พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

งานของมนุษย์มากเท่าใดที่เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และมากเท่าใดที่เป็นประสบการณ์ของมนุษย์?  อาจกล่าวได้ว่าผู้คนยังคงไม่เข้าใจคำถามเหล่านี้ และเหตุผลสำหรับการนั้นก็คือ พวกเขาไม่เข้าใจหลักการในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เมื่อเราพูดว่า “งานของมนุษย์” แน่นอนว่าเรากำลังอ้างอิงถึงงานของบรรดาผู้ที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือบรรดาผู้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งาน  เราไม่ได้กำลังอ้างอิงถึงพระราชกิจที่มีต้นกำเนิดมาจากเจตจำนงของมนุษย์ แต่อ้างอิงถึงงานของอัครทูต ผู้ทำงาน หรือพี่น้องชายหญิงธรรมดาที่อยู่ภายในวงเขตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ในที่นี้ “งานของมนุษย์” ไม่ได้อ้างอิงถึงพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่อ้างอิงถึงวงเขตและหลักการในพระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิบัติต่อผู้คน  ถึงแม้ว่าหลักการเหล่านี้เป็นหลักการและวงเขตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ได้เหมือนกันกับหลักการและวงเขตของพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  งานของมนุษย์มีเนื้อแท้และหลักการของมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้ามีเนื้อแท้และหลักการของพระเจ้า

พระราชกิจในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นพระราชกิจของพระเจ้าเองหรืองานของผู้คนที่กำลังได้รับการใช้งาน ต่างก็เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  แก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เองคือพระวิญญาณ ซึ่งสามารถเรียกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพระวิญญาณซึ่งทรงแกร่งกล้าขึ้นเป็นเจ็ดเท่า  โดยรวมแล้ว ทั้งหมดนั้นคือพระวิญญาณของพระเจ้า ถึงแม้ว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะถูกเรียกขานด้วยพระนามต่างกัน ในยุคสมัยที่แตกต่างกันก็ตาม  แก่นแท้ของพระวิญญานเหล่านั้นก็ยังคงเป็นหนึ่งเดียว  ดังนั้น พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองคือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ส่วนพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ก็ไม่ใช่อะไรอื่น คือพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจ  งานของผู้คนที่ได้รับการใช้งานก็เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเดียวกัน  กระนั้นพระราชกิจของพระเจ้าก็เป็นการแสดงออกอย่างครบบริบูรณ์ถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งแท้จริงอย่างแน่นอน ในขณะที่งานของผู้คนที่ถูกใช้งานย่อมมีสิ่งต่างๆ มากมายที่เป็นของมนุษย์ผสมอยู่ และไม่ได้เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และยิ่งไม่ใช่การแสดงออกอย่างครบบริบูรณ์ของพระองค์  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีความหลากหลายและไม่ถูกจำกัดด้วยสภาพเงื่อนไขใดๆ  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์แตกต่างออกไปในผู้คนที่แตกต่าง พระราชกิจนี้สำแดงถึงแก่นแท้ที่แตกต่าง และพระราชกิจนี้แตกต่างกันไปตามแต่ละยุคสมัยและตามประเทศ  แน่นอนว่าถึงแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในหลายวิธีที่แตกต่างกันและตามหลักการมากมาย แต่ไม่ว่าพระราชกิจนั้นจะดำเนินการอย่างไรต่อผู้คนประเภทใด แก่นแท้ของพระราชกิจนั้นก็แตกต่างเสมอ  พระราชกิจทั้งหมดที่ได้รับการทำต่อผู้คนที่แตกต่างกันต่างก็มีหลักการของมัน และทั้งหมดนั้นสามารถเป็นตัวแทนของแก่นแท้ของวัตถุประสงค์ของพระราชกิจนั้น  นี่เป็นเพราะว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ค่อนข้างมีวงเขตที่เฉพาะเจาะจงและค่อนข้างผ่านการไตร่ตรองรอบคอบ  พระราชกิจที่ได้รับการดำเนินการในเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ไม่ใช่อย่างเดียวกันกับพระราชกิจที่ทรงดำเนินการต่อผู้คน และพระราชกิจนั้นก็แตกต่างออกไปตามขีดความสามารถของบุคคลที่พระราชกิจนั้นดำเนินการด้วยเช่นกัน  พระราชกิจที่ได้รับการดำเนินการในเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ไม่ได้ดำเนินการต่อผู้คน และไม่ใช่อย่างเดียวกันกับพระราชกิจที่ได้รับการดำเนินการต่อผู้คน  กล่าวอย่างสั้นๆ คือ ไม่สำคัญว่าพระราชกิจจะได้รับการดำเนินการอย่างไร พระราชกิจที่ปฏิบัติต่อวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันไม่มีวันเป็นอย่างเดียวกัน และหลักการที่พระองค์ทรงพระราชกิจก็แตกต่างกันตามสภาวะและธรรมชาติของผู้คนที่แตกต่างกันที่พระองค์ทรงพระราชกิจ  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจต่อผู้คนที่แตกต่างกันตามเนื้อแท้โดยธรรมชาติของพวกเขา และไม่ทรงเรียกร้องสิ่งที่เกินจากเนื้อแท้นั้นจากพวกเขา อีกทั้งพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจที่เกินจากขีดความสามารถโดยธรรมชาติของพวกเขาต่อพวกเขา  ดังนั้น พระราชกิจต่อมนุษย์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดโอกาสให้ผู้คนสามารถมองเห็นแก่นแท้ของวัตถุประสงค์ของพระราชกิจนั้น  แก่นแท้โดยธรรมชาติของมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง ขีดความสามารถโดยธรรมชาติของเขามีจำกัด  พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้ผู้คนหรือทรงพระราชกิจต่อพวกเขาตามข้อจำกัดของขีดความสามารถของพวกเขา เพื่อที่ว่าพวกเขาอาจได้รับประโยชน์จากสิ่งนั้น  เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจต่อผู้คนที่กำลังได้รับการใช้งาน พรสวรรค์และขีดความสามารถโดยธรรมชาติของผู้คนเหล่านั้นได้รับการปลดปล่อย ไม่ได้ยับยั้งไว้  ขีดความสามารถโดยธรรมชาติของพวกเขาถูกนำมาใช้ในการปรนนิบัติของพระราชกิจ  อาจกล่าวได้ว่าพระองค์ทรงใช้ส่วนต่างๆ ของมนุษย์ที่สามารถนำมาใช้ในพระราชกิจของพระองค์ได้เพื่อให้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในพระราชกิจนั้น  ในทางตรงกันข้าม พระราชกิจที่ดำเนินการในเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์นั้นแสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณโดยตรง และไม่เจือปนด้วยความคิดและจิตใจของมนุษย์  ทั้งพรสวรรค์ของมนุษย์ ประสบการณ์ของมนุษย์ และสภาพเงื่อนไขภายในของมนุษย์ไม่สามารถบรรลุไปถึงพระราชกิจนั้นได้  พระราชกิจมากมายทั้งหมดของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีจุดหมายเพื่อให้ประโยชน์และเสริมสร้างมนุษย์  อย่างไรก็ตาม ผู้คนบางคนสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีสภาพเงื่อนไขสำหรับการทำให้มีความเพียบพร้อม ซึ่งหมายความว่าพวกเขาไม่สามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ และแทบจะไม่สามารถช่วยให้รอดได้ และถึงแม้ว่าพวกเขาอาจเคยได้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในท้ายที่สุดแล้วพวกเขาจะถูกขับออกไป  นี่จึงกล่าวได้ว่า ถึงแม้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการเสริมสร้างผู้คน แต่คนเราไม่สามารถกล่าวได้ว่าทุกคนที่ได้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมอย่างครบบริบูรณ์ เพราะเส้นทางที่ผู้คนเดินตามในการไล่ตามเสาะหาของพวกเขานั้นไม่ใช่เส้นทางของการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  พวกเขามีได้เพียงพระราชกิจแต่เพียงฝ่ายเดียวของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น ไม่ใช่การร่วมมือที่เป็นนามธรรมของมนุษย์หรือการไล่ตามเสาะหาที่ถูกต้องของมนุษย์  ดังนั้น พระราชกิจต่อผู้คนเหล่านี้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงมาเพื่อปรนนิบัติผู้ที่กำลังได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  ผู้คนไม่สามารถมองเห็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้โดยตรง อีกทั้งไม่สามารถรู้สึกถึงพระราชกิจได้โดยตรง  พระราชกิจนี้สามารถแสดงออกได้โดยพวกที่ได้รับพรสวรรค์ของพระราชกิจเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้รับการจัดเตรียมให้กับผู้ติดตามโดยผ่านทางการแสดงออกที่ผู้คนทำ

พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้รับการทำให้สำเร็จลุล่วงและครบบริบูรณ์โดยผ่านทางผู้คนหลายชนิดและสภาพเงื่อนไขที่แตกต่างหลากหลาย  ถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของทั้งยุคสมัย และสามารถเป็นตัวแทนของการเข้าสู่ของผู้คนในทั้งยุคสมัยได้ แต่พระราชกิจเกี่ยวกับรายละเอียดการเข้าสู่ของผู้คนยังคงจำเป็นต้องได้รับการดำเนินการโดยพวกมนุษย์ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงใช้งาน ไม่ใช่โดยพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  ดังนั้น พระราชกิจของพระเจ้าหรือพันธกิจของพระเจ้าเองคือพระราชกิจของเนื้อหนังที่พระเจ้าทรงจุติมาเป็นมนุษย์ ซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้  พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้รับการดำเนินการครบบริบูรณ์โดยผ่านทางผู้คนหลายชนิดที่แตกต่าง ไม่มีบุคคลใดแม้สักคนที่จะสามารถสัมฤทธิ์พระราชกิจอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ได้ และไม่มีบุคคลใดแม้สักคนที่จะสามารถแสดงออกถึงพระราชกิจอย่างครบบริบูรณ์ได้  บรรดาผู้ที่นำคริสตจักรก็ไม่สามารถเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ได้เช่นกัน  พวกเขาสามารถทำงานการเป็นผู้นำได้เพียงบางอย่างเท่านั้น  ดังนั้น พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงได้รับการแบ่งออกเป็นสามส่วน กล่าวคือ  พระราชกิจของพระเจ้าเอง พระราชกิจที่ดำเนินการโดยผู้คนที่ได้รับการใช้งาน และพระราชกิจที่ดำเนินการต่อผู้คนทั้งหมดในกระแสของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พระราชกิจของพระเจ้าเองคือการนำทั้งยุคสมัย ส่วนพระราชกิจที่ดำเนินการโดยบรรดาผู้ที่ได้รับการใช้งานคือการนำผู้ติดตามทั้งหมดของพระเจ้าโดยการได้รับการส่งหรือได้รับพระบัญชาหลังจากที่พระเจ้าทรงทำพระราชกิจของพระองค์เอง และเหล่านี้คือผู้ที่ให้ความร่วมมือกับพระราชกิจของพระเจ้า พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินการต่อผู้ที่อยู่ในกระแสคือการรักษาพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์เอง นั่นคือ การรักษาการบริหารจัดการทั้งหมดของพระองค์และคำพยานของพระองค์ ในขณะเดียวกันก็ทำให้ผู้ที่สามารถทำให้มีความเพียบพร้อมได้เพียบพร้อมไปพร้อมกัน  โดยรวมแล้ว สามส่วนนี้คือพระราชกิจที่ครบบริบูรณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่หากปราศจากพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองแล้ว พระราชกิจแห่งการบริหารจัดการจะหยุดนิ่งไปทั้งหมด  พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองเกี่ยวพันกับงานของมวลมนุษย์ทั้งปวง และยังเป็นสิ่งแทนพระราชกิจของทั้งยุคสมัยด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่าพระราชกิจของพระเจ้าเองเป็นตัวแทนพลวัตและทิศทางทุกอย่างในพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในขณะที่งานของอัครทูตย่อมเกิดขึ้นหลังพระราชกิจของพระเจ้าเองและตามรอยพระราชกิจของพระเจ้าเอง และไม่ได้นำยุคสมัย อีกทั้งไม่ได้แสดงถึงทิศทางแห่งพระราชกิจทั้งยุคของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาเพียงทำงานที่มนุษย์ควรทำ ซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการเลย  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำด้วยพระองค์เองคือโครงการที่อยู่ภายในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ  ส่วนงานของมนุษย์เป็นเพียงหน้าที่ที่ผู้คนที่ถูกใช้งานย่อมทำให้ลุล่วง และไม่มีความเกี่ยวข้องกับพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการ  ถึงแม้ว่าจะมีข้อเท็จจริงว่าทั้งสองต่างก็เป็นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าเองและงานของมนุษย์ก็มีความแตกต่างที่ชัดเจนและมีความสำคัญเนื่องจากความแตกต่างในอัตลักษณ์และการเป็นตัวแทนของพระราชกิจนั้น  ยิ่งไปกว่านั้น ขอบเขตที่พระราชกิจที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงกระทำนั้นแตกต่างออกไปตามวัตถุที่มีอัตลักษณ์ที่แตกต่าง  เหล่านี้คือหลักการและวงเขตของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

งานของมนุษย์เป็นตัวแทนของประสบการณ์และสภาวะความเป็นมนุษย์ของเขา   สิ่งที่มนุษย์จัดเตรียมและงานที่เขาทำนั้นเป็นตัวแทนของตัวเขาเอง  ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกของมนุษย์ การใช้เหตุผลของมนุษย์ ตรรกะของมนุษย์ และจินตนาการอันอุดมของเขาทั้งหมดต่างรวมอยู่ในงานของเขา  ประสบการณ์ของมนุษย์นั้น สามารถที่จะเป็นตัวแทนของงานของมนุษย์ได้โดยเฉพาะ และประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งย่อมกลายเป็นส่วนประกอบของงานของเขา  งานของมนุษย์สามารถแสดงออกถึงประสบการณ์ของเขา  เมื่อผู้คนบางคนได้รับประสบการณ์ในแง่ลบ ภาษาส่วนใหญ่ในการสามัคคีธรรมของพวกเขาจะประกอบด้วยองค์ประกอบที่เป็นลบ  หากประสบการณ์ของพวกเขาในช่วงเวลาหนึ่งเป็นบวกและโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเขาครอบครองเส้นทางในแง่มุมที่เป็นบวก การสามัคคีธรรมของพวกเขาจะหนุนใจเป็นอย่างยิ่ง และผู้คนสามารถได้รับการจัดเตรียมที่เป็นบวกจากสิ่งเหล่านั้น  หากผู้ทำงานคนหนึ่งกลับกลายเป็นทางลบในช่วงระยะเวลาหนึ่ง การสามัคคีธรรมของเขาจะมีองค์ประกอบที่เป็นลบเสมอ  การสามัคคีธรรมประเภทนี้น่าหดหู่ และคนอื่นๆ จะกลายเป็นหดหู่โดยไม่รู้ตัวหลังจากการสามัคคีธรรมของเขา  สภาวะของผู้ติดตามเปลี่ยนแปลงไปโดยขึ้นอยู่กับสภาวะของผู้นำ  ไม่ว่าผู้ทำงานจะมีลักษณะอย่างไรภายใน นั่นคือสิ่งที่เขาแสดงออก และพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มักเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะของมนุษย์  พระองค์ทรงพระราชกิจตามประสบการณ์ของผู้คนและไม่ทรงบังคับพวกเขา แต่ทรงทำข้อเรียกร้องขอจากผู้คนตามช่วงระหว่างการได้รับประสบการณ์ตามปกติของพวกเขา  นี่จึงกล่าวได้ว่าการสามัคคีธรรมของมนุษย์นั้นแตกต่างจากพระวจนะของพระเจ้า  สิ่งที่ผู้คนสามัคคีธรรมสื่อถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของพวกเขาแต่ละคน โดยแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของพวกเขาบนพื้นฐานของพระราชกิจของพระเจ้า  ความรับผิดชอบของพวกเขาคือการค้นหาหลังจากที่พระเจ้าทรงพระราชกิจหรือตรัส ว่าสิ่งใดในนั้นที่พวกเขาควรปฏิบัติหรือเข้าสู่ และจากนั้นจึงส่งต่อสิ่งนั้นให้แก่ผู้ติดตาม  ดังนั้น งานของมนุษย์จึงเป็นตัวแทนการเข้าสู่และการปฏิบัติของพวกเขา  แน่นอนว่างานเช่นนั้นผสมผสานไปด้วยบทเรียนและประสบการณ์ของมนุษย์หรือความคิดบางประการของมนุษย์  ไม่ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร ไม่ว่าต่อมนุษย์หรือในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ แต่ผู้ทำงานจะแสดงออกถึงสิ่งที่พวกเขาเป็นเสมอ  ถึงแม้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงเป็นผู้ทรงพระราชกิจ แต่พระราชกิจนั้นมีรากฐานมาจากสิ่งที่มนุษย์เป็นโดยธรรมชาติ เพราะพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงดำเนินพระราชกิจโดยปราศจากรากฐาน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระราชกิจไม่ได้เกิดขึ้นมาเองดื้อๆ แต่กระทำขึ้นโดยสอดคล้องกับรูปการณ์แวดล้อมจริงแท้และสภาพเงื่อนไขที่เป็นจริงเสมอ  ในหนทางนี้เท่านั้นอุปนิสัยของมนุษย์จึงสามารถได้รับการแปลงสภาพ และมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของเขาและความคิดเก่าๆ ของเขาจึงเปลี่ยนแปลง  สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือสิ่งที่เขาเห็น ได้รับประสบการณ์ และสามารถจินตนาการได้ และเป็นสิ่งที่ความคิดของมนุษย์สามารถบรรลุได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นหลักทฤษฎีหรือมโนคติที่หลงผิดก็ตาม  งานของมนุษย์ไม่สามารถเกินวงเขตของประสบการณ์ของมนุษย์ สิ่งที่มนุษย์มองเห็น สิ่งที่มนุษย์สามารถจินตนาการหรือคิดฝันได้ ไม่ว่างานนั้นจะมีขนาดเท่าใดก็ตาม  ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือสิ่งที่พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็น และสิ่งนี้มนุษย์ไม่สามารถบรรลุได้—นั่นคือ สิ่งนี้เกินที่ความคิดของมนุษย์จะเอื้อมถึง  พระองค์ทรงแสดงออกถึงพระราชกิจของพระองค์ในการนำมวลมนุษย์ทั้งปวง และสิ่งนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับรายละเอียดของประสบการณ์ของมนุษย์ แต่มีความเกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการของพระองค์เองแทน  สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือประสบการณ์ของเขา ในขณะที่สิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกคือสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น ซึ่งก็คือพระอุปนิสัยประจำพระองค์ซึ่งอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์  ประสบการณ์ของมนุษย์คือความเข้าใจเชิงลึกและความรู้ที่เขาได้มาจากการแสดงออกของพระเจ้าถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  ความเข้าใจเชิงลึกและความรู้เช่นนั้นเรียกกันว่าสิ่งที่มนุษย์เป็น และพื้นฐานของการแสดงออกซึ่งความรู้ความเข้าใจนั้นคืออุปนิสัยโดยกำเนิดและขีดความสามารถของมนุษย์—นี่คือสาเหตุที่เรียกสิ่งเหล่านั้นว่าสิ่งที่มนุษย์เป็นด้วย  มนุษย์มีความสามารถที่จะสามัคคีธรรมในสิ่งที่เขาได้รับประสบการณ์และมองเห็น  ไม่มีใครสามารถสามัคคีธรรมในสิ่งที่พวกเขายังไม่ได้รับประสบการณ์ ยังไม่ได้มองเห็น หรือที่ความคิดของพวกเขาไม่สามารถเอื้อมถึงได้ สิ่งเหล่านั้นคือสิ่งที่พวกเขาไม่มีอยู่ภายในตัวพวกเขา  หากสิ่งที่มนุษย์แสดงออกไม่ได้มาจากประสบการณ์ของเขา นั่นก็จะเป็นจินตนาการหรือหลักทฤษฎีของเขา  กล่าวอย่างง่ายๆ คือ ไม่มีความเป็นจริงในคำพูดของเขา  หากเจ้าไม่เคยได้มาสัมผัสกับสิ่งต่างๆ ของสังคม เจ้าคงจะไม่สามารถสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของสังคมได้อย่างชัดเจน  หากเจ้าไม่มีครอบครัว เจ้าคงจะไม่เข้าใจส่วนใหญ่ที่พวกเขาพูดหากคนอื่นๆ พูดถึงเรื่องครอบครัว  ดังนั้นแล้ว สิ่งที่มนุษย์สามัคคีธรรมและงานที่เขาทำจึงเป็นตัวแทนถึงสิ่งที่เขาเป็นภายใน  หากมีใครบางคนได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับความเข้าใจที่เขามีเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา แต่เจ้าไม่ได้มีประสบการณ์ใดๆ เกี่ยวกับเรื่องนั้น เจ้าคงจะไม่กล้าปฏิเสธความรู้ของเขา แล้วนับประสาอะไรกับการที่เจ้าจะกล้ามั่นใจในเรื่องนั้นเต็มร้อย  นี่เป็นเพราะว่าการสามัคคีธรรมของพวกเขาเป็นบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่เคยได้รับประสบการณ์ บางสิ่งบางอย่างที่เจ้าไม่เคยรู้จัก และจิตใจของเจ้าไม่อาจจินตนาการถึงสิ่งนั้นได้  จากความรู้ของพวกเขา ทั้งหมดที่เจ้าสามารถรับมาได้คือเส้นทางของการก้าวผ่านการตีสอนและการพิพากษาในอนาคต  แต่เส้นทางนี้สามารถเป็นได้เพียงหนึ่งในความรู้เชิงหลักทฤษฎีเท่านั้น  สิ่งนั้นไม่สามารถเข้ามาแทนความเข้าใจของเจ้าเองได้ แล้วนับประสาอะไรกับประสบการณ์ของเจ้า  บางทีเจ้าคิดว่าสิ่งที่พวกเขาพูดนั้นค่อนข้างถูกต้อง แต่ในประสบการณ์ของเจ้าเองแล้ว เจ้าพบว่าสิ่งนั้นไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในหลายๆ วิธี  บางทีเจ้ารู้สึกว่าสิ่งที่เจ้าได้ยินมานั้นมีบางส่วนที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงโดยสิ้นเชิง เจ้าเก็บงำมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับเรื่องนั้นไว้ ณ ขณะนั้น และถึงแม้ว่าเจ้าจะยอมรับสิ่งนั้น แต่เจ้าก็ยอมรับอย่างลังเลเท่านั้น  แต่ในประสบการณ์ของเจ้าเองแล้ว ความรู้ที่เจ้าได้รับมโนคติที่หลงผิดกลายเป็นวิธีการปฏิบัติของเจ้า และยิ่งเจ้าปฏิบัติมากเท่าใด เจ้าก็ยิ่งเข้าใจคุณค่าและความหมายที่แท้จริงของคำพูดที่เจ้าได้ยินมากขึ้นเท่านั้น  หลังจากที่ได้มีประสบการณ์ของเจ้าเองแล้ว เมื่อนั้นเจ้าจะสามารถพูดถึงความรู้ที่เจ้าควรมีเกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าได้รับประสบการณ์ได้  นอกจากนี้ เจ้ายังสามารถจำแนกความแตกต่างระหว่างบรรดาผู้ที่มีความรู้ที่เป็นจริงและสัมพันธ์กับชีวิตจริง และพวกที่มีความรู้ที่มีพื้นฐานมาจากหลักทฤษฎีและไร้ค่า  ดังนั้น การที่ความรู้ที่เจ้าอ้างว่ามีจะสอดคล้องตามความจริงหรือไม่นั้น โดยส่วนใหญ่แล้วขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเกี่ยวกับความรู้นั้นหรือไม่  เมื่อมีความจริงในประสบการณ์ของเจ้า ความรู้ของเจ้าจะสัมพันธ์กับชีวิตจริงและมีค่า  โดยผ่านทางประสบการณ์ของเจ้า เจ้ายังสามารถรับการหยั่งรู้และความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ทำให้ความรู้ของเจ้าลึกซึ้ง และเพิ่มพูนสติปัญญาและสามัญสำนึกเกี่ยวกับวิธีการที่เจ้าควรประพฤติตัวของเจ้าเองได้เช่นเดียวกัน  ความรู้ที่แสดงออกโดยผู้คนที่ไม่ได้ครอบครองความจริงคือหลักทฤษฎี ไม่ว่ามันอาจจะสูงส่งเพียงใดก็ตาม  บุคคลชนิดนี้อาจมีปัญญาอย่างยิ่งเมื่อพูดถึงเรื่องเนื้อหนัง แต่ไม่สามารถหาความแตกต่างเมื่อพูดถึงเรื่องฝ่ายวิญญาณก็เป็นได้  นี่เป็นเพราะว่าบุคคลเช่นนั้นไม่มีประสบการณ์เกี่ยวกับกิจการฝ่ายวิญญาณเอาเสียเลย  ผู้คนเหล่านี้คือผู้ที่ไม่รู้แจ้งในกิจการฝ่ายวิญญาณและไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ  ไม่ว่าเจ้าจะแสดงออกถึงความรู้แบบใดก็ตาม ตราบเท่าที่ความรู้นั้นเป็นสิ่งที่เจ้าเป็น เช่นนั้นแล้วมันก็เป็นประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้า ความรู้จริงๆ ของเจ้า  สิ่งที่เสวนาโดยผู้คนที่พูดถึงเพียงหลักทฤษฎี—ผู้ที่เป็นผู้คนที่ไม่ได้ครอบครองทั้งความจริงหรือความเป็นจริง—ยังสามารถเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่พวกเขาเป็น เพราะพวกเขาได้มาถึงหลักทฤษฎีของพวกเขาโดยผ่านทางการใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งเท่านั้น และมันเป็นผลจากการตรึกตรองอย่างลึกซึ้งของพวกเขา กระนั้นมันก็เป็นเพียงหลักทฤษฎี ไม่ได้เป็นสิ่งใดมากไปกว่าจินตนาการ!  ประสบการณ์ทั้งหลายของผู้คนทุกประเภทเป็นตัวแทนสิ่งต่างๆ ภายในตัวพวกเขา  ผู้ใดก็ตามที่ไม่มีประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณจะไม่สามารถพูดถึงความรู้เกี่ยวกับความจริง อีกทั้งไม่สามารถแก้ไขความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ที่หลากหลายฝ่ายวิญญาณได้  สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือสิ่งที่เขาเป็นภายใน—นี่คือสิ่งที่แน่นอน  หากคนเราปรารถนาที่จะมีความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ฝ่ายวิญญาณและความรู้เกี่ยวกับความจริง คนเราต้องมีประสบการณ์จริง  หากเจ้าไม่สามารถพูดถึงสามัญสำนึกในชีวิตมนุษย์ได้อย่างชัดเจน เจ้าจะมีความสามารถที่จะพูดถึงสิ่งต่างๆ ฝ่ายจิตวิญญาณได้น้อยลงไปมากเท่าใด?  ผู้ที่สามารถนำคริสตจักร จัดหาชีวิตให้ผู้คน และเป็นอัครทูตให้กับผู้คนต้องมีประสบการณ์จริง  พวกเขาต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ ฝ่ายจิตวิญญาณ และมีความซึ้งคุณค่าและประสบการณ์ที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจริง  มีเพียงผู้คนเช่นนั้นเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ทำงานหรืออัครทูตที่นำคริสตจักรได้  มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาจะสามารถติดตามในฐานะคนที่เล็กน้อยที่สุดได้เท่านั้น และไม่สามารถเป็นผู้นำได้ แล้วนับประสาอะไรกับการเป็นอัครทูตที่มีความสามารถที่จะจัดหาชีวิตให้กับผู้คนได้  นี่เป็นเพราะว่าหน้าที่การทำงานของอัครทูตนั้นไม่ใช่การรีบเร่งหรือการต่อสู้ แต่เป็นการทำงานปรนนิบัติชีวิต และการนำผู้อื่นในการแปลงสภาพอุปนิสัยของพวกเขา  ผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่การทำงานนี้ได้รับการบัญชาให้แบกรับความรับผิดชอบอันหนักหน่วง เป็นความรับผิดชอบที่ไม่ใช่แค่ผู้ใดก็ได้จะสามารถแบกรับ งานประเภทนี้สามารถทำได้โดยผู้ที่มีสิ่งที่เป็นชีวิตเท่านั้น นั่นคือ ผู้ที่มีประสบการณ์ของความจริง  งานนี้ไม่สามารถดำเนินการได้โดยแค่ใครก็ตามที่สามารถประกาศตัดขาด ที่สามารถรีบเร่ง หรือที่เต็มใจจะสละตัวพวกเขาเอง  ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์ของความจริงเลย ผู้ที่ไม่ได้ผ่านการตัดแต่งหรือพิพากษาไร้ความสามารถที่จะทำงานชนิดนี้ได้  ผู้คนที่ไม่มีประสบการณ์ ผู้ที่เป็นผู้คนที่ปราศจากความเป็นจริง ไร้ความสามารถที่จะมองเห็นความเป็นจริงได้อย่างชัดเจน เพราะพวกเขาเองปราศจากการเป็นอยู่ประเภทนี้  ดังนั้น บุคคลชนิดนี้จึงไม่เพียงแต่ไร้ความสามารถที่จะทำงานการเป็นผู้นำได้เท่านั้น แต่หากพวกเขายังคงปราศจากความจริงเป็นเวลานานแล้ว พวกเขาก็ต้องถูกขับออกไป  ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่เจ้าแสดงออกสามารถยืนหยัดเป็นข้อพิสูจน์ถึงความยากลำบากที่เจ้าเคยได้รับประสบการณ์ในชีวิต สิ่งต่างๆ ที่เจ้าถูกตีสอน และประเด็นต่างๆ ที่เจ้าได้ถูกพิพากษา  และนี่ก็เป็นจริงสำหรับการทดสอบด้วยเช่นกัน กล่าวคือ ในจุดที่คนเราได้รับการถลุง ในจุดที่คนเราอ่อนแอ—เหล่านี้คือด้านต่างๆ ที่คนเรามีประสบการณ์ ที่คนเรามีเส้นทาง  ตัวอย่างเช่น หากมีใครสักคนทนทุกข์กับความผิดหวังในการแต่งงาน พวกเขามักจะสามัคคีธรรมว่า “ขอบคุณพระเจ้า สรรเสริญพระเจ้า ข้าพระองค์ต้องทำให้สมดังพระทัยของพระเจ้า และมอบถวายทั้งชีวิตของข้าพระองค์ และข้าพระองค์ต้องวางการแต่งงานของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าโดยตลอดทั้งหมด  ข้าพระองค์ยินดีที่จะปฏิญาณทั้งชีวิตของข้าพระองค์ต่อพระเจ้า”  สิ่งต่างๆ ทั้งหมดภายในมนุษย์สามารถแสดงให้เห็นสิ่งที่เขาเป็นโดยผ่านทางการสามัคคีธรรม  จังหวะการพูดของบุคคล ไม่ว่าพวกเขาจะพูดเสียงดังหรือเสียงค่อย—เรื่องเช่นนั้นไม่ได้เป็นเรื่องของประสบการณ์ และไม่สามารถเป็นตัวแทนถึงสิ่งที่พวกเขามีและเป็นได้  สิ่งเหล่านี้สามารถบอกได้เพียงว่าลักษณะนิสัยของบุคคลหนึ่งดีหรือแย่ ว่าธรรมชาติของพวกเขาดีหรือแย่ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถเทียบเท่าได้กับที่ว่าใครบางคนมีประสบการณ์หรือไม่  ความสามารถในการแสดงตัวเองออกมาเมื่อพูด หรือทักษะหรือความเร็วในการพูดเป็นแค่เรื่องของการปฏิบัติ และไม่สามารถแทนที่ประสบการณ์ของคนเราได้  เมื่อเจ้าพูดถึงประสบการณ์แต่ละอย่างของเจ้า เจ้าสามัคคีธรรมในสิ่งที่เจ้าพบว่ามีความสำคัญ และทุกสิ่งภายในเจ้า  วาทะของเราแสดงถึงสิ่งที่เราเป็น แต่สิ่งที่เราพูดอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์  สิ่งที่เราพูดไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์ และมันไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถมองเห็น และยังไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่มนุษย์สามารถสัมผัสได้ แต่คือสิ่งที่เราเป็น  ผู้คนบางคนรับรู้เพียงว่าสิ่งที่เราสามัคคีธรรมนั้นคือสิ่งที่เราได้รับประสบการณ์ แต่พวกเขาไม่รับรู้ว่าสิ่งนั้นคือการแสดงออกของพระวิญญาณโดยตรง  แน่นอนว่าสิ่งที่เราพูดคือสิ่งที่เราเคยได้รับประสบการณ์มาแล้ว  เราคือผู้ที่ได้ทำงานการบริหารจัดการมาเป็นเวลาหกพันปี  เราได้รับประสบการณ์ในทุกสิ่งทุกอย่างนับตั้งแต่จุดเริ่มต้นของการสร้างมวลมนุษย์มาจนถึงตอนนี้ แล้วเราจะไร้ความสามารถที่จะเสวนาถึงการนั้นได้อย่างไร?  เมื่อพูดถึงเรื่องของธรรมชาติของมนุษย์ เราได้มองเห็นอย่างชัดเจนแล้ว เราได้สังเกตเห็นมันมานมนานแล้ว  เราจะไร้ความสามารถที่จะพูดถึงมันอย่างชัดเจนได้อย่างไร?  เป็นเพราะเราได้เห็นแก่นแท้ของมนุษย์อย่างชัดเจน เราจึงมีคุณสมบัติที่จะตีสอนมนุษย์และพิพากษาเขา เพราะมนุษย์ทั้งหมดมาจากเรา แต่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  แน่นอนว่าเราก็มีคุณสมบัติที่จะประเมินงานที่เราได้ทำไปแล้วเช่นกัน  ถึงแม้ว่างานนี้จะไม่ได้ทำโดยเนื้อหนังของเรา แต่งานนี้เป็นการแสดงออกโดยตรงของพระวิญญาณ และนี่คือสิ่งที่เรามีและสิ่งที่เราเป็น  ดังนั้น เราจึงมีคุณสมบัติที่จะแสดงถึงงานนี้และทำงานที่เราควรต้องทำ  สิ่งที่ผู้คนพูดคือสิ่งที่พวกเขาได้รับประสบการณ์มา นั่นคือสิ่งที่พวกเขาได้มองเห็น สิ่งที่จิตใจของเขาสามารถไปถึงได้ และสิ่งที่สำนึกรับรู้ของพวกเขาสามารถสืบหาได้  นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสามารถสามัคคีธรรมได้  พระวจนะที่ตรัสโดยเนื้อหนังที่ปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าคือการแสดงออกของพระวิญญาณโดยตรง และพระวจนะเหล่านั้นแสดงออกถึงพระราชกิจที่พระวิญญาณได้ทรงทำ ซึ่งเนื้อหนังไม่เคยมีประสบการณ์หรือมองเห็น กระนั้นผู้ที่เป็นเนื้อหนังก็ยังคงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น เพราะแก่นแท้ของเนื้อหนังคือพระวิญญาณ และผู้ที่เป็นเนื้อหนังก็แสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณ  นั่นคืองานที่พระวิญญาณได้ทรงกระทำไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะเกินเอื้อมสำหรับเนื้อหนังก็ตาม  หลังจากการจุติเป็นมนุษย์ โดยผ่านทางการแสดงออกของเนื้อหนัง พระองค์ทรงทำให้ผู้คนสามารถรู้จักสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็น และทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระราชกิจที่พระองค์ได้ทรงทำแล้ว  งานของมนุษย์ทำให้ผู้คนมีความกระจ่างแจ้งมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาควรเข้าสู่และสิ่งที่พวกเขาควรทำความเข้าใจ งานนี้เกี่ยวพันกับการนำทางผู้คนสู่การเข้าใจและการได้รับประสบการณ์กับความจริง  งานของมนุษย์คือการค้ำชูผู้คน  พระราชกิจของพระเจ้าคือการเปิดเส้นทางใหม่และยุคสมัยใหม่สำหรับมวลมนุษย์ และเพื่อเปิดเผยต่อผู้คนถึงสิ่งที่มนุษย์ธรรมดาไม่รู้ ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถรู้จักพระอุปนิสัยของพระองค์  พระราชกิจของพระเจ้าคือการนำทางมวลมนุษย์ทั้งปวง

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจทั้งหมดเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้คน  ทั้งหมดคือการสอนใจผู้คน และไม่มีพระราชกิจใดที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน  ไม่สำคัญว่าความจริงจะลึกซึ้งหรือตื้นเขิน และไม่สำคัญว่าขีดความสามารถของผู้ที่ยอมรับความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม สิ่งที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำนั้นให้ประโยชน์แก่ผู้คนทั้งสิ้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะเป็นสิ่งใดก็ตาม  แต่พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่สามารถได้รับการดำเนินการโดยตรงได้ พระราชกิจต้องได้รับการแสดงออกผ่านผู้คนที่ให้ความร่วมมือกับพระองค์  ด้วยประการนี้เท่านั้นจึงจะสามารถได้รับผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้  แน่นอนว่าเมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจโดยตรง พระราชกิจนั้นก็ไม่ถูกเจือปนแต่อย่างใด แต่เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจโดยผ่านทางมนุษย์ พระราชกิจนั้นก็กลายเป็นด่างพร้อยอย่างยิ่ง และไม่ใช่พระราชกิจดั้งเดิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังเช่นนี้แล้ว ความจริงจึงเปลี่ยนแปลงไปในหลายระดับที่แตกต่างกัน  ผู้ติดตามไม่ได้รับเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ได้รับการรวมกันระหว่างพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์กับประสบการณ์และความรู้ของมนุษย์  สิ่งที่ผู้ติดตามได้รับซึ่งเป็นส่วนของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นมีความถูกต้อง  ในขณะที่ประสบการณ์และความรู้ของมนุษย์ที่พวกเขาได้รับแตกต่างกันออกไปเพราะผู้ทำงานมีความแตกต่างกัน  ผู้ทำงานที่มีความรู้แจ้งและการทรงนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะมีประสบการณ์ที่มีพื้นฐานจากความรู้แจ้งและการทรงนำทางนี้ต่อไป  ภายในประสบการณ์เหล่านี้คือจิตใจและประสบการณ์ของมนุษย์รวมกัน ตลอดจนสิ่งที่เป็นความเป็นมนุษย์ และหลังจากนั้น พวกเขาจะได้รับความรู้หรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึกที่พวกเขาควรมี  นี่คือวิธีการปฏิบัติของมนุษย์หลังจากที่ได้รับประสบการณ์กับความจริง  วิธีการปฏิบัติเช่นนี้ไม่ได้เหมือนกันเสมอไป เพราะผู้คนได้รับประสบการณ์แตกต่างกัน และสิ่งต่างๆ ที่ผู้คนได้รับประสบการณ์ก็แตกต่างกัน  ในหนทางนี้ ความรู้แจ้งเดียวกันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ส่งผลให้เกิดความรู้และการปฏิบัติที่แตกต่างกัน เพราะผู้ที่ได้รับความรู้แจ้งนั้นมีความแตกต่างกัน  ผู้คนบางคนทำผิดพลาดเล็กๆ น้อยๆ ในระหว่างการปฏิบัติ ในขณะที่อีกคนทำผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง และอีกคนไม่ได้ทำอะไรนอกไปจากทำผิดพลาด  นี่เป็นเพราะว่าผู้คนแตกต่างกันตรงความสามารถในการทำความเข้าใจ และยังเป็นเพราะขีดความสามารถโดยธรรมชาติของพวกเขาก็แตกต่างกันด้วย  ผู้คนบางคนมีความเข้าใจแบบหนึ่งหลังจากที่ได้ยินสารหนึ่ง และผู้คนบางคนมีความเข้าใจอีกแบบหนึ่งหลังจากที่ได้ยินความจริง  ผู้คนบางคนเบี่ยงเบนไปเล็กน้อย ในขณะที่บางคนไม่เข้าใจความหมายที่เป็นจริงของความจริงเลยแม้แต่น้อย  ดังนั้น การเข้าใจของคนเราบอกบทวิธีการที่คนเราจะนำทางผู้อื่น นี่เป็นความจริงที่แน่ชัด เพราะงานของคนเราเป็นเพียงแค่การแสดงออกของสิ่งที่คนเราเป็น  ผู้คนที่ได้รับการนำทางโดยผู้ที่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจริงก็จะมีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับความจริงเช่นเดียวกัน  ถึงแม้ว่าจะมีผู้คนที่มีข้อผิดพลาดในความเข้าใจของพวกเขา แต่พวกเขาก็มีจำนวนน้อยนัก และไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีข้อผิดพลาด  หากคนเรามีข้อผิดพลาดในความเข้าใจความจริงของเขา พวกที่ติดตามเขาผู้นั้นจะผิดพลาดเช่นเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย  และผู้คนเหล่านี้จะผิดพลาดในทุกๆ ความหมายของคำนี้  โดยมากแล้ว ระดับที่ผู้ติดตามเข้าใจความจริงจะขึ้นอยู่กับผู้ทำงาน  แน่นอนว่าความจริงจากพระเจ้ามีความถูกต้องและปราศจากข้อผิดพลาด และมันมีความแน่นอนอย่างแน่แท้  อย่างไรก็ตาม ผู้ทำงานไม่ได้ถูกต้องไปทั้งหมด และไม่สามารถกล่าวได้ว่าเชื่อถือได้ไปทั้งหมด  หากผู้ทำงานมีวิธีการที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอย่างยิ่งในการนำความจริงมาปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วผู้ติดตามก็จะมีวิธีการปฏิบัติเช่นเดียวกัน  หากผู้ทำงานไม่มีวิธีการปฏิบัติตามความจริงแต่มีเพียงหลักทฤษฎี เช่นนั้นแล้วผู้ติดตามก็จะไม่มีความเป็นจริง  ขีดความสามารถและธรรมชาติของผู้ติดตามได้รับการกำหนดโดยการกำเนิด และไม่ได้มีความสัมพันธ์กับผู้ทำงาน แต่ขอบเขตที่ผู้ติดตามเข้าใจความจริงและรู้จักพระเจ้านั้นขึ้นอยู่กับผู้ทำงาน (เป็นเช่นนี้แค่สำหรับผู้คนบางคนเท่านั้น)  ไม่ว่าผู้ทำงานเป็นอย่างไรก็ตาม ผู้ติดตามที่เขานำก็จะเป็นเช่นนั้นด้วย  สิ่งที่ผู้ทำงานแสดงออกคือสิ่งที่เป็นเขาเอง โดยไม่มีการสงวนตัวใดๆ  สิ่งที่เขาเรียกร้องจากผู้ที่ติดตามเขาคือสิ่งที่เขาเองเต็มใจสัมฤทธิ์ผลหรือมีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ผลได้  ผู้ทำงานส่วนใหญ่ใช้สิ่งที่พวกเขาทำเองเป็นพื้นฐานในการเรียกร้องจากผู้ติดตามของพวกเขา ถึงแม้ว่าจะมีผู้ติดตามของพวกเขาจำนวนมากมายที่ไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้เลย—และสิ่งที่คนเราไม่สามารถสัมฤทธิ์ผลได้ก็กลายเป็นอุปสรรคในการเข้าสู่ของคนเรา

มีการเบี่ยงเบนน้อยกว่ามากในงานของบรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการตัดแต่ง การถูกจัดการ การพิพากษา และการตีสอน และการแสดงออกของงานของพวกเขาก็มีความถูกต้องแม่นยำมากกว่ามาก  บรรดาผู้ที่อาศัยความเป็นธรรมชาติของตนในการทำงานทำผิดพลาดค่อนข้างใหญ่หลวง  งานของผู้คนที่ยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแสดงออกถึงความเป็นธรรมชาติของพวกเขาเองมากจนเกินไป ซึ่งทำให้เกิดอุปสรรคอย่างใหญ่หลวงต่อพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ไม่ว่าขีดความสามารถของบุคคลจะดีเพียงใดก็ตาม พวกเขาต้องก้าวผ่านการตัดแต่ง การได้รับการจัดการ และการพิพากษาก่อนที่พวกเขาจะสามารถทำตามพระบัญชาของพระราชกิจของพระเจ้าด้วยเช่นกัน  หากพวกเขาไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาเช่นนั้น งานของเขาก็ไม่อาจสอดคล้องกับหลักธรรมของความจริงได้ไม่ว่างานของเขาจะได้รับการดำเนินการมาดีเพียงใดก็ตาม และเป็นผลผลิตจากความเป็นธรรมชาติและความดีของมนุษย์เสมอ  งานของบรรดาผู้ที่ได้ก้าวผ่านการตัดแต่ง การจัดการ และการพิพากษามีความถูกต้องแม่นยำมากกว่างานของผู้ที่ยังไม่ได้รับการตัดแต่ง การจัดการและการพิพากษา  พวกที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาไม่แสดงออกถึงสิ่งใดเลยนอกจากเนื้อหนังและความคิดของมนุษย์ ซึ่งผสมปนเปด้วยเชาวน์ปัญญาของมนุษย์และความสามารถพิเศษภายในตัวเป็นอันมาก  นี่ไม่ใช่การแสดงออกที่ถูกต้องแม่นยำของมนุษย์เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า  บรรดาผู้ที่ติดตามผู้คนเช่นนี้ถูกนำมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วยขีดความสามารถภายในตัวของพวกเขา  เพราะพวกเขาแสดงออกถึงความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและประสบการณ์ของมนุษย์มากเกินไป ซึ่งเกือบจะหลุดจากเจตนารมณ์แต่ดั้งเดิมของพระเจ้าและเบี่ยงเบนจากเจตนารมณ์นั้นไกลจนเกินไป งานของบุคคลชนิดนี้จึงไม่สามารถนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่กลับนำพวกเขามาอยู่ต่อหน้ามนุษย์แทน  ดังนั้น ผู้ที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาและการตีสอนจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะดำเนินการตามพระบัญชาของพระราชกิจของพระเจ้าให้เสร็จสิ้น  งานของผู้ทำงานที่มีคุณสมบัติสามารถนำผู้คนไปสู่หนทางที่ถูกต้อง และให้พวกเขาได้รับการเข้าสู่ความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า  งานของเขาสามารถนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า  นอกจากนี้ งานที่เขาทำสามารถแตกต่างออกไปตามแต่ละบุคคล และไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้คนได้รับการหลุดพ้นและเสรีภาพ และความสามารถที่จะค่อยๆ เติบโตในชีวิต และที่จะมีการเข้าสู่ความจริงที่ลุ่มลึกยิ่งขึ้น  ส่วนงานของผู้ทำงานที่ไม่มีคุณสมบัตินั้นไม่ถึงมาตรฐานที่ควรเป็นอย่างมาก  งานของเขานั้นโง่เขลา  เขาสามารถนำผู้คนมาสู่กฎเกณฑ์ต่างๆ ได้เท่านั้น และสิ่งที่เขาเรียกร้องจากผู้คนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบุคคล เขาไม่ได้ทำงานตามความจำเป็นจริงๆ ของผู้คน  ในงานชนิดนี้มีกฎเกณฑ์ต่างๆ มากจนเกินไปและมีหลักทฤษฎีมากจนเกินไป และงานนี้ไม่สามารถนำผู้คนมาสู่ความเป็นจริงได้ อีกทั้งไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่การปฏิบัติปกติของการเติบโตในชีวิตได้  งานนี้สามารถทำได้แค่ให้ผู้คนยึดติดกับกฎเกณฑ์ไร้ค่าไม่กี่ข้อเท่านั้น  การนำเช่นนั้นสามารถนำทางผู้คนให้หลงผิดไปเท่านั้นทำได้แค่นำทางผู้คนให้หลงผิดเท่านั้น  เขานำทางเจ้าให้กลายเป็นเหมือนเขา เขาสามารถนำเจ้าไปสู่สิ่งที่เขามีและเป็น  ในการที่ผู้ติดตามจะหยั่งรู้ได้ว่าผู้นำมีคุณสมบัติหรือไม่นั้น กุญแจสำคัญคือการดูที่เส้นทางที่พวกเขานำทางและผลลัพธ์ของการทำงานของเขา และมองเห็นว่าผู้ติดตามได้รับหลักธรรมตามความจริงหรือไม่ และพวกเขาได้รับวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับการแปลงสภาพของพวกเขาหรือไม่  เจ้าควรจำแนกความแตกต่างระหว่างงานที่แตกต่างกันของผู้คนชนิดที่แตกต่างกัน เจ้าไม่ควรเป็นผู้ติดตามที่โง่เขลา  นี่ส่งผลกระทบต่อเรื่องการเข้าสู่ของผู้คน  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะจำแนกความแตกต่างว่าการเป็นผู้นำของบุคคลใดมีเส้นทางและของบุคคลใดไม่มี เจ้าจะถูกหลอกลวงได้โดยง่าย  ทั้งหมดนี้มีผลโดยตรงต่อชีวิตของเจ้าเอง  มีความเป็นธรรมชาติมากเกินไปในงานของผู้คนที่ไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม งานนั้นผสมผสานด้วยเจตจำนงของมนุษย์มากจนเกินไป  สิ่งที่พวกเขาเป็นคือความเป็นธรรมชาติ—สิ่งที่มาพร้อมกับที่พวกเขาเกิด นั่นไม่ใช่ชีวิตหลังจากที่ได้รับการจัดการแล้วหรือความเป็นจริงหลังจากที่ได้รับการแปลงสภาพแล้ว  บุคคลเช่นนั้นจะสามารถสนับสนุนผู้ที่กำลังไล่ตามเสาะหาชีวิตได้อย่างไร?  ชีวิตที่มนุษย์คนนั้นมีโดยดั้งเดิมแล้วคือเชาว์ปัญญาหรือความสามารถพิเศษภายในตัวของเขา  เชาว์ปัญญาหรือความสามารถพิเศษประเภทนี้ค่อนข้างไกลห่างจากสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องอย่างแท้จริงจากมนุษย์  หากมนุษย์ไม่ได้ผ่านการทำให้มีความเพียบพร้อมและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเขาไม่ได้ผ่านการตัดแต่งและจัดการ จะมีช่องว่างอันกว้างใหญ่ระหว่างสิ่งที่เขาแสดงออกและความจริง  สิ่งที่เขาแสดงออกจะผสมผสานด้วยสิ่งที่คลุมเครือ เช่น จินตนาการและประสบการณ์ด้านเดียวของเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าเขาจะทำงานอย่างไรก็ตาม ผู้คนจะรู้สึกว่าไม่มีเป้าหมายโดยรวมและไม่มีความจริงที่เหมาะสมสำหรับการเข้าสู่ของผู้คนทั้งปวง  ในสิ่งที่เรียกร้องจากผู้คนนั้น ส่วนใหญ่แล้วเกินความสามารถของพวกเขา เสมือนว่าพวกเขาเป็นเป็ดที่ถูกบังคับให้นั่งบนคอน  นี่คืองานจากเจตจำนงของมนุษย์  อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์ ความคิดของเขา และมโนคติที่หลงผิดของเขาแผ่ซ่านไปทุกส่วนในร่างกายเขา  มนุษย์ไม่ได้เกิดมาพร้อมสัญชาตญาณที่จะปฏิบัติตามความจริง อีกทั้งเขาไม่มีสัญชาตญาณที่จะเข้าใจความจริงโดยตรง  นอกจากนั้นยังมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์—เมื่อบุคคลที่เป็นธรรมชาติประเภทนี้ทำงาน การนั้นไม่ก่อให้เกิดการหยุดชะงักหรือ?  แต่มนุษย์ที่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมแล้วนั้นมีประสบการณ์ของความจริงที่ผู้คนควรเข้าใจ และความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยที่เสื่อมทรามทั้งหลายของพวกเขา เพื่อที่สิ่งที่คลุมเครือและไม่เป็นจริงในงานของเขาจะค่อยๆ ลดลงไป การมีสิ่งเจือปนของมนุษย์กลายเป็นน้อยลง และการทำงานและการรับใช้ของเขาเข้ามาใกล้เคียงกับมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ดังนั้น งานของเขาได้เข้าสู่ความเป็นจริงความจริง และมันยังได้กลายเป็นเหมือนจริงด้วยเช่นกัน  ความคิดในจิตใจของมนุษย์สกัดกั้นพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพิเศษ  มนุษย์มีจินตนาการอันอุดมและตรรกะอันมีเหตุผล และเขาได้มีประสบการณ์อันยาวนานในการจัดการกิจการต่างๆ  หากแง่มุมเหล่านี้ของมนุษย์ไม่ได้ก้าวผ่านการตัดแต่งและการแก้ไข ทั้งหมดก็เป็นอุปสรรคต่อพระราชกิจ  ดังนั้น งานของมนุษย์จึงไม่สามารถสัมฤทธิ์ความถูกต้องแม่นยำในระดับที่สูงที่สุดได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานของผู้คนที่ไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม

งานของมนุษย์คงอยู่ภายในแนวข่ายหนึ่งและถูกจำกัด  บุคคลหนึ่งสามารถทำได้เพียงงานระยะเฉพาะใดๆ เท่านั้น และไม่สามารถทำงานของทั้งยุคสมัยได้—มิฉะนั้น เขาคงจะนำทางผู้คนเข้าไปสู่ท่ามกลางกฎต่างๆ แล้ว  งานของมนุษย์สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับเวลาหรือระยะที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งๆ เท่านั้น  นี่เป็นเพราะว่าประสบการณ์ของมนุษย์มีวงเขตของมันเอง  คนเราไม่สามารถเปรียบเทียบงานของมนุษย์กับพระราชกิจของพระเจ้าได้  วิธีการปฏิบัติของมนุษย์และความรู้เกี่ยวกับความจริงของเขาทั้งหมดใช้ได้กับวงเขตที่เฉพาะเจาะจงหนึ่งๆ  เจ้าไม่สามารถกล่าวว่าเส้นทางที่มนุษย์ก้าวย่างนั้นเป็นน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ เพราะมนุษย์สามารถได้รับความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น และไม่สามารถได้รับการเติมเต็มด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างครบบริบูรณ์ได้  สิ่งที่มนุษย์สามารถรับประสบการณ์ได้ทั้งหมดอยู่ภายในวงเขตของสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และไม่สามารถเกินจากแนวข่ายความคิดในจิตใจของมนุษย์ที่ปกติได้  คนเหล่านั้นทั้งหมดที่สามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงความจริงได้รับประสบการณ์ภายในแนวข่ายนี้  เมื่อพวกเขาได้รับประสบการณ์กับความจริง สิ่งนั้นเป็นประสบการณ์ของชีวิตมนุษย์ที่ปกติที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์เสมอ นั่นไม่ใช่วิธีการรับประสบการณ์ที่เบี่ยงเบนไปจากชีวิตของมนุษย์ที่ปกติ  พวกเขาได้รับประสบการณ์กับความจริงที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งอยู่บนรากฐานของการใช้ชีวิตมนุษย์ของพวกเขา  ยิ่งไปกว่านั้น ความจริงนี้แตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล และความลึกซึ้งของความจริงนี้สัมพันธ์กับสภาวะของบุคคลนั้นๆ  คนเราสามารถพูดได้เพียงว่าเส้นทางที่พวกเขาเดินคือชีวิตมนุษย์ที่ปกติของใครบางคนที่ไล่ตามเสาะหาความจริง และอาจจะเรียกเส้นทางนั้นได้ว่าเส้นทางที่เดินโดยบุคคลที่ปกติที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์  คนเราไม่สามารถพูดได้ว่าเส้นทางที่เขาเดินคือเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระดำเนิน  ในประสบการณ์ของมนุษย์ที่ปกตินั้น เพราะผู้คนที่ไล่ตามเสาะหานั้นไม่เหมือนกัน พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงไม่เหมือนกันด้วยเช่นกัน  นอกจากนั้น เพราะสภาพแวดล้อมที่ผู้คนได้รับประสบการณ์และแนวข่ายของประสบการณ์ของพวกเขาไม่เหมือนกัน และเพราะส่วนผสมของจิตใจและความคิดของพวกเขา ประสบการณ์ของพวกเขาจึงผสมผสานในระดับที่แตกต่างกัน  บุคคลแต่ละคนเข้าใจความจริงตามสภาพเงื่อนไขของพวกเขาที่แตกต่างกันและเป็นปัจเจก  ความเข้าใจที่พวกเขามีเกี่ยวกับความหมายจริงๆ ของความจริงไม่ได้ครบบริบูรณ์ และเป็นเพียงหนึ่งหรือหลายแง่มุมของความจริงนั้นเท่านั้น  วงเขตของความจริงที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ซึ่งสอดคล้องกับสภาพเงื่อนไขของแต่ละบุคคล  ในหนทางนี้ ความรู้เกี่ยวกับความจริงเรื่องเดียวกันตามที่แสดงออกโดยผู้คนที่ต่างกันก็ไม่เหมือนกัน  นี่จึงกล่าวได้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์มีข้อจำกัดเสมอ และไม่สามารถเป็นตัวแทนน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้อย่างครบบริบูรณ์ อีกทั้งงานของมนุษย์ไม่สามารถได้รับการล่วงรู้ว่าเป็นพระราชกิจของพระเจ้า ถึงแม้ว่าสิ่งที่มนุษย์แสดงออกจะสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างใกล้ชิดมากก็ตาม และถึงแม้ว่าประสบการณ์ของมนุษย์จะใกล้เคียงกับพระราชกิจการทำให้มีความเพียบพร้อมที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดำเนินการก็ตาม  มนุษย์สามารถเป็นได้เพียงผู้รับใช้ของพระเจ้า ผู้ที่กระทำการงานที่พระเจ้ามอบความไว้วางพระทัยให้แก่เขา  มนุษย์สามารถแสดงออกได้เพียงความรู้ที่ได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์และความจริงที่ได้รับจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาเองเท่านั้น  มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติและไม่เป็นไปตามสภาพเงื่อนไขที่จะเป็นทางออกของพระวิญญาณบริสุทธิ์  เขาไม่มีสิทธิ์จะพูดว่างานของเขาคือพระราชกิจของพระเจ้า  มนุษย์มีหลักการทำงานของมนุษย์ และมนุษย์ทุกคนมีประสบการณ์ที่แตกต่างกันและครอบครองสภาพเงื่อนไขที่หลากหลาย  งานของมนุษย์รวมถึงประสบการณ์ทั้งหมดของเขาภายใต้ความรู้แจ้งของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ประสบการณ์เหล่านี้สามารถเพียงเป็นตัวแทนสิ่งที่มนุษย์เป็น และไม่ได้เป็นตัวแทนสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นหรือน้ำพระทัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ดังนั้น จึงไม่สามารถพูดได้ว่าเส้นทางที่มนุษย์เดินเป็นเส้นทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระดำเนิน เพราะงานของมนุษย์ไม่สามารถเป็นตัวแทนพระราชกิจของพระเจ้า และงานของมนุษย์และประสบการณ์ของมนุษย์ไม่ได้เป็นน้ำพระทัยที่ครบบริบูรณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  งานของมนุษย์มีแนวโน้มที่จะเริ่มกลายเป็นกฎเกณฑ์ และวิธีการทำงานของเขาถูกจำกัดเขตที่วงเขตที่จำกัดได้โดยง่าย และไร้ความสามารถที่จะนำผู้คนสู่หนทางที่อิสระได้  ผู้ติดตามส่วนใหญ่ใช้ชีวิตภายในวงเขตที่จำกัด และวิธีได้รับประสบการณ์ของพวกเขาก็ถูกจำกัดในวงเขตของมันด้วยเช่นกัน  ประสบการณ์ของมนุษย์ถูกจำกัดอยู่เสมอ และวิธีการทำงานของเขาก็ถูกจำกัดเป็นไม่กี่ชนิดเช่นเดียวกัน และไม่สามารถเทียบได้กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง  นี่เป็นเพราะว่าในท้ายที่สุดแล้ว ประสบการณ์ของมนุษย์ถูกจำกัด  ไม่ว่าพระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์อย่างไรก็ตาม พระราชกิจนั้นก็ไม่ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์  ไม่ว่าพระราชกิจนั้นได้รับการดำเนินการอย่างไรก็ตาม พระราชกิจนั้นก็ไม่ถูกจำกัดด้วยวิธีการหนึ่งเดียวใดๆ  ไม่มีกฎเกณฑ์แต่อย่างใดเลยกับพระราชกิจของพระเจ้า—พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ได้รับการปลดปล่อยและเป็นอิสระ  ไม่สำคัญว่ามนุษย์ใช้เวลาในการติดตามพระองค์มากเพียงใดก็ตาม เขาไม่สามารถกลั่นกรองกฎใดๆ ที่ควบคุมวิธีการทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้  ถึงแม้ว่าพระราชกิจของพระองค์จะมีหลักการ แต่พระราชกิจก็ได้รับการดำเนินการในวิธีใหม่ๆ เสมอ และมีการพัฒนาใหม่ๆ เสมอ และอยู่เกินเอื้อมสำหรับมนุษย์  ในช่วงเวลาหนึ่ง พระเจ้าอาจทรงมีพระราชกิจที่ต่างกันหลายชนิดและการนำทางผู้คนที่ต่างกันหลายวิธี ซึ่งทำให้ผู้คนมีการเข้าสู่และการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ อยู่เสมอ  เจ้าไม่สามารถหยั่งรู้กฎของพระราชกิจของพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงพระราชกิจในวิธีใหม่ๆ เสมอ และดังนั้นผู้ติดตามพระเจ้าจึงไม่กลายเป็นถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ทั้งหลายเพราะเหตุนั้นเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองหลีกเลี่ยงมโนคติที่หลงผิดของผู้คนและตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเสมอ  มีเพียงบรรดาผู้ที่ติดตามและไล่ตามเสาะหาพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริงเท่านั้นที่สามารถทำให้อุปนิสัยของพวกเขาได้รับการแปลงสภาพและมีความสามารถที่จะใช้ชีวิตอย่างเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ใดๆ หรือถูกจำกัดด้วยมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาใดๆ  งานของมนุษย์เรียกร้องจากผู้คนโดยมีพื้นฐานมาจากประสบการณ์ของเขาเองและสิ่งที่เขาเองสามารถสัมฤทธิ์ผลได้  มาตรฐานของข้อพึงประสงค์เหล่านี้จำกัดอยู่ภายในวงเขตเฉพาะหนึ่งๆ และวิธีการปฏิบัติก็ยังถูกจำกัดอย่างมากเช่นเดียวกัน  ดังนั้นผู้ติดตามจึงใช้ชีวิตภายในวงเขตที่จำกัดนี้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้ก็กลายเป็นกฎเกณฑ์และพิธีกรรม  หากงานของช่วงเวลาหนึ่งได้รับการนำทางโดยใครบางคนที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการทำให้มีความเพียบพร้อมของพระเจ้าโดยพระองค์เองและยังไม่ได้รับการพิพากษา ผู้ติดตามของเขาทั้งหมดจะกลายเป็นนักศาสนาและผู้เชี่ยวชาญในการต้านทานพระเจ้า  ดังนั้น หากมีใครสักคนเป็นผู้นำที่มีคุณสมบัติ บุคคลนั้นต้องได้ก้าวผ่านการพิพากษาและได้ยอมรับการทำให้มีความเพียบพร้อมมาแล้ว  พวกที่ยังไม่ได้ก้าวผ่านการพิพากษาจะแสดงออกเพียงสิ่งที่คลุมเครือและไม่เป็นจริงเท่านั้น ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ตาม  เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาจะนำทางผู้คนเข้าไปในกฎเกณฑ์ที่คลุมเครือและเกินธรรมชาติ  พระราชกิจที่พระเจ้าทรงดำเนินการไม่ได้สอดคล้องกับเนื้อหนังของมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้สอดคล้องกับความคิดของมนุษย์ แต่ตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์  พระราชกิจของพระองค์ไม่ได้ถูกทำให้ด่างพร้อยด้วยการแต้มสีสันของศาสนาที่คลุมเครือ  ผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยใครบางคนที่ยังไม่ได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์  ผลลัพธ์เหล่านี้เกินที่ความคิดของมนุษย์จะเอื้อมถึง

งานในจิตใจของมนุษย์นั้นง่ายเกินไปที่มนุษย์จะสัมฤทธิ์  ตัวอย่างเช่น ศิษยาภิบาลและผู้นำในโลกศาสนาอาศัยความสามารถพิเศษและตำแหน่งของพวกเขาในการทำงานของพวกเขา  ผู้คนที่ติดตามพวกเขามาเป็นเวลานานจะติดเชื้อความสามารถพิเศษของพวกเขา และได้รับอิทธิพลจากบางส่วนของสิ่งที่พวกเขาเป็น  พวกเขามุ่งเน้นอยู่กับความสามารถพิเศษ ความสามารถ และความรู้ของผู้คน และพวกเขาให้ความสนใจกับสิ่งเหนือธรรมชาติและหลักทฤษฎีที่ลุ่มลึกและไม่เป็นจริงมากมาย (แน่นอนว่าหลักทฤษฎีที่ลุ่มลึกเป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรลุได้)  พวกเขาไม่มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คน แต่มุ่งเน้นไปที่การฝึกผู้คนให้เทศนาและทำงาน พัฒนาความรู้ของผู้คน และคำสอนทางศาสนามากล้นของพวกเขา  พวกเขาไม่มุ่งเน้นไปที่ว่าอุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด หรือว่าผู้คนเข้าใจความจริงมากเพียงใด  พวกเขาไม่สนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเนื้อแท้ของผู้คน และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะพยายามที่จะรู้ถึงสภาวะที่ปกติและไม่ปกติของผู้คน  พวกเขาไม่ตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของผู้คน อีกทั้งพวกเขาไม่เผยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตัดแต่งผู้คนเพื่อข้อบกพร่องหรือความเสื่อมทรามของพวกเขา  ผู้คนส่วนใหญ่ที่ติดตามพวกเขาปรนนิบัติด้วยความสามารถพิเศษของพวกเขา และทั้งหมดที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาคือมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาและทฤษฎีทางเทววิทยา ซึ่งไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริงและไร้ความสามารถที่จะให้ชีวิตกับผู้คนได้โดยสิ้นเชิง  อันที่จริงแล้ว เนื้อแท้ของงานของพวกเขาคือการบ่มพรสวรรค์ เลี้ยงดูผู้คนที่ไม่มีสิ่งใดให้กลายเป็นบัณฑิตทางศาสนาที่มีพรสวรรค์ ซึ่งในภายหลังก็ไปทำงานและเป็นผู้นำต่อไป  เจ้าสามารถหยั่งรู้กฎเกณฑ์ใดๆ ในพระราชกิจเป็นเวลาหกพันปีของพระเจ้าได้หรือไม่?  ในงานที่มนุษย์ทำมีกฎเกณฑ์และข้อจำกัดมากมาย และสมองของมนุษย์ก็ดันทุรังจนเกินไป  สิ่งที่มนุษย์แสดงออกจึงเป็นความรู้และการตระหนักที่อยู่ภายในวงเขตของประสบการณ์ของเขา  มนุษย์ไม่สามารถแสดงออกถึงสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากนี้  ประสบการณ์หรือความรู้ของมนุษย์ไม่ได้เกิดขึ้นมาจากความสามารถพิเศษหรือสัญชาตญาณของเขา  สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้นเพราะการทรงนำและการทรงเป็นผู้เลี้ยงโดยตรงของพระเจ้า  มนุษย์มีเพียงปฏิภาณที่จะยอมรับการเป็นผู้เลี้ยงนี้ และไม่มีปฏิภาณใดที่สามารถแสดงออกได้โดยตรงว่าเทวสภาพคืออะไร  มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะเป็นแหล่งกำเนิด เขาสามารถเป็นได้เพียงภาชนะที่รองรับน้ำจากแหล่งกำเนิดเท่านั้น  นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์ ปฏิภาณที่คนเราควรมีในฐานะมนุษย์  หากบุคคลหนึ่งสูญเสียปฏิภาณที่ยอมรับพระวจนะของพระเจ้าและสูญเสียสัญชาตญาณของมนุษย์ บุคคลนั้นก็จะสูญเสียสิ่งที่มีค่าที่สุดไปเช่นกัน และสูญเสียหน้าที่ของมนุษย์ที่ได้รับการทรงสร้างขึ้น  หากบุคคลหนึ่งไม่มีความรู้หรือได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้าหรือพระราชกิจของพระองค์ บุคคลนั้นก็จะสูญเสียหน้าที่ของเขา ซึ่งเป็นหน้าที่ที่เขาควรกระทำในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และสูญเสียความมีเกียรติของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  การแสดงออกว่าเทวสภาพคืออะไรเป็นสัญชาตญาณของพระเจ้า ไม่ว่าจะแสดงออกในเนื้อหนังโดยพระวิญญาณโดยตรงหรือไม่ก็ตาม นี่คือพันธกิจของพระเจ้า  มนุษย์แสดงออกถึงประสบการณ์หรือความรู้ของเขาเอง (นั่นคือ แสดงออกถึงสิ่งที่เขาเป็น) ในช่วงระหว่างพระราชกิจของพระเจ้าหรือหลังจากนั้น นี่คือสัญชาตญาณของมนุษย์และหน้าที่ของมนุษย์ และมันคือสิ่งที่มนุษย์ควรสัมฤทธิ์  ถึงแม้ว่าการแสดงออกของมนุษย์จะไปไม่ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงแสดงออกเป็นอย่างมาก และถึงแม้ว่าการแสดงออกของมนุษย์จะถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์หลายประการ แต่มนุษย์ต้องทำให้หน้าที่ที่ตนควรทำให้ลุล่วงได้ และทำสิ่งที่เขาต้องทำ  มนุษย์ควรทำทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์สามารถทำได้เพื่อทำให้หน้าที่ของเขาลุล่วง และเขาไม่ควรมีการสงวนตัวใดๆ แม้แต่น้อย

หลังจากที่ทำงานมาหลายปี มนุษย์จะสรุปประสบการณ์การทำงานหลายปีของเขา ตลอดจนสติปัญญาและกฎเกณฑ์ที่เขาได้สะสมมา  คนผู้หนึ่งที่ได้ทำงานมาเป็นเวลานานรู้วิธีการที่จะสำนึกรับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขารู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจเมื่อใดและพระองค์ไม่กำลังทรงปฏิบัติพระราชกิจเมื่อใด เขารู้วิธีการสามัคคีธรรมในขณะที่แบกรับภาระ และเขาตระหนักรู้สภาวะปกติของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และสภาวะปกติของการเติบโตในชีวิตของผู้คน  เช่นนั้นคือบุคคลที่ได้ทำงานมาเป็นเวลาหลายปีแล้วและรู้พระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  บรรดาผู้ที่ได้ทำงานมาเป็นเวลานานพูดอย่างมั่นใจและไม่เร่งรีบ แม้เมื่อพวกเขาไม่มีอะไรจะพูด พวกเขาก็สงบสุขุม  ส่วนภายในนั้น พวกเขาสามารถอธิษฐานอย่างต่อเนื่องเพื่อแสวงหาพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขามีประสบการณ์ในการทำงาน  บุคคลที่ได้ทำงานมาเป็นเวลานานแล้ว ผู้ที่มีประสบการณ์มากมายและได้เรียนรู้บทเรียนมามากมาย มีสิ่งภายในมากมายที่ขัดขวางพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่คือข้อบกพร่องของงานระยะยาวของเขา  ส่วนบุคคลที่เพิ่งจะเริ่มทำงานไม่มีสิ่งเจือปนจากบทเรียนหรือประสบการณ์ของมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งทำอะไรไม่ถูกเกี่ยวกับว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร  อย่างไรก็ตาม ในช่วงระหว่างการทำงาน เขาค่อยๆ เรียนรู้ที่จะสำนึกรับรู้ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจอย่างไร และกลายเป็นตระหนักรู้ถึงสิ่งที่ต้องทำเพื่อให้ได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ สิ่งที่ต้องทำเพื่อตีให้ถูกที่จุดอ่อนของผู้อื่น และความรู้สามัญอื่นๆ ที่ผู้ที่ทำงานควรครอบครอง  เมื่อเวลาผ่านไป เขามาถึงจุดที่รู้สติปัญญาและความรู้สามัญเกี่ยวกับการทำงานดังกล่าวราวกับเป็นหลังมือของเขาเอง และดูจะใช้มันได้อย่างง่ายดายเมื่อทำงาน  อย่างไรก็ตาม เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปลี่ยนแปลงวิธีการที่พระองค์ทรงพระราชกิจ เขายังคงยึดติดกับความรู้เก่าๆ เกี่ยวกับการทำงานและกฎเกณฑ์เก่าๆ เกี่ยวกับการทำงานของเขา และรู้เกี่ยวกับพลังขับเคลื่อนของพระราชกิจเล็กน้อยมาก  ช่วงเวลาหลายปีในการทำงานและการเต็มไปด้วยการสถิตและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้เขามีบทเรียนเกี่ยวกับงานมากยิ่งกว่า และประสบการณ์มากยิ่งกว่า  สิ่งต่างๆ เช่นนั้นเติมความมั่นใจในตัวเองที่ไม่ใช่ความภาคภูมิใจให้กับเขา  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เขาค่อนข้างพอใจกับงานของเขาเอง และพอใจกับความรู้สามัญที่เขาได้รับเกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การได้รับหรือได้ตระหนักสิ่งต่างๆ ที่ผู้อื่นไม่ได้รับหรือได้ตระหนักทำให้เขามีความมั่นใจในตัวเขาเองมากยิ่งกว่า  ดูเหมือนว่าพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ภายในเขาไม่มีวันสามารถถูกขจัดไปได้ ในขณะที่คนอื่นๆ ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการปฏิบัติที่เป็นพิเศษเช่นนี้  มีเพียงผู้คนประเภทเดียวกับเขา ซึ่งได้ทำงานเป็นเวลาหลายปีและการใช้งานพวกเขามีคุณค่าอย่างมากเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติจะได้ชื่นชมกับสิ่งนี้  สิ่งเหล่านี้กลายเป็นอุปสรรคขัดขวางอย่างใหญ่หลวงต่อการที่เขาจะยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์  ถึงแม้ว่าเขาสามารถยอมรับพระราชกิจใหม่ได้ แต่เขาก็ไม่สามารถทำได้ในชั่วเวลาข้ามคืน  แน่นอนว่าเขาต้องก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงที่น่าประหลาดใจหลายต่อหลายคราก่อนที่จะยอมรับพระราชกิจนั้นได้  สถานการณ์นี้สามารถพลิกกลับได้อย่างค่อยเป็นค่อยไปหลังจากที่มโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของเขาได้รับการจัดการและอุปนิสัยเก่าๆ ของเขาได้รับการพิพากษาเท่านั้น  หากปราศจากการก้าวผ่านขั้นตอนเหล่านี้ เขาจะไม่ยอมปล่อยและยอมรับคำสอนและพระราชกิจใหม่ที่ไม่ปรองดองกับมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของเขาได้ง่ายๆ  นี่คือสิ่งที่จัดการได้ยากที่สุดในมนุษย์ และสิ่งนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้ง่ายๆ  หากในฐานะผู้ทำงาน เขามีความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และสรุปพลังขับเคลื่อนของพระราชกิจนั้นได้ทันที และหากเขาไม่มีความสามารถที่จะไม่ถูกจำกัดด้วยประสบการณ์การทำงานของเขาและยอมรับพระราชกิจใหม่เพราะพระราชกิจเก่า เช่นนั้นแล้วเขาก็เป็นมนุษย์ที่ชาญฉลาดและผู้ทำงานที่มีคุณสมบัติ  ผู้คนมักเป็นเช่นนี้ กล่าวคือ พวกเขาทำงานเป็นเวลาหลายปีโดยที่ไม่มีความสามารถที่จะสรุปประสบการณ์การทำงานของพวกเขา หรือหลังจากที่สรุปประสบการณ์และสติปัญญาของพวกเขาที่เกี่ยวกับงานแล้ว พวกเขาถูกขัดขวางไม่ให้ยอมรับพระราชกิจใหม่ และไม่สามารถเข้าใจพระราชกิจเก่าและพระราชกิจใหม่ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม หรือปฏิบัติต่อพระราชกิจเก่าและพระราชกิจใหม่ได้อย่างถูกต้อง  ผู้คนช่างรับมือได้ยากจริงๆ!  พวกเจ้าส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้  พวกที่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเวลาหลายปีพบว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับพระราชกิจใหม่ และพวกเขาเต็มไปด้วยมโนคติที่หลงผิดที่พวกเขาไม่สามารถละวางลงได้อยู่เสมอ ในขณะที่มนุษย์ที่เพิ่งจะเริ่มทำงานขาดความรู้สามัญเกี่ยวกับพระราชกิจและไม่รู้กระทั่งว่าจะจัดการเรื่องที่ง่ายที่สุดบางอย่างได้อย่างไร  ผู้คนอย่างพวกเจ้าช่างลำบากยากเย็นจริงๆ!  พวกที่มีความอาวุโสอยู่บ้างก็ช่างภาคภูมิใจและทะนงตัวจนพวกเขาได้ลืมแล้วว่าพวกเขามาจากที่ใด  พวกเขาดูถูกผู้คนที่เด็กกว่าเสมอ กระนั้น พวกเขาก็ไร้ความสามารถที่จะยอมรับพระราชกิจใหม่และปล่อยวางมโนคติที่หลงผิดที่พวกเขาได้สะสมและเก็บมาผ่านช่วงเวลาหลายปีได้  ถึงแม้ว่าผู้คนที่อายุน้อยและไม่รู้เท่าทันเหล่านั้นจะสามารถยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้เล็กน้อยและค่อนข้างมีความกระตือรือร้น พวกเขามักกลายเป็นสับสนวุ่นวายเสมอ และไม่รู้ว่าควรทำอะไรเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น  พวกเขากระตือรือร้นแต่ไม่รู้เท่าทัน  พวกเขามีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงเล็กน้อย และไร้ความสามารถที่จะนำพระราชกิจของพระองค์มาใช้ในชีวิตของพวกเขาได้ สิ่งนั้นเป็นเพียงหลักทฤษฎีที่ไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิง  มีผู้คนเช่นพวกเจ้ามากมายจนเกินไป มีจำนวนเท่าใดที่เหมาะสำหรับการใช้งานบ้าง?  มีจำนวนเท่าใดที่สามารถเชื่อฟังความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเห็นสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้สำเร็จ?  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าที่ได้เคยเป็นผู้ติดตามจนถึงตอนนี้มีความเชื่อฟังอย่างยิ่ง แต่อันที่จริงแล้ว พวกเจ้าไม่เคยยอมละทิ้งมโนคติที่หลงผิดของพวกเจ้าเลย พวกเจ้ายังคงกำลังแสวงหาในพระคัมภีร์ เชื่อในความคลุมเครือ หรือร่อนเร่ไปในมโนคติที่หลงผิด  ไม่มีผู้ใดที่เจาะลึกพระราชกิจจริงของวันนี้อย่างละเอียดรอบคอบหรือมองลึกเข้าไปในพระราชกิจเลย  พวกเจ้ากำลังยอมรับหนทางของวันนี้ด้วยมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของพวกเจ้า  แล้วพวกเจ้าจะสามารถได้รับสิ่งใดด้วยการเชื่อเช่นนั้น?  สามารถกล่าวได้ว่าในพวกเจ้านั้นมีมโนคติที่หลงผิดมากมายซ่อนเร้นอยู่ที่ยังไม่ได้ถูกเปิดเเผยออกมา และว่าพวกเจ้าแค่กำลังใช้ความพยายามซ่อนเร้นพวกมันอย่างถึงที่สุดและไม่เปิดเผยพวกมันออกมาง่ายๆ  พวกเจ้าไม่ยอมรับพระราชกิจใหม่อย่างจริงใจ และพวกเจ้าไม่วางแผนที่จะยอมละทิ้งมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของพวกเจ้า พวกเจ้ามีปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตมากจนเกินไป และสิ่งเหล่านั้นมีมากมายจนเกินไป  พวกเจ้าไม่ยอมละทิ้งมโนคติที่หลงผิดเก่าๆ ของพวกเจ้า และพวกเจ้าจัดการกับพระราชกิจใหม่อย่างลังเล  หัวใจของพวกเจ้ามุ่งร้ายจนเกินไป และพวกเจ้าเพียงแค่ไม่ใส่ใจขั้นตอนของพระราชกิจใหม่อย่างจริงจัง  คนไม่เอาถ่านอย่างเช่นพวกเจ้าจะสามารถทำงานการเผยแพร่ข่าวประเสริฐได้อย่างไร?  พวกเจ้ามีความสามารถที่จะรับหน้าที่ทำงานการเผยแพร่ข่าวประเสริฐต่อทั้งจักรวาลได้หรือ?  การปฏิบัติเหล่านี้ของพวกเจ้ากำลังหยุดเจ้าไม่ให้แปลงสภาพอุปนิสัยของพวกเจ้าและรู้จักพระเจ้า  หากเจ้าทำเช่นนั้นต่อไป พวกเจ้าย่อมไม่แคล้วที่จะถูกขับออกไป

พวกเจ้าต้องรู้วิธีที่จะบอกความแตกต่างระหว่างพระราชกิจของพระเจ้ากับงานของมนุษย์  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดในงานของมนุษย์?  มีองค์ประกอบของประสบการณ์ของมนุษย์มากมายในงานของเขา สิ่งที่มนุษย์แสดงออกคือสิ่งที่เขาเป็น  พระราชกิจของพระเจ้าเองก็แสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นเช่นเดียวกัน แต่สิ่งที่พระองค์ทรงเป็นก็แตกต่างจากสิ่งที่มนุษย์เป็น  สิ่งที่มนุษย์เป็นนั้นเป็นตัวแทนประสบการณ์และชีวิตของมนุษย์ (สิ่งที่มนุษย์ได้รับประสบการณ์หรือเผชิญในชีวิตของพวกเขา หรือปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตที่เขามี) และผู้คนที่ใช้ชีวิตในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างก็แสดงออกถึงการเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน  ไม่ว่าเจ้ามีประสบการณ์ของสังคมหรือไม่และไม่ว่าเจ้าใช้ชีวิตจริงๆ ในครอบครัวของเจ้าและได้รับประสบการณ์ภายในนั้นอย่างไร สามารถมองเห็นได้ในสิ่งที่เจ้าแสดงออก ในขณะที่เจ้าไม่สามารถมองเห็นว่าพระองค์ทรงมีประสบการณ์ทางสังคมหรือไม่ในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์  พระองค์ทรงตระหนักรู้เป็นอย่างดีถึงแก่นแท้ของมนุษย์ และสามารถเปิดเผยการปฏิบัติประเภทต่างๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวกับผู้คนทุกประเภท  พระองค์ทรงพระปรีชายิ่งกว่านั้นในการเปิดเผยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามทั้งหลายและพฤติกรรมที่เป็นกบฏของพวกมนุษย์  พระองค์ไม่ดำรงพระชนม์ชีพท่ามกลางผู้คนทางโลก แต่พระองค์ทรงตระหนักรู้ถึงธรรมชาติของมนุษย์ธรรมดาและความเสื่อมทรามทั้งหมดของผู้คนทางโลก  นี่คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์  ถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ทรงจัดการกับโลก พระองค์ทรงรู้กฎการจัดการโลก เพราะพระองค์เข้าพระทัยธรรมชาติของมนุษย์อย่างครบถ้วน  พระองค์ทรงรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระวิญญาณที่ตาของมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นและหูของมนุษย์ไม่สามารถได้ยิน ทั้งในวันนี้และในอดีต  นี่รวมถึงสติปัญญาที่ไม่ใช่ปรัชญาสำหรับการใช้ชีวิตและการอัศจรรย์ที่ผู้คนหยั่งลึกได้ยาก  นี่คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ซึ่งเปิดกว้างต่อผู้คนและซ่อนเร้นจากผู้คนด้วยเช่นกัน  สิ่งที่พระองค์ทรงแสดงออกไม่ใช่สิ่งที่บุคคลเหนือปกติเป็น แต่เป็นพระลักษณะโดยธรรมชาติของพระวิญญาณและสิ่งที่พระวิญญาณทรงเป็น  พระองค์ไม่ได้ทรงพระดำเนินทั่วโลก แต่ทรงรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับโลก  พระองค์ทรงสัมผัสกับ “พวกลิงคล้ายคน” ที่ไม่มีความรู้หรือความรู้ความเข้าใจเชิงลึก แต่พระองค์ทรงแสดงพระวจนะที่สูงกว่าความรู้และสูงกว่าเหล่ามนุษย์ที่ยิ่งใหญ่  พระองค์ดำรงพระชนม์ชีพภายในกลุ่มผู้คนที่ทึ่มและด้านชา ผู้ที่ปราศจากสภาวะความเป็นมนุษย์และผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมเนียมและชีวิตของมนุษยชาติ แต่พระองค์สามารถขอให้มวลมนุษย์ใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ปกติ และในขณะเดียวกันก็ทรงเปิดเผยพื้นฐานและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ต่ำต้อยของมวลมนุษย์  ทั้งหมดนี้คือสิ่งทรงเป็นของพระองค์ ซึ่งสูงส่งกว่าสิ่งที่บุคคลที่มีเลือดเนื้อคนใดเป็น  สำหรับพระองค์แล้ว ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องได้รับประสบการณ์กับชีวิตทางสังคมที่ซับซ้อน ยุ่งยาก และสกปรกเพื่อที่จะทรงพระราชกิจที่พระองค์ต้องทรงทำและเปิดเผยถึงแก่นแท้ของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอย่างถ้วนทั่ว  ชีวิตทางสังคมที่สกปรกไม่เสริมสร้างเนื้อหนังของพระองค์  พระราชกิจและพระวจนะของพระองค์เพียงเปิดเผยถึงความไม่เชื่อฟังของมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้จัดเตรียมประสบการณ์และบทเรียนเพื่อการจัดการโลกให้กับมนุษย์  พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องเจาะลึกด้านสังคมหรือครอบครัวของมนุษย์เมื่อพระองค์ทรงจัดหาชีวิตให้กับมนุษย์  การตีแผ่และการพิพากษามนุษย์ไม่ใช่การแสดงออกถึงประสบการณ์ของเนื้อหนังของพระองค์  นั่นคือการเปิดเผยของพระองค์ถึงความไม่ชอบธรรมของมนุษย์หลังจากที่ทรงได้รู้ถึงความไม่เชื่อฟังของมนุษย์มาเป็นเวลานานและทรงชิงชังความเสื่อมทรามของมนุษย์  พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำทั้งหมดมีความหมายเพื่อเปิดเผยพระอุปนิสัยของพระองค์ต่อมนุษย์ และเพื่อแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น  มีเพียงพระองค์ที่สามารถปฏิบัติพระราชกิจนี้ได้ พระราชกิจนี้ไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่บุคคลที่มีเลือดเนื้อสามารถสัมฤทธิ์ได้  จากพระราชกิจของพระองค์ มนุษย์ไม่สามารถบอกได้ว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลประเภทใด  และมนุษย์ยังไร้ความสามารถที่จะจัดประเภทพระองค์เป็นบุคคลที่ได้รับการทรงสร้างโดยอิงพื้นฐานจากพระราชกิจของพระองค์ได้เช่นกัน  สิ่งทรงเป็นของพระองค์ยังทำให้พระองค์ไม่สามารถจัดประเภทเป็นบุคคลที่ได้รับการทรงสร้างเช่นกัน  มนุษย์สามารถพิจารณาพระองค์ได้ว่าไม่ใช่มนุษย์เท่านั้น แต่ไม่รู้ว่าจะนำพระองค์ไว้ในหมวดหมู่ใด ดังนั้นมนุษย์จึงถูกบังคับให้ต้องระบุพระองค์ไว้ในหมวดหมู่พระเจ้า  การที่มนุษย์ทำเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องไร้เหตุผล เพราะพระเจ้าได้ทรงพระราชกิจมากมายที่มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะทำได้ท่ามกลางผู้คน

พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำไม่ใช่ตัวแทนประสบการณ์ของเนื้อหนังของพระองค์ ส่วนงานที่มนุษย์ทำย่อมแสดงถึงประสบการณ์ของเขา  ทุกคนพูดถึงประสบการณ์ส่วนตัวของพวกเขา  พระเจ้าสามารถแสดงออกถึงความจริงได้โดยตรง ในขณะที่มนุษย์สามารถแสดงออกได้เพียงประสบการณ์ที่สอดคล้องกับความจริงที่เขาได้รับประสบการณ์มาแล้วเท่านั้น  พระราชกิจของพระเจ้าไม่มีกฎเกณฑ์และไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาหรือภูมิศาสตร์  พระองค์สามารถแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นได้ทุกที่ทุกเวลา  พระองค์ทรงพระราชกิจตามที่พระองค์มีพระประสงค์  งานของมนุษย์มีเงื่อนไขและบริบท หากปราศจากสิ่งเหล่านี้ เขาก็จะไม่สามารถทำงานได้และไม่สามารถแสดงความรู้ที่เขามีเกี่ยวกับพระเจ้าหรือประสบการณ์ที่เขามีเกี่ยวกับความจริง  ในการที่จะบอกว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นพระราชกิจของพระเจ้าเองหรืองานของมนุษย์นั้น เจ้าเพียงต้องเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างทั้งสอง  หากไม่มีพระราชกิจที่พระเจ้าพระองค์เองทรงกระทำและมีเพียงงานของมนุษย์ เจ้าจะรู้เพียงว่าหลักคำสอนของมนุษย์นั้นสูงเกินความสามารถของบุคคลอื่นๆ ทั้งหมด  น้ำเสียงการพูดของพวกเขา หลักธรรมของพวกเขาในการรับมือกับสิ่งต่างๆ และกิริยาอันมีประสบการณ์และมั่นคงของพวกเขาในการทำงานนั้นอยู่เกินเอื้อมสำหรับผู้อื่น  พวกเจ้าทุกคนต่างเลื่อมใสผู้คนที่มีขีดความสามารถดีและความรู้ที่สูงส่งเหล่านี้ แต่เจ้าไม่สามารถมองเห็นจากพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าว่าสภาวะความเป็นมนุษย์ของพระองค์อยู่สูงเพียงใด  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระองค์ทรงธรรมดา และเมื่อทรงพระราชกิจ พระองค์ทรงปกติและเป็นจริง กระนั้นยังทรงไม่อาจวัดได้โดยมนุษย์ธรรมดา เพราะฉะนั้น นั่นจึงทำให้ผู้คนรู้สึกมีหัวใจแห่งความยำเกรงประเภทหนึ่ง  บางทีประสบการณ์ของบุคคลหนึ่งในการทำงานของเขาล้ำหน้าเป็นพิเศษ หรือจินตนาการและการใช้เหตุผลของเขาล้ำหน้าเป็นพิเศษ และความเป็นมนุษย์ของเขาก็ดีเป็นพิเศษ ลักษณะเช่นนั้นจะสามารถรับความเลื่อมใสของผู้คนได้เท่านั้น แต่ไม่สามารถปลุกเร้าความยำเกรงและความครั่นคร้ามของพวกเขาได้  ผู้คนทั้งหมดต่างเลื่อมใสผู้ที่สามารถทำงานได้ดี ผู้ที่มีประสบการณ์ลึกซึ้งเป็นพิเศษ และผู้ที่สามารถปฏิบัติตามความจริง แต่ผู้คนเช่นนั้นไม่มีวันสามารถล้วงเอาความยำเกรงออกมาได้ มีเพียงความเลื่อมใสและความอิจฉาเท่านั้น  แต่ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าไม่ได้เลื่อมใสพระเจ้า พวกเขากลับรู้สึกว่าพระราชกิจของพระองค์อยู่เกินเอื้อมของมนุษย์และยากที่มนุษย์จะหยั่งถึงได้ ว่าพระราชกิจของพระองค์สดชื่นและน่าพิศวง  เมื่อผู้คนได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า ความรู้แรกที่เขามีเกี่ยวกับพระองค์คือพระองค์ทรงยากหยั่งถึง ทรงชาญฉลาด และทรงน่าพิศวง และพวกเขายำเกรงพระองค์และรู้สึกถึงความล้ำลึกของพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำโดยไม่รู้ตัว ซึ่งอยู่เกินจากความรู้ความเข้าใจของจิตใจมนุษย์  ผู้คนเพียงต้องการที่จะมีความสามารถทำได้ตามสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ เพื่อทำให้สมดังพระองค์ทรงพึงปรารถนาเท่านั้น  พวกเขาไม่ปรารถนาที่จะเกินพระพักตร์พระองค์ เพราะพระราชกิจที่พระองค์ทรงกระทำนั้นไปไกลเกินกว่าความคิดและจินตนาการของมนุษย์ และมนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระองค์ได้  แม้กระทั่งมนุษย์เองก็ไม่รู้ถึงความไม่เพียงพอของเขาเอง กระนั้น พระเจ้าทรงสร้างเส้นทางใหม่และได้ทรงมานำมนุษย์เข้าสู่โลกที่ใหม่กว่าและสวยงามกว่า และด้วยเหตุนั้นมวลมนุษย์จึงได้สร้างความก้าวหน้าใหม่ๆ และได้มีการเริ่มต้นใหม่  สิ่งที่ผู้คนรู้สึกเพื่อพระเจ้าไม่ใช่ความเลื่อมใส หรือไม่ใช่แค่ความเลื่อมใส  ประสบการณ์ที่ลึกซึ้งที่สุดของพวกเขาคือความยำเกรงและความรัก ความรู้สึกของพวกเขาคือพระเจ้าทรงน่าพิศวงโดยแท้  พระองค์ทรงพระราชกิจที่มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะทำได้ และตรัสสิ่งต่างๆ ที่มนุษย์ไร้ความสามารถที่จะพูดได้  ผู้คนที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้ามีความรู้สึกที่ไม่อาจอธิบายได้เสมอ  ผู้คนที่มีประสบการณ์ลึกซึ้งเพียงพอจะสามารถเข้าใจความรักของพระเจ้า พวกเขาสามารถรู้สึกถึงความดีงามของพระองค์ ว่าพระราชกิจของพระองค์ช่างชาญฉลาด ช่างน่าพิศวง และด้วยเหตุนั้นจึงเป็นพลังที่ไม่จำกัดที่เกิดขึ้นท่ามกลางพวกเขา  มันไม่ใช่ความครั่นคร้ามหรือความรักและความนับถือชั่วครั้งคราว แต่เป็นสำนึกรับรู้อย่างลึกซึ้งถึงความสงสารที่พระเจ้าทรงมีให้กับมนุษย์และการยอมผ่อนปรนให้กับเขา  อย่างไรก็ตาม ผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์สำนึกรับรู้ถึงพระบารมีของพระองค์และสำนึกรับรู้ว่าพระองค์ไม่ทรงยอมผ่อนปรนให้กับการทำให้ขุ่นเคืองใดๆ  แม้กระทั่งผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์มากมายก็ไร้ความสามารถที่จะหยั่งลึกพระองค์ได้ ทุกผู้คนที่ยำเกรงพระองค์อย่างแท้จริง่รู้ว่าพระราชกิจของพระองค์ไม่สอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของผู้คน แต่ตรงกันข้ามกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเสมอ  พระองค์ไม่ทรงประสงค์ให้ผู้คนเลื่อมใสพระองค์ทั้งหมดหรือแสดงท่าทางแห่งการนบนอบต่อพระองค์ แต่พวกเขาควรสัมฤทธิ์ความยำเกรงที่แท้จริงและการนบนอบที่แท้จริง  ในพระราชกิจอันมากมายเหลือเกินของพระองค์นั้น ผู้ใดก็ตามที่มีประสบการณ์แท้จริงจะพัฒนาหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระองค์ขึ้นมา ซึ่งสูงส่งกว่าการเลื่อมใส  ผู้คนได้มองเห็นพระอุปนิสัยของพระองค์เนื่องจากพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษาของพระองค์ และเพราะฉะนั้นพวกเขาจึงมีหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระองค์  พระเจ้าควรหมายที่จะได้รับความยำเกรงและเชื่อฟัง เพราะสิ่งที่พระองค์ทรงเป็นและพระอุปนิสัยของพระองค์ไม่เหมือนกับของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และอยู่เหนือกว่าของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  พระเจ้าทรงปรากฏด้วยพระองค์เองและทรงคงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ และไม่ทรงใช่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และพระเจ้าเพียงเท่านั้นที่ควรค่าแก่ความยำเกรงและการเชื่อฟัง มนุษย์ไม่มีคุณสมบัติที่จะได้รับการนี้  ดังนั้น ผู้คนทั้งหมดที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์และรู้จักพระองค์อย่างแท้จริงย่อมพัฒนาหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระองค์ขึ้นมา  อย่างไรก็ตาม พวกที่ไม่ปลดปล่อยมโนคติที่หลงผิดที่พวกเขามีเกี่ยวกับพระองค์—พวกที่ไม่คำนึงถึงพระองค์ว่าทรงเป็นพระเจ้าเลย—ขาดพร่องหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระองค์ และถึงแม้ว่าพวกเขาจะติดตามพระองค์ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ถูกพิชิต พวกเขาคือผู้คนที่ไม่เชื่อฟังโดยธรรมชาติ  ดังนั้น สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยว่าจะสัมฤทธิ์ผลโดยการทรงพระราชกิจเพื่อให้สิ่งมีชีวิตทรงสร้างทั้งหมดได้มีหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระผู้สร้าง นมัสการพระองค์ และนบนอบต่ออำนาจครอบครองของพระองค์อย่างไม่มีเงื่อนไข  นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายที่พระราชกิจทั้งหมดของพระองค์มีจุดมุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์  หากผู้คนที่เคยได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจดังกล่าวไม่มีหัวใจแห่งความยำเกรงต่อพระเจ้าแม้แต่น้อย และหากการไม่เชื่อฟังในอดีตของเขาไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลย เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะถูกขับออกไปอย่างแน่นอน  หากท่าทีที่บุคคลหนึ่งมีต่อพระเจ้าเป็นเพียงการเลื่อมใสพระองค์หรือการแสดงความนับถือต่อพระองค์จากที่ไกลๆ และไม่ใช่การรักพระองค์เลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือผลลัพธ์ที่บุคคลหนึ่งซึ่งปราศจากหัวใจที่รักพระเจ้าได้มาถึง และบุคคลนั้นขาดเงื่อนไขที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม  หากพระราชกิจมากมายไร้ความสามารถที่จะได้รับความรักที่แท้จริงของบุคคล เช่นนั้นแล้วบุคคลนั้นก็ไม่ได้รับพระเจ้า และไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างจริงแท้  บุคคลที่ไม่ได้รักพระเจ้าไม่ได้รักความจริงและดังนั้นจึงไม่สามารถได้รับพระเจ้า แล้วนับประสาอะไรที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้า  ผู้คนเช่นนั้นไร้ความสามารถที่จะมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า ไม่ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไรก็ตาม และไม่ว่าพวกเขาจะได้รับประสบการณ์กับการพิพากษาอย่างไรก็ตาม  เหล่านี้คือผู้คนที่มีธรรมชาติที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และผู้ที่มีอุปนิสัยชั่วร้ายอย่างถึงที่สุด  ทุกคนที่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าจะต้องถูกขับออกไป ต้องเป็นเป้าหมายการลงโทษ และต้องถูกลงโทษเช่นเดียวกับผู้ที่ทำความชั่ว และต้องทนทุกข์มากยิ่งกว่าผู้ที่ได้กระทำสิ่งที่ไม่ชอบธรรม

ก่อนหน้า: ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน

ถัดไป: การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าทั้งสามช่วงระยะคือเส้นทางสู่การรู้จักพระเจ้า

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger