั้นไม่ใช่เป็นการออกกฎธรรมบัญญัติ แต่เพื่อทำให้ธรรมบัญญัติลุล่วง ด้วยการนั้นจึงนำทางเข้าสู่ยุคพระคุณและสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติที่ดำเนินมายาวนานร่วมสองพันปี  พระองค์ทรงเป็นผู้บุกเบิกที่มาเพื่อเริ่มต้นยุคพระคุณ ทว่าพระราชกิจส่วนหลักของพระองค์อยู่ที่การไถ่  และเมื่อเป็นเช่นนั้น พระราชกิจของพระองค์จึงมีสองด้านเช่นกัน นั่นคือ การเปิดฉากยุคใหม่ และการทำพระราชกิจแห่งการไถ่ให้ครบบริบูรณ์โดยผ่านทางการถูกตรึงกางเขน ซึ่งหลังจากนั้นเป็นเหตุให้พระองค์ต้องจากไป  และนับจากนี้ไปยุคธรรมบัญญัติจึงได้สิ้นสุดลง และยุคพระคุณได้เริ่มต้นขึ้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 2

ระยะเวลา 6,000 ปีแห่งพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้าถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ ได้แก่ ยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคราชอาณาจักร  พระราชกิจสามช่วงระยะนี้ล้วนเป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ กล่าวคือ เป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างรุนแรง  อย่างไรก็ตาม ในเวลาเดียวกันก็เป็นไปเพื่อให้พระเจ้าทรงสู้รบกับซาตานด้วย  ด้วยเหตุนี้ ดังเช่นที่พระราชกิจแห่งความรอดถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ การสู้รบกับซาตานจึงถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะด้วย และดังนั้นพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสองแง่มุมนี้จึงดำเนินไปพร้อมกัน  การสู้รบกับซาตานเป็นไปเพื่อความรอดของมวลมนุษย์โดยแท้ และเพราะพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์มิใช่บางสิ่งที่สามารถทำให้สำเร็จสมบูรณ์ได้ในช่วงระยะเดียว การสู้รบกับซาตานจึงถูกแบ่งออกเป็นระยะและเป็นช่วงเวลาเช่นกัน และมีการเปิดศึกกับซาตานโดยสอดคล้องกับความต้องการของมนุษย์และขอบข่ายแห่งความเสื่อมทรามของซาตานในตัวเขา  บางทีในจินตนาการของมนุษย์ เขาอาจเชื่อว่าในการสู้รบนี้ พระเจ้าจะทรงใช้อาวุธกับซาตานในหนทางเดียวกับที่สองกองทัพจะต่อสู้กัน  นี่เป็นเพียงสิ่งที่สติปัญญาของมนุษย์สามารถจินตนาการได้เท่านั้น เป็นแนวคิดที่คลุมเครือและไม่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงอย่างที่สุด กระนั้นก็เป็นสิ่งที่มนุษย์เชื่อ  และเพราะเราพูดในที่นี้ว่าวิถีทางแห่งความรอดของมนุษย์เป็นไปโดยผ่านทางการสู้รบกับซาตาน มนุษย์จึงจินตนาการว่านี่คือวิธีทำการสู้รบ  มีสามช่วงระยะในพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าการสู้รบกับซาตานถูกแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะเพื่อที่จะทำให้ซาตานปราชัยอย่างเบ็ดเสร็จ  กระนั้นความจริงเบื้องลึกเกี่ยวกับพระราชกิจทั้งหมดแห่งการสู้รบกับซาตานก็คือว่า พระราชกิจนี้สัมฤทธิ์ผลได้โดยผ่านทางพระราชกิจหลายขั้นตอน ได้แก่ การประทานพระคุณแก่มนุษย์ การกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ การยกโทษให้กับบาปทั้งหลายของมนุษย์ การพิชิตมนุษย์ และการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ตามข้อเท็จจริงแล้ว การสู้รบกับซาตานมิใช่การใช้อาวุธรบกับซาตาน แต่คือความรอดของมนุษย์ การปรับปรุงชีวิตมนุษย์ และการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์ เพื่อที่เขาอาจเป็นคำพยานให้พระเจ้า  นี่คือวิธีทำให้ซาตานปราชัย  ซาตานปราชัยผ่านทางการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  เมื่อซาตานปราชัยแล้ว กล่าวคือ เมื่อมนุษย์ได้รับการช่วยให้รอดโดยบริบูรณ์แล้ว เมื่อนั้นซาตานที่ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจะถูกพันธนาการเอาไว้โดยสิ้นเชิง และในหนทางนี้ มนุษย์ก็จะได้รับการช่วยให้รอดโดยบริบูรณ์  ด้วยเหตุนี้ แก่นแท้แห่งความรอดของมนุษย์จึงเป็นสงครามกับซาตาน และสงครามนี้โดยพื้นฐานแล้วสะท้อนอยู่ในความรอดของมนุษย์  ช่วงระยะแห่งยุคสุดท้ายซึ่งเป็นยุคที่มนุษย์จะถูกพิชิต คือช่วงระยะสุดท้ายในการสู้รบกับซาตาน และยังเป็นพระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนครอบครองของซาตานอย่างบริบูรณ์อีกด้วย  ความหมายเบื้องลึกของการพิชิตมนุษย์คือการที่รูปจำแลงของซาตาน—ซึ่งก็คือมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม—กลับคืนสู่พระผู้สร้างหลังจากที่เขาได้รับการพิชิต โดยเขาจะละทิ้งซาตานและกลับคืนสู่พระเจ้าโดยบริบูรณ์ผ่านทางการพิชิตนี้  ในหนทางนี้ มนุษย์จึงจะถูกช่วยให้รอดโดยบริบูรณ์  และดังนั้นพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจึงเป็นพระราชกิจสุดท้ายในการสู้รบกับซาตาน และเป็นช่วงระยะสุดท้ายในการบริหารจัดการของพระเจ้าเพื่อการทำให้ซาตานปราชัย  หากปราศจากพระราชกิจนี้ ความรอดอันบริบูรณ์ของมนุษย์ก็จะเป็นไปไม่ได้ในท้ายที่สุด ความพ่ายแพ้เอย่างหมดรูปของซาตานก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้เช่นเดียวกัน และมวลมนุษย์ก็จะไม่มีวันสามารถเข้าสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์ หรือเป็นอิสระจากอิทธิพลของซาตานได้  ผลพวงที่ตามมาคือ พระราชกิจแห่งการช่วยมนุษย์ให้รอดย่อมไม่สามารถสรุปปิดตัวได้ก่อนที่การสู้รบกับซาตานจะสรุปปิดตัว เพราะแก่นสำคัญของพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้านั้นเป็นไปเพื่อความรอดของมนุษย์  มวลมนุษย์ในยุคแรกสุดอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่เนื่องจากการทดลองและการทำให้เสื่อมทรามของซาตาน มนุษย์จึงถูกซาตานพันธนาการและตกอยู่ในมือของมารร้าย  ด้วยเหตุนี้ ซาตานจึงกลายเป็นเป้าหมายที่จะถูกทำให้ปราชัยในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  เนื่องจากซาตานถือครองมนุษย์ และเนื่องจากมนุษย์คือต้นทุนที่พระเจ้าทรงใช้ดำเนินการบริหารจัดการทั้งหมด หากมนุษย์จะได้รับการช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้ว เขาก็ต้องถูกฉวยกลับมาจากมือของซาตาน ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ต้องถูกนำกลับมาหลังจากที่ถูกซาตานจับไปเป็นเชลย  ด้วยเหตุนี้ ซาตานจึงต้องถูกทำให้ปราชัยโดยผ่านทางความเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยเก่าของมนุษย์ ความเปลี่ยนแปลงที่ฟื้นคืนสำนึกแห่งเหตุผลดั้งเดิมของมนุษย์  ในหนทางนี้ มนุษย์ที่ถูกจับเป็นเชลย จะสามารถถูกชิงกลับมาจากมือของซาตานได้  หากมนุษย์เป็นอิสระจากอิทธิพลและพันธนาการของซาตาน เช่นนั้นแล้ว ซาตานก็จะอับอาย มนุษย์จะถูกพากลับมาในท้ายที่สุด และซาตานก็จะปราชัย  และเนื่องจากมนุษย์เป็นอิสระจากอิทธิพลมืดของซาตาน มนุษย์จึงจะกลายเป็นรางวัลแห่งชัยชนะที่ได้มาจากการสู้รบทั้งหมดทั้งมวลนี้ และซาตานจะกลายเป็นเป้าหมายที่จะถูกลงโทษทันทีที่สงครามเสร็จสิ้น หลังจากนั้นพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ก็ย่อมจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 3

พระเจ้าไม่ทรงคิดร้ายต่อสิ่งมีชีวิตแห่งการทรงสร้าง พระองค์ทรงปรารถนาที่จะทำให้ซาตานปราชัยเท่านั้น  พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์—ไม่ว่าจะเป็นการตีสอนหรือการพิพากษา—มุ่งตรงไปที่ซาตาน ดำเนินไปเพื่อความรอดของมนุษย์ ทั้งหมดล้วนเป็นไปเพื่อที่จะทำให้ซาตานปราชัย และมีวัตถุประสงค์หนึ่งเดียวคือ เพื่อทำการสู้รบกับซาตานจนถึงที่สุด!  พระเจ้าจะไม่มีวันทรงหยุดพักจนกว่าพระองค์จะมีชัยชนะเหนือซาตาน!  พระองค์จะทรงหยุดพักต่อเมื่อพระองค์ทรงทำให้ซาตานปราชัยแล้วเท่านั้น  เนื่องจากพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำนั้นมุ่งตรงไปที่ซาตาน และเนื่องจากพวกที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามล้วนอยู่ภายใต้การควบคุมแห่งแดนครอบครองของซาตาน และมีชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของซาตานกันทั้งสิ้น หากไม่มีการสู้รบกับซาตานและแตกหักกับมัน ซาตานก็จะไม่คลายมือของมันจากผู้คนเหล่านี้ และพวกเขาย่อมจะไม่สามารถได้รับการรับไว้  หากพวกเขาไม่ได้รับการรับไว้ ก็ย่อมจะพิสูจน์ว่าซาตานยังมิได้ถูกทำให้ปราชัย ว่ามันยังมิได้ถูกกำราบ  และดังนั้นในแผนการบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้า ในระหว่างช่วงระยะแรกพระองค์จึงทรงพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ ในระหว่างช่วงระยะที่สองพระองค์ก็ทรงพระราชกิจแห่งยุคพระคุณ นั่นคือ พระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขน และในระหว่างช่วงระยะที่สามพระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการพิชิตมวลมนุษย์  พระราชกิจทั้งหมดนี้มุ่งตรงไปที่ขอบข่ายของความเสื่อมทรามที่ซาตานได้ทำไว้กับมวลมนุษย์ ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปเพื่อทำให้ซาตานปราชัย และทุกช่วงระยะก็เป็นไปเพื่อการทำให้ซาตานปราชัย  แก่นแท้แห่งพระราชกิจบริหารจัดการ 6,000 ปีของพระเจ้าคือการสู้รบกับพญานาคใหญ่สีแดง และพระราชกิจแห่งการจัดการมวลมนุษย์ยังเป็นพระราชกิจแห่งการทำให้ซาตานปราชัย พระราชกิจแห่งการสู้รบกับซาตานอีกด้วย  พระเจ้าได้ทรงสู้รบมาเป็นเวลา 6,000 ปี และด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงพระราชกิจมาเป็นเวลา 6,000 ปี เพื่อท้ายที่สุดจะได้ทรงนำมนุษย์ไปสู่อาณาจักรใหม่  เมื่อซาตานปราชัยแล้ว มนุษย์จะเป็นอิสระโดยบริบูรณ์  นี่มิใช่ทิศทางแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้หรอกหรือ?  นี่คือทิศทางของพระราชกิจในวันนี้อย่างแน่นอน กล่าวคือ การปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระโดยบริบูรณ์ เพื่อให้เขาไม่ตกอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆ หรือถูกจำกัดโดยข้อผูกมัดหรือข้อห้ามใดๆ  พระราชกิจทั้งหมดนี้กระทำไปอย่างสอดคล้องกับวุฒิภาวะของพวกเจ้า และสอดคล้องกับความต้องการของพวกเจ้า ซึ่งหมายความว่าพวกเจ้าได้รับการจัดเตรียมเป็นสิ่งใดก็ตามที่พวกเจ้าสามารถสำเร็จลุล่วงได้  นี่ไม่ใช่ “การต้อนเป็ดขึ้นคอน” ไม่ใช่การบังคับให้พวกเจ้าทำสิ่งใด พระราชกิจทั้งหมดนี้ดำเนินไปโดยสอดคล้องกับความต้องการที่แท้จริงของพวกเจ้าต่างหาก  พระราชกิจแต่ละช่วงระยะดำเนินไปตามความต้องการและข้อพึงประสงค์ที่แท้จริงของมนุษย์ พระราชกิจแต่ละช่วงระยะเป็นไปเพื่อการทำให้ซาตานปราชัย  ในข้อเท็จจริงแล้ว ในปฐมกาลไม่มีกำแพงระหว่างพระผู้สร้างกับสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์  ซาตานเป็นผู้ก่อให้เกิดสิ่งกีดขวางทั้งหมดนี้ขึ้น  มนุษย์กลับกลายเป็นไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสสิ่งใดได้ก็เพราะซาตานรบกวนและทำให้เขาเสื่อมทราม  มนุษย์คือเหยื่อ เป็นผู้ที่ถูกหลอกลวง  ทันทีที่ซาตานปราชัย สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหลายจะได้เห็นพระผู้สร้าง และพระผู้สร้างจะทรงมองไปยังสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสามารถนำทางพวกเขาด้วยพระองค์เอง  นี่เท่านั้นคือชีวิตที่มนุษย์ควรมีบนแผ่นดินโลก  และดังนั้นพระราชกิจของพระเจ้าโดยพื้นฐานแล้วจึงเป็นไปเพื่อทำให้ซาตานปราชัย และครั้นซาตานปราชัยแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะได้รับการแก้ไข

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 4

พระราชกิจแห่งแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้ากระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง  ช่วงระยะแรก—ซึ่งเป็นการทรงสร้างโลก—กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง และหากมิได้เป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ ก็จะไม่มีผู้ใดสามารถสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา ช่วงระยะที่สองคือการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ซึ่งกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เองเช่นกัน ช่วงระยะที่สามนั้นไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า มีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นไปอีกที่บทอวสานแห่งพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้าต้องกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง  พระราชกิจแห่งการไถ่ การพิชิต การรับไว้ และการทำให้มวลมนุษย์ทั้งปวงมีความเพียบพร้อมล้วนดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เองทั้งสิ้น  หากพระองค์มิได้ทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ย่อมไม่สามารถเป็นตัวแทนแห่งอัตลักษณ์ของพระองค์ได้ และมนุษย์ก็ไม่สามารถทำพระราชกิจของพระองค์ได้  พระองค์ทรงนำทางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง ก็เพื่อทำให้ซาตานปราชัย เพื่อรับมวลมนุษย์เอาไว้ และเพื่อประทานชีวิตที่ปกติบนแผ่นดินโลกแก่มนุษย์ พระองค์ต้องทรงพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เอง เพื่อแผนการบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์ และเพื่อพระราชกิจทั้งปวงของพระองค์  หากมนุษย์เชื่อเพียงว่าพระเจ้าเสด็จมาเพื่อที่มนุษย์อาจมองเห็นพระองค์ เพื่อทำให้มนุษย์มีความสุขเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อเช่นนี้ย่อมไร้คุณค่า ไร้ความสำคัญ  ความเข้าใจของมนุษย์นั้นผิวเผินเกินไป!  พระเจ้าจะสามารถทำพระราชกิจนี้อย่างถ้วนทั่วและอย่างบริบูรณ์ได้ก็โดยการดำเนินพระราชกิจนี้ด้วยพระองค์เองเท่านั้น  มนุษย์ไม่สามารถทำพระราชกิจนี้แทนพระเจ้าได้  เนื่องจากเขาไม่มีอัตลักษณ์ของพระเจ้าหรือแก่นแท้ของพระองค์ เขาจึงไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้า และต่อให้มนุษย์ได้ทำพระราชกิจนี้ ก็ย่อมจะไม่เกิดผลใดๆ  ครั้งแรกที่พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้นเป็นไปเพื่อการไถ่ เพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดจากบาป เพื่อทำให้มนุษย์สามารถได้รับการชำระให้สะอาดและได้รับการยกโทษสำหรับบาปของเขา  พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยก็ดำเนินไปท่ามกลางมนุษย์โดยพระเจ้าด้วยพระองค์เองเช่นกัน  ในระหว่างช่วงระยะนี้หากพระเจ้าตรัสแต่คำเผยพระวจนะ เช่นนั้นแล้วก็อาจหาผู้เผยพระวจนะหรือใครบางคนที่มีพรสวรรค์มาแทนที่พระองค์ได้ หากมีแต่การกล่าวคำเผยพระวจนะเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็สามารถทำการแทนพระเจ้าได้  กระนั้นหากมนุษย์พยายามทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองด้วยตัวของเขาเองและพยายามปรับปรุงชีวิตของมนุษย์ ก็ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำงานนี้  พระราชกิจนี้ต้องกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง กล่าวคือ พระเจ้าต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เองเพื่อทรงพระราชกิจนี้  ในยุคพระวจนะ หากมีแต่การกล่าวคำเผยพระวจนะ เช่นนั้นแล้วก็สามารถหาตัวอิสยาห์หรือเอลียาห์ ผู้เผยพระวจนะ มาทำงานนี้ และย่อมไม่มีความจำเป็นที่พระเจ้าพระองค์เองจะต้องทรงทำเช่นนั้นด้วยพระองค์เอง  เนื่องจากพระราชกิจที่ทำในช่วงระยะนี้มิใช่เพียงการตรัสคำเผยพระวจนะเท่านั้น และเพราะมีความสำคัญมากขึ้นที่จะต้องใช้พระราชกิจแห่งพระวจนะมาพิชิตมนุษย์และทำให้ซาตานปราชัย พระราชกิจนี้จึงไม่สามารถกระทำโดยมนุษย์ได้ และต้องกระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองด้วยพระองค์เอง  ในยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ได้ทรงพระราชกิจในส่วนของพระองค์ ซึ่งหลังจากนั้นพระองค์ก็ตรัสพระวจนะบางประการและทรงพระราชกิจบางประการโดยผ่านทางบรรดาผู้เผยพระวจนะ  นั่นเป็นเพราะมนุษย์สามารถทำพระราชกิจของพระยาห์เวห์แทนพระองค์ได้ และบรรดาผู้ทำนายสามารถทำนายสิ่งทั้งหลาย  และตีความความฝันบางอย่างในนามของพระองค์ได้  พระราชกิจที่กระทำในปฐมกาลมิใช่พระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของมนุษย์โดยตรง และไม่เกี่ยวข้องกับบาปของมนุษย์ และประสงค์เพียงให้มนุษย์ยึดปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเท่านั้น  ดังนั้นพระยาห์เวห์จึงมิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และมิได้เผยพระองค์เองแก่มนุษย์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์กลับตรัสแก่โมเสสและคนอื่นๆ โดยตรง ทรงทำให้พวกเขาพูดและทำงานแทนพระองค์ และเป็นเหตุให้พวกเขาทำงานท่ามกลางมวลมนุษย์โดยตรง  พระราชกิจช่วงระยะแรกของพระเจ้าคือการนำทางมนุษย์  เป็นการเริ่มต้นของการสู้รบกับซาตาน แต่การสู้รบนี้ยังมิได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ  สงครามอย่างเป็นทางการกับซาตานเริ่มขึ้นด้วยการที่พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์เป็นครั้งแรก และต่อเนื่องมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้  การสู้รบครั้งแรกในสงครามนี้คือเมื่อพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน  การตรึงพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์บนกางเขนทำให้ซาตานปราชัย และเป็นช่วงระยะที่ประสบความสำเร็จเป็นครั้งแรกในสงคราม  เมื่อพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์เริ่มทรงปรับปรุงชีวิตของมนุษย์โดยตรง นี่จึงเป็นการเริ่มต้นอย่างเป็นทางการของพระราชกิจแห่งการได้มนุษย์กลับคืนมา และเนื่องจากนี่คือพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเก่าๆ ของมนุษย์ จึงเป็นพระราชกิจแห่งการสู้รบกับซาตาน  พระราชกิจช่วงระยะที่พระยาห์เวห์ทำในปฐมกาลเป็นเพียงการนำทางชีวิตบนแผ่นดินโลกของมนุษย์เท่านั้น  เป็นการเริ่มต้นพระราชกิจของพระเจ้า และถึงแม้ว่ายังมิได้เกี่ยวข้องกับการสู้รบใดๆ หรืองานใหญ่ใดๆ พระราชกิจช่วงระยะนั้นก็ได้วางรากฐานให้แก่พระราชกิจแห่งการสู้รบที่จะมาถึง  ต่อมาพระราชกิจช่วงระยะที่สองในระหว่างยุคพระคุณมีการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเก่าๆ ของมนุษย์อยู่ด้วย ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าพระองค์เองได้ทรงปรับปรุงชีวิตมนุษย์ขึ้นมา  การนี้ต้องกระทำโดยพระเจ้าด้วยพระองค์เอง กล่าวคือ การนี้จำเป็นที่พระเจ้าจะต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง หากพระองค์มิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็ไม่มีผู้ใดอีกแล้วที่สามารถแทนพระองค์ในพระราชกิจช่วงระยะนี้ได้ เพราะเป็นพระราชกิจแห่งการต่อสู้กับซาตานโดยตรง  หากมนุษย์ได้ทำงานนี้แทนพระเจ้า เมื่อมนุษย์ยืนอยู่ต่อหน้าซาตาน ซาตานย่อมจะไม่นบนอบ และคงจะไม่มีทางทำให้มันปราชัยได้  จำต้องเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่เสด็จมาปราบมัน เพราะแก่นแท้ของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ยังคงเป็นพระเจ้าอยู่ พระองค์ยังคงเป็นชีวิตของมนุษย์ และพระองค์ยังคงเป็นพระผู้สร้าง ไม่ว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นก็ตาม อัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง  และดังนั้นพระองค์จึงทรงยอมรับเนื้อหนังและทรงพระราชกิจเพื่อทำให้ซาตานนบนอบโดยบริบูรณ์ ระหว่างช่วงระยะของพระราชกิจในยุคสุดท้าย หากมนุษย์ได้ทำพระราชกิจนี้และถูกทำให้ต้องกล่าวพระวจนะโดยตรง เช่นนั้นแล้ว เขาย่อมจะไม่สามารถกล่าวพระวจนะได้ และหากมีการกล่าวคำเผยพระวจนะออกไป เช่นนั้นแล้ว คำเผยพระวจนะนี้ก็จะไม่สามารถพิชิตมนุษย์ได้  พระเจ้าเสด็จมาเพื่อทำให้ซาตานปราชัยและทำให้มันนบนอบโดยบริบูรณ์ด้วยการทรงยอมรับเนื้อหนัง  เมื่อพระองค์ทรงปราบซาตานได้อย่างราบคาบ พิชิตมนุษย์ได้อย่างเต็มที่ และได้มนุษย์มาโดยบริบูรณ์ พระราชกิจช่วงระยะนี้ก็จะเสร็จสมบูรณ์และสัมฤทธิ์ผลสำเร็จ  ในการบริหารจัดการของพระเจ้านั้น มนุษย์ไม่สามารถทำการแทนพระเจ้าได้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระราชกิจแห่งการนำทางยุคและเปิดตัวพระราชกิจใหม่ยิ่งจำเป็นต้องให้พระเจ้าพระองค์เองทรงทำด้วยพระองค์เองมากขึ้นไปอีก  มนุษย์สามารถมอบวิวรณ์แก่มนุษย์และจัดเตรียมคำเผยพระวจนะให้แก่มนุษย์ได้ แต่หากเป็นพระราชกิจที่พระเจ้าต้องทำด้วยพระองค์เอง พระราชกิจแห่งการสู้รบระหว่างพระเจ้าพระองค์เองกับซาตาน เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็ไม่สามารถทำพระราชกิจนี้ได้  ในระหว่างช่วงระยะแรกของพระราชกิจที่ไม่มีการสู้รบกับซาตาน พระยาห์เวห์ได้ทรงนำทางประชาชนชาวอิสราเอลด้วยพระองค์เองโดยใช้คำเผยพระวจนะที่ผู้เผยพระวจนะเป็นคนกล่าว  หลังจากนั้นช่วงระยะที่สองของพระราชกิจเป็นการสู้รบกับซาตาน และพระเจ้าพระองค์เองทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เอง และเสด็จเข้าสู่เนื้อหนังเพื่อทรงพระราชกิจนี้  สิ่งใดก็ตามที่เกี่ยวข้องกับการสู้รบกับซาตานย่อมเกี่ยวข้องกับการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าไปด้วย ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ไม่สามารถทำศึกนี้ได้  หากมนุษย์ได้สู้รบ เขาย่อมจะไม่สามารถทำให้ซาตานปราชัย  เขาจะมีพละกำลังไปต่อสู้กับมันได้อย่างไรในเมื่อยังคงอยู่ภายใต้แดนครอบครองของมัน?  มนุษย์อยู่ตรงกลาง กล่าวคือ หากเจ้าเอนเอียงไปหาซาตาน เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นของซาตาน แต่หากเจ้าทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็เป็นของพระเจ้า  หากมนุษย์ได้ลองทำการแทนพระเจ้าในพระราชกิจแห่งการสู้รบนี้ เขาจะสามารถทำได้หรือไม่?  หากเขาได้ลองทำเช่นนั้น เขาจะไม่พินาศไปนานแล้วหรอกหรือ?  เขาจะไม่เข้าสู่แดนคนตายไปนานแล้วหรอกหรือ?  ดังนั้นมนุษย์จึงไม่สามารถแทนที่พระเจ้าในพระราชกิจของพระองค์ได้ ซึ่งหมายความว่ามนุษย์ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้า และหากเจ้าสู้รบกับซาตาน เจ้าย่อมจะไม่สามารถทำให้มันปราชัยได้  มนุษย์สามารถทำงานได้บางอย่างเท่านั้น เขาสามารถชนะใจผู้คนบางคนได้ แต่เขาไม่สามารถทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองแทนพระเจ้าได้  มนุษย์จะสามารถสู้รบกับซาตานได้อย่างไร?  ซาตานคงจะจับเจ้าเป็นเชลยก่อนที่เจ้าจะได้เริ่มต้นด้วยซ้ำ  มีเพียงเมื่อพระเจ้าพระองค์เองทรงสู้รบกับซาตานและมนุษย์ติดตามและเชื่อฟังพระเจ้าบนพื้นฐานนี้เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าและหนีพ้นพันธนาการของซาตาน  สิ่งที่มนุษย์สามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยปัญญาและความสามารถของเขาเองนั้นมีจำกัดเต็มที เขาไม่สามารถทำให้มนุษย์ครบบริบูรณ์ ไม่สามารถนำทางมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่สามารถทำให้ซาตานปราชัย  เชาวน์ปัญญาและสติปัญญาของมนุษย์ไม่สามารถสกัดกั้นกลอุบายของซาตานได้ ดังนั้นมนุษย์จะสามารถสู้รบกับมันได้อย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การฟื้นฟูชีวิตที่ปกติของมนุษย์และการนำมนุษย์ไปสู่บั้นปลายอันน่าอัศจรรย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 5

พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์แบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ  ทั้งสามช่วงระยะนี้ไม่รวมถึงพระราชกิจแห่งการสร้างโลก แต่น่าจะเป็นพระราชกิจสามช่วงระยะของยุคธรรมบัญญัติ ยุคพระคุณ และยุคแห่งราชอาณาจักรมากกว่า  พระราชกิจแห่งการสร้างโลกได้เป็นพระราชกิจแห่งการสร้างมวลมนุษย์ทั้งปวง  นั่นไม่ได้เป็นพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และไม่มีความเกี่ยวพันใดๆ กับพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เพราะเมื่อครั้งที่โลกได้ถูกสร้างขึ้นนั้น มวลมนุษย์ยังไม่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และดังนั้นจึงไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์  พระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้เริ่มต้นขึ้นก็เมื่อมวลมนุษย์ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้วเท่านั้น และดังนั้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ก็ได้เริ่มต้นขึ้นเมื่อมวลมนุษย์ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามแล้วเท่านั้นเช่นกัน  กล่าวอีกนัยหนึ่ง การบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้าได้เริ่มต้นขึ้นโดยเป็นผลของพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และไม่ได้ก่อเกิดจากพระราชกิจแห่งการสร้างโลก  เป็นหลังจากที่มวลมนุษย์ได้รับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแล้วเท่านั้น พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการจึงได้เริ่มปรากฏขึ้น และดังนั้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์จึงมีสามส่วนด้วยกัน แทนที่จะเป็นสี่ช่วงระยะ หรือสี่ยุค  วิธีนี้เท่านั้นที่เป็นวิธีที่ถูกต้องในการอ้างอิงถึงการบริหารจัดการมวลมนุษย์ของพระเจ้า  เมื่อยุคสุดท้ายมาถึงปลายทาง พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ก็จะได้มาถึงบทอวสานที่ครบบริบูรณ์แล้ว  บทสรุปปิดตัวของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการหมายความว่าพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอดจะได้รับการทำให้เสร็จสิ้นอย่างครบบริบูรณ์แล้ว และหมายความว่าระยะนี้จะได้สรุปปิดตัวแล้วนับตั้งแต่นั้นมา  หากปราศจากพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอดแล้ว พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ก็คงจะไม่ดำรงอยู่ และก็คงจะไม่มีพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนั้น  เป็นเพราะความต่ำทรามของมวลมนุษย์นั่นเอง และเพราะมวลมนุษย์ได้ต้องการความรอดอย่างเร่งด่วนเช่นนี้นั่นเอง พระยาห์เวห์จึงได้ทรงสรุปปิดตัวการสร้างโลก และได้ทรงเริ่มต้นพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์จึงได้เริ่มต้นขึ้น ซึ่งหมายความว่าเมื่อนั้นเท่านั้นที่พระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้เริ่มต้นขึ้น  “การบริหารจัดการมวลมนุษย์” ไม่ได้หมายถึงการนำชีวิตของมวลมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นใหม่บนแผ่นดินโลก (กล่าวคือ มวลมนุษย์ที่ยังไม่ได้ถูกทำให้เสื่อมทราม)  ตรงกันข้าม เป็นความรอดของมวลมนุษย์ที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามแล้ว กล่าวคือ เป็นการแปลงสภาพมวลมนุษย์อันเสื่อมทรามนี้นั่นเอง  นี่คือความหมายของ “การบริหารจัดการมวลมนุษย์”  พระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดไม่รวมถึงพระราชกิจแห่งการสร้างโลก และดังนั้นพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ก็ไม่รวมถึงพระราชกิจแห่งการสร้างโลกเช่นกัน แต่กลับรวมถึงพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะที่แยกจากการสร้างโลกเท่านั้น  เพื่อให้เข้าใจพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการมวลมนุษย์ จำเป็นที่จะต้องตระหนักรู้ถึงประวัติของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ—นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องตระหนักรู้เพื่อที่จะได้รับการช่วยให้รอด  ในฐานะสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า เจ้าควรระลึกว่ามนุษย์ถูกพระเจ้าทรงสร้างขึ้น และเจ้าควรระลึกถึงแหล่งที่มาของความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ และยิ่งกว่านั้น กระบวนการแห่งความรอดของมนุษย์  หากพวกเจ้าเพียงรู้วิธีปฏิบัติตัวโดยสอดคล้องกับคำสอนในความพยายามที่จะได้รับความโปรดปรานของพระเจ้า แต่ไม่มีความเฉลียวใจใดๆ เกี่ยวกับวิธีที่พระเจ้าทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด หรือเกี่ยวกับแหล่งที่มาของความเสื่อมทรามของมวลมนุษย์ เช่นนั้นแล้วนี่คือสิ่งที่เจ้าขาดไปในฐานะสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า  เจ้าไม่ควรพึงพอใจกับแค่การเข้าใจความจริงเหล่านั้นที่สามารถนำไปฝึกฝนปฏิบัติได้เท่านั้น ในขณะที่ยังคงไม่รู้เท่าทันถึงวงเขตที่กว้างขึ้นของพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้า—หากเป็นเช่นนี้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็หัวดื้อเกินไป  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือเรื่องราวเบื้องหลังของการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า การถือกำเนิดของข่าวประเสริฐแห่งโลกทั้งหมดทั้งมวล ข้อล้ำลึกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งปวง และพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะยังเป็นรากฐานของการเผยแผ่ข่าวประเสริฐอีกด้วย  หากเจ้าเพียงมุ่งเน้นที่การเข้าใจความจริงที่เรียบง่ายซึ่งเกี่ยวพันกับชีวิตของเจ้า และไม่รู้สิ่งใดเลยในการนี้ ซึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดในข้อล้ำลึกและนิมิตต่างๆ ทั้งหมด เช่นนั้นแล้วชีวิตของเจ้าจะไม่ละม้ายคล้ายผลิตภัณฑ์ที่มีตำหนิ ใช้อะไรไม่ได้นอกจากเอาไว้ดูเล่นหรอกหรือ?

หากมนุษย์จดจ่อกับการปฏิบัติเท่านั้น และเห็นพระราชกิจของพระเจ้าและสิ่งที่มนุษย์ควรรู้เป็นเรื่องรอง นี่ไม่ใช่การที่เขาเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายหรอกหรือ?  เจ้าต้องรู้สิ่งที่เจ้าต้องรู้ สิ่งที่เจ้าต้องนำไปปฏิบัติ เจ้าก็ต้องนำไปปฏิบัติ  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นใครบางคนที่รู้วิธีไล่ตามเสาะหาความจริง  เมื่อวันที่เจ้าจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐมาถึง หากเจ้าเพียงมีความสามารถที่จะพูดได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ยิ่งใหญ่และชอบธรรม ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าสูงสุด พระเจ้าองค์หนึ่งที่ไม่มีมนุษย์ผู้ยิ่งใหญ่ใดๆ สามารถเปรียบเทียบได้ และว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องบน… หากเจ้าเพียงสามารถพูดคำพูดที่ไม่ตรงประเด็นและผิวเผินเหล่านี้ได้ในขณะที่ไม่สามารถพูดคำพูดที่มีความสำคัญอย่างยิ่งและมีสาระสำคัญได้อย่างเด็ดขาด หากเจ้าไม่มีสิ่งใดจะพูดเกี่ยวกับการรู้จักพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ไม่สามารถอธิบายความจริง หรือจัดเตรียมสิ่งที่ขาดไปในมนุษย์ได้ เช่นนั้นแล้วใครบางคนเช่นเจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองได้ดี  การเป็นคำพยานต่อพระเจ้าและการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักรไม่ใช่เรื่องเรียบง่ายแต่อย่างใด  ก่อนอื่นเจ้าต้องตระเตรียมให้พร้อมด้วยความจริง และนิมิตต่างๆ ที่ต้องเข้าใจติดตัวไว้  เมื่อเจ้ามีความชัดเจนเกี่ยวกับนิมิตต่างๆ และความจริงของแง่มุมต่างๆ ของพระราชกิจของพระเจ้า และเจ้าก็จะมารู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในหัวใจของเจ้า และโดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ—ไม่ว่าจะเป็นการพิพากษาอันชอบธรรมหรือกระบวนการถลุงของมนุษย์—เจ้ามีนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเป็นรากฐานของเจ้า และเจ้ามีความจริงที่ถูกต้องที่จะนำไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงบทอวสานได้  เจ้าต้องรู้ว่าไม่ว่าพระองค์ทรงพระราชกิจอะไรก็ตาม จุดมุ่งหมายของพระราชกิจของพระเจ้าไม่เปลี่ยนแปลง หัวใจของพระราชกิจของพระองค์ไม่เปลี่ยนแปลง และน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง  ไม่สำคัญว่าพระวจนะของพระองค์จะรุนแรงเพียงใด ไม่สำคัญว่าสภาพแวดล้อมจะไม่เป็นใจเพียงใด หลักการของพระราชกิจของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง และเจตนารมณ์ของพระองค์ในการช่วยมนุษย์ให้รอดจะไม่เปลี่ยนแปลง  หากว่านั่นไม่ใช่พระราชกิจแห่งวิวรณ์ของบทอวสานของมนุษย์หรือบั้นปลายของมนุษย์ และไม่ใช่พระราชกิจแห่งระยะสุดท้าย หรือพระราชกิจแห่งการนำแผนการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้าไปสู่บทอวสาน และหากว่าเป็นระหว่างเวลาที่พระองค์ทรงพระราชกิจกับมนุษย์  เช่นนั้นแล้ว หัวใจของพระราชกิจของพระองค์ย่อมจะไม่เปลี่ยนแปลง  นั่นจะเป็นความรอดของมวลมนุษย์เสมอ  นี่ควรเป็นรากฐานของการที่พวกเจ้าเชื่อในพระเจ้า  จุดมุ่งหมายของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือความรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง—นี่หมายถึงความรอดที่ครบบริบูรณ์ของมนุษย์จากแดนครอบครองของซาตาน  แม้ว่าแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะจะมีวัตถุประสงค์และนัยสำคัญแตกต่างกัน แต่ละช่วงระยะก็เป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และแต่ละช่วงระยะก็เป็นพระราชกิจแห่งความรอดที่แตกต่างกัน ซึ่งดำเนินการโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของมวลมนุษย์  ทันทีที่เจ้าตระหนักรู้จุดมุ่งหมายของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะตระหนักรู้วิธีซึ้งคุณค่าในนัยสำคัญของแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจ และจะระลึกรู้วิธีปฏิบัติตัวเพื่อที่จะทำให้สมดังที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา  หากเจ้าสามารถไปถึงจุดนี้ได้ เช่นนั้นแล้วการนี้ นิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิมิตทั้งมวล ก็จะกลายเป็นรากฐานของการที่เจ้าเชื่อในพระเจ้า  เจ้าไม่ควรแสวงหาวิธีปฏิบัติง่ายๆ หรือความจริงที่ลึกล้ำเท่านั้น แต่ควรรวมนิมิตต่างๆ เข้ากับการปฏิบัติ เพื่อที่จะมีทั้งความจริงที่สามารถนำไปปฏิบัติได้และความรู้ที่มีพื้นฐานบนนิมิตต่างๆ  เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างครอบคลุม

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 6

พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะอยู่ที่ใจกลางของการบริหารจัดการทั้งปวงของพระเจ้า และในช่วงระยะเหล่านั้นมีการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  พวกที่ไม่รู้จักพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าไม่สามารถตระหนักถึงวิธีที่พระเจ้าทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่รู้จักพระปรีชาญาณแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  พวกเขายังคงไม่รู้เท่าทันวิธีมากมายที่พระองค์ทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และไม่รู้เท่าทันน้ำพระทัยของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ทั้งปวงอีกด้วย  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือการแสดงออกอย่างเต็มรูปแบบของพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  พวกที่ไม่รู้จักพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะจะไม่รู้เท่าทันวิธีการและหลักการต่างๆ ของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกที่ยึดมั่นอย่างเหนียวแน่นในคำสอนที่หลงเหลือจากพระราชกิจช่วงระยะใดช่วงระยะหนึ่งเท่านั้นคือผู้คนที่จำกัดพระเจ้าไว้กับคำสอน และการที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้านั้นคลุมเครือและไม่แน่นอน  ผู้คนเช่นนี้จะไม่มีวันได้รับความรอดของพระเจ้า  มีเพียงพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถแสดงออกได้อย่างเต็มที่ถึงพระอุปนิสัยที่ครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า และสามารถแสดงออกได้อย่างครบบริบูรณ์ถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้าที่จะทรงช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอด และกระบวนการแห่งความรอดของมวลมนุษย์ทั้งปวง  นี่เป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์ได้ทรงทำให้ซาตานพ่ายแพ้และทรงได้รับมนุษย์มาแล้ว เป็นข้อพิสูจน์ถึงชัยชนะของพระเจ้า และเป็นการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า  พวกที่เข้าใจเพียงหนึ่งช่วงระยะของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าเท่านั้นรู้จักเพียงส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์เป็นเรื่องง่ายที่ช่วงระยะเดียวนี้ของพระราชกิจจะกลายเป็นคำสอน และกลายเป็นน่าจะเป็นไปได้ว่ามนุษย์จะกำหนดกฎเกณฑ์ตายตัวเกี่ยวกับพระเจ้า และใช้ส่วนเดียวนี้ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าเป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า  นอกจากนี้จินตนาการส่วนมากของมนุษย์สับสนปนเปอยู่ภายใน จนถึงระดับที่มนุษย์เหนี่ยวรั้งพระอุปนิสัย การทรงอยู่ และพระปรีชาญาณของพระเจ้า ตลอดจนหลักการแห่งพระราชกิจของพระเจ้าอย่างเหนียวแน่นไว้ภายในข้อกำหนดต่างๆ ที่จำกัด โดยเชื่อว่าหากพระเจ้าได้ทรงเป็นเยี่ยงนี้หนึ่งครั้ง เช่นนั้นแล้วพระองค์จะยังคงทรงเหมือนเดิมตลอดเวลา และไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  เฉพาะพวกที่รู้จักและซึ้งคุณค่าในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเท่านั้นที่สามารถรู้จักพระเจ้าได้อย่างเต็มที่และแม่นยำ  อย่างน้อยที่สุดพวกเขาจะไม่นิยามพระเจ้าว่าเป็นพระเจ้าของคนอิสราเอล หรือพวกยิว และจะไม่เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งจะทรงถูกตอกตรึงกับกางเขนตลอดกาลเพื่อประโยชน์แห่งมนุษย์  หากคนเรามารู้จักพระเจ้าจากช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์เท่านั้น เช่นนั้นแล้วความรู้ของพวกเขาก็เล็กเกินไปมาก และมีปริมาณไม่มากกว่าน้ำหนึ่งหยดในมหาสมุทร  หาไม่แล้ว เหตุใดผู้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงทางศาสนามากมายจึงตอกตรึงพระเจ้ากับกางเขนขณะยังทรงพระชนม์อยู่เล่า?  ไม่ใช่เพราะมนุษย์จำกัดขอบเขตพระเจ้าไว้ภายในข้อกำหนดบางอย่างหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพราะพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจอันหลากหลายและแตกต่างกันของพระเจ้า และนอกจากนั้นเพราะพวกเขามีความรู้และคำสอนแค่หางอึ่งที่จะใช้ประเมินพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มิใช่หรือ?  แม้ว่าประสบการณ์ต่างๆ ของผู้คนเช่นนี้จะผิวเผิน แต่พวกเขาก็โอหังและหลงใหลในธรรมชาติ และพวกเขาคำนึงถึงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยการเหยียดหยาม เพิกเฉยต่อการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยิ่งกว่านั้นใช้ข้อโต้แย้งเก่าๆ ไร้สาระของพวกเขาเพื่อ “ยืนยัน” พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขายังเล่นละครตบตาอีกด้วย และหลงเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมในการเรียนรู้และความคงแก่เรียนของตัวเอง และหลงเชื่อมั่นว่าพวกเขามีความสามารถที่จะเดินทางข้ามโลกได้  ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พวกที่ถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดูหมิ่นและทรงปฏิเสธหรอกหรือ และพวกเขาจะไม่ถูกยุคใหม่ขับออกไปหรอกหรือ?  พวกที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและต่อต้านพระองค์อย่างเปิดเผย ไม่ใช่บุคคลน่าดูหมิ่นที่ไม่รู้เท่าทันและได้รับข่าวสารน้อยเกินไป ซึ่งเพียงกำลังพยายามอวดว่าพวกเขาหลักแหลมเพียงใดหรอกหรือ?  ด้วยความรู้เรื่องพระคัมภีร์เพียงน้อยนิด พวกเขาพยายามก่อจลาจลใน “สถาบันวิชาการ” ของโลก ด้วยคำสอนเพียงผิวเผินเพื่อใช้สอนผู้คน พวกเขาพยายามพลิกพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพยายามทำให้พระราชกิจหมุนรอบกระบวนการขบคิดของพวกเขาเอง  เพราะพวกเขามีสายตาสั้นพวกเขาจึงพยายามมองดู 6,000 ปีแห่งพระราชกิจของพระเจ้าด้วยการชำเลืองครั้งเดียว  ผู้คนเหล่านี้ไม่มีสำนึกรับรู้ที่มีค่าคู่ควรต่อการกล่าวถึงแต่อย่างใด!  อันที่จริงยิ่งผู้คนมีความรู้เรื่องพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งตัดสินพระราชกิจของพระองค์ช้าลงเท่านั้น  นอกจากนี้พวกเขาพูดถึงความรู้เรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้เพียงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้หุนหันพลันแล่นในการตัดสินของพวกเขา  ยิ่งผู้คนรู้เรื่องพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งโอหังและหลงตัวเองมากขึ้นเท่านั้น และพวกเขาก็ยิ่งประกาศการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าอย่างหยาบคายมากขึ้นเท่านั้น—กระนั้น พวกเขาก็พูดถึงทฤษฎีเท่านั้น และไม่เสนอหลักฐานจริงแท้ใดๆ  ผู้คนเช่นนี้ไม่มีค่าอะไรเลย  พวกที่เห็นว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเรื่องเล่นนั้นเป็นคนเหลาะแหละ!  พวกที่ไม่ระมัดระวังเมื่อพวกเขาเผชิญกับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้ซึ่งพูดมาก ด่วนตัดสิน ผู้ซึ่งให้อิสระเต็มที่แก่อารมณ์ของพวกเขาที่จะปฏิเสธความถูกต้องของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และผู้ซึ่งดูแคลนและหมิ่นประมาทพระราชกิจด้วยเช่นกัน—ผู้คนที่ขาดความเคารพเช่นนี้ไม่ได้ขาดความรู้เท่าทันต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรอกหรือ?  ยิ่งกว่านั้นพวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่โอหังอย่างหนัก ผู้คนที่ทะนงตนและไม่สามารถควบคุมได้โดยสันดานหรอกหรือ?  แม้ว่าสักวันหนึ่งจะมาถึงเมื่อผู้คนเช่นนี้ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าก็ยังคงไม่ทรงยอมผ่อนปรนต่อพวกเขา  พวกเขาไม่เพียงดูถูกพวกที่ทำงานเพื่อพระเจ้าเท่านั้น แต่พวกเขายังหมิ่นประมาทพระเจ้าพระองค์เองอีกด้วย  ผู้คนที่หมดหวังเช่นนี้จะไม่ได้รับการอภัย ทั้งในยุคนี้และในยุคที่จะมา และพวกเขาจะต้องพินาศในนรกตลอดกาล!  ผู้คนที่ขาดความเคารพและหลงระเริงเช่นนี้กำลังเสแสร้งทำเป็นเชื่อในพระเจ้า และยิ่งผู้คนเป็นเยี่ยงนี้มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะล่วงเกินประกาศกฤษฎีกาบริหารของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พวกคนโอหังเหล่านั้นผู้ซึ่งปราศจากการควบคุมแต่กำเนิด และผู้ซึ่งไม่เคยได้เชื่อฟังผู้ใด ต่างก็ไม่เดินบนเส้นทางนี้ทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกเขาไม่ต่อต้านพระเจ้าวันแล้ววันเล่า พระเจ้าผู้ทรงใหม่เสมอและทรงไม่มีวันเก่าหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 7

พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเป็นบันทึกของพระราชกิจอันครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเป็นบันทึกของการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้า และพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะไม่ใช่จินตภาพ  หากพวกเจ้าปรารถนาที่จะแสวงหาความรู้เรื่องพระอุปนิสัยทั้งปวงของพระเจ้าอย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องรู้จักพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะที่พระเจ้าทรงดำเนินการ และนอกจากนั้นเจ้าต้องไม่ยกเว้นช่วงระยะใด  นี่คือขั้นต่ำสุดที่พวกที่พยายามรู้จักพระเจ้าต้องสัมฤทธิ์ผล  มนุษย์เองไม่สามารถเสกสรรความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าได้  นี่ไม่ใช่บางสิ่งที่มนุษย์เองสามารถจินตนาการได้ และก็ไม่ได้เป็นผลสืบเนื่องของความโปรดปรานพิเศษของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานแก่บุคคลคนเดียว  ตรงกันข้ามเป็นความรู้ที่มาหลังจากมนุษย์ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว และเป็นความรู้เรื่องพระเจ้าที่มาหลังจากได้รับประสบการณ์กับข้อเท็จจริงของพระราชกิจของพระเจ้าแล้วเท่านั้น  ความรู้เช่นนี้ไม่สามารถได้มาอย่างง่ายดายได้ และไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถสอนกันได้  ความรู้นั้นทั้งหมดเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ส่วนตัว  การช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระเจ้าอยู่ที่แกนกลางของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้ กระนั้นภายในพระราชกิจแห่งความรอดนั้นได้รวมวิธีการทำงานหลายวิธีและวิถีทางมากหลายที่ใช้เพื่อแสดงออกถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ยากที่สุดสำหรับมนุษย์ที่จะระบุ และสิ่งนี้นี่เองที่ยากสำหรับมนุษย์ที่จะเข้าใจ  การแยกยุคต่างๆ การเปลี่ยนแปลงในพระราชกิจของพระเจ้า การเปลี่ยนแปลงในตำแหน่งแห่งหนของพระราชกิจ การเปลี่ยนแปลงในผู้รับของพระราชกิจนี้ และอื่นๆ—สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดรวมอยู่ในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งความแตกต่างในวิธีทรงพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ตลอดจนการปรับเปลี่ยนในพระอุปนิสัย พระฉายา พระนาม พระอัตลักษณ์ หรือการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ของพระเจ้า ทั้งหมดล้วนเป็นส่วนหนึ่งของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  ช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจสามารถเป็นตัวแทนส่วนหนึ่งเท่านั้น และถูกจำกัดอยู่ภายในขอบเขตหนึ่ง  มันไม่เกี่ยวข้องกับการแยกยุคต่างๆ หรือการเปลี่ยนแปลงในพระราชกิจของพระเจ้า นับประสาอะไรกับแง่มุมอื่นๆ  นี่คือข้อเท็จจริงที่เห็นได้ชัดอย่างแจ่มแจ้ง  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมวลมนุษย์ให้รอด  มนุษย์ต้องรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าและพระอุปนิสัยของพระเจ้าในพระราชกิจแห่งความรอด หากปราศจากข้อเท็จจริงนี้ความรู้เรื่องพระเจ้าของเจ้าจะไม่ได้ประกอบด้วยอะไรเลยนอกจากคำพูดกลวงๆ ไม่มีอะไรมากไปกว่าการทำหน้าที่พระสังฆราชจากเก้าอี้เท้าแขน  ความรู้เช่นนี้ไม่สามารถโน้มน้าวหรือพิชิตมนุษย์ได้ มันขัดแย้งกับความเป็นจริง และไม่ใช่ความจริง  ความรู้เช่นนี้อาจมีอยู่อย่างอุดมและไพเราะเสนาะหู แต่หากมันขัดแย้งกับพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็จะไม่ละเว้นเจ้า  ไม่เพียงแต่พระองค์จะไม่ทรงชมเชยความรู้ของเจ้า แต่พระองค์จะทรงทำการลงทัณฑ์เจ้าที่เป็นคนบาปที่ได้หมิ่นประมาทพระองค์ด้วยเช่นกัน  คำพูดแห่งการรู้จักพระเจ้าไม่ได้ถูกพูดพล่อยๆ  แม้ว่าเจ้าอาจจะกะล่อนและพูดโน้มน้าวเก่ง และแม้ว่าคำพูดของเจ้าจะฉลาดเสียจนเจ้าสามารถโต้เถียงให้ดำกลายเป็นขาวและให้ขาวกลายเป็นดำได้ เจ้าก็ยังคงไม่รู้อะไรเลยแม้แต่น้อยถ้าพูดถึงความรู้เรื่องพระเจ้า  พระเจ้าไม่ใช่ใครบางคนที่เจ้าสามารถตัดสินอย่างบุ่มบ่ามหรือสรรเสริญอย่างลวกๆ หรือใส่ร้ายด้วยความเฉยเมยได้  เจ้าสรรเสริญใครต่อใครและทุกคน กระนั้นเจ้าก็ดิ้นรนเพื่อค้นหาคำพูดที่ถูกต้องเพื่อบรรยายพระคุณสูงสุดของพระเจ้า—นี่คือสิ่งที่ผู้แพ้ทุกคนมาตระหนักถึง  แม้จะมีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษามากมายที่สามารถพรรณนาพระเจ้าได้ แต่ความถูกต้องแม่นยำของสิ่งที่พวกเขาพรรณนานั้นเป็นเพียงหนึ่งส่วนร้อยของความจริงที่ถูกพูดโดยผู้คนที่เป็นของพระเจ้า ผู้คนที่มีประสบการณ์อันอุดมซึ่งนำมาใช้ได้ทันที แม้ว่าจะมีเพียงคำศัพท์ที่จำกัด  ดังนั้นจะเห็นได้ว่าความรู้เรื่องพระเจ้านั้นตั้งอยู่ในความถูกต้องแม่นยำและความเป็นจริง และไม่ได้ตั้งอยู่ในการใช้คำอย่างเฉลียวฉลาดหรือคำศัพท์มากมาย และจะเห็นได้ว่าความรู้ของมนุษย์และความรู้เรื่องพระเจ้านั้นไม่เกี่ยวข้องกันอย่างสิ้นเชิง  บทเรียนแห่งการรู้จักพระเจ้านั้นสูงส่งกว่าวิทยาศาสตร์ธรรมชาติใดๆ ของมวลมนุษย์  เป็นบทเรียนที่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยคนจำนวนน้อยมากอย่างที่สุดที่พยายามรู้จักพระเจ้าเท่านั้น และไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยบุคคลใดก็ตามที่มีความสามารถพิเศษ  ดังนั้นพวกเจ้าต้องไม่มองการรู้จักพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงราวกับว่าเป็นสิ่งที่เด็กน้อยคนหนึ่งก็สามารถสัมฤทธิ์ผลได้  บางทีเจ้าอาจได้ประสบความสำเร็จอย่างครบบริบูรณ์ในชีวิตครอบครัวของเจ้า หรือในอาชีพของเจ้า หรือในการสมรสของเจ้า แต่ถ้าพูดถึงความจริงและบทเรียนแห่งการรู้จักพระเจ้า เจ้าก็ไม่มีอะไรจะอวดสำหรับตัวเจ้าเอง และเจ้าไม่ได้สัมฤทธิ์ผลอะไรเลย  อาจกล่าวได้ว่าการนำความจริงไปปฏิบัตินั้นลำบากยากเย็นอย่างมากสำหรับพวกเจ้า และการรู้จักพระเจ้ายิ่งเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าเสียอีก  นี่คือความลำบากยากเย็นของพวกเจ้า และนี่ก็เป็นความลำบากยากเย็นที่มวลมนุษย์ทั้งปวงเผชิญหน้าเช่นกัน  ท่ามกลางพวกที่ได้มีการสัมฤทธิ์ผลอยู่บ้างในสาเหตุของการรู้จักพระเจ้า แทบจะไม่มีใครสักคนที่ได้มาตรฐาน  มนุษย์ไม่รู้ว่าการรู้จักพระเจ้าหมายความว่าอะไร หรือเหตุใดจึงจำเป็นต้องรู้จักพระเจ้า หรือคนเราจะต้องบรรลุถึงระดับใดเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ทำให้มวลมนุษย์สับสนเหลือเกิน และเป็นปริศนาที่ใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ได้เผชิญหน้าอย่างแน่นอนมาก—ไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้ได้ อีกทั้งไม่มีใครเต็มใจที่จะตอบคำถามนี้ เพราะจนถึงบัดนี้ไม่มีแม้สักคนท่ามกลางมวลมนุษย์ที่ได้มีความสำเร็จใดๆ ในการศึกษาพระราชกิจนี้  บางทีเมื่อปริศนาแห่งพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะได้รับการทำให้เป็นที่รู้จักแก่มวลมนุษย์แล้ว ก็จะมีผู้คนที่มีความสามารถพิเศษกลุ่มหนึ่งซึ่งรู้จักพระเจ้าปรากฏขึ้นตามมาติดๆ  แน่นอนว่าเราหวังว่าจะเป็นเช่นนั้นจริง และนอกจากนั้นเราก็อยู่ในระหว่างการดำเนินงานนี้ และหวังจะได้เห็นการปรากฏของผู้คนที่มีความสามารถพิเศษเช่นนี้มากขึ้นในอนาคตอันใกล้  พวกเขาจะกลายเป็นพวกที่เป็นคำพยานต่อข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้ และแน่นอนว่าพวกเขาจะเป็นพวกแรกที่เป็นคำพยานต่อพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้อีกด้วย  แต่ไม่มีอะไรจะน่าเศร้าหมองและน่าเสียใจกว่าการที่ผู้คนที่มีความสามารถพิเศษเช่นนี้ไม่ปรากฏขึ้นในวันที่พระราชกิจของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน หรือการที่มีผู้คนดังกล่าวเพียงหนึ่งหรือสองคนที่ได้ยอมรับด้วยตัวเองให้พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อม  อย่างไรก็ตามนี่เป็นเพียงฉากสมมุติกรณีที่เลวร้ายที่สุด  ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดก็ตาม เรายังคงหวังว่าพวกที่ไล่ตามเสาะหาอย่างแท้จริงจะสามารถได้รับพรนี้  ตั้งแต่ปฐมกาลมาแล้วไม่เคยได้มีพระราชกิจเฉกเช่นนี้มาก่อนเลย การดำเนินการเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์แห่งการพัฒนาของมนุษย์  หากเจ้าสามารถกลายเป็นหนึ่งในคนกลุ่มแรกที่รู้จักพระเจ้าอย่างแท้จริงได้ นี่จะไม่ใช่เกียรติสูงสุดท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งมวลหรอกหรือ?  จะมีสิ่งทรงสร้างใดหรือไม่ท่ามกลางมวลมนุษย์ได้รับการชมเชยมากขึ้นจากพระเจ้า?  พระราชกิจเช่นนี้ไม่ง่ายที่จะสัมฤทธิ์ผล แต่ในท้ายที่สุดแล้วก็จะยังคงเก็บเกี่ยวผลตอบแทน  โดยไม่คำนึงถึงเพศหรือสัญชาติของพวกเขา พวกที่สามารถสัมฤทธิ์ความรู้เรื่องพระเจ้าทั้งหมดจะได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า และจะเป็นคนกลุ่มเดียวที่ครอบครองสิทธิอำนาจของพระเจ้าในบทอวสาน  นี่คือพระราชกิจของวันนี้ และก็เป็นพระราชกิจแห่งอนาคตด้วย เป็นพระราชกิจสุดท้ายและสูงส่งที่สุดที่จะทรงทำให้สำเร็จใน 6,000 ปีแห่งพระราชกิจ และเป็นวิธีการทรงพระราชกิจที่เปิดเผยแต่ละประเภทของมนุษย์  โดยผ่านทางพระราชกิจแห่งการทำให้มนุษย์รู้จักพระเจ้า ลำดับชั้นที่แตกต่างของมนุษย์ถูกเปิดเผย กล่าวคือ บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้ามีคุณสมบัติที่จะได้รับพรของพระเจ้า และยอมรับสัญญาของพระองค์ ในขณะที่พวกที่ไม่รู้จักพระเจ้าขาดคุณสมบัติที่จะได้รับพรของพระเจ้า และยอมรับสัญญาของพระองค์  บรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้าคือคนสนิทของพระเจ้า และพวกที่ไม่รู้จักพระเจ้าไม่สามารถถูกเรียกได้ว่าเป็นคนสนิทของพระเจ้า คนสนิทของพระเจ้าสามารถรับพรใดๆ ของพระเจ้าได้ แต่พวกที่ไม่ใช่คนสนิทของพระองค์ไม่คู่ควรกับพระราชกิจใดของพระองค์  ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ลำบาก กระบวนการถลุง หรือการพิพากษา สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมีอยู่เพื่อประโยชน์แห่งการเปิดโอกาสให้มนุษย์สัมฤทธิ์ความรู้เรื่องพระเจ้าในที่สุด และเพื่อที่มนุษย์จะได้นบนอบต่อพระเจ้า  นี่เป็นผลกระทบเดียวที่จะสัมฤทธิ์ผลในที่สุด  ไม่มีสิ่งใดในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะถูกซ่อนเร้น และนี่เป็นประโยชน์ต่อความรู้เรื่องพระเจ้าของมนุษย์ และช่วยให้มนุษย์ได้รับความรู้เรื่องพระเจ้าที่ครบบริบูรณ์และถ้วนทั่วยิ่งขึ้น  พระราชกิจทั้งหมดนี้มีประโยชน์ต่อมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 8

พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองเป็นนิมิตที่มนุษย์ต้องรู้จัก เพราะพระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้โดยมนุษย์ และไม่ได้ถูกมนุษย์ครอบครอง  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือความครบถ้วนบริบูรณ์ของการบริหารจัดการของพระเจ้า และไม่มีนิมิตยิ่งใหญ่กว่านี้ที่มนุษย์ควรรู้จัก  หากมนุษย์ไม่รู้จักนิมิตอันทรงฤทธิ์นี้ เช่นนั้นแล้วมันก็ไม่ง่ายที่จะรู้จักพระเจ้า ไม่ง่ายที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น เส้นทางที่มนุษย์เดินไปจะกลายเป็นตรากตรำมากขึ้นเรื่อยๆ  หากปราศจากนิมิตต่างๆ มนุษย์คงจะไม่สามารถมาได้ไกลขนาดนี้  เป็นนิมิตต่างๆ นั่นเองที่ได้อารักขามนุษย์ตราบจนวันนี้ และซึ่งได้จัดเตรียมการคุ้มครองปกป้องสูงสุดแก่มนุษย์  ในอนาคต ความรู้ของพวกเจ้าจะต้องลึกขึ้น และพวกเจ้าต้องมารู้จักความครบถ้วนบริบูรณ์ของน้ำพระทัยของพระองค์และเนื้อแท้ของพระราชกิจอันทรงพระปรีชาของพระองค์ภายในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  นี่เท่านั้นคือวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเจ้า  ช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจไม่ได้ยืนอยู่ลำพัง แต่เป็นส่วนหนึ่งของทั้งมวลที่ก่อเกิดร่วมกันกับสองช่วงระยะก่อนหน้า กล่าวคือเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระราชกิจแห่งความรอดทั้งหมดครบบริบูรณ์โดยการทำเพียงหนึ่งในสามช่วงระยะของพระราชกิจ  แม้ว่าช่วงระยะสุดท้ายของพระราชกิจจะสามารถช่วยมนุษย์ให้รอดได้อย่างเต็มที่ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่ามันจำเป็นเพียงแค่ที่จะต้องดำเนินการช่วงระยะเดียวนี้เดี่ยวๆ และว่าพระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้านั้นไม่จำเป็นต้องมีเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน  ไม่มีสักช่วงระยะเดียวในสามช่วงระยะสามารถถูกชูขึ้นในฐานะนิมิตเดียวที่มวลมนุษย์ทั้งปวงต้องรู้จัก เพราะความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจแห่งความรอดนั้นคือพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ ไม่ใช่ช่วงระยะเดียวท่ามกลางทั้งสามช่วงระยะ  ตราบเท่าที่พระราชกิจแห่งความรอดยังไม่สำเร็จลุล่วง การบริหารจัดการของพระเจ้าก็จะไม่สามารถมาถึงบทอวสานที่ครบบริบูรณ์ได้  สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น พระอุปนิสัยของพระองค์ และพระปรีชาญาณของพระองค์แสดงออกมาในความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระราชกิจแห่งความรอด ไม่ได้ถูกเปิดเผยต่อมนุษย์ตั้งแต่แรกเริ่ม แต่ได้รับการแสดงออกอย่างค่อยเป็นค่อยไปในพระราชกิจแห่งความรอด  แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจแห่งความรอดแสดงออกถึงส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้า และส่วนหนึ่งของสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ไม่มีช่วงระยะหนึ่งใดของพระราชกิจที่สามารถแสดงออกถึงความครบถ้วนบริบูรณ์ของสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นได้โดยตรงและครบบริบูรณ์  เมื่อเป็นเช่นนั้นพระราชกิจแห่งความรอดจึงสามารถได้รับการสรุปปิดตัวอย่างเต็มที่ได้ก็ต่อเมื่อพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะได้ถูกทำให้ครบบริบูรณ์แล้วเท่านั้น และดังนั้นความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้าจึงไม่สามารถแยกออกจากพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าได้  สิ่งที่มนุษย์ได้รับจากช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจเป็นเพียงพระอุปนิสัยของพระเจ้าซึ่งแสดงออกในส่วนหนึ่งส่วนเดียวของพระราชกิจของพระองค์  มันไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระอุปนิสัยและสิ่งที่ทรงเป็นซึ่งแสดงออกในช่วงระยะก่อนหรือหลังได้  นั่นเป็นเพราะพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดไม่สามารถทำให้เสร็จสิ้นได้ทันทีในระหว่างช่วงเวลาหนึ่ง หรือในสถานที่หนึ่ง แต่จะค่อยๆ กลายเป็นลึกขึ้นโดยสอดคล้องกับระดับการพัฒนาของมนุษย์ ณ เวลาและสถานที่ที่แตกต่างกัน  เป็นพระราชกิจที่ทรงดำเนินการในช่วงระยะต่างๆ และไม่ถูกทำให้ครบบริบูรณ์ในช่วงระยะเดียว  ดังนั้นพระปรีชาญาณทั้งมวลของพระเจ้าจึงตกผลึกในสามช่วงระยะแทนที่จะเป็นช่วงระยะเดียวเดี่ยวๆ  สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นทั้งหมดทั้งมวลและพระปรีชาญาณทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ได้รับการจัดวางลงไปในสามช่วงระยะนี้ และแต่ละช่วงระยะบรรจุสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเอาไว้ และแต่ละช่วงระยะคือบันทึกของพระปรีชาญาณแห่งพระราชกิจของพระองค์  มนุษย์ควรรู้จักพระอุปนิสัยทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าซึ่งแสดงออกในสามช่วงระยะนี้  สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นทั้งหมดนี้มีความสำคัญสูงสุดต่อมวลมนุษย์ทั้งปวง และหากผู้คนไม่มีความรู้นี้เมื่อพวกเขานมัสการพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ไม่ต่างจากพวกที่นมัสการพระพุทธเจ้า  พระราชกิจของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์นั้นไม่ได้ถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์ และควรเป็นที่รู้จักของพวกที่นมัสการพระเจ้าทั้งหมด  ในเมื่อพระเจ้าได้ทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งความรอดทั้งสามช่วงระยะท่ามกลางมนุษย์แล้ว มนุษย์ก็ควรรู้จักการแสดงออกของสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นในระหว่างพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้  นี่คือสิ่งที่มนุษย์ต้องทำ  สิ่งที่พระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากมนุษย์คือสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ และสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรรู้จัก ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมนุษย์คือสิ่งที่มนุษย์ควรรู้จัก และสิ่งที่มนุษย์ควรมี  แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะจะดำเนินการบนรากฐานของช่วงระยะก่อนหน้า ไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นเอกเทศ โดยแยกออกจากพระราชกิจแห่งความรอด  แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากในยุคและพระราชกิจที่ดำเนินการ แต่ที่แกนกลางของพระราชกิจก็ยังคงเป็นความรอดของมวลมนุษย์ และแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจแห่งความรอดนั้นลึกกว่าช่วงระยะล่าสุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 9

พระราชกิจของพระเจ้าท่ามกลางมนุษย์นั้นไม่ได้ถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์ และควรเป็นที่รู้จักของพวกที่นมัสการพระเจ้าทั้งหมด  ในเมื่อพระเจ้าได้ทรงดำเนินการพระราชกิจแห่งความรอดทั้งสามช่วงระยะท่ามกลางมนุษย์แล้ว มนุษย์ก็ควรรู้จักการแสดงออกของสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นในระหว่างพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้  นี่คือสิ่งที่มนุษย์ต้องทำ  สิ่งที่พระเจ้าทรงซ่อนเร้นจากมนุษย์คือสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ และสิ่งที่มนุษย์ไม่ควรรู้จัก ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงต่อมนุษย์คือสิ่งที่มนุษย์ควรรู้จัก และสิ่งที่มนุษย์ควรมี  แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะจะดำเนินการบนรากฐานของช่วงระยะก่อนหน้า ไม่ได้ดำเนินการอย่างเป็นเอกเทศ โดยแยกออกจากพระราชกิจแห่งความรอด  แม้ว่าจะมีความแตกต่างอย่างมากในยุคและพระราชกิจที่ดำเนินการ แต่ที่แกนกลางของพระราชกิจก็ยังคงเป็นความรอดของมวลมนุษย์ และแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจแห่งความรอดนั้นลึกกว่าช่วงระยะล่าสุด  แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจดำเนินต่อไปจากรากฐานของช่วงระยะล่าสุด ซึ่งไม่ได้ถูกลบล้าง  ด้วยวิธีนี้ในพระราชกิจของพระองค์ที่ใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า พระเจ้าทรงแสดงออกอย่างสม่ำเสมอถึงแง่มุมต่างๆ ของพระอุปนิสัยของพระองค์ที่ไม่เคยทรงแสดงออกต่อมนุษย์มาก่อน และกำลังทรงเปิดเผยให้มนุษย์เห็นพระราชกิจใหม่ของพระองค์และสิ่งใหม่ที่พระองค์ทรงเป็นเสมอ และแม้ว่าผู้ต่อต้านการเปลี่ยนแปลงศาสนาทำอย่างเต็มกำลังเพื่อต้านทานการนี้ และต่อต้านอย่างเปิดเผย พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ตั้งพระทัยว่าจะทำเสมอ  พระราชกิจของพระองค์กำลังเปลี่ยนแปลงเสมอ และเพราะการนี้จึงกำลังเผชิญกับการต่อต้านของมนุษย์เสมอ  พระอุปนิสัยของพระองค์ก็กำลังเปลี่ยนแปลงเสมอด้วย เช่นเดียวกับยุคและผู้รับของพระราชกิจของพระองค์  นอกจากนี้พระองค์มักจะกำลังทรงพระราชกิจที่ไม่เคยทรงทำมาก่อนเสมอ แม้กระทั่งดำเนินการพระราชกิจที่มนุษย์เห็นว่าขัดแย้งกับพระราชกิจที่ได้ทรงทำไปแล้วก่อนหน้านี้ โดยแล่นไปในทิศตรงข้าม  มนุษย์เพียงสามารถยอมรับพระราชกิจประเภทหนึ่ง หรือการปฏิบัติวิธีหนึ่ง และมันยากที่มนุษย์จะยอมรับพระราชกิจ หรือวิธีปฏิบัติ ที่ขัดแย้งกับ หรือสูงส่งกว่าพวกเขา  แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็กำลังทรงพระราชกิจใหม่อยู่เสมอ และดังนั้นจึงมีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาปรากฏขึ้นกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าซึ่งต่อต้านพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ได้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญเพราะมนุษย์ไม่มีความรู้ว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและทรงไม่มีวันเก่าอย่างไร และไม่มีความรู้ในหลักการของพระราชกิจของพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น ไม่มีความรู้ในวิธีมากมายที่พระเจ้าทรงช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างแน่นอน  เมื่อเป็นเช่นนี้มนุษย์ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิงที่จะบอกได้ว่าเป็นพระราชกิจที่มาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือเป็นพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง  ผู้คนมากมายยึดติดกับท่าทีซึ่งหากบางสิ่งบางอย่างสอดคล้องกับคำพูดที่มาก่อนหน้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะยอมรับ และหากมีความแตกต่างกับพระราชกิจก่อนหน้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะต่อต้านและปฏิเสธ  วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดไม่ได้ปฏิบัติตามหลักการเช่นนี้หรอกหรือ?  พระราชกิจแห่งความรอดทั้งสามช่วงระยะไม่ได้มีผลกระทบอย่างมากต่อพวกเจ้าเลย และมีพวกที่เชื่อว่าสองช่วงระยะก่อนหน้าของพระราชกิจเป็นภาระที่พวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้อย่างแน่นอน  พวกเขาคิดว่าช่วงระยะเหล่านี้ไม่ควรได้รับการประกาศต่อมวลชน และควรถอนกลับโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อที่ผู้คนจะไม่รู้สึกท่วมท้นกับสองช่วงระยะก่อนหน้าจากทั้งสามช่วงระยะของพระราชกิจ  ส่วนใหญ่เชื่อว่าการทำให้พระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้านี้เป็นที่รู้จักนั้นไกลเกินไปหนึ่งขั้นตอน และไม่ช่วยอะไรเลยในการรู้จักพระเจ้า—นั่นคือสิ่งที่พวกเจ้าคิด  วันนี้พวกเจ้าทั้งหมดเชื่อว่ามันถูกต้องที่จะประพฤติตัวด้วยวิธีนี้ แต่วันนั้นจะมาถึงเมื่อพวกเจ้าตระหนักถึงความสำคัญของงานของเรา นั่นคือ รู้ว่าเราไม่ทำงานใดๆ ที่ไม่มีนัยสำคัญ  ในเมื่อเรากำลังประกาศพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะต่อพวกเจ้า ทั้งสามช่วงระยะนั้นก็ต้องมีประโยชน์กับพวกเจ้า ในเมื่อพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้อยู่ที่ใจกลางของการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้า ทั้งสามช่วงระยะนั้นก็ต้องกลายเป็นจุดรวมศูนย์ของทุกคนทั่วทั้งจักรวาล  สักวันหนึ่งพวกเจ้าทั้งหมดจะตระหนักถึงความสำคัญของพระราชกิจนี้  จงรู้ไว้ว่าพวกเจ้าต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้า หรือใช้มโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้าเองในการประเมินพระราชกิจของวันนี้ เพราะพวกเจ้าไม่รู้จักหลักการต่างๆ ของพระราชกิจของพระเจ้า และเพราะการปฏิบัติต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างหุนหันพลันแล่นของพวกเจ้า  การที่พวกเจ้าต่อต้านพระเจ้าและขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเกิดจากมโนคติอันหลงผิดและความโอหังแต่กำเนิดของพวกเจ้า  ไม่ใช่เพราะพระราชกิจของพระเจ้านั้นผิด แต่เพราะพวกเจ้าไม่เชื่อฟังเกินไปโดยธรรมชาติ  หลังจากที่พวกเขาได้พบการเชื่อในพระเจ้า ผู้คนบางคนก็ถึงกับไม่สามารถพูดด้วยความมั่นใจว่ามนุษย์ได้มาจากไหน กระนั้นพวกเขากล้าที่จะกล่าวสุนทรพจน์ต่อสาธารณะเพื่อประเมินความถูกและความผิดของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาถึงกับสั่งสอนบรรดาอัครทูตที่มีพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ให้ความคิดเห็น และแย่งกันพูด สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาต่ำเกินไป และไม่มีสำนึกรับรู้ในพวกเขาแม้แต่น้อย  วันนั้นจะไม่มาถึงหรอกหรือเมื่อผู้คนเช่นนี้ถูกปฏิเสธโดยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถูกเผาด้วยไฟแห่งนรก?  พวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระเจ้า แต่กลับวิจารณ์พระราชกิจของพระองค์แทน และยังพยายามอบรมพระเจ้าถึงวิธีทรงพระราชกิจอีกด้วย  ผู้คนที่ไร้เหตุผลเช่นนี้จะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?  มนุษย์มารู้จักพระเจ้าในระหว่างกระบวนการแสวงหาและการมีประสบการณ์ ไม่ใช่โดยผ่านทางการวิจารณ์ตามอำเภอใจว่ามนุษย์มารู้จักพระเจ้าโดยผ่านทางการทรงรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ยิ่งความรู้เรื่องพระเจ้าของผู้คนถูกต้องแม่นยำมากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต่อต้านพระองค์น้อยลงเท่านั้น  ในทางกลับกันยิ่งผู้คนรู้จักพระเจ้าน้อยลงเท่าใด พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะต่อต้านพระองค์มากขึ้นเท่านั้น  มโนคติที่หลงผิดของเจ้า ธรรมชาติเก่าของเจ้า และสภาวะความเป็นมนุษย์ ลักษณะนิสัย และทรรศนะด้านศีลธรรมของเจ้าเป็น “ทุน” ที่เจ้าใช้ในการต้านทานพระเจ้า และยิ่งศีลธรรมของเจ้าเสื่อมทรามมากขึ้นเท่าใด คุณภาพของเจ้าน่าเกลียดน่าชังมากขึ้นเท่าใด  และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้าต่ำต้อยมากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งเป็นศัตรูของพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น  พวกที่ถูกครอบงำโดยมโนคติที่หลงผิดอย่างแรงกล้า และที่มีอุปนิสัยเห็นตัวเองถูกเสมอจะยิ่งมีความเป็นศัตรูกับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์มากขึ้นไปอีก ผู้คนเช่นนี้คือศัตรูของพระคริสต์  หากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าไม่ได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกมันก็จะต่อต้านพระเจ้าอยู่เสมอ เจ้าจะไม่มีวันเข้ากันได้กับพระเจ้า และจะอยู่ห่างจากพระองค์เสมอ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 10

พระเจ้าองค์เดียวทรงพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ นี่เป็นนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และนี่เป็นเส้นทางเดียวสู่การรู้จักพระเจ้า  มีแต่พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถกระทำพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนั้นได้ และไม่มีมนุษย์ผู้ใดจะสามารถทำงานเช่นนี้ในพระนามของพระองค์ได้—กล่าวคือมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่สามารถกระทำพระราชกิจของพระองค์เองได้ตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวันนี้  แม้ว่าพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้าได้ดำเนินการในยุคและสถานที่ที่แตกต่างกัน และแม้ว่าพระราชกิจของแต่ละช่วงระยะจะแตกต่างกัน แต่ก็เป็นพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าองค์เดียวได้ทรงกระทำ  ในบรรดานิมิตทั้งหมด นี่เป็นนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์ควรรู้จัก และหากมนุษย์สามารถเข้าใจได้อย่างครบบริบูรณ์ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะมีความสามารถที่จะตั้งมั่นได้  วันนี้ปัญหาใหญ่ที่สุดที่ศาสนาและนิกายต่างๆ กำลังเผชิญหน้าอยู่คือพวกเขาไม่รู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และไร้ความสามารถที่จะแยกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และงานที่ไม่ได้เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้—เพราะเหตุนี้พวกเขาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ทรงกระทำโดยพระยาห์เวห์เช่นเดียวกันกับพระราชกิจสองช่วงระยะท้ายสุดหรือไม่  แม้ว่าผู้คนติดตามพระเจ้า แต่ส่วนใหญ่ก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะบอกได้ว่าเป็นวิธีที่ถูกต้องหรือไม่  มนุษย์กังวลว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่พระเจ้าพระองค์เองทรงนำทางเป็นการส่วนพระองค์หรือไม่ และการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้านั้นเป็นข้อเท็จจริงหรือไม่ และผู้คนส่วนใหญ่ยังคงไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับวิธีแยกแยะสิ่งต่างๆ เช่นนี้  พวกที่ติดตามพระเจ้าไร้ความสามารถที่จะกำหนดวิธีได้ และดังนั้นข่าวสารที่ถูกพูดจะมีผลบางส่วนท่ามกลางผู้คนเหล่านี้เท่านั้น และไม่สามารถที่จะมีประสิทธิผลอย่างเต็มที่ และดังนั้นนี่จึงส่งผลกระทบต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนเช่นนี้  หากมนุษย์สามารถมองเห็นในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงดำเนินการ ณ เวลาที่ต่างกัน ในสถานที่ที่ต่างกัน และในผู้คนที่ต่างกัน หากมนุษย์สามารถเห็นว่าถึงแม้ว่าพระราชกิจจะแตกต่าง แต่ทั้งหมดก็ทรงกระทำโดยพระเจ้าองค์เดียว และว่าในเมื่อเป็นพระราชกิจที่ทรงกระทำโดยพระเจ้าองค์เดียว เช่นนั้นแล้วก็จะต้องถูกต้องและไร้ข้อผิดพลาด และแม้ว่าจะขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ ก็ไม่มีทางปฏิเสธว่าไม่ใช่พระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว—หากมนุษย์สามารถพูดได้อย่างมั่นใจว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว เช่นนั้นแล้วมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ก็จะลดลงเป็นเพียงเรื่องหยุมหยิมเล็กน้อย ไม่ควรค่าที่จะเอ่ยถึง  เพราะนิมิตต่างๆ ของมนุษย์ไม่ชัดเจน และเพราะมนุษย์เพียงรู้จักพระยาห์เวห์ในฐานะพระเจ้า และพระเยซูในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า และสองจิตสองใจเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในวันนี้ ผู้คนมากมายยังคงอุทิศตนเพื่อพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู และถูกมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระราชกิจในวันนี้รุมเร้า ผู้คนส่วนใหญ่มักจะคลางแคลงใจเสมอ และไม่ถือจริงจังกับพระราชกิจในวันนี้  มนุษย์ไม่มีมโนคติที่หลงผิดต่อพระราชกิจสองช่วงระยะท้ายสุด ซึ่งไม่ปรากฏแก่ตา  นั่นเป็นเพราะมนุษย์ไม่เข้าใจความเป็นจริงของพระราชกิจสองช่วงระยะท้ายสุด และไม่ได้รู้เห็นสองช่วงระยะนั้นด้วยตัวเอง  เป็นเพราะช่วงระยะเหล่านี้ของพระราชกิจไม่สามารถมองเห็นได้ มนุษย์จึงจินตนาการตามที่เขาชอบ โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เขาคิดขึ้น ไม่มีข้อเท็จจริงที่จะพิสูจน์จินตนาการเช่นนี้ และไม่มีใครที่จะทำการแก้ไข  มนุษย์ปล่อยให้อารมณ์ของเขาเป็นอิสระจากการควบคุม โยนความระมัดระวังทิ้งไปในสายลม และปล่อยให้จินตนาการโลดแล่นโดยอิสระ เพราะไม่มีข้อเท็จจริงใดที่จะยืนยันความเป็นจริงของจินตนาการต่างๆ ของเขา และดังนั้นจินตนาการต่างๆ ของมนุษย์จึงกลายเป็น “ข้อเท็จจริง” โดยไม่คำนึงถึงว่ามีข้อพิสูจน์ใดหรือไม่  ดังนั้นมนุษย์จึงเชื่อในพระเจ้าที่เขาจินตนาการขึ้นมาเองในจิตใจของเขา และไม่แสวงหาพระเจ้าแห่งความเป็นจริง  หากบุคคลผู้หนึ่งมีการเชื่อหนึ่งอย่าง เช่นนั้นแล้วท่ามกลางผู้คนหนึ่งร้อยคนก็จะมีการเชื่อหนึ่งร้อยอย่าง  มนุษย์ถูกครอบงำโดยการเชื่อเช่นนี้เพราะเขาไม่ได้เห็นความเป็นจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า เพราะเขาเพียงได้ยินด้วยหูของเขา และไม่ได้มองดูด้วยตาของเขา  มนุษย์ได้ยินตำนานและเรื่องเล่า—แต่ไม่บ่อยนักที่เขาได้ยินความรู้เกี่ยวกับข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  ดังนั้นจึงเป็นว่าผู้คนที่ได้เป็นผู้เชื่อเพียงหนึ่งปีมาเชื่อในพระเจ้าโดยผ่านทางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง  การนี้ก็เป็นจริงเช่นกันสำหรับพวกที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาตลอดชีวิตของพวกเขา  พวกที่ไม่สามารถเห็นข้อเท็จจริงจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะหลบหนีจากความเชื่อหนึ่งซึ่งในนั้นพวกเขามีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้า  มนุษย์เชื่อว่าเขาได้ปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการของมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของเขา และได้เข้าสู่ดินแดนใหม่แล้ว  มนุษย์ไม่รู้หรอกหรือว่าความรู้ของพวกที่ไม่สามารถมองเห็นพระพักตร์แท้จริงของพระเจ้าได้นั้นไม่ใช่อะไรเลยนอกจากมโนคติที่หลงผิดและคำเล่าขาน?  มนุษย์คิดว่ามโนคติที่หลงผิดของเขาถูกต้อง และไร้ข้อผิดพลาด และเขาคิดว่ามโนคติที่หลงผิดเหล่านี้มาจากพระเจ้า  วันนี้เมื่อมนุษย์รู้เห็นพระราชกิจของพระเจ้า เขาก็ปล่อยให้มโนคติที่หลงผิดซึ่งได้พอกพูนขึ้นมานานหลายปีออกมาเพ่นพ่าน  จินตนาการและแนวคิดต่างๆ แห่งอดีตได้กลายเป็นการขัดขวางต่อพระราชกิจของช่วงระยะนี้ และมันกลายเป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ที่จะปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดเช่นนี้ และหักล้างแนวคิดเช่นนี้  มโนคติที่หลงผิดต่อพระราชกิจทีละขั้นตอนนี้ของพวกที่ได้ติดตามพระเจ้าจนถึงวันนี้มากมายหลายคนได้กลายเป็นน่าสลดใจมากขึ้น และผู้คนเหล่านี้ได้ค่อยๆ กลายเป็นศัตรูที่ดื้อรั้นของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  แหล่งที่มาของความเกลียดชังนี้ตั้งอยู่ในมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์  มโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์ได้กลายเป็นศัตรูของพระราชกิจของวันนี้ พระราชกิจที่ขัดแย้งกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  นี่ได้เกิดขึ้นเพราะข้อเท็จจริงไม่เปิดโอกาสให้มนุษย์ปลดปล่อยจินตนาการของเขาให้เป็นอิสระ และยิ่งกว่านั้นไม่สามารถถูกมนุษย์หักล้างได้อย่างง่ายดาย และมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของมนุษย์ไม่ได้ยอมให้มีการดำรงอยู่ของข้อเท็จจริง และยิ่งไปกว่านั้น เพราะมนุษย์ไม่ได้นึกถึงความถูกต้องและความสัตย์จริงของข้อเท็จจริง และเพียงแค่ปลดปล่อยให้มโนคติที่หลงผิดของเขาให้เป็นอิสระและใช้จินตนาการของเขาเองด้วยใจเด็ดเดี่ยว  นี่สามารถกล่าวได้เพียงว่าเป็นความผิดของมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และไม่สามารถกล่าวได้ว่าเป็นความผิดของพระราชกิจของพระเจ้า  มนุษย์อาจจินตนาการสิ่งใดก็ตามที่เขาปรารถนา แต่เขาไม่อาจโต้แย้งช่วงระยะใดในพระราชกิจของพระเจ้า หรือส่วนเล็กน้อยส่วนใดได้โดยอิสระ ข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่อาจรุกล้ำได้โดยมนุษย์  เจ้าอาจปล่อยให้จินตนาการของเจ้าเป็นอิสระไร้การควบคุม และอาจถึงกับรวบรวมเรื่องราวดีๆ เกี่ยวกับพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู แต่เจ้าไม่อาจหักล้างข้อเท็จจริงแห่งแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู นี่เป็นหลักการหนึ่ง และก็เป็นประกาศกฤษฎีกาบริหารอีกด้วย และพวกเจ้าควรเข้าใจความสำคัญของประเด็นเหล่านี้  มนุษย์เชื่อว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเข้ากันไม่ได้กับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ และเชื่อว่านี่ไม่ใช่กรณีของพระราชกิจสองช่วงระยะก่อนหน้า  ในจินตนาการของเขา มนุษย์เชื่อว่าพระราชกิจของสองช่วงระยะก่อนหน้าไม่เหมือนกับพระราชกิจของวันนี้อย่างแน่นอน—แต่เจ้าเคยได้พิจารณาหรือไม่ว่าหลักการของพระราชกิจของพระเจ้านั้นเหมือนกันทั้งหมด ว่าพระราชกิจของพระองค์สัมพันธ์กับชีวิตจริงเสมอ และว่าโดยไม่คำนึงถึงยุค จะมีผู้คนจำนวนล้นหลามที่ต้านทานและต่อต้านข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระองค์?  พวกเหล่านั้นทั้งหมดที่ต้านทานและต่อต้านพระราชกิจช่วงระยะนี้ในวันนี้ ได้ต่อต้านพระเจ้ามาแล้วในอดีตกาลอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะผู้คนเช่นนี้จะเป็นศัตรูของพระเจ้าเสมอ  ผู้คนที่รู้ข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้าจะเห็นว่าพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะเป็นพระราชกิจของพระเจ้าองค์เดียว และจะปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา  เหล่านี้คือผู้คนที่รู้จักพระเจ้า และผู้คนเช่นนี้คือบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้าอย่างแท้จริง  เมื่อการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้ากำลังเข้าใกล้บทอวสาน พระเจ้าจะทรงจำแนกทุกสรรพสิ่งโดยสอดคล้องกับประเภท  มนุษย์ได้รับการทรงสร้างด้วยพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และในท้ายที่สุด พระองค์ต้องทรงคืนมนุษย์กลับสู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์อย่างครบบริบูรณ์ นี่คือบทสรุปปิดตัวของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  ช่วงระยะของพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย และสองช่วงระยะก่อนหน้าในอิสราเอลและยูเดียนั้นเป็นแผนการแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าในจักรวาลทั้งหมดทั้งมวล  ไม่มีใครสามารถปฏิเสธเรื่องนี้ได้ และนี่คือข้อเท็จจริงแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  แม้ว่าผู้คนไม่ได้มีประสบการณ์หรือรู้เห็นพระราชกิจนี้มากนัก แต่ข้อเท็จจริงก็ยังคงเป็นข้อเท็จจริง และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถปฏิเสธได้  ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าในทุกแผ่นดินแห่งจักรวาลทั้งหมดจะยอมรับพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  หากเจ้ารู้จักเพียงช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจเป็นพิเศษ และไม่เข้าใจพระราชกิจอีกสองช่วงระยะ ไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้าในอดีตกาล เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะพูดความจริงทั้งมวลของแผนการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าได้ และความรู้เรื่องพระเจ้าของเจ้านั้นลำเอียง เพราะในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า เจ้าไม่รู้จักหรือเข้าใจพระองค์ และดังนั้นเจ้าจึงไม่เหมาะสมที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  โดยไม่คำนึงถึงว่าความรู้ปัจจุบันของเจ้าเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ลึกซึ้งหรือผิวเผิน ในท้ายที่สุดพวกเจ้าต้องมีความรู้ และต้องเชื่ออย่างสิ้นเชิง และผู้คนทั้งหมดจะเห็นความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งพระราชกิจของพระเจ้าและนบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า  ในบทอวสานของพระราชกิจนี้ ทุกศาสนาจะกลายเป็นหนึ่ง สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดจะกลับสู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง สรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดจะนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และศาสนาที่ชั่วร้ายทั้งหมดจะสูญสลายไป ไม่มีวันปรากฏอีกครั้ง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 11

เหตุใดจึงมีการอ้างอิงถึงพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะอย่างต่อเนื่องเช่นนี้?  การผ่านไปของยุคต่างๆ การพัฒนาด้านสังคม และโฉมหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปของธรรมชาติ ล้วนแล้วแต่ติดตามการปรับเปลี่ยนในพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ  มวลมนุษย์เปลี่ยนแปลงในเวลาที่พ้องกับพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ได้พัฒนาด้วยตัวเอง  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้านั้นถูกอ้างอิงเพื่อที่จะนำสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมด และผู้คนทั้งปวงของทุกศาสนาและทุกนิกาย สู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าองค์เดียว  โดยไม่คำนึงถึงว่าเจ้านับถือศาสนาอะไร ในท้ายที่สุดเจ้าก็จะนบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า  พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นสามารถดำเนินการพระราชกิจนี้ได้ ไม่สามารถทำได้โดยหัวหน้าศาสนาใดๆ  มีศาสนาที่สำคัญมากมายในโลก และแต่ละศาสนาก็มีประมุข หรือผู้นำของตัวเอง  และบรรดาผู้ติดตามก็กระจายไปทั่วประเทศและภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก เกือบจะทุกประเทศ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก มีศาสนาต่างๆ อยู่ภายในประเทศ  อย่างไรก็ตามโดยไม่คำนึงถึงว่าจะมีกี่ศาสนาทั่วโลก ในท้ายที่สุดผู้คนทั้งปวงภายในจักรวาลก็จะดำรงอยู่ภายใต้การทรงนำของพระเจ้าองค์เดียว และการดำรงอยู่ของพวกเขาก็ไม่ได้นำโดยหัวหน้าหรือผู้นำทางศาสนา  กล่าวคือมวลมนุษย์ไม่ถูกนำโดยหัวหน้าหรือผู้นำทางศาสนาคนใดคนหนึ่ง ตรงกันข้ามมวลมนุษย์ทั้งปวงได้รับการทรงนำทางโดยพระผู้สร้าง ผู้ที่ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และทุกสรรพสิ่ง และผู้ที่ทรงสร้างมวลมนุษย์อีกด้วย—นี่คือข้อเท็จจริง  แม้ว่าโลกจะมีศาสนาสำคัญมากมาย แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ศาสนาเหล่านี้ทั้งหมดก็ดำรงอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง และไม่มีศาสนาใดสามารถเกินเลยวงเขตแห่งอำนาจครอบครองนี้  การพัฒนาของมวลมนุษย์ การแทนที่ของสังคม การพัฒนาวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ—แต่ละเรื่องไม่สามารถแยกออกจากการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างได้ และพระราชกิจนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่หัวหน้าทางศาสนาใดสามารถทำได้  หัวหน้าทางศาสนาเป็นเพียงผู้นำของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง และไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนขององค์หนึ่งเดียว ผู้ที่ได้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่งได้  หัวหน้าทางศาสนาสามารถนำทางพวกเขาทั้งหมดภายในศาสนาทั้งปวงได้ แต่พวกเขาไม่สามารถบังคับบัญชาสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดใต้ฟ้าสวรรค์ได้—นี่คือข้อเท็จจริงที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป  หัวหน้าด้านศาสนาเป็นเพียงผู้นำ และไม่สามารถยืนเทียบเท่ากับพระเจ้า (พระผู้สร้าง) ได้  ทุกสรรพสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และในบทอวสานทุกสรรพสิ่งก็จะกลับสู่พระหัตถ์ของพระผู้สร้าง  มวลมนุษย์ได้ถูกพระเจ้าทรงสร้าง และโดยไม่คำนึงถึงศาสนา บุคคลทุกคนจะกลับมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้า—การนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้  พระเจ้าเท่านั้นทรงสูงส่งที่สุดท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง และผู้ปกครองสูงสุดท่ามกลางสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดที่จะต้องกลับสู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์เช่นกัน  ไม่สำคัญว่าสถานะของมนุษย์ผู้หนึ่งจะสูงเพียงใด มนุษย์ผู้นั้นไม่สามารถนำพามวลมนุษย์ไปสู่บั้นปลายที่เหมาะสมได้ และไม่มีใครมีความสามารถที่จะจำแนกทุกสรรพสิ่งโดยสอดคล้องกับประเภทได้  พระยาห์เวห์พระองค์เองได้ทรงสร้างมวลมนุษย์และได้ทรงจำแนกแต่ละประเภทโดยสอดคล้องกับประเภท และเมื่อวาระสิ้นสุดมาถึง พระองค์ก็จะยังคงทรงพระราชกิจของพระองค์เองด้วยพระองค์เอง โดยจำแนกทุกสรรพสิ่งโดยสอดคล้องกับประเภท—พระราชกิจนี้ไม่สามารถทำได้โดยผู้ใดนอกจากพระเจ้า  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะที่ทรงดำเนินการตั้งแต่ปฐมกาลจนถึงวันนี้ล้วนดำเนินการโดยพระเจ้าพระองค์เอง และดำเนินการโดยพระเจ้าองค์เดียว  ข้อเท็จจริงของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะคือข้อเท็จจริงของการที่พระเจ้าทรงเป็นผู้นำของมวลมนุษย์ เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้  ณ บทอวสานของพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะ ทุกสรรพสิ่งจะถูกจำแนกโดยสอดคล้องกับประเภท และกลับสู่ภายใต้อำนาจปกครองของพระเจ้า เพราะทั่วทั้งจักรวาลมีพระเจ้าองค์เดียวองค์นี้เท่านั้นทรงดำรงอยู่ และไม่มีศาสนาอื่นใด  ผู้ที่ไม่สามารถสร้างโลกได้จะไม่สามารถนำโลกไปสู่บทอวสานได้ ในขณะที่พระองค์ผู้ทรงสร้างโลกจะสามารถนำไปสู่บทอวสานได้อย่างแน่นอน  ดังนั้นหากคนเราไร้ความสามารถที่จะนำยุคสู่บทอวสานได้ และเพียงมีความสามารถที่จะช่วยมนุษย์ฝึกฝนจิตใจของเขาได้ เช่นนั้นแล้วเขาก็จะไม่ใช่พระเจ้าอย่างแน่นอน และจะไม่ใช่องค์พระผู้เป็นเจ้าของมวลมนุษย์อย่างแน่นอน  เขาจะไม่สามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้ มีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถทำงานเช่นนี้ได้ และทั้งหมดที่ไร้ความสามารถที่จะทำงานนี้ได้คือศัตรูและไม่ใช่พระเจ้าอย่างแน่นอน  ศาสนาชั่วทั้งหมดเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า และในเมื่อศาสนาเหล่านั้นเข้ากันไม่ได้กับพระเจ้า จึงเป็นศัตรูของพระเจ้า  พระราชกิจทั้งหมดกระทำโดยพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียวองค์นี้ และทั่วทั้งจักรวาลได้รับการบัญชาโดยพระเจ้าหนึ่งเดียวองค์นี้  โดยไม่คำนึงถึงว่านั่นเป็นพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอลหรือในประเทศจีน โดยไม่คำนึงถึงว่าพระราชกิจดำเนินการโดยพระวิญญาณหรือโดยเนื้อหนัง ทั้งหมดก็กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เอง และไม่สามารถทำได้โดยผู้อื่นใด  เป็นเพราะพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของมวลมนุษย์ทั้งปวงอย่างแน่นอน พระองค์จึงทรงพระราชกิจโดยอิสระ ปราศจากการเหนี่ยวรั้งโดยสภาพเงื่อนไขใดๆ—นี่คือนิมิตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิมิตทั้งหมด  ในฐานะสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าต้องเข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า เจ้าต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับสรรพสิ่งที่ทรงสร้าง เจ้าต้องเข้าใจแผนการบริหารจัดการของพระองค์ และเจ้าต้องเข้าใจนัยสำคัญทั้งหมดของพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำ  พวกที่ไม่เข้าใจสิ่งนี้ไม่มีคุณสมบัติเป็นสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า!  ในฐานะสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า หากเจ้าไม่เข้าใจว่าเจ้าได้มาจากไหน ไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ของมวลมนุษย์ และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ และยิ่งกว่านั้น ไม่เข้าใจว่ามวลมนุษย์ได้พัฒนาขึ้นมาจนถึงวันนี้อย่างไร และไม่เข้าใจว่าใครบัญชามวลมนุษย์ทั้งปวง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าได้  พระเจ้าได้ทรงนำทางมวลมนุษย์มาจนถึงวันนี้ และนับตั้งแต่พระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์บนแผ่นดินโลก พระองค์ไม่เคยทรงทิ้งเขาเลย  พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่มีวันทรงหยุดทรงพระราชกิจ ไม่เคยได้ทรงหยุดนำมวลมนุษย์ และไม่เคยได้ทรงทิ้งมวลมนุษย์  แต่มวลมนุษย์ไม่ตระหนักว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่ง นับประสาอะไรที่เขาจะรู้จักพระเจ้า  ยังจะมีอะไรน่าดูหมิ่นเหยียดหยามยิ่งกว่านี้อีกหรือสำหรับสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า?  พระเจ้าทรงนำทางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง แต่มนุษย์ไม่เข้าใจพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าเป็นสิ่งทรงสร้างของพระเจ้า แต่เจ้าไม่เข้าใจประวัติศาสตร์ของตัวเจ้าเอง และไม่ตระหนักรู้ว่าใครได้นำทางเจ้าในการเดินทางของเจ้า เจ้าไม่รับรู้ถึงพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำ และดังนั้นเจ้าจึงไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้  หากเจ้าไม่รู้ตอนนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีวันมีคุณสมบัติที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  วันนี้พระผู้สร้างทรงนำทางผู้คนทั้งหมดด้วยพระองค์เองอีกครั้ง และทรงทำให้ผู้คนทั้งหมดมองดูพระปรีชาญาณ ความทรงมหิทธิฤทธิ์ ความรอด และความมหัศจรรย์ของพระองค์  กระนั้นเจ้ายังคงไม่ตระหนักหรือเข้าใจ—เพราะฉะนั้นเจ้าจึงไม่ใช่ผู้หนึ่งซึ่งจะไม่ได้รับความรอดหรอกหรือ?  พวกที่เป็นของซาตานไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า ในขณะที่บรรดาผู้ที่เป็นของพระเจ้าจะสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าได้  บรรดาผู้ที่ตระหนักและเข้าใจวจนะที่เรากล่าวทั้งหมดคือบุคคลผู้ที่จะได้รับการช่วยให้รอดและบุคคลผู้ที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้า พวกที่ไม่เข้าใจวจนะที่เรากล่าวทั้งหมดไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้ และเป็นผู้ที่จะถูกขับออกไป  พวกที่ไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่ตระหนักถึงพระราชกิจของพระเจ้าจะไม่สามารถสัมฤทธิ์ความรู้เรื่องพระเจ้า และผู้คนดังกล่าวไม่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าได้  หากเจ้าปรารถนาที่จะเป็นคำพยานต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องรู้จักพระเจ้า ความรู้เรื่องพระเจ้าได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงโดยผ่านทางพระราชกิจของพระเจ้า  โดยรวมแล้ว หากเจ้าปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าต้องรู้จักพระราชกิจของพระเจ้า กล่าวคือ การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้านั้นมีความสำคัญสูงสุด  เมื่อพระราชกิจทั้งสามช่วงระยะมาถึงบทอวสานจะมีกลุ่มของพวกที่เป็นคำพยานต่อพระเจ้าถูกสร้างขึ้นกลุ่มหนึ่ง เป็นกลุ่มของบรรดาผู้ที่รู้จักพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ทั้งหมดจะรู้จักพระเจ้า และจะมีความสามารถที่จะนำความจริงสู่การปฏิบัติได้  พวกเขาจะมีสภาวะความเป็นมนุษย์และสำนึกรับรู้ และทั้งหมดจะรู้จักพระราชกิจแห่งความรอดทั้งสามช่วงระยะของพระเจ้า  นี่คือพระราชกิจที่จะทรงทำให้สำเร็จลุล่วงในบทอวสาน และผู้คนเหล่านี้คือการตกผลึกของพระราชกิจแห่ง 6,000 ปีของการบริหารจัดการ และเป็นคำพยานที่ทรงพลังที่สุดต่อการเอาชนะซาตานครั้งสุดท้าย  บรรดาผู้ที่สามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้าจะมีความสามารถที่จะได้รับพระสัญญาและพระพรของพระเจ้าได้ และจะเป็นกลุ่มที่เหลืออยู่ในบทอวสาน เป็นกลุ่มที่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า และเป็นคำพยานต่อพระเจ้า  บางทีบรรดาผู้ที่อยู่ท่ามกลางพวกเจ้าทั้งหมดอาจกลายเป็นสมาชิกของกลุ่มนี้ หรืออาจจะเพียงครึ่งเดียว หรือเพียงไม่กี่คน—ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของพวกเจ้าและการไล่ตามเสาะหาของพวกเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 12

แผนการบริหารจัดการหกพันปีถูกแบ่งออกเป็นพระราชกิจสามระยะ  ไม่มีช่วงระยะหนึ่งใดเพียงลำพังที่สามารถเป็นตัวแทนพระราชกิจของสามยุคได้ แต่เป็นได้แค่เพียงหนึ่งส่วนของทั้งองค์รวม  พระนามพระยาห์เวห์ไม่สามารถเป็นตัวแทนองค์รวมแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้  ข้อเท็จจริงที่ว่าพระองค์ได้ทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้พิสูจน์ว่า พระเจ้าสามารถเป็นได้เพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติเท่านั้น  พระยาห์เวห์ได้ทรงออกธรรมบัญญัติสำหรับมนุษย์ และได้ทรงส่งต่อพระบัญญัติมายังเขา ขอให้มนุษย์สร้างวิหารและแท่นบูชาต่างๆ พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำไปเป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น  พระราชกิจนี้ที่พระองค์ได้ทรงทำไปมิได้พิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงเป็นเพียงพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งขอให้มนุษย์รักษาธรรมบัญญัติเท่านั้น หรือว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าในวิหาร หรือว่าพระองค์เป็นพระเจ้าหน้าแท่นบูชา  พูดได้เลยว่านี่คงไม่จริง  พระราชกิจที่ทรงทำไปภายใต้ธรรมบัญญัติสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงหนึ่งยุคเท่านั้น  เพราะฉะนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติเท่านั้น เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็คงจะจำกัดขอบเขตของพระเจ้าอยู่ภายในนิยามต่อไปนี้ที่กล่าวว่า “พระเจ้าคือพระเจ้าองค์ที่อยู่ในวิหาร และเพื่อที่จะรับใช้พระเจ้า พวกเราต้องสวมเสื้อคลุมแบบปุโรหิตและเข้าสู่วิหาร”  หากพระราชกิจในยุคพระคุณไม่ได้ถูกดำเนินการจนแล้วเสร็จ และยุคพระธรรมบัญญัติไม่ได้สานต่อมาจนถึงปัจจุบัน มนุษย์ก็คงจะไม่รู้ว่า พระเจ้าทรงเปี่ยมปรานีและเปี่ยมความรักด้วยเช่นกัน  หากพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้ถูกกระทำไป และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับมีเพียงพระราชกิจในยุคพระคุณเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว ทั้งหมดที่มนุษย์คงจะรู้ก็คือว่า พระเจ้าสามารถไถ่มนุษย์และยกโทษให้กับบาปต่างๆ ของมนุษย์เท่านั้น  มนุษย์คงจะรู้เพียงว่า พระองค์ทรงบริสุทธิ์และไร้เดียงสา และว่าพระองค์ทรงมีความสามารถพลีอุทิศพระองค์เองและถูกตรึงกางเขนได้เพื่อประโยชน์ของมนุษย์  มนุษย์คงจะรู้เพียงสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับสิ่งอื่นใดเลย  ดังนั้น แต่ละยุคเป็นตัวแทนหนึ่งส่วนของพระอุปนิสัยของพระเจ้า  สำหรับเรื่องที่พระอุปนิสัยด้านใดของพระเจ้ามีตัวแทนในยุคธรรมบัญญัติ ด้านใดมีอยู่ในยุคพระคุณ และด้านใดมีอยู่ในช่วงระยะปัจจุบันนั้น เฉพาะเมื่อช่วงระยะทั้งสามได้ถูกรวมเข้าเป็นองค์รวมหนึ่งเดียวแล้วเท่านั้น พวกมันจึงจะสามารถเปิดเผยความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระอุปนิสัยของพระเจ้าออกมาได้  เฉพาะเมื่อมนุษย์ได้มารู้จักครบทั้งสามช่วงระยะแล้วเท่านั้น เขาจึงจะสามารถเข้าใจมันได้อย่างครบถ้วน  ไม่มีช่วงระยะใดในสามช่วงระยะนี้ที่สามารถถูกละเว้นได้เลย  เจ้าจะมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ก็เฉพาะหลังจากที่ได้มารู้จักสามช่วงระยะเหล่านี้ของพระราชกิจแล้วเท่านั้น  ข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจของพระองค์ในยุคธรรมบัญญัติไม่ได้พิสูจน์ว่า พระองค์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าภายใต้ธรรมบัญญัติเท่านั้น และข้อเท็จจริงที่ว่าพระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ก็ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าจะทรงไถ่มวลมนุษย์ไปตลอดกาล  เหล่านี้คือข้อสรุปที่มนุษย์วาดภาพขึ้นมา  การที่ยุคพระคุณได้จบลงไปแล้ว ใช่ว่าเจ้าจะสามารถพูดได้ว่า พระเจ้าเพียงเป็นของกางเขนเท่านั้น และว่าเฉพาะกางเขนเพียงลำพังเท่านั้นที่เป็นตัวแทนความรอดของพระเจ้า  การทำเช่นนั้นย่อมจะเป็นการให้นิยามต่อพระเจ้า  ในช่วงระยะปัจจุบัน โดยหลักแล้วพระเจ้ากำลังทรงพระราชกิจแห่งพระวจนะ แต่เจ้าก็ยังไม่สามารถพูดได้อยู่ดีว่า พระเจ้าไม่เคยทรงเปี่ยมปรานีต่อมนุษย์ และพูดว่าทั้งหมดที่พระองค์ได้ทรงนำมาก็คือการพิพากษาและการตีสอน  พระราชกิจในยุคสุดท้ายแผ่วางให้เห็นพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู และความล้ำลึกทั้งหมดที่มนุษย์ไม่เข้าใจ ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะเปิดเผยบั้นปลายและบทอวสานของมวลมนุษย์ และสิ้นสุดพระราชกิจแห่งความรอดทั้งหมดท่ามกลางมวลมนุษย์  ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจในยุคสุดท้ายนั้นนำพาทุกสิ่งทุกอย่างไปสู่การปิดฉาก  ความลึกล้ำทั้งมวลที่มนุษย์ไม่เข้าใจจำเป็นจะต้องได้รับการคลี่คลาย เพื่อเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้หยั่งค้นลงไปในความลึกของพวกมัน และมีความเข้าใจที่ชัดเจนโดยครบบริบูรณ์ในหัวใจของเขา  เฉพาะเมื่อถึงตอนนั้น เผ่าพันธุ์มนุษย์จึงจะสามารถถูกจำแนกชนชั้นออกไปตามประเภท  เฉพาะหลังจากแผนการบริหารจัดการหกพันปีเสร็จสิ้นลงเท่านั้น มนุษย์จึงจะมาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์  เพราะถึงตอนนั้น แผนการบริหารจัดการของพระองค์ก็จะได้มาถึงปลายทางแล้ว

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 13

พระราชกิจทั้งหมดที่ได้ทรงกระทำมาตลอดแผนการบริหารจัดการหกพันปีได้มาปิดตัวลงในตอนนี้เท่านั้นเอง  เฉพาะหลังจากที่พระราชกิจนี้ทั้งหมดได้รับการเปิดเผยต่อมนุษย์และดำเนินการจนเสร็จสิ้นในท่ามกลางมวลมนุษย์เท่านั้น มนุษยชาติจึงจะรู้จักพระอุปนิสัยทั้งหมดของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น  เมื่อพระราชกิจของช่วงระยะนี้ได้เสร็จสิ้นลงแล้วอย่างครบถ้วน ความล้ำลึกทั้งหมดที่มนุษย์ไม่เข้าใจจะได้รับการเปิดเผย และความจริงทั้งหมดที่ก่อนหน้านี้ไม่เป็นที่เข้าใจจะได้รับการอธิบายให้ชัดเจน และเผ่าพันธุ์มนุษย์จะได้รับการบอกกล่าวเกี่ยวกับเส้นทางในอนาคตและบั้นปลายของพวกเขา  นี่คือองค์รวมของพระราชกิจซึ่งจะต้องถูกทำในช่วงระยะปัจจุบัน  แม้ว่าเส้นทางที่มนุษย์เดินในวันนี้ก็คือเส้นทางของกางเขนและเส้นทางของความทุกข์ด้วยเช่นกัน สิ่งที่มนุษย์ปฏิบัติ และสิ่งที่เขากิน ดื่ม และชื่นชมในวันนี้ก็แตกต่างอย่างใหญ่หลวงจากสิ่งที่ตกมาสู่มนุษย์ภายใต้ธรรมบัญญัติและในยุคพระคุณ สิ่งที่ขอจากมนุษย์ในวันนี้ก็ไม่เหมือนกับในอดีตและยิ่งไม่เหมือนกับสิ่งที่ขอจากมนุษย์ในยุคธรรมบัญญัติ  เอาละ สิ่งที่ขอจากมนุษย์ภายใต้ธรรมบัญญัติเมื่อตอนที่พระเจ้าได้กำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่ในอิสราเอลนั้นคืออะไรหรือ?  มันไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าการที่มนุษย์ควรรักษาวันสะบาโตและธรรมบัญญัติทั้งหลายของพระยาห์เวห์  จะต้องไม่มีใครที่ทำงานหนักในวันสะบาโตหรือล่วงละเมิดธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์  แต่บัดนี้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่  ในวันสะบาโต มนุษย์ทำงาน ชุมนุม และอธิษฐานกันตามปกติ และไม่มีข้อจำกัดที่ถูกนำมาบังคับใช้กับเขา  บรรดาผู้ที่อยู่ในยุคพระคุณนั้นได้จำเป็นต้องรับบัพติศมา และพวกเขาจะต้องถูกขอต่อไปอีกให้ทำการอดอาหาร หักขนมปัง และดื่มเหล้าองุ่น คลุมศีรษะ และล้างเท้าของผู้อื่นเพื่อตัวพวกเขาเอง  ตอนนี้ กฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ถูกลบล้างไปแล้ว แต่มนุษย์กลับถูกขอในข้อเรียกร้องที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เพราะพระราชกิจของพระเจ้านับวันก็ยิ่งงอกเงยลึกซึ้งขึ้น และการเข้าสู่ของมนุษย์นับวันยิ่งเอื้อมสูงขึ้น  ในอดีต พระเยซูได้ทรงวางพระหัตถ์บนตัวมนุษย์แล้วทรงอธิษฐาน แต่มาบัดนี้ที่ทุกอย่างได้ถูกพูดไปหมดแล้ว ประโยชน์ของการวางมือคืออะไรหรือ?  พระวจนะทั้งหลายเพียงลำพังก็สามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ได้อยู่แล้ว  ตอนที่พระองค์วางพระหัตถ์ของพระองค์ลงบนมนุษย์ในอดีตนั้นก็เพื่ออวยพรมนุษย์และรักษาโรคให้เขาเช่นกัน  นี่คือวิธีที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจในกาลเวลานั้น แต่มิได้เป็นเช่นนั้นในตอนนี้  ตอนนี้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้พระวจนะเพื่อที่จะทรงพระราชกิจและสัมฤทธิ์ผลลัพธ์  พระวจนะของพระองค์ได้รับการอธิบายต่อพวกเจ้าไว้อย่างชัดเจนแล้ว และพวกเจ้าควรนำมาปฏิบัติให้เหมือนดั่งที่พวกเจ้าได้รับการบอกกล่าวไว้ไม่มีผิด พระวจนะของพระองค์ก็คือน้ำพระทัยของพระองค์ พระวจนะเหล่านั้นคือพระราชกิจที่พระองค์ทรงปรารถนาจะทำ โดยผ่านทางพระวจนะทั้งหลาย เจ้าจะเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงขอให้เจ้าบรรลุ และเจ้าอาจแค่นำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติโดยตรงโดยไม่มีความจำเป็นใดๆ สำหรับการเอามือมาวางเลย  บางคนอาจกล่าวว่า “ขอทรงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวข้าพระองค์!  ขอทรงวางพระหัตถ์ของพระองค์บนตัวข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจได้รับพระพรของพระองค์และเพื่อที่ข้าพระองค์อาจได้เป็นส่วนหนึ่งของพระองค์”  เหล่านี้ทั้งหมดล้วนเป็นการปฏิบัติที่หลงยุคมาจากอดีต เลิกใช้ไปแล้วตอนนี้ เพราะยุคได้เปลี่ยนไปแล้ว  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจโดยสอดคล้องกับยุค ไม่ใช่ทั้งโดยแบบสุ่มและโดยสอดคล้องกับกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่ตั้งไว้  ยุคได้เปลี่ยนไปแล้ว และยุคใหม่จำเป็นต้องนำพาพระราชกิจใหม่ของมันมากับมันด้วย  นี่เป็นความจริงสำหรับทุกช่วงระยะของพระราชกิจ และดังนั้นแล้วพระราชกิจของพระองค์จึงไม่เคยถูกทำซ้ำ  ในยุคพระคุณ พระเยซูได้ทรงทำพระราชกิจประเภทนั้นไปมากมายพอสมควรแล้ว อาทิ การรักษาอาการป่วย การขับไล่ปีศาจ การวางพระหัตถ์บนตัวมนุษย์แล้วอธิษฐานให้เขา และการอวยพรมนุษย์  อย่างไรก็ตาม การทำเช่นนั้นอีกก็คงจะไม่มีความหมายในปัจจุบันนี้  พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ทรงพระราชกิจในหนทางนั้นในกาลเวลานั้น เพราะนั่นเป็นยุคพระคุณ และมีพระคุณพอเพียงสำหรับมนุษย์ที่จะชื่นชม เขาไม่ได้ถูกขอให้จ่ายอะไรเลย และนานตราบที่เขามีความเชื่อ เขาก็จะได้รับพระคุณ  ทุกอย่างได้รับการปฏิบัติไปอย่างเปี่ยมพระคุณมาก  บัดนี้ยุคได้เปลี่ยนไปแล้ว และพระราชกิจของพระเจ้าก็ได้ก้าวหน้าไปอีก นั่นก็คือ โดยผ่านทางการตีสอนและการพิพากษา นี่เองที่ความเป็นกบฏของมนุษย์และสิ่งต่างๆ ที่ไม่สะอาดภายในมนุษย์จะถูกชำระล้างออกไป  ด้วยความที่ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการไถ่ พระเจ้าจึงได้จำเป็นที่จะต้องทรงพระราชกิจในหนทางนั้น โดยการแสดงพระคุณที่เพียงพอสำหรับมนุษย์ที่จะชื่นชม เพื่อที่มนุษย์อาจได้รับการไถ่จากบาป และได้รับการยกโทษต่อบาปทั้งหลายของพวกเขาด้วยวิถีทางของพระคุณ  ช่วงระยะปัจจุบันนี้เป็นไปเพื่อเปิดโปงความไม่ชอบธรรมภายในมนุษย์โดยวิถีทางของการตีสอน การพิพากษา และการเฆี่ยนตีของพระวจนะต่างๆ ตลอดจนการบ่มวินัยและวิวรณ์แห่งพระวจนะ เพื่อที่มนุษยชาติอาจได้รับการช่วยให้รอดหลังจากนั้น  พระราชกิจนี้ลงรายละเอียดลึกกว่าการไถ่  พระคุณในยุคพระคุณนั้นพอเพียงสำหรับความชื่นชมยินดีของมนุษย์ ตอนนี้ที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์กับพระคุณไปแล้ว เขาจะไม่ได้ชื่นชมกับมันอีกต่อไป  ตอนนี้ พระราชกิจนี้ได้ผ่านกาลเวลาของมันมาแล้วและไม่ต้องกระทำอีกต่อไปแล้ว  ตอนนี้มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดโดยผ่านทางการพิพากษาของพระวจนะ  หลังจากที่มนุษย์ถูกพิพากษา ตีสอน และถลุงแล้ว อุปนิสัยของเขาก็จะเปลี่ยนไปด้วยการเช่นนั้นเอง  ทั้งหมดนี้มิใช่เป็นเพราะพระวจนะทั้งหลายที่เราได้กล่าวไปหรอกหรือ?  แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจนั้นได้ถูกทำไปในแนวเดียวกับความก้าวหน้าของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งองค์รวมและกับยุคนั้น  พระราชกิจทั้งหมดล้วนมีนัยสำคัญ และทั้งหมดถูกทำไปเพื่อประโยชน์ของความรอดสุดท้ายที่มวลมนุษย์อาจมีบั้นปลายที่ดีในอนาคต และที่มนุษยชาติอาจได้รับการจำแนกชนชั้นไปตามประเภทในที่สุด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 14

แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์พึงต้องมีคำพยานของมนุษย์ด้วย  แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจคือการต่อสู้ระหว่างพระเจ้ากับซาตาน และเป้าหมายของการต่อสู้คือซาตาน ในขณะที่ผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระราชกิจนี้คือมนุษย์  พระราชกิจของพระเจ้าจะสามารถเกิดผลได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับลักษณะของคำพยานต่อพระเจ้าของมนุษย์  คำพยานนี้คือสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากบรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ นี่คือคำพยานที่ทำขึ้นต่อหน้าซาตาน และยังเป็นข้อพิสูจน์ถึงผลแห่งพระราชกิจของพระองค์ด้วย  การบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าได้รับการแบ่งออกเป็นสามช่วงระยะ และในแต่ละช่วงระยะมีข้อพึงประสงค์ที่เหมาะสมต่อมนุษย์ถูกกำหนดขึ้น  ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อยุคต่างๆ ผ่านเข้ามาและเคลื่อนไปข้างหน้า ข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ทั้งหมดก็กลายเป็นสูงขึ้นทุกที  ดังนั้น พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้านี้จึงมาถึงจุดสำคัญสูงสุดของมันอย่างเป็นขั้นเป็นตอน จนกระทั่งมนุษย์มองเห็นข้อเท็จจริงของ “การทรงปรากฏเป็นมนุษย์ของพระวจนะ” และในหนทางนี้ ข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ย่อมกลายเป็นสูงขึ้นอีก เช่นเดียวกับข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ในการกล่าวคำพยาน  ยิ่งมนุษย์สามารถร่วมมือกับพระเจ้าอย่างแท้จริงมากขึ้นเท่าใด พระเจ้ายิ่งขึ้นได้รับพระสิริมากขึ้นเท่านั้น  ความร่วมมือของมนุษย์คือคำพยานที่เขาพึงต้องกล่าว และคำพยานที่เขากล่าวก็คือการปฏิบัติของมนุษย์  ดังนั้น การที่พระราชกิจของพระเจ้าจะสามารถมีผลที่ถูกต้องเหมาะสมได้หรือไม่ และการที่จะสามารถมีคำพยานที่จริงแท้ได้หรือไม่นั้น ย่อมเชื่อมโยงกับความร่วมมือและคำพยานของมนุษย์อย่างแยกจากกันไม่ได้  เมื่อพระราชกิจได้รับการทำให้แล้วเสร็จ กล่าวคือ เมื่อการบริหารจัดการทั้งหมดของพระเจ้าได้ไปถึงบทอวสานของมัน มนุษย์พึงจะต้องเป็นคำพยานที่สูงขึ้น และเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงบทอวสานของมัน การปฏิบัติและการเข้าสู่ของมนุษย์ก็จะไปถึงจุดสูงสุดของมันด้วย  ในอดีต มนุษย์พึงต้องทำตามธรรมบัญญัติและพระบัญญัติ และเขาพึงต้องอดทนและถ่อมใจ  วันนี้ มนุษย์พึงต้องเชื่อฟังการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระเจ้าและพึงต้องมีความรักสูงสุดให้พระเจ้า และในท้ายที่สุดแล้วเขายังคงพึงต้องรักพระเจ้าท่ามกลางความทุกข์ลำบาก  สามช่วงระยะนี้คือข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์อย่างเป็นขั้นเป็นตอนโดยตลอดการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์  แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระเจ้าจึงยิ่งลึกซึ้งกว่าช่วงระยะก่อนหน้า และในแต่ละช่วงระยะ ข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ก็ยิ่งลุ่มลึกกว่าช่วงระยะก่อนหน้า และในหนทางนี้ การบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าย่อมค่อยๆ เป็นรูปเป็นร่างขึ้น  การที่อุปนิสัยของมนุษย์เข้ามาใกล้มาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ยิ่งขึ้นนั้นเป็นเพราะข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์สูงยิ่งขึ้นทุกทีนั่นเอง และเมื่อนั้นเท่านั้นที่มวลมนุษย์ทั้งปวงจะเริ่มค่อยๆ แยกห่างจากอิทธิพลของซาตาน จนกระทั่งมวลมนุษย์ทั้งหมดจะได้รับการช่วยให้รอดจากอิทธิพลของซาตานเมื่อพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงปลายทางที่ครบบริบูรณ์  เมื่อเวลานั้นมาถึง พระราชกิจของพระเจ้าจะได้ไปถึงบทอวสานของมัน และความร่วมมือกับพระเจ้าของมนุษย์เพื่อสัมฤทธิ์การเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของเขาก็จะไม่มีอีกต่อไป และมวลมนุษย์ทั้งหมดจะใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้า และจากนั้นเป็นต้นไป จะไม่มีการกบฏหรือการต่อต้านพระเจ้า  พระเจ้าจะไม่ทรงมีข้อเรียกร้องใดๆ ต่อมนุษย์ด้วยเช่นกัน และระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าจะมีความร่วมมือที่กลมเกลียวขึ้น ความร่วมมือที่จะเป็นชีวิตของมนุษย์และพระเจ้าร่วมกัน ชีวิตที่มาถึงหลังจากที่การบริหารจัดการของพระเจ้าได้สรุปปิดตัวอย่างครบบริบูรณ์ และหลังจากที่พระเจ้าได้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดอย่างครบถ้วนจากเงื้อมมือของซาตาน  พวกที่ไม่สามารถติดตามย่างพระบาทของพระเจ้าได้อย่างใกล้ชิดย่อมไม่สามารถบรรลุชีวิตเช่นนั้นได้  พวกเขาจะได้ทำให้ตัวพวกเขาเองตกต่ำลงไปสู่ความมืด ที่ที่พวกเขาจะร่ำไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของพวกเขา พวกเขาคือผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่ติดตามพระองค์ พวกที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่เชื่อฟังพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 15

ในพระราชกิจบริหารจัดการทั้งปวงนั้น พระราชกิจที่สำคัญที่สุดคือการช่วยมนุษย์ให้รอดจากอิทธิพลของซาตาน  พระราชกิจสำคัญคือการพิชิตชัยที่ครบบริบูรณ์ต่อมนุษย์ที่เสื่อมทราม จึงเป็นการฟื้นฟูความเคารพดั้งเดิมต่อพระเจ้าในหัวใจของมนุษย์ที่ได้รับการพิชิต และเป็นการเปิดโอกาสให้เขาสัมฤทธิ์ผลชีวิตปกติ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ชีวิตปกติของสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้า  พระราชกิจนี้สำคัญยิ่ง และมันเป็นแกนของพระราชกิจการบริหารจัดการ  ในสามช่วงระยะของพระราชกิจแห่งการไถ่นั้น ช่วงระยะที่หนึ่งของพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติอยู่ห่างไกลจากแกนของพระราชกิจการบริหารจัดการ มันได้มีการทรงปรากฏของพระราชกิจแห่งความรอดเพียงน้อยนิดเท่านั้น และไม่ใช่การเริ่มต้นของพระราชกิจของพระเจ้าในการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนครอบครองของซาตาน  พระราชกิจช่วงระยะแรกกระทำโดยพระวิญญาณโดยตรงเพราะภายใต้ธรรมบัญญัตินั้น มนุษย์รู้จักเพียงการปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเท่านั้น และมนุษย์ไม่ได้มีความจริงมากขึ้น และเพราะพระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติแทบจะไม่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนอุปนิสัยของมนุษย์ นับประสาอะไรที่มันจะเกี่ยวข้องกับพระราชกิจเกี่ยวกับวิธีที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนครอบครองของซาตาน  ด้วยเหตุนี้ พระวิญญาณของพระเจ้าจึงได้ทรงทำให้พระราชกิจช่วงระยะที่เรียบง่ายอย่างยิ่งนี้ครบบริบูรณ์ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์  พระราชกิจช่วงระยะแรกนี้มีความสัมพันธ์เล็กน้อยกับแกนของการบริหารจัดการ และมันไม่ได้มีความเกี่ยวพันที่ยิ่งใหญ่กับพระราชกิจที่เป็นกิจจะลักษณะแห่งความรอดของมนุษย์ และมันจึงไม่มีความจำเป็นที่พระเจ้าต้องทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์โดยพระองค์เอง  พระราชกิจที่กระทำโดยพระวิญญาณนั้นแสดงเป็นนัยและมิอาจหยั่งลึกได้ และมันน่ากลัวอย่างลึกซึ้งและไม่อาจเข้าถึงได้สำหรับมนุษย์ พระวิญญาณไม่ทรงเหมาะที่จะทรงพระราชกิจแห่งความรอดโดยตรง และไม่ทรงเหมาะที่จะจัดเตรียมชีวิตให้มนุษย์โดยตรง  ที่เหมาะสมที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือการแปลงรูปพระราชกิจของพระวิญญาณมาเป็นแนวทางที่ใกล้ชิดกับมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับมนุษย์ก็คือการที่พระเจ้าทรงกลายมาเป็นบุคคลปกติธรรมดาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์  การนี้จำเป็นที่พระเจ้าต้องทรงจุติเป็นมนุษย์เพื่อรับตำแหน่งของพระวิญญาณในพระราชกิจของพระองค์ และเพื่อมนุษย์แล้ว ไม่มีหนทางที่เหมาะสมอีกแล้วสำหรับพระเจ้าที่จะทรงพระราชกิจ  ท่ามกลางพระราชกิจสามช่วงระยะเหล่านี้นั้น สองช่วงระยะดำเนินการโดยเนื้อหนัง และสองช่วงระยะเหล่านี้เป็นระยะสำคัญของพระราชกิจการบริหารจัดการ  การจุติเป็นมนุษย์สองครั้งนี้เป็นสิ่งเสริมความสมบูรณ์ของทั้งสองฝ่าย และทั้งสองครั้งนั้นก็เสริมความสมบูรณ์ซึ่งกันและกันอย่างเพียบพร้อม  ช่วงระยะแรกของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าได้วางรากฐานสำหรับช่วงระยะที่สอง และสามารถกล่าวได้ว่า การจุติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งของพระเจ้านั้นก่อให้เกิดความครบถ้วนหนึ่งเดียว และไม่ได้เป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง  พระราชกิจสองช่วงระยะเหล่านี้ของพระเจ้าดำเนินการโดยพระเจ้าในพระอัตลักษณ์ซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระองค์เพราะทั้งสองช่วงระยะนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อพระราชกิจการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวล  มันเกือบจะกล่าวได้ว่า หากไม่มีพระราชกิจแห่งการจุติเป็นมนุษย์ทั้งสองครั้งของพระเจ้าแล้ว พระราชกิจการบริหารจัดการทั้งหมดทั้งมวลก็คงจะหยุดชะงักไปแล้ว และพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดก็คงจะไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากการพูดลอยๆ  การที่พระราชกิจนี้จะมีความสำคัญหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความจำเป็นของมวลมนุษย์ ขึ้นอยู่กับความเป็นจริงเกี่ยวกับความชั่วช้าของมวลมนุษย์ และขึ้นอยู่กับความรุนแรงในการไม่เชื่อฟังของซาตานและการรบกวนของมันต่อพระราชกิจ  ผู้ที่เหมาะสมดีพอสำหรับภารกิจนี้ได้รับการยืนยันตามธรรมชาติของพระราชกิจที่ปฏิบัติโดยคนงาน และความสำคัญของพระราชกิจ  เมื่อกล่าวถึงความสำคัญของพระราชกิจนี้ ในแง่ของวิธีการทรงพระราชกิจแบบใดที่จะนำมาใช้—พระราชกิจที่กระทำโดยพระวิญญาณของพระเจ้าโดยตรง หรือพระราชกิจที่กระทำโดยพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ หรือพระราชกิจที่กระทำโดยผ่านทางมนุษย์—สิ่งแรกที่จะถูกตัดทิ้งไปคือพระราชกิจที่กระทำโดยผ่านทางมนุษย์ และตามธรรมชาติของพระราชกิจ และธรรมชาติของพระราชกิจของพระวิญญาณเปรียบเทียบกับพระราชกิจของเนื้อหนังนั้น ในท้ายที่สุดจะถูกตัดสินว่า พระราชกิจที่กระทำโดยเนื้อหนังนั้นมีคุณประโยชน์ต่อมนุษย์มากกว่าพระราชกิจที่กระทำโดยพระวิญญาณโดยตรง และว่ามันให้ข้อได้เปรียบต่างๆ  มากกว่า  นี่คือความคิดของพระเจ้าเมื่อครั้งที่พระองค์ทรงตัดสินว่าพระราชกิจนั้นต้องกระทำโดยพระวิญญาณหรือโดยเนื้อหนังกันแน่  มีนัยสำคัญอย่างหนึ่งและพื้นฐานหนึ่งกับพระราชกิจแต่ละช่วงระยะ  แต่ละช่วงระยะนั้นมิใช่การจินตนาการต่างๆ  ที่ไร้เหตุผล และแต่ละช่วงระยะนั้นมิได้ดำเนินการไปโดยไม่มีกฎเกณฑ์ มีปัญญาเฉพาะอย่างหนึ่งกับแต่ละช่วงระยะ  เช่นนั้นคือความจริงเบื้องหลังพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผนการของพระเจ้าในพระราชกิจที่ยิ่งใหญ่เช่นนั้นจะมีมากยิ่งขึ้นอีกขณะที่พระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์กำลังทรงพระราชกิจโดยพระองค์เองท่ามกลางมนุษย์  ดังนั้น พระปรีชาญาณของพระเจ้าและความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งการทรงเป็นของพระองค์จึงสะท้อนอยู่ในทุกการกระทำ ความคิด และแนวคิดในพระราชกิจของพระองค์ นี่คือการทรงเป็นของพระเจ้าที่เป็นรูปธรรมและเป็นระบบมากยิ่งขึ้น  ความคิดและแนวคิดที่ละเอียดอ่อนเหล่านี้เป็นเรื่องยากสำหรับมนุษย์ที่จะจินตนาการ และยากสำหรับมนุษย์ที่จะเชื่อ และยิ่งไปกว่านั้น ยากสำหรับมนุษย์ที่จะรู้  งานที่มนุษย์ทำนั้นทำไปตามหลักการทั่วไป ซึ่งสำหรับมนุษย์แล้วเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างสูง  ถึงกระนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว ก็มีความแตกต่างกันมากเกินไปเท่านั้น ถึงแม้ว่ากิจการทั้งหลายของพระเจ้าจะยิ่งใหญ่และพระราชกิจของพระเจ้าจะเป็นพระราชกิจที่มีขนาดใหญ่โตอลังการ แต่เบื้องหลังของกิจการและพระราชกิจเหล่านั้นคือบรรดาแผนการและการจัดการเตรียมการทั้งหลายที่ประณีตและถูกต้องแม่นยำที่มนุษย์ไม่อาจจินตนาการได้  พระราชกิจแต่ละช่วงระยะของพระองค์มิใช่เพียงปฏิบัติไปตามหลักการเท่านั้น แต่ทว่าแต่ละช่วงระยะนั้นยังบรรจุสิ่งต่างๆ  มากมายที่ไม่สามารถแสดงชัดเป็นภาษาของมนุษย์ได้ และเหล่านี้คือสิ่งต่างๆ ที่ไม่ปรากฏแก่ตาของมนุษย์  ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจของพระวิญญาณหรือพระราชกิจของพระเจ้าซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ แต่ละพระราชกิจบรรจุแผนการต่างๆ  แห่งพระราชกิจของพระองค์  พระองค์มิได้ทรงพระราชกิจอย่างไร้เหตุผล และพระองค์มิได้ทรงพระราชกิจที่ไม่มีนัยสำคัญ  เมื่อพระวิญญาณทรงพระราชกิจโดยตรง มันเป็นไปด้วยเป้าหมายทั้งหลายของพระองค์ และเมื่อพระองค์ทรงกลายมาเป็นมนุษย์ (กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เมื่อพระองค์ทรงแปลงรูปเปลือกนอกของพระองค์) เพื่อทรงพระราชกิจ มันก็เป็นไปด้วยจุดประสงค์ของพระองค์ที่มากยิ่งขึ้นอีก  พระองค์จะเปลี่ยนพระอัตลักษณ์ของพระองค์โดยง่ายเพื่อเหตุผลใดอีก?  พระองค์จะทรงกลายมาเป็นบุคคลที่ถูกมองว่าต่ำต้อยและถูกข่มเหงโดยง่ายด้วยสาเหตุใดได้อีก?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจำเป็นต้องมีความรอดจากพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏในรูปมนุษย์มากกว่า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 16

พระราชกิจของวันนี้ได้ผลักให้พระราชกิจของยุคพระคุณเดินหน้าต่อ กล่าวคือ พระราชกิจภายใต้แผนการบริหารจัดการทั้งหกพันปีได้เดินหน้าแล้ว  แม้ว่ายุคพระคุณได้สิ้นสุดลงแล้ว แต่พระราชกิจของพระเจ้าก็ยังมีความก้าวหน้า  เหตุใดกันเล่า เราจึงกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพระราชกิจระยะนี้ต่อยอดมาจากยุคพระคุณและยุคธรรมบัญญัติ?  ก็เพราะพระราชกิจของวันนี้เป็นการสานต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคพระคุณ และเป็นความก้าวหน้าต่อจากพระราชกิจที่แล้วเสร็จไปในยุคธรรมบัญญัติ  พระราชกิจทั้งสามช่วงระยะนี้เชื่อมโยงกันและกันอย่างแน่นแฟ้น โดยที่ข้อต่อแต่ละข้อในสายโซ่เชื่อมต่อกับข้อถัดไปอย่างสนิทแนบแน่น  แล้วเหตุใดเราจึงกล่าวเช่นกันว่าพระราชกิจของช่วงระยะนี้จึงต่อยอดจากสิ่งที่พระเยซูได้ทรงกระทำจนแล้วเสร็จไป?  สมมุติว่าพระราชกิจช่วงระยะนี้ไม่ได้ต่อยอดจากพระราชกิจที่พระเยซูทรงได้กระทำจนแล้วเสร็จไป จะต้องมีการตรึงกางเขนเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงระยะนี้ และจะต้องมีการดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ของช่วงระยะก่อนหน้าใหม่ทั้งหมดอีกครั้ง  สิ่งนี้จะไร้ความหมาย  และดังนั้นจึงไม่ใช่ว่าพระราชกิจได้เสร็จสิ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แต่ยุคได้เดินหน้าต่อ และระดับของพระราชกิจได้ยกสูงขึ้นกว่าก่อนหน้านี้  สามารถกล่าวได้ว่าพระราชกิจในช่วงระยะนี้สร้างขึ้นโดยใช้ยุคธรรมบัญญัติเป็นรากฐาน และต่อยอดจากพระศิลาของพระราชกิจของพระเยซู  พระราชกิจของพระเจ้าได้รับการสร้างขึ้นเป็นช่วงระยะ และช่วงระยะนี้ไม่ใช่จุดเริ่มต้นใหม่  เพียงการผสานรวมกันของพระราชกิจสามระยะเท่านั้นที่อาจถือเป็นแผนการบริหารจัดการหกพันปี  พระราชกิจในระยะนี้แล้วเสร็จโดยมียุคพระคุณเป็นรากฐาน  หากพระราชกิจสองระยะนี้ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วเหตุใดการตรึงกางเขนจึงไม่ถูกกระทำซ้ำในระยะนี้?  เหตุใดเราจึงไม่ต้องแบกรับบาปของมนุษย์ แต่มาพิพากษาและตีสอนมนุษย์โดยตรงแทน?  หากงานของเราในการพิพากษาและตีสอนมนุษย์ไม่ได้เกิดตามหลังการตรึงกางเขน ด้วยการมาของเราในตอนนี้ที่ไม่ได้เกิดจากเดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นแล้วเราจะไม่มีคุณสมบัติที่จะพิพากษาและตีสอนมนุษย์เลย  เรามาตีสอนและพิพากษามนุษย์โดยตรงได้ก็เพราะเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูนั่นเอง  พระราชกิจในช่วงระยะนี้ทั้งหมดต่อยอดมาจากพระราชกิจในช่วงระยะก่อนหน้า  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงมีเพียงพระราชกิจในลักษณะนี้เท่านั้นที่สามารถนำพามนุษย์มาสู่ความรอดอย่างเป็นขั้นเป็นตอนได้  พระเยซูและเรามาจากวิญญาณหนึ่งเดียว  แม้เราไม่มีความเกี่ยวข้องกันในเนื้อหนังมนุษย์ของเรา แต่วิญญาณของเราเป็นหนึ่งเดียว แม้เนื้อหาของสิ่งที่เราทำและงานที่เราดำเนินจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เราก็มีแก่นแท้ที่เหมือนกัน เนื้อหนังมนุษย์ของเรามีรูปร่างแตกต่างกัน แต่นี่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยและข้อพึงประสงค์ที่ต่างกันออกไปในงานของเรา พันธกิจของเราไม่เหมือนกัน ดังนั้นงานที่เราทำให้เกิดขึ้นและอุปนิสัยที่เราเปิดเผยต่อมนุษย์จึงแตกต่างกันด้วยเช่นกัน  นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมสิ่งที่มนุษย์มองเห็นและเข้าใจในวันนี้จึงไม่เหมือนกับในอดีต นั่นเป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย  ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์ทรงแตกต่างกันในเพศและรูปสัณฐานของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสอง และที่พระองค์ทั้งสองจะไม่ได้ทรงกำเนิดในครอบครัวเดียวกัน และยิ่งไม่ได้ทรงกำเนิดในช่วงเวลาเดียวกัน แต่กระนั้น พระวิญญาณของพระองค์ทั้งสองก็เป็นหนึ่งเดียว  แม้เนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองไม่ได้ร่วมสายโลหิตกันและไม่มีความเป็นญาติมิตรในลักษณะใดต่อกันทางกายภาพ แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าพระองค์ทั้งสองทรงเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมาในสองช่วงเวลาที่ต่างกัน  เป็นความจริงที่มิอาจหักล้างได้ว่าพระองค์ทั้งสองเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมา  อย่างไรก็ตาม พระองค์ทั้งสองไม่ได้ทรงเป็นสายเลือดเดียวกันและไม่ได้ทรงร่วมใช้ภาษามนุษย์เดียวกัน (พระองค์หนึ่งเป็นชายซึ่งตรัสภาษาของพวกยิว และอีกพระองค์เป็นหญิงซึ่งตรัสภาษาจีนเท่านั้น)  ด้วยเหตุผลเหล่านี้ พระองค์ทั้งสองจึงทรงใช้ชีวิตคนละประเทศ เพื่อปฏิบัติพระราชกิจตามที่มีความเหมาะสมกับแต่ละพระองค์ และในช่วงเวลาที่แตกต่างด้วยเช่นกัน  แม้พระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระวิญญาณเดียวกันที่มีแก่นแท้เดียวกัน แต่เปลือกนอกของเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองก็ไม่มีความคล้ายกันโดยสิ้นเชิง  ทั้งหมดที่พระองค์ทั้งสองทรงมีเหมือนกันคือสภาวะความเป็นมนุษย์ แต่สำหรับรูปลักษณ์ภายนอกของเนื้อหนังมนุษย์และรูปการณ์แวดล้อมในการประสูติของพระองค์ทั้งสองแล้ว พระองค์ทั้งสองไม่เหมือนกัน  สิ่งเหล่านี้ไม่มีผลกระทบต่อพระราชกิจเฉพาะของทั้งสองพระองค์ หรือความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระองค์ทั้งสอง เพราะในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้ายแล้ว พระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระวิญญาณเดียวกันและไม่มีใครสามารถแยกพระองค์ทั้งสองออกจากกันได้  ถึงแม้ว่าพระองค์ทั้งสองไม่ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือด แต่การดำรงอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ทั้งสองอยู่ภายใต้การควบคุมโดยพระวิญญาณของพระองค์ ซึ่งทรงจัดสรรพระราชกิจที่แตกต่างกันในช่วงเวลาที่แตกต่างกันให้แก่พระองค์ทั้งสอง และเนื้อหนังมนุษย์ของพระองค์ทั้งสองก็มีสายเลือดที่ต่างกัน  พระวิญญาณของพระยาห์เวห์ไม่ใช่พระบิดาของพระวิญญาณของพระเยซู และพระวิญญาณของพระเยซูไม่ใช่พระบุตรของพระวิญญาณของพระยาห์เวห์  พระวิญญาณเหล่านี้เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกัน  ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์ในวันนี้กับพระเยซูนั้นมิได้ทรงมีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกัน แต่พระองค์ทั้งสองทรงเป็นหนึ่งเดียวกัน นี่เป็นเพราะพระวิญญาณของพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน  พระเจ้าทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจแห่งความปรานีและความรักมั่นคง รวมทั้งพระราชกิจการพิพากษาอันชอบธรรมและการตีสอนมนุษย์ และพระราชกิจการสาปแช่งมนุษย์ และในท้ายที่สุด พระองค์จึงทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจในการทำลายโลกและการลงโทษคนชั่วได้  พระองค์ไม่ได้ทรงทำทั้งหมดนี้ด้วยพระองค์เองหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่ฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระเจ้าหรอกหรือ?  พระองค์ทรงสามารถทั้งประกาศธรรมบัญญัติให้แก่มนุษย์และออกพระบัญญัติให้แก่เขา และพระองค์ยังสามารถทรงนำทางคนอิสราเอลในยุคแรกในการใช้ชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลกและทรงนำพวกเขาในการสร้างวิหารและแท่นบูชา และเก็บคนอิสราเอลทั้งหมดไว้ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์  เพราะสิทธิอำนาจของพระองค์ พระองค์ทรงใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกร่วมกับประชาชนอิสราเอลเป็นเวลาสองพันปี  คนอิสราเอลไม่กล้ากบฏต่อพระองค์ ทุกคนเคารพพระยาห์เวห์ และปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์  สิ่งนั้นคือพระราชกิจที่ทรงกระทำโดยอาศัยสิทธิอำนาจของพระองค์และฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์  จากนั้น ในช่วงระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูเสด็จมาเพื่อไถ่มวลมนุษย์ทั้งหมดที่ตกในบาป (ไม่ใช่แค่คนอิสราเอลเท่านั้น)  พระองค์ทรงแสดงความปรานีและความรักมั่นคงต่อมนุษย์  พระเยซูที่มนุษย์เห็นในยุคพระคุณนั้นทรงเปี่ยมด้วยความรักมั่นคงและมีความรักให้แก่มนุษย์อยู่เสมอ เพราะพระองค์เสด็จมาเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาป  พระองค์ทรงสามารถยกโทษมนุษย์จากบาปของพวกเขาจนกระทั่งการตรึงกางเขนของพระองค์ได้ไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ได้โดยสมบูรณ์  ในระหว่างช่วงเวลานี้ พระเจ้าทรงปรากฏต่อหน้ามนุษย์พร้อมกับความปรานีและความรักมั่นคง กล่าวคือ พระองค์ทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปให้กับมนุษย์ และทรงถูกตรึงกางเขนเพราะบาปของมนุษย์ เพื่อที่พวกเขาอาจได้รับการยกโทษไปตลอดกาล  พระองค์ทรงเปี่ยมความปรานี ความสงสารเห็นใจ ความอดทน และความรัก  และในทำนองเดียวกัน ทุกคนที่ติดตามพระเยซูในยุคพระคุณก็พยายามที่จะอดทนและรักในทุกสรรพสิ่ง  พวกเขาทนทุกข์ทรมานยาวนาน และไม่เคยตอบโต้แม้เมื่อถูกทุบตี ถูกสาปแช่ง หรือถูกขว้างปาด้วยหิน  แต่ในระหว่างช่วงระยะสุดท้ายนั้นก็ไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้อีกต่อไป  พระราชกิจของพระเยซูและพระยาห์เวห์ไม่เหมือนกันไปเสียทั้งหมด แม้ว่าพระองค์จะทรงเป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวก็ตาม  พระราชกิจของพระยาห์เวห์ไม่ได้นำยุคมาถึงจุดจบ หากแต่ทรงนำยุค นำมาซึ่งชีวิตของมนุษย์บนแผ่นดินโลก และพระราชกิจในวันนี้คือการพิชิตบรรดาผู้ที่อยู่ในประชาชาติซึ่งถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก และไม่ใช่เพื่อที่จะทรงนำทางแค่ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรในประเทศจีนเท่านั้น แต่ในทั่วทั้งจักรวาลและมวลมนุษย์ทั้งปวงด้วย  สำหรับเจ้าอาจดูเหมือนว่าพระราชกิจนี้กำลังได้รับการปฏิบัติอยู่แค่ในประเทศจีนเท่านั้น แต่โดยข้อเท็จจริงแล้ว พระราชกิจนี้ได้เริ่มแพร่กระจายไปยังต่างประเทศแล้ว  เพราะเหตุใดผู้คนนอกประเทศจีนจึงแสวงหาหนทางที่แท้จริงซ้ำแล้วซ้ำเล่า?  นั่นเป็นเพราะพระวิญญาณทรงเริ่มปฏิบัติพระราชกิจแล้ว และพระวจนะที่ตรัสในปัจจุบันได้รับการชี้นำไปยังผู้คนทั่วทั้งจักรวาล  ด้วยสิ่งนี้ พระราชกิจครึ่งหนึ่งได้อยู่ระหว่างการดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  นับจากการทรงสร้างโลกมาจนถึงปัจจุบัน พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงทำให้พระราชกิจอันยิ่งใหญ่นี้เริ่มเคลื่อนไหวแล้ว และยิ่งไปกว่านั้น ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจที่แตกต่างกันในยุคซึ่งแตกต่างกัน และท่ามกลางชนชาติที่แตกต่างกัน  ผู้คนในแต่ละยุคมองเห็นอุปนิสัยหนึ่งของพระองค์ที่แตกต่างออกไป ซึ่งได้รับการเปิดเผยอย่างเป็นธรรมชาติผ่านพระราชกิจอันแตกต่างที่พระองค์ทรงปฏิบัติ  พระองค์คือพระเจ้า ทรงเปี่ยมด้วยความปรานีและความรักมั่นคง พระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์และเป็นผู้เลี้ยงของมนุษย์ แต่ก็ยังทรงเป็นการพิพากษา การตีสอน และการสาปแช่งมนุษย์ด้วยเช่นกัน  พระองค์ทรงสามารถนำทางมนุษย์ให้ใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกเป็นเวลาถึงสองพันปี และพระองค์ยังสามารถไถ่มวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามจากบาปด้วยเช่นกัน  ในวันนี้ พระองค์ยังสามารถพิชิตมวลมนุษย์ที่ไม่รู้จักพระองค์ และปราบพวกเขาให้หมอบราบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ เพื่อให้พวกเขาทั้งหมดนบนอบต่อพระองค์อย่างสุดใจ  ในท้ายที่สุด พระองค์จะทรงเผาผลาญทุกสิ่งที่เป็นมลทินและไม่ชอบธรรมภายในผู้คนทั่วทั้งจักรวาลทิ้งไป เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นว่าพระองค์ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้มีความรักและเปี่ยมความปรานีเท่านั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้ทรงมีพระปรีชาญาณและการอัศจรรย์เท่านั้น ไม่ใช่แค่พระเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แต่ที่ยิ่งกว่านั้น ยังทรงเป็นพระเจ้าผู้พิพากษามนุษย์ด้วย  พระองค์ทรงเป็นการเผาผลาญ การพิพากษา และการลงโทษสำหรับพวกคนชั่วในท่ามกลางมวลมนุษย์  ส่วนบรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้เพียบพร้อม พระองค์ทรงเป็นความทุกข์ลำบาก กระบวนการถลุง และการทดสอบ รวมทั้งเป็นความชูใจ การค้ำจุน การจัดเตรียมพระวจนะ การจัดการ และการตัดแต่ง  และสำหรับผู้ที่จะถูกขับออกไป  พระองค์ทรงเป็นการลงโทษและบทลงโทษ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 17

หลังจากได้มีการดำเนินพระราชกิจหกพันปีของพระองค์จนเสร็จสิ้นตลอดมาจนถึงปัจจุบันแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงเปิดเผยการกระทำต่างๆ ของพระองค์ไปมากมายเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งจุดประสงค์อันดับแรกสุดของการนั้นก็คือการได้มอบความปราชัยให้ซาตานและนำพาความรอดมาสู่มนุษยชาติ  พระองค์กำลังทรงใช้โอกาสนี้ในการเปิดโอกาสให้ทุกสิ่งทุกอย่างในสวรรค์ ทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลก ทุกสิ่งทุกอย่างภายในท้องทะเล และวัตถุทุกๆ ชิ้นแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้เห็นพระมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ และเป็นพยานต่อการกระทำทั้งหมดของพระองค์  พระองค์กำลังทรงรีบฉวยโอกาสนี้ที่ถูกจัดเตรียมให้ โดยการที่พระองค์ทรงมอบความปราชัยให้กับซาตาน ทำการเปิดเผยกิจการของพระองค์ทั้งหมดต่อมนุษย์ และทำให้พวกเขาสามารถสรรเสริญพระองค์และยกย่องพระปรีชาญาณของพระองค์ในการทำให้ซาตานปราชัย  ทุกสิ่งทุกอย่างบนแผ่นดินโลก ในฟ้าสวรรค์ และภายในท้องทะเลนำพาพระสิริมาสู่พระเจ้า สรรเสริญพระมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ สรรเสริญทุกๆ กิจการของพระองค์ และโห่ร้องพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์  นี่คือบทพิสูจน์แห่งการมอบความปราชัยให้กับซาตานของพระองค์ มันคือบทพิสูจน์ของการกำราบซาตานของพระองค์  ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ เป็นบทพิสูจน์ของความรอดแห่งมนุษยชาติของพระองค์  องค์รวมแห่งการทรงสร้างของพระองค์นำพาพระสิริมาสู่พระองค์ สรรเสริญพระองค์สำหรับการมอบความปราชัยให้กับศัตรูของพระองค์และการทรงกลับมาอย่างมีชัยชนะ และเชิดชูพระองค์ในฐานะมหากษัตริย์ผู้ทรงชัยชนะ  พระประสงค์ของพระองค์ไม่ใช่แค่เพียงทำให้ซาตานปราชัย ซึ่งเป็นเหตุผลที่พระราชกิจของพระองค์ได้สานต่อเป็นเวลาหกพันปี  พระองค์ทรงใช้ความปราชัยของซาตานในการช่วยมนุษยชาติให้รอด พระองค์ทรงใช้ความปราชัยของซาตานในการเปิดเผยการกระทำทั้งหมดของพระองค์และพระสิริทั้งปวงของพระองค์  พระองค์จะทรงได้รับพระสิริ และมวลชนของทูตสวรรค์จะมองเห็นพระสิริทั้งปวงของพระองค์  ทูตทั้งหลายในสวรรค์ พวกมนุษย์บนแผ่นดินโลก และวัตถุแห่งการทรงสร้างทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะมองเห็นพระสิริแห่งผู้ทรงสร้าง  นี่คือพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำ  การทรงสร้างของพระองค์ในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลกจะเป็นพยานให้แก่พระสิริของพระองค์ทั้งสิ้น และพระองค์จะทรงกลับมาอย่างมีชัยหลังจากที่ได้มอบความปราชัยแก่ซาตานอย่างถึงที่สุด และอำนวยให้มนุษยชาติได้สรรเสริญพระองค์ ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการสัมฤทธิ์ชัยชนะเป็นสองเท่าในพระราชกิจของพระองค์  ในตอนสุดท้ายมนุษยชาติทั้งผองจะถูกพิชิตโดยพระองค์ และพระองค์จะทรงกวาดล้างผู้ใดก็ตามที่ต้านทานหรือกบฏ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระองค์จะทรงกวาดล้างพวกที่เป็นของซาตานทั้งหมด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรรู้ว่าองค์รวมแห่งมนุษยชาติได้พัฒนามาจนถึงปัจจุบันอย่างไร

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 18

พระราชกิจซึ่งพระยาห์เวห์ทรงกระทำกับผู้คนแห่งอิสราเอลนั้นเป็นการสถาปนาสถานกำเนิดของพระเจ้าในโลกนี้ขึ้นท่ามกลางมนุษยชาติอันเป็นสถานศักดิ์สิทธ์ที่พระองค์สถิตอยู่เช่นกัน  พระองค์ทรงจำกัดพระราชกิจของพระองค์ไว้เฉพาะกับประชาชนคนอิสราเอล  ในตอนแรกเริ่มนั้น พระองค์มิได้ทรงราชกิจนอกเขตประเทศอิสราเอล ทว่าทรงเลือกประชาชนที่พระองค์ทรงเห็นว่าเหมาะสมเพื่อจะทรงจำกัดวงเขตพระราชกิจของพระองค์  ประเทศอิสราเอลคือสถานที่ซึ่งพระเจ้าทรงสร้างอาดัมกับเอวา และ พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นจากผงคลีดินแห่งสถานที่นั้น สถานที่แห่งนี้ได้กลายเป็นฐานที่ตั้งแห่งพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก  ผู้คนแห่งอิสราเอลซึ่งเป็นพงศ์พันธุ์ของโนอาห์และเป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัมเช่นกันคือรากฐานมนุษย์แห่งพระราชกิจของพระยาห์เวห์บนโลก

ในยุคนี้ นัยสำคัญ วัตถุประสงค์และขั้นตอนแห่งพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในประเทศอิสราเอลนั้นเป็นไปเพื่อริเริ่มพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกทั้งหมดทุกส่วน โดยใช้อิสราเอลเป็นศูนย์กลาง แล้วค่อยๆ แผ่กระจายไปสู่ต่างชาติทั้งหลาย  นี่คือหลักการที่พระองค์จะทรงปฏิบัติตามในการทรงพระราชกิจของพระองค์ทั่วทั้งจักรวาล—ซึ่งก็คือการสถาปนาแบบอย่างหนึ่งขึ้นมา แล้วจากนั้นจึงขยายออกไปจนกระทั่งทุกคนในจักรวาลจะได้รับพระกิตติคุณของพระองค์  ผู้คนแห่งอิสราเอลกลุ่มแรกคือพงศ์พันธุ์ของโนอาห์  คนเหล่านี้ได้รับการประทานให้เฉพาะลมปราณของพระยาห์เวห์ และมีความเข้าใจพอที่จะดูแลสิ่งจำเป็นพื้นฐานของชีวิต แต่พวกเขาไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าแบบใด หรือน้ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีต่อมนุษย์เป็นอย่างไร ที่ยิ่งรู้น้อยกว่านั้นคือวิธีที่พวกเขาควรจะเคารพองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งมวล  สำหรับเรื่องที่ว่าจะมีกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติให้เชื่อฟัง[ก] หรือไม่ หรือมีหน้าที่หนึ่งที่สิ่งทรงสร้างควรจะปฏิบัติเพื่อพระผู้สร้างบ้างหรือไม่นั้น พงศ์พันธุ์ของอาดัมหาได้รู้เรื่องเหล่านี้แม้แต่น้อยไม่  ทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็แค่เพียง สามีควรจะทำงานอาบเหงื่อต่างน้ำเพื่อหาเลี้ยงครอบครัวของตน และภรรยาพึงนบนอบต่อสามีและรักษาเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างให้คงอยู่ถาวรต่อไป  อีกนัยหนึ่ง ผู้คนเช่นนั้นที่มีเพียงลมปราณของพระยาห์เวห์และพระชนม์ชีพของพระองค์ ไม่รู้อะไรเลยเรื่องวิธีปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้า หรือวิธีทำให้องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งมวลพึงพอพระทัย  พวกเขาเข้าใจน้อยเกินไป  ดังนั้นแล้ว แม้จะไม่มีอะไรที่คดโกงหรือหลอกลวงในหัวใจของพวกเขาเลย อีกทั้งความหวงแหนและการขับเคี่ยวกันก็เกิดขึ้นนานๆ ครั้งในหมู่พวกเขา กระนั้นพวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้หรือความเข้าใจเรื่องพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งมวลอยู่ดี  บรรพบุรุษของมนุษย์เหล่านี้รู้เพียงแต่จะกินสิ่งที่เป็นของพระยาห์เวห์ และชื่นชมในสิ่งต่างๆ ของพระยาห์เวห์ แต่ไม่รู้จักการเคารพพระยาห์เวห์ พวกเขาไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์คือองค์หนึ่งเดียวที่พวกเขาควรคุกเข่านมัสการ  ดังนี้แล้วพวกเขาจะถูกเรียกว่าสิ่งทรงสร้างของพระองค์ได้อย่างไร?  หากเป็นเช่นนี้แล้ว ถ้อยคำที่ว่า “พระยาห์เวห์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งมวล” และ “พระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพื่อที่มนุษย์อาจสำแดงพระองค์ ถวายพระเกียรติแด่พระองค์และเป็นตัวแทนพระองค์” จะไม่ถูกพูดไว้โดยไร้ค่าดอกหรือ?  ผู้คนที่ไม่เคารพพระยาห์เวห์จะเป็นคำพยานแด่พระสิริของพระองค์ได้อย่างไรกัน?  พวกเขาจะกลายมาเป็นสิ่งสำแดงพระสิริของพระองค์ได้อย่างไร?  พระวจนะของพระยาห์เวห์ที่ว่า “เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา” จะไม่กลายมาเป็นอาวุธในมือของซาตานมารร้ายดอกหรือ?  พระวจนะเหล่านี้จะไม่กลายเป็นเครื่องหมายแห่งการถูกเหยียดหยามต่อการทรงสร้างมนุษย์ของพระยาห์เวห์หรอกหรือ?  เพื่อที่จะทำให้พระราชกิจของช่วงระยะนั้นเสร็จสิ้นหลังการทรงสร้างมนุษยชาติแล้ว พระยาห์เวห์ก็มิได้ทรงแนะนำ หรือทรงนำพวกเขาเลยนับตั้งแต่อาดัมไปจนถึงโนอาห์  ทว่า จนกระทั่งภายหลังน้ำท่วมโลกได้ทำลายโลกแล้วนั่นเอง พระองค์ถึงได้ทรงเริ่มต้นนำผู้คนแห่งอิสราเอล ผู้เป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัมและโนอาห์อย่างเป็นทางการ พระราชกิจและถ้อยดำรัสของพระองค์ในประเทศอิสราเอลได้มอบการนำแก่ประชาชนทั้งผองของประเทศอิสราเอล ณ ขณะที่พวกเขาดำรงชีวิตอยู่ทั่วแผ่นดินอิสราเอล ด้วยเหตุนั้น จึงเป็นการแสดงให้มนุษยชาติเห็นว่าพระยาห์เวห์ไม่เพียงจะสามารถเป่าลมปราณเข้าไปในมนุษย์เพื่อให้เขาได้ชีวิตจากพระองค์ และลุกขึ้นจากผงคลีดินไปเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นเท่านั้น แต่พระองค์ยังสามารถเผาทำลายจนสิ้นซากและสาปแช่งมวลมนุษย์และใช้ไม้เรียวของพระองค์ปกครองมวลมนุษย์ได้เช่นกัน  ดังนั้น พวกเขาจึงได้เห็นอีกด้วยเช่นกันว่าพระยาห์เวห์สามารถนำชีวิตมนุษย์บนแผ่นดินโลกได้ รวมถึงตรัสและทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ได้โดยสอดคล้องกับโมงยามของเวลากลางวันและกลางคืน  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำนั้นก็เพียงเพื่อที่บรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหลายของพระองค์อาจจะได้รู้ว่ามนุษย์นั้นมาจากผงคลีดินที่พระองค์ทรงเก็บขึ้นมา และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มนุษย์นั้นถูกสร้างขึ้นโดยพระองค์  ไม่เพียงเท่านี้ ทว่าพระองค์ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอลเพื่อที่ประชาชนและชาติอื่นๆ (ผู้ซึ่งอันที่จริงแล้วไม่ได้ถูกแยกออกจากอิสราเอล แต่ได้มีการแตกแขนงออกจากผู้คนแห่งอิสราเอลเสียมากกว่า กระนั้น ก็ยังคงเป็นพงศ์พันธุ์ของอาดัมและเอวาอยู่ดี) จะได้รับพระกิตติคุณของพระยาห์เวห์จากอิสราเอล ทั้งนี้เพื่อสิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งมวลในจักรวาลจะสามารถเคารพพระยาห์เวห์และนับถือว่าพระองค์ทรงยิ่งใหญ่ได้  หากพระยาห์เวห์มิได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์ในประเทศอิสราเอล แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับทรงสร้างมนุษย์ขึ้น มาแล้วปล่อยให้พวกเขาดำเนินชีวิตอิสระเสรีบนแผ่นดินโลก หากเป็นเช่นนี้ โดยธรรมชาติทางกายภาพของมนุษย์ (ธรรมชาติหมายความว่า มนุษย์ไม่มีวันรู้จักสิ่งต่างๆ ที่พวกเขามองไม่เห็น กล่าวคือ พวกเขาย่อมจะไม่รู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองที่เป็นผู้สร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา และยิ่งรู้น้อยไปกว่านั้นว่าเหตุใดพระองค์จึงทรงทำเช่นนั้น) พวกเขาย่อมไม่มีวันรู้เลยว่าพระยาห์เวห์คือผู้ทรงสร้างมนุษย์ หรือพระองค์คือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  หากพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างมนุษย์และวางพวกเขาไว้บนแผ่นดินโลก จากนั้นก็เพียงทรงปัดฝุ่นดินออกจากพระหัตถ์ของพระองค์และจากไป แทนที่จะยังทรงอยู่ท่ามกลางมนุษย์เพื่อให้การทรงนำพวกเขาในช่วงเวลาหนึ่ง เช่นนั้นแล้วมนุษยชาติทั้งมวลก็คงกลับคืนสู่ความเปล่าดายกระทั่งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกรวมทั้งสรรพสิ่งมากมายเกินคณานับซึ่งพระองค์ทรงทำขึ้นมาก็คงจะกลับคืนสู่ความเปล่าดาย และยิ่งไปกว่านั้น คงจะถูกเหยียบย่ำตลอดมาโดยซาตาน  หากเป็นเช่นนี้ ความพึงปรารถนาของพระยาห์เวห์ที่ว่า “บนแผ่นดินโลก ซึ่งก็คือในท่ามกลางสิ่งทรงสร้างของพระองค์นั้น พระองค์ควรจะทรงมีสถานที่สำหรับประทับสักที่หนึ่ง สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์” ก็คงจะแตกสลายไปเรียบร้อยแล้ว  และ ดังนั้นหลังจากการสร้างมวลมนุษย์ซึ่งพระองค์สามารถคงอยู่ท่ามกลางมนุษย์เพื่อทรงนำชีวิตของพวกเขา และตรัสกับพวกเขาจากภายในท่ามกลางพวกเขาได้ต่อไปนั้น—ทั้งหมดก็เพื่อจะทำให้ความปรารถนาของพระองค์เป็นจริง และทำให้แผนการของพระองค์สัมฤทธิ์  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำในประเทศอิสราเอลนั้นมุ่งหมายเพื่อให้บรรลุแผนการที่พระองค์ทรงวางไว้ตั้งแต่ก่อนที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง และดังนั้น การเริ่มพระราชกิจท่ามกลางผู้คนแห่งอิสราเอลและสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งมวลของพระองค์นั้นจึงไม่ขัดแย้งกันเองเลย แต่ถูกกระทำไปเพื่อประโยชน์ต่อทั้งการบริหารจัดการของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์และพระสิริของพระองค์ และถูกกระทำไปเพื่อให้ความหมายของการทรงสร้างมวลมนุษย์ของพระองค์นั้นมีความลึกล้ำ พระองค์ทรงนำชีวิตมวลมนุษย์บนโลกอยู่ 2,000 ปีหลังจากโนอาห์ อันเป็นช่วงเวลาที่พระองค์ทรงสอนมนุษย์ให้เข้าใจวิธีเคารพพระยาห์เวห์องค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวง รวมถึงวิธีประพฤติตนในชีวิตของพวกเขา และวิธีดำเนินชีวิตต่อไปและที่มากที่สุดก็คือ วิธีปฏิบัติตนในฐานะของพยานเพื่อพระยาห์เวห์ ถวายความเชื่อฟังและมอบความเคารพต่อพระองค์ แม้กระทั่งการสรรเสริญพระองค์ด้วยดนตรีดังที่ดาวิดและปุโรหิตของท่านทำ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีคำว่า “ให้เชื่อฟัง”


พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 19

ก่อนช่วงสองพันปีซึ่งพระยาห์เวห์ทรงพระราชกิจของพระองค์นั้น มนุษย์ไม่รู้อะไรเลย และมนุษยชาติแทบทั้งหมดล้วนตกไปอยู่ในความต่ำทราม จนกระทั่งก่อนการทำลายล้างโลกโดยน้ำท่วมโลก พวกเขาได้ไปถึงก้นบึ้งของความสำส่อนและความเสื่อมทรามซึ่งจิตใจของพวกเขาปราศจากพระยาห์เวห์และความต้องการในหนทางของพระองค์อีกต่อไปโดยสิ้นเชิง  พวกเขาไม่เคยเข้าใจพระราชกิจที่พระยาห์เวห์กำลังจะทรงทำ โดยพวกเขาขาดเหตุผล ความรู้ก็ยิ่งมีน้อยเข้าไปใหญ่ และประหนึ่งเครื่องจักรที่หายใจได้ ไม่รู้เท่าทันโดยสิ้นเชิงทั้งเรื่องมนุษย์ พระเจ้า โลก ชีวิตและอื่นๆ  บนแผ่นดินโลกนั้น พวกเขาพัวพันกับการล่อลวงหลายอย่าง เหมือนงู  และกล่าวหลายอย่างที่เป็นการขุ่นเคืองต่อพระยาห์เวห์ แต่เนื่องจากพวกเขาไม่รู้เท่าทัน พระยาห์เวห์จึงมิได้ทรงตีสอนหรือบ่มวินัยพวกเขา  ต่อเมื่อภายหลังน้ำท่วมโลกแล้วเท่านั้น เมื่อตอนโนอาห์อายุได้ 601 ปี พระยาห์เวห์จึงได้ทรงปรากฏแก่โนอาห์อย่างเป็นทางการ และได้ทรงนำเขาและครอบครัว ทรงนำทางนกและสัตว์ป่าต่างๆ ที่รอดชีวิตจากน้ำท่วมร่วมกับโนอาห์และพงศ์พันธุ์ของเขา จนกระทั่งสิ้นยุคธรรมบัญญัติ ซึ่งยาวนานทั้งสิ้น 2,500 ปี  พระองค์ทรงทำพระราชกิจในประเทศอิสราเอลอย่างเป็นทางการเป็นเวลาทั้งสิ้น 2,000 ปี และทรงพระราชกิจในและนอกประเทศอิสราเอลไปพร้อมๆ กันอีก 500 ปี รวมทั้งสิ้นเป็น 2,500 ปี  ตลอดช่วงเวลานั้น พระองค์ทรงแนะนำผู้คนแห่งอิสราเอลให้รับใช้พระยาห์เวห์ พวกเขาควรจะสร้างพระวิหาร สวมเสื้อคลุมปุโรหิต และเดินเท้าเปล่าเข้าไปในพระวิหารตั้งแต่รุ่งเช้า มิฉะนั้นรองเท้าของพวกเขาจะทำให้พระวิหารแปดเปื้อนและไฟจะถูกส่งลงมาจากยอดพระวิหารและเผาพวกเขาตาย  พวกเขาปฏิบัติหน้าที่และนบนอบต่อแผนการของพระยาห์เวห์ พวกเขาอธิษฐานต่อพระยาห์เวห์ในพระวิหาร และหลังจากได้รับวิวรณ์ของพระยาห์เวห์ กล่าวคือ หลังจากที่พระยาห์เวห์ได้ตรัส พวกเขาก็นำทางฝูงชนและสอนว่าพวกเขาควรจะแสดงความเคารพพระยาห์เวห์—พระเจ้าของพวกเขา  และพระยาห์เวห์ได้ทรงบอกพวกเขาว่าพวกเขาควรสร้างพระวิหารและแท่นบูชา และในเวลาที่พระยาห์เวห์ทรงกำหนดไว้ นั่นคือในเทศกาลปัสกา พวกเขาควรจะตระเตรียมลูกวัวและลูกแกะแรกเกิด เพื่อนำมาวางบนแท่นบูชา เพื่อเป็นเครื่องบูชาถวายแด่พระยาห์เวห์ ทั้งนี้เพื่อควบคุมพวกเขาและเพื่อนำความเคารพต่อพระยาห์เวห์ไปใส่ไว้ในหัวใจพวกเขา  การที่พวกเขาเชื่อฟังหรือไม่เชื่อฟังธรรมบัญญัตินี้กลายเป็นมาตรวัดความจงรักภักดีของพวกเขาที่มีต่อพระยาห์เวห์พระยาห์เวห์ยังได้ทรงกำหนดวันสะบาโต—วันที่เจ็ดแห่งการทรงสร้างของพระองค์—สำหรับพวกเขาเช่นกัน  วันถัดจากวันสะบาโต พระองค์ทรงตั้งให้เป็นวันแรก เป็นวันที่พวกเขาจะสรรเสริญพระยาห์เวห์ ถวายเครื่องบูชาแด่พระองค์ และถวายเสียงดนตรีแด่พระองค์  ในวันนี้ พระยาห์เวห์ทรงเรียกชุมนุมบรรดาปุโรหิตทุกคนเพื่อแบ่งเครื่องถวายบูชาที่อยู่บนแท่นเพื่อให้ประชาชนได้กิน เพื่อที่พวกเขาจะได้ชื่นชมเครื่องบูชาบนแท่นของพระยาห์เวห์  และพระยาห์เวห์ได้ตรัสว่าพวกเขาเป็นผู้ได้รับพร พวกเขาได้ร่วมปันส่วนแบ่งกับพระองค์ และพวกเขาเป็นประชาชนที่พระองค์ทรงเลือกสรร (อันเป็นพันธสัญญาของพระยาห์เวห์กับผู้คนแห่งอิสราเอล)  นี่คือเหตุผลว่าทำไมกระทั่งทุกวันนี้ ประชาชนของประเทศอิสราเอลจึงยังพูดว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้าของพวกเขาเท่านั้น และไม่ใช่พระเจ้าของคนต่างชาติ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 20

ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ได้ทรงมอบพระบัญญัติมากมายเพื่อให้โมเสสส่งต่อไปยังผู้คนแห่งอิสราเอลที่ติดตามเขาออกจากอียิปต์ พระบัญญัติเหล่านี้พระยาห์เวห์ประทานแก่ผู้คนแห่งอิสราเอล และไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับชาวอียิปต์แม้แต่น้อย พระบัญญัติเหล่านี้มุ่งหมายเพื่อควบคุมผู้คนแห่งอิสราเอล และทรงใช้พระบัญญัติเหล่านี้เพื่อเรียกร้องให้พวกเขาปฏิบัติตาม  ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติวันสะบาโตหรือไม่ เคารพบิดามารดาหรือไม่ นมัสการรูปเคารพหรือไม่ และอื่นๆ—เหล่านี้คือหลักธรรมที่พวกเขาจะถูกตัดสินว่าผิดบาปหรือชอบธรรม  ท่ามกลางพวกเขา บางคนได้ถูกไฟของพระยาห์เวห์ลงทัณฑ์ บ้างก็ถูกหินขว้างให้ตาย และบ้างก็ได้รับพระพรจากพระยาห์เวห์ และนี่ถูกกำหนดพิจารณาตามข้อที่ว่าพวกเขาเชื่อฟังพระบัญญัติเหล่านี้หรือไม่  คนที่ไม่ปฏิบัติวันสะบาโตจะถูกขว้างด้วยหินจนตาย  บรรดาปุโรหิตที่ไม่ปฏิบัติวันสะบาโตจะถูกไฟลงทัณฑ์ของพระยาห์เวห์  พวกที่ไม่เคารพบิดามารดาก็จะถูกขว้างด้วยหินจนตายเช่นกัน  ทั้งหมดนี้ถูกสั่งโดยพระยาห์เวห์ทั้งสิ้น  พระยาห์เวห์ทรงสถาปนาพระบัญญัติและธรรมบัญญัติเพื่อที่ขณะที่พระองค์ทรงนำทางชีวิตของพวกเขานั้น ประชาชนจะได้ฟังและเชื่อฟังพระวจนะของพระองค์และไม่กบฏต่อพระองค์  พระองค์ทรงใช้ธรรมบัญญัติเหล่านี้เพื่อรักษาชาติพันธุ์มนุษย์แรกเกิดให้อยู่ในการควบคุม ซึ่งจะเป็นผลดียิ่งขึ้นต่อการวางรากฐานพระราชกิจในอนาคตของพระองค์  และดังนั้น บนพื้นฐานของพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำไว้ ยุคแรกจึงเรียกว่ายุคธรรมบัญญัติ  แม้ว่าพระยาห์เวห์จะทรงให้ถ้อยดำรัสและทำพระราชกิจมากมาย พระองค์ก็ทรงนำประชาชนในด้านบวกเท่านั้น ทรงสอนประชาชนที่ไม่รู้เท่าทันเหล่านี้ให้รู้จักวิธีเป็นมนุษย์ วิธีดำเนินชีวิต วิธีที่จะเข้าใจหนทางของพระยาห์เวห์  สำหรับพระราชกิจส่วนใหญ่นั้น พระองค์ทรงพระราชกิจเพื่อทำให้ผู้คนเฝ้าสังเกตหนทางของพระองค์และติดตามธรรมบัญญัติของพระองค์  พระราชกิจดังกล่าวนี้กระทำกับคนที่เสื่อมทรามในระดับตื้น ไม่ได้ขยายไปไกลจนถึงการแปรสภาพอุปนิสัยหรือความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเขา  พระองค์ทรงห่วงเฉพาะการใช้ธรรมบัญญัติเพื่อจำกัดและควบคุมผู้คนเท่านั้น  สำหรับผู้คนแห่งอิสราเอลในเวลานั้น พระยาห์เวห์ทรงเป็นเพียงพระเจ้าในพระวิหาร พระเจ้าในฟ้าสวรรค์เท่านั้น  พระองค์ทรงเป็นเสาเมฆ เสาเพลิง  ทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเขาทำนั้นมีเพียงเชื่อฟังในสิ่งที่ผู้คนปัจจุบันรู้จักกันในฐานะธรรมบัญญัติและพระบัญญัติของพระองค์—บางคนอาจถึงกับเรียกว่ากฎเกณฑ์—เนื่องจากสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงทำนั้นไม่ใด้มุ่งหมายเพื่อแปรสภาพพวกเขา แต่เพื่อมอบสิ่งที่มนุษย์ควรจะมีมากกว่านี้ให้กับพวกเขาและเพื่อแนะนำพวกเขาจากพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เพราะหลังจากถูกสร้างขึ้นมาแล้ว มนุษย์หาได้มีสิ่งที่พวกเขาควรจะมีไม่  และดังนั้น พระยาห์เวห์จึงได้ประทานแก่ผู้คนในสิ่งที่พวกเขาควรมีเพื่อชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก ทำให้ผู้คนที่พระองค์ทรงนำทางนั้นเหนือกว่าบรรพบุรุษของพวกเขา หรืออาดัมกับเอวา เพราะสิ่งที่พระยาห์เวห์ทรงมอบแก่พวกเขานั้นเหนือกว่าที่พระองค์ทรงมอบแก่อาดัมกับเอวาในปฐมกาล  โดยไม่ต้องคำนึงว่า พระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทรงทำในประเทศอิสราเอลนั้นเพียงเพื่อทรงนำมนุษย์และทำให้มนุษย์ระลึกรู้พระผู้สร้างได้เท่านั้น  พระองค์ไม่ได้ทรงพิชิตหรือแปรสภาพพวกเขา เพียงแต่ทรงนำพวกเขาเท่านั้น  นี่คือผลสรุปของพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในยุคธรรมบัญญัติ  อันเป็นภูมิหลัง เป็นเรื่องจริง เป็นแก่นแท้แห่งพระราชกิจของพระองค์ในดินแดนทั้งสิ้นของประเทศอิสราเอล และเป็นจุดเริ่มต้นของพระราชกิจระยะ 6,000 ปีของพระองค์—เพื่อรักษามนุษย์ไว้ในการควบคุมของพระหัตถ์แห่งพระยาห์เวห์  จากเรื่องนี้ก่อให้เกิดงานที่เพิ่มเข้ามาในแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจในยุคธรรมบัญญัติ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 21

ในปฐมกาล การนำทางมนุษย์ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิมนั้นเป็นเหมือนการนำทางวิถีชีวิตของเด็กคนหนึ่ง  มวลมนุษย์กลุ่มแรกสุดเพิ่งถือกำเนิดจากพระยาห์เวห์ พวกเขาคือชาวอิสราเอล  พวกเขาไม่มีความเข้าใจในการเคารพพระเจ้าหรือการดำรงชีวิตบนแผ่นดินโลกเลย  ซึ่งหมายความว่าพระยาห์เวห์ทรงสร้างมวลมนุษย์ นั่นคือ พระองค์ทรงสร้างอาดัมและเอวา แต่พระองค์มิได้ประทานความสามารถให้พวกเขาเข้าใจวิธีเคารพพระยาห์เวห์หรือวิธีปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก  หากไม่มีการทรงนำของพระยาห์เวห์โดยตรงแล้ว คนเราย่อมไม่สามารถรู้การนี้ได้โดยตรง เพราะในปฐมกาลนั้นมนุษย์ไม่มีปฏิภาณเช่นนั้น  มนุษย์รู้เพียงว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้าเท่านั้น แต่สำหรับการที่จะเคารพพระองค์อย่างไร ความประพฤติแบบใดที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นการเคารพพระองค์ คนเราจะต้องเคารพพระองค์ด้วยจิตใจแบบใด หรือจะมอบถวายสิ่งใดในการเคารพพระองค์นั้น มนุษย์ไม่รู้โดยสิ้นเชิง  มนุษย์รู้จักแต่การสุขสำราญกับสิ่งที่สามารถสุขสำราญด้วยได้ท่ามกลางสรรพสิ่งที่พระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างขึ้น แต่สำหรับเรื่องที่ว่าวิถีชีวิตประเภทใดบนแผ่นดินโลกที่ควรค่าแก่สิ่งทรงสร้างของพระเจ้า มนุษย์มิได้รู้ระแคะระคายแต่อย่างใดเลย  หากไม่มีใครบางคนสอนให้พวกเขารู้ หากไม่มีใครบางคนมานำพวกเขาด้วยตนเองแล้ว มวลมนุษย์เหล่านี้ก็ย่อมจะไม่มีวันมีวิถีชีวิตที่ถูกต้องและเหมาะสมกับมนุษยชาติ แต่ย่อมจะได้แต่ถูกซาตานหลอกให้ตกเป็นเชลยเท่านั้น  พระยาห์เวห์ทรงสร้างมวลมนุษย์ กล่าวคือ พระองค์ทรงสร้างบรรพบุรุษของมวลมนุษย์ เอวาและอาดัม แต่พระองค์มิได้ประทานความฉลาดหรือสติปัญญาใดๆ  เพิ่มเติมแก่พวกเขา  ถึงแม้ว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตอยู่บนแผ่นดินโลกแล้วก็ตาม แต่พวกเขาแทบจะไม่เข้าใจสิ่งใดเลย  และดังนั้นพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในการสร้างมวลมนุษย์จึงเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น และห่างไกลจากความครบบริบูรณ์  พระองค์เพียงทรงทำแบบจำลองของมนุษย์จากดินเหนียวและประทานลมปราณของพระองค์เท่านั้น แต่มิได้ประทานความเต็มใจมากพอที่จะเคารพพระองค์แก่มนุษย์  ในปฐมกาล มนุษย์ยังไม่มีจิตใจที่จะเคารพพระองค์ หรือยำเกรงพระองค์  มนุษย์รู้จักแต่การรับฟังพระวจนะของพระองค์เท่านั้น แต่ไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวิถีชีวิตบนแผ่นดินโลก และกฎเกณฑ์ที่ปกติของวิถีชีวิตมนุษย์  และดังนั้น ถึงแม้ว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงสร้างชายและหญิง และได้ทรงทำโครงการเจ็ดวันเสร็จสิ้นแล้ว แต่พระองค์ยังมิได้ทรงทำให้การสร้างมนุษย์เสร็จสมบูรณ์แต่อย่างใด เพราะมนุษย์เป็นแต่เพียงแกลบ และขาดพร่องความเป็นจริงของการเป็นมนุษย์  มนุษย์รู้เพียงว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้สร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา แต่เขาไม่มีการระแคะระคายถึงวิธีที่จะปฏิบัติตามพระวจนะหรือธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์  และดังนั้น หลังจากที่มวลมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาแล้ว พระราชกิจของพระยาห์เวห์ก็หาได้เสร็จสิ้นไม่  พระองค์ยังคงต้องทรงนำมวลมนุษย์อย่างเต็มที่เพื่อให้มาอยู่เฉพาะพระพักตร์ของพระองค์ เพื่อที่พวกเขาอาจจะสามารถใช้ชีวิตด้วยกันบนแผ่นดินโลกและเคารพพระองค์ได้ และเพื่อที่พวกเขาอาจจะสามารถเข้าสู่ร่องครรลองอันถูกต้องของวิถีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลกด้วยการทรงนำของพระองค์  ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระราชกิจซึ่งดำเนินการภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นหลักจะเสร็จสมบูรณ์อย่างเต็มที่ นั่นก็คือ ในหนทางนี้เท่านั้นที่พระราชกิจแห่งการสร้างโลกของพระยาห์เวห์จะสรุปปิดตัวโดยบริบูรณ์  และดังนั้น เมื่อทรงสร้างมวลมนุษย์แล้ว พระองค์จึงต้องทรงนำทางให้แก่วิถีชีวิตของมวลมนุษย์บนแผ่นดินโลกเป็นเวลานานหลายพันปี เพื่อที่มวลมนุษย์อาจจะสามารถปฏิบัติตามกฤษฎีกาและธรรมบัญญัติของพระองค์ได้ และเข้าร่วมในกิจกรรมทั้งปวงของวิถีชีวิตมนุษย์ที่ปกติบนแผ่นดินโลก  เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระราชกิจของพระยาห์เวห์จะเสร็จสมบูรณ์อย่างเต็มที่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 22

พระราชกิจที่พระเยซูทรงกระทำนั้นสอดคล้องกับความจำเป็นของมนุษย์ในยุคนั้น  พระราชกิจของพระองค์คือเพื่อไถ่มนุษย์ เพื่ออภัยบาปของพวกเขา และด้วยเหตุนี้อุปนิสัยของพระองค์จึงเต็มเปี่ยมด้วยความถ่อมใจ ความอดทน ความรัก ความศรัทธา ความอดกลั้น ความกรุณา และความเมตตา  พระองค์ทรงนำมาซึ่งพระคุณและพรอันล้นเหลือแก่มนุษย์ รวมถึงทุกๆ สิ่งที่ผู้คนจะสามารถชื่นชมได้ พระองค์ทรงมอบสิ่งเหล่านี้ก็เพื่อความชื่นชมยินดีของพวกเขา อันได้แก่ สันติภาพ ความสุข ความอดกลั้นและความรัก ความกรุณาและความเมตตาของพระองค์  ณ เวลานั้น ความอุดมล้นเหลือของสิ่งบำเรอความสุขต่างๆ ที่มนุษย์กำลังเผชิญหน้าอยู่ ไม่ว่าจะเป็น ความรู้สึกสุขสงบและความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยภายในใจ ความรู้สึกมั่นใจภายในจิตวิญญาณ และความรู้สึกพึ่งพิงในพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอด ล้วนเนื่องมาจากยุคที่พวกเขาอาศัยอยู่นั่นเอง  ในยุคพระคุณนี้ มนุษย์ถูกซาตานบ่อนทำลายจนเสื่อมทรามไปแล้ว และฉะนั้นแล้ว การจะสัมฤทธิ์งานแห่งการไถ่มนุษยชาติทั้งมวลจำต้องอาศัยพระคุณอันอุดมล้นเหลือ ความอดกลั้นและความอดทนอันไม่สิ้นสุด และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เพื่อให้เกิดผลแล้ว เครื่องบูชาต้องมีอย่างพอเพียงต่อการไถ่บาปของมนุษยชาติ  สิ่งที่มนุษยชาติเห็นในยุคพระคุณนั้นมีเพียงเครื่องบูชาลบมลทินที่เรามอบไว้ให้สำหรับการไถ่บาปของมนุษยชาติเท่านั้น ซึ่งก็คือพระเยซูนั่นเอง  ทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็คือ พระเจ้าน่าจะทรงเปี่ยมเมตตาและความอดกลั้น และทั้งหมดที่พวกเขาเห็นก็คือความกรุณาและความเมตตาของพระเยซู  ทั้งหมดทั้งสิ้นนี้เป็นเพราะว่าพวกเขาเกิดในยุคพระคุณนั่นเอง  และดังนั้น ก่อนที่พวกเขาจะสามารถได้รับการไถ่ พวกเขาจึงจำเป็นต้องชื่นชมพระคุณอันหลากหลายรูปแบบที่พระเยซูประทานแก่พวกเขาเสียก่อนเพื่อที่พวกเขาจะได้รับผลประโยชน์จากมันได้  วิธีนี้นี่เอง ที่พวกเขาจะสามารถได้รับการอภัยบาปโดยผ่านทางความชื่นชมยินดีของพวกเขาที่มีต่อพระคุณ ทั้งยังจะสามารถได้รับโอกาสการไถ่โดยผ่านทางการชื่นชมความอดกลั้นและการอดทนของพระเยซูด้วยเช่นกัน  มีเพียงโดยผ่านทางความอดกลั้นและความอดทนของพระเยซูเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีสิทธิ์ได้รับการให้อภัยและชื่นชมพระคุณอันอุดมล้นเหลือที่พระเยซูทรงมอบให้  ดังที่พระเยซูได้ตรัสไว้ว่า เราไม่ได้มาเพื่อช่วยคนชอบธรรมให้รอด แต่เรามาเพื่อช่วยคนบาปให้รอด เพื่อให้คนบาปได้รับการยกโทษบาปของพวกเขา  หากครั้งเมื่อพระเยซูได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นั้น ทรงมาพร้อมด้วยพระอุปนิสัยแห่งการพิพากษาตัดสิน การสาปแช่ง และความไม่ยอมผ่อนปรนต่อการทำให้ขุ่นเคืองของมนุษย์แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วมนุษย์ก็คงจะไม่มีโอกาสได้รับการไถ่ และคงจะดำรงอยู่ในสภาพผิดบาปไปตลอดกาล  หากเป็นเช่นนั้นแล้ว แผนการจัดการระยะเวลา 6,000 ปีก็คงจะมาหยุดอยู่ตรงยุคธรรมบัญญัตินี่เอง และยุคธรรมบัญญัติก็คงจะยืดเยื้อต่อมาอีก 6,000 ปี  บาปทั้งหลายของมนุษย์ก็คงมีแต่จะท่วมท้นมหาศาลและรุนแรงสาหัสมากยิ่งขึ้น และการทรงสร้างมนุษยชาติขึ้นมาก็คงจะเป็นการสูญเปล่า  ตลอดเวลาที่ผ่านมา เหล่ามนุษย์ก็คงจะสามารถทำได้เพียงรับใช้พระยาห์เวห์ภายใต้พระธรรมบัญญัติ ทว่าบาปทั้งหลายของพวกเขาก็คงจะมากล้นเกินกว่าบาปของพวกมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้นมาในตอนแรกเริ่มเสียอีก  ยิ่งพระเยซูทรงรักมวลมนุษย์ ให้อภัยบาปพวกเขา และมอบพระกรุณาและพระเมตตาอย่างพอเพียงแก่พวกเขามากขึ้นเท่าไร มนุษย์ก็ยิ่งมีสิทธิ์ได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซูมากขึ้นเท่านั้น มีสิทธิ์ได้รับการเรียกขานว่าเจ้าแกะหลงฝูงที่พระเยซูได้ทรงซื้อคืนมาด้วยราคาที่แพง  ซาตานไม่สามารถเข้าแทรกแซงพระราชกิจนี้ได้เลย เนื่องเพราะพระเยซูทรงปฏิบัติต่อสาวกของพระองค์ดุจเดียวกับที่มารดาผู้เปี่ยมรักปฏิบัติต่อทารกน้อยในอ้อมอก  พระองค์ไม่ได้กริ้วหรือทรงดูถูกพวกเขามากขึ้น แต่กลับเปี่ยมด้วยการชูใจ พระองค์ไม่เคยทรงบันดาลโทสะระบายอารมณ์ใส่พวกเขา แต่กลับทรงอดกลั้นกับความบาปของพวกเขา และทรงมองข้ามความโง่เขลาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของพวกเขาเสีย จนถึงจุดที่ตรัสด้วยว่า “จงให้อภัยผู้อื่นเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง”  ด้วยเหตุนี้หัวใจของผู้อื่นจึงได้ถูกแปลงสภาพไปโดยหัวใจของพระองค์ และเพียงเพราะด้วยเหตุนี้เองผู้คนจึงได้รับการอภัยบาปของตนโดยผ่านทางความอดกลั้นของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 23

แม้ในการจุติเป็นมนุษย์ของพระเยซูจะปราศจากสภาวะอารมณ์เยี่ยงมนุษย์โดยสิ้นเชิง พระองค์ก็ทรงชูใจสาวก จัดเตรียมให้พวกเขา ช่วยเหลือพวกเขา และสนับสนุนพวกเขาอยู่เสมอ  ไม่ว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจหนักมากแค่ไหนก็ตาม หรือไม่ว่าพระองค์จะทรงสู้ทนความทุกข์มากเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่เคยทรงเรียกร้องอะไรที่มากเกินไปจากผู้คน แต่ทรงอดทนและอดกลั้นต่อความบาปของพวกเขาเสมอ จนถึงระดับที่ว่าผู้คนในยุคพระคุณเรียกขานพระองค์อย่างเปี่ยมล้นรักใคร่ว่า “พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รัก”  สำหรับผู้คนในยุคนั้น หรือสำหรับหมู่ชนทั้งผอง สิ่งที่พระเยซูทรงเป็นและทรงมี ก็คือพระกรุณาและพระเมตตา  พระองค์ไม่เคยทรงจดจำการล่วงละเมิดของผู้คน การปฏิบัติของพระองค์ที่มีต่อพวกเขาไม่เคยยึดเอาพื้นฐานการล่วงละเมิดของพวกเขาเป็นหลัก เนื่องเพราะนั่นเป็นอีกยุคหนึ่งซึ่งต่างออกไป บ่อยครั้งที่พระองค์ได้ประทานอาหารแก่ผู้คนอย่างเหลือเฟือ เพื่อพวกเขาจะได้กินจนอิ่มหนำ  พระองค์ทรงปฏิบัติต่อสาวกทั้งปวงของพระองค์ด้วยพระคุณ โดยทรงรักษาคนป่วย ขับไล่ปีศาจ ชุบชีวิตคนตายให้ฟื้นคืน  เพื่อที่ผู้คนอาจเชื่อในพระองค์ และเห็นว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำนั้นเป็นไปอย่างจริงจังและจริงใจ พระองค์ทรงดำเนินไปไกลถึงขั้นทำการฟื้นคืนชีวิตให้กับซากศพที่กำลังเน่าเปื่อย โดยทรงสำแดงให้พวกเขาเห็นว่าในพระหัตถ์ของพระองค์นั้น กระทั่งคนตายก็ยังคืนชีวิตกลับมาได้  ในหนทางนี้ พระองค์ได้ทรงสู้ทนอย่างเงียบๆ และดำเนินพระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์ไปท่ามกลางพวกเขา  แม้กระทั่งก่อนที่พระองค์จะทรงถูกตรึงกางเขน พระเยซูก็ได้ทรงรับเอาบาปของมนุษยชาติเข้าไว้ในพระองค์ และได้กลายเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์ไปแล้ว  กระทั่งก่อนจะทรงถูกตอกตรึงบนกางเขน พระองค์ก็ได้ทรงเปิดเส้นทางสู่กางเขนเพื่อไถ่มวลมนุษย์แล้ว  สุดท้ายแล้ว พระองค์ก็ทรงถูกตอกตรึงบนกางเขน สละพระองค์เองเพื่อประโยชน์ของกางเขน และประทานพระกรุณา ความเมตตา และความบริสุทธิ์ทั้งมวลของพระองค์แก่มวลมนุษย์  สำหรับมนุษยชาติแล้ว พระองค์ทรงยอมผ่อนปรนเสมอ ไม่เคยทรงแค้นเคือง ทรงให้อภัยบาปพวกเขา ทรงเตือนสติพวกเขาให้กลับใจ และทรงสอนให้พวกเขามีความอดทน ความอดกลั้น และความรัก เพื่อดำเนินตามรอยพระบาทของพระองค์ และอุทิศตัวพวกเขาเองเพื่อประโยชน์ของกางเขน  ความรักของพระองค์ที่มีต่อพี่น้องชายหญิงนั้นเหนือกว่าความรักของพระองค์ที่มีต่อนางมารีย์  พระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำคือการรักษาคนป่วยและการขับไล่ปีศาจร้ายเป็นหลัก ทั้งหมดนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการทรงไถ่ของพระองค์ทั้งสิ้น  ไม่สำคัญว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ใด พระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนที่ติดตามพระองค์ด้วยพระคุณ  พระองค์ทรงทำให้คนยากจนกลายเป็นมั่งมี คนง่อยกลับเดินได้ คนตาบอดกลับมองเห็น และคนหูหนวกกลับได้ยิน  พระองค์กระทั่งทรงเชื้อเชิญผู้คนที่ต้อยต่ำข้นแค้นอนาถา คนบาปหนา ให้นั่งร่วมโต๊ะกับพระองค์ ไม่เคยทรงหลบเลี่ยงพวกเขา แต่ทรงอดทนเสมอ กระทั่งถึงกับตรัสไว้ว่า ยามที่ผู้เลี้ยงแกะทำแกะหายไปหนึ่งตัวจากจำนวนร้อยตัว เขาย่อมจะละจากแกะเก้าสิบเก้าตัวเพื่อออกไปตามหาแกะตัวเดียวที่หายไปนั้น ครั้นเมื่อหาพบแล้ว เขาจะชื่นบานยิ่งนัก  พระองค์ทรงรักสาวกของพระองค์เช่นเดียวกับที่แม่แกะรักลูกแกะทั้งหลายของนาง  แม้ว่าพวกเขาจะโง่เขลาและไม่รู้เท่าทันการณ์ และเป็นคนบาปในสายพระเนตรของพระองค์ และยิ่งกว่านั้นคือ เป็นผู้ต่ำศักดิ์ที่สุดในสังคม แต่พระองค์ก็ทรงถือว่าคนบาปเหล่านี้ซึ่งเป็นหมู่มนุษย์ที่คนอื่นๆ พากันรังเกียจนั้น คือแก้วตาของพระองค์  เนื่องจากพระองค์ทรงโปรดปรานพวกเขา พระองค์จึงทรงละวางพระชนม์ชีพของพระองค์เพื่อพวกเขา ประหนึ่งลูกแกะตัวหนึ่งซึ่งถูกมอบถวายขึ้นแท่นบูชา  พระองค์ทรงดำเนินไปกลางหมู่พวกเขาราวกับเป็นผู้รับใช้ของพวกเขา ทรงยอมให้พวกเขาใช้พระองค์และประหัตประหารพระองค์ ทรงยอมจำนนแก่พวกเขาอย่างปราศจากเงื่อนไข  สำหรับสาวกของพระองค์แล้ว พระองค์คือพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดอันเป็นที่รัก แต่สำหรับพวกฟาริสีที่อบรมสั่งสอนผู้คนจากบนแท่นสูงแล้วไซร้ ที่พระองค์แสดงออกไปหาใช่ความกรุณาและความเมตตาไม่ แต่กลับเป็นความเกลียดชังและความขุ่นเคือง พระองค์ไม่ได้ทรงพระราชกิจมากนักในหมู่พวกฟาริสี มีบ้างก็เพียงบางคราวที่ได้ทรงอบรมสั่งสอนและต่อว่าพวกเขาไปตามวาระ พระองค์ไม่ได้ทรงดำเนินไปท่ามกลางหมู่พวกเขาเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ อีกทั้งไม่ได้ทรงแสดงการอัศจรรย์และหมายสำคัญแต่อย่างใด  พระองค์ได้ประทานพระกรุณาและความเมตตาทั้งมวลของพระองค์ให้ก็แต่เหล่าสาวกของพระองค์ โดยทรงสู้ทนต่อเพื่อประโยชน์ของคนบาปเหล่านี้จนถึงที่สุด เมื่อคราที่พระองค์ทรงถูกตอกตรึงบนกางเขนและทรงทุกข์กับทุกการดูหมิ่นเหยียดหยามจนกระทั่งพระองค์ได้ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งมวลจนครบถ้วนนั่นเอง  นี่เองคือ ผลรวมทั้งสิ้นของพระราชกิจของพระองค์

หากปราศจากการไถ่ของพระเยซู มวลมนุษย์คงจะได้ใช้ชีวิตอยู่ในบาปและกลายเป็นลูกหลานแห่งบาป เป็นพงค์พันธุ์ของปีศาจตลอดไปแล้ว  หากเป็นเช่นนั้นต่อเนื่องมา โลกทั้งโลกคงจะกลายเป็นดินแดนที่ซาตานอาศัย เป็นที่สิงสู่ของมันไปแล้ว อย่างไรก็ดี  พระราชกิจแห่งการไถ่บาปต้องพึงอาศัยการแสดงออกถึงความกรุณาและความเมตตาต่อมวลมนุษย์ โดยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงจะสามารถได้รับการอภัย และท้ายที่สุดก็จะได้รับสิทธิ์ที่จะได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์และได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าอย่างสมบูรณ์  หากปราศจากงานช่วงระยะนี้ แผนการจัดการระยะ 6,000 ปีคงจะก้าวหน้าไม่ได้เลย  หากพระเยซูไม่ได้ทรงถูกตรึงกางเขน หากพระองค์เพียงทรงรักษาคนป่วยและขับไล่ปีศาจเท่านั้น เช่นนั้นแล้วผู้คนก็จะไม่สามารถได้รับการอภัยบาปของพวกเขาโดยสมบูรณ์  ในระยะเวลาสามปีครึ่งที่พระเยซูทรงใช้ไปในการทรงพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระองค์ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการไถ่ของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น แต่หลังจากนั้น โดยการทรงถูกตอกตรึงบนกางเขนและกลายเป็นสภาพเหมือนของมนุษย์คนบาป โดยการทรงถูกมอบไว้กับมารร้าย พระองค์ได้ทรงทำให้พระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนเสร็จสมบูรณ์และได้ทรงเรียนรู้ลิขิตชีวิตของมวลมนุษย์จนเชี่ยวชาญ  เพียงหลังจากที่พระองค์ทรงถูกนำส่งถึงมือของซาตานแล้วเท่านั้น พระองค์จึงได้ทรงไถ่มวลมนุษย์  เป็นเวลาถึงสามสิบสามปีครึ่งที่พระองค์ได้ทรงทนทุกข์บนแผ่นดินโลก ถูกเยาะเย้ยถากถาง ถูกให้ร้ายป้ายสี และถูกทอดทิ้ง จนถึงจุดที่พระองค์ไม่ทรงมีแม้ที่จะให้วางพระเศียร ไม่มีที่ให้หยุดพัก และพระองค์ได้ทรงถูกตรึงกางเขนในเวลาต่อมา ด้วยทั้งองค์รวมของพระองค์ พระกายซึ่งบริสุทธิ์และไร้มลทินได้ถูกตอกตรึงกับกางเขน พระองค์ได้ทรงสู้ทนต่อความทุกข์ทุกชนิดที่พึงมี  พวกผู้มีอำนาจต่างพากันเย้ยหยันและโบยตีพระองค์ กระทั่งพวกทหารก็ยังถ่มน้ำลายรดพระพักตร์ของพระองค์ แต่พระองค์ยังทรงเงียบเฉยและสู้ทนจนกระทั่งวาระสุดท้าย ทรงยอมจำนนโดยปราศจากเงื่อนไขจนถึงจุดแห่งความตายอันเป็นจุดที่พระองค์ได้ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งมวล  มีเพียงยามนั้นเองที่พระองค์ได้รับอนุญาตให้หยุดพัก  พระราชกิจที่พระเยซูได้ทรงกระทำลงไปเป็นตัวแทนของยุคพระคุณเท่านั้น มิได้เป็นตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติ อีกทั้งยังหาได้เป็นการทดแทนพระราชกิจของยุคสุดท้ายแต่อย่างใดไม่  นี่คือสาระสำคัญของพระราชกิจของพระเยซูในยุคพระคุณ ยุคที่สองที่มวลมนุษย์ได้ผ่านมาแล้ว—ซึ่งก็คือยุคแห่งการไถ่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เรื่องจริงเบื้องหลังพระราชกิจยุคแห่งการไถ่

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 24

หลังจากพระราชกิจของพระยาห์เวห์ พระเยซูทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกดำเนินการในแบบแยกไปตามลำพัง แต่ทรงก่อขึ้นบนพระราชกิจของพระยาห์เวห์  เป็นพระราชกิจสำหรับยุคใหม่ที่พระเจ้าทรงทำหลังจากที่พระองค์ได้ทรงสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติ  ในทำนองเดียวกัน หลังจากที่พระราชกิจของพระเยซูสิ้นสุดลง พระเจ้าก็ทรงไปต่อกับพระราชกิจของพระองค์สำหรับยุคถัดไป เพราะการบริหารจัดการทั้งมวลของพระเจ้ากำลังก้าวไปข้างหน้าเสมอ  เมื่อยุคเก่าผ่านไป ก็จะถูกแทนที่ด้วยยุคใหม่ และเมื่อพระราชกิจเก่าเสร็จบริบูรณ์แล้วก็จะมีพระราชกิจใหม่เพื่อสานต่อการบริหารจัดการของพระเจ้าต่อไป  การทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้เป็นการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าซึ่งตามหลังพระราชกิจของพระเยซูมา  แน่นอนว่าการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นโดยเอกเทศ แต่เป็นช่วงระยะที่สามของพระราชกิจหลังยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ  ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงริเริ่มช่วงระยะใหม่ของพระราชกิจ จะต้องมีการเริ่มต้นใหม่เสมอและจะต้องนำยุคใหม่มาเสมอ  ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงที่สอดคล้องกันในพระอุปนิสัยของพระเจ้า ในลักษณะของการทรงพระราชกิจของพระองค์ ในที่ตั้งของพระราชกิจของพระองค์และในพระนามของพระองค์อีกด้วย  ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่มนุษย์จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคใหม่ได้ยาก แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าพระองค์จะถูกมนุษย์ต่อต้านอย่างไร พระเจ้าก็ทรงพระราชกิจของพระองค์เสมอและทรงนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวงไปข้างหน้าเสมอ  เมื่อพระเยซูเสด็จมาในโลกมนุษย์ พระองค์ได้ทรงนำมาซึ่งยุคพระคุณและสิ้นสุดยุคธรรมบัญญัติ  ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้งและด้วยการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งนี้ พระองค์ได้ทรงสิ้นสุดยุคพระคุณและนำมาซึ่งยุคแห่งราชอาณาจักร  บรรดาผู้คนที่สามารถยอมรับการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้าจะถูกนำทางเข้าสู่ยุคแห่งราชอาณาจักรและยิ่งไปกว่านั้นจะกลายเป็นสามารถยอมรับการทรงนำของพระเจ้าด้วยตนเอง  แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา  การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปทั้งหลายของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา  และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา  พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น  บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น  พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 25

หากผู้คนยังคงติดอยู่ในยุคพระคุณแล้ว พวกเขาจะไม่มีทางกำจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขาได้ และยิ่งไม่มีทางรู้จักพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระเจ้าเลย  หากผู้คนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางพระคุณที่ล้นเหลือเสมอ แต่ไม่มีหนทางแห่งชีวิตที่เปิดโอกาสให้พวกเขารู้จักกับพระเจ้าหรือทำให้พระองค์สมดังพระทัย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะไม่มีวันได้รับพระองค์อย่างแท้จริงในการเชื่อในพระองค์ของพวกเขา  การเชื่อประเภทนี้ช่างน่าสงสารเสียจริง  เมื่อเจ้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้จนจบ เมื่อเจ้าได้รับประสบการณ์ในแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในยุคแห่งราชอาณาจักร เจ้าจะรู้สึกว่าบรรดาความอยากได้อยากมีที่เจ้ามีมานานหลายปีได้กลายเป็นจริงในที่สุด  เจ้าจะรู้สึกว่าบัดนี้เท่านั้นที่เจ้าได้เห็นพระเจ้าแบบเผชิญหน้าอย่างแท้จริง  บัดนี้เท่านั้นที่เจ้าได้จ้องมองโฉมพระพักตร์ของพระองค์ ได้ยินถ้อยดำรัสส่วนพระองค์ของพระองค์ ได้ตระหนักถึงพระปรีชาญาณของพระราชกิจของพระองค์และได้สำนึกรับรู้อย่างแท้จริงว่าพระองค์ทรงเป็นจริงและทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างไร  เจ้าจะรู้สึกว่าเจ้าได้รับหลายสิ่งหลายอย่างที่ผู้คนในอดีตกาลไม่เคยได้เห็นหรือครอบครอง  ณ เวลานี้ เจ้าจะรู้ได้อย่างชัดเจนว่าอะไรคือการเชื่อในพระเจ้าและอะไรคือการปฏิบัติให้สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า  แน่นอนว่าหากเจ้าเกาะติดกับมุมมองของอดีตและบอกปัดหรือปฏิเสธข้อเท็จจริงของการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงมือว่างเปล่า ไม่ได้รับอะไรมาเลย และในท้ายที่สุด เจ้าจะถูกประกาศว่ามีความผิดในการต่อต้านพระเจ้า  บรรดาผู้ที่สามารถเชื่อฟังความจริงและนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าจะได้รับการอ้างสิทธิ์ภายใต้พระนามของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  พวกเขาจะสามารถยอมรับการทรงนำส่วนพระองค์ของพระเจ้า ได้รับความจริงมากขึ้นและสูงส่งขึ้น ตลอดจนชีวิตที่เป็นจริง  พวกเขาจะได้เห็นนิมิตที่ไม่เคยมีผู้คนในอดีตเคยได้เห็นมาก่อน กล่าวคือ “แล้วข้าพเจ้าก็หันกลับมาดูตรงที่พระสุรเสียงตรัสกับข้าพเจ้านั้น  และเมื่อหันกลับมาแล้วข้าพเจ้าก็เห็นคันประทีปทองคำเจ็ดคัน ในท่ามกลางคันประทีปเหล่านั้นมีผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์ ทรงฉลองพระองค์ยาวคลุมพระบาท และทรงคาดแถบทองคำที่พระอุระ  พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนอย่างขนแกะ และขาวเหมือนอย่างหิมะ พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ ประหนึ่งหลอมบริสุทธิ์แล้วในเตาไฟ พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย  พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ และพระพักตร์ของพระองค์เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า” (วิวรณ์ 1:12-16)  นิมิตนี้เป็นการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า และการแสดงออกของพระอุปนิสัยครบถ้วนบริบูรณ์ของพระองค์ยังเป็นการแสดงออกของพระราชกิจของพระเจ้าในการทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งปัจจุบันของพระองค์ด้วยเช่นกัน  ในกระแสเชี่ยวกรากของการตีสอนและการพิพากษา บุตรมนุษย์ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์โดยอาศัยถ้อยดำรัส อนุญาตให้ทุกคนที่ยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ได้เห็นพระพักตร์แท้จริงของบุตรมนุษย์ ซึ่งเป็นภาพพรรณนาอันสัตย์จริงของพระพักตร์ของบุตรมนุษย์ตามที่ยอห์นได้เคยเห็น  (แน่นอนว่าทั้งหมดนี้จะไม่สามารถมองเห็นได้สำหรับพวกที่ไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร)  พระพักตร์แท้จริงของพระเจ้าไม่สามารถบรรยายให้เห็นภาพอย่างครบถ้วนได้โดยใช้ภาษามนุษย์ และดังนั้นพระเจ้าจึงใช้วิธีที่พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์เพื่อแสดงพระพักตร์แท้จริงของพระองค์ต่อมนุษย์  ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือทุกคนที่ซึ้งคุณค่าในพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของบุตรมนุษย์ย่อมได้เห็นพระพักตร์แท้จริงของบุตรมนุษย์แล้ว เพราะพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เกินไปและไม่สามารถบรรยายให้เห็นภาพอย่างครบถ้วนได้โดยใช้ภาษามนุษย์  เมื่อมนุษย์ได้รับประสบการณ์ในแต่ละขั้นตอนของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคแห่งราชอาณาจักร เช่นนั้นแล้วเขาก็จะรู้ความหมายแท้จริงของคำพูดของยอห์นเมื่อตอนที่เขาพูดถึงบุตรมนุษย์ท่ามกลางคันประทีปว่า “พระเศียรและพระเกศาของพระองค์ขาวเหมือนอย่างขนแกะ และขาวเหมือนอย่างหิมะ พระเนตรของพระองค์เหมือนอย่างเปลวไฟ พระบาทของพระองค์เหมือนทองสัมฤทธิ์ ประหนึ่งหลอมบริสุทธิ์แล้วในเตาไฟ พระสุรเสียงของพระองค์เหมือนอย่างเสียงน้ำมากหลาย  พระหัตถ์ขวาของพระองค์ทรงถือดวงดาวเจ็ดดวง และมีดาบสองคมที่คมกริบออกมาจากพระโอษฐ์ และพระพักตร์ของพระองค์เหมือนอย่างดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงแรงกล้า”  ณ เวลานั้น เจ้าจะรู้สิ้นเกินความสงสัยทั้งมวลว่าเนื้อหนังธรรมดานี้ซึ่งได้กล่าวไว้มากมายนั้นคือพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ครั้งที่สองอย่างไม่อาจปฏิเสธได้  ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าจะสำนึกรับรู้ได้อย่างแท้จริงว่าเจ้าได้รับพรมากเพียงใดและรู้สึกว่าตัวเองโชคดีที่สุด เจ้าไม่ได้กำลังเต็มใจยอมรับพรนี้หรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 26

พระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายก็คือการตรัสพระวจนะ  โดยพระวจนะสามารถส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ในตัวมนุษย์ได้  เวลานี้ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนเหล่านี้เวลาที่พวกเขายอมรับพระวจนะเหล่านี้นั้น ยิ่งใหญ่กว่าความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในตัวผู้คนเมื่อพวกเขายอมรับหมายสำคัญและการอัศจรรย์แห่งยุคพระคุณมากมายนัก เพราะในยุคพระคุณนั้น ปีศาจทั้งหลายได้ถูกขับไล่ออกจากมนุษย์ด้วยการวางมือและการอธิษฐาน แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลายภายในมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่  มนุษย์ได้รับการรักษาอาการเจ็บป่วยของเขาและได้รับการยกโทษต่อบาปของเขา แต่สำหรับการที่มนุษย์จะต้องได้รับการชำระล้างอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานภายในตัวเขานั้น พระราชกิจนี้ยังมิได้ถูกกระทำ  มนุษย์เพียงได้รับการช่วยให้รอดและยกโทษต่อบาปของเขาเนื่องจากความเชื่อของเขาเท่านั้น แต่ธรรมชาติของมนุษย์อันเต็มไปด้วยบาปนั้นหาได้ถูกขุดรากถอนโคนไม่และยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา  บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษโดยผ่านทางพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ แต่นี่ไม่ได้หมายความว่า มนุษย์ไม่ได้มีบาปภายในตัวเขาอีกต่อไป  บาปทั้งหลายของมนุษย์อาจสามารถได้รับการยกโทษโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาปได้ แต่สำหรับวิธีที่แน่ๆ ที่มนุษย์จะไม่สามารถถูกทำให้มีบาปอีกต่อไป และวิธีที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์และแปลงสภาพไปนั้น เขาไม่มีทางแก้ปัญหานี้ได้  บาปทั้งหลายของมนุษย์ได้รับการยกโทษไปแล้ว และนี่ก็เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนของพระเจ้า แต่มนุษย์ยังคงมีชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานแบบเดิมต่อไป  เมื่อเป็นเช่นนี้ มนุษย์จะต้องได้รับการช่วยให้รอดอย่างครบบริบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน เพื่อที่ธรรมชาติบาปของเขาอาจถูกขุดรากถอนโคนอย่างครบบริบูรณ์ ไม่มีวันพัฒนาขึ้นมาอีก เช่นนั้นจึงจะเป็นการทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการแปลงสภาพได้  การนี้มนุษย์พึงต้องจับความเข้าใจในเส้นทางการเติบโตของชีวิต จับความเข้าใจในวิถีแห่งชีวิต และจับความเข้าใจในหนทางที่จะเปลี่ยนอุปนิสัยของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์พึงต้องกระทำโดยสอดคล้องกับเส้นทางนี้ เพื่อที่อุปนิสัยของเขาอาจค่อยๆ เปลี่ยนแปลงและเขาอาจมีชีวิตอยู่ภายใต้การสาดแสงของความสว่าง เพื่อที่ทั้งหมดที่เขาทำอาจสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เพื่อที่เขาอาจทิ้งอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และเพื่อที่เขาอาจหลุดพ้นจากอิทธิพลแห่งความมืดของซาตาน อันเป็นผลให้โผล่พ้นออกจากบาปได้อย่างครบถ้วน  ถึงตอนนั้นเท่านั้นมนุษย์จึงจะได้รับความรอดอันครบบริบูรณ์  ในกาลเวลาที่พระเยซูกำลังทรงพระราชกิจของพระองค์อยู่นั้น ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ยังคงคลุมเครือและไม่ชัดเจน  มนุษย์เชื่อเสมอว่าพระองค์เป็นบุตรของดาวิด และป่าวประกาศว่าพระองค์เป็นผู้เผยวจนะที่ยิ่งใหญ่ เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าที่มีความกรุณามากมายผู้ซึ่งได้ทรงไถ่บาปทั้งหลายของมนุษย์  ด้วยความเชื่อที่แข็งแกร่งของพวกเขา บางคนก็ได้รับการรักษาแค่จากการที่สัมผัสชายฉลองพระองค์ของพระองค์ คนตาบอดได้สามารถมองเห็น และแม้แต่คนตายก็สามารถคืนชีวิตมาได้  อย่างไรก็ตาม มนุษย์ก็ไม่สามารถที่จะค้นพบอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานซึ่งฝังรากลึกอยู่ภายในตัวเขาได้ อีกทั้งเขาก็ไม่รู้ว่าจะทิ้งมันไปอย่างไร  มนุษย์ได้รับพระคุณมามากมาย อาทิ สันติสุขและความสุขของเนื้อหนัง ความเชื่อของสมาชิกหนึ่งคนที่นำมาซึ่งพรต่อทั้งครอบครัว การรักษาอาการป่วย และอื่นๆ  ที่เหลือก็คือความประพฤติที่ดีของมนุษย์และภาพลักษณ์มีใจศรัทธาของเขา หากใครบางคนสามารถมีชีวิตอยู่บนพื้นฐานเหล่านี้ พวกเขาย่อมได้ถูกถือว่าเป็นผู้เชื่อที่ยอมรับได้  เฉพาะผู้เชื่อประเภทนี้เท่านั้นที่อาจสามารถเข้าสู่สวรรค์ได้หลังจากความตาย ซึ่งก็หมายความว่าพวกเขาได้รับการช่วยให้รอด  แต่ทว่าในช่วงชีวิตของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้เข้าใจหนทางของชีวิตเลยสักนิด  ทั้งหมดที่พวกเขาทำลงไปก็คือการทำบาปแล้วก็สารภาพบาปของพวกเขาอย่างเป็นวัฏจักรสม่ำเสมอโดยไม่มีเส้นทางใดที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของพวกเขาเลย เช่นนั้นเองที่เป็นสภาพเงื่อนไขของมนุษย์ในยุคพระคุณ  มนุษย์ได้รับความรอดที่ครบบริบูรณ์แล้วหรือยังหนอ?  ยัง!  ดังนั้นหลังจากที่พระราชกิจช่วงระยะนั้นได้แล้วเสร็จลง ยังคงมีพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนค้างอยู่  ช่วงระยะนี้คือการทำให้มนุษย์บริสุทธิ์โดยวิถีทางของพระวจนะ และด้วยการนั้นจึงเป็นการให้เส้นทางสำหรับเขาที่จะติดตาม  ช่วงระยะนี้คงจะไม่ออกผลหรือเปี่ยมความหมายหากมันดำเนินต่อไปด้วยการขับไล่ปีศาจ เพราะมันคงจะล้มเหลวที่จะขุดรากถอนโคนธรรมชาติบาปของมนุษย์ และมนุษย์ก็คงจะมาหยุดนิ่งอยู่ที่การยกโทษบาปของเขา  มนุษย์ได้รับการยกโทษต่อบาปของเขาโดยผ่านทางเครื่องบูชาลบล้างบาป เพราะพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนได้มาถึงปลายทางแล้ว และพระเจ้าก็ได้ทรงมีอำนาจเหนือซาตานแล้ว  แต่ทว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ยังคงตกค้างอยู่ภายในตัวเขา มนุษย์ยังคงสามารถทำบาปและต้านทานพระเจ้าได้ และพระเจ้าก็ยังไม่ทรงได้รับมวลมนุษย์เอาไว้เลย  นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจ พระเจ้าจึงทรงใช้พระวจนะมาตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์ เป็นเหตุให้เขาปฏิบัติไปตามเส้นทางที่ถูกต้อง  ช่วงระยะนี้เปี่ยมความหมายมากกว่าช่วงระยะก่อนหน้า รวมถึงออกผลมากกว่า เพราะตอนนี้ พระวจนะนี่เองที่จัดหาให้กับชีวิตมนุษย์โดยตรง และทำให้อุปนิสัยของมนุษย์ได้รับการเริ่มใหม่อย่างครบบริบูรณ์ มันเป็นช่วงระยะของพระราชกิจที่ละเอียดทั่วถึงกว่ามาก  เพราะฉะนั้น การจุติเป็นมนุษย์ในยุคสุดท้ายได้ทำให้นัยสำคัญของการจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าครบบริบูรณ์และเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าสำหรับความรอดของมนุษย์โดยสมบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 27

ในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย พระวจนะทรงฤทธิ์กว่าการสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และสิทธิอำนาจของพระวจนะอยู่เหนือสิทธิอำนาจของหมายสำคัญและการอัศจรรย์  พระวจนะตีแผ่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดที่ถูกฝังลึกอยู่ในหัวใจมนุษย์  เจ้าไม่มีหนทางที่จะระลึกรู้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเหล่านั้นด้วยตัวเจ้าเอง  เมื่อพวกมันถูกแผ่วางต่อหน้าต่อตาเจ้าผ่านพระวจนะ เจ้าจึงจะมาค้นพบพวกมันเอง เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะปฏิเสธพวกมัน และเจ้าจะถูกโน้มน้าวให้เชื่ออย่างถึงที่สุด  นี่มิใช่สิทธิอำนาจของพระวจนะหรอกหรือ?  นี่คือผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ได้ด้วยพระราชกิจของพระวจนะในวันนี้  ดังนั้น มนุษย์มิได้สามารถได้รับความรอดจากบาปของเขาอย่างครบถ้วนโดยผ่านทางการรักษาอาการป่วยและการขับไล่ปีศาจ อีกทั้งยังมิได้สามารถได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์อย่างครบถ้วนโดยการสำแดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์  สิทธิอำนาจในการรักษาอาการป่วยและการขับไล่ปีศาจเพียงแค่ให้พระคุณแก่มนุษย์เท่านั้น แต่เนื้อหนังของมนุษย์ยังคงเป็นของซาตานและอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานยังคงตกค้างอยู่ภายในมนุษย์  กล่าวได้อีกอย่างว่า สิ่งที่ยังไม่ได้รับการทำให้สะอาดนั้นยังคงเป็นเรื่องเกี่ยวกับบาปและความโสมม  เฉพาะหลังจากที่เขาได้รับการทำให้สะอาดโดยผ่านทางการกระทำของพระวจนะแล้วเท่านั้น มนุษย์จึงสามารถได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าและกลายเป็นสะอาดบริสุทธิ์ได้  เมื่อปีศาจถูกขับไล่ออกจากมนุษย์และเขาได้รับการไถ่ นี่หมายความเพียงว่า เขาได้ถูกกระชากพ้นจากเงื้อมมือของซาตานและกลับคืนสู่พระเจ้าแล้วเท่านั้น  อย่างไรก็ตาม หากปราศจากการถูกทำให้สะอาดหรือเปลี่ยนแปลงโดยพระเจ้า เขาย่อมยังคงเป็นมนุษย์ที่เสื่อมทราม  ความโสมม ความต่อต้าน และความเป็นกบฏยังคงดำรงอยู่ภายในมนุษย์ มนุษย์ได้กลับคืนสู่พระเจ้าโดยผ่านทางการไถ่ของพระองค์เท่านั้น แต่เขามิได้มีความรู้แม้เพียงน้อยนิดเกี่ยวกับพระเจ้าเลยและยังคงสามารถต้านทานและทรยศพระองค์ได้  ก่อนที่มนุษย์จะได้รับการไถ่ พิษมากมายของซาตานซึ่งได้ถูกปลูกฝังไว้ภายในตัวเขาแล้ว และหลังจากหลายพันปีของการถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เขามีธรรมชาติอย่างหนึ่งซึ่งต้านทานพระเจ้าก่อตัวขึ้นมาภายในตัวเขา  ดังนั้น เมื่อมนุษย์ได้รับการไถ่ ก็ย่อมไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่ากรณีของการไถ่ที่มนุษย์ถูกซื้อมาด้วยราคาแพง แต่ธรรมชาติซึ่งเป็นพิษภายในตัวเขาหาได้ถูกกำจัดให้หมดสิ้นไม่  มนุษย์ซึ่งมีมลทินมากขนาดนั้นจะต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงก่อนที่จะกลายมามีคุณค่าต่อการรับใช้พระเจ้า  ด้วยวิถีทางแห่งพระราชกิจแห่งการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า มนุษย์จึงจะมารู้จักธาตุแท้อันโสมมและเสื่อมทรามภายในตัวเขาเองอย่างครบถ้วน และเขาจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงอย่างครบบริบูรณ์และกลับกลายเป็นสะอาดได้  เฉพาะด้วยหนทางนี้เท่านั้นมนุษย์จึงสามารถกลายเป็นมีค่าพอที่จะกลับคืนสู่เบื้องบัลลังก์ของพระเจ้าได้ พระราชกิจทั้งหมดที่ทรงกระทำในวันนี้นั้นก็เพื่อที่มนุษย์จะสามารถได้รับการทำให้สะอาดและได้รับการเปลี่ยนแปลง นั่นคือ มนุษย์สามารถชำระล้างความเสื่อมทรามและได้รับการชำระให้สะอาดได้ โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะ ตลอดจนโดยผ่านทางกระบวนการถลุง  แทนที่จะถือว่าช่วงระยะนี้ของพระราชกิจเป็นช่วงระยะของความรอด น่าจะกล่าวว่านี่คือพระราชกิจแห่งการชำระให้บริสุทธิ์เสียมากกว่า  ในความจริง ช่วงระยะนี้เป็นช่วงระยะของการพิชิตชัยตลอดจนช่วงระยะที่สองในพระราชกิจแห่งความรอด  โดยผ่านทางการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะนี่เอง มนุษย์จึงมาถึงการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า และโดยผ่านทางการใช้พระวจนะถลุง พิพากษา และเปิดเผยนี่เอง ความไม่บริสุทธิ์ มโนคติที่หลงผิด เหตุจูงใจ และความทะเยอทะยานของปัจเจกบุคคลภายในหัวใจมนุษย์จึงถูกเผยอย่างสมบูรณ์  สำหรับทุกสิ่งที่มวลมนุษย์อาจได้รับการไถ่และการยกโทษในบาปของเขาไปแล้วนั้น พิจารณาได้เพียงว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงจดจำการฝ่าฝืนของมนุษย์และไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อมนุษย์โดยสอดคล้องกับการฝ่าฝืนของเขา  อย่างไรก็ตาม ในเมื่อมนุษย์ผู้มีชีวิตอยู่ในร่างกายที่เป็นเนื้อหนังยังไม่ได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากบาป เขาก็ย่อมสามารถทำบาปต่อไปได้เท่านั้นเอง อันเป็นการเปิดเผยอุปนิสัยเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขาอย่างไม่รู้จบ  นี่คือชีวิตที่มนุษย์ดำเนินอยู่ วัฏจักรอันไม่รู้จบของการทำบาปและการได้รับการยกโทษ  บาปในตอนกลางวันของมวลมนุษย์ ส่วนใหญ่แล้วก็เพียงเพื่อจะสารภาพในตอนค่ำเท่านั้นเอง  เมื่อเป็นแบบนี้ แม้ว่าเครื่องบูชาลบล้างบาปนั้นมีประสิทธิภาพต่อมนุษย์ตลอดกาล แต่มันก็จะไม่สามารถช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปได้  พระราชกิจแห่งความรอดเสร็จสิ้นไปเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น เนื่องจากมนุษย์ยังคงมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามอยู่  ตัวอย่างเช่น เมื่อผู้คนได้ตระหนักว่า พวกเขาเป็นพงศ์พันธุ์ของโมอับ พวกเขาก็แสดงคำพูดปริบ่นออกมา ยุติการไล่ตามเสาะหาชีวิต และกลับกลายไปในทางลบอย่างถึงที่สุด  นี่ไม่ได้แสดงว่า มนุษยชาติยังคงไม่สามารถนบนอบอย่างสุดใจภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่มิใช่อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาชัดๆ เลยหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าไม่ได้กำลังอยู่ภายใต้การตีสอน มือของเจ้าชูสูงเหนือผู้อื่นทั้งหมด แม้แต่พระหัตถ์ของพระเยซู  และเจ้าก็ร้องออกมาด้วยเสียงอันดังว่า “จงเป็นบุตรที่รักของพระเจ้า!  จงเป็นคนสนิทของพระเจ้า!  พวกเราจะยอมตายเสียดีกว่าที่จะกราบไหว้ซาตาน!  จงขบถต่อซาดานดึกดำบรรพ์!  จงขบถต่อพญานาคใหญ่สีแดง!  ขอให้พญานาคใหญ่สีแดงจงตกต่ำจากอำนาจอย่างน่าอนาถ!  ขอพระเจ้าทรงทำให้พวกเราครบบริบูรณ์!”  เสียงร้องของพวกเจ้าดังกว่าผู้อื่นทั้งหมด  แต่แล้วก็มาถึงเวลาแห่งการตีสอน และเป็นอีกครั้งที่อุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษยชาติถูกเปิดเผย  แล้วเสียงร้องของพวกเขาก็หยุดลง และปณิธานของพวกเขาก็ล้มเหลว  นี่คือความเสื่อมทรามของมนุษย์ที่กำลังดิ่งลงลึกกว่าบาป มันเป็นบางสิ่งที่ปลูกฝังโดยซาตานและหยั่งรากลึกอยู่ภายในมนุษย์  ไม่ง่ายสำหรับมนุษย์ที่จะกลับกลายเป็นตระหนักรู้บาปทั้งหลายของเขาเอง เขาไม่มีหนทางที่จะตระหนักได้ถึงธรรมชาติอันหยั่งรากลึกของตัวเขาเอง และเขาต้องพึ่งพาการพิพากษาโดยพระวจนะ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์ผลลัพธ์นี้  เฉพาะเมื่อเป็นเช่นนั้นเท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถค่อยๆ ถูกเปลี่ยนแปลงจากจุดนี้เป็นต้นไป  มนุษย์ได้ร้องตะโกนเช่นนั้นในอดีต เพราะเขาไม่มีความเข้าใจในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่มีอยู่โดยธรรมชาติของเขา  เหล่านี้คือความไม่บริสุทธิ์ที่มีอยู่จริงภายในมนุษย์  ตลอดช่วงเวลาอันยาวนานเช่นนั้นของการพิพากษาและการตีสอน มนุษย์มีชีวิตอยู่ในบรรยากาศแห่งความตึงเครียด  นี่มิใช่ทั้งหมดที่สัมฤทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะหรอกหรือ?  เจ้าไม่ได้ร่ำร้องออกมาด้วยเสียงอันดังมากก่อนบททดสอบพวกคนปรนนิบัติหรอกหรือ?  “จงเข้าสู่ราชอาณาจักร!  บรรดาผู้ที่ยอมรับพระนามนี้จะเข้าสู่ราชอาณาจักร!  ทุกคนจะมีส่วนในพระเจ้า!”  เมื่อบททดสอบพวกคนปรนนิบัติได้มาถึง เจ้าก็ไม่ได้ร่ำร้องอีกต่อไป  ในตอนเริ่มแรกเลยนั้น ทั้งหมดได้พากันร่ำร้องว่า “โอ พระเจ้า!  ไม่ว่าพระองค์จะทรงวางข้าพระองค์ไว้ที่ใด ข้าพระองค์จะนบนอบต่อการที่พระองค์ทรงคอยคัดท้าย”  ทันทีที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า “ใครจะเป็นเปาโลของเรา?”  ผู้คนได้กล่าวว่า “ข้าพระองค์จะเป็น!”  แล้วพวกเขาก็ได้เห็นพระวจนะ “แล้วของความเชื่อของโยบล่ะ?”  และกล่าวว่า “ข้าพระองค์เต็มใจรับความเชื่อของโยบเอง?  พระเจ้าได้โปรดให้ข้าพระองค์ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบด้วยเถิด!”  เมื่อบททดสอบพวกคนปรนนิบัติได้มาถึง พวกเขาก็ได้ทรุดฮวบลงทันทีและแทบจะไม่สามารถยืนขึ้นมาได้อีกเลย  หลังจากนั้น ความไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายในหัวใจพวกเขาก็ค่อยๆ ลดลงทีละน้อย  นี่มิได้สัมฤทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะหรอกหรือ?  ดังนั้น สิ่งที่พวกเจ้าได้รับประสบการณ์ไปในวันนี้คือผลลัพธ์ต่างๆ ที่สัมฤทธิ์ผ่านพระวจนะ ซึ่งยิ่งใหญ่กว่าบรรดาผลลัพธ์ที่สัมฤทธิ์ผ่านพระราชกิจแห่งหมายสำคัญและการอัศจรรย์ของพระเยซูเสียด้วยซ้ำ  พระสิริของพระเจ้าที่เจ้าเห็นและสิทธิอำนาจของพระเจ้าพระองค์เองที่เจ้าเห็นนั้น มิใช่แค่ถูกมองเห็นโดยวิถีทางแห่งการตรึงกางเขน โดยวิถีทางแห่งการรักษาคนป่วยและการขับไล่ปีศาจเท่านั้น แต่โดยวิถีทางแห่งการพิพากษาของพระวจนะของพระองค์มากกว่าเสียด้วยซ้ำ  นี่แสดงให้เจ้าเห็นว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าหาได้ประกอบด้วยการทรงพระราชกิจเกี่ยวกับหมายสำคัญ การรักษาอาการป่วย และการขับไล่ปีศาจเท่านั้นไม่ แต่ทว่าการพิพากษาแห่งพระวจนะของพระเจ้าต่างหาก ที่สามารถเป็นตัวแทนของสิทธิอำนาจของพระเจ้าและเปิดเผยความทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระองค์ได้ดีกว่า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 28

ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อเริ่มต้นยุคใหม่ เพื่อเปลี่ยนวิถีทางที่พระองค์ทรงใช้ปฏิบัติงาน และเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของทั้งยุค  นี่คือหลักการซึ่งพระเจ้าทรงใช้ปฏิบัติงานในยุคพระวจนะ  พระองค์ได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อพูดจากมุมมองที่ต่างออกไป เพื่อที่มนุษย์อาจได้เห็นพระเจ้าอย่างแท้จริง ผู้ทรงเป็นพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และอาจสามารถมองเห็นพระปรีชาญาณและความมหัศจรรย์ของพระองค์  พระราชกิจเช่นนั้นทำไปเพื่อให้สัมฤทธิ์เป้าหมายได้ดียิ่งขึ้นในการพิชิตมนุษย์ การทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และการขับมนุษย์ออกไป ซึ่งเป็นความหมายที่แท้จริงของการใช้พระวจนะเพื่อปฏิบัติพระราชกิจในยุคพระวจนะ  โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนจึงได้มารู้จักกับพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า แก่นแท้ของมนุษย์ และสิ่งที่มนุษย์ควรเข้าสู่  โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ พระราชกิจที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะทำในยุคพระวจนะจึงถูกนำพาไปสู่การบังเกิดผลโดยครบถ้วนบริบูรณ์  โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้ ผู้คนได้ถูกเปิดโปง ถูกขับออกไป และถูกทดสอบ  ผู้คนได้เห็นพระวจนะของพระเจ้า ได้ยินพระวจนะเหล่านี้ และระลึกรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของพระวจนะเหล่านี้  ผลก็คือ พวกเขาได้มาเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า ในฤทธานุภาพสูงสุดและพระปรีชาญาณของพระเจ้า รวมทั้งในความรักของพระเจ้าที่มีให้กับมนุษย์ และความปรารถนาของพระองค์ที่จะช่วยมนุษย์ให้รอด  คำว่า “พระวจนะ” อาจฟังดูเรียบง่ายและธรรมดาสามัญ แต่พระวจนะที่กล่าวจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าซึ่งทรงจุติมาเป็นมนุษย์นั้นสั่นสะเทือนจักรวาล พระวจนะเหล่านั้นแปลงสภาพหัวใจของผู้คน แปลงสภาพมโนคติที่หลงผิดและอุปนิสัยแต่เดิมของพวกเขา และแปลงสภาพหนทางที่โลกทั้งโลกเคยปรากฏ  ตลอดหลายยุคหลายสมัยมานั้น มีเพียงพระเจ้าของวันนี้เท่านั้นที่ได้ทรงพระราชกิจด้วยวิธีนี้ และมีเพียงพระองค์เท่านั้นที่ตรัสด้วยเหตุนี้และเสด็จมาช่วยมนุษย์ให้รอดด้วยเหตุนี้  จากเวลานี้ไป มนุษย์ใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การทรงนำของพระวจนะของพระเจ้า ได้รับการเลี้ยงและจัดหาให้โดยพระวจนะของพระองค์  ผู้คนใช้ชีวิตในโลกแห่งพระวจนะของพระเจ้า ท่ามกลางคำสาปแช่งและพรของพระวจนะของพระเจ้า และมีผู้คนมากกว่านั้นอีกที่ได้มาใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระองค์  พระวจนะเหล่านี้และพระราชกิจนี้ล้วนแต่เป็นไปเพื่อประโยชน์ต่อความรอดของมนุษย์ เพื่อประโยชน์ต่อการทำให้น้ำพระทัยพระเจ้าลุล่วง และเพื่อประโยชน์ต่อการเปลี่ยนแปลงรูปสัณฐานดั้งเดิมของโลกแห่งการทรงสร้างเดิม  พระเจ้าได้ทรงสร้างโลกโดยใช้พระวจนะ  พระองค์ทรงนำทางผู้คนทั่วทั้งจักรวาลโดยใช้พระวจนะ และพระองค์ทรงพิชิตและช่วยพวกเขาให้รอดโดยใช้พระวจนะ  ในท้ายที่สุดแล้ว พระองค์จะทรงใช้พระวจนะเพื่อนำพาโลกเดิมทั้งโลกไปสู่บทอวสาน ด้วยเหตุนี้จึงจะเป็นการทำให้แผนการบริหารจัดการของพระองค์สำเร็จครบถ้วนบริบูรณ์  ตลอดยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ และเพื่อสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระองค์  พระองค์ไม่ได้ทรงทำการอัศจรรย์หรือแสดงการปาฏิหาริย์ต่างๆ  แต่เพียงแค่ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ผ่านพระวจนะเท่านั้น  เพราะพระวจนะเหล่านี้ มนุษย์จึงได้รับการบำรุงเลี้ยงและการจัดหา และได้รับความรู้และประสบการณ์ที่แท้จริง  ในยุคพระวจนะ มนุษย์ได้รับพรมากเป็นพิเศษ  เขาไม่ได้ทนทุกข์จากความเจ็บปวดทางร่างกายและแค่เพียงชื่นชมการจัดหาอันโอบอ้อมอารีจากพระวจนะของพระเจ้า โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปแสวงหาอย่างมืดบอดหรือเดินทางไกลไปข้างหน้าอย่างมืดบอด จากท่ามกลางความสบายของเขา เขาเห็นการทรงปรากฏของพระเจ้า ได้ยินพระองค์ตรัสด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง ได้รับสิ่งที่พระองค์ทรงจัดหาให้ และเฝ้ามองพระองค์ปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ด้วยพระองค์เอง  เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนแห่งยุคสมัยทั้งหลายในอดีตไร้ความสามารถที่จะได้ชื่นชม และสิ่งเหล่านี้คือพรที่พวกเขาไม่มีทางที่จะได้รับเลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 29

มวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึก ไม่รู้ว่ามีพระเจ้า และได้หยุดนมัสการพระเจ้า  ในตอนเริ่มต้นที่อาดัมและเอวาได้รับการสร้างขึ้น พระสิริและคำพยานของพระยาห์เวห์ปรากฏอยู่เสมอ  แต่หลังจากที่ถูกทำให้เสื่อมทราม มนุษย์ได้สูญเสียพระสิริและคำพยานนั้น เพราะทุกคนกบฏต่อพระเจ้าและหยุดเคารพพระองค์โดยสิ้นเชิง  พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในวันนี้คือการฟื้นคืนคำพยานทั้งหมดและพระสิริทั้งหมด และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนนมัสการพระเจ้า เพื่อที่จะมีคำพยานท่ามกลางสิ่งทรงสร้าง นี่คือพระราชกิจที่จะมีการปฏิบัติในระหว่างช่วงระยะนี้  มวลมนุษย์จะถูกพิชิตอย่างไรกันแน่?  โดยการใช้พระราชกิจของพระวจนะในช่วงระยะนี้เพื่อโน้มน้าวมนุษย์ให้เชื่ออย่างสมบูรณ์ โดยการใช้การเผย การพิพากษา การตีสอน และการสาปแช่งอย่างไร้ปรานี เพื่อโน้มน้าวเขาอย่างเต็มที่ โดยการเปิดเผยความเป็นกบฏของมนุษย์ และพิพากษาการต้านทานของเขา เพื่อที่เขาอาจได้รู้ถึงความไม่ชอบธรรมและความสกปรกโสมมของมวลมนุษย์ และด้วยเหตุนี้จึงใช้สิ่งเหล่านี้เป็นตัวประกอบเสริมความเด่นให้กับอุปนิสัยที่ชอบธรรมของพระเจ้า  มนุษย์ถูกพิชิตและได้รับการโน้มน้าวให้เชื่ออย่างเต็มที่โดยผ่านทางพระวจนะเหล่านี้เป็นส่วนใหญ่  พระวจนะคือวิถีทางสู่การพิชิตมวลมนุษย์ในขั้นสุดท้าย และทุกคนที่ยอมรับการพิชิตชัยของพระเจ้าต้องยอมรับการเฆี่ยนตีและการพิพากษาของพระวจนะของพระองค์  กระบวนการพูดในวันนี้คือกระบวนการพิชิตนั่นเอง  แล้วผู้คนควรให้ความร่วมมืออย่างไรกันแน่?  โดยการรู้วิธีการกินและดื่มพระวจนะเหล่านี้ และทำให้ความเข้าใจพระวจนะเหล่านี้สัมฤทธิ์ผล  ส่วนในเรื่องว่าผู้คนถูกพิชิตอย่างไรนั้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้ด้วยตัวเอง  ทั้งหมดที่เจ้าสามารถทำได้คือการมารู้จักความเสื่อมทรามและความสกปรกโสมมของเจ้า ความเป็นกบฏของเจ้า และความไม่ชอบธรรมของเจ้าโดยผ่านทางการกินและดื่มพระวจนะเหล่านี้ และคุกเข่าลงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  หลังจากที่จับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า หากเจ้ามีความสามารถที่จะนำสิ่งนั้นมาปฏิบัติ และหากเจ้ามีนิมิตและมีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระวจนะเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ และไม่ทำการเลือกสิ่งใดๆ ด้วยตัวเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วเจ้าจะได้ถูกพิชิตแล้ว—และการพิชิตนั้นจะเป็นผลจากพระวจนะเหล่านี้แล้ว  เหตุใดมวลมนุษย์จึงสูญเสียคำพยาน?  เนื่องจากไม่มีผู้ใดมีความเชื่อในพระเจ้า เพราะในหัวใจของผู้คนไม่มีพื้นที่สำหรับพระเจ้า  การพิชิตชัยเหนือมวลมนุษย์คือการฟื้นฟูความเชื่อของมวลมนุษย์  ผู้คนต้องการวิ่งเข้าไปในโลกที่เป็นธรรมดาโลกอย่างผลีผลามเสมอ พวกเขาเก็บงำความหวังมากมายจนเกินไป ต้องการเพื่ออนาคตของพวกเขามากมายจนเกินไป และมีข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อมากมายจนเกินไป  พวกเขาคิดถึงเนื้อหนังอยู่เสมอ วางแผนเพื่อเนื้อหนังอยู่เสมอ และไม่มีความสนใจใดๆ ที่จะแสวงหาวิธีที่จะเชื่อในพระเจ้า  หัวใจของพวกเขาได้ถูกซาตานฉกไปแล้ว พวกเขาได้สูญเสียความเคารพของพวกเขาเพื่อพระเจ้าแล้ว และพวกเขายึดติดกับซาตาน  แต่มนุษย์ได้รับการสร้างขึ้นโดยพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงได้สูญเสียคำพยาน ซึ่งหมายถึงเขาได้สูญเสียพระสิริของพระเจ้า  จุดประสงค์ของการพิชิตมวลมนุษย์คือเพื่อเรียกกลับคืนซึ่งเกียรติยศของความเคารพที่มนุษย์มีให้พระเจ้า  ซึ่งสามารถกล่าวได้ดังนี้ว่า  ผู้คนที่ไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิตมีจำนวนมากมาย ถึงแม้ว่าจะมีบางคนที่ไล่ตามเสาะหาชีวิต แต่พวกเขาก็มีจำนวนเพียงหยิบมือหนึ่ง  ผู้คนมีใจหมกมุ่นอยู่กับอนาคตของพวกเขา และไม่ให้ความใส่ใจใดๆ กับชีวิต  บางคนกบฏต่อพระเจ้าและต้านทานพระเจ้า ตัดสินพระองค์ลับหลังพระองค์ และไม่นำความจริงไปปฏิบัติ  ผู้คนเหล่านี้ถูกเพิกเฉยอยู่ในตอนนี้ ไม่มีการกระทำสิ่งใดกับบุตรแห่งการกบฏเหล่านี้ในขณะนี้ แต่ในอนาคต เจ้าจะใช้ชีวิตอยู่ในความมืด ร่ำไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเจ้า  เจ้าไม่รู้สึกถึงความล้ำค่าของความสว่างเมื่อเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในนั้น แต่เจ้าจะตระหนักถึงความล้ำค่านั้นเมื่อเจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในคืนที่มืดมิด และในตอนนั้นเจ้าจะรู้สึกเสียใจ  ตอนนี้เจ้ารู้สึกสบายดี แต่วันที่เจ้ารู้สึกเสียใจจะมาถึงในวันหนึ่ง  เมื่อวันนั้นมาถึง และเมื่อความมืดเคลื่อนลงมาและไม่มีความสว่างอีกต่อไป ก็จะสายไปแล้วที่จะมาเสียใจ  เจ้าล้มเหลวที่จะชื่นชมเวลาที่เจ้ามีในตอนนี้เพราะเจ้ายังคงไม่เข้าใจพระราชกิจของวันนี้นั่นเอง  ทันทีที่พระราชกิจสำหรับทั่วทั้งจักรวาลเริ่มต้นขึ้น ซึ่งหมายถึงตอนที่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เรากำลังพูดในวันนี้ได้กลายเป็นจริง ผู้คนมากมายจะก้มศีรษะและหลั่งน้ำตาแห่งความระทม  และในการกระทำเช่นนั้น พวกเขาจะไม่ได้ตกอยู่ในความมืดพร้อมทั้งร่ำไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันแล้วหรือ?  ทุกคนที่ไล่ตามเสาะหาชีวิตจริงๆ และได้รับการทำให้ครบบริบูรณ์สามารถนำมาใช้งานได้ ในขณะที่บุตรแห่งการกบฏทุกคนที่ไม่เหมาะสมที่จะนำมาใช้งานจะตกลงสู่ความมืด  พวกเขาจะสูญสิ้นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และไม่สามารถเข้าใจสิ่งใดได้เลย  ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงจะทรมานและสะอึกสะอื้น เมื่อถูกผลักให้ได้รับการลงโทษแล้ว  หากเจ้ามีความพร้อมเป็นอย่างดีในพระราชกิจระยะนี้ และเจ้าได้เติบโตในชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็มีความเหมาะสมที่จะนำไปใช้งาน  หากเจ้าไม่มีความพร้อม เช่นนั้นแล้วแม้ว่าเจ้าจะถูกเรียกสำหรับพระราชกิจระยะต่อไป แต่เจ้าก็จะไม่เหมาะสมที่จะนำไปใช้งาน—ถึงจุดนี้เจ้าจะไม่มีโอกาสอีกถึงแม้ว่าเจ้าจะปรารถนาที่จะตระเตรียมตัวเองให้พร้อมก็ตาม  พระเจ้าจะเสด็จจากไปแล้ว แล้วเจ้าจะสามารถไปที่แห่งใดเพื่อหาโอกาสเหมาะแบบที่อยู่ต่อหน้าเจ้าในตอนนี้ได้?  เจ้าจะสามารถไปที่แห่งใดเพื่อรับแบบฝึกหัดที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมให้กับเจ้าด้วยพระองค์เองได้?  ถึงตอนนั้น พระเจ้าจะไม่ตรัสหรือประทานพระสุรเสียงของพระองค์ด้วยพระองค์เอง ทั้งหมดที่พวกเจ้าจะมีความสามารถที่จะทำได้คือการอ่านสิ่งต่างๆ ที่กำลังมีการพูดถึงในวันนี้—ถึงตอนนั้นแล้วความเข้าใจจะมาถึงง่ายๆ ได้อย่างไร?  ชีวิตในอนาคตจะสามารถดีไปกว่าที่เป็นในวันนี้ได้อย่างไร?  ถึงจุดนั้น เจ้าจะไม่ทนทุกข์กับการตายทั้งเป็นในขณะที่เจ้าร่ำไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเจ้าหรือ?  ตอนนี้กำลังมีการประทานพระพรให้แก่เจ้า แต่เจ้าไม่รู้ว่าจะชื่นชมกับพระพรได้อย่างไร เจ้ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในความผาสุก แต่เจ้ายังคงไม่ตระหนักรู้  นี่พิสูจน์ว่าเจ้าถูกกำหนดให้ทนทุกข์!  วันนี้ผู้คนบางคนต้านทาน บางคนกบฏ บางคนก็ทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ และเราเพียงแค่ทำเพิกเฉยต่อการนั้น—แต่อย่าคิดว่าเราไม่ตระหนักรู้ถึงสิ่งที่พวกเจ้ากำลังทำอยู่  เราไม่เข้าใจแก่นแท้ของพวกเจ้าหรือ?  เหตุใดจึงเอาแต่ขัดแย้งกับเรา?  เจ้าไม่เชื่อในพระเจ้าเพื่อที่จะไล่ตามเสาะหาชีวิตและพระพรเพื่อประโยชน์ของเจ้าเองหรือ?  ที่เจ้ามีความเชื่อนั้นไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของเจ้าเองหรือ?  ในชั่วขณะปัจจุบันนี้ เรากำลังปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยโดยการพูดเท่านั้น และทันทีที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยนี้มาถึงบทอวสาน บทอวสานของเจ้าก็จะเห็นได้ชัดเจน  เราต้องบอกเจ้าอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งหรือไม่?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 30

พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในวันนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อทำให้เห็นได้ชัดเจนว่าบทอวสานของมนุษย์จะเป็นอะไร  เหตุใดจึงพูดกันว่าการตีสอนและการพิพากษาในวันนี้คือการตัดสินต่อหน้ามหาบัลลังก์ใหญ่สีขาวในยุคสุดท้าย?  เจ้ามองไม่เห็นการนี้หรือ?  เหตุใดพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยจึงเป็นพระราชกิจช่วงระยะสุดท้าย?  พระราชกิจนี้ไม่ใช่เพื่อสำแดงว่ามนุษย์แต่ละประเภทจะพบกับบทอวสานรูปแบบใดหรอกหรือ?  พระราชกิจนี้ไม่ใช่เพื่อให้ทุกคนได้รับการตีสอนและการพิพากษาในระหว่างช่วงเวลาที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยดำเนินไป เพื่อแสดงให้พวกเขาเห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา แล้วจากนั้นก็ได้รับการจำแนกตามประเภทของพวกเขาหรือ?  แทนที่จะกล่าวว่านี่เป็นการพิชิตมวลมนุษย์ อาจจะเป็นการดีกว่าที่จะกล่าวว่านี่กำลังแสดงให้เห็นว่าบุคคลแต่ละประเภทจะมีบทอวสานแบบใด  นี่เป็นเรื่องของการพิพากษาบาปของผู้คน และจากนั้นจึงเปิดเผยประเภทต่างๆ ของผู้คน ดังนั้นจึงเป็นการตัดสินว่าพวกเขาชั่วร้ายหรือชอบธรรม  หลังจากพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย พระราชกิจแห่งการประทานรางวัลสำหรับความดีและการลงโทษสำหรับความชั่วก็จะมาถึง  ผู้คนที่เชื่อฟังอย่างครบบริบูรณ์—ซึ่งหมายถึงผู้ที่ถูกพิชิตอย่างถ้วนทั่ว—จะได้รับการจัดให้อยู่ในขั้นตอนถัดไปในการเผยแพร่พระราชกิจของพระเจ้าไปยังทั่วทั้งจักรวาล ผู้ที่ไม่ถูกพิชิตจะถูกจัดให้อยู่ในความมืดและจะพบกับหายนะ  ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงจะได้รับการจำแนกตามประเภท พวกคนทำชั่วจะถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มความชั่วร้าย จะอยู่โดยไม่มีแสงอาทิตย์อีกเลย และผู้ชอบธรรมจะได้รับการจัดให้อยู่ในกลุ่มความดี ได้รับความสว่างและใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างตลอดกาล  บทอวสานสำหรับทุกสรรพสิ่งมาใกล้แล้ว บทอวสานของมนุษย์ได้รับการแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนกับตาของมนุษย์ และทุกสรรพสิ่งจะได้รับการจำแนกตามประเภท  เช่นนั้นแล้ว ผู้คนจะสามารถหลีกหนีจากความระทมของการที่แต่ละคนได้รับการจำแนกตามประเภทได้อย่างไร?  ปลายทางของบุคคลแต่ละประเภทได้รับการเปิดเผยเมื่อบทอวสานของทุกสรรพสิ่งมาใกล้แล้ว และมีการดำเนินการนี้ในระหว่างพระราชกิจแห่งการพิชิตทั่วทั้งจักรวาล (รวมถึงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั้งหมด ซึ่งเริ่มต้นด้วยพระราชกิจในปัจจุบัน)  การเปิดเผยบทอวสานของมวลมนุษย์ทั้งปวงดำเนินการหน้าบัลลังก์พิพากษา ในระหว่างช่วงเวลาที่การตีสอนดำเนินไป และในระหว่างช่วงเวลาที่พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยของยุคสุดท้ายดำเนินไป  การจำแนกผู้คนโดยสอดคล้องกับประเภทไม่ใช่การคืนผู้คนกลับไปยังประเภทดั้งเดิมของพวกเขา เพราะมีมนุษย์เพียงประเภทเดียวเท่านั้นในเวลาที่มนุษย์ได้รับการสร้างขึ้น ณ เวลาแห่งการทรงสร้าง การแบ่งแยกเดียวที่มีคือระหว่างชายและหญิง  ไม่มีผู้คนหลายประเภทแตกต่างกันไปมากนัก  มนุษย์หลายประเภทที่แตกต่างกันเกิดขึ้นก็หลังจากผ่านช่วงเวลาที่มีการเสื่อมทรามไปหลายพันปีแล้วเท่านั้น โดยที่บางประเภทอยู่ภายใต้แดนครอบครองของพวกมารสกปรกโสมม บางประเภทอยู่ภายใต้แดนครอบครองของพวกมารชั่วร้าย และบางประเภท ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาหนทางแห่งชีวิต ก็อยู่ภายใต้อำนาจครอบครองขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ประเภทหลายประเภทค่อยๆ เกิดขึ้นท่ามกลางผู้คนโดยหนทางนี้เท่านั้น และเพราะเช่นนั้นเท่านั้นผู้คนจึงแยกออกเป็นประเภทหลายประเภทภายในครอบครัวขนาดใหญ่ของมนุษย์  ผู้คนทั้งหมดต่างมามี “บิดา” ที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ว่าทุกคนอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองขององค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างสมบูรณ์ เพราะมนุษย์เป็นกบฏจนเกินไป  การพิพากษาอันชอบธรรมเผยตัวตนที่แท้จริงของบุคคลแต่ละประเภท ไม่เหลืออะไรที่ซ่อนอยู่  ทุกคนแสดงใบหน้าที่แท้จริงของตนในความสว่าง  ณ จุดนี้ มนุษย์ไม่ได้เป็นอย่างที่เขาเป็นมาแต่ดั้งเดิมอีกต่อไป สภาพเสมือนแต่ดั้งเดิมของบรรพบุรุษของเขาได้อันตรธานหายไปนานแล้ว เพราะพงศ์พันธุ์มากมายนับไม่ถ้วนของอาดัมและเอวาได้ถูกซาตานครอบครองนานแล้ว ไม่มีวันได้รู้จักสวรรค์พระอาทิตย์อีก และเพราะผู้คนได้ถูกเติมเต็มด้วยพิษทุกรูปแบบของซาตาน  ดังนั้นผู้คนจึงมีบั้นปลายที่เหมาะสมของพวกเขา  ที่มากกว่านั้น พวกเขาได้รับการจำแนกตามประเภทบนพื้นฐานของพิษที่แตกต่าง ซึ่งหมายความว่าพวกเขาได้รับการแบ่งชนิดตามขอบข่ายที่พวกเขาถูกพิชิตในวันนี้  บทอวสานของมนุษย์ไม่ใช่บางสิ่งที่ได้รับการลิขิตไว้ล่วงหน้านับตั้งแต่การทรงสร้างโลก  นั่นเป็นเพราะว่าเมื่อเริ่มต้นมีมนุษย์เพียงประเภทเดียวที่เรียกรวมกันว่า “มวลมนุษย์” และมนุษย์ไม่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามในตอนแรก และผู้คนทั้งหมดต่างใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างของพระเจ้าและไม่มีความมืดบังเกิดกับพวกเขา  แต่หลังจากที่มนุษย์ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ผู้คนทุกชนิดและทุกประเภทแพร่กระจายไปทั่วทั้งแผ่นดินโลก—ผู้คนทุกชนิดและทุกประเภทที่มาจากครอบครัวที่เรียกรวมกันว่า “มวลมนุษย์” ที่ประกอบด้วยชายและหญิง  พวกเขาทั้งหมดต่างมีบรรพบุรุษของพวกเขาเป็นผู้นำให้พวกเขาไถลห่างจากบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของพวกเขา—มวลมนุษย์ที่ประกอบด้วยชายและหญิง (นั่นคือ อาดัมและเอวาในปฐมกาล ซึ่งเป็นบรรพบุรุษที่เก่าแก่ที่สุดของพวกเขา)  ณ ขณะนั้น คนอิสราเอลเป็นผู้คนเพียงพวกเดียวที่มีชีวิตบนแผ่นดินโลกที่ได้รับการทรงนำโดยพระยาห์เวห์  จากนั้นผู้คนชนิดต่างๆ ที่เกิดขึ้นจากอิสราเอลทั้งหมด (หมายถึงจากเผ่าพันธุ์ครอบครัวแต่ดั้งเดิม) ก็สูญเสียการทรงนำของพระยาห์เวห์  ผู้คนยุคแรกๆ ที่ไม่รู้เท่าทันอย่างสิ้นเชิงเกี่ยวกับเรื่องราวของโลกมนุษย์เหล่านี้ทำตามบรรพบุรุษของพวกเขาตามลำดับเพื่อใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนที่พวกเขาอ้างสิทธิ ซึ่งได้ดำเนินอยู่มาจนถึงปัจจุบันนี้  ดังนั้นพวกเขาจึงยังคงไม่รู้เท่าทันว่าพวกเขาไถลห่างจากพระยาห์เวห์ได้อย่างไร และพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามจนถึงวันนี้จากพวกมารสกปรกโสมมและมารชั่วร้ายทุกรูปแบบอย่างไร  ผู้ที่เคยถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างล้ำลึกและถูกวางยาพิษมาจนถึงตอนนี้—ผู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วไม่สามารถได้รับการช่วยกู้ได้—จะไม่มีตัวเลือกอื่นใดนอกเหนือจากการทำตามบรรพบุรุษของพวกเขา มารสกปรกโสมมที่ทำให้พวกเขาเสื่อมทราม  ผู้ที่ในท้ายที่สุดแล้วสามารถได้รับการช่วยให้รอดจะไปยังบั้นปลายที่เหมาะสมของมวลมนุษย์ ซึ่งหมายถึงการไปยังบทอวสานที่สงวนไว้สำหรับผู้ที่ได้รับการช่วยให้รอดและผู้ที่ถูกพิชิต  จะมีการทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยผู้ที่สามารถช่วยให้รอดได้ทั้งหมดให้รอด—แต่สำหรับผู้ที่ไม่มีความรู้สึกและไม่สามารถรักษาได้นั้น ตัวเลือกเดียวของพวกเขาจะเป็นการติดตามบรรพบุรุษของพวกเขาลงในบาดาลลึกแห่งการตีสอน  จงอย่าคิดว่าบทอวสานของเจ้าได้รับการลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้วเมื่อเริ่มต้นและเพิ่งจะได้รับการเปิดเผยในตอนนี้เท่านั้น  หากเจ้าคิดเช่นนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าลืมไปแล้วหรือว่าไม่ได้มีการสร้างประเภทมนุษย์เยี่ยงซาตานแยกต่างหากในช่วงระหว่างการทรงสร้างมวลมนุษย์ครั้งแรก?  เจ้าได้ลืมไปแล้วหรือว่ามีการสร้างมวลมนุษย์เพียงหนึ่งประเภทซึ่งประกอบด้วยอาดัมและเอวา (หมายถึงมีการสร้างเพียงชายและหญิง)?  หากเจ้าได้เคยเป็นพงศ์พันธุ์ของซาตานมาก่อนในตอนเริ่มต้น นี่ไม่ได้หมายความว่าเมื่อพระยาห์เวห์ทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงรวมกลุ่มมนุษย์เยี่ยงซาตานไว้ในการทรงสร้างของพระองค์หรือ?  พระองค์จะทรงสามารถกระทำบางสิ่งบางอย่างเช่นนั้นไปได้หรือ?  พระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพื่อประโยชน์ของคำพยานของพระองค์ พระองค์ทรงสร้างมนุษย์เพื่อประโยชน์ของพระสิริของพระองค์  เหตุใดพระองค์จึงจะทรงสร้างประเภทของลูกหลานของซาตานอย่างตั้งพระทัยเพื่อให้ลูกหลานเหล่านั้นต้านทานพระองค์อย่างจงใจเล่า?  พระยาห์เวห์จะทรงสามารถกระทำสิ่งเช่นนั้นไปได้อย่างไร?  หากพระองค์ทรงกระทำ ใครเล่าจะพูดได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ชอบธรรม?  ในตอนนี้ที่เราพูดว่าพวกเจ้าบางคนจะไปกับซาตานในท้ายที่สุดนั้น นั่นไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะไปกับซาตานตั้งแต่เริ่มต้น แต่หมายความว่าเจ้าได้จมดิ่งลงไปอย่างมากจนถึงแม้ว่าพระเจ้าได้ทรงพยายามที่ช่วยเจ้าให้รอดแล้ว แต่เจ้าก็ยังคงล้มเหลวที่จะได้รับความรอดนั้นอยู่ดี  ไม่มีตัวเลือกใดนอกเหนือจากจำแนกประเภทเจ้าให้อยู่กับซาตาน  นี่เป็นเพียงเพราะว่าเจ้านั้นเกินกว่าที่จะช่วยให้รอดได้ ไม่ใช่เพราะว่าพระเจ้าไม่ทรงชอบธรรมต่อเจ้าและทรงกำหนดชะตากรรมของเจ้าเป็นร่างทรงของซาตานอย่างตั้งพระทัย และจากนั้นจึงจำแนกประเภทเจ้าให้อยู่กับซาตานและมีพระประสงค์ให้เจ้าทนทุกข์อย่างจงพระทัย  นั่นไม่ใช่ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  หากนั่นคือสิ่งที่เจ้าเชื่อ เช่นนั้นแล้วความเข้าใจของเจ้าก็มีด้านเดียวอย่างยิ่ง!  ช่วงระยะสุดท้ายของการพิชิตชัยมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยผู้คนให้รอด และเพื่อเปิดเผยบทอวสานของพวกเขาด้วย  การพิชิตชัยเป็นไปเพื่อเผยความเสื่อมของผู้คนโดยผ่านทางการพิพากษา ด้วยการนั้นจึงเป็นการทำให้พวกเขากลับใจ ลุกขึ้น และไล่ตามเสาะหาชีวิตและเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์  การพิชิตชัยเป็นไปเพื่อปลุกหัวใจของผู้คนที่มึนชาและปัญญาทึบ และเพื่อแสดงให้เห็นความเป็นกบฏภายในของพวกเขาโดยผ่านทางการพิพากษา  อย่างไรก็ตาม หากผู้คนยังคงไร้ความสามารถที่จะกลับใจได้ ยังคงไร้ความสามารถที่จะไล่ตามเสาะหาเส้นทางที่ถูกต้องของชีวิตมนุษย์ และไร้ความสามารถที่จะละทิ้งความเสื่อมทรามเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็พ้นวิสัยที่จะช่วยให้รอดได้ และจะถูกซาตานกลืนกิน  เช่นนั้นคือนัยสำคัญของการพิชิตชัยของพระเจ้า นั่นคือ เพื่อช่วยผู้คนให้รอด และเพื่อแสดงบทอวสานของพวกเขาด้วยเช่นกัน  บทอวสานที่ดี บทอวสานที่ไม่ดี—ทั้งหมดต่างได้รับการเปิดเผยโดยพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย  การที่ผู้คนจะได้รับการช่วยให้รอดหรือถูกสาปแช่งนั้นต่างได้รับการเปิดเผยในระหว่างพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 31

ยุคสุดท้ายคือตอนที่ทุกสรรพสิ่งจะได้รับการจำแนกตามประเภทโดยผ่านทางการพิชิต  การพิชิตคือพระราชกิจของยุคสุดท้าย กล่าวคือ การพิพากษาบาปของแต่ละบุคคลคือพระราชกิจของยุคสุดท้าย  มิฉะนั้นแล้ว ผู้คนจะสามารถได้รับการจำแนกตามประเภทได้อย่างไร?  พระราชกิจการจำแนกตามประเภทที่ดำเนินการท่ามกลางพวกเจ้าคือจุดเริ่มต้นของพระราชกิจดังกล่าวในทั่วทั้งจักรวาล  หลังจากนี้ บรรดาแผ่นดินและกลุ่มชนทั้งหมดเหล่านั้นจะอยู่ภายใต้พระราชกิจแห่งการพิชิตชัยด้วยเช่นกัน  นี่หมายความว่าทุกบุคคลในการทรงสร้างจะได้รับการจำแนกตามประเภท โดยนบนอบหน้าบัลลังก์พิพากษาเพื่อรับการพิพากษา  ไม่มีผู้ใดและสิ่งใดที่สามารถหลีกหนีการทนทุกข์กับการตีสอนและการพิพากษานี้ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดหรือสิ่งใดที่ไม่ได้รับการจำแนกตามประเภท ทุกบุคคลจะได้รับการจำแนก เพราะบทอวสานของทุกสรรพสิ่งใกล้มาถึง และสวรรค์และบนแผ่นดินโลกทั้งหมดได้มาถึงบทสรุปแล้ว  มนุษย์จะสามารถหลีกหนีจากวันสุดท้ายที่มนุษย์จะดำรงอยู่ได้อย่างไร?  และด้วยเหตุนี้ การกระทำไม่เชื่อฟังของพวกเจ้าจะสามารถดำเนินต่อไปได้อีกนานเพียงใด?  พวกเจ้ามองไม่เห็นหรือว่าวันสุดท้ายของพวกเจ้าจวนจะเกิดขึ้นแล้ว?  บรรดาผู้ที่เคารพพระเจ้าและถวิลหาให้พระองค์ทรงปรากฏจะมองไม่เห็นวันแห่งการปรากฏของความชอบธรรมของพระเจ้าไปได้อย่างไร?  พวกเขาจะไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลสุดท้ายสำหรับความดีไปได้อย่างไร?  เจ้าเป็นผู้ที่ทำดี หรือเจ้าเป็นผู้ที่ทำชั่ว?  เจ้าเป็นผู้ที่ยอมรับการพิพากษาที่ชอบธรรม และจากนั้นก็เชื่อฟัง หรือเจ้าเป็นผู้ที่ยอมรับการพิพากษาที่ชอบธรรมและจากนั้นก็ถูกสาปแช่ง?  เจ้าใช้ชีวิตอยู่ในความสว่างเบื้องหน้าบัลลังก์พิพากษาในความสว่าง หรือเจ้าใช้ชีวิตอยู่ในแดนคนตายท่ามกลางความมืด?  ตัวเจ้าเองไม่ได้เป็นผู้ที่รู้อย่างชัดเจนที่สุดหรือว่าบทอวสานของเจ้าจะเป็นบทอวสานที่มีบำเหน็จรางวัลหรือบทอวสานที่มีการลงโทษ?  เจ้าไม่ได้เป็นผู้ที่รู้อย่างชัดเจนที่สุดและเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่สุดหรือว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม?  เช่นนั้นแล้ว การประพฤติของเจ้าและหัวใจของเจ้าเป็นแบบใดกัน?  ขณะที่เราพิชิตเจ้าในวันนี้ เจ้าต้องการให้เราพูดออกมาให้เจ้าฟังจริงๆ หรือว่าพฤติกรรมของเจ้านั้นดีหรือชั่ว?  เจ้าได้เสียสละเพื่อเรามากเพียงใด?  เจ้านมัสการเราอย่างลึกซึ้งเพียงใด?  ตัวเจ้าเองไม่ได้รู้อย่างชัดเจนที่สุดหรือว่าเจ้าประพฤติต่อเราอย่างไร?  เจ้าควรรู้ดีกว่าทุกคนว่าบทอวสานที่เจ้าจะพบในท้ายที่สุดจะเป็นอะไร!  เราจะบอกเจ้าด้วยความจริงว่า  เราเพียงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมาเท่านั้น และเราสร้างเจ้าขึ้น แต่เราไม่ได้ส่งพวกเจ้าให้ซาตาน อีกทั้งเราไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้พวกเจ้ากบฏหรือต้านทานเราและดังนั้นจึงถูกเราลงโทษ  หายนะและความทุกข์ร้อนทั้งหมดเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพราะหัวใจของพวกเจ้าแข็งกระด้างเกินไปและการประพฤติของพวกเจ้าชั่วช้าเกินไปหรือ?  เช่นนั้นแล้ว บทอวสานที่พวกเจ้าจะพบไม่ได้กำหนดด้วยตัวพวกเจ้าเองหรอกหรือ?  ในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าไม่ได้รู้ดีกว่าใครๆ หรือว่าเจ้าจะมีจุดจบอย่างไร?  เหตุผลที่เราพิชิตผู้คนคือเพื่อเปิดเผยพวกเขาและเปิดเผยสิ่งที่ดีกว่าเพื่อนำความรอดมาให้เจ้า  ไม่ใช่เพื่อทำให้เจ้าทำชั่ว อีกทั้งไม่ใช่เพื่อตั้งใจทำให้เจ้าเดินเข้าสู่นรกแห่งการทำลายล้าง  เมื่อเวลานั้นมาถึง ความทุกข์ปริมาณมหาศาลทั้งหมดของเจ้า การร่ำไห้คร่ำครวญและขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของเจ้า—ทั้งหมดจะไม่ได้เป็นเพราะบาปของเจ้าหรือ?  ดังนั้น ความดีของเจ้าเองหรือความชั่วของเจ้าเองไม่ได้เป็นการพิพากษาที่ดีที่สุดสำหรับเจ้าหรือ?  มันไม่ใช่ข้อพิสูจน์ที่ดีที่สุดหรือว่าบทอวสานของเจ้าจะเป็นอย่างไร?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความจริงภายในเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย (1)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 32

ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อที่จะตรัสพระวจนะของพระองค์เป็นหลัก  พระองค์ตรัสจากมุมมองของพระวิญญาณ จากมุมมองของมนุษย์ และจากมุมมองบุคคลที่สาม พระองค์ตรัสด้วยวิธีที่แตกต่างกันโดยทรงใช้วิธีหนึ่งสำหรับช่วงเวลาหนึ่ง และพระองค์ทรงใช้วิธีการตรัสเพื่อเปลี่ยนมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์และขจัดฉายาของพระเจ้าที่คลุมเครือออกจากหัวใจของมนุษย์  นี่คือพระราชกิจหลักที่พระเจ้าทรงทำ  เนื่องจากมนุษย์เชื่อว่าพระเจ้าได้เสด็จมาเพื่อรักษาคนป่วย เพื่อไล่ผี เพื่อทำปาฏิหาริย์ต่างๆ และเพื่อประทานพระพรด้านวัตถุแก่มนุษย์ พระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนี้—พระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา—เพื่อที่จะขจัดสิ่งต่างๆ เช่นนั้นออกไปจากมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ เพื่อที่มนุษย์อาจจะได้รู้จักความเป็นจริงและความเป็นปกติของพระเจ้า และเพื่อที่พระฉายาของพระเยซูอาจจะถูกขจัดออกจากหัวใจของเขาและถูกแทนที่ด้วยพระฉายาใหม่ของพระเจ้า  ทันทีที่พระฉายาของพระเจ้าภายในมนุษย์กลายเป็นเก่า เช่นนั้นแล้วพระฉายานั้นก็กลายเป็นรูปเคารพรูปหนึ่ง  เมื่อพระเยซูได้เสด็จมาและได้ทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้น พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นตัวแทนของความครบถ้วนบริบูรณ์ของพระเจ้า  พระองค์ได้ทรงทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์บางอย่าง ได้ตรัสพระวจนะบางคำ และได้ทรงถูกตรึงกางเขนในท้ายที่สุด  พระองค์ได้ทรงเป็นตัวแทนส่วนหนึ่งของพระเจ้า  พระองค์ไม่สามารถเป็นตัวแทนของทั้งหมดที่เป็นพระเจ้าได้ แต่พระองค์กลับได้ทรงเป็นตัวแทนของพระเจ้าในการทรงทำพระราชกิจส่วนหนึ่งของพระเจ้าแทน  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกินและทรงมหัศจรรย์เหลือเกิน และพระองค์ไม่สามารถหยั่งลึกได้ และเพราะพระเจ้าทรงทำเพียงส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ในทุกยุค  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำในระหว่างยุคนี้โดยหลักแล้วเป็นการจัดเตรียมพระวจนะสำหรับชีวิตของมนุษย์ การเปิดโปงแก่นแท้ธรรมชาติของมนุษย์ และอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขา และการกำจัดสิ้นมโนคติที่หลงผิดทางศาสนา ความนึกคิดเชิงศักดินา การคิดที่ล้าสมัย ความรู้และวัฒนธรรมของมนุษย์ต้องได้รับการชำระให้สะอาดโดยผ่านทางการถูกเปิดโปงด้วยพระวจนะของพระเจ้า  ในยุคสุดท้ายพระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม ไม่ทรงใช้หมายสำคัญและการอัศจรรย์  พระองค์ทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อเปิดโปงมนุษย์ พิพากษามนุษย์ ตีสอนมนุษย์ และทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม เพื่อว่าในพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์จะได้มาเห็นพระปรีชาญาณและความดีงามของพระเจ้า และมาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเพื่อว่ามนุษย์จะมองเห็นกิจการของพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า  ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระยาห์เวห์ได้ทรงนำทางโมเสสออกจากอียิปต์ด้วยพระวจนะของพระองค์ และได้ตรัสพระวจนะบางคำต่อชาวอิสราเอล ณ เวลานั้นกิจการส่วนหนึ่งของพระเจ้าได้ถูกทำให้ชัดเจน แต่เพราะขีดความสามารถของมนุษย์มีจำกัด และไม่มีอะไรจะสามารถทำให้ความรู้ของเขาครบบริบูรณ์ได้ พระเจ้าจึงยังตรัสและทรงพระราชกิจต่อไป  ในยุคพระคุณมนุษย์ได้เห็นกิจการส่วนหนึ่งของพระเจ้าอีกครั้งหนึ่ง  พระเยซูสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ รักษาคนป่วยและไล่ผี และถูกตรึงกางเขนได้ หลังจากนั้นสามวันพระองค์ก็ได้ทรงคืนพระชนม์และทรงปรากฏในเนื้อหนังต่อหน้ามนุษย์  มนุษย์ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับพระเจ้ามากไปกว่านี้  มนุษย์รู้มากเท่าที่พระเจ้าได้ทรงแสดงให้เขาเห็น และหากพระเจ้าไม่ได้ทรงแสดงสิ่งใดแก่มนุษย์มากไปกว่านี้ เช่นนั้นแล้วนี่คงจะเป็นระดับของการจำกัดขอบเขตที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า  ดังนั้นพระเจ้าจึงยังทรงพระราชกิจต่อไป เพื่อที่ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์อาจจะกลายเป็นลึกซึ้งยิ่งขึ้น และเพื่อที่มนุษย์อาจจะมารู้จักเนื้อแท้ของพระเจ้าทีละเล็กทีละน้อย  ในยุคสุดท้ายพระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าถูกเปิดเผยโดยพระวจนะของพระเจ้า และมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาของเจ้าถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริงแห่งพระเจ้า  พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แห่งยุคสุดท้ายโดยหลักแล้วได้เสด็จมาเพื่อทำให้พระวจนะที่ว่า “พระวจนะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระวจนะเสด็จมาเป็นมนุษย์ และพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์” ลุล่วง และหากเจ้าไม่มีความรู้ถ้วนทั่วในเรื่องนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่สามารถตั้งมั่นได้  ในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงมีเจตนารมณ์ที่จะทำให้พระราชกิจช่วงระยะที่พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์สำเร็จลุล่วงเป็นหลัก และนี่คือส่วนหนึ่งของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  ดังนั้นความรู้ของพวกเจ้าต้องชัดเจน ไม่ว่าวิธีใดที่พระเจ้าทรงพระราชกิจ พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มนุษย์จำกัดขอบเขตพระองค์  หากพระเจ้าไม่ได้ทรงทำพระราชกิจนี้ในระหว่างยุคสุดท้าย เช่นนั้นแล้วความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ก็จะไม่สามารถไปต่อได้เลย  เจ้าคงจะรู้เพียงว่าพระเจ้าทรงสามารถถูกตรึงกางเขนและทรงสามารถทำลายเมืองโสโดม และว่าพระเยซูทรงสามารถฟื้นคืนจากความตายและทรงปรากฏแก่เปโตรได้… แต่เจ้าคงจะไม่มีวันพูดว่าพระวจนะของพระเจ้าสามารถทำให้ทั้งหมดสำเร็จลุล่วงได้ และสามารถพิชิตมนุษย์ได้  เจ้าสามารถพูดถึงความรู้เช่นนี้ได้โดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น และยิ่งเจ้าได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระองค์ก็จะกลายเป็นถ้วนทั่วมากขึ้นเท่านั้น  เมื่อนั้นเท่านั้น เจ้าจึงจะยุติการจำกัดขอบเขตพระเจ้าไว้ภายในมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเอง  มนุษย์มารู้จักพระเจ้าโดยการได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์ ไม่มีวิธีที่ถูกต้องอื่นใดในการรู้จักพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 33

ในพระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายนี้ ผลลัพธ์ทั้งหลายสัมฤทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะ  โดยผ่านทางพระวจนะ มนุษย์จึงมาเข้าใจความล้ำลึกมากมายและพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำลงไปโดยผ่านทางชนรุ่นต่างๆ ที่ผ่านไป นั่นคือ มนุษย์ได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะ มนุษย์มาเข้าใจความล้ำลึกต่างๆ ที่ไม่เคยถูกคลี่คลายมาก่อนในชนรุ่นต่างๆ ที่ผ่านไป ตลอดจนงานของผู้เผยวจนะและอัครทูตทั้งหลายในกาลเวลาที่ผ่านไป และหลักการทั้งหลายที่พวกเขาใช้ทำงาน นั่นก็คือ โดยผ่านทางพระวจนะ มนุษย์จึงมาเข้าใจอุปนิสัยของพระเจ้าพระองค์เอง ตลอดจนความเป็นกบฏและการต้านทานของมนุษย์ด้วยเช่นกัน และแล้วเขาจึงมารู้จักธาตุแท้ของตัวเขาเอง  โดยผ่านทางขั้นตอนเหล่านี้ของพระราชกิจและโดยผ่านทางพระวจนะทั้งปวงที่ได้ตรัสไว้ มนุษย์จึงมารู้จักพระราชกิจของพระวิญญาณ พระราชกิจที่เนื้อหนังซึ่งทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าทรงปฏิบัติ และยิ่งไปกว่านั้นคือ พระอุปนิสัยทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์  ความรู้ของเจ้าเกี่ยวกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระเจ้าตลอดหกพันปีนั้นก็ได้รับโดยผ่านทางพระวจนะด้วยเช่นกัน  ความรู้เกี่ยวกับมโนคติที่หลงผิดในอดีตของเจ้าและความสำเร็จของเจ้าในการกันพวกมันเก็บไว้ใช้นั้น มิได้บรรลุโดยผ่านทางพระวจนะหรอกหรือ?  ในช่วงระยะก่อนหน้านี้ พระเยซูทรงพระราชกิจหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ แต่ในช่วงระยะนี้ไม่มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์เลย  ความเข้าใจของเจ้าเกี่ยวกับเหตุผลที่พระเจ้าไม่ทรงเผยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ต่างๆ นั้น มิได้สัมฤทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะด้วยเช่นกันหรอกหรือ?  ดังนั้น พระวจนะต่างๆ ที่ตรัสในระยะนี้เหนือกว่างานซึ่งทำโดยอัครทูตและผู้เผยวจนะทั้งหลายในชนรุ่นต่างๆ ที่ผ่านไป  แม้แต่คำพยากรณ์ทั้งหลายที่บอกเล่าโดยผู้เผยวจนะก็ไม่อาจสามารถสัมฤทธิ์ในผลลัพธ์นี้  ผู้เผยวจนะทั้งหลายกล่าวเพียงคำพยากรณ์ต่างๆ พวกเขาพูดถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แต่ไม่ใช่พระราชกิจที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำในเวลานั้น  ทั้งพวกเขายังไม่ได้กล่าวเพื่อนำทางมวลมนุษย์ในชีวิตของพวกเขา หรือมอบความจริงต่างๆ ให้กับมวลมนุษย์ หรือเปิดเผยความล้ำลึกต่อพวกเขา นับประสาอะไรที่จะมอบชีวิตให้  จากพระวจนะทั้งหลายที่ตรัสในช่วงระยะนี้ มีคำพยากรณ์กับความจริง แต่โดยหลักแล้ว พระวจนะเหล่านี้ทำหน้าที่มอบชีวิตให้มนุษย์  พระวจนะต่างๆ ณ ปัจจุบันนั้นไม่เหมือนกับคำพยากรณ์ทั้งหลายของเหล่าผู้เผยวจนะ  นี่เป็นระยะของพระราชกิจเพื่อชีวิตของมนุษย์ เพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยในชีวิตมนุษย์ และหาใช่เพื่อประโยชน์ของการกล่าวคำพยากรณ์ไม่  ช่วงระยะแรกนั้นเป็นพระราชกิจของพระยาห์เวห์ กล่าวคือ พระราชกิจของพระองค์ก็เพื่อที่จะตระเตรียมเส้นทางสำหรับมนุษย์ในการนมัสการพระเจ้าบนแผ่นดินโลก  เป็นพระราชกิจแห่งการเริ่มที่จะหาสถานที่จุดกำเนิดของพระราชกิจบนแผ่นดินโลก  ณ เวลานั้น พระยาห์เวห์ได้ทรงสอนคนอิสราเอลให้รักษาวันสะบาโต ให้เกียรติบิดามารดา และใช้ชีวิตด้วยกันและกันอย่างสันติ  นี่เป็นเพราะผู้คนของช่วงเวลานั้นไม่ได้เข้าใจสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นมนุษย์ อีกทั้งยังไม่เข้าใจว่าจะใช้ชีวิตบนแผ่นดินโลกอย่างไร  จึงได้จำเป็นสำหรับพระองค์ในช่วงระยะแรกที่จะต้องทรงนำมวลมนุษย์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขา  ทั้งหมดที่พระยาห์เวห์ได้ตรัสแก่มวลมนุษย์หาได้เป็นสิ่งที่พวกเขาได้รู้หรือครองมาก่อนหน้านี้ไม่  ณ เวลานั้น พระเจ้าได้ทรงให้เกิดมีผู้เผยวจนะขึ้นมากมายเพื่อกล่าวคำพยากรณ์ และพวกเขาทั้งหมดก็ได้ทำเช่นนั้นกันภายใต้การทรงนำของพระยาห์เวห์  นี่เป็นเพียงรายการหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้า  ในช่วงระยะแรกนั้น พระเจ้ามิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และดังนั้นพระองค์จึงทรงอบรมทุกเผ่าและชนชาติโดยผ่านทางผู้เผยวจนะ  ตอนที่พระเยซูทรงพระราชกิจในกาลเวลาของพระองค์ พระองค์มิได้ตรัสมากเท่ากับในปัจจุบัน  ช่วงระยะนี้ของพระราชกิจแห่งพระวจนะในยุคสุดท้ายนั้นไม่เคยถูกปฏิบัติมาก่อนในยุคต่างๆ และในชนรุ่นต่างๆ ที่ผ่านไป  แม้ว่าอิสยาห์ ดาเนียล และยอห์นได้กล่าวคำพยากรณ์ไว้มากมาย แต่คำพยากรณ์ทั้งหลายของพวกเขาก็แตกต่างจากพระวจนะทั้งหลายที่ตรัสในตอนนี้อย่างสิ้นเชิง  สิ่งที่พวกเขาได้กล่าวเป็นเพียงคำพยากรณ์ต่างๆ แต่พระวจนะทั้งหลายที่ตรัสในตอนนี้นั้นไม่ใช่  หากเราเปลี่ยนทั้งหมดที่เราพูดถึงตอนนี้เป็นคำพยากรณ์ต่างๆ พวกเจ้าจะมีความสามารถเข้าใจได้หรือไม่?  สมมุติว่าสิ่งที่เราได้พูดถึงไปแล้วนั้นเกี่ยวกับเรื่องราวภายหลังจากที่เราได้จากไป แล้ว เจ้าจะได้รับความเข้าใจได้อย่างไร?  พระราชกิจของพระวจนะไม่เคยถูกปฏิบัติในกาลเวลาของพระเยซูหรือในยุคธรรมบัญญัติ  บางทีบางคนอาจจะพูดว่า “พระยาห์เวห์ไม่ได้ตรัสพระวจนะในกาลเวลาแห่งพระราชกิจของพระองค์ด้วยหรอกหรือ?  นอกเหนือจากการรักษาอาการป่วย การขับไล่ปีศาจ และการทรงพระราชกิจหมายสำคัญและการอัศจรรย์ทั้งหลายแล้ว พระเยซูมิได้ตรัสพระวจนะต่างๆ ในกาลเวลาที่พระองค์ได้กำลังทรงพระราชกิจอยู่หรอกหรือ?”  วิธีที่พระวจนะได้ถูกตรัสออกมานั้นมีความแตกต่างกัน  อะไรคือสาระสำคัญของพระวจนะทั้งหลายที่พระยาห์เวห์ดำรัสไว้?  พระองค์เพียงได้ทำการทรงนำมวลมนุษย์ในการดำเนินชีวิตของพวกเขาบนแผ่นดินโลก ซึ่งไม่ได้ไปแตะต้องเรื่องราวฝ่ายจิตวิญญาณในชีวิตเลย  เหตุใดจึงได้ถูกกล่าวว่า ตอนที่พระยาห์เวห์ตรัสนั้น ก็เพื่อที่จะอบรมประชากรของทุกแห่งหนทั้งหมด?  คำว่า “อบรม” หมายถึงทรงบอกอย่างชัดเจนและทรงบัญชาโดยตรง  พระองค์มิได้ทรงจัดหาชีวิตให้กับมนุษย์ ในทางกลับกัน พระองค์เพียงทรงจับจูงมือมนุษย์และทรงสอนวิธีที่จะเคารพพระองค์ให้กับมนุษย์โดยปราศจากอุปมาต่างๆ มากเกินไป  พระราชกิจที่พระยาห์เวห์ได้ทรงกระทำนั้นมิได้เพื่อที่จะจัดการหรือบ่มวินัยมนุษย์ หรือมอบการพิพากษาและการตีสอน มันเป็นไปเพื่อทรงนำเขา  พระยาห์เวห์ได้ทรงบัญชาโมเสสให้บอกประชากรของพระองค์ให้เก็บมานาในถิ่นทุรกันดาร  ทุกเวลาเช้าก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น พวกเขาจะต้องเก็บมานาแค่เพียงพอรับประทานในวันนั้น  มานานั้นไม่สามารถเก็บข้ามวันได้ เนื่องจากมันจะกลายเป็นขึ้นรา  พระองค์มิได้ทรงอบรมสั่งสอนผู้คนหรือตีแผ่ธรรมชาติของพวกเขา อีกทั้งพระองค์ยังไม่ได้ทรงตีแผ่แนวคิดและความคิดต่างๆ ของพวกเขา  พระองค์มิได้ทรงเปลี่ยนแปลงผู้คนแต่ได้ทรงนำในการดำเนินชีวิตของพวกเขาเสียมากกว่า  ประชากรในกาลเวลานั้นเป็นเหมือนเด็ก ไม่เข้าใจสิ่งใดเลยและสามารถทำได้เพียงการเคลื่อนไหวเชิงกลพื้นฐานเท่านั้น และดังนั้น พระยาห์เวห์จึงเพียงได้ทรงประกาศกฤษฎีกาธรรมบัญญัติต่างๆ เพื่อทรงนำมวลชนเท่านั้น

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (4)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 34

พระเจ้าตรัสพระวจนะของพระองค์และทรงพระราชกิจของพระองค์โดยสอดคล้องกับยุคที่แตกต่างกัน และในยุคที่แตกต่างกัน พระองค์ตรัสพระวจนะที่แตกต่างกัน  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ หรือทรงกระทำซ้ำพระราชกิจเดียวกัน หรือทรงรู้สึกอาลัยอาวรณ์ต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นอดีตไปแล้ว พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าองค์หนึ่งผู้ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า และพระองค์ตรัสพระวจนะใหม่ๆ ทุกวัน  เจ้าควรปฏิบัติตามสิ่งซึ่งควรได้รับการปฏิบัติตามในวันนี้ นี่คือความรับผิดชอบและหน้าที่ของมนุษย์  เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่การฝึกฝนปฏิบัตินั้นจะต้องมีศูนย์กลางอยู่รอบความสว่างและพระวจนะของพระเจ้าในปัจจุบัน  พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และสามารถตรัสออกมาจากมุมมองทั้งหลายอันแตกต่างออกไปเพื่อให้พระปรีชาญาณและฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดของพระองค์นั้นเข้าใจได้ง่ายขึ้น  ไม่สำคัญว่าพระองค์ตรัสออกมาจากมุมมองของพระวิญญาณ หรือของมนุษย์ หรือของบุคคลที่สาม—พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าเสมอ และเจ้าไม่สามารถพูดได้ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าด้วยเหตุจากมุมมองของมนุษย์ซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการตรัสออกมา  ท่ามกลางผู้คนบางคนได้มีมโนคติที่หลงผิดอุบัติขึ้นโดยเป็นผลมาจากมุมมองทั้งหลายอันแตกต่างกันซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการตรัสออกมา  ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์  หากพระเจ้าได้ตรัสออกมาจากหนึ่งมุมมองเสมอ มนุษย์จะไม่วางกฎเกณฑ์ทั้งหลายเกี่ยวกับพระเจ้าออกมาหรอกหรือ?  พระเจ้าจะสามารถยอมให้มนุษย์ปฏิบัติในหนทางเช่นนั้นหรือ?  ไม่ว่าพระเจ้าจะตรัสออกมาจากมุมมองด้านใด พระองค์ทรงมีจุดมุ่งหมายต่างๆ ในการทำเช่นนั้น  หากพระเจ้าจะต้องตรัสออกมาจากมุมมองของพระวิญญาณเสมอ เจ้าจะสามารถเข้าเชื่อมความสัมพันธ์กับพระองค์ได้หรือ?  ด้วยเหตุนี้ บางครั้งพระองค์จึงตรัสในฐานะบุคคลที่สามเพื่อทรงจัดเตรียมพระวจนะของพระองค์ให้กับเจ้าและทรงนำเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริง  ทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งพระเจ้าทรงทำนั้นเหมาะสม  สรุปสั้นๆ ทุกสิ่งล้วนทรงกระทำโดยพระเจ้าทั้งสิ้น และเจ้าไม่ควรสงสัยในการนี้  พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงไม่สำคัญว่าพระองค์ตรัสออกมาจากมุมมองด้านใด พระองค์จะทรงเป็นพระเจ้าเสมอ  นี่คือความจริงอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ประการหนึ่ง  ไม่ว่าพระองค์ทรงพระราชกิจอย่างไร พระองค์ยังคงทรงเป็นพระเจ้า และเนื้อแท้ของพระองค์จะไม่เปลี่ยนแปลง!  เปโตรรักพระเจ้ามากยิ่งนักและเป็นมนุษย์คนหนึ่งซึ่งได้ดังพระทัยของพระเจ้า แต่พระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นพยานให้เขาในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระคริสต์ ด้วยเหตุที่แก่นแท้ของสิ่งมีชีวิตก็คือสิ่งที่มันเป็น และมันไม่มีวันสามารถเปลี่ยนแปลงได้  ในพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ แต่ทรงใช้วิธีการอันแตกต่างสารพันเพื่อทำให้พระราชกิจของพระองค์มีประสิทธิภาพและทำให้ความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระองค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น  ทุกๆ วิธีการในการทรงพระราชกิจของพระองค์ช่วยมนุษย์ให้รู้จักพระองค์ และเป็นไปเพื่อที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงใช้วิธีการใดในการทรงพระราชกิจ แต่ละวิธีการเป็นไปเพื่อที่จะสร้างมนุษย์และทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  แม้ว่าหนึ่งในวิธีการในการทรงพระราชกิจของพระองค์อาจยืนยงอยู่ได้เป็นเวลานานมาก นี่ก็เป็นไปเพื่อที่จะกล่อมเกลาความเชื่อของมนุษย์ที่มีในพระองค์  ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ควรมีความสงสัยเคลือบแคลงในหัวใจของเจ้า  เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นขั้นตอนทั้งหลายของพระราชกิจของพระเจ้า และพวกเจ้าจะต้องเชื่อฟังขั้นตอนเหล่านี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 35

พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อตรัสพระวจนะของพระองค์เป็นหลัก สิ่งที่เจ้าเข้าเชื่อมความสัมพันธ์ด้วยก็คือพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าเห็นก็คือพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าได้ยินก็คือพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าปฏิบัติตามก็คือพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์ด้วยก็คือพระวจนะของพระเจ้า และการจุติเป็นมนุษย์นี้ของพระเจ้าก็ใช้พระวจนะเป็นหลักในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  พระองค์ไม่ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่ทรงพระราชกิจซึ่งพระเยซูได้ทรงทำในอดีต  แม้ว่าพระองค์ทั้งสองทรงเป็นพระเจ้า และทั้งสองทรงเป็นเนื้อหนัง พันธกิจทั้งหลายของพระองค์ทั้งสองไม่ใช่อย่างเดียวกัน  เมื่อพระเยซูได้เสด็จมา พระองค์ยังได้ทรงส่วนหนึ่งของพระราชกิจของพระเจ้าและได้ตรัสพระวจนะบางถ้อยคำ—แต่สิ่งใดกันแน่ที่เป็นพระราชกิจหลักซึ่งพระองค์ได้ทรงสำเร็จลุล่วง?  สิ่งที่พระองค์ได้ทรงสำเร็จลุล่วงโดยหลักก็คือพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขน  พระองค์ได้ทรงกลายเป็นสภาพเสมือนเนื้อหนังที่บาปเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนให้แล้วเสร็จและไถ่มนุษยชาติทั้งมวล และที่พระองค์ได้ทรงทำหน้าที่ในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาปอย่างหนึ่งนั้นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์แห่งบาปของมนุษยชาติทั้งมวล  นี่คือพระราชกิจหลักซึ่งพระองค์ได้ทรงสำเร็จลุล่วง  ท้ายที่สุด พระองค์ได้ทรงจัดเตรียมเส้นทางแห่งกางเขนเพื่อทรงนำบรรดาผู้ที่ได้มาในภายหลัง  ในตอนที่พระเยซูได้เสด็จมา ในเบื้องต้นก็เพื่อทรงพระราชกิจแห่งการไถ่ให้แล้วเสร็จ  พระองค์ได้ทรงไถ่มนุษยชาติทั้งมวล และได้ทรงนำพาข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรสวรรค์มาสู่มนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ได้ทรงให้กำเนิดเส้นทางสู่อาณาจักรสวรรค์  ผลก็คือ ทุกคนที่ได้มาในภายหลังกล่าวว่า “เราควรเดินไปบนเส้นทางแห่งกางเขน และพลีอุทิศตัวพวกเราเองเพื่อกางเขน”  แน่นอนว่า ในตอนเริ่มแรก พระเยซูยังได้ทรงพระราชกิจอื่นบางอย่างและได้ตรัสพระวจนะบางถ้อยคำเช่นกันเพื่อทำให้มนุษย์กลับใจและสารภาพบาปของเขา  แต่พันธกิจของพระองค์นั้นยังคงเป็นการถูกตรึงกางเขน และช่วงเวลาสามปีครึ่งที่พระองค์ได้ทรงใช้ไปในการประกาศหนทางนั้น ก็เป็นไปเพื่อการตระเตรียมสำหรับการถูกตรึงกางเขนซึ่งตามมาในภายหลัง  หลายครั้งคราวที่พระเยซูได้ทรงอธิษฐานก็ยังเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการถูกตรึงกางเขนเช่นกัน  ชีวิตของมนุษย์ปกติคนหนึ่งซึ่งพระองค์ได้ทรงดำเนินไปและช่วงเวลาสามสิบสามปีครึ่งที่พระองค์ได้ทรงพระชนม์ชีพอยู่บนแผ่นดินโลกนั้นเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการทรงพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนให้แล้วเสร็จเป็นหลัก ปีทั้งหลายนั้นก็เพื่อจะมอบความแข็งแกร่งให้แก่พระองค์ในการรับปฏิบัติพระราชกิจนี้ซึ่งผลที่ตามมาจากการนี้ก็คือ พระเจ้าได้ทรงไว้วางพระทัยมอบพระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนให้แก่พระองค์  พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงสำเร็จลุล่วงพระราชกิจใดวันนี้?  ในวันนี้ พระเจ้าได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์โดยประการสำคัญแล้วก็เพื่อทรงพระราชกิจแห่ง “พระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์” ให้เสร็จสมบูรณ์ เพื่อทรงใช้พระวจนะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และทรงทำให้มนุษย์ยอมรับการจัดการกับพระวจนะและกระบวนการถลุงพระวจนะ  ในพระวจนะของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้เจ้าได้รับการจัดเตรียมและได้รับชีวิต ในพระวจนะของพระองค์ เจ้าเห็นพระราชกิจและกิจการของพระองค์  พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อตีสอนและถลุงเจ้า และด้วยเหตุนี้ หากเจ้าทนทุกข์จากความยากลำบาก มันก็เป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  ในวันนี้ พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจด้วยข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่ด้วยพระวจนะ  เพียงหลังจากที่พระวจนะของพระองค์ได้มาถึงเจ้าแล้วเท่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงสามารถทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้าได้และทำให้เจ้าทนทุกข์จากความเจ็บปวดหรือรู้สึกถึงความหวานชื่น  มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถนำพาเจ้าไปสู่ความเป็นจริงได้ และมีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมได้  และดังนั้น อย่างน้อยที่สุดเจ้าจะต้องเข้าใจการนี้ นั่นคือ พระราชกิจซึ่งปฏิบัติสำเร็จโดยพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายโดยประการสำคัญแล้วคือ การใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทรงทำให้บุคคลทุกคนมีความเพียบพร้อมและเพื่อทรงนำมนุษย์  พระราชกิจทั้งหมดซึ่งพระองค์ทรงปฏิบัตินั้นทำโดยผ่านทางพระวจนะ พระองค์ไม่ทรงใช้ข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อตีสอนเจ้า  มีบางเวลาที่ผู้คนบางคนต้านทานพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงทำให้เจ้าได้รับความไม่สบายใหญ่หลวง เนื้อหนังของเจ้าไม่ได้ถูกตีสอน อีกทั้งเจ้าไม่ได้ทนทุกข์จากความยากลำบาก—แต่ทันทีที่พระวจนะของพระองค์มาถึงเจ้า และถลุงเจ้า มันก็ทนไม่ไหวแล้วสำหรับเจ้า มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกหรือ?  ในช่วงระหว่างเวลาของพวกคนปรนนิบัติ พระเจ้าได้ตรัสว่าจะโยนมนุษย์เข้าไปในบาดาลลึก  มนุษย์ได้มาถึงยังบาดาลลึกจริงๆ หรือไม่?  แค่โดยผ่านทางการใช้พระวจนะเพื่อถลุงมนุษย์ มนุษย์ก็ได้เข้าสู่บาดาลลึกไปแล้ว  และดังนั้น ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย เมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงใช้พระวจนะเป็นหลักเพื่อสำเร็จลุล่วงในทุกสิ่งและทำให้ทุกสิ่งชัดเจน  ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ด้วยพระวจนะของพระองค์เท่านั้นเจ้าจึงสามารถเห็นได้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง  เมื่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ไม่ทรงพระราชกิจอื่นใดเว้นเสียแต่การตรัสถึงพระวจนะ—ด้วยเหตุนี้จึงไม่มีความจำเป็นสำหรับข้อเท็จจริงทั้งหลาย พระวจนะทั้งหลายนั้นเพียงพอแล้ว  นั่นเป็นเพราะพระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจนี้เป็นหลัก เพื่อยอมให้มนุษย์ได้เห็นฤทธานุภาพของพระองค์และมไหศวรรย์ในพระวจนะของพระองค์ เพื่อยอมให้มนุษย์ได้เห็นในพระวจนะของพระองค์ว่าพระองค์ทรงซ่อนเร้นพระองค์เองโดยถ่อมพระทัยอย่างไร และเพื่อยอมให้มนุษย์ได้รู้จักความครบถ้วนบริบูรณ์ในพระวจนะของพระองค์  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทั้งหมดที่พระองค์ทรงเป็นนั้นอยู่ในพระวจนะของพระองค์  พระปรีชาญาณและความมหัศจรรย์ของพระองค์นั้นอยู่ในพระวจนะของพระองค์  ในการนี้เจ้าถูกทำให้เห็นวิธีการมากมายซึ่งพระเจ้าทรงใช้ในการตรัสพระวจนะของพระองค์  ส่วนใหญ่ของพระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระหว่างเวลาที่ผ่านมานี้เป็นการจัดเตรียม วิวรณ์ และการจัดการกับมนุษย์มาตลอด  พระองค์ไม่ทรงสาปแช่งบุคคลคนหนึ่งสักน้อย และแม้คราที่พระองค์ทรงทำเช่นนั้น พระองค์ก็ทรงสาปแช่งพวกเขาโดยผ่านทางพระวจนะ  และดังนั้น ในยุคพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์นี้ จงอย่าพยายามที่จะมองให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักษาคนป่วยและขับไล่บรรดาปีศาจอีก และจงหยุดมองหาหมายสำคัญทั้งหลายอยู่ตลอดเวลา—ไม่มีประโยชน์ใดเลย!  หมายสำคัญทั้งหลายเหล่านั้นไม่สามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้!  หากจะพูดอย่างตรงๆ แล้วก็คือ ในวันนี้ พระเจ้าพระองค์เององค์จริงซึ่งอยู่ในเนื้อหนังมนุษย์ไม่ทรงกระทำการ พระองค์เพียงตรัสเท่านั้น  นี่คือความจริง!  พระองค์ทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม และทรงใช้พระวจนะเพื่อป้อนอาหารและน้ำให้เจ้า  พระองค์ยังทรงใช้พระวจนะเพื่อทรงพระราชกิจเช่นกัน และพระองค์ทรงใช้พระวจนะแทนข้อเท็จจริงทั้งหลายเพื่อทำให้เจ้ารู้จักความเป็นจริงของพระองค์  หากเจ้าสามารถล่วงรู้ลักษณะนี้ของพระราชกิจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วมันก็ย่อมเป็นการยากที่จะมีความคิดในเชิงลบ  แทนที่จะจดจ่ออยู่กับสิ่งทั้งหลายที่เป็นลบ เจ้าควรมุ่งความสนใจไปที่สิ่งที่เป็นบวกเท่านั้น—กล่าวคือ ไม่ว่าพระวจนะของพระเจ้าได้รับการทำให้ลุล่วงหรือไม่ก็ตาม หรือไม่ว่ามีการมาถึงของข้อเท็จจริงทั้งหลายหรือไม่ก็ตาม พระเจ้าทรงทำให้มนุษย์ได้รับชีวิตจากพระวจนะของพระองค์ และนี่คือหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดาหมายสำคัญทั้งหมด และยิ่งไปกว่านั้นก็คือ มันคือข้อเท็จจริงที่ไม่สามารถโต้แย้งได้ประการหนึ่ง  นี่คือหลักฐานที่ดีที่สุดที่ใช้ในการทำความรู้จักพระเจ้า และเป็นหมายสำคัญหนึ่งซึ่งยิ่งใหญ่กว่าบรรดาหมายสำคัญทั้งหลาย  มีเพียงพระวจนะเหล่านี้เท่านั้นที่สามารถทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 36

ทันทีที่ยุคอาณาจักรได้เริ่มต้นขึ้น พระเจ้าก็ทรงเริ่มแสดงพระวจนะของพระองค์ ในภายภาคหน้า พระวจนะเหล่านี้จะค่อยๆ ได้รับการทำให้ลุล่วง และ ณ เวลานั้น ชีวิตมนุษย์ย่อมจะเติบโตมากพอ  การใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อเปิดโปงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของมนุษย์นั้นเป็นจริงมากขึ้น และจำเป็นมากขึ้น และพระองค์ไม่ทรงใช้สิ่งใดเลยนอกจากพระวจนะในการทรงพระราชกิจของพระองค์เพื่อที่จะทำให้ความเชื่อของมนุษย์มีความเพียบพร้อม ด้วยเหตุที่วันนี้คือยุคพระวจนะ และมันพึงจำเป็นต้องมีความเชื่อ ปณิธาน และความร่วมมือจากมนุษย์  พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์แห่งยุคสุดท้ายคือการใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อรับใช้และจัดเตรียมให้แก่มนุษย์  เพียงภายหลังจากที่พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ได้ทรงเสร็จสิ้นการตรัสพระวจนะของพระองค์แล้วเท่านั้น พระวจนะจึงจะได้รับการทำให้ลุล่วง  ในช่วงระหว่างเวลาซึ่งพระเจ้าตรัส พระวจนะของพระองค์ไม่ได้รับการทำให้ลุล่วง เพราะเมื่อพระองค์ทรงอยู่ในช่วงระยะของเนื้อหนัง พระวจนะของพระองค์ไม่สามารถได้รับการทำให้ลุล่วงได้  นี่เป็นเช่นนั้นก็เพื่อที่ มนุษย์อาจได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นมนุษย์และไม่ใช่วิญญาณ เพื่อที่มนุษย์อาจได้เห็นความเป็นจริงแห่งพระเจ้าด้วยตาของเขาเอง  ในวันที่พระราชกิจของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ เมื่อพระวจนะทุกคำซึ่งควรถูกตรัสโดยพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ถูกตรัสออกมาแล้ว พระวจนะของพระองค์จะเริ่มได้รับการทำให้ลุล่วง  ตอนนี้ไม่ใช่ยุคของการทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วง เพราะพระองค์ยังตรัสพระวจนะของพระองค์ไม่เสร็จสิ้น  ดังนั้น เมื่อเจ้าเห็นว่าพระเจ้ายังคงกำลังตรัสพระวจนะของพระองค์บนแผ่นดินโลก จงอย่ามัวรอการทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วง เมื่อพระเจ้าหยุดตรัสพระวจนะของพระองค์ และเมื่อพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกได้ถูกทำให้เสร็จสมบูรณ์แล้ว นั่นจึงจะเป็นเวลาที่พระวจนะของพระองค์เริ่มได้รับการทำให้ลุล่วง  ในพระวจนะที่พระองค์ตรัสบนแผ่นดินโลกนั้น ในด้านหนึ่ง มีการจัดเตรียมชีวิต และในอีกด้านหนึ่ง มีการเผยพระวจนะ—การเผยพระวจนะเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งจะมา เกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งจะถูกทำให้เสร็จสิ้น และเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายซึ่งยังไม่ได้ถูกทำให้สำเร็จลุล่วง  ในพระวจนะของพระเยซูก็เคยมีการเผยพระวจนะด้วยเช่นกัน  ในด้านหนึ่ง พระองค์ได้ทรงจัดหาชีวิต และในอีกด้านหนึ่ง พระองค์ได้ตรัสการเผยพระวจนะ  มาวันนี้ ไม่มีการพูดเรื่องการดำเนินการตามพระวจนะและข้อเท็จจริงทั้งหลายในเวลาเดียวกัน เพราะมีความแตกต่างมากเกินไประหว่างสิ่งซึ่งสามารถเห็นได้ด้วยตาของมนุษย์เองและสิ่งซึ่งถูกทำให้สำเร็จโดยพระเจ้า  อาจกล่าวได้แค่เพียงว่าทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าได้ถูกทำให้เสร็จสมบูรณ์แล้ว พระวจนะของพระองค์จะได้รับการทำให้ลุล่วง และข้อเท็จจริงทั้งหลายจะมาภายหลังจากพระวจนะ  ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงปฏิบัติพันธกิจแห่งพระวจนะบนแผ่นดินโลก และในการปฏิบัติพันธกิจแห่งพระวจนะนั้น พระองค์เพียงแค่ตรัสพระวจนะเท่านั้น และไม่ใส่พระทัยในเรื่องอื่นๆ  ทันทีที่พระราชกิจของพระเจ้าเปลี่ยนแปลง พระวจนะของพระองค์จะเริ่มได้รับการทำให้ลุล่วง  ในวันนี้ พระวจนะถูกใช้เพื่อทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมก่อนเป็นอย่างแรก เมื่อพระองค์ทรงได้รับพระสิริโดยตลอดทั่วทั้งจักรวาล พระราชกิจของพระองค์จะครบถ้วนบริบูรณ์—พระวจนะทั้งหมดซึ่งควรถูกตรัสจะได้ถูกตรัสออกมาแล้ว และพระวจนะทั้งหมดจะได้กลายเป็นข้อเท็จจริงทั้งหลาย  พระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อทรงปฏิบัติพันธกิจแห่งพระวจนะ เพื่อที่มวลมนุษย์อาจได้รู้จักพระองค์ และเพื่อที่มวลมนุษย์อาจได้เห็นสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และเห็นพระปรีชาญาณของพระองค์และทั้งหมดของกิจการอันมหัศจรรย์ของพระองค์จากพระวจนะของพระองค์  ในช่วงระหว่างยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวงเป็นหลัก  ในภายภาคหน้า พระวจนะของพระองค์ยังจะมาถึงทุกๆ ศาสนา ภาคส่วน ชนชาติ และนิกายด้วยเช่นกัน  พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อพิชิต เพื่อทำให้มนุษย์ทั้งหมดเห็นว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและมหิทธิฤทธิ์—และดังนั้นในวันนี้ พวกเจ้าจึงเผชิญหน้ากับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น

พระวจนะซึ่งตรัสโดยพระเจ้าในยุคนี้แตกต่างไปจากพระวจนะซึ่งถูกตรัสในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติ และพระวจนะเหล่านั้นก็แตกต่างไปจากพระวจนะซึ่งถูกตรัสในช่วงระหว่างยุคพระคุณเช่นกัน  ในยุคพระคุณ พระเจ้าไม่ได้ทรงพระราชกิจของพระวจนะ แต่แค่ได้ทรงปรารภว่าพระองค์จะถูกตรึงกางเขนเพื่อทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง  พระคัมภีร์เพียงพรรณนาเหตุผลที่พระเยซูทรงต้องถูกตรึงกางเขน และความทุกข์ซึ่งพระองค์ทรงต้องได้รับบนกางเขน และวิธีการที่มนุษย์ควรถูกตรึงกางเขนเพื่อพระเจ้าเท่านั้น  ในช่วงระหว่างยุคนั้น พระราชกิจทั้งหมดซึ่งปฏิบัติสำเร็จโดยพระเจ้านั้นไปรวมอยู่ที่การถูกตรึงกางเขน  ในระหว่างยุคแห่งราชอาณาจักร พระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ตรัสพระวจนะเพื่อพิชิตทุกคนผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์  นี่คือ “พระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์”  พระเจ้าได้เสด็จมาในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจนี้ กล่าวคือ พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์  พระองค์เพียงตรัสพระวจนะเท่านั้น และแทบจะไม่มีการมาถึงของข้อเท็จจริงทั้งหลาย  นี่คือแก่นแท้จริงๆ ของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และเมื่อพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ตรัสพระวจนะของพระองค์ นี่เป็นการทรงปรากฏของพระวจนะในมนุษย์ และเป็นพระวจนะซึ่งกำลังทรงมาเป็นมนุษย์  “ในปฐมกาลพระวาทะทรงดำรงอยู่ และพระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า และพระวาทะทรงบังเกิดเป็นมนุษย์”  นี่ (พระราชกิจแห่งการทรงปรากฏของพระวจนะเป็นมนุษย์) คือพระราชกิจซึ่งพระเจ้าจะทรงสำเร็จลุล่วงในยุคสุดท้าย และเป็นบทสุดท้ายของแผนการบริหารจัดการทั้งสิ้นทั้งมวลของพระองค์ และดังนั้นพระเจ้าได้เสด็จมายังแผ่นดินโลกและทรงสำแดงพระวจนะของพระองค์ในมนุษย์  สิ่งซึ่งถูกทำให้สำเร็จวันนี้ สิ่งซึ่งจะถูกทำให้สำเร็จในภายภาคหน้า สิ่งซึ่งจะถูกทำให้สำเร็จลุล่วงโดยพระเจ้า บั้นปลายสุดท้ายของมนุษย์ บรรดาผู้ที่จะได้รับการช่วยให้รอด พวกที่จะถูกทำลาย เป็นต้น—ทั้งหมดของพระราชกิจนี้ซึ่งควรถูกทำให้สัมฤทธิ์ผลในท้ายที่สุดได้ถูกระบุไว้แล้วทั้งหมดอย่างชัดเจน และเป็นไปทั้งหมดก็เพื่อที่จะสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์  ประกาศกฤษฎีกาบริหารและธรรมนูญซึ่งถูกบัญญัติขึ้นก่อนหน้านั้น พวกที่จะถูกทำลาย บรรดาผู้ที่จะเข้าสู่การหยุดพัก—พระวจนะเหล่านี้ทั้งหมดจะต้องถูกทำให้ลุล่วง  นี่คือพระราชกิจซึ่งถูกทำให้สำเร็จลุล่วงเป็นหลักโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย  พระองค์ทรงทำให้ผู้คนเข้าใจว่าบรรดาผู้ที่ถูกกำหนดชะตาไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้าเป็นของที่แห่งใด  และพวกที่ไม่ได้ถูกกำหนดชะตาไว้ล่วงหน้าโดยพระเจ้าเป็นของที่แห่งใด ประชากรและบรรดาบุตรของพระองค์จะถูกแยกประเภทอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นต่ออิสราเอล จะเกิดอะไรขึ้นต่ออียิปต์—ในภายภาคหน้า ทุกๆ ถ้อยคำของพระวจนะเหล่านี้จะถูกทำให้สำเร็จลุล่วง  ก้าวย่างของพระราชกิจของพระเจ้ากำลังเร่งความเร็วขึ้น  พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเป็นวิถีทางที่จะเปิดเผยต่อมนุษย์ถึงสิ่งซึ่งจะต้องถูกทำให้เสร็จสิ้นในทุกยุค สิ่งซึ่งจะต้องถูกทำให้เสร็จสิ้นโดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และพันธกิจของพระองค์ซึ่งจะต้องได้รับการปฏิบัติ และพระวจนะเหล่านี้เป็นไปทั้งหมดเพื่อที่จะสำเร็จลุล่วงนัยสำคัญที่แท้จริงของพระวจนะซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 37

พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์โดยตลอดทั่วทั้งจักรวาล  ทุกคนผู้ซึ่งเชื่อในพระองค์จะต้องยอมรับพระวจนะของพระองค์ และกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ไม่มีผู้ใดสามารถได้รับการทรงรับไว้โดยพระเจ้าด้วยการมองเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ซึ่งพระเจ้าทรงแสดง  ตลอดหลายยุคหลายสมัย พระเจ้าได้ทรงใช้พระวจนะมาโดยตลอดในการที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ด้วยเหตุนี้พวกเจ้าจึงไม่ควรอุทิศความใส่ใจของเจ้าทั้งหมดไปกับหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แต่ควรเพียรพยายามที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า  ในยุคธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิม พระเจ้าได้ตรัสบางพระวจนะไว้ และในยุคพระคุณ พระเยซูก็ได้ตรัสไว้หลายพระวจนะเช่นกัน  ภายหลังจากที่พระเยซูได้ตรัสพระวจนะมากมายแล้ว บรรดาอัครทูตและบรรดาสาวกภายหลังได้ทำให้ผู้คนฝึกฝนปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระบัญญัติทั้งหลายซึ่งออกโดยพระเยซู และได้รับประสบการณ์โดยสอดคล้องกับพระวจนะและหลักธรรมทั้งหลายซึ่งพระเยซูได้ตรัสถึง  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมเป็นหลัก  พระองค์ไม่ทรงใช้หมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อบีบคั้นมนุษย์ หรือโน้มน้าวมนุษย์ การนี้ไม่สามารถทำให้ฤทธานุภาพของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น  หากพระเจ้าเพียงได้แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เท่านั้น เช่นนั้นแล้วมันก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้ความเป็นจริงของพระเจ้าเป็นที่เข้าใจได้ง่ายขึ้น และด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  พระเจ้าไม่ทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมโดยหมายสำคัญและการอัศจรรย์ แต่ทรงใช้พระวจนะเพื่อให้น้ำและเลี้ยงดูมนุษย์ ซึ่งหลังจากนั้น ความเชื่อฟังอันครบบริบูรณ์ของมนุษย์และความรู้ของมนุษย์เกี่ยวกับพระเจ้าจึงสัมฤทธิ์ผล  นี่คือจุดมุ่งหมายของพระราชกิจซึ่งพระองค์ทรงปฏิบัติและพระวจนะซึ่งพระองค์ตรัส  พระเจ้าไม่ทรงใช้วิธีการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม—พระองค์ทรงใช้พระวจนะ และทรงใช้วิธีการอันแตกต่างหลากหลายของพระราชกิจในการทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม  ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการถลุง การจัดการ การตัดแต่ง หรือการจัดเตรียมพระวจนะ พระเจ้าตรัสจากมุมมองอันแตกต่างหลากหลายเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม และเพื่อให้มนุษย์มีความรู้มากขึ้นเกี่ยวกับพระราชกิจ พระปรีชาญาณ และความมหัศจรรย์ของพระเจ้า  เมื่อมนุษย์ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ณ เวลาซึ่งพระเจ้าทรงสรุปปิดตัวยุคในยุคสุดท้าย เมื่อนั้นเขาย่อมจะมีคุณสมบัติที่จะเฝ้ามองหมายสำคัญและการอัศจรรย์  เมื่อเจ้ามารู้จักพระเจ้าและสามารถเชื่อฟังพระเจ้าไม่ว่าพระองค์จะทรงทำสิ่งใดก็ตาม เจ้าจะไม่มีมโนคติที่หลงผิดใดๆ เกี่ยวกับพระเจ้าอีกต่อไปเมื่อเจ้าเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์  ขณะนี้ เจ้าเสื่อมทรามและไม่สามารถเชื่อฟังพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์—เจ้าคิดว่าเจ้ามีคุณสมบัติที่จะเห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในสภาวะนี้อย่างนั้นหรือ?  ในเวลาที่พระเจ้าทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ นั่นเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงลงโทษมนุษย์ และเป็นเวลาเปลี่ยนยุคด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น เป็นเวลาที่ยุคสรุปปิดตัวลง  เมื่อพระราชกิจของพระเจ้าถูกดำเนินการไปตามปกติ พระองค์ไม่ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์  การแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์นั้นง่ายมากสำหรับพระองค์ แต่นั่นไม่ใช่หลักการของพระราชกิจของพระเจ้า อีกทั้งมันไม่ใช่จุดมุ่งหมายของการบริหารจัดการมนุษย์ของพระเจ้า  หากมนุษย์ได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และหากร่างกายฝ่ายวิญญาณของพระเจ้าจะต้องปรากฏแก่มนุษย์ ผู้คนทั้งหมดจะไม่เชื่อในพระเจ้าหรอกหรือ?  เราได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าผู้ชนะกลุ่มหนึ่งถูกรับไว้จากทิศตะวันออก ซึ่งเป็นบรรดาผู้ชนะที่มาจากท่ามกลางความทุกข์ลำบากอันใหญ่หลวง  วจนะเหล่านี้หมายความว่าอย่างไร?  วจนะเหล่านี้หมายความว่า ผู้คนเหล่านี้ที่ได้ถูกรับไว้แล้วนั้นเพียงได้เชื่อฟังอย่างแท้จริงหลังจากที่ก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอน และการจัดการและการตัดแต่ง และกระบวนการถลุงทุกประเภทแล้วเท่านั้น  การเชื่อของผู้คนเหล่านี้ไม่คลุมเครือและเป็นนามธรรม แต่เป็นความจริงแท้  พวกเขายังไม่ได้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ใดๆ หรือปาฏิหาริย์ใดๆ พวกเขาไม่พูดเรื่องความหมายตามตัวอักษรและหลักคำสอนอันลึกซึ้งหรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกอันล้ำลึก แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับมีความเป็นจริงและพระวจนะของพระเจ้าและความรู้แท้จริงเกี่ยวกับความเป็นจริงของพระเจ้า  กลุ่มเช่นนั้นไม่ได้มีความสามารถมากกว่าในการที่จะทำให้ฤทธานุภาพของพระเจ้าเข้าใจได้ง่ายหรอกหรือ?  พระราชกิจของพระเจ้าในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายคือพระราชกิจที่แท้จริง  ในช่วงระหว่างยุคของพระเยซู พระองค์ไม่ได้ทรงมาเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม แต่เพื่อไถ่มนุษย์ และดังนั้นพระองค์จึงได้ทรงแสดงปาฏิหาริย์บางอย่างเพื่อทำให้ผู้คนติดตามพระองค์  ด้วยเหตุที่พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อทำให้พระราชกิจแห่งการถูกตรึงกางเขนแล้วเสร็จเป็นหลัก และการแสดงหมายสำคัญไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระราชกิจแห่งพันธกิจของพระองค์  หมายสำคัญและการอัศจรรย์เช่นนั้นเป็นพระราชกิจซึ่งได้ทำไปเพื่อให้พระราชกิจของพระองค์เกิดประสิทธิภาพ หมายสำคัญและการอัศจรรย์เป็นพระราชกิจพิเศษ และไม่ได้เป็นตัวแทนพระราชกิจของยุคสมัยทั้งยุค  ในช่วงระหว่างยุคธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิม พระเจ้ายังได้ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์บางอย่างเช่นกัน—แต่พระราชกิจซึ่งพระเจ้าทรงปฏิบัติวันนี้เป็นพระราชกิจที่แท้จริง และพระองค์คงจะไม่ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ในขณะนี้อย่างแน่นอน  หากพระองค์ได้ทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ พระราชกิจที่แท้จริงของพระองค์ก็คงจะถูกขัดจังหวะให้เกิดความสับสนไม่เป็นระเบียบ และพระองค์ก็คงจะไม่สามารถทรงพระราชกิจใดๆ ได้อีก  หากพระเจ้าได้ตรัสว่าจะใช้พระวจนะเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม แต่ก็ได้ทรงแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์เช่นกัน เช่นนั้นแล้วจะเป็นไปได้หรือไม่ว่า มันทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า มนุษย์เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง?  ด้วยเหตุนี้ พระเจ้าไม่ทรงทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น  มีศาสนามากเกินไปภายในมนุษย์ พระเจ้าได้เสด็จมาในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเพื่อขับไล่มโนคติที่หลงผิดทางศาสนาและสิ่งทั้งหลายที่เกินธรรมชาติทั้งหมดภายในมนุษย์ออกไป และทำให้มนุษย์รู้จักความเป็นจริงของพระเจ้า  พระองค์ได้เสด็จมาเพื่อถอดพระฉายาหนึ่งของพระเจ้าองค์หนึ่งซึ่งเป็นนามธรรมและเพ้อฝันออกไป—พระฉายาหนึ่งของพระเจ้าองค์หนึ่ง ผู้ซึ่งอีกนัยหนึ่งไม่ได้ดำรงอยู่เลย  และดังนั้น บัดนี้สิ่งเดียวซึ่งล้ำค่าก็คือการที่เจ้ามีความรู้เกี่ยวกับความเป็นจริง!  ความจริงสำคัญกว่าทุกสิ่ง  เจ้ามีความจริงมากเพียงใดกันในวันนี้?  ทุกอย่างที่แสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์คือพระเจ้าอย่างนั้นหรือ?  บรรดาวิญญาณชั่วก็สามารถแสดงให้เห็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์ได้เช่นกัน พวกมันทั้งหมดใช่พระเจ้าหรือไม่?  ในการเชื่อของเขาในพระเจ้า สิ่งซึ่งมนุษย์ค้นหาก็คือความจริง และสิ่งซึ่งเขาไล่ตามเสาะหาก็คือชีวิต แทนที่จะเป็นหมายสำคัญและการอัศจรรย์  นี่ควรเป็นเป้าหมายของทุกคนผู้ซึ่งเชื่อในพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ทุกสิ่งสัมฤทธิ์ได้ด้วยพระวจนะของพระเจ้า

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 38

ณ เวลานั้นพระราชกิจของพระเยซูคือพระราชกิจแห่งการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง  บาปต่างๆ ของทุกคนที่เชื่อในพระองค์ได้รับการอภัย ตราบเท่าที่เจ้าเชื่อในพระองค์ พระองค์จะทรงไถ่เจ้า หากเจ้าเชื่อในพระองค์ เจ้าก็ไม่มีบาปอีกต่อไป เจ้าได้รับการปลดเปลื้องจากบาปของเจ้า  นี่คือความหมายของการได้รับการช่วยให้รอดและการมีความชอบธรรมจากความเชื่อ  แต่ถึงกระนั้นในตัวผู้ที่เชื่อก็ยังคงมีสิ่งที่เป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า และสิ่งที่ยังคงต้องค่อยๆ ขจัดออกไป  ความรอดมิได้หมายความว่ามนุษย์ต้องได้รับการรับไว้โดยพระเยซูอย่างสมบูรณ์ แต่หมายความว่ามนุษย์จะไม่มีบาปอีกต่อไป หมายความว่าเขาได้รับการอภัยบาปของเขาแล้ว  หากว่าเจ้าเชื่อ เจ้าจะไม่มีวันมีบาปอีก  ณ เวลานั้นพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายที่บรรดาสาวกของพระองค์ไม่อาจจับใจความได้ และได้ตรัสหลายสิ่งที่ผู้คนไม่เข้าใจ  นี่เป็นเพราะว่า ณ เวลานั้นพระองค์มิได้ประทานคำอธิบายใดๆ  ด้วยเหตุนี้ หลายปีหลังจากที่พระองค์ได้เสด็จจากไป มัทธิวจึงทำลำดับพงศ์ของพระเยซูขึ้นมา และคนอื่นๆ ก็ได้ทำงานมากมายที่เกิดจากเจตจำนงของมนุษย์  พระเยซูมิได้เสด็จมาเพื่อทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมและเพื่อรับมนุษย์เอาไว้ แต่เพื่อทรงพระราชกิจช่วงระยะหนึ่ง นั่นคือ การนำมาซึ่งข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรสวรรค์ และการทำให้พระราชกิจแห่งการตรึงกางเขนเสร็จสมบูรณ์  และดังนั้นทันทีที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน พระราชกิจของพระองค์ก็ได้มาถึงบทอวสานอันสมบูรณ์  แต่ในช่วงระยะปัจจุบัน—ที่เป็นพระราชกิจแห่งการพิชิตชัย—มีพระวจนะที่ต้องตรัสมากขึ้น มีพระราชกิจที่ต้องทำมากขึ้น และต้องมีกระบวนการต่างๆ มากมาย  ดังนั้นความล้ำลึก ในพระราชกิจของพระเยซูและพระยาห์เวห์ก็ต้องได้รับการเปิดเผยด้วย เพื่อที่ผู้คนทั้งปวงอาจเกิดความเข้าใจและความกระจ่างแจ้งในความเชื่อของพวกเขา เพราะนี่คือพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย และยุคสุดท้ายก็คือกาลอวสานของพระราชกิจของพระเจ้า เป็นเวลาแห่งการสรุปปิดตัวพระราชกิจ  พระราชกิจช่วงระยะนี้จะชี้แจงธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์และการไถ่ของพระเยซูแก่เจ้า และโดยหลักแล้วก็เป็นไปเพื่อที่เจ้าอาจเข้าใจพระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลแห่งแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า และซึ้งคุณค่าในความสำคัญและแก่นแท้ทั้งปวงของแผนการบริหารจัดการหกพันปีนี้ และเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจทั้งหมดที่พระเยซูได้ทำและพระวจนะทั้งหลายที่พระองค์ได้ตรัส และปรับการเชื่อและการรักใคร่บูชาพระคัมภีร์อย่างมืดบอดของเจ้าให้มีสมดุล  ทั้งหมดนี้จะเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจอย่างละเอียดถี่ถ้วน  เจ้าจะมาเข้าใจทั้งพระราชกิจที่พระเยซูทำและพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้ เจ้าจะเข้าใจและมองเห็นความจริง ชีวิต และหนทางทั้งปวง  ในพระราชกิจช่วงระยะที่พระเยซูทำนั้น เหตุใดพระเยซูจึงเสด็จจากไปโดยที่มิได้ทำพระราชกิจแห่งการสรุปปิดตัว?  เพราะพระราชกิจในช่วงระยะของพระเยซูนั้นมิใช่พระราชกิจแห่งการสรุปปิดตัว  เมื่อพระองค์ทรงถูกตรึงกับกางเขน พระวจนะของพระองค์ก็ถึงกาลอวสานไปด้วย หลังจากการตรึงกางเขนของพระองค์ พระราชกิจของพระองค์ก็เสร็จสิ้นสมบูรณ์  ช่วงระยะปัจจุบันแตกต่างออกไป กล่าวคือ มีเพียงหลังจากที่พระวจนะได้รับการตรัสจนจบและพระราชกิจทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าได้รับการสรุปปิดตัวแล้วเท่านั้น พระราชกิจของพระองค์จึงจะเสร็จสิ้น  ในช่วงระยะของพระราชกิจของพระเยซูนั้น มีพระวจนะอีกมากมายที่ยังไม่ได้ตรัส หรือยังไม่ได้รับการสื่อสารอย่างครบถ้วน  แต่ถึงกระนั้นพระเยซูก็มิได้ใส่พระทัยว่าพระองค์ได้ตรัสหรือมิได้ตรัสสิ่งใด เพราะพันธกิจของพระองค์มิใช่พันธกิจเกี่ยวกับพระวจนะ และดังนั้นหลังจากที่พระองค์ทรงถูกตอกตรึงกับกางเขน พระองค์จึงเสด็จจากไป  พระราชกิจในช่วงระยะนั้นเป็นไปเพื่อการตรึงกางเขนเป็นสำคัญ และไม่เหมือนกับช่วงระยะปัจจุบัน  พระราชกิจช่วงระยะปัจจุบันนี้โดยหลักแล้วเป็นไปเพื่อความครบบริบูรณ์ การอธิบายให้ชัดเจน และการนำพระราชกิจทั้งหมดไปสู่การสรุปปิดตัว  หากพระวจนะทั้งหลายไม่ได้รับการตรัสจนจบ ก็จะไม่มีทางสรุปปิดตัวพระราชกิจนี้ เพราะในช่วงระยะนี้ของพระราชกิจนั้น พระราชกิจทั้งหมดจะถึงกาลสิ้นสุดและสำเร็จลุล่วงโดยใช้พระวจนะ  ณ เวลานั้นพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายที่มนุษย์ไม่สามารถจับความเข้าใจได้  พระองค์ได้เสด็จจากไปอย่างเงียบๆ และวันนี้ยังคงมีผู้ที่ไม่เข้าใจพระวจนะของพระองค์อีกมากมายหลายคน พวกเขายังมีความเข้าใจที่ผิดพลาด แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเชื่อว่าถูกต้อง และไม่รู้ว่าพวกเขาผิด  ช่วงระยะสุดท้ายจะพาพระราชกิจของพระเจ้าไปถึงปลายทางที่สมบูรณ์ และจะสรุปปิดตัวพระราชกิจ  ทุกคนจะมาเข้าใจและรู้จักแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า  มโนคติอันหลงผิดทั้งหลายภายในตัวมนุษย์ เจตนาต่างๆ ของเขา ความเข้าใจที่ผิดและไร้เหตุผลของเขา มโนคติอันหลงผิดของเขาเกี่ยวกับพระราชกิจของพระยาห์เวห์และพระเยซู ทรรศนะของเขาเกี่ยวกับชนต่างชาติ และความเบี่ยงเบนและความผิดพลาดอื่นๆ ของเขาจะได้รับการแก้ไขให้ถูกต้อง  และมนุษย์จะเข้าใจเส้นทางชีวิตที่ถูกต้องทั้งหมด พระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงทำทั้งหมด และความจริงทั้งหมดทั้งมวล  เมื่อการนั้นเกิดขึ้น พระราชกิจช่วงระยะนี้ย่อมจะถึงกาลอวสาน  พระราชกิจของพระยาห์เวห์คือการสร้างโลก นั่นคือการเริ่มต้น พระราชกิจช่วงระยะนี้คือปลายทางของพระราชกิจ และเป็นการสรุปปิดตัว  เริ่มแรกนั้นพระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปท่ามกลางผู้ที่ได้รับการเลือกสรรชาวอิสราเอล และเป็นรุ่งอรุณของยุคใหม่ในสถานที่ที่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งหมด  พระราชกิจช่วงระยะสุดท้ายดำเนินไปในประเทศที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาประเทศทั้งปวง เพื่อพิพากษาโลกและนำพายุคไปสู่กาลอวสาน  ในช่วงระยะแรกนั้น พระราชกิจของพระเจ้าดำเนินไปในสถานที่ที่สดใสที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง และช่วงระยะสุดท้ายก็ดำเนินไปในสถานที่ที่มืดมนที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวง และความมืดมนนี้จะถูกขับออกไป และความสว่างจะถูกนำมา และผู้คนทั้งหมดจะได้รับการพิชิต  เมื่อผู้คนจากสถานที่ที่ไม่บริสุทธิ์ที่สุดและมืดมิดที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวงนี้ได้รับการพิชิต และประชากรทั้งหมดทั้งมวลยอมรับรู้ว่ามีพระเจ้า ซึ่งเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ และเมื่อทุกบุคคลเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ เช่นนั้นแล้ว ข้อเท็จจริงนี้จะถูกใช้ดำเนินพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยไปทั่วทั้งจักรวาล  พระราชกิจช่วงระยะนี้มีความเป็นสัญลักษณ์ กล่าวคือ  ทันทีที่พระราชกิจของยุคนี้เสร็จสิ้นลง พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการหกพันปีก็จะมาถึงบทอวสานอันสมบูรณ์  ทันทีที่พวกที่อยู่ในสถานที่ที่มืดมนที่สุดในบรรดาสถานที่ทั้งปวงได้รับการพิชิตแล้ว ก็ย่อมเป็นที่ชัดเจนว่าทั่วทุกหนแห่งจะเป็นเช่นนั้นด้วย  เมื่อเป็นดังนี้จึงมีเพียงพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยในประเทศจีนเท่านั้นที่มีการใช้สัญลักษณ์อย่างมีความหมาย  ประเทศจีนคือรูปจำแลงแห่งกำลังบังคับทั้งมวลของความมืด และผู้คนของประเทศจีนเป็นตัวแทนของทุกคนที่เป็นมนุษย์ เป็นของซาตาน และมีเลือดมีเนื้อหนัง  ผู้คนชาวจีนนี่เองที่ถูกพญานาคใหญ่สีแดงทำให้เสื่อมทรามที่สุด ต่อต้านพระเจ้าอย่างหนักหน่วงที่สุด มีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ต่ำช้าและไม่บริสุทธิ์ที่สุด และดังนั้นพวกเขาจึงเป็นแม่แบบของมนุษยชาติที่เสื่อมทรามทั้งหมด  นี่มิได้หมายความว่าประเทศอื่นไม่มีปัญหา มโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ล้วนเหมือนกันทั้งหมด และถึงแม้ว่าผู้คนของประเทศเหล่านี้อาจมีขีดความสามารถดี แต่หากพวกเขาไม่รู้จักพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ต้องเป็นว่าพวกเขาต่อต้านพระองค์  เหตุใดชาวยิวจึงได้ต่อต้านและเยาะเย้ยท้าทายพระเจ้า?  เหตุใดพวกฟาริสีก็ต่อต้านพระองค์เช่นกัน?  เหตุใดยูดาสจึงทรยศพระเยซู?  ณ เวลานั้นสาวกจำนวนมากไม่รู้จักพระเยซู  หลังจากที่พระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนและได้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง เหตุใดผู้คนจึงยังคงไม่เชื่อในพระองค์?  การไม่เชื่อฟังของมนุษย์ไม่เหมือนกันหมดหรอกหรือ?  ผู้คนของประเทศจีนเพียงถูกยกมาเป็นตัวอย่างเท่านั้น และเมื่อพวกเขาได้รับการพิชิต พวกเขาจะกลายเป็นแบบอย่างและตัวอย่าง และจะทำหน้าที่เป็นแหล่งอ้างอิงสำหรับผู้อื่น  เหตุใดเราจึงกล่าวอยู่เสมอว่าพวกเจ้าเป็นผู้ช่วยให้กับแผนการบริหารจัดการของเรา?  ความเสื่อมทราม ความไม่บริสุทธิ์ ความไม่ชอบธรรม การต่อต้าน และการเป็นกบฏได้ถูกสำแดงอย่างสมบูรณ์ที่สุด และถูกเปิดเผยอยู่ในรูปแบบสารพันภายในตัวผู้คนของประเทศจีนนั่นเอง  ในด้านหนึ่ง พวกเขามีขีดความสามารถอ่อนด้อย และในอีกด้านหนึ่ง ชีวิตและชุดความคิดของพวกเขาล้าหลัง และนิสัยใจคอ สภาพแวดล้อมทางสังคม ครอบครัวที่ให้กำเนิดของพวกเขา—ทั้งหมดล้วนอ่อนด้อยและล้าหลังที่สุด  สถานะของพวกเขาก็ต่ำต้อยเช่นกัน พระราชกิจในที่แห่งนี้จึงมีความเป็นสัญลักษณ์ และหลังจากที่พระราชกิจแห่งการทดสอบนี้ดำเนินไปอย่างครบถ้วนบริบูรณ์แล้ว พระราชกิจที่ตามมาของพระเจ้าจะง่ายกว่านี้มาก  หากพระราชกิจขั้นตอนนี้สามารถเสร็จสมบูรณ์ เช่นนั้นแล้ว พระราชกิจที่ตามมาก็ย่อมเป็นที่ชัดเจน  ทันทีที่พระราชกิจขั้นตอนนี้สำเร็จลุล่วงไป ก็ย่อมจะสัมฤทธิ์ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่อย่างเต็มที่ และพระราชกิจแห่งการพิชิตชัยทั่วทั้งจักรวาลก็ย่อมจะถึงกาลอวสานอย่างสมบูรณ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (2)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 39

ยุคพระคุณเริ่มต้นด้วยพระนามของพระเยซู  เมื่อพระเยซูทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงเริ่มเป็นพยานยืนยันให้แก่พระนามของพระเยซู และไม่มีการกล่าวถึงพระนามของพระยาห์เวห์อีกต่อไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ดำเนินพระราชกิจใหม่นี้ภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นสำคัญแทน  บรรดาผู้ที่เชื่อในพระองค์ก็เป็นคำพยานให้พระเยซูคริสต์ และงานที่พวกเขาทำก็เป็นไปเพื่อพระเยซูคริสต์เช่นกัน  การสรุปปิดตัวยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิมหมายความว่าพระราชกิจที่ดำเนินการภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์เป็นสำคัญได้ถึงกาลสิ้นสุดแล้ว  นับแต่นี้ไป พระนามของพระเจ้าไม่ใช่พระยาห์เวห์อีกต่อไป แต่พระองค์ทรงพระนามว่าเยซูแทน และจากจุดนี้ไป พระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เริ่มต้นพระราชกิจภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นสำคัญ  ดังนั้นผู้คนที่ยังคงกินและดื่มพระวจนะของพระยาห์เวห์อยู่ในวันนี้ และยังคงทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพระราชกิจของยุคธรรมบัญญัติ—เจ้าไม่ได้ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์อยู่อย่างมืดบอดหรอกหรือ?  เจ้ามิได้ติดอยู่ในอดีตหรอกหรือ?  บัดนี้พวกเจ้ารู้ว่ายุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว  เป็นไปได้หรือที่เมื่อพระเยซูเสด็จมาในวันนี้ พระองค์จะยังคงมีพระนามว่าเยซู?  พระยาห์เวห์ตรัสบอกประชากรแห่งอิสราเอลว่า พระเมสสิยาห์กำลังจะเสด็จมา แต่ทว่าเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา พระองค์ก็มิได้ทรงพระนามว่าเมสสิยาห์ แต่เป็นเยซู  พระเยซูตรัสว่าพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง และว่าพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ได้ทรงออกเดินทางแล้ว  เหล่านี้คือพระวจนะของพระเยซู แต่เจ้าเห็นวิธีออกเดินทางของพระเยซูหรือ?  พระเยซูประทับบนเมฆขาวจากไป แต่เป็นไปได้หรือที่พระองค์จะทรงเมฆขาวกลับมาในท่ามกลางมนุษย์ด้วยพระองค์เอง?  หากเป็นเช่นนั้น พระองค์จะไม่ทรงพระนามว่าเยซูอยู่อีกหรอกหรือ?  เมื่อพระเยซูเสด็จมาอีกครั้ง ยุคย่อมจะเปลี่ยนไปแล้ว ดังนั้นพระองค์จะยังคงมีพระนามว่าเยซูอยู่ได้หรือ?  หรือว่าพระเจ้าสามารถเป็นที่รู้จักได้ในพระนามของพระเยซูเท่านั้น?  พระองค์มิอาจมีพระนามใหม่ในยุคใหม่หรอกหรือ?  รูปลักษณ์ของบุคคลหนึ่งและชื่อเฉพาะชื่อหนึ่งสามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์กระนั้นหรือ?  ในแต่ละยุค พระเจ้าทรงพระราชกิจใหม่และมีพระนามใหม่ พระองค์จะทำพระราชกิจเดียวกันในยุคที่แตกต่างกันได้อย่างไร?  พระองค์จะทรงยึดติดอยู่กับสิ่งเดิมได้อย่างไร?  พระนามของพระเยซูนั้นใช้ทำพระราชกิจแห่งการไถ่ ดังนั้นพระองค์จะยังคงใช้พระนามเดียวกันเมื่อพระองค์เสด็จกลับมาในยุคสุดท้ายหรือ?  พระองค์จะยังทรงพระราชกิจแห่งการไถ่อยู่อีกหรือ?  เหตุใดจึงเป็นว่าพระยาห์เวห์กับพระเยซูคือหนึ่งเดียวกัน ทว่าทั้งสององค์กลับมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างกัน?  มิใช่เพราะว่ายุคแห่งพระราชกิจของทั้งสององค์นั้นแตกต่างกันหรอกหรือ?  ชื่อเพียงชื่อเดียวสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือ?  เมื่อเป็นเช่นนี้ พระเจ้าจึงต้องมีพระนามที่ต่างกันในยุคที่ต่างออกไป และพระองค์ต้องใช้พระนามนั้นๆ มาเปลี่ยนแปลงยุคและเป็นตัวแทนยุคนั้น  เพราะชื่อเพียงชื่อเดียวไม่สามารถแทนพระเจ้าพระองค์เองได้อย่างเต็มเปี่ยม และแต่ละชื่อสามารถเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระเจ้าในยุคหนึ่งๆ ได้เฉพาะในแง่มุมที่เกี่ยวกับยุคเท่านั้น ทั้งหมดที่ชื่อหนึ่งต้องทำก็คือเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระองค์  ดังนั้นพระเจ้าจึงสามารถเลือกพระนามใดก็ได้ที่เหมาะสมกับพระอุปนิสัยของพระองค์เพื่อเป็นตัวแทนยุคนั้นทั้งยุค  ไม่ว่าจะเป็นยุคของพระยาห์เวห์หรือยุคของพระเยซูก็ตาม แต่ละยุคมีชื่อหนึ่งเป็นตัวแทน  เมื่อสิ้นสุดยุคพระคุณ ยุคสุดท้ายก็มาถึง และพระเยซูได้เสด็จมาแล้ว  พระองค์จะยังคงมีพระนามว่าเยซูอยู่ได้อย่างไร?  พระองค์จะยังคงใช้รูปสัณฐานของพระเยซูอยู่ในท่ามกลางมนุษย์ได้อย่างไร?  เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพระเยซูทรงเป็นเพียงรูปสัณฐานของชาวนาซาเร็ธคนหนึ่ง?  เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าพระเยซูเป็นเพียงพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์เท่านั้น?  พระองค์จะสามารถทำพระราชกิจแห่งการพิชิตมนุษย์และทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมในยุคสุดท้ายได้อย่างไร?  พระเยซูได้ทรงเมฆขาวจากไป—นี่คือข้อเท็จจริง—แต่พระองค์จะทรงเมฆขาวกลับมาในท่ามกลางมนุษย์และยังคงใช้พระนามว่าเยซูอยู่ได้อย่างไร?  หากพระองค์เสด็จมาบนเมฆขาวจริง มนุษย์จะจำพระองค์ไม่ได้ได้อย่างไร?  ผู้คนทั่วโลกจะจำพระองค์ไม่ได้กระนั้นหรือ?  หากเป็นเช่นนั้น พระเยซูจะมิใช่พระเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียวหรือ?  หากเป็นเช่นนั้น พระฉายาของพระเจ้าคงจะเป็นรูปลักษณ์ของชาวยิวคนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นคือคงจะเป็นเหมือนเดิมตลอดไป  พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ทรงออกเดินทางแล้ว แต่เจ้ารู้ความหมายที่แท้จริงแห่งพระวจนะของพระองค์หรือไม่?  เป็นไปได้หรือที่พระองค์จะตรัสบอกพวกเจ้ากลุ่มนี้?  ทั้งหมดที่เจ้ารู้ก็คือพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ทรงออกเดินทางแล้ว โดยประทับมาบนเมฆขาว แต่เจ้ารู้อย่างแน่ชัดหรือไม่ว่าพระเจ้าพระองค์เองทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไร?  หากเจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริงแล้วไซร้ จะอธิบายพระวจนะที่พระเยซูตรัสว่าอย่างไร?  พระองค์ตรัสว่า เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะไม่รู้พระองค์เอง ทูตสวรรค์ทั้งหลายจะไม่รู้ ผู้สื่อสารทั้งหลายในสวรรค์จะไม่รู้ และมนุษยชาติทั้งปวงจะไม่รู้  มีเพียงพระบิดาเท่านั้นที่จะทรงรู้ นั่นคือ พระวิญญาณเท่านั้นที่จะทรงรู้  แม้กระทั่งบุตรมนุษย์พระองค์เองก็ไม่ทรงรู้ แต่เจ้ากลับสามารถมองเห็นและรู้ได้กระนั้นหรือ?  หากเจ้าสามารถรู้และมองเห็นได้ด้วยตาของเจ้าเอง การตรัสพระวจนะเหล่านี้จะไม่ไร้ประโยชน์หรอกหรือ?  แล้วพระเยซูได้ตรัสสิ่งใดเอาไว้ในเวลานั้น?  “แต่ไม่มีใครรู้เรื่องวันหรือเวลาแม้แต่บรรดาทูตแห่งฟ้าสวรรค์หรือพระบุตร มีแต่พระบิดาองค์เดียว เพราะว่าสมัยของโนอาห์เคยเป็นอย่างไร เมื่อบุตรมนุษย์เสด็จมาก็จะเป็นอย่างนั้น… เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา”  เมื่อวันนั้นมาถึง บุตรมนุษย์พระองค์เองจะไม่ทรงรู้  บุตรมนุษย์นี้อ้างถึงเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เป็นบุคคลปกติและธรรมดาคนหนึ่ง  แม้แต่บุตรมนุษย์พระองค์เองก็ไม่ทรงรู้ ดังนั้นแล้วเจ้าจะสามารถรู้ได้อย่างไร?  พระเยซูตรัสว่าพระองค์กำลังเสด็จมาเพราะพระองค์ได้ทรงออกเดินทางแล้ว  เมื่อพระองค์เสด็จมาถึง แม้แต่พระองค์ก็ไม่รู้พระองค์เอง ดังนั้นพระองค์จะสามารถแจ้งให้เจ้ารู้ล่วงหน้าได้อย่างไร?  เจ้าสามารถมองเห็นการเสด็จมาถึงของพระองค์กระนั้นหรือ?  นั่นมิใช่เรื่องตลกหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 40

แต่ละครั้งที่พระเจ้าเสด็จมายังแผ่นดินโลก พระองค์ย่อมเปลี่ยนพระนามของพระองค์ เพศสภาพของพระองค์ รูปลักษณ์ของพระองค์ และพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ทำซ้ำพระราชกิจของพระองค์  พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า  เมื่อพระองค์เสด็จมาก่อนหน้านี้ พระองค์มีพระนามว่าเยซู  พระองค์จะยังคงสามารถใช้พระนามเยซูในยุคนี้ที่พระองค์เสด็จมาอีกครั้งได้อย่างไร?  เมื่อพระองค์เสด็จมาก่อนหน้านี้ พระองค์ทรงเป็นชาย พระองค์จะเป็นชายอีกครั้งในครานี้ได้หรือ?  พระราชกิจของพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จมาในยุคพระคุณคือการถูกตอกตรึงกับกางเขน เมื่อพระองค์เสด็จมาอีกครั้ง พระองค์จะยังคงไถ่มวลมนุษย์จากบาปอยู่อีกหรือ?  พระองค์จะสามารถถูกตอกตรึงกับกางเขนอีกครั้งได้หรือ?  นั่นจะมิใช่การทำซ้ำพระราชกิจของพระองค์หรอกหรือ?  เจ้าไม่รู้หรือว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า?  มีบรรดาผู้ที่กล่าวว่าพระเจ้ามิอาจทรงเปลี่ยนแปลงไปอีกได้  นั่นก็ถูกต้อง แต่นั่นหมายถึงพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้าที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงไปอีก  การเปลี่ยนแปลงพระนามและพระราชกิจของพระองค์มิได้พิสูจน์ว่าแก่นแท้ของพระองค์ได้ปรับเปลี่ยนไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าย่อมจะเป็นพระเจ้าอยู่เสมอ และการนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  หากเจ้ากล่าวว่าพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะสามารถเสร็จสิ้นแผนการบริหารจัดการที่ยาวนานหกพันปีของพระองค์ได้หรือ?  เจ้าเพียงรู้ว่าพระเจ้าไม่ทรงเปลี่ยนแปลงตลอดกาล แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า?  หากพระราชกิจของพระเจ้าไม่มีการเปลี่ยนแปลงแล้วไซร้ พระองค์จะสามารถนำทางมวลมนุษย์มาตลอดทางจนถึงยุคปัจจุบันได้หรือ?  หากพระเจ้ามิสามารถเปลี่ยนแปลงได้แล้วไซร้ เหตุใดพระองค์จึงได้ทรงพระราชกิจมาสองยุคแล้ว?  พระราชกิจของพระองค์ไม่เคยหยุดเคลื่อนไปข้างหน้า ซึ่งหมายความว่าพระอุปนิสัยของพระองค์ได้รับการเปิดเผยแก่มนุษย์อย่างค่อยเป็นค่อยไป และสิ่งที่ถูกเปิดเผยก็คือพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์  ในปฐมกาล พระอุปนิสัยของพระเจ้าถูกซ่อนเร้นจากมนุษย์ พระองค์ไม่เคยเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์แก่มนุษย์อย่างชัดแจ้ง และจึงเป็นธรรมดาที่มนุษย์ไม่มีความรู้เกี่ยวกับพระองค์  เพราะเหตุนี้พระองค์จึงใช้พระราชกิจของพระองค์มาเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์แก่มนุษย์ทีละน้อย แต่การทรงพระราชกิจในลักษณะนี้มิได้หมายความว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าจะเปลี่ยนไปทุกยุค  ไม่ใช่ว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอเพราะน้ำพระทัยของพระองค์เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ  หากแต่เป็นว่ายุคแห่งพระราชกิจของพระองค์แตกต่างกัน พระเจ้าจึงนำพระอุปนิสัยโดยธรรมชาติของพระองค์ทั้งหมดมาเปิดเผยแก่มนุษย์ อย่างเป็นขั้นเป็นตอน เพื่อให้มนุษย์สามารถรู้จักพระองค์  แต่การนี้ก็มิใช่ข้อพิสูจน์ว่าเดิมทีพระเจ้าไม่ได้มีพระอุปนิสัยจำเพาะ หรือว่าพระอุปนิสัยของพระองค์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามยุคที่ผ่านไปแต่ประการใด—การเข้าใจเช่นนั้นย่อมผิดพลาด  พระเจ้าเผยให้มนุษย์เห็นพระอุปนิสัยจำเพาะที่เป็นธรรมชาติของพระองค์—สิ่งที่พระองค์ทรงเป็น—ตามยุคที่ผ่านไป พระราชกิจในยุคหนึ่งไม่สามารถแสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้าได้  และดังนั้นคำว่า “พระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า” จึงอ้างอิงถึงพระราชกิจของพระองค์ และคำว่า “พระเจ้าย่อมไม่เปลี่ยนแปลง” ก็อ้างอิงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นโดยธรรมชาติ  ไม่ว่าอย่างไร เจ้าไม่อาจแขวนพระราชกิจหกพันปีไว้กับจุดจุดหนึ่ง หรือล้อมกรอบเอาไว้ด้วยคำที่ตายแล้ว  เช่นนั้นคือความโฉดเขลาของมนุษย์  พระเจ้ามิได้ทรงเรียบง่ายดังที่มนุษย์จินตนาการ และพระราชกิจของพระองค์ก็ไม่สามารถอ้อยอิ่งอยู่ในยุคใดยุคหนึ่งได้  ยกตัวอย่างเช่น ยาห์เวห์ไม่สามารถเป็นพระนามของพระเจ้าเสมอไปได้ พระเจ้าจึงสามารถทรงพระราชกิจของพระองค์ภายใต้พระนามว่าเยซูด้วย  นี่คือหมายสำคัญอย่างหนึ่งว่าพระราชกิจของพระเจ้าก้าวไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ

พระเจ้าคือพระเจ้าเสมอ และพระองค์จะไม่มีวันกลายเป็นซาตาน ซาตานคือซาตานเสมอ และมันจะไม่มีวันกลายเป็นพระเจ้า  พระปัญญาของพระเจ้า ความน่าอัศจรรย์ของพระเจ้า ความชอบธรรมของพระเจ้า และพระบารมีของพระเจ้าจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  แก่นแท้ของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  อย่างไรก็ตาม สำหรับพระราชกิจของพระองค์นั้นย่อมเคลื่อนไปในทิศทางข้างหน้าอยู่เสมอ มีความลึกซึ้งยิ่งขึ้นอยู่เสมอ เพราะพระองค์ทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า  ในแต่ละยุค พระเจ้าใช้พระนามใหม่ ในแต่ละยุค พระองค์ทรงพระราชกิจใหม่ และในแต่ละยุค พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้สรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์มองเห็นน้ำพระทัยใหม่และพระอุปนิสัยใหม่ของพระองค์  หากในยุคใหม่ ผู้คนไม่สามารถมองเห็นการสำแดงพระอุปนิสัยใหม่ของพระเจ้า พวกเขาจะไม่ตอกตรึงพระองค์ไว้กับกางเขนตลอดไปหรอกหรือ?  และโดยการทำเช่นนั้น พวกเขาจะไม่นิยามพระเจ้าเสียเองหรอกหรือ?  หากพระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ที่เป็นชายเท่านั้น ผู้คนก็คงจะนิยามพระองค์ว่าทรงเป็นชาย ทรงเป็นพระเจ้าของผู้ชาย และคงจะไม่มีวันเชื่อว่าพระองค์คือพระเจ้าของผู้หญิง  เช่นนั้นแล้ว ผู้ชายก็ย่อมจะยึดถือว่าพระเจ้าทรงมีเพศสภาพเช่นเดียวกันกับผู้ชาย ว่าพระเจ้าทรงเป็นประมุขของผู้ชาย—แต่หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ผู้หญิงจะเป็นเช่นไร?  นี่ไม่เป็นธรรม นี่มิใช่การเลือกปฏิบัติหรอกหรือ?  หากเป็นดังนี้แล้วไซร้ ทุกคนที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอดย่อมจะเป็นชายเหมือนพระองค์ และจะไม่มีผู้หญิงได้รับการช่วยให้รอดสักคนเดียว  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมวลมนุษย์ พระองค์ทรงสร้างอาดัมและพระองค์ทรงสร้างเอวา  พระองค์มิได้ทรงสร้างเพียงอาดัมเท่านั้น แต่ทรงสร้างทั้งชายและหญิงในพระฉายาของพระองค์  พระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงพระเจ้าของผู้ชายเท่านั้น—พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของผู้หญิงเช่นกัน  พระเจ้าทรงเข้าสู่ช่วงระยะใหม่ของพระราชกิจในยุคสุดท้าย  พระองค์จะเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ให้มากขึ้นอีก ซึ่งจะมิใช่ความสงสารและความรักอย่างในยุคของพระเยซู  เนื่องจากพระองค์มีพระราชกิจใหม่ในพระหัตถ์ พระอุปนิสัยใหม่จึงจะมาพร้อมพระราชกิจใหม่นี้  ดังนั้น หากพระวิญญาณเป็นผู้ทำพระราชกิจนี้—หากพระเจ้ามิได้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ และพระวิญญาณตรัสโดยตรงผ่านทางฟ้าร้องแทน เพื่อให้มนุษย์ไร้หนทางที่จะติดต่อกับพระองค์ มนุษย์จะสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์ได้หรือไม่?  หากมีเพียงพระวิญญาณเท่านั้นที่ทรงพระราชกิจนี้ เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็คงไร้หนทางที่จะมารู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า  ผู้คนสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าด้วยตาของพวกเขาเองก็ต่อเมื่อพระองค์ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ ต่อเมื่อพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ และพระองค์แสดงพระอุปนิสัยทั้งหมดทั้งมวลของพระองค์ผ่านทางเนื้อหนังเท่านั้น  พระเจ้าดำรงพระชนม์ชีพอยู่ท่ามกลางมนุษย์จริงๆ  และโดยแท้จริง  พระองค์ทรงจับต้องได้ มนุษย์สามารถมีส่วนร่วมกับพระอุปนิสัยของพระองค์ มีส่วนร่วมกับสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นได้จริง  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่มนุษย์จะสามารถมารู้จักพระองค์ได้อย่างแท้จริง  ในเวลาเดียวกันนั้น พระเจ้าก็ทำให้พระราชกิจที่ว่า “พระเจ้าคือพระเจ้าของผู้ชายและพระเจ้าของผู้หญิง” เสร็จสมบูรณ์ และทำให้พระราชกิจในเนื้อหนังของพระองค์ทั้งหมดสำเร็จลุล่วงไปด้วย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 41

พระราชกิจของพระเจ้าตลอดระยะเวลาแห่งการบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์มีความชัดเจนอย่างที่สุด กล่าวคือ ยุคพระคุณก็คือยุคพระคุณ และยุคสุดท้ายก็คือยุคสุดท้าย  มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างแต่ละยุค เพราะในแต่ละยุค พระเจ้าทรงพระราชกิจที่เป็นตัวแทนของยุคนั้นๆ  สำหรับพระราชกิจในยุคสุดท้ายที่จะทรงทำนั้น ต้องมีการเผาไหม้ การพิพากษา การตีสอน พระพิโรธ และการทำลายล้าง เพื่อสิ้นสุดยุค  ยุคสุดท้ายหมายถึงยุคอันดับสุดท้าย  ในระหว่างยุคอันดับสุดท้าย พระเจ้าจะไม่ทรงนำยุคให้ไปถึงปลายทางหรอกหรือ?  เพื่อสิ้นสุดยุค พระเจ้าต้องทรงนำการตีสอนและการพิพากษามาพร้อมกับพระองค์  มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่พระองค์จะสามารถนำยุคไปถึงปลายทางได้  จุดประสงค์ของพระเยซูคือเพื่อที่มนุษย์อาจจะรอดชีวิตต่อไป มีชีวิตอยู่ต่อไป และเพื่อที่เขาอาจจะดำรงอยู่ในหนทางที่ดีขึ้น  พระองค์ทรงช่วยมนุษย์ให้รอดจากบาปเพื่อที่เขาอาจจะยุติการถลำตัวลงสู่ความต่ำทราม และไม่ใช้ชีวิตอยู่ในแดนคนตายและในนรกอีกต่อไป และโดยการช่วยมนุษย์ให้รอดจากแดนคนตายและนรก พระเยซูก็ได้ทรงเปิดโอกาสให้เขาดำรงชีวิตต่อไป  บัดนี้ยุคสุดท้ายได้มาถึงแล้ว  พระเจ้าจะทรงทำลายล้างมนุษย์และทำลายเผ่าพันธุ์มนุษย์ให้สิ้น นั่นก็คือ พระองค์จะทรงแปลงสภาพการกบฏของมวลมนุษย์  ด้วยเหตุนี้จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะทรงสิ้นสุดยุคนี้หรือทำให้แผนการบริหารจัดการที่ยาวนานหกพันปีของพระองค์บังเกิดผลด้วยพระอุปนิสัยในอดีตที่สงสารเห็นใจและเปี่ยมรัก  ทุกยุคแสดงลักษณะพิเศษอย่างหนึ่งแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้า และทุกยุคบรรจุพระราชกิจที่พระเจ้าควรต้องทำ  ดังนั้นพระราชกิจที่กระทำโดยพระเจ้าพระองค์เองในแต่ละยุคจึงมีการแสดงออกถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระองค์ และทั้งพระนามของพระองค์และพระราชกิจที่พระองค์ทำจึงเปลี่ยนไปพร้อมกับยุค—ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งใหม่  ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ พระราชกิจแห่งการนำมวลมนุษย์กระทำภายใต้พระนามของพระยาห์เวห์ และพระราชกิจช่วงระยะแรกได้เริ่มขึ้นบนแผ่นดินโลก  ในช่วงระยะแรกเริ่มนี้ พระราชกิจประกอบด้วยการสร้างพระวิหารและแท่นบูชา และการใช้ธรรมบัญญัติมานำประชากรแห่งอิสราเอลและเพื่อทรงพระราชกิจในท่ามกลางพวกเขา  โดยการทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลนี้ พระองค์ได้ทรงเปิดตัวฐานรากแห่งพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลก  จากฐานรากนี้ พระองค์ได้แผ่ขยายพระราชกิจของพระองค์ออกไปนอกอิสราเอล ซึ่งหมายความว่าพระองค์ได้ขยายพระราชกิจของพระองค์ออกไปโดยตั้งต้นจากอิสราเอล เพื่อให้คนรุ่นหลังค่อยๆ มารู้ว่าพระยาห์เวห์คือพระเจ้า และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่ง และรู้ว่าพระยาห์เวห์นั่นเองคือผู้สร้างสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  พระองค์เผยแพร่พระราชกิจของพระองค์ผ่านทางประชากรแห่งอิสราเอล พ้นตัวพวกเขาออกไป  แผ่นดินอิสราเอลคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งแรกในพระราชกิจของพระยาห์เวห์บนแผ่นดินโลก และเป็นแผ่นดินอิสราเอลนี่เองที่พระเจ้าได้เสด็จมาทรงพระราชกิจบนแผ่นดินโลกเป็นครั้งแรก  นั่นคือพระราชกิจแห่งยุคธรรมบัญญัติ  ในระหว่างยุคพระคุณนั้น พระเยซูคือพระเจ้าผู้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด  สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นคือพระคุณ ความรัก ความสงสาร ความอดกลั้น ความอดทน ความถ่อมพระองค์ ความใส่พระทัย และความยอมผ่อนปรน และพระราชกิจมากมายเหลือเกินที่พระองค์ทำนั้นเป็นไปเพื่อการไถ่มนุษย์  พระอุปนิสัยของพระองค์คืออุปนิสัยแห่งความสงสารและความรัก และเพราะพระองค์ทรงมีความสงสารเห็นใจและเปี่ยมรัก พระองค์จึงต้องถูกตอกตรึงกับกางเขนเพื่อมนุษย์ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักมนุษย์เหมือนที่รักพระองค์เอง รักมากจนถึงขนาดที่พระองค์มอบพระองค์เองให้ทั้งหมด  ในระหว่างยุคพระคุณ พระนามของพระเจ้าคือเยซู กล่าวคือ พระเจ้าคือพระเจ้าผู้ทรงช่วยมนุษย์ให้รอด และพระองค์เป็นพระเจ้าที่สงสารเห็นใจและเปี่ยมรัก  พระเจ้าทรงอยู่กับมนุษย์  ความรักของพระองค์ ความสงสารของพระองค์ และความรอดของพระองค์อยู่เคียงข้างบุคคลทุกคน  มีเพียงโดยการยอมรับพระนามของพระเยซูและการสถิตของพระองค์เท่านั้น มนุษย์จึงจะสามารถได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดี ได้รับพรจากพระองค์ ได้รับพระคุณอันมากมายและกว้างใหญ่ไพศาลของพระองค์ และความรอดของพระองค์  บรรดาผู้ที่ติดตามพระองค์ล้วนได้รับความรอดและได้รับการอภัยบาปของพวกเขาผ่านทางการตรึงกางเขนพระเยซู  ในระหว่างยุคพระคุณ เยซูคือพระนามของพระเจ้า  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจในยุคพระคุณนั้นดำเนินการภายใต้พระนามของพระเยซูเป็นหลัก  ในระหว่างยุคพระคุณ พระเจ้ามีพระนามว่าเยซู  พระองค์ทรงทำช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจใหม่ที่อยู่นอกเหนือพันธสัญญาเดิม และพระราชกิจของพระองค์ก็สิ้นสุดลงด้วยการตรึงกางเขน  นี่คือพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์  ดังนั้น ในระหว่างยุคธรรมบัญญัติ ยาห์เวห์คือพระนามของพระเจ้า และในยุคพระคุณนั้น พระนามของพระเยซูคือตัวแทนของพระเจ้า  ในระหว่างยุคสุดท้าย พระนามของพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—องค์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้ทรงใช้ฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อนำมนุษย์ พิชิตมนุษย์ และรับมนุษย์เอาไว้ และเพื่อสิ้นสุดยุคในท้ายที่สุด  ในทุกยุค ณ ทุกช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเจ้านั้น พระอุปนิสัยของพระองค์เป็นที่ประจักษ์ชัด

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 42

พระนามของพระเยซู—ซึ่งแปลว่า “พระเจ้าทรงอยู่กับเรา”—สามารถเป็นตัวแทนแห่งพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์หรือไม่?  พระนามนี้สามารถแสดงออกถึงพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนหรือไม่?  หากมนุษย์กล่าวว่าพระเจ้าสามารถทรงพระนามว่าเยซูเท่านั้น และมิอาจมีพระนามอื่นเพราะพระเจ้าไม่สามารถเปลี่ยนพระอุปนิสัยของพระองค์ได้ ถ้อยคำเหล่านี้ย่อมเป็นการหมิ่นประมาทอย่างแท้จริง!  เจ้าเชื่อหรือว่าพระนามเยซู ซึ่งแปลว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา เพียงพระนามเดียวนั้นสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์?  พระเจ้าอาจได้รับการเรียกขานด้วยพระนามมากมาย แต่ท่ามกลางพระนามอันมากมายนี้ ไม่มีสักพระนามหนึ่งที่สามารถครอบคลุมทั้งหมดของพระเจ้าได้  ไม่มีสักพระนามหนึ่งที่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน  และดังนั้นพระเจ้าจึงมีพระนามมากมาย แต่พระนามอันมากมายนี้ไม่สามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน เพราะพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นอุดมมากเสียจนเกินความสามารถของมนุษย์ที่จะรู้จักพระองค์ได้  ไม่มีทางเลยที่มนุษย์จะใช้ภาษาของมวลมนุษย์มาบรรยายสรุปพระเจ้าได้อย่างครบถ้วน  มวลมนุษย์มีคำศัพท์ไว้ใช้สรุปใจความของทุกสิ่งที่พวกเขารู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างจำกัดเท่านั้น ได้แก่ ยิ่งใหญ่ ทรงเกียรติ มหัศจรรย์ มิอาจหยั่งถึง สูงสุด บริสุทธิ์ ชอบธรรม ทรงปัญญา และอื่นๆ  ช่างมากมายหลายคำนัก!  แต่คำศัพท์ที่มีอยู่อย่างจำกัดนี้ไม่สามารถที่จะพรรณนาส่วนน้อยนิดที่มนุษย์ได้รู้เห็นเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าได้  เมื่อเวลาผ่านไป คนอื่นอีกมากได้เพิ่มคำศัพท์ที่พวกเขาคิดว่าสามารถพรรณนาความรู้สึกอันแรงกล้าในหัวใจของพวกเขาได้ดีขึ้น ได้แก่ พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่เหลือเกิน!  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์เหลือเกิน!  พระเจ้าทรงดีงามเหลือเกิน!  วันนี้คำกล่าวของมนุษย์เช่นที่ยกมานี้ได้มาถึงจุดสูงสุดแล้ว กระนั้นมนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถแสดงความรู้สึกนึกคิดของตนเองออกมาได้อย่างชัดเจน  และดังนั้น สำหรับมนุษย์แล้ว พระเจ้าจึงมีพระนามมากมาย กระนั้นพระองค์ก็มิได้มีพระนามเดียว และนี่เป็นเพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นนั้นช่างอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก และภาษาของมนุษย์ก็ขัดสนเหลือเกิน  คำเฉพาะหรือชื่อเฉพาะเพียงหนึ่งเดียวไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ดังนี้แล้วเจ้าคิดหรือว่าพระนามของพระองค์จะสามารถคงที่ดังเดิมได้?  พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ยิ่งนักและบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ทว่าเจ้าจะไม่ยินยอมให้พระองค์เปลี่ยนพระนามของพระองค์ในยุคใหม่แต่ละยุคกระนั้นหรือ?  ดังนั้น ในทุกยุคที่พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เองด้วยพระองค์เองนั้น พระองค์จึงใช้พระนามที่เหมาะกับยุคเพื่อสรุปใจความของพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ  พระองค์ใช้พระนามเฉพาะนี้ ซึ่งเป็นพระนามที่มีนัยสำคัญเกี่ยวกับยุค เพื่อเป็นตัวแทนพระอุปนิสัยของพระองค์ในยุคนั้น  นี่คือการที่พระเจ้าทรงใช้ภาษาของมวลมนุษย์เพื่อแสดงพระอุปนิสัยของพระองค์เอง  กระนั้นก็ตาม ผู้คนมากมายที่มีประสบการณ์ทางวิญญาณและได้เห็นพระเจ้าด้วยตนเองมาแล้วก็ยังรู้สึกอยู่ดีว่าพระนามเฉพาะพระนามหนึ่งนี้ไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ได้—อนิจจา เช่นนี้ก็ช่วยไม่ได้—ดังนั้นมนุษย์จึงไม่เรียกพระเจ้าด้วยพระนามใดอีกต่อไป เพียงเรียกพระองค์อย่างง่ายๆ ว่า “พระเจ้า” เท่านั้น  เป็นราวกับว่าหัวใจของมนุษย์เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ก็ถูกความขัดแย้งรุมเร้าด้วย เพราะมนุษย์ไม่รู้ว่าจะอธิบายถึงพระเจ้าอย่างไร  สิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นนั้นอุดมสมบูรณ์ยิ่งนักจนกระทั่งไม่มีหนทางที่จะพรรณนาถึงได้โดยง่าย  ไม่มีชื่อใดที่สามารถสรุปพระอุปนิสัยของพระเจ้าไว้ในชื่อเดียวได้ และไม่มีชื่อใดที่สามารถพรรณนาทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็นไว้ในชื่อเดียวได้  หากมีใครถามเราว่า “พระองค์ใช้พระนามว่ากระไรกันแน่?”  เราจะบอกพวกเขาว่า “พระเจ้าก็คือพระเจ้า!”  นั่นมิใช่พระนามที่ดีที่สุดสำหรับพระเจ้าหรอกหรือ?  นั่นมิใช่การสรุปความถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ดีที่สุดหรอกหรือ?  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เหตุใดพวกเจ้าจึงใช้ความพยายามมากมายเช่นนั้นเพื่อแสวงหาพระนามของพระเจ้า?  เหตุใดพวกเจ้าจึงพยายามใช้สมอง ไม่กินไม่นอน เพียงเพื่อชื่อชื่อหนึ่ง?  วันนั้นจะมาถึง เมื่อพระเจ้าจะไม่ได้ทรงพระนามว่ายาห์เวห์ เยซู หรือเมสสิยาห์—แต่พระองค์จะเป็นเพียงพระผู้สร้าง  เมื่อนั้นพระนามทั้งหมดที่พระองค์มีบนแผ่นดินโลกย่อมจะถึงกาลสิ้นสุด เพราะพระราชกิจของพระองค์บนแผ่นดินโลกย่อมจะถึงกาลสิ้นสุดแล้ว และหลังจากนั้นจะไม่มีพระนามทั้งหลายของพระองค์อีกแล้ว  เมื่อสรรพสิ่งมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง พระองค์จะต้องประสงค์พระนามที่เหมาะสมยิ่ง แต่ไม่ครบบริบูรณ์ ไปเพื่อสิ่งใด?  ขณะนี้เจ้ายังคงแสวงหาพระนามของพระเจ้าอยู่หรือไม่?  เจ้ายังกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงพระนามว่ายาห์เวห์เท่านั้นหรือไม่?  เจ้ายังคงกล้าที่จะพูดว่าพระเจ้าทรงพระนามได้ว่าเยซูเท่านั้นหรือไม่?  เจ้าสามารถแบกรับบาปแห่งการหมิ่นประมาทพระเจ้าได้หรือ?  เจ้าควรรู้ว่าเดิมทีนั้นพระเจ้าไม่มีพระนาม  พระองค์เพียงใช้พระนามหนึ่ง หรือสอง หรือหลายพระนามก็เพราะพระองค์มีพระราชกิจต้องทำและต้องทรงบริหารจัดการมวลมนุษย์เท่านั้น  ไม่ว่าพระนามใดที่พระองค์ใช้—พระองค์มิได้ทรงเลือกเด้วยพระองค์เองโดยเสรีหรอกหรือ?  พระองค์จำเป็นจะต้องให้เจ้า—ซึ่งเป็นหนึ่งในสรรพสิ่งทรงสร้างของพระองค์—มาตัดสินใจให้กระนั้นหรือ?  พระนามที่พระเจ้าใช้ก็คือพระนามที่สอดคล้องกับสิ่งที่มนุษย์สามารถทำความเข้าใจได้ สอดคล้องกับภาษาของมวลมนุษย์ แต่พระนามนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถสรุปความได้  เจ้าสามารถพูดได้เพียงว่ามีพระเจ้าในสวรรค์ ว่าพระองค์ทรงได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้า ว่าพระองค์คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ ทรงพระปัญญายิ่งนัก เป็นที่ยกย่องยิ่งนัก มหัศจรรย์ยิ่งนัก  ล้ำลึกยิ่งนัก และทรงมหิทธิฤทธิ์ยิ่งนักเท่านั้น แล้วจากนั้นเจ้าก็ไม่สามารถพูดมากไปกว่านี้ได้อีก สิ่งเล็กๆ น้อยๆ นี้คือทั้งหมดที่เจ้าสามารถรู้ได้  เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เพียงแค่พระนามของพระเยซูจะสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าพระองค์เองได้หรือ?  เมื่อยุคสุดท้ายมาถึง แม้ว่าพระเจ้าจะยังคงทรงพระราชกิจของพระองค์ แต่พระนามของพระองค์ต้องเปลี่ยนไป เพราะเป็นยุคที่แตกต่างออกไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 43

เมื่อพระเยซูเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ การนั้นอยู่ภายใต้การชี้นำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทรงทำตามที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงต้องประสงค์ และมิได้เป็นไปตามยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิม หรือตามพระราชกิจของพระยาห์เวห์  ถึงแม้ว่าพระราชกิจที่พระเยซูเสด็จมาทำนั้นมิใช่เพื่อปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์หรือพระบัญญัติของพระยาห์เวห์ แต่ต้นกำเนิดของทั้งสองพระองค์ก็คือหนึ่งเดียวกัน  พระราชกิจที่พระเยซูทำเป็นตัวแทนพระนามของพระเยซู และเป็นตัวแทนยุคพระคุณ ส่วนพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำก็เป็นตัวแทนของพระยาห์เวห์ และเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ  พระราชกิจของทั้งสองพระองค์คือพระราชกิจของพระวิญญาณหนึ่งเดียวในสองยุคที่แตกต่างกัน  พระราชกิจที่พระเยซูทำสามารถเป็นตัวแทนเฉพาะยุคพระคุณเท่านั้น และพระราชกิจที่พระยาห์เวห์ทำก็สามารถเป็นตัวแทนเฉพาะยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิม  พระยาห์เวห์เพียงทรงนำประชากรแห่งอิสราเอลและอียิปต์ และประชาชาติทั้งหมดนอกเหนือจากอิสราเอลเท่านั้น  พระราชกิจของพระเยซูในยุคพระคุณภาคพันธสัญญาใหม่คือพระราชกิจของพระเจ้าภายใต้พระนามของพระเยซูขณะที่พระองค์ทรงนำยุคนั้น  หากเจ้าพูดว่าพระราชกิจของพระเยซูมีพื้นฐานอยู่บนพระราชกิจของพระยาห์เวห์ ว่าพระองค์มิได้ริเริ่มพระราชกิจใหม่แต่อย่างใด และว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำล้วนเป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์ เป็นไปตามพระราชกิจของพระยาห์เวห์และคำเผยพระวจนะของอิสยาห์แล้วไซร้ พระเยซูก็คงมิใช่พระเจ้าผู้ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์  หากพระองค์ดำเนินพระราชกิจในหนทางนี้ พระองค์ก็คงจะทรงเป็นอัครทูตหรือคนทำงานแห่งยุคธรรมบัญญัติ  หากเป็นไปตามที่เจ้าพูดแล้วไซร้ พระเยซูก็ย่อมจะไม่สามารถเปิดตัวยุคได้ และพระองค์ย่อมจะไม่สามารถทำพระราชกิจอื่นได้  ในหนทางเดียวกันนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องทรงพระราชกิจของพระองค์ผ่านทางพระยาห์เวห์เป็นหลัก และหากไม่ผ่านทางพระยาห์เวห์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่สามารถทรงพระราชกิจใหม่  การที่มนุษย์เข้าใจพระราชกิจของพระเยซูในหนทางนี้ย่อมผิด  หากมนุษย์เชื่อว่าพระราชกิจที่พระเยซูทำนั้นเป็นไปตามพระวจนะของพระยาห์เวห์และคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ เช่นนั้นแล้ว พระเยซูคือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ หรือว่าพระองค์ทรงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้เผยพระวจนะกันแน่?  ตามมุมมองนี้ย่อมจะไม่มียุคพระคุณ และพระเยซูก็จะมิใช่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทำไม่สามารถเป็นตัวแทนยุคพระคุณได้ และเป็นได้เพียงตัวแทนของยุคธรรมบัญญัติภาคพันธสัญญาเดิมเท่านั้น  เมื่อพระเยซูเสด็จมาทรงพระราชกิจใหม่เพื่อเปิดตัวยุคใหม่ เพื่อฝ่าพ้นพระราชกิจเดิมที่ทำไว้ในอิสราเอล และเพื่อดำเนินพระราชกิจโดยไม่ตามรอยพระราชกิจที่พระยาห์เวห์เคยทำในอิสราเอล หรือตามกฎเกณฑ์เก่าๆ ของพระยาห์เวห์ หรือทำตามกฎระเบียบใดๆ  แต่กลับเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจใหม่ที่พระองค์ควรทำ ก็ย่อมมีได้แต่เพียงยุคใหม่เท่านั้น  พระเจ้าพระองค์เองเสด็จมาเพื่อเปิดตัวยุคใหม่ และพระเจ้าพระองค์เองเสด็จมาเพื่อนำยุคให้ไปถึงปลายทาง  มนุษย์ไม่สามารถทำงานแห่งการเริ่มต้นยุคและสรุปปิดตัวยุคได้  หากพระเยซูมิได้สิ้นสุดพระราชกิจของพระยาห์เวห์หลังจากที่พระองค์เสด็จมา เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมจะเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่งและไม่สามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้  เป็นเพราะพระเยซูได้เสด็จมาและสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระยาห์เวห์ สานต่อพระราชกิจของพระยาห์เวห์ และยิ่งไปกว่านั้น ได้ดำเนินพระราชกิจของพระองค์เองซึ่งเป็นพระราชกิจใหม่โดยแท้ จึงพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คือยุคใหม่และพระเยซูคือพระเจ้าพระองค์เอง  ทั้งสองพระองค์ทรงพระราชกิจสองช่วงระยะที่แตกต่างกันอย่างชัดแจ้ง  ช่วงระยะหนึ่งดำเนินการในพระวิหาร และอีกช่วงระยะหนึ่งดำเนินการนอกพระวิหาร  ช่วงระยะหนึ่งเป็นไปเพื่อนำวิถีชีวิตมนุษย์ให้สอดคล้องกับธรรมบัญญัติ และอีกช่วงระยะหนึ่งเป็นไปเพื่อมอบถวายเครื่องบูชาลบล้างบาป  พระราชกิจสองช่วงระยะนี้แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด การนี้แบ่งแยกยุคใหม่ออกจากยุคเก่า และย่อมถูกต้องที่สุดที่จะกล่าวว่าทั้งสองคือสองยุคที่แตกต่างกัน  ที่ตั้งของพระราชกิจของทั้งสองพระองค์ก็แตกต่าง และเนื้อหาของพระราชกิจของทั้งสองพระองค์ก็แตกต่าง และวัตถุประสงค์ของพระราชกิจของทั้งสองพระองค์ก็แตกต่างกัน  เมื่อเป็นดังนี้แล้ว พระราชกิจจึงสามารถแบ่งออกได้เป็นสองยุค กล่าวคือ พันธสัญญาใหม่และพันธสัญญาเดิม ซึ่งหมายถึงยุคใหม่และยุคเก่า  เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์มิได้เสด็จเข้าไปในพระวิหาร ซึ่งพิสูจน์ว่ายุคของพระยาห์เวห์ได้สิ้นสุดไปแล้ว  พระองค์มิได้เสด็จเข้าสู่พระวิหารเพราะพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในพระวิหารได้เสร็จสิ้นไปแล้ว และไม่จำเป็นที่จะต้องทำอีกครั้ง และการทำอีกครั้งย่อมจะเป็นการทำซ้ำ  มีเพียงด้วยการออกจากพระวิหาร เริ่มต้นพระราชกิจใหม่ และเปิดตัวเส้นทางใหม่ภายนอกพระวิหารเท่านั้นที่พระองค์จะสามารถพาพระราชกิจของพระเจ้าไปสู่จุดสูงสุดของตัวพระราชกิจได้  หากพระองค์มิได้ออกจากพระวิหารเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ พระราชกิจของพระเจ้าก็คงจะย่ำอยู่บนฐานรากของพระวิหาร และคงจะไม่มีวันเกิดความเปลี่ยนแปลงใหม่อันใด  และดังนั้นเมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์จึงมิได้เสด็จเข้าสู่พระวิหาร และมิได้ทรงพระราชกิจของพระองค์ในพระวิหาร พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์นอกพระวิหาร และทรงนำทางสาวกทั้งหลายไปเริ่มพระราชกิจของพระองค์อย่างอิสระ การที่พระเจ้าเสด็จออกจากพระวิหารเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์หมายความว่าพระเจ้าทรงมีแผนการใหม่ พระราชกิจของพระองค์จะต้องดำเนินการภายนอกพระวิหาร และต้องเป็นพระราชกิจใหม่ที่ไม่ถูกจำกัดควบคุมในแง่ของการดำเนินการ  ทันทีที่พระเยซูเสด็จมาถึง พระองค์ก็ทรงสิ้นสุดพระราชกิจของพระยาห์เวห์ในระหว่างยุคพันธสัญญาเดิม  ถึงแม้ว่าทั้งสองพระองค์มีสองพระนามที่แตกต่างกัน แต่ก็เป็นพระวิญญาณหนึ่งเดียวกันที่ทำให้พระราชกิจทั้งสองช่วงระยะสำเร็จลุล่วงไป และพระราชกิจที่ทำไปนั้นก็ดำเนินต่อเนื่องกัน  เมื่อพระนามแตกต่างกัน และเนื้อหาของพระราชกิจแตกต่างกัน ยุคจึงแตกต่างกัน  เมื่อพระยาห์เวห์เสด็จมา นั่นคือยุคของพระยาห์เวห์ และเมื่อพระเยซูเสด็จมา นั่นก็คือยุคของพระเยซู  และดังนั้น ด้วยการเสด็จมาแต่ละครั้ง พระเจ้าจึงใช้พระนามหนึ่ง พระองค์ทรงแทนยุคหนึ่ง และพระองค์ทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ และในเส้นทางใหม่แต่ละเส้นทางนั้น พระองค์ก็ใช้พระนามใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงใหม่อยู่เสมอและไม่มีวันเก่า และแสดงให้เห็นว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่มีวันหยุดเคลื่อนไปในทิศทางข้างหน้า  ประวัติศาสตร์เคลื่อนไปข้างหน้าอยู่เสมอ และพระราชกิจของพระเจ้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าเสมอ  แผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระองค์ต้องก้าวหน้าต่อไปในทิศทางข้างหน้าเพื่อให้บรรลุถึงปลายทาง  แต่ละวันพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ แต่ละปีพระองค์ต้องทรงพระราชกิจใหม่ พระองค์ต้องทรงเปิดตัวเส้นทางใหม่ เปิดตัวยุคใหม่ เริ่มต้นพระราชกิจใหม่ที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และนำพระนามใหม่และพระราชกิจใหม่มาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (3)

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 44

“พระยาห์เวห์” คือชื่อที่เราใช้ในช่วงระหว่างงานของเราในอิสราเอล และหมายถึงพระเจ้าของคนอิสราเอล (ประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร) ที่สามารถเวทนามนุษย์ สาปแช่งมนุษย์ และนำทางชีวิตของมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงครองมหาฤทธานุภาพและเปี่ยมไปด้วยพระปรีชาญาณ “พระเยซู” คือ อิมมานูเอล ซึ่งหมายถึงเครื่องบูชาลบล้างบาปอันเปี่ยมไปด้วยความรัก เปี่ยมไปด้วยความสงสาร และไถ่บาปให้มนุษย์ พระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจของยุคพระคุณ และพระองค์ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และสามารถเป็นตัวแทนได้เพียงหนึ่งส่วนของพระราชกิจของแผนการบริหารจัดการเท่านั้น กล่าวคือ พระยาห์เวห์เท่านั้นที่ทรงเป็นพระเจ้าของประชากรแห่งอิสราเอลผู้ได้รับการเลือกสรร พระเจ้าของอับราฮัม พระเจ้าของอิสอัค พระเจ้าของยาโคบ พระเจ้าของโมเสส และพระเจ้าของประชาชนทั้งหมดของประเทศอิสราเอล และดังนั้น ในยุคปัจจุบัน คนอิสราเอลทุกคน นอกเหนือจากผู้คนชาวยิว จึงนมัสการพระยาห์เวห์ พวกเขาทำเครื่องถวายแด่พระองค์บนแท่นบูชาและรับใช้พระองค์ในวิหารโดยสวมเสื้อคลุมของพวกปุโรหิตทั้งหลาย สิ่งที่พวกเขาหวังก็คือการทรงปรากฏใหม่ของพระยาห์เวห์ พระเยซูเท่านั้นคือพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์ และพระองค์ทรงเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปที่ได้ไถ่มวลมนุษย์ให้พ้นจากบาป กล่าวคือ พระนามของพระเยซูมาจากยุคพระคุณและได้มาดำรงอยู่เพราะพระราชกิจแห่งการไถ่ในยุคพระคุณ พระนามของพระเยซูได้มาดำรงอยู่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนของยุคพระคุณได้เกิดใหม่และได้รับการช่วยให้รอด และเป็นพระนามเฉพาะสำหรับการไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวง ด้วยเหตุนี้ พระนามของพระเยซูจึงเป็นตัวแทนพระราชกิจแห่งการไถ่ และบ่งบอกถึงยุคพระคุณ พระนามพระยาห์เวห์เป็นชื่อเฉพาะสำหรับประชาชนอิสราเอลที่ได้ใช้ชีวิตภายใต้ธรรมบัญญัติ ในแต่ละยุคและแต่ละช่วงระยะในงานของเรา ชื่อของเรานั้นใช่ว่าไม่มีพื้นฐานที่มา แต่ถือครองนัยสำคัญเชิงตัวแทน กล่าวคือ แต่ละชื่อเป็นตัวแทนหนึ่งยุค “พระยาห์เวห์” ทรงเป็นตัวแทนยุคธรรมบัญญัติ และเป็นพระนามซึ่งแสดงการถวายพระเกียรติซึ่งประชาชนอิสราเอลใช้เรียกพระเจ้าผู้ที่พวกเขานมัสการ  “พระเยซู” ทรงเป็นตัวแทนยุคพระคุณ และเป็นพระนามของพระเจ้าของทุกคนที่ได้รับการไถ่ในช่วงระหว่างยุคพระคุณ หากมนุษย์ยังคงถวิลหาการเสด็จมาถึงของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดในช่วงระหว่างยุคสุดท้าย และยังคงคาดหวังว่าพระองค์จะเสด็จมาถึงในพระฉายาที่พระองค์ทรงใช้ในแคว้นยูเดีย เช่นนั้นแล้วแผนการบริหารจัดการสำหรับหกพันปีทั้งหมดทั้งสิ้นก็คงจะหยุดลงไปแล้วในยุคแห่งการไถ่ และคงไม่อาจคืบหน้าไปได้มากกว่านั้น ยิ่งไปกว่านั้น ยุคสุดท้ายจะไม่มีวันมาถึง และยุคนั้นจะไม่มีวันถูกนำพาไปถึงบทอวสาน นี่เป็นเพราะพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดทรงดำรงอยู่เพื่อการไถ่และความรอดของมวลมนุษย์เท่านั้น เราได้ใช้ชื่อพระเยซูเพียงเพื่อประโยชน์ของคนบาปทั้งหมดในยุคพระคุณเท่านั้น แต่ไม่ใช่ชื่อที่เราจะใช้เพื่อนำพามวลมนุษย์ทั้งปวงไปสู่บทอวสาน แม้ว่าพระยาห์เวห์ พระเยซู และพระเมสสิยาห์ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนวิญญาณของเราทั้งสิ้น แต่ชื่อเหล่านี้ก็แค่แสดงถึงยุคที่แตกต่างกันของแผนการบริหารจัดการของเราเท่านั้น และไม่ได้เป็นตัวแทนเราในความครบถ้วนทั้งมวลของเรา ชื่อต่างๆ ซึ่งผู้คนบนแผ่นดินโลกใช้เรียกขานเราไม่สามารถแสดงชัดถึงอุปนิสัยครบถ้วนทั้งมวลของเราและทุกอย่างที่เราเป็นได้ ชื่อเหล่านั้นเป็นเพียงชื่อต่างๆ ซึ่งผู้คนใช้เรียกขานเราระหว่างยุคที่ต่างกันเท่านั้น และดังนั้น เมื่อยุคสุดท้าย—ยุคแห่งวันสุดท้าย—มาถึง ชื่อของเราก็จะเปลี่ยนอีกครั้ง เราจะไม่ถูกเรียกว่าพระยาห์เวห์ หรือพระเยซู นับประสาอะไรที่จะเรียกว่าพระเมสสิยาห์—เราจะถูกเรียกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงฤทธานุภาพพระองค์เอง และภายใต้ชื่อนี้เราจะนำยุคทั้งยุคไปสู่บทอวสาน ครั้งหนึ่งเราเคยเป็นที่รู้จักในนามพระยาห์เวห์ เรายังเคยถูกเรียกว่าพระเมสสิยาห์เช่นกัน และครั้งหนึ่งผู้คนเรียกเราว่าพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรักและความเคารพยกย่อง อย่างไรก็ดี ณ วันนี้ เราไม่ใช่พระยาห์เวห์หรือพระเยซูซึ่งผู้คนได้รู้จักในช่วงเวลาที่ผ่านมาอีกต่อไป เราคือพระเจ้าผู้ที่ได้กลับมาในยุคสุดท้าย พระเจ้าผู้ที่จะนำพายุคนี้ไปสู่บทอวสาน เราคือพระเจ้าพระองค์เองซึ่งลุกขึ้นมาจากสุดปลายแผ่นดินโลก สมบูรณ์พร้อมด้วยอุปนิสัยอันครบถ้วนทั้งมวลของเรา และเต็มเปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจ เกียรติ และสง่าราศี ผู้คนไม่เคยเข้ามาร่วมสัมพันธ์กับเรา ไม่เคยได้รู้จักเรา และไม่รู้เท่าทันในอุปนิสัยของเราตลอดเวลา ตั้งแต่การสร้างโลกจนกระทั่งวันนี้ ไม่มีบุคคลสักคนเดียวที่เคยเห็นเรา นี่คือพระเจ้าผู้ที่ทรงปรากฏต่อมนุษย์ในยุคสุดท้ายแต่ได้ทรงถูกซ่อนไว้ท่ามกลางมนุษย์ พระองค์ทรงอาศัยอยู่ท่ามกลางมนุษย์ ทรงเที่ยงแท้และเป็นจริง ดุจดวงสุรีย์ที่แผดเผาและเปลวเพลิงที่ลุกโชน ทรงเปี่ยมด้วยฤทธานุภาพและปริ่มล้นด้วยสิทธิอำนาจ ไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกพิพากษาโดยวจนะของเรา และไม่มีแม้แต่คนเดียวหรือสิ่งเดียวที่จะไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ผ่านทางการแผดเผาของไฟ ในท้ายที่สุด ชนชาติทั้งมวลจะได้รับการอวยพรเพราะวจนะของเรา และจะถูกทุบจนแหลกเป็นชิ้นๆ เพราะวจนะของเราเช่นกัน ด้วยวิธีนี้ ผู้คนทั้งหมดในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายจะเห็นว่าเราคือพระผู้ช่วยให้รอดที่ได้กลับมา และเห็นว่าเราคือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซึ่งพิชิตมวลมนุษย์ทั้งปวง และทุกคนจะเห็นว่าครั้งหนึ่งเราคือเครื่องบูชาลบล้างบาปสำหรับมนุษย์ แต่เห็นว่าในยุคสุดท้ายเรายังได้กลายเป็นเปลวเพลิงแห่งสุริยันซึ่งเผาผลาญทุกสรรพสิ่งให้เป็นจุณเช่นเดียวกับองค์ตะวันแห่งความชอบธรรมซึ่งเปิดเผยทุกสรรพสิ่งด้วย นี่คืองานของเราในยุคสุดท้าย เราใช้ชื่อนี้และครองอุปนิสัยนี้เพื่อที่ผู้คนทั้งหมดจะได้เห็นว่าเราคือพระเจ้าที่ชอบธรรม ดวงสุรีย์ที่แผดเผา เปลวเพลิงที่ลุกโชน และเพื่อที่ทุกคนจะได้นมัสการเรา พระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว และเพื่อที่พวกเขาจะได้เห็นใบหน้าที่แท้จริงของเรา เราไม่ใช่เพียงแค่พระเจ้าของคนอิสราเอลเท่านั้น และเราไม่ใช่เพียงพระผู้ไถ่ เราคือพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวลทั่วทั้งฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและห้วงทะเล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว

พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน  บทตัดตอน 45

หากพระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จมาถึงในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายและยังคงถูกเรียกว่าพระเยซู และทรงถือกำเนิดอีกครั้งในแคว้นยูเดียและทรงกระทำพระราชกิจของพระองค์ที่นั่น เช่นนั้นแล้วนี่คงจะพิสูจน์ว่าเราแค่สร้างประชาชนอิสราเอลขึ้นมาเท่านั้นและแค่ไถ่ประชาชนอิสราเอลเท่านั้น และพิสูจน์ว่าเราไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับประชาชาติทั้งหลาย นี่จะไม่ย้อนแย้งกับถ้อยคำของเราว่า “เราคือองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ที่ได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง” หรอกหรือ?  เราได้ทิ้งแคว้นยูเดียมาและทำงานของเราท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายเพราะเราไม่ใช่แค่พระเจ้าของประชาชนอิสราเอลเท่านั้น แต่เป็นพระเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวล เราปรากฏท่ามกลางประชาชาติทั้งหลายในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายเพราะเราไม่ใช่แค่พระยาห์เวห์ พระเจ้าของประชาชนอิสราเอลเท่านั้นแต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ เพราะเราคือพระผู้สร้างของบรรดาผู้ที่ถูกเลือกสรรของเราทั้งหมดท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย เราไม่เพียงแค่ได้สร้างอิสราเอล อียิปต์ และเลบานอนเท่านั้น แต่ยังได้สร้างประชาชาติทั้งหลายนอกเหนือไปจากอิสราเอลเช่นกัน เพราะเหตุนี้ เราจึงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของสิ่งทรงสร้างทั้งมวล เราเพียงแต่ใช้อิสราเอลเป็นจุดเริ่มต้นสำหรับงานของเรา ใช้แคว้นยูเดียและแคว้นกาลิลีเป็นฐานที่มั่นสำหรับงานแห่งการไถ่ของเรา และบัดนี้เราใช้ประชาชาติทั้งหลายเป็นฐานที่เราจะนำพายุคทั้งยุคไปสู่บทอวสาน เราได้ทำงานสองช่วงระยะในอิสราเอล (งานสองช่วงระยะนี้คือยุคธรรมบัญญัติและยุคพระคุณ) และเราได้ดำเนินงานอีกสองช่วงระยะเพิ่มเติมจนเสร็จสิ้น (ยุคพระคุณและยุคแห่งราชอาณาจักร) ไปทั่วแผ่นดินทั้งหลายนอกเหนืออิสราเอล ท่ามกลางประชาชาติทั้งหลาย เราจะทำงานแห่งการพิชิตชัย และดังนั้นจะสรุปปิดตัวยุคนี้ หากมนุษย์เรียกเราว่าพระเยซูคริสต์ตลอดเวลา แต่ไม่รู้ว่าเราได้เริ่มต้นยุคใหม่แล้วในช่วงระหว่างยุคสุดท้ายและได้เริ่มลงมือดำเนินการงานใหม่แล้ว และหากมนุษย์ยังคงหมกมุ่นรอคอยการมาถึงของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดอยู่ต่อไป เช่นนั้นแล้วเราจะเรียกผู้คนเยี่ยงคนพวกนี้ว่าผู้ที่ไม่เชื่อในเรา พวกเขาคือผู้คนที่ไม่รู้จักเรา และการเชื่อในเราของพวกเขาก็เป็นเท็จ ผู้คนเช่นนี้จะสามารถเป็นพยานการเสด็จมาถึงของพระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดจากสวรรค์ได้อย่างไร?  สิ่งที่พวกเขารอคอยนั้นไม่ใช่การมาถึงของเรา แต่เป็นการมาถึงของกษัตริย์ของพวกยิว พวกเขาไม่ได้โหยหาให้เราทำลายล้างโลกเก่าอันไม่บริสุทธิ์นี้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับถวิลหาการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซู เพื่อที่พวกเขาจะได้รับการไถ่ พวกเขาตั้งตาคอยที่จะให้พระเยซูทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงจากแผ่นดินที่มีมลทินและไม่ชอบธรรมแห่งนี้อีกครั้งหนึ่ง ผู้คนเช่นนี้จะสามารถกลายเป็นคนที่ทำงานของเราให้เสร็จสมบูรณ์ในยุคสุดท้ายได้อย่างไร?  ความอยากได้อยากมีทั้งหลายของมนุษย์ไม่สามารถทำให้ความปรารถนาของเราลุล่วงหรือทำให้งานของเราสำเร็จลุล่วงได้ เพราะมนุษย์ก็แค่เลื่อมใสหรือทะนุถนอมงานที่เราได้ทำก่อนหน้านั้นเท่านั้น และไม่รู้เลยว่าเราคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ที่ใหม่เสมอและไม่เคยเก่าเลย มนุษย์รู้เพียงแค่ว่าเราคือพระยาห์เวห์ และพระเยซู และไม่เฉลียวใจเลยว่าเราคือองค์หนึ่งเดียวแห่งยุคสุดท้ายที่จะนำมวลมนุษย์ไปสู่บทอวสาน ทั้งหมดที่มนุษย์โหยหาและรู้จักนั้นมาจากมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง และเป็นแค่สิ่งซึ่งพวกเขาสามารถเห็นได้ด้วยตาของพวกเขาเองเท่านั้น มันไม่อยู่ในแนวเดียวกับงานที่เราทำ ซึ่งไม่กลมกลืนไปกับมัน หากงานของเราถูกดำเนินการไปตามแนวความคิดของมนุษย์ เช่นนั้นแล้วเมื่อไรมันจะจบสิ้น  เมื่อใดมวลมนุษย์จึงจะเข้าสู่การหยุดพัก?  และเราจะสามารถเข้าสู่วันที่เจ็ด วันสะบาโต ได้อย่างไร?  เราทำงานตามแผนการของเราและตามจุดประสงค์ของเรา—ไม่ใช่ตามเจตนาของมนุษย์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระผู้ช่วยให้รอดได้เสด็จกลับมาบน “เมฆขาว” แล้ว

ก่อนหน้า: อารัมภบท

ถัดไป: การทรงปรากฎและพระราชกิจของพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger