พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 5

ความบริสุทธิ์ของพระเจ้า (2)

วันนี้ พี่น้องชายหญิงทั้งหลาย พวกเรามาขับร้องเพลงสรรเสริญกันเถิด  จงหาสักเพลงที่พวกเจ้าชอบและที่พวกเจ้าขับร้องเป็นประจำ  (พวกเราจะขับร้องเพลงสรรเสริญหมายเลข 760 ที่มาจากพระวจนะของพระเจ้า ชื่อเพลง “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน”)

1  “ความรัก” อ้างอิงถึงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งซึ่งบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อไตร่ตรอง  ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์  หากเจ้ารัก เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่หลอกลวง พร่ำบ่น ทรยศ ก่อกบฏ เรียกร้องหรือแสวงหาที่จะได้รับบางสิ่งหรือได้รับในปริมาณที่เจาะจง

2  “ความรัก” อ้างอิงถึงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งซึ่งบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อไตร่ตรอง  ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์  หากเจ้ารัก  เจ้าก็จะมอบอุทิศตัวของเจ้าอย่างยินดี จะทนทุกข์กับความยากลำบากอย่างยินดี เจ้าจะไปกันได้กับเรา เจ้าจะละทิ้งทุกอย่างที่เจ้ามีเพื่อเรา เจ้าจะยอมละทิ้งครอบครัวของเจ้า อนาคตของเจ้า วัยเยาว์ของเจ้า และการสมรสของเจ้า  หาไม่แล้ว ความรักของเจ้าจะไม่ใช่ความรักเลย แต่เป็นการหลอกลวงและการทรยศ!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่ถูกเรียกมีมากมาย แต่ผู้ที่ถูกเลือกมีเพียงนิดเดียว

เพลงสรรเสริญนี้เป็นตัวเลือกที่ดี  พวกเจ้าทุกคนชื่นชมในการขับร้องบทเพลงนี้หรือไม่?  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรหลังจากร้องเพลงนี้?  พวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงความรักแบบนี้ภายในตัวพวกเจ้าเองหรือไม่?  (ยังเลย)  คำใดในบทเพลงนี้ที่ขับเคลื่อนเจ้าอย่างลึกซึ้งที่สุด?  (“ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง  ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์  ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์”  แต่ภายในตัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้ายังคงมองเห็นความไม่บริสุทธิ์มากมายยิ่งนัก และหลายส่วนของข้าพเจ้าที่พยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า ข้าพเจ้ายังไม่ได้บรรลุถึงความรักประเภทที่บริสุทธิ์และไร้มลทินเลยจริงๆ)  หากเจ้ายังไม่ได้บรรลุถึงความรักที่บริสุทธิ์และไร้มลทิน เช่นนั้นแล้ว ความรักของเจ้าอยู่ที่ระดับใด?  (ข้าพเจ้าอยู่แค่ในช่วงระยะที่ข้าพเจ้าเต็มใจจะแสวงหา ที่ซึ่งข้าพเจ้ากำลังโหยหา)  ว่ากันตามวุฒิภาวะของเจ้าเอง และพูดจากประสบการณ์ของเจ้าเองแล้ว เจ้าได้บรรลุถึงระดับใดหรือ?  เจ้ามีความหลอกลวงหรือไม่?  เจ้ามีการร้องทุกข์หรือไม่?  เจ้ามีข้อเรียกร้องภายในหัวใจของเจ้าหรือไม่?  มีสิ่งทั้งหลายที่เจ้าต้องการและอยากได้จากพระเจ้าหรือไม่?  (มี ข้าพเจ้ามีสิ่งแปดเปื้อนต่างๆ เหล่านี้อยู่ภายใน)  สิ่งเหล่านั้นจะออกมาในรูปการณ์แวดล้อมใด?  (เมื่อสถานการณ์ที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการสำหรับข้าพเจ้าไม่เข้ากันกับมโนคติที่หลงผิดของข้าพเจ้า หรือเมื่อความอยากได้อยากมีของข้าพเจ้าไม่ได้รับการตอบสนอง  กล่าวคือ  ในช่วงขณะเช่นนั้น ข้าพเจ้าเปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามประเภทนี้ออกมา)  พวกเจ้า พี่น้องชายหญิงที่มาจากไต้หวัน พวกเจ้าขับร้องเพลงสรรเสริญนี้บ่อยๆ ด้วยหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถบอกสักเล็กน้อยเกี่ยวกับความเข้าใจของพวกเจ้าในเรื่อง “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน” ได้หรือไม่?  เหตุใดพระเจ้าจึงทรงนิยามความรักในหนทางนี้?  (ข้าพเจ้าชอบบทเพลงสรรเสริญนี้มาก เพราะข้าพเจ้าสามารถเห็นได้จากบทเพลงนี้ว่าความรักนี้เป็นความรักที่ครบบริบูรณ์  อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้ายังคงมีหนทางอีกยาวไกลทีเดียวกว่าจะทำได้ตามมาตรฐานนั้น และข้าพเจ้ายังคงอยู่ไกลจากการบรรลุถึงความรักที่แท้จริงอย่างมาก  มีบางอย่างที่ข้าพเจ้าสามารถทำให้มีความก้าวหน้าและให้ความร่วมมือได้ โดยผ่านทางความแข็งแกร่งที่พระวจนะของพระองค์มอบให้แก่ข้าพเจ้าและโดยผ่านทางการอธิษฐาน  อย่างไรก็ตาม เมื่อเผชิญหน้ากับการทดสอบหรือการเผยเฉพาะบางอย่าง ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่มีอนาคตหรือชะตาลิขิต ว่าข้าพเจ้าไม่มีบั้นปลาย  ในชั่วขณะเช่นนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกอ่อนแอมาก  และประเด็นปัญหานี้รบกวนข้าพเจ้าอยู่บ่อยครั้ง)  ท้ายที่สุดแล้วเจ้ากำลังอ้างอิงถึงสิ่งใดเมื่อเจ้ากล่าวว่า “อนาคตและชะตาลิขิต”?  มีบางสิ่งบางอย่างซึ่งเฉพาะเจาะจงที่เจ้ากำลังอ้างอิงถึงหรือไม่?  มันเป็นภาพหรือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าได้จินตนาการขึ้นมา หรือว่า อนาคตและชะตาลิขิตของเจ้าเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริง?  มันเป็นวัตถุที่เป็นจริงหรือไม่?  เราต้องการให้พวกเจ้าแต่ละคนคิดเกี่ยวกับมัน กล่าวคือ ความกังวลที่พวกเจ้ามีสำหรับอนาคตและชะตาลิขิตของพวกเจ้านั้นอ้างอิงถึงสิ่งใด?  (มันคือการมีความสามารถที่จะได้รับการช่วยให้รอดเพื่อที่ข้าพเจ้าจะสามารถอยู่รอดได้)  พวกเจ้า พี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ เจ้าก็จงพูดคุยด้วยสักเล็กน้อยเถิดเกี่ยวกับความเข้าใจของเจ้าในเรื่อง “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน”  (เมื่อบุคคลหนึ่งมีความรักเช่นนี้ ย่อมไม่มีราคีใดก่อเกิดในตัวพวกเขาแต่ละคน และพวกเขาก็ไม่ถูกอนาคตและชะตาลิขิตของตนตีกรอบเอาไว้  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร พวกเขาก็สามารถนบนอบพระราชกิจของพระเจ้าและการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ได้ทุกประการ และติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุด  มีเพียงความรักต่อพระเจ้าประเภทนี้เท่านั้นที่เป็นความรักบริสุทธิ์และไร้มลทิน  ในการวัดตัวข้าพเจ้าเองกับสิ่งนั้น ข้าพเจ้าได้ค้นพบว่า ถึงแม้จะปรากฏชัดว่าข้าพเจ้าได้สละตัวเองหรือทิ้งสิ่งทั้งหลายเฉพาะบางอย่างในช่วงไม่กี่ปีหลังของการเชื่อในพระเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ยังคงไม่สามารถมอบหัวใจของข้าพเจ้าให้พระองค์ได้อย่างแท้จริง  เมื่อพระเจ้าทรงเปิดโปงข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้สึกว่าข้าพเจ้าไม่สามารถได้รับการช่วยให้รอดได้ และข้าพเจ้าอาศัยอยู่ในสภาวะด้านลบ  ข้าพเจ้ามองเห็นตัวเองกำลังปฏิบัติหน้าที่ของข้าพเจ้าอยู่ แต่ในเวลาเดียวกันนั้นข้าพเจ้าก็กำลังพยายามที่จะทำข้อตกลงกับพระเจ้า ข้าพเจ้าไร้ความสามารถที่จะรักพระเจ้าจนหมดทั้งหัวใจของข้าพเจ้าได้ และบั้นปลายของข้าพเจ้า อนาคตของข้าพเจ้า และชะตาลิขิตของข้าพเจ้านั้น อยู่ในความนึกคิดจิตใจของข้าพเจ้าตลอดเวลา)  ดูเหมือนว่าพวกเจ้าเกิดความเข้าใจในเพลงสรรเสริญนี้บ้างแล้ว และได้เชื่อมโยงเพลงสรรเสริญนี้เข้ากับประสบการณ์จริงของพวกเจ้าบ้างแล้ว  อย่างไรก็ตาม พวกเจ้าเข้าใจแต่ละวลีในเพลงสรรเสริญ “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน” นี้ในระดับต่างๆ กัน  ผู้คนบางคนคิดว่ามันเกี่ยวกับความเต็มใจ ผู้คนบางคนกำลังพยายามที่จะทิ้งอนาคตของเขา ผู้คนบางคนกำลังพยายามที่จะปล่อยครอบครัวของพวกเขาไป และผู้คนบางคนไม่ได้กำลังพยายามที่จะรับสิ่งอันใด  คนอื่นๆ ยังคงกำลังพึงประสงค์ให้ตัวเองไม่มีการหลอกลวง ไม่มีการร้องทุกข์ และที่จะไม่กบฏต่อพระเจ้า  เหตุใดหรือพระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์ที่จะแนะนำความรักประเภทนี้และทรงพึงประสงค์ที่จะให้ผู้คนรักพระองค์ในหนทางนี้?  นี่คือความรักชนิดที่ผู้คนสามารถบรรลุได้หรือไม่?  กล่าวคือ ผู้คนสามารถที่จะรักในหนทางนี้ได้หรือไม่?  ผู้คนอาจมองเห็นว่าพวกเขาไม่สามารถ เพราะพวกเขาไม่มีคำบอกใบ้อันใดเกี่ยวกับความรักชนิดนี้  เมื่อผู้คนไม่มีสิ่งนั้น และเมื่อโดยรากฐานแล้วพวกเขาไม่รู้เรื่องความรัก พระเจ้าตรัสพระวจนะเหล่านี้ และพระวจนะเหล่านี้ก็ย่อมไม่เป็นที่คุ้นเคยสำหรับพวกเขา  ในเมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในพิภพนี้และอยู่ในอุปนิสัยที่เสื่อมทราม หากผู้คนมีความรักชนิดนี้ หรือหากบุคคลหนึ่งสามารถครองความรักชนิดนี้ ความรักที่ไม่มีการร้องขอและไม่มีการเรียกร้อง ความรักที่ทำให้พวกเขาเต็มใจที่จะอุทิศตัวเองและสู้ทนกับความทุกข์และละวางทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเป็นเจ้าของ เช่นนั้นแล้ว ผู้คนอื่นจะคิดเกี่ยวกับใครบางคนซึ่งครองความรักชนิดนี้อย่างไร?  บุคคลเช่นนั้นจะไม่มีความเพียบพร้อมหรอกหรือ?  (มี)  บุคคลที่เพียบพร้อมเช่นนั้นมีอยู่ในโลกนี้หรือไม่?  บุคคลชนิดนี้ไม่มีอยู่จริงในพิภพนี้เลย  การนี้แน่นอนที่สุด  เพราะฉะนั้น ผู้คนบางคนใช้ความพยายามอันใหญ่หลวงเพื่อวัดตัวพวกเขาเองกับคำพูดเหล่านี้โดยผ่านทางประสบการณ์ทั้งหลายของพวกเขา  พวกเขาจัดการตัวเอง ยับยั้งตัวเอง และถึงขั้นต่อต้านตัวเองอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือ พวกเขาสู้ทนกับความทุกข์และทำให้ตัวเองละวางมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา  พวกเขาละวางความเป็นกบฏของพวกเขา และความอยากได้อยากมีและความต้องการของพวกเขาเอง  แต่ในท้ายที่สุดพวกเขายังคงไม่สามารถดีได้เพียงพอ  เหตุใดจึงเกิดการนั้นขึ้น?  พระเจ้าตรัสสิ่งเหล่านี้เพื่อจัดเตรียมมาตรฐานหนึ่งให้ผู้คนได้ติดตาม เพื่อที่ผู้คนจะได้รู้จักมาตรฐานที่พระเจ้าทรงเรียกร้องต่อพวกเขา  แต่พระเจ้าเคยตรัสว่ามนุษย์ต้องสัมฤทธิ์การนี้ในทันทีหรือไม่?  พระเจ้าเคยตรัสว่าผู้คนต้องสัมฤทธิ์การนี้เป็นเวลานานเพียงใดหรือไม่?  (ไม่)  พระเจ้าเคยตรัสว่าผู้คนต้องรักพระองค์ในหนทางนี้หรือไม่?  ข้อมูลอักษรบทตอนนี้กล่าวการนั้นหรือไม่?  ไม่ มันไม่ได้กล่าวเช่นนั้น  พระเจ้าแค่กำลังทรงบอกผู้คนเกี่ยวกับความรักที่พระองค์ทรงอ้างอิงถึง  ส่วนการที่ผู้คนสามารถรักพระเจ้าในหนทางนี้และปฏิบัติกับพระเจ้าในหนทางนี้ได้หรือไม่นั้น ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อพวกมนุษย์คือสิ่งใดเล่า?  ไม่จำเป็นเลยที่ต้องไปถึงข้อพึงประสงค์เหล่านั้นในทันที เพราะนั่นคงจะอยู่เหนือความสามารถของผู้คน  พวกเจ้าเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าผู้คนจำเป็นต้องพบกับสภาพเงื่อนไขจำพวกใดเพื่อที่จะรักในหนทางนี้?  หากผู้คนอ่านพระวจนะเหล่านี้เป็นนิจศีล พวกเขาจะค่อยๆ มีความรักนี้หรือไม่?  (ไม่)  เช่นนั้นแล้ว สภาพเงื่อนไขเหล่านี้คือสิ่งใด?  ก่อนอื่น ผู้คนสามารถเป็นอิสระจากความสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้าได้อย่างไร?  (มีเพียงผู้คนที่ซื่อสัตย์เท่านั้นที่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้)  การเป็นอิสระจากความหลอกลวงเป็นอย่างไร?  (พวกเขาต้องเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ด้วยเช่นกัน)  การเป็นใครบางคนที่ไม่ทำข้อตกลงกับพระเจ้าเป็นอย่างไร?  นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ด้วยเช่นกัน  การเป็นอิสระจากความฉลาดแกมโกงเป็นอย่างไร?  การกล่าวว่าไม่มีตัวเลือกในความรักหมายความว่าอย่างไร?  สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้กลับมาสู่การเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์หรือไม่?  มีรายละเอียดมากมายในที่นี้  การที่พระเจ้าทรงสามารถตรัสถึงและให้นิยามความรักชนิดนี้ในหนทางนี้พิสูจน์ถึงสิ่งใด?  พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงครองความรักชนิดนี้?  (ได้)  พวกเจ้าสามารถมองเห็นการนี้ที่ใด?  (ในความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์)  ความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อมนุษย์มีเงื่อนไขหรือไม่?  มีสิ่งกีดขวางหรือระยะห่างระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์หรือไม่?  พระเจ้าทรงมีความสงสัยเกี่ยวกับมนุษย์หรือไม่?  (ไม่มี)  พระเจ้าทรงเฝ้าสังเกตมนุษย์และทรงเข้าใจมนุษย์ พระองค์ทรงเข้าใจมนุษย์อย่างแท้จริง  พระเจ้าทรงเต็มไปด้วยความหลอกลวงต่อมนุษย์หรือไม่?  (ไม่)  ในเมื่อพระเจ้าตรัสถึงความรักนี้อย่างเพียบพร้อมเพียงนั้น พระทัยของพระองค์หรือเนื้อแท้ของพระองค์จะสามารถมีความเพียบพร้อมถึงเพียงนั้นได้หรือไม่?  (ได้)  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าได้ เมื่อผู้คนมีประสบการณ์ถึงจุดหนึ่ง พวกเขาย่อมสามารถรู้สึกถึงการนี้ได้  ผู้คนเคยให้นิยามความรักในหนทางนี้หรือไม่?  มนุษย์ได้ให้นิยามความรักในรูปการณ์แวดล้อมใด?  มนุษย์กล่าวถึงความรักอย่างไร?  มนุษย์ไม่กล่าวถึงความรักในแง่ของการให้หรือการถวายหรอกหรือ?  (พูด)  นิยามความรักนี้พูดง่ายเกินไป มันขาดพร่องเนื้อแท้

คำนิยามของพระเจ้าเกี่ยวกับความรักและหนทางที่พระเจ้าตรัสถึงความรักนั้นเชื่อมโยงกับแง่มุมหนึ่งแห่งเนื้อแท้ของพระองค์ แต่นั่นคือแง่มุมใด?  ครั้งที่แล้วพวกเราได้สามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับหัวเรื่องหนึ่งซึ่งสำคัญยิ่ง หัวเรื่องที่ผู้คนได้สนทนากันมาก่อนบ่อยครั้งแล้ว  หัวเรื่องนี้ประกอบด้วยคำหนึ่งที่ถูกพูดถึงบ่อยครั้งในครรลองของการเชื่อในพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นมันก็เป็นคำหนึ่งที่ทุกคนรู้สึกทั้งคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย  เหตุใดเราจึงพูดเช่นนี้?  นั่นเป็นคำที่มาจากภาษาของมนุษย์  อย่างไรก็ตาม คำนิยามของคำนี้เป็นทั้งชัดแจ้งและทั้งคลุมเครือในท่ามกลางมนุษย์  คำนี้คืออะไร?  (ความบริสุทธิ์)  ความบริสุทธิ์ นั่นคือ หัวข้อของพวกเราที่พวกเราได้สามัคคีธรรมกันไปเมื่อครั้งที่แล้ว  พวกเราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับส่วนหนึ่งของหัวข้อนี้  ทุกคนได้รับความเข้าใจใหม่บางอย่างเกี่ยวกับเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยผ่านทางการสามัคคีธรรมครั้งที่แล้วของพวกเราหรือไม่?  แง่มุมใดหรือจากความเข้าใจนี้ ที่พวกเจ้าพิจารณาว่าเป็นสิ่งใหม่ทั้งสิ้น?  กล่าวคือ อะไรคือสิ่งที่อยู่ภายในความเข้าใจนี้หรือภายในคำพูดเหล่านี้ ที่ทำให้พวกเจ้ารู้สึกว่า ความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นแตกต่างหรือแปรปรวนไปจากความบริสุทธิ์ของพระเจ้า ตามที่เราได้พูดเกี่ยวกับการนั้นในช่วงระหว่างการสามัคคีธรรม?  เจ้ามีความประทับใจอันใดเกี่ยวกับการนี้บ้างหรือไม่?  (พระเจ้าตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงรู้สึกในพระทัยของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ไม่ปนเปื้อน  นี่คือการสำแดงถึงแง่มุมหนึ่งของความบริสุทธิ์)  (ยังมีความบริสุทธิ์อยู่ด้วยเมื่อพระเจ้าทรงพิโรธต่อมนุษย์  พระพิโรธของพระองค์ปราศจากมลทิน)  (สำหรับความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้น ข้าพเจ้าเข้าใจว่ามีทั้งพระพิโรธของพระเจ้าและความปรานีของพระองค์ภายในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์  การนี้ได้ทิ้งความประทับใจอันแรงกล้าอย่างยิ่งต่อข้าพเจ้า  ในการสามัคคีธรรมครั้งที่แล้วของพวกเรานั้น ได้มีการกล่าวถึงด้วยว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นเป็นเอกลักษณ์—ข้าพเจ้าไม่เข้าใจการนี้ในอดีต  หลังจากได้ยินสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสามัคคีธรรมแล้วเท่านั้น ข้าพเจ้าจึงได้เข้าใจว่า พระพิโรธของพระเจ้าแตกต่างจากโมหะแบบมนุษย์  พระพิโรธของพระเจ้าเป็นสิ่งเชิงบวก และสิ่งนั้นมีหลักการ ซึ่งถูกส่งออกมาเนื่องจากเนื้อแท้โดยกำเนิดของพระเจ้า  พระเจ้าทรงมองเห็นบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเชิงลบ และดังนั้นพระองค์จึงทรงปลดปล่อยพระพิโรธของพระองค์ออกมา  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ได้ครองโดยสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใด)  หัวข้อของพวกเราวันนี้คือความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ผู้คนทั้งหมดได้ยินและได้เรียนรู้บางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  ยิ่งไปกว่านั้น บ่อยครั้งที่ผู้คนมากมายพูดคุยเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าและพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าในเวลาเดียวกัน พวกเขากล่าวว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์  คำว่า “บริสุทธิ์” ไม่ใช่คำที่ไม่คุ้นเคยสำหรับคนใดอย่างแน่นอน—มันเป็นคำที่ใช้กันโดยทั่วไป  แต่ในแง่ของความหมายภายในคำนั้น ผู้คนสามารถมองเห็นการแสดงออกใดเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าหรือ?  พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งใดที่ผู้คนสามารถระลึกรู้ได้หรือ?  เราเกรงว่านี่จะเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ไม่มีผู้ใดรู้เลย  พระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม แต่เช่นนั้นแล้วหากเจ้านึกถึงพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าแล้วกล่าวว่าสิ่งนั้นบริสุทธิ์ นั่นดูเหมือนจะค่อนข้างคลุมเครือ ค่อนข้างบิดเบือนปะปน เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  เจ้าพูดว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นชอบธรรม หรือเจ้าพูดว่าพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์นั้นบริสุทธิ์ ดังนั้นในหัวใจของพวกเจ้า พวกเจ้าบรรยายลักษณะเฉพาะของความบริสุทธิ์ของพระเจ้าอย่างไร พวกเจ้าเข้าใจสิ่งนั้นว่าอย่างไร?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สิ่งใดหรือที่ผู้คนจะระลึกได้ว่าบริสุทธิ์เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงเปิดเผย หรือสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น?  พวกเจ้าเคยคิดถึงการนี้มาก่อนหรือไม่?  สิ่งที่เราได้เห็นก็คือว่า บ่อยครั้งที่ผู้คนโพล่งออกมาด้วยคำที่ใช้กันโดยทั่วไปหรือมีวลีที่ได้ถูกพูดไปครั้งแล้วครั้งเล่า ทว่าพวกเขาก็ไม่แม้แต่จะรู้ว่าพวกเขากำลังพูดอะไร  นั่นล่ะคือวิธีที่ทุกคนพูดถึงการนั้น และพวกเขาพูดในวิธีนั้นจนติดเป็นนิสัย นั่นจึงกลายเป็นคำศัพท์เฉพาะชุดหนึ่งสำหรับพวกเขา  อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาได้เจาะลึกและศึกษารายละเอียดจริงๆ แล้ว พวกเขาก็คงจะพบว่าพวกเขาไม่รู้ว่าความหมายจริงคืออะไรหรือการนั้นอ้างอิงถึงสิ่งใด  เช่นเดียวกับคำว่า “บริสุทธิ์” ไม่มีผู้ใดเลยที่รู้อย่างแน่ชัดว่าเนื้อแท้ของพระเจ้าแง่มุมใดที่ถูกอ้างอิงถึงเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระองค์ที่พวกเขาพูดถึงกัน และไม่มีผู้ใดรู้ว่าจะปรับคำว่า “บริสุทธิ์” ให้เข้ากันกับพระเจ้าอย่างไร  ผู้คนสับสนในหัวใจของพวกเขา และการระลึกได้ของพวกเขาที่มีต่อความบริสุทธิ์ของพระเจ้าก็คลุมเครือและไม่ชัดเจน  ส่วนเรื่องพระเจ้าทรงบริสุทธิ์อย่างไรนั้น ก็ไม่มีผู้ใดเข้าใจชัดเจนเสียทีเดียว  วันนี้พวกเราจะสามัคคีธรรมถึงหัวข้อนี้เพื่อที่จะปรับคำว่า “บริสุทธิ์” ให้เข้ากันกับพระเจ้า เพื่อให้ผู้คนสามารถมองเห็นเนื้อหาที่แท้จริงในเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  นี่จะกีดกันผู้คนบางคนไม่ให้ใช้คำนี้อย่างติดเป็นนิสัยและอย่างไม่ระมัดระวัง และไม่ให้พูดสิ่งทั้งหลายอย่างไร้แบบแผนเมื่อพวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นหมายถึงอะไรหรือสิ่งเหล่านั้นถูกต้องและแม่นยำหรือไม่  ผู้คนมักพูดเช่นนี้อยู่เสมอว่า เจ้ามี เขามี และด้วยเหตุนี้มันจึงได้กลายเป็นวาทะติดปาก  การนี้ทำให้คำศัพท์เฉพาะดังกล่าวหมองมัวโดยไม่ตั้งใจ

โดยผิวเผินแล้วนั้น คำว่า “บริสุทธิ์” ดูเหมือนง่ายมากที่จะเข้าใจมิใช่หรือ?  อย่างน้อยที่สุดจริงๆ ผู้คนก็เชื่อว่าคำว่า “บริสุทธิ์” หมายถึง สะอาด ไม่มีรอยเปื้อน ศักดิ์สิทธิ์ และไร้มลทิน  ยังมีบรรดาผู้ที่เอาคำว่า “ความบริสุทธิ์” กับคำว่า “ความรัก” มาเกี่ยวข้องกันในเพลงสรรเสริญ “ความรักอันไร้ราคีที่ปราศจากมลทิน”  ซึ่งเราเพิ่งขับร้องกันไปเมื่อครู่  การนี้ถูกต้อง นี่เป็นส่วนหนึ่งของคำนี้  ความรักของพระเจ้าเป็นส่วนหนึ่งในแก่นแท้ของพระองค์ แต่นั่นไม่ใช่ความครบถ้วนบริบูรณ์ของแก่นแท้ของพระองค์  อย่างไรก็ตาม ในมโนคติที่หลงผิดของผู้คน พวกเขามองเห็นคำนี้และมีแนวโน้มที่จะเอาคำนี้ไปเชื่อมสัมพันธ์กับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาเองมีทรรศนะว่าบริสุทธิ์และสะอาด  หรือกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาคิดโดยส่วนตัวว่าไม่มีรอยเปื้อนหรือไร้มลทิน  ยกตัวอย่างเช่น ผู้คนบางคนได้กล่าวว่าดอกบัวนั้นสะอาด และว่ามันเบ่งบานแบบไร้มลทินจากโคลนตมสกปรก  ดังนั้นผู้คนจึงได้เริ่มประยุกต์ใช้คำว่า “บริสุทธิ์” กับดอกบัว  ผู้คนบางคนมองเห็นเรื่องราวความรักที่แต่งขึ้นว่าบริสุทธิ์ หรือพวกเขาอาจมีทรรศนะว่าตัวละครอันน่าทึ่งประทับใจที่เสกสรรขึ้นบางตัวนั้นบริสุทธิ์  ยิ่งไปกว่านั้น บางคนพิจารณาว่าผู้คนจากพระคัมภีร์ หรือคนอื่นๆ ที่ได้รับการบันทึกไว้ในหนังสือฝ่ายจิตวิญญาณทั้งหลาย เช่น เหล่าวิสุทธิชน อัครทูตทั้งหลาย หรือคนอื่นๆ ที่ครั้งหนึ่งเคยติดตามพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงพระราชกิจของพระองค์—ว่าได้ผ่านประสบการณ์ฝ่ายจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์  เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่ผู้คนคิดฝันไปเอง สิ่งเหล่านี้คือมโนคติที่หลงผิดที่มนุษย์ยึดถือ  เหตุใดผู้คนจึงยึดถือมโนคติที่หลงผิดเช่นนี้เล่า?  เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก กล่าวคือ นั่นเป็นเพราะผู้คนดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและอาศัยอยู่ในโลกที่เลวและโสมม  ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเห็น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสัมผัส ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขามีประสบการณ์ด้วยก็คือความเลวและความเสื่อมทรามของซาตาน ตลอดจนการวางกลอุบาย การต่อสู้กันเอง และสงครามที่เกิดขึ้นท่ามกลางผู้คนภายใต้อิทธิพลของซาตาน  เพราะฉะนั้น แม้เมื่อพระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ในผู้คน และแม้เมื่อพระองค์ตรัสกับพวกเขาและทรงเปิดเผยพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระองค์ พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะมองเห็นหรือรู้จักความบริสุทธิ์และแก่นแท้ของพระเจ้าได้  บ่อยครั้งที่ผู้คนพูดว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ แต่พวกเขาขาดพร่องความเข้าใจที่แท้จริง พวกเขาเพียงแค่กำลังกล่าวคำพูดที่ว่างเปล่า  เพราะผู้คนดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสโครกและความเสื่อมทราม และอยู่ในอำนาจของซาตาน และพวกเขาไม่เห็นความสว่าง ไม่รู้จักสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องเชิงบวกเลย และยิ่งไปกว่านั้น ไม่รู้จักความจริง ไม่มีผู้ใดรู้อย่างแท้จริงเลยว่า “บริสุทธิ์” หมายถึงอะไร  ดังนั้น มีสิ่งที่บริสุทธิ์หรือผู้คนที่บริสุทธิ์อยู่ท่ามกลางมนุษยชาติที่เสื่อมทรามนี้บ้างหรือไม่?  พวกเราสามารถกล่าวด้วยความมั่นใจได้ว่า ไม่ ไม่มี เพราะมีเพียงแก่นแท้ของพระเจ้าเท่านั้นที่บริสุทธิ์

ครั้งที่แล้ว พวกเราได้สามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับแง่มุมหนึ่งที่ว่า เนื้อแท้ของพระเจ้านั้นบริสุทธิ์อย่างไร  การนี้ได้จัดเตรียมแรงบันดาลใจบางอย่างให้แก่ผู้คนในการได้รับความรู้เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แต่นั่นไม่เพียงพอ  นั่นไม่สามารถพอที่จะทำให้ผู้คนรู้จักความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งนั่นยังไม่สามารถพอที่จะทำให้พวกเขาเข้าใจได้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้านั้นเป็นเอกลักษณ์  ยิ่งไปกว่านั้น นั่นไม่สามารถพอที่จะทำให้ผู้คนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของความบริสุทธิ์ที่จำแลงร่างขึ้นอย่างครบถ้วนในพระเจ้าได้  ดังนั้น จึงมีความจำเป็นที่พวกเราต้องสานต่อการสามัคคีธรรมของพวกเราในเรื่องนี้ต่อไป  ครั้งที่แล้ว การสามัคคีธรรมของพวกเราได้กล่าวถึงสามหัวข้อ ดังนั้น บัดนี้พวกเราควรสนทนาหัวข้อที่สี่กัน  พวกเราจะเริ่มต้นด้วยการอ่านจากคัมภีร์ทั้งหลาย

การทดลองของซาตาน

มัทธิว 4:1-4  ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาทดลอง และพระองค์ทรงอดอาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงหิว ส่วนผู้ทดลองมาหาพระองค์ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง” พระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’”

เหล่านี้คือคำพูดที่มารใช้เพื่อพยายามทดลององค์พระเยซูเจ้าเป็นครั้งแรก  เนื้อหาของสิ่งที่มารได้กล่าวไว้คืออะไร?  (“ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”)  คำพูดที่มารได้พูดไปเหล่านี้ช่างเรียบง่ายทีเดียว ว่าแต่มีปัญหาเกี่ยวกับแก่นแท้ของคำพูดเหล่านี้หรือไม่?  มารกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า” แต่ในหัวใจของมันนั้น มันรู้หรือมันไม่รู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า?  มันรู้หรือมันไม่รู้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์  (มันรู้)  เช่นนั้นแล้วเหตุใดมันจึงกล่าวว่า “ถ้าท่านเป็น”?  (มันกำลังพยายามที่จะทดลองพระเจ้า)  แต่จุดประสงค์ของมันในการทำเช่นนั้นคืออะไรหรือ?  มันได้กล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า”  ในหัวใจของมันนั้น มันรู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า มันรู้อยู่แก่ใจของมัน แต่ทั้งที่รู้การนี้ มันได้นบนอบต่อพระองค์และนมัสการพระองค์หรือไม่?  (ไม่)  มันต้องการทำสิ่งใด?  มันต้องการที่จะใช้วิธีการนี้และคำพูดเหล่านี้เพื่อทำให้องค์พระเยซูเจ้ากริ้ว และจากนั้นจึงหลอกพระองค์ให้กระทำการอยู่ในแนวเดียวกับเจตนาของมัน  นี่ไม่ใช่ความหมายเบื้องหลังคำพูดของมารหรอกหรือ?  ในหัวใจของซาตาน มันรู้อย่างชัดเจนว่านี่คือองค์พระเยซูคริสต์เจ้า แต่อย่างไรก็ดีมันได้กล่าวคำพูดเหล่านี้ไป  นี่ไม่ใช่ธรรมชาติของซาตานหรอกหรือ?  ธรรมชาติของซาตานคือสิ่งใด?  (กลับกลอก เลว และไม่มีความยำเกรงต่อพระเจ้า)  ผลสืบเนื่องใดหรือที่จะส่งผลจากการไม่มีความยำเกรงต่อพระเจ้า?  นั่นไม่ใช่การที่มันต้องการโจมตีพระเจ้าหรอกหรือ?  มันได้ต้องการใช้วิธีการนี้โจมตีพระเจ้า และดังนั้นมันจึงได้กล่าวว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”  นี่ไม่ใช่เจตนาชั่วของซาตานหรอกหรือ?  จริงๆ แล้วมันกำลังพยายามที่จะทำสิ่งใด?  จุดประสงค์ของมันชัดแจ้งมาก กล่าวคือ มันกำลังพยายามที่จะใช้วิธีการนี้เพื่อปฏิเสธพระสถานภาพและพระอัตลักษณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า  สิ่งที่ซาตานหมายถึงในคำพูดเหล่านั้นก็คือ “หากท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงแปรสภาพก้อนหินเหล่านี้ให้เป็นขนมปัง  หากท่านไม่สามารถทำการนี้ได้ เช่นนั้นแล้วท่านก็ไม่ใช่พระบุตรของพระเจ้า ดังนั้น ท่านก็ไม่ควรดำเนินงานของท่านอีกต่อไป”  การนี้ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  มันต้องการที่จะใช้วิธีการนี้เพื่อโจมตีพระเจ้า มันต้องการที่จะรื้อถอนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้า นี่คือความมุ่งร้ายของซาตาน  การปองร้ายของมันเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติถึงธรรมชาติของมัน  ถึงแม้ว่ามันจะรู้ว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เป็นการประสูติเป็นมนุษย์จริงๆ ของพระเจ้าพระองค์เอง แต่มันก็อดไม่ได้ที่จะทำสิ่งประเภทนี้ โดยติดตามเบื้องหลังพระปฤษฎางค์ของพระเจ้าอย่างใกล้ชิด โจมตีพระองค์อย่างยืนกรานไม่ลดละและพยายามอย่างหนักที่จะก่อกวนและก่อวินาศกรรมต่อพระราชกิจของพระเจ้า

บัดนี้ พวกเรามาชำแหละวลีที่ซาตานพูดนี้กันเถิด นั่นคือ “จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นขนมปัง”  การแปรสภาพก้อนหินให้เป็นขนมปัง—นี่หมายถึงสิ่งใดหรือไม่?  หากมีอาหาร เหตุใดจึงไม่กินอาหาร?  เหตุใดจึงจำเป็นต้องแปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหาร?  สามารถกล่าวได้หรือว่า ตรงนี้ไม่มีความหมายอะไรอยู่เลย?  ถึงแม้ว่าพระองค์กำลังทรงอดพระกระยาหารอยู่ ณ เวลานั้น แน่หรือว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงมีพระกระยาหารเพื่อเสวย?  (พระองค์ทรงมี)  ดังนั้น ตรงนี้ พวกเราสามารถมองเห็นความวิปริตในคำพูดของซาตานได้  สำหรับการหักหลังและการคิดร้ายทั้งหมดของซาตานนั้น พวกเรายังคงสามารถมองเห็นความวิปริตและความไร้สาระของมัน  ซาตานทำสิ่งทั้งหลายมากมายที่ทำให้พวกเจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติที่คิดร้ายของมัน เจ้าสามารถมองเห็นว่ามันทำสิ่งทั้งหลายที่ก่อวินาศกรรมต่อพระราชกิจของพระเจ้า และเมื่อเห็นการนี้ เจ้ารู้สึกว่ามันน่าเกลียดชังและน่าโกรธเกรี้ยว  แต่ในทางตรงกันข้าม เจ้าไม่เห็นธรรมชาติที่เป็นเด็กไม่รู้จักโตและน่าขันเบื้องหลังคำพูดและการกระทำของมันหรอกหรือ?  นี่เป็นการเปิดเผยหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของซาตาน ในเมื่อมันมีธรรมชาติประเภทนี้ มันก็จะทำสิ่งประเภทนี้  สำหรับผู้คนในวันนี้ คำพูดเหล่านี้ของซาตานวิปริตและน่าหัวเราะ  แต่ซาตานก็มีความสามารถในการเปล่งคำพูดเช่นนั้นจริงๆ  พวกเราพูดได้หรือไม่ว่ามันไม่รู้เท่าทันและไร้สาระ?  ความเลวของซาตานมีอยู่ทั่วทุกหนแห่งและเผยตัวออกมาอยู่ตลอดเวลา  และองค์พระเยซูเจ้าตรัสตอบมันอย่างไรหรือ?  (“มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”)  พระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจอันใดบ้างหรือไม่?  (พระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจ)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวว่าพระวจนะเหล่านี้มีพลังอำนาจ?  นั่นก็เพราะว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง  บัดนี้ มนุษย์ดำรงชีวิตด้วยขนมปังเพียงอย่างเดียวหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าทรงอดพระกระยาหารเป็นเวลาสี่สิบวันและสี่สิบคืน  พระองค์ไม่ได้ทรงอดอยากจนสิ้นพระชนม์หรอกหรือ?  พระองค์ไม่ได้อดอยากจนสิ้นพระชนม์ ดังนั้นซาตานจึงได้เข้าหาพระองค์ กระตุ้นเตือนพระองค์ให้แปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหารโดยพูดสิ่งทั้งหลายเช่น “หากท่านแปรสภาพก้อนหินให้เป็นอาหารได้ เช่นนั้นแล้วท่านก็จะมีของให้กินไม่ใช่หรือ?  เช่นนั้นแล้วท่านก็จะไม่ต้องอดอาหาร ไม่ต้องหิวอีกต่อไปไม่ใช่หรือ?”  แต่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้”  ซึ่งหมายความว่า ถึงแม้มนุษย์มีชีวิตอยู่ในร่างทางกายภาพ แต่ก็ไม่ใช่อาหารที่ช่วยให้ร่างทางกายภาพของเขามีชีวิตอยู่หรือหายใจได้ แต่เป็นพระวจนะทุกคำที่ดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าต่างหาก  ในด้านหนึ่ง พระวจนะเหล่านี้เป็นความจริง  พระวจนะเหล่านี้ให้ความเชื่อแก่ผู้คน ทำให้พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาสามารถพึ่งพาอาศัยพระเจ้าได้ และว่าพระองค์ทรงเป็นความจริง  ในอีกด้านหนึ่ง มีแง่มุมที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงต่อพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้ายังคงประทับยืนอยู่ ยังคงดำรงพระชนม์อยู่หลังการอดพระกระยาหารสี่สิบวันและสี่สิบคืนมิใช่หรือ?  นี่มิใช่ตัวอย่างจริงหรอกหรือ?  พระองค์มิได้เสวยพระกระยาหารมาเป็นเวลาสี่สิบวันและสี่สิบคืน แต่กระนั้นพระองค์ยังคงดำรงพระชนม์อยู่  นี่คือหลักฐานอันทรงพลังซึ่งยืนยันถึงความจริงแห่งพระวจนะของพระองค์  พระวจนะเหล่านั้นเรียบง่าย แต่สำหรับองค์พระเยซูเจ้าแล้วนั้น พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านั้นเฉพาะเมื่อซาตานทดลองพระองค์เท่านั้น หรือพระวจนะเหล่านั้นเป็นส่วนหนึ่งของพระองค์โดยธรรมชาติอยู่แล้ว?  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระเจ้าทรงเป็นความจริง และพระเจ้าทรงเป็นชีวิต แต่ความจริงและชีวิตของพระเจ้านั้นเป็นการเพิ่มเติมในภายหลังหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นเกิดจากประสบการณ์ในเวลาต่อมาหรือไม่?  ไม่—สิ่งเหล่านั้นมีมาแต่เดิมในพระเจ้า  กล่าวคือ ความจริงและชีวิตคือเนื้อแท้ของพระเจ้า  ไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่เกิดขึ้นกับพระองค์ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเปิดเผยล้วนเป็นความจริง  ความจริงนี้ พระวจนะเหล่านี้—ไม่ว่าเนื้อหาของพระดำรัสจะยาวหรือสั้น—ก็สามารถทำให้มนุษย์มีชีวิตและให้ชีวิตแก่มนุษย์ได้ พระวจนะเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนมีความสามารถที่จะได้รับความจริงและความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับเส้นทางแห่งชีวิตมนุษย์ และทำให้พวกเขามีความสามารถที่จะมีความเชื่อในพระเจ้าได้  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ที่มาของการที่พระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากพระวจนะเหล่านี้เป็นไปในเชิงบวก  ดังนั้น พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าสิ่งที่เป็นเชิงบวกนี้บริสุทธิ์?  (ได้)  คำพูดเหล่านั้นของซาตานมาจากธรรมชาติของซาตาน  ซาตานเผยธรรมชาติที่เลวและคิดร้ายของมันไปทั่วทุกหนแห่งอยู่เนืองนิตย์  บัดนี้ ซาตานทำการเปิดเผยเหล่านี้อย่างเป็นธรรมชาติหรือไม่?  มีใครชี้นำให้มันทำการนี้หรือไม่?  มีใครช่วยมันหรือไม่?  มีใครบังคับขู่เข็ญมันหรือไม่?  ไม่มี  มันทำการเปิดเผยทั้งหมดเหล่านี้ด้วยความพร้อมใจของมันเอง  นี่คือธรรมชาติอันเลวของซาตาน  สิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าทรงทำ และพระองค์ทรงทำมันอย่างไรก็ตาม ซาตานตามติดทุกย่างพระบาทของพระองค์  สาระสำคัญและธรรมชาติที่แท้จริงของสิ่งเหล่านี้ที่ซาตานพูดและทำนั้นเป็นธาตุแท้ของซาตาน—ธาตุแท้ที่เลวและคิดร้าย  บัดนี้ เมื่อพวกเราอ่านต่อไป ซาตานได้พูดอะไรอื่นอีกหรือไม่?  พวกเราจงมาอ่านกันเถิด

มัทธิว 4:5-7  แล้วมารก็นำพระองค์ไปยังนครบริสุทธิ์ และให้พระองค์ประทับที่ยอดหลังคาพระวิหาร แล้วทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน’” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’”

ก่อนอื่นพวกเรามาดูคำพูดที่ซาตานได้กล่าวไว้ตรงนี้กันเถิด  ซาตานได้พูดว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงกระโดดลงไป”  และต่อมามันได้อ้างคำพูดจากคัมภีร์ทั้งหลายว่า “พระเจ้าจะรับสั่งเรื่องท่านต่อบรรดาทูตสวรรค์ของพระองค์ และทูตสวรรค์จะเอามือประคองชูท่านไว้ ไม่ให้เท้าของท่านกระทบหิน”  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินคำพูดของซาตาน?  คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโตอย่างยิ่งมิใช่หรือ?  คำพูดเหล่านั้นเป็นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต วิปริต และน่าขยะแขยง  เหตุใดเราจึงกล่าวเช่นนี้?  ซาตานมักทำสิ่งที่โง่เขลาทั้งหลาย และมันเชื่อว่าตัวมันเองหลักแหลมมาก  บ่อยครั้งที่มันอ้างคำพูดทั้งหลายจากคัมภีร์—แม้กระทั่งพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเอง—โดยพยายามที่จะพลิกพระวจนะเหล่านั้นกลับมาหาพระเจ้าเพื่อโจมตีพระองค์และเพื่อทดลองพระองค์ด้วยความพยายามที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของมันในการก่อวินาศกรรมต่อแผนการแห่งพระราชกิจของพระเจ้า  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดในคำพูดเหล่านี้ที่ซาตานพูดหรือไม่?  (ซาตานเก็บงำเจตนาอันเลวเอาไว้)  ในทุกสิ่งที่ซาตานทำนั้น มันได้พยายามที่จะทดลองมวลมนุษย์อยู่เสมอ  ซาตานไม่ได้พูดอย่างตรงไปตรงมา แต่พูดในหนทางที่อ้อมค้อมโดยใช้การทดลอง การชักจูง และยั่วใจ  ซาตานทดลองพระเจ้าด้วยท่าทีเหมือนว่าพระองค์ทรงเป็นมนุษย์ธรรมดา โดยเชื่อว่าพระองค์ย่อมไม่ทรงรู้เท่าทัน ทรงโง่เขลา และไม่ทรงสามารถแยกแยะรูปสัณฐานที่แท้จริงของสิ่งทั้งหลายได้อย่างชัดเจนไม่ผิดกับที่มนุษย์ก็ไม่มีความสามารถแยกแยะได้เช่นกัน  ซาตานคิดว่าพระเจ้าและมนุษย์ก็เหมือนกันที่ไม่มีความสามารถที่จะมองทะลุถึงธาตุแท้ของมันและความหลอกลวงและเจตนาส่อแววร้ายของมัน  นี่ไม่ใช่สิ่งที่เป็นความโง่เขลาของซาตานหรอกหรือ?  ยิ่งไปกว่านั้น  ซาตานอ้างคำพูดจากคัมภีร์ทั้งหลายอย่างเปิดเผย โดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นจะเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับมัน และว่าเจ้าจะไม่สามารถจับข้อตำหนิใดๆ ในคำพูดของมันหรือหลีกเลี่ยงการถูกหลอกได้  นี่ไม่ใช่ความไร้สาระและความเป็นเด็กไม่รู้จักโตของซาตานหรอกหรือ?  การนี้เป็นเหมือนกันไม่มีผิดกับตอนที่ผู้คนเผยแพร่ข่าวประเสริฐและเป็นพยานต่อพระเจ้า กล่าวคือ บางครั้งพวกผู้ปราศจากความเชื่อก็พูดบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันกับสิ่งที่ซาตานพูดไม่ใช่หรือ?  พวกเจ้าได้ยินผู้คนพูดบางสิ่งบางอย่างที่คล้ายกันแล้วหรือไม่?  เจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินสิ่งทั้งหลายดังกล่าวนั้น?  เจ้ารู้สึกขยะแขยงใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อเจ้ารู้สึกขยะแขยง เจ้าก็รู้สึกไม่ชอบและเกลียดชังใช่หรือไม่?  เมื่อเจ้ามีความรู้สึกเหล่านี้เจ้าสามารถระลึกได้หรือไม่ว่าซาตานและอุปนิสัยเสื่อมทรามที่ซาตานทำงานเข้าไปในตัวมนุษย์นั้นเป็นความเลว?  ในหัวใจของเจ้า เจ้าเคยมีความตระหนักนี้หรือไม่ว่า “เมื่อซาตานพูด มันทำเช่นนั้นเพื่อให้เป็นการโจมตีและการทดลอง คำพูดของซาตานนั้นไร้สาระ น่าหัวเราะ เป็นเด็กที่ไม่รู้จักโต และน่าขยะแขยง อย่างไรก็ตาม พระเจ้าคงจะไม่มีวันตรัสหรือทรงพระราชกิจในหนทางเช่นนั้น และที่จริงแล้วพระองค์ก็ไม่เคยทรงทำเช่นนั้น”?  แน่นอนว่า ในสถานการณ์นี้ผู้คนมีความสามารถสำนึกรับรู้ถึงมันได้เพียงเลือนรางเท่านั้น และยังคงไม่มีความสามารถที่จะจับความเข้าใจความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้  ด้วยวุฒิภาวะปัจจุบันของพวกเจ้านั้น พวกเจ้าแค่รู้สึกว่า “ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสคือความจริง เป็นประโยชน์ต่อพวกเรา และพวกเราต้องยอมรับการนั้น”  ไม่ว่าเจ้าจะสามารถยอมรับการนี้ได้หรือไม่ก็ตาม เจ้าพูดโดยไม่มีการยกเว้นว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง และว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง แต่เจ้าไม่รู้ว่าความจริงโดยตัวของมันเองนั้นบริสุทธิ์และว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์

ดังนั้น การโต้ตอบของพระเยซูต่อคำพูดเหล่านี้ของซาตานเป็นอย่างไร?  พระเยซูได้ตรัสกับมันว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้อีกว่า ‘อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน’” มีความจริงในพระวจนะเหล่านี้ที่พระเยซูตรัสหรือไม่?  แน่นอนว่ามีความจริงอยู่ในพระวจนะเหล่านี้  โดยผิวเผินแล้ว พระวจนะเหล่านี้เป็นพระบัญชาหนึ่งสำหรับผู้คนที่จะติดตาม เป็นวลีที่เรียบง่าย แต่กระนั้นอย่างไรก็ตาม ทั้งมนุษย์และซาตานมักก้าวล่วงพระวจนะเหล่านี้บ่อยครั้ง  ดังนั้น องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับซาตานว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน” เพราะการนี้เป็นสิ่งที่ซาตานทำบ่อยครั้ง โดยพยายามอย่างหนักขณะที่มันดำเนินการเรื่องนี้  สามารถกล่าวได้ว่าซาตานทำการนี้อย่างหน้าไม่อายและปราศจากความละอาย  มันอยู่ในแก่นแท้ธรรมชาติของซาตานที่ไม่ครั่นคร้ามต่อพระเจ้าและที่ไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า  ถึงแม้เมื่อซาตานได้ยืนเคียงข้างพระเจ้าและสามารถมองเห็นพระองค์ มันก็อดไม่ได้ที่ตัวมันจะทำการทดลองพระเจ้า  เพราะฉะนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสกับซาตานว่า “อย่าทดลององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน”  เหล่านี้คือพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสกับซาตานบ่อยครั้ง  ดังนั้น มันถูกต้องเหมาะสมหรือไม่ที่จะนำวลีนี้มาประยุกต์ใช้ในปัจจุบัน?  (ใช่ เพราะพวกเราก็มักจะทดลองพระเจ้าบ่อยครั้งด้วยเช่นกัน)  เหตุใดผู้คนจึงมักจะทดลองพระเจ้าอยู่บ่อยๆ?  นั่นเป็นเพราะผู้คนเต็มไปด้วยอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดังนั้นคำพูดของซาตานข้างต้นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนมักพูดบ่อยครั้งใช่หรือไม่?  และผู้คนพูดคำพูดเหล่านี้ในสถานการณ์ใด?  คนเราอาจสามารถพูดได้ว่าผู้คนพูดสิ่งทั้งหลายเช่นนี้มาโดยตลอดโดยไม่คำนึงถึงเวลาและสถานที่  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าอุปนิสัยของผู้คนนั้นไม่แตกต่างไปจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานเลย  องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสพระวจนะซึ่งเรียบง่ายไม่กี่คำ พระวจนะซึ่งเป็นตัวแทนของความจริง พระวจนะซึ่งผู้คนจำเป็นต้องมี  อย่างไรก็ตาม ในสถานการณ์นี้ องค์พระเยซูเจ้ากำลังตรัสในหนทางเช่นนี้เพื่อโต้เถียงกับซาตานกระนั้นหรือ?  มีสิ่งใดที่เป็นการเผชิญหน้าด้วยความรุนแรงอยู่ในสิ่งที่พระองค์ตรัสกับซาตานหรือไม่?  (ไม่มี)  องค์พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกอย่างไรในพระทัยของพระองค์เกี่ยวกับการทดลองของซาตาน?  พระองค์ทรงรู้สึกขยะแขยงและผลักไสหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าทรงรู้สึกผลักไสและขยะแขยง แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงโต้เถียงกับซาตาน และนับประสาอะไรที่พระองค์จะได้ตรัสถึงหลักการยิ่งใหญ่อันใด  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า?  (ก็เพราะซาตานเป็นเช่นนี้เสมอ มันไม่เคยเปลี่ยนแปลงได้เลย)  กล่าวได้หรือไม่ว่าซาตานไม่สะทกสะท้านกับเหตุผล?  (ใช่)  ซาตานสามารถระลึกได้หรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง?  ซาตานจะไม่มีวันระลึกได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงและจะไม่มีวันยอมรับว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริง นี่คือธรรมชาติของมัน  ยังมีอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของซาตานที่น่าผลักไส  สิ่งนั้นคืออะไรหรือ?  ในความพยายามของมันที่จะทดลององค์พระเยซูเจ้านั้น ซาตานได้คิดไปว่าต่อให้มันไม่ได้ประสบความสำเร็จ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็จะยังคงพยายามทำเช่นนั้นอยู่  แม้ว่ามันจะถูกลงโทษ แต่มันก็ได้เลือกแล้วที่จะลองพยายาม  แม้ว่ามันคงจะไม่ได้รับข้อได้เปรียบเลยจากการทำเช่นนั้น แต่ไม่ว่าอย่างไรมันก็จะลองพยายาม ยืนกรานในความพยายามของมันและยืนหยัดต่อต้านพระเจ้าจนถึงที่สุด  นี่คือธรรมชาติจำพวกใดกัน?  นี่เลวมิใช่หรือ?  หากมนุษย์โกรธเกรี้ยวและบันดาลโทสะขึ้นมาเมื่อมีการเอ่ยถึงพระเจ้า เขาเคยเห็นพระเจ้าแล้วหรือไร?  เขารู้หรือไม่ว่าพระเจ้าคือใคร?  เขาไม่รู้ว่าพระเจ้าเป็นใคร ไม่เชื่อในพระองค์ และพระเจ้าก็ไม่เคยตรัสกับเขา  พระเจ้าไม่เคยสร้างปัญหาให้เขา ดังนั้นเหตุใดเขาจึงต้องโมโห?  พวกเราพูดได้หรือไม่ว่าบุคคลผู้นี้เลว?  กระแสนิยมทางโลก การกิน การดื่ม และการแสวงหาความหรรษายินดี การไล่ตามคนเด่นคนดัง—ไม่มีสิ่งใดในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่จะทำให้ผู้คนเช่นนั้นรู้สึกทุกข์ร้อน  อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการกล่าวถึงคำว่า “พระเจ้า” หรือความจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า เขาก็บันดาลโทสะขึ้นมา  การมีธรรมชาติอันเลวย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ?  การนี้เพียงพอที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่านี่คือธรรมชาติอันเลวของมนุษย์  ตอนนี้ เมื่อพูดถึงตัวของพวกเจ้าเอง มีหรือไม่ เวลาที่พวกเจ้ารู้สึกไม่ชอบเมื่อมีการกล่าวถึงความจริง หรือเมื่อมีการกล่าวถึงการทดสอบมวลมนุษย์ของพระเจ้า หรือพระวจนะเกี่ยวกับการพิพากษามนุษย์ของพระเจ้า พวกเจ้ารู้สึกผลักไส และพวกเจ้าไม่ต้องการได้ยินสิ่งทั้งหลาย เช่นนั้น?  หัวใจของพวกเจ้าอาจคิดว่า “ผู้คนทั้งหมดล้วนพูดว่าพระเจ้าทรงเป็นความจริงไม่ใช่หรือ?  พระวจนะเหล่านี้บางคำไม่ใช่ความจริง!  เห็นได้ชัดว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นเพียงพระวจนะแห่งการตักเตือนมายังมนุษย์!”  ผู้คนบางคนอาจถึงขั้นรู้สึกไม่ชอบอย่างรุนแรงในหัวใจของพวกเขา และคิดว่า “การนี้ถูกพูดถึงทุกวัน—การทดสอบของพระองค์ การพิพากษาของพระองค์ เมื่อใดหรือมันถึงจะจบสิ้น?  เมื่อใดพวกเราถึงจะได้รับบั้นปลายที่ดี?”  ไม่มีใครรู้ว่าความโมโหแบบไม่มีเหตุผลนี้มาจากไหน  นี่เป็นธรรมชาติจำพวกใดกัน?  (เป็นธรรมชาติที่เลว)  ธรรมชาติแบบนี้มีธรรมชาติอันเลวของซาตานคอยกำกับและชี้นำ  ตามมุมมองของพระเจ้า ในเรื่องของธรรมชาติที่เลวร้ายของซาตานและอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของมนุษย์นั้น พระองค์ไม่เคยทรงโต้เถียงหรือถือสาผู้คน และพระองค์ไม่เคยทรงทำให้เป็นเรื่องใหญ่เมื่อผู้คนกระทำการอย่างโง่เขลา  เจ้าจะไม่มีวันเห็นว่าพระเจ้าทรงมีทรรศนะคล้ายกันกับมนุษย์ในเรื่องของสิ่งทั้งหลาย และที่มากกว่านั้นคือ เจ้าจะไม่เห็นว่าพระองค์ทรงใช้ทัศนคติ ความรู้ วิทยาศาสตร์ ปรัชญา หรือการจินตนาการของมวลมนุษย์เพื่อรับมือกับเรื่องทั้งหลาย  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำและทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงเปิดเผยนั้นเชื่อมโยงกับความจริง  กล่าวคือ พระวจนะทุกคำที่พระองค์ได้ตรัสไปและการกระทำทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงกระทำไปนั้นผูกติดอยู่กับความจริง  ความจริงนี้ไม่ใช่ผลิตผลของความเพ้อฝันบางอย่างซึ่งไร้พื้นฐาน พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยความจริงนี้และพระวจนะเหล่านี้โดยคุณความดีแห่งแก่นแท้ของพระองค์และพระชนม์ชีพของพระองค์  เนื่องจากพระวจนะเหล่านี้และแก่นแท้ของทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำไปนั้นคือความจริง พวกเราจึงสามารถพูดได้ว่าแก่นแท้ของพระเจ้าบริสุทธิ์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าตรัสและทรงกระทำนำพาความมีชีวิตชีวาและความสว่างมาให้ผู้คน ทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวกและความเป็นจริงของสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวกเหล่านั้น และชี้หนทางให้แก่มนุษยชาติเพื่อที่พวกเขาจะได้เดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง  สิ่งเหล่านี้ล้วนได้รับการกำหนดพิจารณาโดยแก่นแท้ของพระเจ้าและโดยแก่นแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระองค์  พวกเจ้ามองเห็นการนี้แล้วในตอนนี้มิใช่หรือ?  บัดนี้ พวกเราจะไปต่อกันด้วยการอ่านอีกครั้งจากคัมภีร์

มัทธิว 4:8-11  อีกครั้งหนึ่งมารได้นำพระองค์ขึ้นไปบนภูเขาที่สูงมาก และได้แสดงบรรดาราชอาณาจักรในโลก ทั้งความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์ทอดพระเนตร แล้วได้ทูลพระองค์ว่า “ถ้าท่านจะก้มลงนมัสการเรา เราจะให้สิ่งทั้งปวงเหล่านี้แก่ท่าน” พระเยซูจึงตรัสตอบว่า “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า ‘จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว’” แล้วมารจึงไปจากพระองค์ และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์

ครั้นลูกเล่นสองครั้งก่อนของมันล้มเหลว มารซาตานก็ยังได้พยายามอีกครั้ง กล่าวคือ มันได้แสดงราชอาณาจักรทั้งหมดในโลกและความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้องค์พระเยซูเจ้าทอดพระเนตร และได้ขอให้พระองค์นมัสการมัน  เจ้าสามารถมองเห็นสิ่งใดเกี่ยวกับคุณสมบัติเฉพาะที่แท้จริงของมารจากสถานการณ์นี้?  มารซาตานไม่ใช่ไร้ยางอายโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  (ใช่)  มันไร้ยางอายอย่างไร?  ทุกสรรพสิ่งถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นซาตานยังได้หันกลับ และแสดงทุกสรรพสิ่งให้พระเจ้าทอดพระเนตร โดยกล่าวว่า “จงมองดูความอุดมด้วยโภคทรัพย์และความรุ่งโรจน์ของทุกสิ่งในราชอาณาจักรเหล่านี้ หากพระองค์นมัสการเรา เราจะมอบทั้งหมดนี้ให้แก่พระองค์”  นี่ไม่ใช่การพลิกบทบาทโดยสิ้นเชิงหรอกหรือ?  ซาตานไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ?  พระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง แต่พระองค์ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งขึ้นมาเพื่อความชื่นชมยินดีของพระองค์เองกระนั้นหรือ?  พระเจ้าได้ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างแก่มวลมนุษย์ แต่ซาตานต้องการที่จะยึดมันทั้งหมดและครั้นได้ยึดมันทั้งหมดไปแล้ว มันก็มาบอกพระเจ้าว่า “จงนมัสการเรา!  นมัสการเราแล้วเราจะมอบทั้งหมดนี้แก่พระองค์”  นี่คือโฉมหน้าอันอัปลักษณ์ของซาตาน มันไร้ยางอายโดยสิ้นเชิง!  ซาตานไม่รู้แม้กระทั่งความหมายของคำว่า “ละอาย”  นี่เป็นเพียงอีกตัวอย่างหนึ่งของความเลวของมันเท่านั้น  มันไม่รู้แม้กระทั่งว่าความละอายคืออะไร  ซาตานรู้อย่างชัดเจนว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่งและว่าพระองค์ทรงบริหารจัดการและทรงมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  ทุกสรรพสิ่งไม่ใช่เป็นของมนุษย์ และนับประสาอะไรที่จะเป็นของซาตาน แต่เป็นของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้นมารซาตานยังได้กล่าวอย่างหน้าไม่อายว่ามันจะให้ทุกสรรพสิ่งแก่พระเจ้า  นี่มิใช่อีกตัวอย่างหนึ่งของการที่ซาตานกระทำการอย่างไร้สาระและอย่างไร้ยางอายอีกครั้งหนึ่งหรอกหรือ?  การนี้เป็นเหตุให้พระเจ้าทรงเกลียดชังซาตานมากยิ่งขึ้นไปอีกมิใช่หรือ?  ถึงกระนั้นไม่สำคัญว่าซาตานได้พยายามสิ่งใด องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกหลอกหรือไม่?  องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสสิ่งใด?  (“จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”)  พระวจนะเหล่านี้มีความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่?  (มี)  เป็นความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในแบบใด?  พวกเรามองเห็นความเลวและความไร้ยางอายของซาตานในวาทะของมัน  ดังนั้นหากมนุษย์เคารพบูชาซาตาน บทอวสานจะเป็นอย่างไร?  พวกเขาจะได้รับความอุดมด้วยโภคทรัพย์และความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรทั้งหมดหรือไม่?  (ไม่)  พวกเขาจะได้รับสิ่งใด?  มวลมนุษย์จะแค่กลายเป็นไร้ยางอายและน่าหัวเราะเหมือนซาตานหรือไม่?  (ใช่)  เช่นนั้นแล้วพวกเขาคงจะไม่แตกต่างไปจากซาตานเลย  เพราะฉะนั้น องค์พระเยซูเจ้าจึงได้ตรัสพระวจนะเหล่านี้ ซึ่งสำคัญสำหรับมนุษย์ทุกคน นั่นคือ “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว”  นี่หมายความว่านอกจากองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากพระเจ้าพระองค์เองแล้วนั้น หากเจ้ารับใช้สิ่งอื่น หากเจ้าเคารพบูชามารซาตาน เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะเกลือกกลิ้งอยู่ในความโสมมแบบเดียวกันกับซาตาน  และแล้วเจ้าย่อมจะไร้ความละอายและเลวเหมือนซาตาน และเจ้าก็จะทดลองพระเจ้าและโจมตีพระเจ้าเช่นเดียวกันกับซาตาน  เช่นนั้นแล้ว บทอวสานจะเป็นอย่างไรสำหรับเจ้า?  เจ้าคงจะถูกพระเจ้าทรงเกลียด ถูกพระเจ้าทรงตีกระหน่ำลง ถูกพระเจ้าทำลาย  หลังจากซาตานได้ทดลององค์พระเยซูเจ้าหลายครั้งโดยไม่สำเร็จแล้ว มันได้พยายามอีกครั้งหรือไม่?  ซาตานไม่ได้พยายามอีกแล้วจากนั้นมันก็ได้จากไป  การนี้พิสูจน์สิ่งใด?  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าธรรมชาติอันเลวของซาตาน การคิดร้ายของมัน และความไร้สาระกับความวิปริตของมันนั้นไม่คู่ควรที่จะเอ่ยถึงเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยซ้ำ  องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้ซาตานปราชัยด้วยสามประโยคเท่านั้น ซึ่งหลังจากนั้นมันก็โกยอ้าวหนีไปแบบหางจุกก้น อับอายเกินกว่าที่จะแสดงให้เห็นใบหน้าของมัน และมันไม่เคยทดลององค์พระเยซูเจ้าอีกเลย  เนื่องจากองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำให้การทดลองของซาตานครั้งนี้ปราชัยไปแล้ว บัดนี้พระองค์จึงสามารถสานต่อพระราชกิจที่พระองค์จำเป็นต้องทรงกระทำและกิจทั้งหลายซึ่งวางอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้อย่างง่ายดาย  ทุกสิ่งทุกอย่างที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำและได้ตรัสไปในสถานการณ์นี้มีความหมายซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงอันใดหรือไม่สำหรับมนุษย์ทุกคนหากนำมันมาใช้กับวันปัจจุบัน?  (มี)  ความหมายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจำพวกใด?  การทำให้ซาตานปราชัยเป็นสิ่งง่ายที่จะทำกระนั้นหรือ?  ผู้คนต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับธรรมชาติอันเลวของซาตานหรือไม่?  ผู้คนต้องมีความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับการทดลองของซาตานหรือไม่?  (ต้องมี)  เมื่อเจ้ามีประสบการณ์กับการทดลองของซาตานในชีวิตของเจ้าเอง หากเจ้าสามารถมองทะลุธรรมชาติที่เลวของซาตาน เจ้าจะสามารถทำให้มันปราชัยได้หรือไม่?  หากเจ้ารู้ถึงความไร้สาระและความวิปริตของซาตาน เจ้าจะยังคงยืนอยู่ข้างซาตานและโจมตีพระเจ้าหรือไม่?  หากเจ้าเข้าใจว่าการคิดร้ายและความไร้ยางอายของซาตานกำลังถูกเปิดเผยโดยผ่านทางตัวเจ้าอย่างไร—หากเจ้าระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ได้และเข้าใจอย่างชัดเจน—เจ้าจะยังคงโจมตีและทดลองพระเจ้าในหนทางนี้อยู่หรือไม่?  (ไม่ พวกเราจะไม่ทำ)  พวกเจ้าจะทำสิ่งใด?  (พวกเราจะกบฏต่อซาตานและทิ้งมันไป)  นั่นเป็นสิ่งง่ายดายที่จะทำกระนั้นหรือ?  นั่นไม่ง่ายเลย  การที่จะทำเช่นนี้ได้นั้น ผู้คนต้องอธิษฐานบ่อยๆ พวกเขาต้องพาตัวเองมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและตรวจสอบตัวเอง  และพวกเขาต้องยอมให้พระเจ้าบ่มวินัย ยอมให้พระองค์พิพากษาและตีสอนพวกเขา  เมื่อทำเช่นนี้เท่านั้น ผู้คนจึงจะค่อยๆ พาตัวเองหลุดจากการถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและควบคุมเอาไว้

บัดนี้ พวกเราจะสรุปสิ่งที่ประกอบกันขึ้นเป็นธาตุแท้ของซาตาน โดยดูที่คำพูดทั้งหมดที่ซาตานกล่าวออกมา  ก่อนอื่น โดยทั่วไปแล้วสามารถกล่าวได้ว่าธาตุแท้ของซาตานนั้นเลว ซึ่งตรงข้ามกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เหตุใดเราจึงพูดว่าธาตุแท้ของซาตานนั้นเลว?  เพื่อตอบคำถามนี้ คนเราต้องตรวจดูผลสืบเนื่องของสิ่งที่ซาตานทำกับผู้คน  ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและควบคุมมนุษย์ และมนุษย์กระทำการภายใต้อุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน และดำรงชีวิตอยู่ในพิภพหนึ่งซึ่งผู้คนถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม  มวลมนุษย์ถูกซาตานครอบงำและดูดซึมเข้าไปโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นมนุษย์จึงมีอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน ซึ่งเป็นธรรมชาติของซาตาน  จากทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานได้พูดและทำไปนั้น เจ้าได้เห็นความโอหังของมันแล้วหรือยัง?  เจ้าได้เห็นความหลอกลวงและการคิดร้ายของมันแล้วหรือยัง?  ความโอหังของซาตานส่วนใหญ่แล้วถูกแสดงออกมาอย่างไร?  ซาตานเก็บงำความอยากที่จะยึดครองตำแหน่งของพระเจ้าอยู่ตลอดเวลาหรือไม่?  ซาตานต้องการที่จะฉีกทึ้งพระราชกิจของพระเจ้าและตำแหน่งของพระเจ้า และเอาสิ่งนั้นมาให้ตัวมันเองอยู่ตลอดเวลา เพื่อที่ผู้คนจะได้ติดตาม สนับสนุน และเคารพบูชาซาตาน นี่คือธรรมชาติอันโอหังของซาตาน  เมื่อซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทราม มันบอกพวกเขาตรงๆ หรือไม่ว่าพวกเขาควรทำสิ่งใด?  เมื่อซาตานทดลองพระเจ้า มันออกมาพูดหรือไม่ว่า “ข้าพระองค์กำลังทดลองพระองค์ ข้าพระองค์กำลังจะโจมตีพระองค์”?  มันไม่ทำเช่นนั้นโดยเด็ดขาด  ดังนั้นซาตานใช้วิธีการใด?  มันล่อลวง ทดลอง โจมตี และวางกับดัก และถึงขั้นอ้างพระวจนะจากคัมภีร์  ซาตานพูดและกระทำการในหนทางต่างๆ นานาเพื่อสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ส่อแววร้ายของมันและทำให้เจตนาของมันลุล่วง  หลังจากซาตานได้ทำการนี้แล้ว สามารถมองเห็นสิ่งใดจากสิ่งที่สำแดงอยู่ในตัวมนุษย์?  ผู้คนกลายเป็นโอหังด้วยหรือไม่?  มนุษย์ได้ทนทุกข์จากความเสื่อมทรามของซาตานมาเป็นเวลาหลายพันปี และดังนั้นมนุษย์จึงได้กลายเป็นคนที่โอหัง หลอกลวง คิดร้าย และอยู่เหนือเหตุผล  ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเนื่องจากธรรมชาติของซาตาน  ในเมื่อธรรมชาติของซาตานนั้นเลว มันจึงมอบธรรมชาติที่เลวนี้แก่มนุษย์ และนำอุปนิสัยที่เลวและเสื่อมทรามนี้มาให้มนุษย์  ดังนั้น มนุษย์จึงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน และต้านทานพระเจ้า โจมตีพระเจ้า และทดลองพระองค์เหมือนซาตาน จนถึงขั้นที่มนุษย์ไม่สามารถนมัสการพระเจ้าได้และไม่มีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า

ห้าหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้านี้ ถึงแม้ว่ามันอาจจะเป็นหัวข้อที่คุ้นเคย แต่เมื่อพูดไปแล้วมันก็เป็นหัวข้อที่อาจจะกลายเป็นนามธรรมสักนิดหน่อยสำหรับบางคน และล้ำลึกสักนิดหน่อย และเกินเอื้อมถึงสำหรับพวกเขา  แต่ไม่มีความจำเป็นที่ต้องวิตกกังวล  เราจะช่วยให้พวกเจ้าเข้าใจว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด  ในการที่จะทำความเข้าใจว่าใครบางคนเป็นบุคคลประเภทใด จงดูสิ่งที่เขาทำและผลสุดท้ายของการกระทำของพวกเขา และแล้วเจ้าจะสามารถมองเห็นธาตุแท้ของบุคคลผู้นั้นได้  สามารถกล่าวในลักษณะนี้ได้หรือไม่?  (ได้)  เช่นนั้นแล้ว พวกเรามาสามัคคีธรรมเรื่องความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจากแง่มุมนี้กันก่อนเถิด  สามารถกล่าวได้ว่าธาตุแท้ของซาตานนั้นเลว และดังนั้นการกระทำที่ซาตานทำต่อมนุษย์จึงเป็นการทำให้พวกเขาเสื่อมทรามอย่างไม่หยุดหย่อน  ซาตานเลว ดังนั้นก็แน่นอนว่าผู้คนที่มันทำให้เสื่อมทรามย่อมเลว  มีใครจะพูดหรือไม่ว่า “ซาตานเลว แต่บางทีคนที่มันทำให้เสื่อมทรามนั้นอาจจะมีบางคนบริสุทธิ์ก็เป็นได้”?  นั่นย่อมจะเป็นเรื่องตลกไม่ใช่หรือ?  เรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้หรือไม่?  (ไม่ได้)  ซาตานเลว และภายในความเลวของมันก็มีทั้งด้านที่เป็นแก่นสำคัญและด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  นี่ไม่ใช่แค่การพูดคุยที่ว่างเปล่า  พวกเราไม่ได้กำลังพยายามที่จะใส่ร้ายซาตาน พวกเราแค่กำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงและความเป็นจริง  การสามัคคีธรรมเรื่องความเป็นจริงของหัวข้อนี้อาจทำร้ายผู้คนบางคนหรือกลุ่มเล็กๆ บางกลุ่ม แต่ไม่มีเจตนาที่คิดร้าย บางทีพวกเจ้าอาจจะฟังเรื่องนี้ในวันนี้และรู้สึกอึดอัดนิดหน่อย แต่ในไม่ช้าย่อมจะมีสักวันหนึ่งที่พวกเจ้าสามารถตระหนักได้ พวกเจ้าจะดูหมิ่นตัวเอง และจะรู้สึกว่าสิ่งที่เราพูดในวันนี้เป็นประโยชน์ต่อพวกเจ้าอย่างยิ่งและมีค่าอย่างยิ่ง  ธาตุแท้ของซาตานนั้นเลว ดังนั้นพวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า ผลลัพธ์ของการกระทำของซาตานก็ย่อมเลวไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ผูกติดอยู่กับความเลวของมัน?  (ได้)  ดังนั้นซาตานลงมืออย่างไรในการทำให้มนุษย์เสื่อมทราม?  ในบรรดาความเลวที่ซาตานทำไว้ในโลกและในท่ามกลางมนุษยชาติ มีแง่มุมจำเพาะใดบ้างที่มนุษย์สามารถมองเห็นและล่วงรู้ได้?  พวกเจ้าเคยคิดถึงการนี้มาก่อนหรือไม่?  พวกเจ้าอาจจะไม่เคยใช้ความคิดมากมายกับการนี้ ดังนั้น เราขอหยิบยกประเด็นหลักหลายประเด็นมาพูด  ทุกคนรู้เกี่ยวกับทฤษฎีวิวัฒนาการที่ซาตานเสนอมาใช่หรือไม่?  นี่คือสาขาวิชาหนึ่งของความรู้ที่มนุษย์ศึกษามิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น ตอนแรกซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามและใช้วิธีการเยี่ยงซาตานของมันเองเพื่อสื่อความรู้ให้แก่พวกเขา  ต่อมามันใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม โดยปลุกความสนใจของพวกเขาในความรู้ วิทยาศาสตร์ เรื่องลึกลับ หรือในเรื่องที่ผู้คนอยากสำรวจค้น  สิ่งต่อมาที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามก็คือวัฒนธรรมตามประเพณีและความเชื่อเหนือธรรมชาติ และตามด้วยกระแสนิยมทางสังคม  เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่มนุษย์เผชิญในชีวิตประจำวันของพวกเขา และทั้งหมดดำรงอยู่อย่างสัมพันธ์ใกล้ชิดกับผู้คน สิ่งเหล่านั้นล้วนเชื่อมโยงกับสิ่งทั้งหลายที่พวกเขามองเห็น สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาได้ยิน สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาสัมผัส และสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาได้รับประสบการณ์  คนเราอาจกล่าวได้ว่ามนุษย์ทุกคนดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสิ่งเหล่านี้ ไม่มีความสามารถที่จะหนีรอดหรือปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้นได้ต่อให้พวกเขาต้องการจะทำก็ตาม  เมื่อเผชิญหน้ากับสิ่งเหล่านี้ มวลมนุษย์อับจนหนทาง และทั้งหมดที่มนุษย์สามารถทำได้ก็คือถูกอิทธิพลครอบงำ ติดเชื้อ ถูกควบคุม และถูกผูกมัดโดยสิ่งเหล่านั้น มนุษย์ไร้พลังอำนาจที่จะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระจากสิ่งเหล่านั้น

1. วิธีที่ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

ก่อนอื่น พวกเราจะคุยกันถึงความรู้  ความรู้คือบางสิ่งบางอย่างที่ทุกคนพิจารณาว่าเป็นสิ่งที่เป็นบวกใช่หรือไม่?  อย่างน้อยที่สุด ผู้คนคิดว่าความหมายแฝงของคำว่า “ความรู้” เป็นเชิงบวกมากกว่าเชิงลบ  ดังนั้น เหตุใดพวกเราจึงกำลังกล่าวถึงในที่นี้ว่าซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม?  ทฤษฎีวิวัฒนาการไม่ใช่แง่มุมหนึ่งของความรู้หรอกหรือ?  กฎวิทยาศาสตร์ของนิวตันไม่ใช่ส่วนหนึ่งของความรู้หรอกหรือ?  แรงโน้มถ่วงของโลกก็เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ด้วยมิใช่หรือ?  (ใช่)  ดังนั้น เหตุใด ความรู้จึงถูกระบุรายการให้อยู่ท่ามกลางสิ่งทั้งหลายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม?  ทรรศนะของพวกเจ้าในการนี้เป็นอย่างไร?  ความรู้มีความจริงแม้สักเศษเสี้ยวหนึ่งในตัวมันหรือไม่?  (ไม่มี)  เช่นนั้นแล้ว เนื้อแท้ของความรู้คือสิ่งใด?  ความรู้ทั้งหมดที่ผู้คนขวนขวายได้เรียนรู้นั้นอยู่บนพื้นฐานของสิ่งใด?  มันอยู่บนพื้นฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการใช่หรือไม่?  มิใช่ความรู้หรอกหรือที่มนุษย์ได้มาโดยผ่านทางการสำรวจค้น และการรวมยอด บนพื้นฐานของอเทวนิยม?  ความรู้นี้มีความเชื่อมโยงกับพระเจ้าบ้างหรือไม่?  มันเชื่อมโยงกับการนมัสการพระเจ้าหรือไม่?  มันเชื่อมโยงกับความจริงหรือไม่?  (ไม่)  ดังนั้น ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร?  เราเพิ่งกล่าวไปว่าไม่มีสิ่งใดจากความรู้นี้ที่เชื่อมโยงกับการนมัสการพระเจ้าหรือกับความจริงเลย  ผู้คนบางคนคิดถึงมันเช่นนี้ว่า “ความรู้อาจไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความจริง แต่ถึงอย่างไรมันก็ไม่ได้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม”  ทรรศนะของพวกเจ้าในเรื่องนี้เป็นอย่างไร?  เจ้าได้รับการสอนด้วยความรู้ที่ว่าความสุขของบุคคลหนึ่งต้องสร้างขึ้นด้วยสองมือของพวกเขาเองใช่หรือไม่?  ความรู้สอนเจ้าว่าชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในมือของเขาเองใช่หรือไม่?  (ใช่)  นี่เป็นการพูดคุยประเภทใด?  (มันเป็นการพูดคุยที่ชั่วร้าย)  ถูกต้องที่สุด!  มันเป็นการพูดคุยที่ชั่วร้าย!  ความรู้เป็นเรื่องซับซ้อนที่จะสนทนากัน  เจ้าอาจกล่าวระบุอย่างเรียบง่ายว่าสาขาของความรู้ไม่ใช่สิ่งใดมากไปกว่าความรู้  นั่นก็คือสาขาหนึ่งของความรู้ที่เรียนรู้บนพื้นฐานของการไม่นมัสการพระเจ้าและบนการไม่เข้าใจว่าพระเจ้าได้ทรงสร้างทุกสรรพสิ่ง  เมื่อผู้คนศึกษาความรู้ชนิดนี้ พวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง พวกเขามองไม่เห็นว่าพระเจ้าทรงกำกับดูแลหรือบริหารจัดการทุกสรรพสิ่ง  แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็คือการศึกษาวิจัยและสำรวจค้นความรู้สาขาวิชานั้นอย่างไม่รู้จบ และแสวงค้นคำตอบบนพื้นฐานของความรู้  อย่างไรก็ตาม มันไม่ถูกหรือที่ว่าหากผู้คนไม่เชื่อในพระเจ้าและกลับไล่ตามเสาะหาการศึกษาวิจัยเท่านั้น พวกเขาจะไม่มีวันพบเจอคำตอบที่แท้จริง?  ทั้งหมดที่ความรู้สามารถมอบให้เจ้าได้ก็คือการทำมาหากิน อาชีพการงาน รายได้ เพื่อที่เจ้าจะไม่ต้องหิวโหย แต่มันจะไม่มีวันทำให้เจ้านมัสการพระเจ้า และมันจะไม่มีวันรักษาเจ้าให้ห่างจากความชั่ว  ยิ่งผู้คนศึกษาหาความรู้มากขึ้น พวกเขาก็จะยิ่งอยากกบฏต่อพระเจ้า อยากให้พระเจ้าอยู่ภายใต้การศึกษาของตน อยากทดสอบพระเจ้า และอยากต้านทานพระเจ้ามากขึ้น  ดังนั้น บัดนี้ พวกเรามองเห็นว่าความรู้กำลังสอนสิ่งใดให้ผู้คน?  ทั้งหมดก็คือปรัชญาของซาตานนั่นเอง  ปรัชญาและกฎแห่งการอยู่รอดที่ซาตานเผยแพร่ไปท่ามกลางมนุษย์ที่เสื่อมทรามมีความสัมพันธ์อันใดกับความจริงบ้างหรือไม่?  สิ่งเหล่านั้นไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับความจริงเลย และในข้อเท็จจริงแล้วเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริง  ผู้คนมักกล่าวบ่อยครั้งว่า “ชีวิตคือการเคลื่อนที่” และ “มนุษย์คือเหล็ก ข้าวคือเหล็กกล้า มนุษย์รู้สึกหิวอย่างรุนแรงหากเขาข้ามอาหารไปสักมื้อ” คติพจน์เหล่านี้คือสิ่งใด?  คติพจน์เหล่านี้เป็นเหตุผลวิบัติ และการได้ยินคติพจน์เหล่านี้ทำให้เกิดความรู้สึกขยะแขยง  ในสิ่งที่เรียกว่าความรู้ของมนุษย์นั้น ซาตานได้แทรกปรัชญาของการติดต่อเจรจาทางโลกและการคิดอ่านของมันเอาไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว  และขณะที่ซาตานทำการนี้ มันเปิดโอกาสให้มนุษย์นำการคิด ปรัชญา และทัศนคติของมันไปใช้เพื่อที่มนุษย์อาจปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า ปฏิเสธอำนาจครอบครองของพระเจ้าเหนือสรรพสิ่งและเหนือชะตากรรมของมนุษย์  ดังนั้นขณะที่การศึกษาของมนุษย์ก้าวหน้าไปและเขาได้รับความรู้มากขึ้น เขารู้สึกว่าการดำรงอยู่ของพระเจ้ากลายเป็นคลุมเครือ และอาจถึงขั้นไม่รู้สึกอีกต่อไปว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่  เนื่องจากซาตานได้ปลูกฝังความคิด ทรรศนะ และมโนคติอันหลงผิดบางอย่างไว้ในตัวมนุษย์ ครั้นซาตานได้ปลูกฝังพิษนี้ไว้ในตัวมนุษย์แล้ว มนุษย์ย่อมจะถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทรามมิใช่หรือ?  ดังนั้นพวกเจ้าคิดว่าผู้คนทุกวันนี้ดำเนินชีวิตตามสิ่งใด?  พวกเขาไม่ได้ดำเนินชีวิตตามความรู้และความคิดที่ซาตานปลูกฝังหรอกหรือ?  และสิ่งทั้งหลายที่ซ่อนเร้นอยู่ในความรู้นี้และความคิดทั้งหลาย—สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปรัชญาและน้ำพิษของซาตานหรือ?  มนุษย์ดำเนินชีวิตตามปรัชญาและพิษของซาตาน  และสิ่งใดคือแก่นของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม?  ซาตานต้องการทำให้มนุษย์ปฏิเสธ ต่อต้าน และยืนหยัดคัดค้านพระเจ้าเหมือนที่มันทำ นี่คือเป้าหมายของซาตานในการทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และยังเป็นวิถีทางที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอีกด้วย

พวกเราจะเริ่มด้วยการกล่าวถึงแง่มุมที่ผิวเผินที่สุดของความรู้  ไวยากรณ์และคำพูดในภาษาสามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  คำพูดสามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  คำพูดไม่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้ คำพูดเป็นเครื่องมือที่ผู้คนใช้เพื่อพูดและคำพูดยังเป็นเครื่องมือที่ผู้คนใช้สื่อสารกับพระเจ้าอีกด้วย ไม่ต้องกล่าวถึงว่าในปัจจุบัน ภาษาและคำพูดคือวิธีที่พระเจ้าทรงสื่อสารกับผู้คนด้วย  คำพูดเป็นเครื่องมือ และคำพูดเป็นสิ่งจำเป็น  หนึ่งบวกหนึ่งเท่ากับสอง และสองคูณสองเท่ากับสี่ นี่ไม่ใช่ความรู้หรอกหรือ?  แต่การนี้สามารถทำให้เจ้าเสื่อมทรามได้หรือไม่?  นี่เป็นความรู้ทั่วไป—มันเป็นรูปแบบที่ตายตัว—และดังนั้นมันไม่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้  ดังนั้น ความรู้ประเภทใดหรือที่ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  ความรู้ที่ทำให้เสื่อมทรามคือความรู้ที่ระคนไปด้วยทัศนคติและความคิดของซาตาน  ซาตานพยายามที่จะพร่ำฝังทัศนคติและความคิดเหล่านี้เข้าไปในมนุษยชาติโดยผ่านทางสื่อกลางของความรู้  ยกตัวอย่างเช่น ในบทความหนึ่ง ไม่มีสิ่งใดผิดเกี่ยวกับคำที่เขียนขึ้นในตัวของมันเอง  ปัญหาอยู่ที่ทัศนคติและเจตนาของผู้เขียนตอนที่พวกเขาได้เขียนบทความนั้น ตลอดจนเนื้อหาจากความคิดของพวกเขาด้วย  เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายซึ่งมีจิตวิญญาณ สิ่งเหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้  ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้ากำลังดูรายการแสดงทางโทรทัศน์ สิ่งทั้งหลายประเภทใดในรายการนั้นหรือ ที่สามารถเปลี่ยนทรรศนะของผู้คนได้?  สิ่งที่ผู้แสดงพูด คำพูดในตัวมันเองจะทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  (ไม่)  สิ่งทั้งหลายจำพวกใดที่จะทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  มันคงจะเป็นแก่นความคิดทั้งหลายและเนื้อหาของรายการแสดงนั้น ซึ่งคงจะเป็นตัวแทนของทรรศนะของผู้กำกับ  ข้อมูลที่พกพามาในทรรศนะเหล่านี้สามารถแกว่งหัวใจและจิตใจของผู้คนได้  นั่นไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  บัดนี้พวกเจ้ารู้แล้วว่าเรากำลังอ้างอิงถึงสิ่งใดในการเสวนาเกี่ยวกับการที่ซาตานใช้ความรู้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม เจ้าจะไม่เข้าใจผิดแล้วใช่หรือไม่?  ดังนั้น ครั้งต่อไปที่เจ้าอ่านนวนิยายสักเรื่องหรือบทความสักบทความ เจ้าจะสามารถประเมินค่าได้ใช่หรือไม่ว่า ความคิดที่แสดงออกอยู่ในคำทั้งหลายที่เขียนไว้นั้น จะทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามหรือจะมีคุณูปการต่อมนุษยชาติ?  (ใช่ ได้นิดหน่อย)  นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่ต้องศึกษาและได้รับประสบการณ์อย่างช้าๆ และไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่เข้าใจได้อย่างง่ายดายในทันที  ยกตัวอย่างเช่น เมื่อทำการวิจัยหรือศึกษาในสาขาวิชาหนึ่งของความรู้ แง่มุมในเชิงบวกบางอย่างของความรู้นั้นอาจช่วยให้เจ้าเข้าใจความรู้ทั่วไปบางอย่างเกี่ยวกับสาขานั้น ในขณะที่ยังทำให้เจ้าสามารถรู้ว่าผู้คนควรหลีกเลี่ยงสิ่งใดอีกด้วย  จงดู “ไฟฟ้า” เป็นตัวอย่าง—นี่เป็นสาขาหนึ่งของความรู้มิใช่หรือ?  เจ้าจะไม่เป็นคนไม่รู้เท่าทันหรอกหรือหากเจ้าไม่รู้ว่าไฟฟ้าสามารถช็อตและทำร้ายผู้คนได้?  แต่ทันทีที่เจ้าเข้าใจสาขาของความรู้นี้ เจ้าก็จะไม่ประมาทในการสัมผัสกับวัตถุที่มีกระแสไฟฟ้า และเจ้าก็จะรู้วิธีการที่จะใช้ไฟฟ้า  เหล่านี้เป็นสิ่งเชิงบวกทั้งคู่  ตอนนี้เจ้าเข้าใจชัดเจนแล้วใช่หรือไม่กับสิ่งที่พวกเราได้สนทนากันมาในแง่ที่เกี่ยวกับวิธีที่ความรู้ทำให้ผู้คนเสื่อมทราม?  มีความรู้อีกหลายชนิดที่ศึกษากันในโลกนี้ และพวกเจ้าต้องใช้เวลาเพื่อแยกความต่างของความรู้เหล่านั้นด้วยตัวพวกเจ้าเอง

2. วิธีที่ซาตานใช้วิทยาศาสตร์เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

วิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  วิทยาศาสตร์มีเกียรติสูงในจิตใจของมนุษย์ทุกคนและถือว่าลุ่มลึกมิใช่หรือ?  เมื่อกล่าวถึงวิทยาศาสตร์ ผู้คนไม่รู้สึกหรือว่า  “นี่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่เกินเอื้อมถึงสำหรับผู้คนธรรมดา นี่เป็นหัวข้อที่นักวิจัยและผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่สามารถสัมผัสได้ นี่ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเราชาวบ้านธรรมดาทั่วไปแต่อย่างใด”?  มันมีความเชื่อมโยงอันใดกับผู้คนธรรมดาหรือไม่?  (มี)  ซาตานใช้วิทยาศาสตร์ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร?  ในการสนทนาของพวกเราตรงนี้ พวกเราจะพูดคุยถึงสิ่งทั้งหลายที่ผู้คนมักจะเผชิญในชีวิตของพวกเขาเองเท่านั้น และไม่พูดถึงเรื่องอื่นๆ  มีคำหนึ่งคือ “ยีน”  เจ้าเคยได้ยินคำนี้หรือไม่?  พวกเจ้าทุกคนคุ้นเคยกับคำนี้  ยีนไม่ได้ถูกค้นพบโดยผ่านทางวิทยาศาสตร์หรอกหรือ?  อันที่จริงแล้วยีนมีความหมายต่อผู้คนอย่างไร?  ยีนไม่ได้ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าร่างกายเป็นสิ่งลึกลับหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนได้ถูกแนะนำให้รู้จักกับหัวข้อนี้ จะไม่มีผู้คนบางคน—โดยเฉพาะคนอยากรู้อยากเห็น—ที่ต้องการจะรู้มากขึ้นและต้องการรายละเอียดมากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นเหล่านี้จะมุ่งเน้นพลังงานของพวกเขาไปกับหัวเรื่องนี้ และเมื่อพวกเขาไม่มีสิ่งอื่นใดให้ทำ พวกเขาก็จะค้นคว้าหาข้อมูลในหนังสือและทางอินเทอร์เน็ตเพื่อเรียนรู้รายละเอียดที่มากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งนั้น  วิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  กล่าวตรงๆ ได้ว่า วิทยาศาสตร์คือความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์อยากรู้อยากเห็น สิ่งทั้งหลายที่ยังไม่รู้ และพระเจ้าไม่ได้ตรัสบอกแก่พวกเขา วิทยาศาสตร์คือความคิดและทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งลึกลับทั้งหลายที่มนุษย์ต้องการสำรวจค้น  วงเขตของวิทยาศาสตร์คือสิ่งใด?  เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันค่อนข้างกว้าง มนุษย์ค้นคว้าและศึกษาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสนใจ  วิทยาศาสตร์เกี่ยวข้องกับการศึกษาวิจัยรายละเอียดและกฎของสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ และต่อมาเป็นการนำเสนอทฤษฎีที่เป็นไปได้ทั้งหลายซึ่งทำให้ทุกคนต้องคิดว่า “นักวิทยาศาสตร์เหล่านี้เป็นเลิศจริงๆ!  พวกเขารู้มากมายยิ่งนัก เพียงพอแล้วที่เข้าใจสิ่งเหล่านี้!”  พวกเขามีความเลื่อมใสอย่างมากให้แก่นักวิทยาศาสตร์มิใช่หรือ?  ผู้คนที่ศึกษาวิจัยวิทยาศาสตร์ พวกเขามีทรรศนะแบบใดกัน?  พวกเขาไม่ต้องการศึกษาวิจัยจักรวาล ศึกษาวิจัยสิ่งลึกลับทั้งหลายในสาขาวิชาที่พวกเขาสนใจหรอกหรือ?  บทอวสานสุดท้ายของการนี้เป็นอย่างไร?  ในวิทยาศาสตร์บางอย่าง ผู้คนได้บทสรุปของพวกเขาด้วยการคาดคะเน และในด้านอื่นๆ พวกเขาพึ่งพาประสบการณ์แบบมนุษย์เพื่อให้ได้บทสรุป  ถึงกระนั้นในสาขาอื่นๆ ของวิทยาศาสตร์ ผู้คนก็มาถึงบทสรุปของพวกเขาบนพื้นฐานของการสังเกตการณ์เชิงประวัติศาสตร์หรือทางภูมิหลัง  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  ดังนั้นวิทยาศาสตร์ทำสิ่งใดให้ผู้คนหรือ?  สิ่งที่วิทยาศาสตร์ทำก็แค่เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนมองเห็นวัตถุในโลกทางกายภาพ และเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นของมนุษย์ แต่มันไม่สามารถทำให้มนุษย์สามารถมองเห็นธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อมีอำนาจครอบครองเหนือทุกสรรพสิ่ง  มนุษย์ดูเหมือนว่าจะหาคำตอบในวิทยาศาสตร์ แต่คำตอบเหล่านั้นน่าฉงนฉงายและนำมาเพียงความพึงพอใจชั่วคราวเท่านั้น ความพึงพอใจที่ทำหน้าที่เพียงเพื่อจำกัดขอบเขตหัวใจของมนุษย์ไว้กับโลกทางวัตถุเท่านั้น  มนุษย์รู้สึกว่าพวกเขาได้รับคำตอบจากวิทยาศาสตร์แล้ว ดังนั้นไม่ว่าจะเกิดประเด็นปัญหาใดขึ้นก็ตาม พวกเขาใช้ทรรศนะทางวิทยาศาสตร์ของพวกเขาเป็นพื้นฐานเพื่อพิสูจน์และยอมรับประเด็นปัญหานั้น  หัวใจมนุษย์ถูกวิทยาศาสตร์ล่อลวงและครอบงำจนถึงจุดที่มนุษย์ไม่มีจิตใจอีกต่อไปที่จะรู้จักพระเจ้า นมัสการพระเจ้า และเชื่อว่าทุกสรรพสิ่งมาจากพระเจ้าและว่ามนุษย์ควรมองที่พระองค์เพื่อหาคำตอบ  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  ยิ่งบุคคลหนึ่งเชื่อในวิทยาศาสตร์มากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็จะยิ่งกลายเป็นไร้สาระมากขึ้นเท่านั้น โดยเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีทางออกเชิงวิทยาศาสตร์ ว่าการศึกษาวิจัยสามารถแก้ปัญหาได้ทุกสิ่ง  พวกเขาไม่แสวงหาพระเจ้าและพวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงอยู่  มีผู้ที่เชื่อในพระเจ้ามานานซึ่งเมื่อเผชิญกับปัญหาอันใด ก็จะใช้คอมพิวเตอร์ค้นหาสิ่งทั้งหลายและสำรวจหาคำตอบ พวกเขาเชื่อแต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง พวกเขาไม่เชื่อว่าพระวจนะของพระเจ้าสามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดของมวลมนุษย์ได้ พวกเขาไม่ได้มองดูปัญหาอันมากมายมหาศาลของมวลมนุษย์จากมุมมองของความจริง  ไม่ว่าพวกเขาเผชิญปัญหาใด พวกเขาก็ไม่เคยอธิษฐานต่อพระเจ้าหรือแสวงหาการแก้ปัญหาด้วยการค้นหาความจริงในพระวจนะของพระเจ้า  ในหลายๆ เรื่อง พวกเขาอยากจะเชื่อว่าความรู้สามารถแก้ปัญหาได้ สำหรับพวกเขาแล้ว วิทยาศาสตร์คือคำตอบสุดท้าย  พระเจ้าขาดหายไปจากหัวใจของผู้คนดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาคือผู้ไม่เชื่อ และทรรศนะของพวกเขาเกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้าก็ไม่แตกต่างจากทรรศนะทั้งหลายของนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์ผู้มีชื่อเสียงมากมายหลายคน ที่พยายามตรวจสอบพระเจ้าตลอดเวลาโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์  ยกตัวอย่างเช่น มีผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนาหลายคนที่ได้ไปยังภูเขาที่เรือใหญ่ได้มาหยุดพัก และด้วยเหตุนี้พวกเขาได้พิสูจน์การมีอยู่ของเรือใหญ่นั้น  แต่ในการปรากฏของเรือใหญ่นั้นพวกเขามองไม่เห็นการดำรงอยู่ของพระเจ้า  พวกเขาเพียงแต่เชื่อในเรื่องราวและประวัติศาสตร์เท่านั้น นี่คือผลลัพธ์ของการที่พวกเขาศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และศึกษาโลกทางวัตถุ  หากเจ้าศึกษาวิจัยสิ่งทั้งหลายทางวัตถุ ไม่ว่าจะเป็นจุลชีววิทยา ดาราศาสตร์ หรือภูมิศาสตร์ เจ้าจะไม่มีวันพบผลลัพธ์ที่กำหนดพิจารณาว่าพระเจ้าทรงดำรงอยู่หรือว่าพระองค์ทรงมีอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง  ดังนั้นวิทยาศาสตร์ทำสิ่งใดเพื่อมนุษย์เล่า?  มันมิได้ทำให้มนุษย์มีระยะห่างจากพระเจ้าหรอกหรือ?  มันมิได้เป็นเหตุให้ผู้คนนำพระเจ้ามาอยู่ภายใต้การศึกษาทั้งหลายหรอกหรือ?  มันมิได้ทำให้ผู้คนกังขามากยิ่งขึ้นในการดำรงอยู่และอธิปไตยของพระเจ้า และดังนั้นจึงปฏิเสธและทรยศพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่คือผลสืบเนื่อง  ดังนั้นเมื่อซาตานใช้วิทยาศาสตร์มาทำให้มนุษย์เสื่อมทราม จุดมุ่งหมายใดที่ซาตานพยายามจะสัมฤทธิ์?  มันต้องการที่จะใช้บทสรุปทางวิทยาศาสตร์มาชักพาให้ผู้คนหลงผิดและทำให้พวกเขาด้านชา และใช้คำตอบที่กำกวมกุมหัวใจของผู้คนเอาไว้เพื่อที่พวกเขาจะไม่เสาะหาหรือเชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า  ดังนั้น นี่คือเหตุผลที่เราพูดว่าวิทยาศาสตร์คือหนึ่งในหนทางทั้งหลายที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม

3. วิธีที่ซาตานใช้วัฒนธรรมตามประเพณีเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

สิ่งทั้งหลายมากมายที่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมตามประเพณีนั้น มีอยู่หรือว่าไม่มี?  (มี)  “วัฒนธรรมตามประเพณี” นี้หมายถึงสิ่งใด?  บางคนพูดว่ามันถูกส่งผ่านลงมาจากบรรพบุรุษ—นี่คือแง่มุมหนึ่ง  ตั้งแต่ปฐมกาล วิถีชีวิต ขนบธรรมเนียม คติพจน์ และกฎเกณฑ์ทั้งหลายได้ถูกส่งผ่านลงมาภายในครอบครัว กลุ่มชาติพันธุ์ และแม้กระทั่งเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด และสิ่งเหล่านั้นได้กลายเป็นถูกปลูกฝังอยู่ในความคิดของผู้คน  ผู้คนพิจารณาว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นส่วนที่ขาดเสียไม่ได้ในชีวิตของพวกเขาและถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นกฎเกณฑ์ โดยถือปฏิบัติสิ่งเหล่านั้นเสมือนว่ามันเป็นชีวิตเสียเอง  แท้จริงแล้ว พวกเขาไม่เคยต้องการเปลี่ยนแปลงหรือทอดทิ้งสิ่งเหล่านี้เลย เพราะสิ่งเหล่านั้นถูกส่งผ่านลงมาจากบรรพบุรุษของพวกเขา  มีแง่มุมอื่นๆ เกี่ยวกับวัฒนธรรมตามประเพณีที่ขุดฝังอยู่ในกระดูกดำของผู้คน เช่นเดียวกับสิ่งทั้งหลายที่ส่งผ่านลงมาจากขงจื๊อและเม่งจื๊อ และสิ่งทั้งหลายที่ลัทธิเต๋าและลัทธิขงจื๊อสอนแก่ผู้คน  นี่ไม่ใช่เช่นนั้นหรอกหรือ?  วัฒนธรรมตามประเพณีนั้นรวมสิ่งใดไว้บ้าง?  มันรวมถึงวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่ผู้คนเฉลิมฉลองหรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น เทศกาลฤดูใบไม้ผลิ เทศกาลโคมไฟ วันเช็งเม้ง เทศกาลไหว้ขนมจ่าง ตลอดจนเทศกาลสารทจีน เทศกาลไหว้พระจันทร์  บางครอบครัวถึงขั้นเฉลิมฉลองวันที่ผู้อาวุโสลุถึงวัยเฉพาะ หรือเมื่อลูกหลานมีอายุถึงหนึ่งเดือนหรือหนึ่งร้อยวัน  และอื่นๆ เหล่านี้คือวันหยุดนักขัตฤกษ์ตามประเพณีทั้งสิ้น  วัฒนธรรมตามประเพณีไม่ได้เป็นฐานที่มาของวันหยุดนักขัตฤกษ์เหล่านี้หรอกหรือ?  แก่นของวัฒนธรรมตามประเพณีคือสิ่งใด?  มันมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการนมัสการพระเจ้าหรือไม่?  มันมีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับการบอกให้ผู้คนปฏิบัติความจริงหรือไม่?  มีวันหยุดนักขัตฤกษ์ใดเพื่อให้ผู้คนถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า ไปยังแท่นบูชาพระเจ้า และรับคำสอนของพระองค์บ้างหรือไม่?  มีวันหยุดนักขัตฤกษ์เยี่ยงนี้บ้างหรือไม่?  (ไม่มี)  ผู้คนทำสิ่งใดในวันหยุดทั้งหมดเหล่านี้?  ในยุคสมัยใหม่ วันหยุดเหล่านั้นถูกมองว่าเป็นวาระโอกาสสำหรับการกิน การดื่ม และความสนุกสนาน  แหล่งกำเนิดใดเป็นฐานที่มาวัฒนธรรมตามประเพณี?  วัฒนธรรมตามประเพณีมาจากผู้ใด?  มันมาจากซาตาน  เบื้องหลังฉากของวันหยุดตามประเพณีเหล่านี้ ซาตานปลูกฝังบางสิ่งเฉพาะในตัวมนุษย์  สิ่งเหล่านี้คือสิ่งใด?  การทำให้แน่ใจว่าผู้คนจะจดจำบรรพบุรุษของพวกเขาคือหนึ่งในสิ่งเหล่านั้นใช่หรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงระหว่างวันเช็งเม้ง ผู้คนปัดกวาดเช็ดถูสุสานและถวายเครื่องบูชาแก่บรรพบุรุษของพวกเขา เพื่อที่จะไม่ลืมบรรพบุรุษของพวกเขา  อีกทั้งซาตานยังทำให้แน่ใจด้วยว่าผู้คนจะจดจำการเป็นคนรักชาติ ซึ่งตัวอย่างของการนี้ก็คือเทศกาลไหว้ขนมจ่าง  แล้วเทศกาลไหว้พระจันทร์คือสิ่งใด?  (งานรวมญาติ)  ภูมิหลังของการรวมญาติคือสิ่งใด?  สิ่งใดคือเหตุผลสำหรับการนี้?  มันเป็นไปเพื่อสื่อสารและเชื่อมโยงกันทางอารมณ์  แน่นอนว่าไม่ว่าจะเป็นการฉลองวันส่งท้ายปีเก่าทางจันทรคติหรือเทศกาลโคมไฟ มีหนทางมากมายในการบรรยายเหตุผลเบื้องหลังการฉลองเหล่านี้  ไม่ว่าคนเราจะบรรยายเหตุผลเหล่านั้นอย่างไร แต่ละเหตุผลคือหนทางที่ซาตานปลูกฝังปรัชญาของมันและความคิดของมันในตัวผู้คน เพื่อที่พวกเขาจะไถลห่างไปจากพระเจ้าและไม่รู้ว่ามีพระเจ้า และถวายเครื่องบูชาให้แก่บรรพบุรุษของพวกเขาหรือไม่ก็แก่ซาตาน หรือกิน ดื่ม และมีความสนุกสนานกันเพื่อประโยชน์ของความอยากได้อยากมีแห่งเนื้อหนัง  ขณะที่มีการฉลองวันหยุดเหล่านี้แต่ละวัน ความคิดและทรรศนะของซาตานก็ถูกปลูกลึกลงภายในจิตใจของผู้คนโดยที่พวกเขาไม่รู้ตัว  เมื่อผู้คนมีอายุถึงสี่สิบปี ห้าสิบปี หรือแม้กระทั่งมีอายุมากขึ้น ความคิดและทัศนคติเหล่านี้ของซาตานก็ได้หยั่งรากลึกลงไปในหัวใจของพวกเขาแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้น ผู้คนทำจนสุดกำลังของพวกเขาเพื่อถ่ายทอดแนวคิดเหล่านี้ต่อไปยังคนรุ่นต่อไปไม่ว่าจะถูกหรือผิด โดยไม่แยกแยะและโดยไม่มีข้อสงสัย  นี่ไม่เป็นดังนั้นหรอกหรือ?  (ใช่แล้ว)  วัฒนธรรมตามประเพณีและวันหยุดนักขัตฤกษ์เหล่านี้ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร?  เจ้ารู้หรือไม่?  (ผู้คนกลายเป็นถูกกักขังและถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ของประเพณีเหล่านี้ จนกระทั่งพวกเขาไม่มีเวลาหรือพลังงานที่จะแสวงหาพระเจ้า)  นี่เป็นหนึ่งแง่มุม  ยกตัวอย่างเช่น ทุกคนฉลองในช่วงระหว่างตรุษจีน—หากเจ้าไม่ฉลองมัน เจ้าจะไม่รู้สึกเศร้าใจหรอกหรือ?  มีความเชื่อเหนือธรรมชาติที่เจ้ายึดถือในหัวใจของเจ้าบ้างหรือไม่?  เจ้าอาจจะรู้สึกว่า “ฉันไม่ได้ฉลองปีใหม่ และในเมื่อวันตรุษจีนเป็นวันไม่ดี ตลอดทั้งปีที่เหลือก็จะไม่ดีไปด้วย” ใช่หรือไม่?  เจ้าจะรู้สึกไม่สบายใจและกลัวอยู่บ้างนิดหน่อยมิใช่หรือ?  มีแม้กระทั่งผู้คนบางคนที่ไม่ได้ทำเครื่องบูชาให้บรรพบุรุษของพวกเขามาหลายปี และผู้ซึ่งจู่ๆ ก็ฝันว่าคนที่ตายไปแล้วมาขอเงินจากพวกเขา  พวกเขาจะรู้สึกอย่างไร?  “น่าเศร้าอะไรเช่นนี้ที่ตอนนี้บุคคลผู้นี้จำเป็นต้องใช้เงิน!  ฉันจะเผาเงินกระดาษให้พวกเขาบ้าง  หากฉันไม่ทำ นั่นคงจะไม่ถูกต้องแน่  มันอาจจะทำให้เกิดปัญหากับพวกเราคนที่ยังมีชีวิตอยู่—ใครจะบอกได้ว่าโชคร้ายจะกระหน่ำมาเมื่อใด?”  พวกเขาจะมีเค้าเมฆเล็กๆ แห่งความเกรงกลัวและความกังวลนี้ในหัวใจของพวกเขาอยู่เสมอ  ใครให้ความกังวลนี้แก่พวกเขา?  ซาตานคือแหล่งกำเนิดของความกังวลนี้  นี่ไม่ใช่หนึ่งในหลายหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามหรอกหรือ?  มันใช้วิธีการและข้ออ้างทั้งหลายเพื่อควบคุมเจ้า เพื่อขู่เจ้า และเพื่อผูกมัดเจ้า จนเจ้าตกอยู่ในความงุนงงและยอมแพ้และนบนอบต่อมัน นี่คือวิธีที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  บ่อยครั้งเมื่อผู้คนอ่อนแอหรือเมื่อพวกเขาไม่ตระหนักรู้อย่างเต็มที่ถึงสถานการณ์ พวกเขาอาจทำบางสิ่งบางอย่างโดยไม่ตั้งใจในหนทางที่สับสนปนเป กล่าวคือ พวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานโดยไม่ตั้งใจและอาจจะกระทำการโดยไม่รู้ตัว อาจจะทำสิ่งทั้งหลายโดยไม่รู้ว่าพวกเขากำลังทำอะไรอยู่  นี่คือหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  ถึงขึ้นมีผู้คนจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ตอนนี้ลังเลที่จะแยกไปจากวัฒนธรรมตามประเพณีที่หยั่งรากลึก ผู้ที่เพียงไม่สามารถละวางมันได้  โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาอ่อนแอและคิดลบเสียจนพวกเขาปรารถนาที่จะฉลองวันหยุดประเภทเหล่านี้และพวกเขาปรารถนาที่จะพบกับซาตานและทำให้ซาตานพึงพอใจอีกครั้ง เพื่อนำความชูใจมาสู่หัวใจของพวกเขา  ภูมิหลังของวัฒนธรรมตามประเพณีคือสิ่งใด?  มือสีดำของซาตานกำลังชักใยอยู่เบื้องหลังฉากเหล่านี้ใช่หรือไม่?  ธรรมชาติอันเลวของซาตานกำลังบงการและควบคุมอยู่ใช่หรือไม่?  ซาตานมีอิทธิพลควบคุมเหนือทั้งหมดนี้ใช่หรือไม่?  (ใช่)  เมื่อผู้คนดำรงชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมตามประเพณีหนึ่งและฉลองวันหยุดตามประเพณีประเภทเหล่านี้ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่านี่คือสภาพแวดล้อมที่พวกเขากำลังถูกซาตานหลอกและทำให้เสื่อมทราม และที่มากกว่านั้นก็คือ พวกเราสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพวกเขามีความสุขที่ถูกซาตานหลอกและทำให้เสื่อมทราม?  (ได้)  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้าทุกคนยอมรับ คือบางสิ่งบางอย่างที่พวกเจ้ารู้ดี

4. วิธีที่ซาตานใช้ความเชื่อเหนือธรรมชาติเพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทราม

พวกเจ้าคุ้นเคยกับคำว่า “ความเชื่อเหนือธรรมชาติ” ใช่ไหม?  มีความเชื่อมโยงบางอย่างระหว่างความเชื่อเหนือธรรมชาติกับวัฒนธรรมตามประเพณี แต่พวกเราจะไม่พูดคุยเกี่ยวกับสิ่งเหล่านั้นในวันนี้  ในทางกลับกัน เราจะเสวนาถึงรูปแบบของความเชื่อเหนือธรรมชาติที่เผชิญกันโดยทั่วไปมากที่สุด นั่นคือ การดูดวง การทำนายโชคชะตา การจุดธูป และการนมัสการพระพุทธเจ้า  ผู้คนบางคนฝึกดูดวง คนอื่นๆ นมัสการพระพุทธเจ้าและจุดธูป ในขณะที่คนอื่นๆ ได้อ่านโชคชะตาของพวกเขา หรือให้ใครบางคนอ่านโหงวเฮ้งของพวกเขาแล้วบอกโชคชะตาของพวกเขาในหนทางนี้  พวกเจ้ากี่คนที่ได้เคยรับการทำนายโชคชะตาหรืออ่านโหงวเฮ้ง?  นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนสนใจมิใช่หรือ?  (ใช่)  เพราะเหตุใดเล่า?  ผู้คนจะได้รับประโยชน์จำพวกใดจากการทำนายโชคชะตาและการดูดวง?  พวกเขาได้รับความพึงพอใจประเภทใดจากการนั้น?  (ความอยากรู้อยากเห็น)  มันเป็นแค่ความอยากรู้อยากเห็นกระนั้นหรือ?  เท่าที่เราเห็น มันไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเช่นนั้น  เป้าหมายของการดูดวงและการทำนายโชคชะตาคือสิ่งใด?  เหตุใดต้องทำการดูดวง?  นั่นไม่ใช่เพื่อมองเห็นอนาคตหรอกหรือ?  ผู้คนบางคนอ่านโหงวเฮ้งเพื่อทำนายอนาคต คนอื่นๆ ทำเพื่อดูว่าพวกเขาจะมีโชคดีหรือไม่  ผู้คนบางคนทำเพื่อดูว่าชีวิตแต่งงานของพวกเขาจะเป็นเช่นไร และกระนั้นคนอื่นๆ ก็ทำเพื่อดูว่าปีหน้าจะนำโชคลาภใดมาให้  ผู้คนบางคนอ่านโหงวเฮ้งเพื่อดูว่าความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ของพวกเขาและของบุตรชายหรือบุตรสาวของพวกเขาจะเป็นอย่างไร และนักธุรกิจบางคนทำเพื่อดูว่าพวกเขาจะหาเงินได้มากเพียงใด โดยแสวงหาคำแนะนำของคนอ่านโหงวเฮ้งว่าพวกเขาควรจะใช้การกระทำใด  ดังนั้น การนี้ทำไปเพียงเพื่อสนองความอยากรู้อยากเห็นใช่หรือไม่?  เมื่อผู้คนรับการอ่านโหงวเฮ้งของพวกเขาหรือทำสิ่งทั้งหลายจำพวกเหล่านี้ นั่นก็เป็นไปเพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลในอนาคตของพวกเขาเอง พวกเขาเชื่อว่าทั้งหมดนี้เชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชะตากรรมของพวกเขาเอง  สิ่งใดจากการนี้บ้างที่มีประโยชน์?  (ไม่มี)  เหตุใดมันจึงไม่มีประโยชน์?  มันไม่ใช่สิ่งที่ดีหรอกหรือที่ได้รับความรู้บางอย่างโดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้?  การปฏิบัติทั้งหลายเหล่านี้อาจช่วยให้เจ้ารู้ว่าปัญหาอาจจะเกิดขึ้นเมื่อใด และหากเจ้าเรียนรู้เกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ก่อนที่มันจะเกิดขึ้น เจ้าจะสามารถหลีกเลี่ยงมันได้ไม่ใช่หรือ?  หากเจ้ารับการทำนายโชคชะตา นั่นอาจจะแสดงให้เจ้าเห็นวิธีที่จะค้นพบเส้นทางซึ่งถูกต้องที่จะออกไปจากวงกตปริศนา เพื่อที่เจ้าอาจจะได้ชื่นชมกับโชคดีในปีข้างหน้าและได้มามีความอุดมในโภคทรัพย์ยิ่งใหญ่โดยผ่านทางธุรกิจของเจ้า  ดังนั้น มันมีหรือมันไม่มีประโยชน์เล่า?  ไม่ว่ามันจะมีประโยชน์หรือไม่ ก็ไม่มีความเชื่อมโยงกับพวกเรา และการสามัคคีธรรมของพวกเราวันนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนี้  ซาตานใช้ความเชื่อเหนือธรรมชาติเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไรหรือ?  ผู้คนล้วนต้องการรู้โชคชะตาของตนเอง ดังนั้น ซาตานจึงหาประโยชน์จากความอยากรู้อยากเห็นของพวกเขาเพื่อชักนำพวกเขา  ผู้คนเข้ามาพัวพันในการดูดวง การทำนายโชคชะตา และการอ่านโหงวเฮ้งเพื่อที่จะเรียนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับพวกเขาในอนาคต และถนนประเภทใดที่ทอดอยู่ข้างหน้า อย่างไรก็ตาม ในที่สุด โชคชะตาและความสำเร็จที่คาดว่าจะเป็นไปได้ที่ผู้คนเป็นกังวลถึงยิ่งนักนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของผู้ใดเล่า?  (ในพระหัตถ์ของพระเจ้า)  สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  โดยการใช้วิธีการเหล่านี้ ซาตานต้องการให้ผู้คนรู้สิ่งใด?  ซาตานต้องการที่จะใช้การอ่านโหงวเฮ้งและการทำนายโชคชะตาเพื่อบอกกับผู้คนว่ามันรู้โชคชะตาในอนาคตของพวกเขา และว่ามันไม่เพียงแค่รู้สิ่งเหล่านี้เท่านั้น แต่ยังควบคุมสิ่งเหล่านั้นด้วย  ซาตานต้องการที่จะใช้ข้อได้เปรียบจากโอกาสนี้และใช้วิธีการนี้เพื่อควบคุมผู้คน จนกระทั่งผู้คนมีความเชื่อในตัวมันแบบไม่ลืมหูลืมตาและเชื่อฟังทุกคำพูดของมัน  ยกตัวอย่างเช่น หากเจ้ารับการอ่านโหงวเฮ้ง หากหมอดูหลับตาของเขาและบอกเจ้าถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่ได้เกิดขึ้นกับเจ้าในไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านไปด้วยความกระจ่างแจ้งอย่างเพียบพร้อม เจ้าจะรู้สึกอย่างไรภายใน?  เจ้าจะรู้สึกในทันทีว่า “เขาช่างถูกต้องแม่นยำยิ่งนัก!  ฉันไม่เคยบอกอดีตของฉันแก่ผู้ใดมาก่อน เขารู้เกี่ยวกับมันได้อย่างไรนี่?  ฉันเลื่อมใสหมอดูคนนี้จริงๆ!”  สำหรับซาตานแล้ว มันไม่ใช่ง่ายดายเหลือเกินหรอกหรือที่จะรู้อดีตของเจ้า?  พระเจ้าได้ทรงนำเจ้ามาถึงที่ที่เจ้าอยู่ในวันนี้ และตลอดเวลานั้นซาตานก็ทำให้ผู้คนเสื่อมทรามและติดตามเจ้ามาโดยตลอด  ช่วงตอนในหลายทศวรรษของชีวิตของเจ้าไม่มีความหมายใดต่อซาตาน และไม่ลำบากยากเย็นสำหรับซาตานเลยที่จะรู้สิ่งต่างๆ เหล่านี้  เมื่อเจ้าเรียนรู้ว่าทั้งหมดที่ซาตานพูดนั้นถูกต้องแม่นยำ เจ้าจะไม่มอบหัวใจของเจ้าให้มันหรอกหรือ?  เจ้าไม่ใช่กำลังพึ่งพาอาศัยมันในการควบคุมอนาคตของเจ้าและโชคชะตาของเจ้าหรอกหรือ?  ในทันทีนั้น หัวใจของเจ้าจะรู้สึกนับถือหรือเคารพมันอยู่บ้าง และสำหรับผู้คนบางคนนั้น ดวงจิตของพวกเขาอาจจะถูกมันฉกไปแล้วตรงจุดนี้  และเจ้าจะถามหมอดูทันทีว่า “ฉันควรทำสิ่งใดต่อไป?  ฉันควรหลีกเลี่ยงสิ่งใดในปีที่จะมาถึงนี้?  ฉันต้องไม่ทำสิ่งใดบ้าง?”  และต่อมา เขาจะพูดว่า “เจ้าต้องไม่ไปที่นั่น เจ้าต้องไม่ทำการนี้ ต้องไม่สวมเสื้อผ้าสีนั้นสีนี้ เจ้าควรไปสถานที่นั้นๆ ให้น้อยลง ทำสิ่งนั้นๆ ให้มากขึ้น…”  เจ้าจะไม่รับเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดไว้กับหัวใจในทันทีหรอกหรือ?  เจ้าจะจดจำคำพูดของเขารวดเร็วกว่าพระวจนะของพระเจ้า  เหตุใดเจ้าจึงจะจดจำสิ่งเหล่านั้นอย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้?  เพราะเจ้าคงจะต้องการพึ่งพาซาตานเพื่อโชคดี  นี่ไม่ใช่เวลาที่มันยึดหัวใจของเจ้าหรอกหรือ?  เมื่อการทำนายของมันเป็นจริง ครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าจะไม่ต้องการตรงกลับไปหามันเพื่อค้นหาว่าปีต่อไปจะนำพาโชคชะตาใดมากระนั้นหรือ?  (ใช่)  เจ้าย่อมจะทำสิ่งใดก็ตามที่ซาตานบอกให้เจ้าทำและเจ้าก็จะหลีกเลี่ยงสิ่งทั้งหลายที่มันบอกให้หลีกเลี่ยง  ในหนทางนี้ เจ้ากำลังเชื่อฟังสิ่งที่มันพูดอยู่มิใช่หรือ?  เจ้าย่อมจะร่วงลงไปอยู่ในอ้อมแขนของมัน ถูกมันชักพาให้หลงผิด และมาอยู่ภายใต้การควบคุมของมันอย่างรวดเร็วมาก  การนี้เกิดขึ้นเพราะเจ้าเชื่อว่าสิ่งที่มันพูดเป็นความจริง และเพราะเจ้าเชื่อว่ามันรู้เกี่ยวกับชีวิตในอดีตของเจ้า ชีวิตของเจ้าในตอนนี้ และสิ่งที่อนาคตจะนำมา  นี่คือวิธีการที่ซาตานใช้เพื่อควบคุมผู้คน  แต่ในความเป็นจริงนั้น ผู้ใดหรือคือผู้ควบคุมจริงๆ?  พระเจ้าพระองค์เองทรงเป็นผู้ควบคุม ไม่ใช่ซาตาน  ซาตานแค่กำลังใช้ลูกเล่นอันหลักแหลมของมันในกรณีนี้เพื่อใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้คนที่ไม่รู้เท่าทัน ใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้คนที่เพียงแค่มองเห็นโลกทางวัตถุเท่านั้น ให้มาเชื่อและพึ่งพามัน  เช่นนั้นแล้ว พวกเขาจึงตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานและเชื่อคำพูดทุกคำของมัน  แต่ซาตานเคยคลายกำมือของมันหรือไม่เมื่อผู้คนต้องการที่จะเชื่อและติดตามพระเจ้า?  ซาตานไม่เคยทำเช่นนั้น  ในสถานการณ์นี้ ผู้คนกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานจริงๆ ใช่หรือไม่?  (ใช่)  พวกเราสามารถพูดได้หรือไม่ว่าพฤติกรรมของซาตานในด้านนี้ช่างไร้ยางอาย?  (ได้)  เหตุใดพวกเราจึงกล่าวเช่นนั้นได้?  เพราะเหล่านี้คือชั้นเชิงที่ฉ้อฉลและหลอกลวง  ซาตานไร้ความละอายและชี้นำให้ผู้คนคิดไปในทางที่ผิดว่ามันควบคุมทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาเอาไว้และควบคุมชะตากรรมที่แท้จริงของพวกเขา  การนี้เป็นเหตุให้ผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันเชื่อฟังมันอย่างสิ้นเชิง  พวกเขาถูกหลอกด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ  ผู้คนก็กราบไหว้ลงต่อหน้ามันในความมึนงงของพวกเขา  ดังนั้น ซาตานใช้วิธีการแบบใด มันพูดสิ่งใดเพื่อทำให้เจ้าเชื่อในมัน?  ยกตัวอย่างเช่น  เจ้าอาจไม่ได้บอกซาตานว่ามีกี่คนในครอบครัวของเจ้า แต่มันอาจจะยังคงสามารถบอกเจ้าได้ว่ามีกี่คน และบอกอายุบิดามารดาและลูกหลานของเจ้า  ถึงแม้เจ้าอาจจะได้มีความสงสัยและกังขาเกี่ยวกับซาตานมาก่อนหน้านี้ แต่หลังจากได้ยินมันพูดสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าจะไม่รู้สึกว่ามันน่าเชื่อมากขึ้นสักเล็กน้อยหรอกหรือ?  เมื่อนั้นซาตานอาจจะพูดว่า งานนั้นลำบากยากเย็นสำหรับเจ้าเพียงใดในช่วงนี้ ว่าผู้บังคับบัญชาของเจ้าไม่ให้การยอมรับแก่เจ้าอย่างที่เจ้าสมควรได้รับ และทำงานขัดแย้งกับเจ้าอยู่เสมอ และอื่นๆ  หลังจากได้ยินการนั้นแล้ว เจ้าคงจะคิดว่า “นั่นถูกต้องไม่มีผิด!  สิ่งทั้งหลายในเรื่องงานไม่ได้ราบรื่นเลย”  ดังนั้นเจ้าย่อมจะเชื่อซาตานมากขึ้นอีกนิด  และแล้วมันก็จะพูดสิ่งอื่นอีกเพื่อชักพาให้เจ้าหลงผิด ทำให้เจ้าเชื่อมันมากยิ่งขึ้นไปอีก  เจ้าคงจะพบทีละเล็กทีละน้อยว่าตัวเจ้าเองไม่สามารถต้านทานหรือยังคงสงสัยมันได้อีกต่อไป  ซาตานแค่ใช้เล่ห์เหลี่ยมยิบย่อยไม่กี่อย่าง แม้กระทั่งเล่ห์เหลี่ยมสัพเพเหระ และนี่เองคือวิธีที่มันใช้ชักพาให้เจ้าหลงผิด  เมื่อเจ้าถูกชักพาให้หลงผิด เจ้าจะไม่สามารถระลึกได้ว่าตัวเจ้านั้นอยู่ตำแหน่งแห่งหนใดกันแน่ เจ้าจะทำอะไรไม่ถูก และเจ้าจะเริ่มทำตามสิ่งที่ซาตานพูด  นี่คือวิธีการ “อันปราดเปรื่อง” ที่ซาตานใช้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม ซึ่งทำให้เจ้าตกไปอยู่ในกับดักของมันและถูกมันล่อลวงโดยไม่รู้ตัว  ซาตานบอกเจ้าไม่กี่อย่างที่ผู้คนจินตนาการว่าดี และต่อมามันบอกเจ้าว่าให้ทำสิ่งใดและให้หลีกเลี่ยงสิ่งใด  นี่คือวิธีที่เจ้าถูกทำให้หลงกลโดยไม่รู้ตัว  ทันทีที่เจ้าตกหลุมกลลวงนั้น สิ่งทั้งหลายจะแก้ยากสำหรับเจ้า เจ้าจะคิดถึงสิ่งที่ซาตานพูดและสิ่งที่มันบอกให้เจ้าทำอยู่เนืองนิตย์ และเจ้าจะไม่รู้ตัวว่าถูกมันครอบงำ  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  นั่นเป็นเพราะมวลมนุษย์ขาดพร่องความจริง และดังนั้นจึงไม่สามารถที่จะตั้งมั่นและต้านทานการล่อลวงและการทดลองของซาตานได้  เมื่อเผชิญหน้าความเลวของซาตานและการหลอกลวง การหักหลัง และการคิดร้ายของมัน มวลมนุษย์ช่างไม่รู้เท่าทัน ไม่เป็นผู้ใหญ่ และอ่อนแอ มิใช่หรือ?  นี่ไม่ใช่หนึ่งในหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามหรอกหรือ?  (ใช่)  มนุษย์ถูกหลอกและถูกใช้เล่ห์เหลี่ยมทีละเล็กทีละน้อยด้วยวิธีการหลากหลายของซาตานโดยไม่รู้ตัว เพราะพวกเขาขาดพร่องความสามารถในการแยกความต่างระหว่างด้านบวกและด้านลบ  พวกเขาขาดพร่องวุฒิภาวะนี้และความสามารถที่จะมีชัยเหนือซาตาน

5. วิธีที่ซาตานใช้กระแสนิยมทางสังคมเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม

กระแสนิยมทางสังคมได้มามีขึ้นเมื่อใด?  สิ่งเหล่านั้นเพียงแค่มามีอยู่ในปัจจุบันนี้เท่านั้นหรือ?  คนเราสามารถพูดได้ว่ากระแสนิยมทางสังคมเกิดขึ้นเมื่อซาตานเริ่มทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม  กระแสนิยมทางสังคมรวมถึงสิ่งใดบ้าง?  (ลีลาการแต่งกายและการแต่งหน้า)  เหล่านี้คือสิ่งที่ผู้คนมักเข้ามาติดต่อสัมพันธ์ด้วย  ลักษณะแนวของเสื้อผ้า แฟชั่น และกระแสนิยม—สิ่งเหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นหนึ่งแง่มุมเล็กๆ แง่มุมหนึ่ง  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่?  วลียอดนิยมทั้งหลายที่ผู้คนมักจะโพล่งออกมาบ่อยครั้งนั้นนับด้วยหรือไม่?  ลีลาชีวิตที่ผู้คนอยากได้อยากมีนับด้วยหรือไม่?  นักร้องดาวรุ่ง คนเด่นคนดัง นิตยสาร นวนิยายที่ผู้คนชอบนับด้วยหรือไม่?  (นับ)  ในจิตใจของพวกเจ้านั้น แง่มุมใดของกระแสนิยมทางสังคมที่สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้?  สิ่งใดจากกระแสนิยมเหล่านี้ที่จูงใจพวกเจ้ามากที่สุด?  ผู้คนบางคนอาจกล่าวว่า “พวกเราล้วนมาถึงวัยเฉพาะแล้ว พวกเราอยู่ในวัยห้าสิบหรือหกสิบปี เจ็ดสิบหรือแปดสิบปี  และพวกเราไม่สามารถเข้ากันได้กับกระแสนิยมเหล่านี้อีกต่อไป และกระแสนิยมเหล่านี้ไม่อยู่ในความสนใจของพวกเราจริงๆ”  การนี้ถูกต้องใช่หรือไม่?  คนอื่นๆ อาจกล่าวว่า “พวกเราไม่ทำตามพวกคนเด่นคนดัง นั่นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่พวกคนหนุ่มสาวในวัยยี่สิบกว่าๆ ทำกัน พวกเราไม่สวมเสื้อผ้าตามแฟชั่นด้วย นั่นเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ผู้คนซึ่งใส่ใจภาพลักษณ์ทำกัน”  ดังนั้นอะไรหรือในสิ่งเหล่านี้ที่สามารถทำให้พวกเจ้าเสื่อมทรามได้?  (คติพจน์ยอดนิยม)  คติพจน์เหล่านี้สามารถทำให้ผู้คนเสื่อมทรามได้หรือไม่?  เราจะให้ตัวอย่างหนึ่ง แล้วพวกเจ้าจึงสามารถมองเห็นได้ว่ามันทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรือไม่ กล่าวคือ  “เงินทำให้โลกหมุนไป” นี่เป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่งหรือไม่?  เมื่อเปรียบเทียบกับกระแสนิยมด้านแฟชั่นและอาหารชั้นเลิศที่พวกเจ้าเอ่ยถึง นี่ไม่เลวร้ายกว่ามากหรอกหรือ?  “เงินทำให้โลกหมุนไป” เป็นปรัชญาหนึ่งของซาตาน มันแพร่หลายไปท่ามกลางมวลมนุษย์ทั้งหมด ในทุกสังคมมนุษย์ เจ้าสามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นกระแสนิยมอย่างหนึ่ง  นี่เป็นเพราะมันถูกปลูกฝังอยู่ในหัวใจของทุกคนที่ไม่ได้ยอมรับคำกล่าวนี้แต่แรก แต่ต่อมากลับให้การยอมรับมันโดยปริยายเมื่อพวกเขาเข้ามาติดต่อสัมพันธ์กับชีวิตจริง และเริ่มที่จะรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วคำพูดเหล่านี้จริงแท้  นี่ไม่ใช่กระบวนการที่ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามหรอกหรือ?  บางทีผู้คนอาจไม่เข้าใจคติพจน์นี้ในระดับเดียวกัน แต่ทุกคนก็มีระดับการตีความและการยอมรับคติพจน์ที่แตกต่างกันไปโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งทั้งหลายที่ได้เกิดขึ้นรอบตัวพวกเขาและจากประสบการณ์ส่วนบุคคลของพวกเขาเอง  นั่นไม่ใช่กรณีนี้หรอกหรือ?  ไม่ว่าใครบางคนจะมีประสบการณ์กับคติพจน์นี้มากเพียงใด ผลด้านลบใดหรือที่มันสามารถมีต่อหัวใจของใครบางคนได้?  บางสิ่งบางอย่างถูกเปิดเผยโดยผ่านทางอุปนิสัยแบบมนุษย์ของผู้คนในพิภพนี้ รวมถึงพวกเจ้าแต่ละคน  นี่คือสิ่งใด?  มันคือการบูชาเงิน  มันยากที่จะลบเรื่องนี้ออกไปจากหัวใจของใครบางคนใช่หรือไม่?  มันยากมาก!  ดูเหมือนว่าการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานจะลึกซึ้งจริงๆ!  ซาตานใช้เงินทองมาทดลองผู้คน และทำให้พวกเขาเสื่อมทรามจนบูชาเงินตราและเทิดทูนวัตถุสิ่งของ  แล้วการบูชาเงินตรานี้สำแดงในตัวผู้คนอย่างไร?  พวกเจ้ารู้สึกว่าพวกเจ้าไม่สามารถอยู่รอดในพิภพนี้ได้โดยปราศจากเงินเลย ว่าแม้แต่วันหนึ่งที่ปราศจากเงินก็คงจะเป็นไปไม่ได้ใช่หรือไม่?  สถานะของผู้คนขึ้นอยู่กับว่าพวกเขามีเงินมากเพียงใด เช่นเดียวกับความนับถือที่พวกเขาอยากได้มา  หลังของคนยากจนก้มโค้งด้วยความอดสู ในขณะที่คนมั่งคั่งชื่นชมสถานที่สูงส่งของพวกเขา  พวกเขาเชิดและเย่อหยิ่ง พูดเสียงดังและดำรงชีวิตอย่างโอหัง  คติพจน์และกระแสนิยมนี้นำพาสิ่งใดมาสู่ผู้คนหรือ?  จริงหรือไม่ที่ผู้คนมากมายทำการพลีอุทิศทุกอย่างในการไล่ตามเสาะหาเงินตรา?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของพวกเขาไปในการไล่ตามเสาะหาเงินตราที่มากขึ้นหรอกหรือ?  ผู้คนมากมายไม่ได้สูญเสียโอกาสในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาและติดตามพระเจ้าไปเพื่อประโยชน์ของเงินหรอกหรือ?  การสูญเสียโอกาสที่จะได้รับความจริงและได้รับการช่วยให้รอดไม่ใช่การสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผู้คนหรอกหรือ?  ซาตานไม่ส่อแววร้ายหรอกหรือที่ใช้วิธีการนี้และคติพจน์นี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทรามถึงระดับเช่นนั้น?  นี่ไม่ใช่เล่ห์เหลี่ยมที่คิดร้ายหรอกหรือ?  ขณะที่เจ้าก้าวจากการคัดค้านคติพจน์ยอดนิยมนี้ไปสู่การยอมรับในที่สุดว่ามันเป็นความจริง หัวใจของเจ้าก็ตกอยู่ในเงื้อมมือของซาตานโดยบริบูรณ์ และดังนั้นเจ้าก็ได้มาดำรงชีวิตอยู่ด้วยคติพจน์นี้โดยไม่ตั้งใจ  คติพจน์นี้ส่งผลต่อเจ้าถึงระดับใด?  เจ้าอาจจะรู้จักหนทางที่แท้จริง และเจ้าอาจจะรู้จักความจริง แต่เจ้าไร้พลังที่จะไล่ตามเสาะหาการนั้น  เจ้าอาจจะรู้อย่างชัดเจนว่าพระวจนะของพระเจ้าคือความจริง แต่เจ้าไม่เต็มใจที่จะจ่ายราคา หรือที่จะทนทุกข์เพื่อให้ได้รับความจริงนั้นมา  ในทางกลับกัน เจ้าคงจะพลีอุทิศอนาคตและชะตาลิขิตของเจ้าเองเพื่อต้านทานพระเจ้าจนถึงที่สุดมากกว่า  ไม่สำคัญว่าพระเจ้าตรัสสิ่งใด ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเข้าใจหรือไม่ว่าความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเจ้านั้นลึกซึ้งเพียงใดหรือยิ่งใหญ่เพียงใด เจ้าย่อมจะยืนกรานอย่างดื้อด้านในการที่จะมีหนทางของเจ้าเองและจ่ายราคาให้แก่คติพจน์นี้  ซึ่งหมายความว่าคติพจน์นี้เข้าควบคุมและชักพาให้ความคิดของเจ้าหลงผิดไปแล้ว มันเข้ากำกับพฤติกรรมของเจ้าแล้ว และเจ้าเลือกที่จะปล่อยให้มันปกครองชะตากรรมของเจ้ามากกว่าจะละวางการไล่ตามโภคทรัพย์  การที่ผู้คนสามารถปฏิบัติตนเช่นนี้ การที่คำพูดของซาตานสามารถควบคุมและบงการพวกเขา—นี่ก็หมายความว่าพวกเขาถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทรามไปแล้วมิใช่หรือ?  ปรัชญาและกรอบความคิดของซาตาน และอุปนิสัยของซาตาน ไม่ได้หยั่งรากลงไปในหัวใจของเจ้าแล้วหรอกหรือ?  เมื่อเจ้าไล่ตามโภคทรัพย์อย่างมืดบอด และละทิ้งการไล่ตามเสาะหาความจริง ซาตานย่อมสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายที่จะชักพาให้เจ้าหลงผิดไปแล้วมิใช่หรือ?  ย่อมเป็นเช่นนี้อย่างแน่นอน  แล้วเวลาที่เจ้าถูกซาตานชักพาให้หลงผิดและทำให้เสื่อมทราม เจ้ารู้สึกได้บ้างหรือไม่?  เจ้าไม่สามารถรู้สึกได้  หากเจ้าไม่สามารถมองเห็นซาตานยืนอยู่ตรงหน้าเจ้า หรือรู้สึกว่าซาตานกำลังกระทำการอย่างลับๆ เจ้าจะสามารถมองเห็นความชั่วร้ายของซาตานได้หรือ?  เจ้าจะรู้ได้หรือว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามด้วยวิธีใด?  ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามในทุกที่และทุกเวลา  ซาตานทำให้เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะป้องกันตัวจากความเสื่อมทรามนี้ และทำให้มนุษย์อับจนหนทางที่จะต่อต้านมัน  ซาตานทำให้เจ้ายอมรับความคิดของมัน มุมมอง และสิ่งเลวร้ายทั้งหลายที่มาจากมัน ในสถานการณ์ที่เจ้าไม่รู้ตัวและเมื่อเจ้าไม่ตระหนักว่ากำลังเกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า  ผู้คนยอมรับสิ่งเหล่านี้และไม่มีการยกเว้นใดๆ ต่อสิ่งเหล่านี้เลย  พวกเขาทะนุถนอมและยึดมั่นกับสิ่งเหล่านี้เหมือนทรัพย์สมบัติล้ำค่า พวกเขาปล่อยให้สิ่งเหล่านี้บงการพวกเขาและทำกับพวกเขาเหมือนเป็นของเล่น นี่คือการที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่ใต้อำนาจของซาตาน และเชื่อฟังซาตานโดยไม่รู้ตัว และการทำให้มนุษย์เสื่อมทรามของซาตานนั้นยิ่งลงลึกมากขึ้นทุกที

ซาตานใช้หลายวิธีการเหล่านี้เพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  มนุษย์มีความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการทางวิทยาศาสตร์บางอย่าง มนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อิทธิพลของวัฒนธรรมตามประเพณี และมนุษย์ทุกคนเป็นผู้รับมรดกและผู้ถ่ายทอดวัฒนธรรมตามประเพณี  มนุษย์ถูกผูกมัดให้ต้องดำเนินวัฒนธรรมตามประเพณีที่ซาตานมอบให้เขานี้ต่อไป และมนุษย์ยังปฏิบัติตามกระแสนิยมทางสังคมที่ซาตานจัดเตรียมให้แก่มวลมนุษย์อีกด้วย  มนุษย์ไม่สามารถแยกจากซาตานได้ ปฏิบัติตามทุกอย่างที่ซาตานทำอยู่ตลอดเวลา ยอมรับความเลว ความหลอกลวง การคิดร้าย และความโอหังของมัน  ทันทีที่มนุษย์ได้มาครองอุปนิสัยเหล่านี้ของซาตาน เขามีความสุขหรือเศร้าโศกที่ได้มาดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามนี้?  (โศกเศร้า)  เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้นเล่า?  (เพราะมนุษย์ถูกมัดและควบคุมโดยสิ่งทั้งหลายที่เสื่อมทรามเหล่านี้ เขาใช้ชีวิตอยู่ในบาปและชีวิตของเขาถูกโอบล้อมอยู่ในการต่อสู้ดิ้นรนที่ยากลำเค็ญ)  ผู้คนบางคนสวมแว่นสายตา โดยมีลักษณะภายนอกเป็นผู้มีภูมิปัญญาอย่างยิ่ง พวกเขาอาจพูดอย่างน่านับถือยิ่งนัก มีวาทศิลป์และเหตุผล และเนื่องจากพวกเขาได้ก้าวผ่านสิ่งทั้งหลายมามากมาย พวกเขาอาจมีประสบการณ์และทันสมัยอย่างมาก พวกเขาอาจมีความสามารถที่จะพูดในรายละเอียดของเรื่องทั้งหลายทั้งใหญ่และเล็กได้ ทั้งพวกเขายังอาจจะมีความสามารถที่จะประเมินความน่าเชื่อถือและให้เหตุผลสิ่งทั้งหลายด้วยเช่นกัน  บางคนอาจจะมองดูที่พฤติกรรมและการปรากฏของผู้คนเหล่านี้ ตลอดจนบุคลิกลักษณะ สภาวะความเป็นมนุษย์ การประพฤติ และอื่นๆ ของพวกเขา และพบว่าพวกเขาไม่มีข้อผิดพลาดเลย  ผู้คนเช่นนั้นมีความสามารถเป็นพิเศษในการปรับตัวให้เข้ากับกระแสนิยมทางสังคมปัจจุบัน  ถึงแม้ว่าผู้คนเหล่านี้อาจสูงวัย พวกเขาก็ไม่เคยล้าหลังกระแสนิยมทั้งหลายของยุคนั้นและไม่เคยแก่เกินเรียน  เมื่อมองผิวเผิน ไม่มีผู้ใดสามารถพบข้อผิดพลาดในบุคคลเช่นนี้ได้ แต่ทว่าเมื่อทบทวนแก่นแท้ภายในของพวกเขานั้น พวกเขาถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างถึงที่สุดและโดยสิ้นเชิง  ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถพบข้อผิดพลาดภายนอกจากผู้คนเหล่านี้ได้ ถึงแม้ว่าบนเปลือกนอกนั้นพวกเขาเป็นคนสุภาพ ได้รับการถลุง และครองความรู้และความมีศีลธรรมเฉพาะอย่าง และพวกเขามีความสัตย์สุจริต และถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่มีทางด้อยกว่าผู้คนรุ่นเยาว์ในด้านของความรู้ ทว่าในแง่ของแก่นแท้ธรรมชาติของพวกเขา ผู้คนเช่นนี้เป็นแบบอย่างอันสมบูรณ์และมีชีวิตของซาตาน พวกเขาเป็นสำเนาถูกต้องของซาตาน  นี่คือ “ดอกผล” ของการที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  สิ่งที่เราได้พูดไปอาจทำให้พวกเจ้าเจ็บปวด แต่ทั้งหมดนั้นจริงแท้  ความรู้ที่มนุษย์ศึกษา วิทยาศาสตร์ที่เขาเข้าใจ และวิถีทางที่เขาเลือกเพื่อทำให้เขาเข้ากันได้กับกระแสนิยมทางสังคมนั้น คือเครื่องมือที่ซาตานใช้ทำให้มนุษย์เสื่อมทรามโดยไม่มีการยกเว้น  การนี้แท้จริงอย่างแน่นอน  เพราะฉะนั้น มนุษย์จึงดำรงชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามโดยสิ้นเชิง และมนุษย์ไม่มีหนทางที่จะรู้ว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือสิ่งใดหรือเนื้อแท้ของพระเจ้าคือสิ่งใด  นี่เป็นเพราะบนเปลือกนอกนั้น คนเราไม่สามารถพบข้อผิดพลาดกับหนทางที่ซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามได้ คนเราไม่สามารถบอกได้จากพฤติกรรมของใครบางคนว่าสิ่งใดผิดปกติ  ทุกคนทำงานของตนเองอย่างเป็นปกติและดำรงชีวิตตามปกติ พวกเขาอ่านหนังสือและหนังสือพิมพ์อย่างเป็นปกติ พวกเขาศึกษาและพูดอย่างเป็นปกติ ผู้คนบางคนได้เรียนรู้จริยธรรมมาเล็กน้อยและพูดเก่ง มีความเข้าใจและเป็นมิตร ชอบช่วยเหลือและใจบุญ และไม่หาเรื่องทะเลาะเบาะแว้งหยุมหยิมหรือเอาเปรียบผู้คน  อย่างไรก็ตาม อุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานนี้หยั่งรากลึกภายในตัวพวกเขา และธาตุแท้นี้ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยอาศัยความพยายามภายนอก  เนื่องจากธาตุแท้นี้ มนุษย์จึงไม่สามารถรู้จักความบริสุทธิ์ของพระเจ้าได้ และถึงแม้เนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้าจะได้เผยแก่มนุษย์ มนุษย์ก็ไม่จริงจังกับมัน  นี่เป็นเพราะซาตานได้มาครอบงำความรู้สึก แนวคิด ทัศนคติ และความคิดของมนุษย์ไว้แล้วอย่างสิ้นเชิงโดยผ่านทางวิถีทางต่างๆ นานา  การครอบงำและความเสื่อมทรามนี้ไม่ใช่ชั่วคราวหรือเป็นบางโอกาส แต่ปรากฏอยู่ทุกที่และตลอดเวลา  ด้วยเหตุนี้  ผู้คนมากมายยิ่งนักที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาสามหรือสี่ปี หรือแม้กระทั่งห้าหรือหกปีแล้ว จึงยังคงมองว่าความคิด ทรรศนะ ตรรกะที่เลวร้ายเหล่านี้ และปรัชญาทั้งหลายที่ซาตานได้ปลูกฝังไว้ในตัวพวกเขาเป็นทรัพย์สมบัติล้ำค่า และไร้ความสามารถที่จะปล่อยสิ่งเหล่านั้นไปได้  เป็นเพราะมนุษย์ยอมรับสิ่งทั้งหลายที่เลว โอหัง และคิดร้ายที่มาจากธรรมชาติของซาตาน จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีความขัดแย้ง ข้อโต้เถียง และความเข้ากันไม่ได้อยู่บ่อยๆ ในสัมพันธภาพระหว่างบุคคลของมนุษย์ ซึ่งเกิดขึ้นจากธรรมชาติอันโอหังของซาตาน  หากซาตานได้มอบสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกแก่มวลมนุษย์—ยกตัวอย่างเช่น หากลัทธิขงจื๊อและลัทธิเต๋าจากวัฒนธรรมตามประเพณีที่มนุษย์ได้ยอมรับนั้นเป็นสิ่งที่ดี—ผู้คนประเภทที่คล้ายกันควรสามารถไปด้วยกันได้หลังจากที่ยอมรับสิ่งเหล่านั้นแล้ว  ดังนั้น เหตุใดจึงมีการแบ่งแยกมากมายระหว่างผู้คนที่ได้ยอมรับในสิ่งเดียวกัน?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น?  นั่นเป็นเพราะสิ่งเหล่านี้มาจากซาตานและซาตานได้สร้างการแบ่งแยกขึ้นท่ามกลางผู้คน  สิ่งที่มาจากซาตาน ไม่ว่าภายนอกจะดูมีศักดิ์ศรีหรือยิ่งใหญ่เพียงใดก็ตาม ย่อมนำความโอหังมาสู่มนุษย์และทำให้ชีวิตของมนุษย์แสดงแต่ความโอหังออกมาเท่านั้น มีแต่ธรรมชาติเลวๆ ที่หลอกลวงเท่านั้น  ย่อมเป็นเช่นนั้นมิใช่หรือ?  ใครบางคนที่สามารถปลอมตัว ที่ครองความอุดมทรัพย์ทางความรู้ หรือผู้ที่มีการอบรมเลี้ยงดูที่ดีก็จะยังคงมีเวลาที่ยากลำบากในการปกปิดอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของพวกเขาอยู่  กล่าวคือ ไม่สำคัญว่าบุคคลนี้จะห่มคลุมตัวเองสักกี่วิธี ไม่ว่าเจ้าจะคิดถึงพวกเขาในฐานะวิสุทธิชนหรือไม่ หรือเจ้าจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนมีความเพียบพร้อมหรือไม่ หรือเจ้าจะคิดว่าพวกเขาเป็นทูตสวรรค์หรือไม่ ไม่ว่าเจ้าจะคิดว่าพวกเขาบริสุทธิ์หมดจดเพียงใด ชีวิตจริงหลังฉากของพวกเขาย่อมเป็นเยี่ยงใด?  เจ้าย่อมจะมองเห็นธาตุแท้อันใดเมื่อพวกเขาเผยอุปนิสัยของตนออกมา?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเจ้าย่อมจะมองเห็นธรรมชาติอันเลวของซาตาน  การพูดเช่นนั้นพอจะยอมรับได้หรือไม่?  (ได้)  ยกตัวอย่างเช่น สมมุติว่าเจ้ารู้จักใครบางคนที่ใกล้ชิดกับพวกเจ้า ผู้ที่เจ้าคิดว่าเป็นคนดี อาจจะเป็นใครบางคนที่เจ้าชื่นชู  ด้วยวุฒิภาวะปัจจุบันของเจ้า เจ้าคิดถึงพวกเขาอย่างไร?  อย่างแรก เจ้าประเมินว่าบุคคลประเภทนี้มีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ ว่าพวกเขาซื่อสัตย์หรือไม่ ว่าพวกเขามีความรักแท้จริงต่อผู้คนหรือไม่ ว่าคำพูดและการกระทำของพวกเขาเป็นประโยชน์และช่วยผู้อื่นหรือไม่  (พวกเขาไม่เป็นเช่นนั้น)  สิ่งที่เรียกว่าความใจดีมีเมตตา ความรัก หรือความดีงามอันใดที่ผู้คนเหล่านี้เปิดเผยออกมา?  ทั้งหมดนั้นเป็นเท็จ ทั้งหมดนั้นเป็นเพียงหน้าฉาก  เบื้องหลังหน้าฉากนี้มีจุดประสงค์อันเลวแอบแฝงอยู่ นั่นก็คือ เพื่อทำให้บุคคลนั้นเป็นที่รักใคร่บูชาและชื่นชู  พวกเจ้ามองเห็นการนี้อย่างชัดเจนใช่หรือไม่?  (ใช่)

วิธีการที่ซาตานใช้เพื่อทำให้ผู้คนเสื่อมทรามนั้น นำพาสิ่งใดมาสู่มวลมนุษย์หรือ?  วิธีการเหล่านั้นนำพาสิ่งใดที่เป็นบวกมาหรือไม่?  ก่อนอื่น มนุษย์สามารถแยกความต่างระหว่างความดีและความชั่วได้หรือไม่?  เจ้าจะพูดหรือไม่ว่า ในพิภพนี้ ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงหรือยิ่งใหญ่บางคน หรือนิตยสารหรือสิ่งพิมพ์อื่นๆ มาตรฐานที่พวกเขาใช้เพื่อตัดสินว่าบางสิ่งบางอย่างดีหรือชั่วและถูกหรือผิดนั้น ถูกต้องแม่นยำหรือไม่?  การประเมินของพวกเขาที่มีต่อเหตุการณ์และผู้คนยุติธรรมหรือไม่?  การประเมินเหล่านั้นบรรจุไปด้วยความจริงหรือไม่?  พิภพนี้ มนุษยชาตินี้ ประเมินสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกและเป็นลบบนพื้นฐานของมาตรฐานแห่งความจริงหรือไม่?  (ไม่)  เหตุใดผู้คนจึงไม่มีความสามารถนั้น?  ผู้คนได้ศึกษาความรู้มากมายยิ่งนัก และรู้มากมายยิ่งนักเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ดังนั้นพวกเขาจึงครองความสามารถยิ่งใหญ่มิใช่หรือ?  ดังนั้นเหตุใดพวกเขาจึงไม่สามารถแยกระหว่างสิ่งที่เป็นบวกและเป็นลบได้?  เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้?  (เพราะผู้คนไม่มีความจริง วิทยาศาสตร์และความรู้ไม่ใช่ความจริง)  ทุกสิ่งทุกอย่างที่ซาตานนำมาให้มนุษยชาตินั้นเลว เสื่อมทราม และไร้ซึ่งความจริง ชีวิต  และหนทาง  ด้วยความเลวและความเสื่อมทรามที่ซาตานนำมาให้มนุษย์ เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าซาตานมีความรัก?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่ามนุษย์มีความรัก?  ผู้คนบางคนอาจจะพูดว่า  “ท่านผิดแล้ว มีผู้คนมากมายทั่วโลกที่ช่วยเหลือคนยากจนและไร้บ้าน  ผู้คนเหล่านั้นไม่ใช่คนดีหรอกหรือ?  ยังมีองค์กรการกุศลทั้งหลายที่ทำงานที่ดีงามอีกด้วย  งานที่พวกเขาทำไม่ใช่งานที่ดีงามหรอกหรือ?”  เจ้าจะพูดอย่างไรต่อการนั้น?  ซาตานใช้วิธีการและทฤษฎีที่แตกต่างกันมากมายเพื่อทำให้มนุษย์เสื่อมทราม  ความเสื่อมทรามนี้ของมนุษย์เป็นมโนทัศน์ที่คลุมเครือใช่หรือไม่?  ไม่ใช่ มันไม่คลุมเครือ  ซาตานยังทำบางสิ่งบางอย่างที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงอีกด้วย และมันยังส่งเสริมทัศนคติหรือทฤษฎีในพิภพนี้และในสังคมอีกด้วย  มันส่งเสริมทฤษฎีและปลูกฝังความคิดเข้าไปในจิตใจของมนุษย์ ในทุกราชวงศ์และในทุกยุคสำคัญในประวัติศาสตร์  ความคิดและทฤษฎีเหล่านี้ค่อยๆ หยั่งรากในหัวใจของผู้คน และต่อมาพวกเขาก็เริ่มดำรงชีวิตด้วยสิ่งเหล่านั้น  ทันทีที่พวกเขาเริ่มดำรงชีวิตด้วยสิ่งเหล่านี้ พวกเขาไม่กลายเป็นซาตานโดยไม่รู้ตัวหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้วผู้คนไม่กลายเป็นหนึ่งเดียวกับซาตานหรอกหรือ?  เมื่อผู้คนได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกับซาตานแล้ว ท่าทีของพวกเขาที่มีต่อพระเจ้าในท้ายที่สุดจะเป็นอย่างไร?  มันจะไม่ใช่ท่าทีแบบเดียวกันกับที่ซาตานมีต่อพระเจ้าหรอกหรือ?  ไม่มีผู้ใดกล้ายอมรับการนี้ใช่หรือไม่?  ช่างน่าสยองขวัญยิ่งนัก!  เหตุใดเราจึงพูดว่าธรรมชาติของซาตานนั้นเลว?  เราไม่ได้พูดเช่นนี้อย่างเลื่อนลอย ในทางตรงกันข้าม ธรรมชาติของซาตานถูกระบุและชำแหละตามสิ่งที่มันทำลงไปและสิ่งที่มันเผยให้เห็น  หากเราพูดเพียงว่าซาตานนั้นเลว พวกเจ้าจะคิดอย่างไร?  พวกเจ้าย่อมจะคิดว่า “เห็นได้ชัดว่าซาตานนั้นเลว”  ดังนั้นเราถามเจ้าว่า “แง่มุมใดของซาตานที่เลว?”  หากเจ้าตอบว่า “การต้านทานที่ซาตานมีต่อพระเจ้านั้นเลว” เจ้าย่อมจะไม่ได้พูดด้วยความเข้าใจที่ชัดแจ้งอยู่ดี  บัดนี้เมื่อเราพูดถึงรายละเอียดไปเช่นนี้แล้ว พวกเจ้าก็ย่อมเข้าใจเนื้อหาจำเพาะเรื่องธาตุแท้อันเลวของซาตานแล้วใช่หรือไม่?  (ใช่)  หากเจ้าสามารถมองเห็นธรรมชาติอันเลวของซาตานได้อย่างชัดเจน เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมองเห็นสภาพเงื่อนไขทั้งหลายของเจ้าเอง  มีสัมพันธภาพใดระหว่างสองสิ่งเหล่านี้หรือไม่?  การนี้มีประโยชน์ต่อพวกเจ้าหรือไม่?  (มี)  เมื่อเราสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเนื้อแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้า เราจำเป็นต้องสามัคคีธรรมเกี่ยวกับธาตุแท้อันเลวของซาตานหรือไม่?  พวกเจ้ามีความคิดเห็นอย่างไรเกี่ยวกับการนี้?  (จำเป็น)  เพราะเหตุใด?  (ความเลวของซาตานขับให้ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นที่สะดุดตาขึ้นมา)  เป็นเช่นนั้นหรือไม่?  นี่ถูกต้องเป็นบางส่วน เพราะหากปราศจากความเลวของซาตาน ผู้คนย่อมจะไม่รู้ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ การกล่าวเช่นนี้จึงถูกต้อง  อย่างไรก็ตาม หากเจ้าพูดว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้ามีอยู่เพียเงพราะต่างขั้วกับความเลวของซาตานเท่านั้น นี่ถูกต้องหรือไม่?  การคิดในหนทางแบบวิภาษวิธีเช่นนี้ไม่ถูกต้อง  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระเจ้า แม้เมื่อพระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งนั้นโดยผ่านทางกิจการทั้งหลายของพระองค์ นี่ยังคงเป็นการแสดงออกตามธรรมชาติถึงเนื้อแท้ของพระเจ้า และนั่นยังคงเป็นเนื้อแท้ประจำพระองค์ของพระเจ้า นั่นดำรงอยู่เสมอและเป็นเนื้อในแต่ดั้งเดิมของพระเจ้าพระองค์เอง แม้ว่ามนุษย์ไม่สามารถมองเห็นสิ่งนั้นได้  นี่เป็นเพราะมนุษย์ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของซาตานและอยู่ภายใต้อิทธิพลของซาตาน และพวกเขาไม่รู้เกี่ยวกับความบริสุทธิ์ นับประสาอะไรที่จะรู้เกี่ยวกับเนื้อหาอันเฉพาะเจาะจงในความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  ดังนั้น การที่พวกเราสามัคคีธรรมถึงธาตุแท้อันเลวของซาตานกันก่อนจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งใช่หรือไม่?  (ใช่ สำคัญยิ่ง)  ผู้คนบางคนอาจแสดงความกังขาบางอย่างว่า “ท่านกำลังสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เอง ดังนั้นเหตุใดท่านจึงพูดคุยอยู่เสมอเกี่ยวกับว่า ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร และธรรมชาติของซาตานนั้นเลวอย่างไร?”  บัดนี้เจ้าได้คลายความกังขาเหล่านี้แล้วมิใช่หรือ?  เมื่อผู้คนมีวิจารณญาณในเรื่องความเลวของซาตาน และเมื่อพวกเขามีคำนิยามที่ถูกต้องเกี่ยวกับความเลวนี้ เมื่อผู้คนสามารถมองเห็นเนื้อหาและลักษณะจำเพาะที่สำแดงถึงความเลว รวมทั้งต้นกำเนิดและธาตุแท้ของความเลวได้อย่างชัดเจน เมื่อนั้นเท่านั้นที่ผู้คนจะสามารถตระหนักหรือยอมรับโดยผ่านทางการเสวนาถึงความบริสุทธิ์ของพระเจ้าว่าความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นอย่างไร ความบริสุทธิ์คือสิ่งใด  หากเราไม่เสวนาถึงความเลวของซาตาน ผู้คนบางคนก็จะเชื่ออย่างผิดๆ ว่าอาจมีบางสิ่งที่ผู้คนทำในสังคมและท่ามกลางผู้คน—หรือสิ่งเฉพาะทั้งหลายที่มีอยู่ในพิภพนี้—ที่เกี่ยวข้องกับความบริสุทธิ์อยู่บ้าง  ซึ่งนี่เป็นมุมมองที่ผิดไม่ใช่หรือ?  (ใช่)

บัดนี้ที่เราได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับธาตุแท้ของซาตานในหนทางนี้ พวกเจ้าได้รับความเข้าใจแบบใดเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ของพวกเจ้าในสองสามปีที่ผ่านมา จากการที่พวกเจ้าได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าและจากการรับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระองค์?  ขอเชิญพูดถึงสิ่งนั้นได้เลย  เจ้าไม่ต้องใช้คำพูดที่ฟังรื่นหู แต่แค่พูดจากประสบการณ์ของเจ้าเอง  ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าประกอบด้วยความรักของพระองค์เท่านั้นหรือ?  แค่ความรักของพระเจ้าเท่านั้นหรือที่พวกเราบรรยายว่าเป็นความบริสุทธิ์?  นั่นคงจะเป็นด้านเดียวเกินไปมิใช่หรือ?  นอกเหนือจากความรักของพระเจ้าแล้ว มีแง่มุมอื่นๆ เกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งเหล่านั้นแล้วหรือไม่?  (เห็นแล้ว  พระเจ้าทรงรังเกียจเทศกาลและวันหยุด ขนบธรรมเนียม และความเชื่อเหนือธรรมชาติทั้งหลาย นี่เป็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้าด้วยเช่นกัน)  พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ ดังนั้น พระองค์จึงทรงรังเกียจสิ่งทั้งหลาย เจ้าหมายความเช่นนั้นใช่หรือไม่?  เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด?  ใช่หรือไม่ที่ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าไม่มีเนื้อหาสาระใดๆ มีแต่ความเกลียดชังเท่านั้น?  ในจิตใจของพวกเจ้า พวกเจ้ากำลังคิดใช่หรือไม่ว่า “เป็นเพราะพระเจ้าทรงเกลียดชังสิ่งเลวร้ายเหล่านี้ ดังนั้นคนเราจึงสามารถกล่าวได้ว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์กระนั้นหรือ”?  ตรงนี้นี่ไม่ใช่การคาดเดาหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่รูปแบบหนึ่งของการคาดการณ์และการตัดสินหรอกหรือ?  สิ่งใดคือการก้าวพลาดอันใหญ่หลวงที่สุดที่ต้องหลีกเลี่ยงโดยสิ้นเชิงเมื่อกล่าวถึงความเข้าใจของพวกเราเกี่ยวกับแก่นแท้ของพระเจ้า?  (นั่นคือเมื่อพวกเราทิ้งความเป็นจริงไว้เบื้องหลังและพูดถึงคำสอนทั้งหลายแทน)  นี่คือการก้าวพลาดอันใหญ่หลวงยิ่ง  มีสิ่งอื่นใดอีกหรือไม่?  (การคาดเดาและการจินตนาการ)  เหล่านี้คือการก้าวพลาดที่ร้ายแรงยิ่งเช่นกัน  เหตุใดการคาดเดาและจินตนาการจึงไม่มีประโยชน์?  สิ่งทั้งหลายที่เจ้าคาดเดาถึงและจินตนาการเป็นสิ่งที่เจ้าสามารถมองเห็นได้อย่างแท้จริงหรือ?  สิ่งเหล่านั้นเป็นแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่?  (ไม่ใช่)  สิ่งใดอีกที่ต้องหลีกเลี่ยง  มันเป็นการก้าวพลาดหรือไม่ที่เพียงแค่ท่องจำคำพูดที่น่ายินดียาวเป็นสายเพื่อบรรยายถึงแก่นแท้ของพระเจ้า?  (ใช่แล้ว)  นี่ไม่ยิ่งใหญ่และไร้สาระใช่หรือไม่?  การตัดสินและการคาดเดานั้นไร้สาระ เช่นเดียวกับการหยิบยกคำพูดที่น่ายินดี  การสรรเสริญที่ว่างเปล่าก็ไร้สาระด้วยเช่นกันมิใช่หรือ?  พระเจ้าทรงชื่นชมการสดับฟังผู้คนพูดคุยเรื่องไร้สาระประเภทนี้หรือไม่?  (ไม่ พระองค์ไม่ทรงชื่นชม)  พระองค์รู้สึกไม่สบายพระทัยเมื่อพระองค์ทรงได้ยินสิ่งนั้น!  เมื่อพระเจ้าทรงนำและทรงช่วยผู้คนกลุ่มหนึ่งให้รอด หลังจากที่ผู้คนกลุ่มนี้ได้ยินพระวจนะของพระองค์แล้ว แต่ถึงกระนั้นพวกเขาไม่เคยเข้าใจสิ่งที่พระองค์ทรงหมายถึง  ใครบางคนอาจถามว่า “พระเจ้าทรงดีงามใช่หรือไม่?”  และพวกเขาคงจะตอบว่า “ใช่!”  “ทรงดีงามอย่างไร?”  “ทรงดีงามมาก!”  “พระเจ้าทรงรักมนุษย์ใช่หรือไม่?”  “ใช่!”  “มากเพียงใด?  เจ้าสามารถบรรยายถึงการนั้นได้หรือไม่?”  “มากมายยิ่งนัก!  ความรักของพระเจ้าล้ำลึกกว่าทะเล สูงส่งกว่าท้องฟ้า!”  คำพูดเหล่านี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  ความไร้สาระนี้ไม่คล้ายกันกับสิ่งที่พวกเจ้าเพิ่งพูดไปหรอกหรือที่ว่า “พระเจ้าทรงเกลียดชังอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของซาตาน และดังนั้นพระเจ้าจึงทรงบริสุทธิ์”?  (ใช่แล้ว)  สิ่งที่เจ้าเพิ่งพูดไปไม่ไร้สาระหรอกหรือ?  และสิ่งไร้สาระทั้งหลายที่พูดไปนั้นส่วนใหญ่แล้วมาจากที่ใด?  สิ่งไร้สาระทั้งหลายที่พูดไปโดยหลักแล้วมาจากการขาดความรับผิดชอบและความยำเกรงต่อพระเจ้าของผู้คน  พวกเราสามารถพูดเช่นนั้นได้หรือไม่?  เจ้าไม่มีความเข้าใจอันใด แต่ทว่าเจ้ายังคงพูดเรื่องไร้สาระ  นั่นเป็นการไม่รับผิดชอบมิใช่หรือ?  นั่นไม่ใช่การไม่นับถือพระเจ้าหรอกหรือ?  เจ้าได้เรียนรู้ความรู้บางอย่าง ได้เข้าใจเหตุผลและตรรกะบางอย่าง เจ้าได้ใช้สิ่งเหล่านี้ และยิ่งไปกว่านั้น ได้ทำเช่นนั้นเป็นหนทางในการเข้าใจพระเจ้าแล้ว  เจ้าคิดว่าพระเจ้าทรงรู้สึกไม่พอพระทัยเมื่อพระองค์ทรงได้ยินเจ้าพูดจาในแบบนั้นหรือไม่?  เจ้าสามารถพยายามรู้จักพระเจ้าโดยใช้วิธีการเหล่านี้ได้หรือไม่?  เมื่อเจ้าพูดเช่นนั้น มันไม่ฟังดูน่าตะขิดตะขวงหรอกหรือ?  เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า คนเราต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง จงพูดเฉพาะในขอบข่ายที่เจ้ารู้จักพระเจ้า  จงพูดอย่างซื่อสัตย์และอย่างสัมพันธ์กับชีวิตจริง และจงอย่าประดับคำพูดของเจ้าด้วยคำชมอันอ่อนหวาน และจงอย่าใช้การป้อยอ พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์การนั้น สิ่งประเภทนี้มาจากซาตาน  อุปนิสัยของซาตานนั้นโอหัง ซาตานชอบการป้อยอและการได้ยินคำพูดที่น่าฟัง  ซาตานจะยินดีและมีความสุขหากผู้คนท่องจำคำพูดที่น่ายินดีทั้งหมดที่พวกเขาได้เรียนรู้มาและใช้คำพูดเหล่านั้นเพื่อซาตาน  แต่พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์สิ่งนี้ พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์การเยินยอหรือการป้อยอ และพระองค์ไม่ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนพูดไร้สาระและสรรเสริญพระองค์อย่างหูหนวกตาบอด  พระเจ้าทรงชิงชังและจะไม่แม้กระทั่งฟังการสรรเสริญและการป้อยอที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง  ดังนั้น เมื่อผู้คนสรรเสริญพระเจ้าอย่างไม่จริงใจ และทำการปฏิญญาและอธิษฐานต่อพระองค์อย่างหูหนวกตาบอด พระเจ้าไม่ทรงรับฟังเลย  เจ้าต้องรับผิดชอบสำหรับสิ่งที่เจ้าพูด  หากเจ้าไม่รู้บางสิ่งบางอย่าง ก็แค่พูดไปเช่นนั้น หากเจ้ารู้บางสิ่งบางอย่าง ก็จงแสดงมันออกไปในหนทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง  ดังนั้น ตามสิ่งที่ความบริสุทธิ์ของพระเจ้านำมาโดยเฉพาะและโดยแท้จริงนั้น พวกเจ้ามีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับการนั้นหรือไม่?  (เมื่อข้าพเจ้าได้แสดงความกบฏ เมื่อข้าพเจ้ากระทำการล่วงละเมิด ข้าพเจ้าได้รับการพิพากษาและการตีสอนของพระเจ้า และในการนั้นข้าพเจ้าได้เห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  และเมื่อข้าพเจ้าได้เผชิญกับสภาพแวดล้อมที่ไม่สอดคล้องกับความคาดหวังของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้อธิษฐานเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ และข้าพเจ้าแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้า และดังที่พระเจ้าได้ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพเจ้าด้วยพระวจนะของพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้เห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  การนี้มาจากประสบการณ์ของเจ้าเอง  (จากสิ่งที่พระเจ้าได้ตรัสเกี่ยวกับการนั้น ฉันได้เห็นสิ่งที่มนุษย์ได้กลายมาเป็นหลังจากถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามและได้รับอันตราย  ถึงกระนั้นก็ตาม พระเจ้าได้ทรงมอบทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อช่วยพวกเราให้รอดและจากการนี้ฉันมองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  นี่คือลักษณะการพูดที่เป็นจริง มันคือความรู้ที่แท้จริง  มีหนทางที่แตกต่างกันอันใดในการเข้าใจนี้หรือไม่?  (ข้าพเจ้ามองเห็นความเลวของซาตานจากคำพูดที่มันใช้ชักจูงเอวาให้ทำบาปและการที่มันทดลององค์พระเยซูเจ้า  จากพระวจนะที่พระเจ้าได้ตรัสบอกอาดัมและเอวาถึงสิ่งที่พวกเขาสามารถและไม่สามารถกินได้นั้น ข้าพเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้าตรัสอย่างตรงไปตรงมา อย่างสะอาด และอย่างน่าเชื่อถือ จากการนี้ข้าพเจ้าจึงมองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้า)  เมื่อได้ยินคำกล่าวข้างต้นแล้ว คำพูดของผู้ใดที่บันดาลใจเจ้าให้พูดว่า “อาเมน” มากที่สุด?  การสามัคคีธรรมของผู้ใดใกล้เคียงกับหัวข้อการสามัคคีธรรมของพวกเราวันนี้?  การสามัคคีธรรมของพี่น้องหญิงคนล่าสุดเป็นอย่างไรบ้าง?  (ดี)  พวกเจ้าพูด “อาเมน” ให้กับสิ่งที่เธอได้พูดไป  สิ่งใดที่เธอได้พูดไปที่ถูกต้องตรงเป้า?  (ในคำพูดของพี่น้องหญิงที่เพิ่งได้พูดไป ข้าพเจ้าได้ยินว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นตรงไปตรงมาและชัดเจนมาก และว่านั่นไม่เหมือนกับการพูดวกไปวนมาของซาตานเลย  ข้าพเจ้ามองเห็นความบริสุทธิ์ของพระเจ้าในการนี้)  นี่คือส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น  มันถูกต้องใช่หรือไม่?  (ใช่)  ดีมาก  เรามองเห็นว่าพวกเจ้าได้รับบางสิ่งบางอย่างในการสามัคคีธรรมสองครั้งที่ผ่านไปนี้ แต่พวกเจ้าต้องทำงานหนักต่อไป  เหตุผลที่พวกเจ้าต้องทำงานหนักเป็นเพราะการเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้าเป็นบทเรียนที่ลุ่มลึกมาก นั่นไม่ใช่บางสิ่งบางอย่างที่คนเราจะมาเข้าใจในชั่วข้ามคืน หรือที่คนเราสามารถแสดงออกได้อย่างชัดเจนด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ

ทุกแง่มุมของอุปนิสัยที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน ความรู้ ปรัชญาของมนุษย์ ความคิดและทัศนคติของมนุษย์ และแง่มุมเฉพาะส่วนบุคคลของผู้คนแต่ละคนขัดขวางพวกเขาอย่างยิ่งจากการรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเจ้าได้ยินหัวข้อเหล่านี้ ซึ่งบางส่วนจากหัวข้อเหล่านี้อาจเกินการเอื้อมถึงของพวกเจ้า บางหัวข้อเจ้าอาจไม่เข้าใจ ในขณะที่บางหัวข้อเจ้าอาจจะไม่มีความสามารถที่จะทำให้ตรงกับความเป็นจริงได้โดยพื้นฐาน  ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เราเคยได้ยินเกี่ยวกับความเข้าใจของพวกเจ้าในเรื่องความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และเรารู้ว่าในหัวใจของพวกเจ้านั้นพวกเจ้ากำลังเริ่มยอมรับสิ่งที่เราได้พูดและได้สามัคคีธรรมไปเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้า  เรารู้ว่าในหัวใจของพวกเจ้านั้น ความปรารถนาของเจ้าที่จะเข้าใจแก่นแท้แห่งความบริสุทธิ์ของพระเจ้ากำลังเริ่มแตกหน่อ  แต่สิ่งที่ทำให้เรามีความสุขมากยิ่งขึ้นไปอีกก็คือว่าพวกเจ้าบางคนสามารถใช้คำพูดที่เรียบง่ายที่สุดในการบรรยายความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับความบริสุทธิ์ของพระเจ้าแล้ว  ถึงแม้ว่าการนี้เป็นสิ่งง่ายที่จะพูด และเราได้พูดถึงการนี้ไปก่อนแล้ว ถึงกระนั้นในหัวใจของพวกเจ้าส่วนใหญ่ พวกเจ้ายังไม่ยอมรับคำพูดเหล่านี้ และอันที่จริงคำพูดเหล่านี้ไม่ได้สร้างความประทับใจในจิตใจของพวกเจ้า  ถึงกระนั้นก็ตาม พวกเจ้าบางคนได้หมายมั่นที่จะจดจำคำพูดเหล่านี้  การนี้ดีมากและเป็นการเริ่มต้นที่มีความหวังอย่างมาก  เราหวังว่าพวกเจ้าจะครุ่นคิดกันต่อไปและสามัคคีธรรมมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในหัวข้อทั้งหลายที่พวกเจ้าคิดว่าลุ่มลึก—หรือหัวข้อที่เกินเอื้อมถึงสำหรับพวกเจ้า  สำหรับประเด็นเหล่านั้นที่อยู่เกินเอื้อมสำหรับพวกเจ้า จะมีใครบางคนที่ให้การนำแก่พวกเจ้ามากขึ้น  หากเจ้ามีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมในด้านทั้งหลายที่อยู่ภายในการเอื้อมถึงของพวกเจ้าตอนนี้มากยิ่งขึ้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงทำพระราชกิจของพระองค์และพวกเจ้าจะได้มามีความเข้าใจยิ่งใหญ่ขึ้น  การเข้าใจแก่นแท้ของพระเจ้าและการรู้จักแก่นแท้ของพระเจ้าเป็นสิ่งที่มีความสำคัญสูงสุดต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้คน  เราหวังว่าพวกเจ้าจะไม่เพิกเฉยการนี้หรือมองว่ามันเป็นเกม เพราะการรู้จักพระเจ้าเป็นรากฐานความเชื่อของมนุษย์และเป็นกุญแจให้มนุษย์ไล่ตามเสาะหาความจริงและบรรลุถึงความรอด  หากผู้คนเชื่อในพระเจ้าแต่ยังไม่รู้จักพระองค์ หากพวกเขาเพียงดำรงชีวิตอยู่ในวจนะและคำสอนเท่านั้น ก็จะไม่มีวันเป็นไปได้เลยสำหรับพวกเขาที่จะบรรลุถึงความรอด ต่อให้พวกเขากระทำและดำรงชีวิตสอดคล้องกับความหมายผิวเผินของความจริงก็ตาม  กล่าวคือ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รู้จักพระองค์ เช่นนั้นแล้วความเชื่อของเจ้าก็ล้วนสูญเปล่าและไม่มีสิ่งใดที่เป็นความเป็นจริงเลย  เจ้าเข้าใจมิใช่หรือ?  (ใช่ พวกเราเข้าใจ)  การสามัคคีธรรมของพวกเราจะจบลง ณ ที่นี้สำหรับวันนี้

4 มกราคม ค.ศ. 2014

ก่อนหน้า: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4

ถัดไป: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 6

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์ หน้าที่รับผิดชอบของผู้นำและคนทำงาน ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง การพิพากษาเริ่มต้นที่พระนิเวศของพระเจ้า แก่นพระวจนะจากพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย พระวจนะของพระเจ้าประจำวัน ความเป็นจริงความจริงที่ผู้เชื่อในพระเจ้าต้องเข้าสู่ ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ แนวทางสำหรับการเผยแผ่ข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 1) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 2) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 3) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 4) คำพยานจากประสบการณ์หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์ (เล่มที่ 5) วิธีที่ข้าพเจ้าได้หันกลับไปสู่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger