พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 1

สิทธิอำนาจของพระเจ้า (1)

การสามัคคีธรรมหลายครั้งของเราในช่วงหลังนี้เกี่ยวข้องกับพระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง  หลังจากรับฟังการสามัคคีธรรมเหล่านี้แล้ว พวกเจ้ารู้สึกว่าได้รับความเข้าใจและความรู้เกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าได้รับความเข้าใจและความรู้ในระดับใด?  พวกเจ้าสามารถระบุเป็นตัวเลขได้หรือไม่?  การสามัคคีธรรมเหล่านี้ให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้าแก่พวกเจ้าหรือไม่?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า ความเข้าใจนี้เป็นความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า ความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้านี้เป็นความรู้เกี่ยวกับแก่นแท้ทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้า และเป็นทั้งหมดที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น?  ไม่เลย แน่นอนว่าไม่ใช่!  นั่นเป็นเพราะการสามัคคีธรรมเหล่านี้จัดเตรียมความเข้าใจในพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นเพียงบางส่วนเท่านั้น—ไม่ใช่ทั้งหมดโดยบริบูรณ์  การสามัคคีธรรมเหล่านี้ทำให้พวกเจ้าสามารถเข้าใจส่วนหนึ่งของพระราชกิจที่พระเจ้าทำในอดีต พวกเจ้าได้เห็นพระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น รวมทั้งแนวทางและวิธีคิดเบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำลงไป ผ่านทางการสามัคคีธรรมเหล่านี้  แต่นี่เป็นเพียงความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าที่พูดกันตามตัวอักษรเท่านั้น และในหัวใจของพวกเจ้านั้น พวกเจ้ายังคงไม่แน่ใจว่าความเข้าใจนี้มีเท่าใดที่เป็นจริง  สิ่งใดคือหลักในการกำหนดพิจารณาว่ามีความเป็นจริงอยู่ในความเข้าใจที่ผู้คนมีต่อสิ่งเหล่านี้บ้างหรือไม่?  การนี้กำหนดพิจารณาจากการที่ว่าพวกเขามีประสบการณ์อย่างแท้จริงกับพระวจนะและพระอุปนิสัยของพระเจ้าไปมากเท่าใดแล้วในประสบการณ์จริงของพวกเขา และพวกเขาสามารถมองเห็นและรู้ได้มากเท่าใดแล้วในระหว่างที่มีประสบการณ์จริงเหล่านี้  มีผู้ใดกล่าวคำพูดดังต่อไปนี้บ้างว่า “การสามัคคีธรรมหลายครั้งในช่วงหลังนี้ เปิดโอกาสให้พวกเราได้เข้าใจสิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าทรงกระทำ พระดำริของพระเจ้า และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ท่าทีที่พระเจ้าทรงมีต่อมวลมนุษย์ และพื้นฐานแห่งการกระทำของพระองค์ ตลอดจนหลักธรรมทั้งหลายในการกระทำของพระองค์ และดังนั้นพวกเราจึงมาเข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า และได้รู้จักทั้งหมดทั้งมวลของพระเจ้า”?  ถูกต้องหรือไม่ที่จะกล่าวเช่นนี้?  เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกต้อง  เหตุใดเราจึงกล่าวว่าไม่ถูกต้องที่จะกล่าวเช่นนี้?  พระอุปนิสัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้น แสดงออกในสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงกระทำและพระวจนะที่พระองค์ตรัส  มนุษย์สามารถมองเห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ผ่านทางพระราชกิจที่พระเจ้าทำและพระวจนะที่พระองค์ตรัสไป แต่นี่เพียงหมายความว่า พระราชกิจและพระวจนะทั้งหลายทำให้มนุษย์สามารถเข้าใจเพียงส่วนหนึ่งของพระอุปนิสัยของพระเจ้าและส่วนหนึ่งของสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นเท่านั้น  หากมนุษย์ปรารถนาที่จะได้รับความเข้าใจมากขึ้นและลุ่มลึกขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว มนุษย์ก็ต้องมีประสบการณ์กับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าให้มากขึ้น  แม้ว่ามนุษย์ได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับพระเจ้าเพียงบางส่วนในยามที่มีประสบการณ์กับพระวจนะหรือพระราชกิจบางส่วนของพระเจ้า แต่ความเข้าใจบางส่วนนี้แสดงถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าหรือไม่?  ความเข้าใจเช่นนี้แสดงถึงแก่นแท้ของพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่าย่อมแสดงถึงพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้า ไม่มีข้อสงสัยตรงนี้  ไม่ว่าจะเป็นเวลาใดหรือสถานที่ใด หรือไม่ว่าพระเจ้าจะทรงพระราชกิจของพระองค์ในลักษณะใด หรือพระองค์จะทรงปรากฏต่อมนุษย์ในรูปสัณฐานใด หรือพระองค์จะแสดงน้ำพระทัยของพระองค์ในหนทางใด ทั้งหมดที่พระองค์ทรงเผยและแสดงออกมาล้วนแสดงถึงพระเจ้าพระองค์เอง แก่นแท้ของพระเจ้า และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นทั้งสิ้น  พระเจ้าดำเนินพระราชกิจของพระองค์ด้วยสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น และด้วยพระอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพระองค์ การนี้จริงโดยแท้  กระนั้นก็ตาม ในวันนี้ผู้คนมีความเข้าใจเพียงบางส่วนเกี่ยวกับพระเจ้าผ่านทางพระวจนะของพระองค์ และผ่านทางสิ่งที่พวกเขาได้ยินเมื่อพวกเขาฟังการเทศนาเท่านั้น และดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ในระดับหนึ่งว่า ความเข้าใจนี้เป็นเพียงความรู้ทางทฤษฎี  เมื่อคำนึงถึงสภาวะตามจริงของเจ้าแล้ว เจ้าสามารถยืนยันความถูกต้องของความเข้าใจหรือความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่เจ้าได้ฟัง ได้เห็น หรือได้รู้และได้เข้าใจในหัวใจของเจ้าในวันนี้ ก็เฉพาะเมื่อพวกเจ้าแต่ละคนก้าวผ่านการนี้ในประสบการณ์จริงของพวกเจ้าและมารู้จักสิ่งนี้ทีละนิดทีละน้อยเท่านั้น  หากเราไม่ได้สามัคคีธรรมถึงพระวจนะเหล่านี้กับพวกเจ้า พวกเจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าโดยผ่านทางประสบการณ์ทั้งหลายของพวกเจ้าเพียงอย่างเดียวได้หรือ?  เราเกรงว่าการทำเช่นนั้นจะลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง  นั่นเป็นเพราะผู้คนต้องมีพระวจนะของพระเจ้าเสียก่อนเพื่อที่จะรู้จักการมีประสบการณ์  ไม่ว่าผู้คนจะกินพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงใดก็ตาม นี่ย่อมเป็นจำนวนเดียวกันกับที่พวกเขาสามารถมีประสบการณ์ได้อย่างแท้จริงนั่นเอง  พระวจนะของพระเจ้านำทางไปข้างหน้า และนำมนุษย์ในการมีประสบการณ์ของเขา  กล่าวสั้นๆ คือ สำหรับผู้ที่มีประสบการณ์อันแท้จริงอยู่บ้าง การสามัคคีธรรมหลายครั้งในช่วงหลังนี้จะช่วยให้พวกเขาสัมฤทธิ์ความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นในความจริง และมีความรู้ที่เป็นจริงมากขึ้นเกี่ยวกับพระเจ้า  แต่สำหรับพวกที่ไม่มีประสบการณ์ที่แท้จริงเลย หรือเพิ่งเริ่มมีประสบการณ์เท่านั้น หรือเพิ่งเริ่มสัมผัสความเป็นจริงเท่านั้น นี่ย่อมเป็นการทดสอบครั้งใหญ่

เนื้อหาหลักของการสามัคคีธรรมหลายครั้งในระยะหลังนี้เกี่ยวข้องกับ “พระอุปนิสัยของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง”  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในส่วนที่เป็นกุญแจสำคัญและศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่างที่เราได้พูดถึง?  ตลอดการสามัคคีธรรมเหล่านี้ พวกเจ้าสามารถตระหนักรู้ได้หรือไม่ว่าพระองค์ผู้ทรงพระราชกิจ พระองค์ผู้เผยพระอุปนิสัยเหล่านี้คือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง ผู้ทรงถือครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง?  หากคำตอบของพวกเจ้าคือได้ เช่นนั้นแล้ว สิ่งใดนำทางพวกเจ้ามาถึงบทสรุปเช่นนี้?  ในการมาถึงบทสรุปนี้ พวกเจ้าได้พิจารณาไปกี่แง่มุม?  ผู้ใดสามารถบอกเราได้บ้าง?  เรารู้ว่าการสามัคคีธรรมไม่กี่ครั้งล่าสุดนี้ส่งผลกระทบต่อพวกเจ้าอย่างลึกซึ้ง และได้จัดเตรียมการเริ่มต้นใหม่ของความรู้ที่พวกเจ้ามีเกี่ยวกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม  แต่ถึงแม้ว่าพวกเจ้าจะมีการก้าวกระโดดครั้งใหญ่ในความเข้าใจของพวกเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้าเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน กระนั้นคำนิยามที่พวกเจ้ามีให้กับพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าก็ยังไม่ก้าวหน้าไปไกลเกินพระนามของพระยาห์เวห์พระเจ้าแห่งยุคธรรมบัญญัติ องค์พระเยซูเจ้าแห่งยุคพระคุณ และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคราชอาณาจักร  นี่หมายความว่าถึงแม้การสามัคคีธรรมเหล่านี้เกี่ยวกับ “พระอุปนิสัยของพระเจ้า พระราชกิจของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง” ได้ให้ความเข้าใจบางอย่างแก่พวกเจ้าเกี่ยวกับพระวจนะทั้งหลายที่ครั้งหนึ่งพระเจ้าเคยตรัสไว้ และพระราชกิจที่ครั้งหนึ่งพระเจ้าเคยทำไว้ และสิ่งที่ทรงเป็นและสิ่งที่ทรงครองที่ครั้งหนึ่งพระเจ้าเคยทรงเผยไว้ แต่พวกเจ้าก็ไม่สามารถให้คำนิยามที่แท้จริงและทิศทางที่ถูกต้องแม่นยำของคำว่า “พระเจ้า” ได้  อีกทั้งพวกเจ้าก็ไม่มีทิศทางและความรู้ที่แท้จริงและถูกต้องแม่นยำเกี่ยวกับสถานะและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง ซึ่งหมายถึงสถานะของพระเจ้าท่ามกลางสรรพสิ่งและทั่วทั้งจักรวาล  นั่นก็เป็นเพราะในการสามัคคีธรรมครั้งก่อนๆ เกี่ยวกับพระเจ้าพระองค์เองและพระอุปนิสัยของพระเจ้า เนื้อหาทั้งหมดกล่าวตามการแสดงออกและการเปิดเผยของพระเจ้าเมื่อก่อนนั้นดังที่บันทึกอยู่ในพระคัมภีร์  กระนั้นก็เป็นการยากที่มนุษย์จะค้นพบสิ่งที่ทรงเป็นและสิ่งที่ทรงครองที่พระเจ้าทรงเปิดเผยและแสดงไว้ในระหว่างการบริหารจัดการและการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดของพระองค์ หรือนอกเหนือการนั้น  ดังนั้น แม้พวกเจ้าจะเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงครองซึ่งเผยอยู่ในพระราชกิจที่พระองค์ได้ทำในอดีต แต่คำนิยามที่พวกเจ้ามีต่อพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าก็ยังคงห่างไกลจาก “พระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์ องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงถือครองอธิปไตยเหนือทุกสิ่ง” และแตกต่างจากคำนิยามของ “พระผู้สร้าง”  การสามัคคีธรรมหลายครั้งในระยะหลังนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกเหมือนกันว่า มนุษย์จะสามารถล่วงรู้พระดำริของพระเจ้าได้อย่างไร?  หากมีใครสักคนที่รู้จริง เช่นนั้นแล้ว บุคคลนั้นก็จะต้องเป็นพระเจ้าอย่างแน่นอนที่สุด เพราะมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่รู้พระดำริของพระองค์เอง และมีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงรู้พื้นฐานและวิธีการเบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำ  ดูเหมือนชอบด้วยเหตุผลและมีตรรกะที่พวกเจ้าจะตระหนักรู้พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าในหนทางเช่นนั้น แต่ผู้ใดจะสามารถบอกได้จากพระอุปนิสัยและพระราชกิจของพระเจ้าว่า นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองจริงๆ และไม่ใช่งานของมนุษย์ งานซึ่งมนุษย์ไม่สามารถทำแทนพระเจ้าได้?  ผู้ใดจะสามารถมองเห็นว่าพระราชกิจนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยขององค์หนึ่งเดียว ผู้ทรงมีแก่นแท้และฤทธานุภาพของพระเจ้า?  การนี้หมายความว่าพวกเจ้าตระหนักรู้โดยผ่านทางพระลักษณะเฉพาะหรือแก่นแท้อันใดว่า พระองค์คือพระเจ้าพระองค์เองผู้มีพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า และเป็นองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงถือครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง?  พวกเจ้าเคยคิดเกี่ยวกับการนั้นหรือไม่?  หากพวกเจ้าไม่เคย เช่นนั้นแล้ว นี่ก็พิสูจน์ให้เห็นข้อเท็จจริงอย่างหนึ่งว่า การสามัคคีธรรมหลายครั้งในระยะหลังเพียงให้ความเข้าใจบางอย่างแก่พวกเจ้าเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ในส่วนที่พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ และเกี่ยวกับวิธีการ การสำแดง และการเปิดเผยของพระเจ้าในระหว่างพระราชกิจนั้น  ถึงแม้การเข้าใจเช่นนั้นจะทำให้พวกเจ้าแต่ละคนตระหนักรู้โดยไม่กังขาเลยว่า องค์หนึ่งเดียวที่ดำเนินพระราชกิจในสองช่วงระยะนี้คือพระเจ้าพระองค์เอง ที่พวกเจ้าเชื่อและติดตาม องค์หนึ่งเดียวที่พวกเจ้าต้องติดตามอยู่เสมอ แต่พวกเจ้าก็ยังคงไม่สามารถตระหนักรู้ว่า พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงดำรงอยู่มาตั้งแต่การสร้างโลกและจะดำรงอยู่ไปจนชั่วกัลปาวสาน อีกทั้งพวกเจ้าก็ไม่สามารถตระหนักรู้ว่าพระองค์คือองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงนำทางและถือครองอธิปไตยเหนือมวลมนุษย์ทั้งปวง  พวกเจ้าไม่เคยคิดเกี่ยวกับปัญหาข้อนี้อย่างแน่นอน  ไม่ว่าจะเป็นพระยาห์เวห์หรือองค์พระเยซูเจ้าก็ตาม พวกเจ้าตระหนักรู้ได้ว่าพระองค์ไม่เพียงเป็นพระเจ้าที่พวกเจ้าต้องติดตามเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์หนึ่งเดียวที่ทรงบัญชามวลมนุษย์และถือครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ และยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง ผู้ทรงถือครองอธิปไตยเหนือฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งอีกด้วย จากแง่มุมใดของแก่นแท้และการสำแดง?  พวกเจ้าตระหนักรู้ว่าองค์หนึ่งเดียวที่พวกเจ้าเชื่อและติดตามคือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง ผ่านทางช่องทางใด?  พวกเจ้าเชื่อมโยงพระเจ้าที่พวกเจ้าเชื่อกับพระเจ้าผู้ทรงถือครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ ผ่านทางช่องทางใด?  สิ่งใดทำให้พวกเจ้าตระหนักรู้ว่าพระเจ้าที่พวกเจ้าเชื่อนั้นคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง ผู้สถิตในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก และท่ามกลางสรรพสิ่ง?  นี่คือปัญหาที่เราจะไขในตอนต่อไป

ปัญหาทั้งหลายที่พวกเจ้าไม่เคยนึกถึงหรือไม่สามารถขบคิดได้นั้น อาจเป็นปัญหาที่สำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการรู้จักพระเจ้า และอาจเป็นปัญหาที่ทำให้ความจริงทั้งหลายที่มนุษย์ไม่อาจหยั่งถึงนั้นได้รับการแสวงหา  เมื่อปัญหาเหล่านี้เกิดขึ้นกับพวกเจ้า จนถึงระดับที่พวกเจ้าจำต้องเผชิญกับพวกมันและตัดสินใจเลือก หากพวกเจ้าไม่สามารถไขปัญหาเหล่านี้ได้โดยบริบูรณ์เพราะความเขลาหรือความไม่รู้เท่าทันของพวกเจ้า หรือเพราะประสบการณ์ทั้งหลายของพวกเจ้าผิวเผินเกินไป และพวกเจ้าขาดพร่องความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ปัญหาเหล่านี้ก็จะกลายเป็นอุปสรรคครั้งใหญ่ที่สุดและขวากหนามที่ใหญ่หลวงที่สุดบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้าของพวกเจ้า  และดังนั้นเราจึงรู้สึกว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องสามัคคีธรรมกับพวกเจ้าในหัวข้อนี้  บัดนี้พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งใดคือปัญหาของพวกเจ้า?  พวกเจ้าเข้าใจชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาที่เราพูดถึงหรือไม่?  เหล่านี้ใช่ปัญหาที่พวกเจ้าจะเผชิญหรือไม่?  เหล่านี้ใช่ปัญหาที่พวกเจ้าไม่เข้าใจหรือไม่?  เหล่านี้ใช่ปัญหาที่ไม่เคยเกิดกับพวกเจ้าหรือไม่?  ปัญหาเหล่านี้สำคัญต่อพวกเจ้าหรือไม่?  พวกมันเป็นปัญหาจริงหรือไม่?  เรื่องนี้เป็นบ่อเกิดแห่งความสับสนอันใหญ่หลวงของพวกเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระเจ้าที่พวกเจ้าเชื่อ และแสดงให้เห็นว่าพวกเจ้าไม่ได้จริงจังกับพระองค์เลย  ผู้คนบางคนกล่าวว่า “ฉันรู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า และดังนั้นฉันจึงติดตามพระองค์ เพราะพระวจนะของพระองค์คือการแสดงออกของพระเจ้า  นั่นก็เพียงพอแล้ว  จำเป็นต้องมีข้อพิสูจน์อะไรอีกหรือ?  แน่นอนมิใช่หรือว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับพระเจ้า?  แน่นอนมิใช่หรือว่าพวกเราไม่ควรต้องทดสอบพระเจ้า?  แน่นอนมิใช่หรือว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องตั้งคำถามถึงแก่นแท้ของพระเจ้าและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง?”  ไม่ว่าพวกเจ้าจะคิดในหนทางนี้หรือไม่ก็ตาม เราไม่ได้ตั้งคำถามเช่นนี้เพื่อทำให้พวกเจ้าสับสนเกี่ยวกับพระเจ้า หรือเพื่อจะให้พวกเจ้าทดสอบพระองค์ และยิ่งไม่ใช่เพื่อให้พวกเจ้าสงสัยพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ของพระเจ้า  ตรงกันข้าม เราทำเช่นนี้เพื่อหนุนใจให้พวกเจ้าเกิดความเข้าใจในแก่นแท้ของพระเจ้ามากขึ้น รวมทั้งมีความมั่นใจและความเชื่อในสถานะของพระเจ้ามากขึ้น เพื่อที่พระเจ้าอาจกลายเป็นองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นในหัวใจของบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า และเพื่อที่สถานะดั้งเดิมของพระเจ้า—ในฐานะพระผู้สร้าง องค์ปกครองทุกสรรพสิ่ง พระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง—อาจฟื้นคืนมาในหัวใจของสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  นี่ยังเป็นแก่นของเรื่องที่เรากำลังจะสามัคคีธรรมเช่นกัน

บัดนี้พวกเรามาเริ่มอ่านบทต่อไปนี้ในพระคัมภีร์กันเถิด

1. พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อสร้างทุกสรรพสิ่ง

ปฐมกาล 1:3-5  พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันแรก

ปฐมกาล 1:6-7  พระเจ้าตรัสว่า “จงมีพื้นฟ้าในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน” พระเจ้าทรงสร้างพื้นฟ้านั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้พื้นฟ้าออกจากน้ำที่อยู่เหนือพื้นฟ้า ก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:9-11  พระเจ้าตรัสว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน” และก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:14-15  พระเจ้าตรัสว่า “จงมีดวงสว่างต่างๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างต่างๆ บนภาคพื้นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน” ก็เป็นดังนั้น

ปฐมกาล 1:20-21  พระเจ้าตรัสว่า “น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และให้นกบินไปมาในภาคพื้นฟ้าเหนือแผ่นดิน” พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตทุกชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆ ตามชนิดของมัน และสัตว์ปีกทุกชนิดตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี

ปฐมกาล 1:24-25  พระเจ้าตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน” ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี

ในวันแรก กลางวันและกลางคืนของมวลมนุษย์ถือกำเนิดขึ้นและยืนหยัดมั่นคงด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้า

พวกเรามาดูบทตอนแรกกันเถิด ความว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘จงเกิดความสว่าง’  ความสว่างก็เกิดขึ้น พระเจ้าทรงเห็นว่าความสว่างนั้นดี และทรงแยกความสว่างออกจากความมืด พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนั้นว่า วัน และความมืดนั้นว่า คืน มีเวลาเย็นและเวลาเช้า เป็นวันแรก” (ปฐมกาล 1:3-5)  บทตอนนี้พรรณนาถึงปฏิบัติการแรกของพระเจ้าในปฐมกาลแห่งการทรงสร้าง และวันแรกของพระเจ้าซึ่งมีเวลาเย็นและเวลาเช้า  แต่ก็เป็นวันที่เหนือธรรมดา เพราะพระเจ้าทรงเริ่มตระเตรียมความสว่างให้แก่สรรพสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ทรงแยกความสว่างออกจากความมืด  ในวันนี้พระเจ้าเริ่มตรัส และพระวจนะและสิทธิอำนาจของพระองค์ก็ดำรงอยู่เคียงข้างกัน  สิทธิอำนาจของพระองค์เริ่มแสดงตนท่ามกลางสรรพสิ่ง และฤทธานุภาพของพระองค์ก็แผ่ไปท่ามกลางสรรพสิ่งโดยเป็นผลมาจากพระวจนะของพระองค์  จากวันนี้เป็นต้นมา สรรพสิ่งได้ก่อรูปขึ้นและยืนหยัดมั่นคงเพราะพระวจนะของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระเจ้า และทุกสิ่งก็เริ่มทำหน้าที่เพราะพระวจนะของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” ความสว่างก็เกิดมีขึ้น  พระเจ้ามิได้ทรงเริ่มโครงการอันใดที่เป็นพระราชกิจ แต่ความสว่างปรากฏขึ้นโดยเป็นผลมาจากพระวจนะของพระองค์  นี่คือความสว่างที่พระเจ้าตรัสเรียกว่ากลางวัน และเป็นสิ่งที่มนุษย์ยังคงพึ่งพาอาศัยเพื่อการดำรงอยู่ของเขาในทุกวันนี้  ด้วยพระบัญชาของพระเจ้า แก่นแท้และคุณค่าของความสว่างจึงไม่เคยเปลี่ยนแปลง และความสว่างก็ไม่เคยอันตรธานไป  การดำรงอยู่ของความสว่างแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า และกล่าวประกาศถึงการดำรงอยู่ของพระผู้สร้าง  ความสว่างยืนยันพระอัตลักษณ์และสถานะของพระผู้สร้างครั้งแล้วครั้งเล่า  ความสว่างไม่ใช่สิ่งที่มิอาจจับต้องได้หรือลวงตา หากแต่เป็นความสว่างจริงที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้  จากเวลานั้นเป็นต้นมา ในโลกอันว่างเปล่าที่ “แผ่นดินก็ร้างและว่างเปล่า ความมืดอยู่เหนือน้ำ” นี้ก็เกิดมีสิ่งที่เป็นวัตถุชิ้นแรก  สิ่งนี้มาจากพระวจนะแห่งพระโอษฐ์ของพระเจ้า และปรากฏขึ้นในปฏิบัติการแรกแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งด้วยสิทธิอำนาจและถ้อยดำรัสของพระเจ้า  ไม่นานหลังจากนั้น พระเจ้าก็ทรงสั่งให้ความสว่างและความมืดแยกออกจากกัน… ทุกสิ่งทุกอย่างจึงเปลี่ยนไปและเสร็จสมบูรณ์ด้วยพระวจนะของพระเจ้า… พระเจ้าทรงเรียกความสว่างนี้ว่า “กลางวัน” และพระองค์ทรงเรียกความมืดว่า “กลางคืน”  ณ เวลานั้นเวลาเย็นแรกและเวลาเช้าแรกได้ก่อกำเนิดขึ้นในโลกที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะสร้าง และพระเจ้าตรัสว่านี่คือวันแรก  วันนี้คือวันแรกแห่งการสร้างสรรพสิ่งของพระผู้สร้าง และเป็นปฐมกาลแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่ง และเป็นครั้งแรกที่มีการแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างในโลกที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นนี้

โดยผ่านทางถ้อยคำเหล่านี้ มนุษย์จึงสามารถมองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าและสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้า รวมทั้งฤทธานุภาพของพระเจ้า  เพราะมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองฤทธานุภาพเช่นนี้ ดังนั้นจึงมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีสิทธิอำนาจเช่นนี้ เนื่องจากพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจเช่นนี้ จึงมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีฤทธานุภาพเช่นนี้  เป็นไปได้หรือที่จะมีมนุษย์คนใดหรือวัตถุใดมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเช่นนี้?  มีคำตอบในหัวใจของพวกเจ้าหรือไม่?  นอกจากพระเจ้าแล้ว มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดที่มีสิทธิอำนาจเช่นนี้หรือไม่?  พวกเจ้าเคยเห็นตัวอย่างของสิ่งดังกล่าวในหนังสือหรือสิ่งตีพิมพ์ใดหรือไม่?  มีบันทึกใดที่บอกว่า ใครบางคนได้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งบ้างหรือไม่?  เรื่องเช่นนี้ไม่ได้ปรากฏในหนังสือหรือบันทึกอื่นใดเลย แน่นอนว่าถ้อยคำเหล่านี้จึงเป็นเพียงแหล่งเดียวที่ทรงพลังและเชื่อถือได้เกี่ยวกับการทรงสร้างอันสง่างามของพระเจ้า ซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ถ้อยคำเหล่านี้กล่าวถึงสิทธิอำนาจและพระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเช่นนี้คือสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพระเจ้า—และพระเจ้าพระองค์เดียวเท่านั้น—ทรงครองสิ่งเหล่านี้?  ไม่ต้องกังขาเลยว่ามีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเช่นนี้!  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือสิ่งชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดๆ ไม่สามารถครองหรือแทนที่สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพนี้ได้!  นี่ใช่หนึ่งในลักษณะเฉพาะของพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เองหรือไม่?  พวกเจ้าเคยเป็นประจักษ์พยานถึงสิ่งนี้หรือไม่?  ถ้อยคำเหล่านี้เปิดโอกาสให้ผู้คนเข้าใจข้อเท็จจริงได้อย่างรวดเร็วและชัดเจนว่า พระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจที่มีเอกลักษณ์ และฤทธานุภาพที่มีเอกลักษณ์ ทรงถือครองอัตลักษณ์และสถานะสูงสุด  จากการสามัคคีธรรมข้างต้นนี้ พวกเจ้าสามารถกล่าวได้หรือไม่ว่า พระเจ้าที่พวกเจ้าเชื่อคือพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เอง?

ในวันที่สอง สิทธิอำนาจของพระเจ้าจัดการเตรียมน้ำและสร้างพื้นฟ้า แล้วพื้นที่สำหรับการอยู่รอดขั้นพื้นฐานที่สุดของมนุษย์ก็ปรากฏขึ้น

พวกเรามาอ่านบทตอนที่สองจากพระคัมภีร์กันเถิด ความว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน’ พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น ก็เป็นดังนั้น” (ปฐมกาล 1:6-7) มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นหลังจากที่พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ แยกน้ำออกจากกัน”?  ในองค์พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงสร้างภาคพื้นนั้นขึ้น แล้วทรงแยกน้ำที่อยู่ใต้ภาคพื้นออกจากน้ำที่อยู่เหนือภาคพื้น”  อะไรคือผลลัพธ์หลังจากที่พระเจ้าตรัสและทำการนี้?  คำตอบอยู่ในท่อนสุดท้ายของบทตอนนี้ ความว่า “ก็เป็นดังนั้น”

สองประโยคสั้นๆ นี้บันทึกเหตุการณ์อันสง่างาม และพรรณนาฉากอันน่าอัศจรรย์ นั่นคือ กิจอันยิ่งใหญ่ของการที่พระเจ้าทรงกำกับดูแลห้วงน้ำและสร้างพื้นที่ที่มนุษย์สามารถดำรงอยู่ได้…

ในภาพนี้ ห้วงน้ำและพื้นฟ้าปรากฏแก่สายพระเนตรของพระเจ้าทันที และถูกสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าแยกออกจากกัน และแยกออกเป็น “เบื้องบน” และ “เบื้องล่าง” ในลักษณะที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้  นี่หมายความว่าพื้นฟ้าที่พระเจ้าทรงสร้างนั้นไม่เพียงครอบคลุมห้วงน้ำเบื้องล่างเท่านั้น แต่ยังพยุงห้วงน้ำเบื้องบนเช่นกัน… ในการนี้ มนุษย์อดไม่ได้ที่จะจ้องมอง ตะลึง และอ้าปากค้างด้วยความเลื่อมใสในอิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระองค์และความตระการตาของฉากที่พระผู้สร้างทรงลงมือบัญชาห้วงน้ำและสร้างพื้นฟ้า  พระเจ้าทรงสัมฤทธิ์ผลสำเร็จอันยิ่งใหญ่อีกประการผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า และฤทธานุภาพของพระเจ้า และสิทธิอำนาจของพระเจ้า  นี่มิใช่อิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหรอกหรือ?  พวกเราจงใช้องค์พระคัมภีร์มาอธิบายกิจการทั้งหลายของพระเจ้ากันเถิด กล่าวคือ พระเจ้าตรัสพระวจนะของพระองค์ และเพราะพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้าจึงมีพื้นฟ้าขึ้นในระหว่างห้วงน้ำ  ในขณะเดียวกันก็มีความเปลี่ยนแปลงอันยิ่งใหญ่ไพศาลประการหนึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ว่างนี้สืบเนื่องจากพระวจนะเหล่านี้ของพระเจ้า และไม่ใช่ความเปลี่ยนแปลงในความหมายธรรมดาทั่วไป แต่เป็นการแทนที่ชนิดหนึ่งที่ทำให้ความว่างเปล่ากลับกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างขึ้นมา  การนี้เกิดจากพระดำริของพระผู้สร้าง และกลายเป็นบางสิ่งขึ้นมาจากความว่างเปล่าก็เพราะพระวจนะที่พระผู้สร้างตรัส และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ จากจุดนี้เป็นต้นมา สิ่งที่เกิดขึ้นจะดำรงคงอยู่และยืนหยัดมั่นคงเพื่อพระผู้สร้าง และจะยักย้าย เปลี่ยนแปลง และเริ่มใหม่ตามพระดำริของพระผู้สร้าง  บทตอนนี้พรรณนาถึงปฏิบัติการครั้งที่สองของพระผู้สร้างในการสร้างโลกทั้งใบของพระองค์  เป็นการแสดงออกซึ่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างอีกครั้ง เป็นการลงมือบุกเบิกอีกอย่างหนึ่งของพระผู้สร้าง  วันนี้คือวันที่ผ่านพ้นไปเป็นวันที่สองของพระผู้สร้างนับแต่การวางรากฐานให้โลก และเป็นวันอันน่าอัศจรรย์อีกวันหนึ่งสำหรับพระองค์ กล่าวคือ พระองค์ทรงดำเนินไปท่ามกลางความสว่าง พระองค์ทรงนำพื้นฟ้ามา พระองค์ทรงจัดการเตรียมการและกำกับดูแลห้วงน้ำทั้งหลาย และกิจการทั้งหลายของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์ และฤทธานุภาพของพระองค์ก็ถูกใช้งานในวันใหม่นี้…

เคยมีพื้นฟ้าในระหว่างน้ำก่อนที่พระเจ้าจะมีพระวจนะของพระองค์หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่มี!  และหลังจากที่พระเจ้าตรัสว่า “จงมีภาคพื้นในระหว่างน้ำ” เล่า?  สิ่งทั้งหลายที่พระเจ้าตั้งพระทัยให้มีก็ปรากฏขึ้น มีพื้นฟ้าระหว่างห้วงน้ำ และน้ำถูกแยกออกเพราะพระเจ้าตรัสว่า “แยกน้ำออกจากกัน” ในหนทางนี้ วัตถุใหม่สองสิ่ง สิ่งที่เพิ่งเกิดใหม่สองสิ่งได้ปรากฏขึ้นท่ามกลางสรรพสิ่งตามพระวจนะของพระเจ้า โดยเป็นผลมาจากสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  พวกเจ้ารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับการปรากฏของสิ่งใหม่สองสิ่งนี้?  พวกเจ้ารู้สึกถึงความยิ่งใหญ่แห่งฤทธานุภาพของพระผู้สร้างหรือไม่?  พวกเจ้ารู้สึกถึงพลังอันมีเอกลักษณ์และเหนือธรรมดาของพระผู้สร้างหรือไม่?  ความยิ่งใหญ่ของพลังและฤทธานุภาพเช่นนี้เกิดจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า และสิทธิอำนาจนี้คือตัวแทนของพระเจ้าพระองค์เอง และเป็นลักษณะเฉพาะอันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เอง

บทตอนนี้ได้ให้สำนึกอันลุ่มลึกถึงเอกลักษณ์ของพระเจ้าแก่พวกเจ้าอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?  แท้จริงแล้ว นี่ยังไม่เพียงพอ สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างแผ่ขยายออกไปไกลกว่านี้  เอกลักษณ์ของพระองค์มิได้เป็นเพราะพระองค์ทรงครองแก่นแท้ที่ไม่เหมือนแก่นแท้ของสิ่งทรงสร้างใดเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือธรรมดา ไร้ขีดจำกัด เป็นที่สุดของทุกสิ่ง และยืนหยัดเหนือทุกสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะสิทธิอำนาจของพระองค์และสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็นนั้นสามารถสร้างชีวิต ก่อเกิดปาฏิหาริย์ และสร้างเวลาแต่ละนาทีและวินาทีอันน่าตื่นตาตื่นใจและเหนือธรรมดาอีกด้วย  ในขณะเดียวกัน พระองค์ก็สามารถกำกับดูแลชีวิตที่พระองค์ทรงสร้าง และถือครองอธิปไตยเหนือปาฏิหาริย์และเวลาแต่ละนาทีและวินาทีที่พระองค์ทรงสร้าง

ในวันที่สาม พระวจนะของพระเจ้าให้กำเนิดแผ่นดินโลกและทะเล และสิทธิอำนาจของพระเจ้าทำให้โลกเปี่ยมล้นไปด้วยชีวิต

อันดับต่อไป พวกเรามาอ่านประโยคแรกของปฐมกาล 1:9-11 กันเถิด ความว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น’”  มีความเปลี่ยนแปลงใดเกิดขึ้นหลังจากที่พระเจ้าตรัสเพียงว่า “น้ำที่อยู่ใต้ฟ้าจงรวมอยู่ในที่เดียวกัน ที่แห้งจงปรากฏขึ้น”?  และมีสิ่งใดอยู่ในพื้นที่นี้นอกเหนือจากความสว่างและพื้นฟ้า?  ในองค์พระคัมภีร์มีใจความว่า “พระเจ้าจึงทรงเรียกที่แห้งนั้นว่า แผ่นดิน และที่ซึ่งน้ำรวมกันนั้นว่า ทะเล พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  นี่หมายความว่าบัดนี้มีแผ่นดินและทะเลในพื้นที่ว่างนี้ และแผ่นดินกับทะเลก็ถูกแยกออกจากกัน  การปรากฏของสิ่งใหม่เหล่านี้มีขึ้นหลังจากที่พระโอษฐ์ของพระเจ้าบัญชาว่า “และก็เป็นดังนั้น”  องค์พระคัมภีร์พรรณนาหรือไม่ว่าพระเจ้าทรงเร่งรีบไปมาขณะที่พระองค์กำลังทรงทำการนี้?  องค์พระคัมภีร์ พรรณนาหรือไม่ว่าพระองค์ทรงใช้แรงกาย?  ดังนั้นพระเจ้าทรงทำการนี้อย่างไร?  พระองค์ทรงทำให้สิ่งใหม่ๆ เหล่านี้ก่อเกิดขึ้นมาอย่างไร?  เห็นได้ชัดแจ้งในตัวอยู่แล้วว่าพระเจ้าใช้พระวจนะเพื่อสัมฤทธิ์การทั้งปวงนี้ เพื่อสร้างทั้งหมดทั้งมวลนี้

ในสามบทตอนข้างต้น พวกเราได้เรียนรู้เกี่ยวกับอุบัติการณ์ของสามเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่  สามเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นี้อุบัติและเกิดมีขึ้นมาโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า และเป็นเพราะพระวจนะของพระเจ้านั่นเองที่เหตุการณ์เหล่านี้ปรากฏแก่สายพระเนตรของพระเจ้าทีละเหตุการณ์  ด้วยเหตุนี้จึงสามารถเห็นได้ว่าพระวจนะที่ว่า “พระเจ้าตรัส และนั่นจะสำเร็จลุล่วง พระองค์ทรงบัญชา และนั่นจะยืนหยัดมั่นคง” หาได้ไร้แก่นสารไม่  ชั่วขณะที่พระดำริทั้งหลายของพระเจ้าเกิดขึ้น แก่นแท้ของพระองค์ก็ได้รับการยืนยัน และเมื่อพระเจ้าแย้มพระโอษฐ์เพื่อตรัส แก่นแท้ของพระองค์ก็ถูกสะท้อนให้เห็นอย่างเต็มเปี่ยม

พวกเรามาต่อกันที่ประโยคสุดท้ายของบทตอนนี้กันเถิด ความว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘แผ่นดินจงเกิดพืช คือ ธัญพืชที่ให้เมล็ด และต้นไม้ผลที่ออกผลตามชนิดของมัน และมีเมล็ดในผลบนแผ่นดิน’ และก็เป็นดังนั้น”  ในขณะที่พระเจ้ากำลังตรัส สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดก็เริ่มมีขึ้นตามพระดำริของพระเจ้า และทันใดนั้นรูปแบบชีวิตเล็กๆ ที่ละเอียดอ่อนสารพัดจำพวกก็โผล่หัวที่โงนเงนของพวกมันผ่านดินขึ้นมา และโบกมือทักทายกันอย่างกระตือรือร้น พยักหน้าและยิ้มให้กับโลก ก่อนที่จะทันได้สะบัดเศษดินออกจากตัวของพวกมันเสียอีก  พืชเหล่านี้ขอบคุณพระผู้สร้างสำหรับชีวิตที่พระองค์ประทานแก่พวกมัน และประกาศต่อโลกว่าพวกมันคือส่วนหนึ่งของสรรพสิ่ง และว่าพวกมันต่างก็จะอุทิศชีวิตของตนเพื่อแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  ขณะที่พระเจ้าตรัสพระวจนะทั้งหลาย แผ่นดินก็กลายเป็นเขียวชอุ่ม ธัญพืชทุกชนิดที่มนุษย์สามารถชื่นชมได้ผุดและแทรกผ่านพื้นดินขึ้นมา และภูเขาและทุ่งราบทั้งหลายก็แออัดไปด้วยต้นไม้และผืนป่า… โลกเวิ้งว้างที่ยังไม่เคยมีร่องรอยชีวิตแห่งนี้จึงถูกหญ้า ธัญพืช และต้นไม้อันดกดื่นปกคลุมอย่างรวดเร็ว และดาษดื่นไปด้วยพฤกษชาติ… กลิ่นหอมของหญ้าและไอดินกำจายไปในอากาศ และพืชพรรณมากมายเริ่มหายใจตามจังหวะการไหลเวียนของอากาศ และเริ่มกระบวนการเจริญเติบโต  ในขณะเดียวกัน เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้าและภายหลังพระดำริของพระเจ้า พฤกษาทั้งมวลจึงเริ่มต้นวัฏจักรชีวิตที่พวกมันพากันงอกงาม ผลิดอก ออกผล และเพิ่มจำนวนอย่างยั่งยืน  พวกมันเริ่มดำรงชีวิตตามครรลองแห่งชนิดของตนอย่างเคร่งครัดและเริ่มมีบทบาทตามชนิดของตนท่ามกลางสรรพสิ่ง… พฤกษาทั้งหมดล้วนถือกำเนิดและดำรงชีวิตอยู่ก็เพราะพระวจนะของพระผู้สร้าง  พวกมันจะได้รับการจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงจากพระผู้สร้างอย่างไม่หยุดหย่อน และจะยืนหยัดอยู่รอดในทุกมุมของแผ่นดินเสมอเพื่อแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง และจะแสดงให้เห็นอยู่เสมอถึงพลังชีวิตที่พระผู้สร้างประทานแก่พวกมัน…

พระชนม์ชีพของพระผู้สร้างนั้นเหนือธรรมดา พระดำริของพระองค์เหนือธรรมดา และสิทธิอำนาจของพระองค์ก็เหนือธรรมดา และดังนั้นเมื่อพระวจนะของพระองค์เปล่งออกไป ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือ “และก็เป็นดังนั้น”  เห็นได้ชัดว่าในยามที่พระเจ้าทรงลงมือ พระองค์ไม่จำเป็นต้องใช้พระหัตถ์ของพระองค์ในการทรงพระราชกิจ พระองค์ใช้เพียงพระดำริของพระองค์เพื่อบัญชาและพระวจนะของพระองค์เพื่อสั่งการ และในหนทางนี้สิ่งทั้งหลายก็สัมฤทธิ์  ในวันนี้พระเจ้าได้ทรงรวมห้วงน้ำทั้งหลายไว้ในที่แห่งหนึ่ง และให้แผ่นดินแห้งปรากฏขึ้น หลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงทำให้ต้นหญ้างอกขึ้นมาจากผืนดิน และมีธัญพืชซึ่งให้เมล็ดและต้นไม้ที่ออกผลก็เจริญเติบโต และพระเจ้าทรงจำแนกพืชแต่ละต้นไปตามชนิด และทรงทำให้แต่ละชนิดมีเมล็ดของตนเอง  ทั้งหมดนี้กลายเป็นจริงตามพระดำริของพระเจ้าและคำบัญชาแห่งพระวจนะของพระเจ้า และพืชแต่ละชนิดก็ปรากฏขึ้นในโลกใหม่นี้อย่างไม่ขาดสาย

เมื่อครั้งที่พระเจ้ายังมิได้เริ่มพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงมีภาพของสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสัมฤทธิ์อยู่ในพระทัยของพระองค์ และเมื่อพระเจ้าทรงเตรียมที่จะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านี้ ซึ่งก็เป็นเวลาที่พระเจ้าแย้มพระโอษฐ์ของพระองค์เพื่อตรัสเนื้อหาของภาพนี้ด้วยนั้น ความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายก็เริ่มเกิดขึ้นกับสรรพสิ่งเนื่องจากสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงทำการนี้อย่างไร หรือพระองค์ทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อย่างไร ทั้งหมดนี้ล้วนสัมฤทธิ์ไปทีละขั้นตามแผนการของพระเจ้าและเพราะพระวจนะของพระเจ้า และความเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้นในระหว่างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกเนื่องจากพระวจนะและสิทธิอำนาจของพระเจ้าไปทีละขั้นทีละตอน  ความเปลี่ยนแปลงและอุบัติการณ์ทั้งปวงนี้แสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และความเหนือธรรมดาและความยิ่งใหญ่แห่งฤทธานุภาพของพระชนม์ชีพของพระผู้สร้าง  พระดำริของพระองค์หาใช่แนวคิดที่เรียบง่ายหรือภาพที่ว่างเปล่าไม่ แต่เป็นสิทธิอำนาจที่ทรงพลังชีวิตและมีพลังงานที่เหนือธรรมดา และเป็นฤทธานุภาพที่ทำให้สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลง ฟื้นตัว เริ่มต้นใหม่ และพินาศไป  ด้วยเหตุนี้ สรรพสิ่งจึงทำหน้าที่เนื่องแต่พระดำริของพระองค์ และในขณะเดียวกันก็สัมฤทธิ์เนื่องแต่พระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระองค์…

ก่อนที่ทุกสิ่งจะปรากฏ มีแผนการอันสมบูรณ์ก่อร่างขึ้นในพระดำริของพระเจ้าอยู่นานแล้ว และโลกใหม่จึงสัมฤทธิ์มานานแล้ว  ถึงแม้ว่าในวันที่สามจะมีพฤกษาทุกจำพวกปรากฏขึ้นบนแผ่นดิน แต่พระเจ้าก็ไม่ทรงมีเหตุให้หยุดยั้งขั้นตอนทั้งหลายแห่งการสร้างโลกนี้ของพระองค์ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะตรัสพระวจนะของพระองค์ต่อไป สัมฤทธิ์การสร้างทุกสิ่งที่ใหม่ต่อไป  พระองค์จะตรัส จะมีพระบัญชาของพระองค์ และจะทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์และแสดงฤทธานุภาพของพระองค์ และพระองค์ทรงตระเตรียมทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ทรงวางแผนการว่าจะตระเตรียมให้แก่สรรพสิ่งและมวลมนุษย์ ซึ่งพระองค์ตั้งพระทัยที่จะสร้าง…

ในวันที่สี่ ฤดูกาล วัน และปีของมวลมนุษย์เริ่มมีขึ้นเมื่อพระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อีกครั้งหนึ่ง

พระผู้สร้างใช้พระวจนะของพระองค์เพื่อทำให้แผนการของพระองค์สำเร็จลุล่วง และในหนทางนี้ พระองค์ก็ทรงผ่านพ้นสามวันแรกแห่งแผนการของพระองค์  ในระหว่างสามวันนี้ พระเจ้ามิได้ทรงดูวุ่นกับพระราชกิจหรือทำให้พระองค์เองเหนื่อยล้า ในทางตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงผ่านพ้นสามวันแรกอันน่าอัศจรรย์แห่งแผนการของพระองค์ และสัมฤทธิ์พระราชกิจอันยิ่งใหญ่แห่งการแปลงสภาพโลกครั้งใหญ่  โลกที่ใหม่เอี่ยมจึงปรากฏแก่สายพระเนตรของพระองค์ และในที่สุดภาพอันงดงามที่เคยปิดผนึกไว้ภายในพระดำริของพระองค์ก็ได้รับการเปิดเผยในพระวจนะของพระเจ้าทีละภาพ  การปรากฏของสิ่งใหม่แต่ละสิ่งนั้นเป็นเสมือนการถือกำเนิดของทารกแรกเกิด และพระผู้สร้างทรงมีความยินดีในภาพที่ครั้งหนึ่งเคยอยู่ในพระดำริของพระองค์ แต่บัดนี้กลับกลายเป็นมีชีวิตขึ้นมา  ณ เวลานี้พระหทัยของพระองค์มีเศษเสี้ยวแห่งความพึงพอใจอยู่ แต่แผนการของพระองค์เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น  ในชั่วพริบตา วันใหม่ก็มาถึง—และหน้าถัดไปในแผนการของพระผู้สร้างนั้นเป็นเช่นไร?  พระองค์ตรัสว่ากระไร?  พระองค์ทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อย่างไร?  ในขณะเดียวกันมีสิ่งใหม่อันใดมายังโลกใหม่นี้บ้าง?  เมื่อติดตามการทรงนำของพระผู้สร้าง สายตาของพวกเราก็จับจ้องไปที่วันที่สี่แห่งการสร้างสรรพสิ่งของพระผู้สร้าง เป็นอีกวันหนึ่งแห่งการเริ่มต้นใหม่  แน่นอนว่าสำหรับพระผู้สร้าง นั่นย่อมเป็นวันอันน่าอัศจรรย์อีกวันหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย และเป็นอีกวันหนึ่งที่มีความสำคัญอย่างที่สุดสำหรับมวลมนุษย์ในปัจจุบันนี้  แน่นอนว่านั่นคือวันที่ทรงคุณค่าอันมิอาจประมาณได้  วันนั้นน่าอัศจรรย์อย่างไร สำคัญถึงเพียงนั้นอย่างไร และมีค่าอันมิอาจประมาณได้อย่างไร?  พวกเรามาฟังพระวจนะที่พระผู้สร้างตรัสไว้กันก่อนเถิด…

“พระเจ้าตรัสว่า ‘จงมีดวงสว่างต่างๆ ของภาคพื้นฟ้า เพื่อแยกวันออกจากคืน ให้เป็นหมายกำหนดฤดู วัน ปี และให้เป็นดวงสว่างต่างๆ บนภาคพื้นฟ้า เพื่อส่องสว่างเหนือแผ่นดิน’” (ปฐมกาล 1:14-15)  นี่คือการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าอีกครั้งซึ่งแสดงออกโดยสิ่งทรงสร้างทั้งหลายหลังจากที่พระองค์ทรงสร้างแผ่นดินแห้ง และพฤกษาทั้งหลายก็ขึ้นบนแผ่นดิน  สำหรับพระเจ้าแล้ว ปฏิบัติการเช่นนี้เป็นเรื่องง่ายพอๆ กับสิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำไปเรียบร้อยแล้ว เพราะพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพเช่นนั้น พระเจ้าทรงทำตามพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์ย่อมจะสำเร็จลุล่วง  พระเจ้าทรงบัญชาให้ดวงสว่างปรากฏขึ้นในฟ้าสวรรค์ และดวงสว่างเหล่านี้ก็ไม่ได้ส่องสว่างแต่ในท้องฟ้าและทั่วแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เป็นเครื่องบ่งชี้กลางวันและกลางคืน กำหนดฤดู วัน และปีอีกด้วย  ในหนทางนี้เอง ทุกกิจการที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์จึงได้ลุล่วงไปตามความหมายของพระเจ้าและในลักษณะที่พระเจ้าทรงกำหนดขณะที่พระองค์ตรัสพระวจนะของพระองค์

ดวงสว่างบนฟ้าสวรรค์คือวัตถุในท้องฟ้าที่สามารถแผ่รัศมีเป็นความสว่างได้ สามารถให้ความกระจ่างแก่ท้องฟ้าและแผ่นดินและทะเล  ดวงสว่างเหล่านี้โคจรไปตามจังหวะและความถี่ที่พระเจ้าทรงบัญชา และให้ความสว่างแก่ช่วงเวลาที่แตกต่างกันบนแผ่นดิน และในหนทางนี้เอง วัฏจักรที่หมุนไปของดวงสว่างทั้งหลายจึงเป็นเหตุให้เกิดกลางวันและกลางคืนขึ้นในทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของแผ่นดิน และดวงสว่างเหล่านี้มิได้เป็นเพียงเครื่องบ่งชี้กลางวันและกลางคืนเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องหมายของงานเลี้ยงฉลองและวันพิเศษต่างๆ ของมวลมนุษย์ตามวัฏจักรที่แตกต่างกันไปนี้อีกด้วย  ดวงสว่างเป็นเครื่องประกอบและเครื่องเสริมอันสมบูรณ์แบบของฤดูกาลทั้งสี่—อันได้แก่ ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาว—ที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มีขึ้น โดยทำหน้าที่เป็นเครื่องหมายบ่งชี้ระยะเวลา วัน และปีทางจันทรคติให้แก่มวลมนุษย์อย่างถูกต้องแม่นยำ สม่ำเสมอ และกลมกลืนไปกับดวงสว่างทั้งหลาย  แม้จะเป็นหลังจากที่เกิดการทำไร่ไถนาขึ้นแล้วเท่านั้นที่มวลมนุษย์เริ่มเข้าใจและเผชิญกับการแบ่งระยะเวลา วัน และปีทางจันทรคติที่เกิดจากดวงสว่างทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว ระยะเวลา วัน และปีทางจันทรคติที่มนุษย์เข้าใจในปัจจุบันนี้ได้เริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วในวันที่สี่แห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้า และดังนั้นวัฏจักรที่สลับสับเปลี่ยนกันไปของฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวที่มนุษย์มีประสบการณ์ จึงเริ่มมีมานานแล้วในวันที่สี่แห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้าเช่นเดียวกัน  ดวงสว่างทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นนั้นทำให้มนุษย์สามารถแยกความแตกต่างระหว่างกลางคืนและกลางวัน และนับวันเวลาได้อย่างสม่ำเสมอ แม่นยำ และชัดเจน และติดตามรับรู้ระยะเวลาและปีทางจันทรคติได้อย่างชัดแจ้ง  (วันที่ดวงจันทร์เต็มดวงคือวันที่ครบหนึ่งเดือนบริบูรณ์ และจากการนี้มนุษย์จึงรู้ว่าความกระจ่างของดวงสว่างเริ่มต้นวัฏจักรใหม่ วันที่มีดวงจันทร์ครึ่งดวงคือวันครบกึ่งเดือน ซึ่งบอกมนุษย์ว่าระยะเวลาทางจันทรคติกำลังเริ่มต้นรอบใหม่ ทำให้สามารถอนุมานจากการนี้ได้ว่า ในระยะเวลารอบหนึ่งทางจันทรคติมีกี่วันและกี่คืน มีระยะเวลาทางจันทรคติกี่รอบในหนึ่งฤดู และมีกี่ฤดูในหนึ่งปี และทั้งหมดนี้ได้รับการเผยอย่างสม่ำเสมอยิ่ง)  ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถติดตามรับรู้ระยะเวลา วัน และปีทางจันทรคติที่มีการโคจรของดวงสว่างเป็นเครื่องกำหนดได้อย่างง่ายดาย  จากจุดนี้เป็นต้นมา มวลมนุษย์และสรรพสิ่งจึงได้ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางการสลับสับเปลี่ยนอย่างเป็นระเบียบของกลางวันและกลางคืน และการหมุนเวียนของฤดูกาลที่เกิดจากการโคจรของดวงสว่างทั้งหลายโดยไม่รู้ตัว  นี่คือความสำคัญของการที่พระผู้สร้างทรงสร้างดวงสว่างในวันที่สี่  ในทำนองเดียวกันนั้น จุดมุ่งหมายและความสำคัญของกิจนี้ของพระผู้สร้างยังคงมิอาจแยกออกจากสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ได้  และดังนั้นดวงสว่างที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นและคุณค่าที่พวกมันจะนำมาสู่มนุษย์ในอีกไม่ช้า ย่อมเป็นการลงมือขั้นเอกอุอีกครั้งหนึ่งในการใช้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

ในโลกใหม่ที่มวลมนุษย์ยังไม่ปรากฏตัวนี้ พระผู้สร้างได้ทรงตระเตรียมเวลาเย็นและเวลาเช้า พื้นฟ้า แผ่นดินและทะเล หญ้า ธัญพืชและต้นไม้นานาชนิด และความสว่าง ฤดูกาล วัน และปีสำหรับชีวิตใหม่ที่พระองค์จะทรงสร้างในอีกไม่ช้า  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างแสดงออกมาในสิ่งใหม่ๆ แต่ละสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างขึ้น และพระวจนะและความสำเร็จทั้งหลายของพระองค์ก็เกิดขึ้นพร้อมเพรียงกัน โดยไม่มีความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อย และไม่มีการเว้นช่วงแม้แต่นิดเดียว  การปรากฏและการถือกำเนิดของสิ่งใหม่ทั้งหมดนี้เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง กล่าวคือ พระองค์ทรงทำตามพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์ย่อมจะสำเร็จลุล่วง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้สำเร็จลุล่วงนั้นยืนยาวตลอดกาล  ข้อเท็จจริงนี้ไม่เคยเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ในอดีตเคยเป็นเช่นไร ในวันนี้ก็เป็นเช่นนั้น และจะเป็นเช่นนั้นไปจนชั่วกัลปาวสาน  เมื่อเจ้ามองดูถ้อยคำเหล่านี้จากองค์พระคัมภีร์อีกครั้ง พวกเจ้ารู้สึกถึงความสดใหม่หรือไม่?  พวกเจ้ามองเห็นเนื้อหาใหม่และมีการค้นพบใหม่ๆ บ้างหรือไม่?  นั่นเป็นเพราะกิจการทั้งหลายของพระผู้สร้างปลุกเร้าหัวใจของพวกเจ้า และชี้แนะแนวทางให้แก่ความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ และย่อมเปิดประตูให้แก่ความเข้าใจพระผู้สร้างของพวกเจ้าแล้ว อีกทั้งกิจการและสิทธิอำนาจของพระองค์ก็ได้มอบชีวิตให้แก่ถ้อยคำเหล่านี้  ดังนั้นในถ้อยคำเหล่านี้ มนุษย์จึงมองเห็นการแสดงออกที่เป็นจริงและแจ่มแจ้งแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ได้เป็นประจักษ์พยานให้แก่ความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระผู้สร้างอย่างแท้จริง และได้เห็นความเหนือธรรมดาแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง

สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างก่อให้เกิดปาฏิหาริย์ครั้งแล้วครั้งเล่า พระองค์ทรงดึงดูดความสนใจของมนุษย์ และมนุษย์ก็อดไม่ได้ที่จะจ้องมองกิจการอันน่าตื่นตะลึงทั้งหลายที่เกิดจากการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์เสมือนถูกตรึงอยู่กับที่  ฤทธานุภาพในระดับปรากฏการณ์ของพระองค์นำมาซึ่งความปีติยินดีครั้งแล้วครั้งเล่า และพาให้มนุษย์พิศวงและชื่นบานเป็นล้นพ้น อ้าปากค้างด้วยความเลื่อมใส อัศจรรย์ใจและโห่ร้องยินดี ยิ่งไปกว่านั้น มนุษย์ยังตื้นตันใจจนมองเห็นได้และมีความเคารพ ความนับถือ และความผูกพันก่อเกิดขึ้นในตัวเขา  สิทธิอำนาจและกิจการทั้งหลายของพระผู้สร้างมีผลกระทบต่อวิญญาณของมนุษย์อย่างใหญ่หลวงและมีผลในทางชำระล้างวิญญาณของมนุษย์ให้สะอาด และยิ่งไปกว่านั้น สิทธิอำนาจและกิจการเหล่านี้ยังทำให้วิญญาณของมนุษย์อิ่มเอม  ทุกพระดำริของพระองค์ ทุกถ้อยดำรัสของพระองค์ และทุกการเปิดเผยสิทธิอำนาจของพระองค์คือผลงานชิ้นเอกท่ามกลางสรรพสิ่ง และเป็นการลงมืออันยิ่งใหญ่ที่ควรค่าแก่ความเข้าใจและความรู้อันลึกซึ้งของมวลมนุษย์ที่ทรงสร้างเป็นที่สุด  เมื่อพวกเราคำนึงถึงสิ่งทรงสร้างทุกชนิดที่ถือกำเนิดจากพระวจนะของพระผู้สร้าง วิญญาณของพวกเราถูกดึงดูดเข้าหาความอัศจรรย์แห่งฤทธานุภาพของพระเจ้า และพวกเราพบว่าตนเองกำลังติดตามรอยพระบาทของพระผู้สร้างเข้าสู่วันถัดมา ซึ่งก็คือวันที่ห้าแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระเจ้า

พวกเรามาอ่านองค์พระคัมภีร์กันต่อทีละบทตอน พลางมองดูกิจการทั้งหลายของพระผู้สร้างให้มากยิ่งขึ้นกันเถิด

ในวันที่ห้า ชีวิตในรูปแบบอันแตกต่างและหลากหลายแสดงออกถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างในหนทางที่ต่างกัน

องค์พระคัมภีร์กล่าวว่า “พระเจ้าตรัสว่า ‘น้ำจงอุดมด้วยฝูงสัตว์ที่มีชีวิต และให้นกบินไปมาในภาคพื้นฟ้าเหนือแผ่นดิน’ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทะเลขนาดใหญ่ และสัตว์ที่มีชีวิตทุกชนิด ซึ่งแหวกว่ายอยู่ในน้ำเป็นฝูงๆ ตามชนิดของมัน และสัตว์ปีกทุกชนิดตามชนิดของมัน พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” (ปฐมกาล 1:20-21)  องค์พระคัมภีร์บอกพวกเราอย่างชัดเจนว่า ในวันนี้ พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ทั้งหลายในน้ำและนกในอากาศ ซึ่งหมายความว่าพระองค์ทรงสร้างปลาและนกนานาชนิด และทรงแบ่งพวกมันแต่ละอย่างออกเป็นประเภท  ในหนทางนี้ แผ่นดินโลก ท้องฟ้า และห้วงน้ำทั้งหลายจึงอุดมเพราะการทรงสร้างของพระเจ้า…

ขณะที่พระเจ้าตรัสพระวจนะออกไป ชีวิตใหม่อันสดชื่นก็เกิดมีชีวิตจิตใจขึ้นมาท่ามกลางพระวจนะของพระผู้สร้างในทันที แต่ละชีวิตมีรูปแบบที่แตกต่างกัน  พวกมันมายังโลกนี้ เบียดเสียดกันหาตำแหน่งแห่งที่ กระโดดโลดเต้น เล่นสนุกสนานด้วยความชื่นบานยินดี… ปลาทุกรูปทรงและขนาดแหวกว่ายไปในน้ำ หอยทุกประเภทเติบใหญ่ขึ้นมาจากทราย สัตว์ที่มีเกล็ด มีกระดอง และไม่มีกระดูกสันหลัง รีบเร่งเติบโตในรูปแบบที่แตกต่างกัน ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก สั้นหรือยาว  สาหร่ายทะเลนานาชนิดเริ่มเจริญเติบโตอย่างเร็วรี่เช่นเดียวกัน แกว่งไกวไปตามการเคลื่อนที่ของสิ่งมีชีวิตนานาชนิดในท้องทะเล กระเพื่อมขึ้นลง รบเร้าห้วงน้ำที่นิ่งเฉยราวกับจะพูดกับสายน้ำว่า “เร็วเข้า!  พาเพื่อนๆ ของเธอมา!  เพราะเธอจะไม่มีวันโดดเดี่ยวอีกแล้ว!”  นับแต่ชั่วขณะที่สิ่งมีชีวิตนานาที่พระเจ้าทรงสร้างปรากฏขึ้นในน้ำ ชีวิตใหม่อันสดชื่นแต่ละชนิดก็นำพลังชีวิตมาสู่ห้วงน้ำที่เคยอยู่นิ่งมานานแสนนาน และนำมาซึ่งยุคใหม่… นับแต่นั้นเป็นต้นมา พวกมันอิงแอบแนบชิดกัน และคอยอยู่เป็นเพื่อนกัน และไม่มีระยะระหว่างกัน  น้ำดำรงอยู่เพื่อสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ภายในน้ำ บำรุงเลี้ยงแต่ละชีวิตที่อาศัยอยู่ในอ้อมกอดของตน และทุกชีวิตดำรงอยู่เพื่อน้ำเนื่องแต่การบำรุงเลี้ยงของน้ำนั้น  ต่างฝ่ายต่างมอบชีวิตให้อีกฝ่าย และในเวลาเดียวกัน ในหนทางเดียวกันนั้น แต่ละชีวิตต่างก็เป็นข้อพิสูจน์ถึงความอัศจรรย์และความยิ่งใหญ่แห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้าง รวมทั้งฤทธานุภาพอันมิอาจมีสิ่งใดเหนือกว่าได้แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง…

เมื่อทะเลไม่ได้เงียบสงัดอีกต่อไปแล้ว ชีวิตก็เริ่มเติมท้องฟ้าให้เต็มเช่นกัน  หมู่นกน้อยใหญ่บินจากพื้นดินขึ้นไปสู่ท้องฟ้าทีละตัว  พวกนกมีปีกและขนปกคลุมรูปร่างอันเพรียวบางและงามสง่าของตน ต่างจากพวกสัตว์ในทะเล  เหล่านกกระพือปีก อวดเสื้อคลุมขนนกอันงดงามของตนอย่างภาคภูมิใจและหยิ่งผยอง รวมทั้งหน้าที่และทักษะพิเศษที่พระผู้สร้างประทานให้แก่ตน  หมู่นกเหินบินอย่างอิสระ และเทียวไปเทียวมาระหว่างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก ข้ามทุ่งหญ้าและผืนป่าอย่างคล่องแคล่ว… พวกนกเป็นขวัญใจของอากาศ เป็นขวัญใจของสรรพสิ่ง  พวกนกจะกลายเป็นสายใยผูกพันระหว่างสวรรค์และแผ่นดินโลกในไม่ช้า และจะส่งผ่านสารทั้งหลายถึงสรรพสิ่ง… หมู่วิหคขับร้อง บินถลาไปมาอย่างชื่นบาน เหล่าปักษานำความชื่นชูใจ เสียงหัวเราะ และความสดใสมีชีวิตชีวามาสู่โลกที่ครั้งหนึ่งเคยว่างเปล่า… พวกนกใช้การขับร้องเป็นท่วงทำนองสดใสของตน ใช้ถ้อยคำภายในหัวใจของตน สรรเสริญพระผู้สร้างสำหรับชีวิตที่ประทานให้แก่ตน  พวกนกเริงระบำอย่างชื่นชูใจเพื่อแสดงให้เห็นความเพียบพร้อมและความมหัศจรรย์แห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้าง และย่อมจะอุทิศทั้งชีวิตของตนเพื่อเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างโดยผ่านทางชีวิตที่พิเศษที่พระองค์ได้ประทานให้แก่วิหคทั้งหลาย…

ไม่ว่าจะอยู่ในน้ำหรือในท้องฟ้าก็ตาม สิ่งมีชีวิตมากมายเหลือหลายนี้ก็ดำรงอยู่ในรูปสัณฐานของชีวิตที่แตกต่างกันตามพระบัญชาของพระผู้สร้าง และรวมกลุ่มกันตามสายพันธุ์ของตนตามพระบัญชาของพระผู้สร้าง—และไม่มีสิ่งทรงสร้างใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัตินี้ กฎเกณฑ์นี้ได้  สิ่งทรงสร้างไม่เคยกล้าออกนอกขอบเขตที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้ให้ ทั้งยังไม่สามารถทำได้  ทั้งหมดมีชีวิตและทวีจำนวนตามที่พระผู้สร้างทรงลิขิตไว้ และเดินตามครรลองชีวิตและธรรมบัญญัติทั้งหลายที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้ให้อย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามพระบัญชาที่พระองค์มิได้ตรัสและประกาศิตจากสวรรค์และข้อบังคับที่พระองค์ประทานแก่ตนอย่างตั้งใจตลอดมาจนกระทั่งถึงวันนี้  ทั้งหมดสนทนากับพระผู้สร้างในหนทางพิเศษของตนเอง และซาบซึ้งในความหมายของพระผู้สร้าง และเชื่อฟังพระบัญชาทั้งหลายของพระองค์  ไม่มีสิ่งใดเคยฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ทรงใช้อธิปไตยและพระบัญชาที่พระองค์มีเหนือสิ่งมีชีวิตทั้งปวงนั้นภายในพระดำริของพระองค์ ไม่มีการตรัสพระวจนะอันใด แต่สิทธิอำนาจอันเป็นเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างก็ควบคุมสรรพสิ่งอยู่ในความเงียบที่ไร้การใช้ภาษา และแตกต่างไปจากมวลมนุษย์  การใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ในหนทางที่พิเศษนี้บีบให้มนุษย์จำต้องมีความรู้ใหม่และการตีความใหม่เกี่ยวกับสิทธิอำนาจอันมีเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง  ในที่นี้เราต้องบอกเจ้าว่า ในวันใหม่นี้การใช้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างแสดงให้เห็นเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างอีกครั้งหนึ่ง

อันดับต่อไป พวกเรามาดูประโยคสุดท้ายของบทตอนนี้ในพระคัมภีร์กัน ความว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  พวกเจ้าคิดว่านี่หมายความว่าอย่างไร?  อารมณ์ทั้งหลายของพระเจ้าบรรจุอยู่ภายในถัอยคำเหล่านี้  พระเจ้าทรงเฝ้ามองทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างนั้นถือกำเนิดและยืนหยัดมั่นคงเนื่องแต่พระวจนะของพระองค์ และเริ่มเปลี่ยนแปลงทีละน้อย  ณ เวลานี้พระเจ้าพึงพอพระทัยในสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้างขึ้นด้วยพระวจนะของพระองค์และในปฏิบัติการต่างๆ ที่พระองค์ได้ทรงสัมฤทธิ์หรือไม่?  คำตอบก็คือ “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในที่นี้?  ที่ว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” นั้นแทนสิ่งใด?  เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด?  นี่หมายความว่าพระเจ้ามีพระปัญญาและฤทธานุภาพที่จะทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงวางแผนและกำหนดเอาไว้แล้วสำเร็จลุล่วง และมีพระปัญญาและฤทธานุภาพที่จะสำเร็จลุล่วงเป้าหมายที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสำเร็จลุล่วง  เมื่อพระเจ้าทรงทำให้กิจแต่ละอย่างเสร็จสมบูรณ์ พระองค์รู้สึกเสียพระทัยหรือไม่?  คำตอบก็ยังคงเป็นว่า “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ไม่เพียงแต่พระองค์จะไม่รู้สึกเสียพระทัย แต่กลับพึงพอพระทัยอีกด้วย  ที่ว่าพระองค์ไม่รู้สึกเสียพระทัยนั้นหมายความว่าอย่างไร?  นี่หมายความว่าแผนการของพระเจ้านั้นเพียบพร้อม ว่าฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระองค์นั้นเพียบพร้อม และว่าความเพียบพร้อมเช่นนี้จะสามารถสำเร็จลุล่วงได้ก็ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์เท่านั้น  เมื่อมนุษย์ทำกิจอย่างหนึ่ง เขาจะสามารถเห็นว่ากิจนั้นดีได้เหมือนที่พระเจ้าทรงเห็นหรือไม่?  ทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ทำสามารถบรรลุถึงความเพียบพร้อมหรือไม่?  มนุษย์สามารถทำบางสิ่งบางอย่างเพียงคราเดียวก็เสร็จสมบูรณ์ไปชั่วกัลปาวสานได้หรือไม่?  นี่เหมือนกับที่มนุษย์กล่าวว่า “ไม่มีสิ่งใดเพียบพร้อม มีแต่ดีขึ้นเท่านั้น” ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์ทำสามารถบรรลุถึงความเพียบพร้อมได้  เมื่อพระเจ้าทรงเห็นว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงกระทำและสัมฤทธิ์ไปนั้นดี ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำจึงถูกจัดตั้งโดยพระวจนะของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าเมื่อ “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” ทั้งหมดที่พระองค์ทรงสร้างจึงมีรูปแบบที่ถาวร ถูกจำแนกไปตามชนิด และถูกกำหนดตำแหน่ง จุดประสงค์ และหน้าที่อันตายตัวไปชั่วกัลปาวสานด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียว  ยิ่งไปกว่านั้น บทบาทของพวกมันท่ามกลางสรรพสิ่ง และการเดินทางที่พวกมันต้องทำในระหว่างการบริหารจัดการสรรพสิ่งของพระเจ้าก็ได้ถูกพระเจ้าลิขิตไว้แล้ว และมิอาจเปลี่ยนแปลงได้  นี่คือธรรมบัญญัติจากสวรรค์ที่พระผู้สร้างประทานแก่สรรพสิ่ง

“พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”  ถ้อยคำเรียบง่ายที่ไม่ค่อยมีใครซึ้งคุณค่าและถูกละเลยบ่อยครั้งเหล่านี้ คือถ้อยคำแห่งธรรมบัญญัติจากสวรรค์และประกาศิตจากสวรรค์ที่พระเจ้าประทานแก่สรรพสิ่งทรงสร้าง  ถ้อยคำเหล่านี้เป็นรูปจำแลงอีกอย่างหนึ่งแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า รูปจำแลงที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากขึ้นและลุ่มลึกขึ้น  พระผู้สร้างไม่เพียงสามารถได้รับทั้งหมดที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะได้รับและสัมฤทธิ์ทั้งหมดที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสัมฤทธิ์โดยผ่านทางพระวจนะของพระองค์เท่านั้น แต่ยังสามารถควบคุมทั้งหมดที่พระองค์ทรงสร้างไว้ให้อยู่ในพระหัตถ์ของพระองค์ และสามารถปกครองทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างให้อยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระองค์ได้อีกด้วย และยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นระบบและสม่ำเสมอเป็นปกติ  ทุกสรรพสิ่งยังเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็ว ดำรงอยู่ และพินาศไปตามพระวจนะของพระองค์ด้วยเช่นกัน และยิ่งไปกว่านั้น ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ ทุกสิ่งจึงดำรงอยู่ท่ามกลางธรรมบัญญัติที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ และไม่มีสิ่งใดได้รับการยกเว้น!  ธรรมบัญญัตินี้เริ่มต้นทันทีที่ “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี” และจะดำรงอยู่ ดำเนินต่อไป และทำหน้าที่เพื่อแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าเรื่อยไปจนถึงวันที่พระผู้สร้างทรงเพิกถอน!  สิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างไม่เพียงสำแดงอยู่ในความสามารถของพระองค์ในการสร้างสรรพสิ่งและบัญชาสรรพสิ่งให้เกิดมีขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังสำแดงอยู่ในความสามารถของพระองค์ในการปกครองดูแลและถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง และประทานชีวิตและกำลังวังชาแก่ทุกสรรพสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น ในความสามารถของพระองค์ในการทำให้ทุกสิ่งที่พระองค์จะทรงสร้างตามแผนการของพระองค์ปรากฏขึ้นและดำรงอยู่ในโลกที่พระองค์ทรงสร้าง ในรูปทรงที่เพียบพร้อม และโครงสร้างชีวิตที่เพียบพร้อม และบทบาทที่เพียบพร้อมไปชั่วกัลปาวสานด้วยการสร้างเพียงครั้งเดียว  และเช่นเดียวกันนั้น สิทธิอำนาจของพระองค์ยังสำแดงอยู่ในหนทางที่พระดำริของพระผู้สร้างไม่อยู่ภายใต้ข้อจำกัดอันใด ไม่ถูกจำกัดโดยกาลเวลา พื้นที่ หรือภูมิประเทศ  พระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลงจากนิรันดร์กาลถึงนิรันดร์กาลเช่นเดียวกับสิทธิอำนาจของพระองค์  สิทธิอำนาจของพระองค์จะเป็นตัวแทนและสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์อันทรงเอกลักษณ์ของพระองค์เสมอ และสิทธิอำนาจของพระองค์จะดำรงอยู่เคียงข้างพระอัตลักษณ์ของพระองค์ไปตลอดกาล!

ในวันที่หก พระผู้สร้างตรัส และสิ่งมีชีวิตทรงสร้างในพระทัยของพระองค์ก็ปรากฏตัวทีละประเภท

โดยไม่ทันสังเกต พระราชกิจแห่งการทรงสร้างสรรพสิ่งของพระผู้สร้างก็ดำเนินต่อเนื่องมาเป็นเวลาห้าวันแล้ว ซึ่งทันทีหลังวันที่ห้า พระผู้สร้างก็ทรงต้อนรับวันที่หกแห่งการสร้างสรรพสิ่งของพระองค์  วันนี้ก็เป็นการเริ่มต้นใหม่อีกวันและเป็นวันที่เหนือธรรมดาอีกวันหนึ่ง  เช่นนั้นแล้ว แผนการของพระผู้สร้างในค่ำคืนก่อนวันใหม่นี้คือสิ่งใด?  สิ่งทรงสร้างใหม่ๆ อันใดที่พระองค์จะทรงก่อกำเนิด ที่พระองค์จะทรงสร้าง?  ฟังสิ นั่นคือพระสุรเสียงของพระผู้สร้าง…

“พระเจ้าตรัสว่า ‘แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน คือสัตว์ใช้งาน สัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าตามชนิดของมัน’ ก็เป็นดังนั้น พระเจ้าทรงสร้างสัตว์ป่าตามชนิดของมัน สัตว์ใช้งานตามชนิดของมัน และสัตว์ต่างๆ ที่เลื้อยคลานทุกชนิดบนแผ่นดินตามชนิดของมัน แล้วพระเจ้าทรงเห็นว่าดี” (ปฐมกาล 1:24-25)  สิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตประกอบด้วยอะไรบ้าง?  องค์พระคัมภีร์กล่าวถึงปศุสัตว์ และสัตว์เลื้อยคลาน และสัตว์ป่าของแผ่นดินโลกตามประเภทของมัน  นั่นหมายความว่าในวันนี้ไม่เพียงมีสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตสารพัดชนิดอยู่บนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ทั้งหมดยังถูกจำแนกออกเป็นประเภทอีกด้วย และเช่นกัน “พระเจ้าทรงเห็นว่าดี”

เช่นเดียวกับในระหว่างห้าวันก่อนหน้านั้น พระผู้สร้างตรัสด้วยพระกระแสเสียงเดียวกันและทรงสั่งให้มีการถือกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่พระองค์ทรงพึงปรารถนา และให้แต่ละสิ่งปรากฏขึ้นบนแผ่นดินโลกตามประเภทของตน  เมื่อพระผู้สร้างทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ ไม่มีพระวจนะใดของพระองค์ที่ตรัสโดยเปล่าประโยชน์ และดังนั้นในวันที่หก สิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตแต่ละอย่างที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสร้างจึงปรากฏขึ้นตามเวลาที่กำหนด  ในขณะที่พระผู้สร้างตรัสว่า “แผ่นดินจงเกิดสัตว์ที่มีชีวิตตามชนิดของมัน” แผ่นดินโลกก็เต็มไปด้วยชีวิตทันที และบนแผ่นดินก็พลันบังเกิดลมหายใจของสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกจำพวก… ในถิ่นทุรกันดารที่มีหญ้าขึ้นเขียวชอุ่ม แม่วัวอ้วนพีที่กำลังแกว่งหางไปมาก็ปรากฏขึ้นตัวแล้วตัวเล่า แกะที่กำลังส่งเสียงร้องพากันรวมตัวเป็นฝูง และพวกม้าที่กำลังส่งเสียงร้องก็เริ่มวิ่งควบ… ชั่วอึดใจเดียว ทุ่งหญ้าเงียบสงัดอันกว้างใหญ่ไพศาลก็พลันเต็มไปด้วยชีวิต… การปรากฏตัวของปศุสัตว์ที่หลากหลายเหล่านี้เป็นภาพอันสวยงามบนทุ่งหญ้าที่เงียบสงบ และนำมาซึ่งพลังชีวิตอันไร้ขอบเขต… สัตว์ทั้งปวงนี้จะเป็นมิตรสหายของทุ่งหญ้า และเป็นนายของทุ่งหญ้า ต่างฝ่ายต่างพึ่งพาอาศัยกัน และเช่นเดียวกันทั้งหมดก็จะกลายเป็นผู้คุ้มกันและผู้รักษาแผ่นดินเหล่านี้ซึ่งจะเป็นที่อยู่อาศัยอันถาวรของตน และจัดเตรียมสิ่งที่สัตว์ทั้งปวงนี้จำเป็นต้องมีให้แก่พวกมัน เป็นแหล่งบำรุงเลี้ยงชั่วนิรันดร์ให้แก่การดำรงอยู่ของพวกมัน…

ในวันเดียวกับที่ปศุสัตว์สารพันเหล่านี้เริ่มมีขึ้นด้วยพระวจนะของพระผู้สร้าง แมลงมากมายเหลือคณานับก็ปรากฏกายขึ้นตัวแล้วตัวเล่าเช่นกัน  ถึงแม้จะเป็นสิ่งมีชีวิตที่เล็กที่สุดท่ามกลางสิ่งทรงสร้างทั้งปวง แต่พลังชีวิตของแมลงก็ยังคงเป็นสิ่งทรงสร้างอันมหัศจรรย์ของพระผู้สร้าง และพวกแมลงก็มิได้มาถึงช้าเกินไป… บางตัวกระพือปีกเล็กๆ ของตน ในขณะที่ตัวอื่นคืบคลานไปอย่างช้าๆ บางตัวกระโดดและดีดตัวขึ้น ขณะที่ตัวอื่นเดินโอนเอน บางตัวพุ่งพรวดไปข้างหน้า ขณะที่ตัวอื่นถอยกรูด บางตัวขยับออกข้าง ขณะที่ตัวอื่นกระโดดสูงบ้างต่ำบ้าง… ทั้งหมดนี้ยุ่งอยู่กับการพยายามหาบ้านให้ตัวเอง กล่าวคือ บ้างก็ดั้นด้นไปในพงหญ้า บ้างก็เริ่มต้นขุดรูบนพื้น บ้างก็บินขึ้นไปบนต้นไม้ ซ่อนตัวในผืนป่า… ถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่พวกแมลงก็ไม่เต็มใจที่จะสู้ทนความทรมานจากกระเพาะอาหารที่ว่างเปล่า และหลังจากหาบ้านให้ตัวเองได้แล้ว พวกแมลงก็เร่งรีบแสวงหาอาหารเลี้ยงตัว  บ้างก็ปีนป่ายตามต้นหญ้าเพื่อกินยอดอ่อน บ้างงับฝุ่นดินเต็มปากแล้วกลืนลงท้อง กินด้วยความเอร็ดอร่อยและยินดีเป็นอย่างมาก (สำหรับแมลง แม้แต่ฝุ่นดินก็เป็นอาหารเลิศรสที่โอชะ) บ้างก็ซ่อนอยู่ในป่า แต่แมลงหาได้หยุดพักไม่ เพราะน้ำเลี้ยงภายในใบไม้สีเขียวเข้มเป็นมันนั้นได้จัดเตรียมอาหารอันฉ่ำปากไว้ให้… หลังจากอิ่มหนำสำราญแล้ว พวกแมลงยังคงไม่หยุดกิจกรรมของตน แม้รูปร่างจะเล็ก แต่ก็มีพลังงานอันมหาศาลและความร่าเริงอันไร้ขีดจำกัด และดังนั้นพวกมันจึงกระตือรือร้นที่สุดและขยันขันแข็งที่สุดในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งปวง  พวกแมลงไม่เคยเกียจคร้านและไม่เคยดื่มด่ำในการหยุดพัก  ทันทีที่ความอยากอาหารได้รับการตอบสนองจนเต็มอิ่มแล้ว พวกแมลงก็ยังคงออกแรงกรำงานเพื่ออนาคตของตน ทำงานยุ่งและสาละวนเพื่อวันพรุ่งของตน เพื่อการอยู่รอดของตน… แมลงขับลำนำเป็นท่วงทำนองและจังหวะต่างๆ อย่างแผ่วเบาเพื่อหนุนใจและปลุกเร้าตัวเองต่อไป  พวกแมลงยังเติมความชื่นบานให้กับต้นหญ้า ต้นไม้ และผืนดินทุกตารางนิ้ว ทำให้แต่ละวันและแต่ละปีมีเอกลักษณ์… พวกมันส่งต่อข้อมูลข่าวสารไปยังสิ่งมีชีวิตทั้งมวลบนแผ่นดินด้วยภาษาของตนเองและด้วยวิธีของตนเอง  แมลงใช้ครรลองชีวิตอันพิเศษของตนทำเครื่องหมายไว้บนสรรพสิ่ง ทิ้งร่องรอยเอาไว้… พวกมันใกล้ชิดสนิทสนมกับดิน ต้นหญ้า และผืนป่า และนำความกระปรี้กระเปร่าและกำลังวังชามาให้แก่ดิน ต้นหญ้า และผืนป่า  พวกแมลงนำคำกระตุ้นเตือนและคำทักทายจากพระผู้สร้างมาสู่สิ่งมีชีวิตทั้งปวง…

สายพระเนตรอันจับจ้องของพระเจ้ากวาดมองไปทั่วทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างเอาไว้ และ ณ ชั่วขณะนี้เองสายพระเนตรของพระองค์ก็หยุดอยู่ที่ผืนป่าและเทือกเขา มีพระดำริบางอย่างอยู่ในพระทัยของพระองค์  เมื่อพระองค์ดำรัสพระวจนะออกไป ก็ปรากฏสิ่งทรงสร้างชนิดหนึ่งที่ไม่เหมือนกับชนิดใดที่เคยมีมาก่อนทั้งในผืนป่าอันหนาทึบและตามเทือกเขา นั่นก็คือสัตว์ป่าที่พระโอษฐ์ของพระเจ้าตรัสให้เป็นขึ้นมา  สัตว์ที่ถือกำเนิดเอาภายหลังนี้พากันส่ายหัวและสะบัดหาง แต่ละตัวมีใบหน้าที่เป็นเอกลักษณ์ของตน  บ้างมีขนปกคลุม บ้างมีเกราะ บ้างแยกเขี้ยวยิงฟัน บ้างแสยะยิ้ม บ้างคอยาว บ้างก็หางสั้น บ้างมีตาที่ลุกโพลง บ้างมีดวงตาขลาดกลัว บ้างก้มกินหญ้า บ้างมีเลือดเปื้อนปาก บ้างกระโดดไปบนขาทั้งสองข้าง บ้างเหยาะย่างไปมาบนกีบเท้าทั้งสี่ บ้างมองไปไกลๆ อยู่บนยอดไม้ บ้างนอนรออยู่ในป่า บ้างค้นหาถ้ำเพื่อหยุดพัก บ้างก็วิ่งเล่นสนุกสนานตามที่ราบ บ้างออกล่าเหยื่อเงียบๆ ไปทั่วป่า… บ้างส่งเสียงคำราม บ้างหอน บ้างเห่า บ้างก็ส่งเสียงร้อง… บ้างมีเสียงแหลมสูง บ้างมีเสียงทุ้ม บ้างมีเสียงดังฟังชัด บ้างก็มีเสียงใสและไพเราะเสนาะหู… บ้างหน้าตาเคร่งขรึม บ้างก็สวยงาม บ้างน่าขยะแขยง บ้างก็น่าชม บ้างน่าหวาดผวา บ้างก็ไร้เดียงสาอย่างมีเสน่ห์… สัตว์ป่าเหล่านี้ต่างทยอยปรากฏตัว  จงดูเอาเถิดว่าพวกมันสูงส่งและมีฤทธิ์เพียงใด รักอิสระ สบายๆ ไม่สนใจกัน ไม่แม้แต่จะชำเลืองมองกัน… สัตว์เหล่านี้ปรากฏขึ้นในป่าและตามเทือกเขา แต่ละตัวต่างก็เป็นชีวิตในแบบที่พระผู้สร้างได้ประทานให้แก่ตนโดยเฉพาะ และมีความป่าเถื่อนและความดุดันของตนเอง  วางปึ่งกับทุกสิ่ง ไว้ตนอย่างสิ้นเชิง—ไม่ว่าจะอย่างไร พวกมันก็คือนายที่แท้จริงแห่งภูเขาและผืนป่า  จากชั่วขณะที่พระผู้สร้างได้ทรงลิขิตการปรากฏตัวของสิ่งมีชีวิตเหล่านี้ สัตว์ป่าก็ “อ้างสิทธิ์” เหนือพงไพรและขุนเขา เพราะพระผู้สร้างทรงผนึกอาณาเขตให้และกำหนดวงเขตแห่งการดำรงอยู่ของพวกมันไว้แล้ว  เฉพาะสัตว์ป่าเท่านั้นที่เป็นเจ้านายที่แท้จริงแห่งภูเขาและผืนป่า และนั่นคือสาเหตุที่สัตว์เหล่านี้คะนองยิ่งนัก ปึ่งชายิ่งนัก  พวกมันถูกเรียกว่า “สัตว์ป่า” ก็เพียงเพราะในบรรดาสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงนั้น สิ่งมีชีวิตเหล่านี้เป็นสิ่งทรงสร้างที่เถื่อน ดุ และไม่อาจทำให้เชื่องได้โดยแท้  พวกมันไม่อาจทำให้เชื่องได้ ดังนั้นพวกมันจึงไม่อาจได้รับการชุบเลี้ยง และไม่สามารถดำรงชีพกับมวลมนุษย์อย่างปรองดองและใช้แรงงานแทนมวลมนุษย์ได้  เป็นเพราะสัตว์ป่าไม่อาจถูกชุบเลี้ยง ไม่อาจทำงานให้มวลมนุษย์ พวกมันจึงต้องดำรงชีพอยู่ห่างไกลจากมวลมนุษย์ และมนุษย์ไม่อาจเข้าใกล้พวกมันได้  ในทางกลับกัน เป็นเพราะสัตว์ป่าดำรงชีพอยู่ห่างจากมวลมนุษย์ และมนุษย์ไม่อาจเข้าใกล้พวกมันได้ พวกมันจึงสามารถลุล่วงความรับผิดชอบที่พระผู้สร้างได้ประทานแก่พวกมัน นั่นก็คือ การคุ้มกันภูเขาและผืนป่า  ความป่าเถื่อนของสัตว์เหล่านี้ปกป้องภูเขาและคุ้มกันผืนป่า และเป็นการปกป้องและการรับประกันการดำรงอยู่และแพร่พันธุ์ของพวกมันเป็นอย่างดีที่สุด  ในเวลาเดียวกันนั้น ความป่าเถื่อนของสัตว์ป่าก็ธำรงรักษาและรับประกันความสมดุลท่ามกลางสรรพสิ่ง  การมาถึงของพวกมันได้นำแรงสนับสนุนและที่ยึดเหนี่ยวมาสู่ภูเขาและผืนป่า การมาถึงของสัตว์ป่าได้สูบฉีดความกระปรี้กระเปร่าและกำลังวังชาให้แก่ภูเขาและผืนป่าที่ไม่ไหวติงและว่างเปล่า  จากจุดนี้เป็นต้นมา ภูเขาและผืนป่าจึงกลายเป็นถิ่นอาศัยถาวรของสัตว์เหล่านี้ และพวกมันจะไม่มีวันสูญเสียบ้านของตนไปเพราะภูเขาและผืนป่าได้ปรากฏและดำรงอยู่เพื่อพวกมันนั่นเอง สัตว์ป่าจะทำหน้าที่ของพวกมันให้ลุล่วง และทำทุกสิ่งทุกอย่างที่สามารถทำได้เพื่อพิทักษ์เทือกเขาและผืนป่าเอาไว้  ดังนั้นสัตว์ป่าย่อมจะยึดปฏิบัติตามการกระตุ้นเตือนของพระผู้สร้างอย่างเคร่งครัด ให้หวงแหนอาณาเขตของตน และใช้ธรรมชาติเยี่ยงสัตว์ร้ายของตนต่อไปเพื่อคงไว้ซึ่งสมดุลของทุกสรรพสิ่งที่พระผู้สร้างได้ทรงสถาปนา และเพื่อแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง!

สรรพสิ่งล้วนเพียบพร้อมภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

สรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น ซึ่งรวมถึงพวกที่สามารถเคลื่อนที่ได้และพวกที่ไม่สามารถทำดังนั้น เช่นนกและปลา เช่นต้นไม้และดอกไม้ และรวมถึงปศุสัตว์ แมลง และสัตว์ป่าที่ถูกสร้างขึ้นในวันที่หก—ทั้งหมดล้วนดีงามในสายพระเนตรของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น ในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ล้วนบรรลุจุดสูงสุดแห่งความเพียบพร้อมและได้มาตรฐานที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ตามแผนการของพระองค์แล้ว  พระผู้สร้างทรงพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำตามแผนการของพระองค์ทีละขั้นตอน  สิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะสร้างได้ปรากฏขึ้นตามลำดับ และการปรากฏตัวของสิ่งทรงสร้างแต่ละชนิดเป็นภาพสะท้อนแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง เป็นการตกผลึกแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  เนื่องจากการตกผลึกเหล่านี้ สรรพสิ่งทรงสร้างจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณการจัดเตรียมและพระคุณของพระผู้สร้าง  ขณะที่กิจการอันมหัศจรรย์ของพระเจ้าสำแดงตนออกมา โลกนี้ก็มีสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงสร้างเพิ่มพูนขึ้นทีละชิ้น และเปลี่ยนแปลงจากความสับสนอลหม่านและมืดมนไปเป็นความชัดเจนและสว่างไสว จากความนิ่งงันราวกับความตายไปเป็นความมีชีวิตชีวาและกำลังวังชาอันไร้ขีดจำกัด  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้าง จากขนาดใหญ่ถึงขนาดเล็ก จากขนาดเล็กถึงขนาดเล็กมากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ได้ถูกสร้างด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง และการดำรงอยู่ของสิ่งทรงสร้างแต่ละอย่างก็มีความจำเป็นและคุณค่าภายในตัวที่เป็นเอกลักษณ์  ไม่ว่าจะมีความแตกต่างอย่างไรในรูปทรงและโครงสร้างของพวกมันก็ตาม ทุกสิ่งต้องถูกสร้างขึ้นโดยพระผู้สร้างเท่านั้นจึงจะดำรงอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง บางครั้งเมื่อผู้คนมองเห็นแมลงที่อัปลักษณ์อย่างมาก พวกเขาก็จะพูดว่า “แมลงนั่นช่างน่าเกลียดน่ากลัวเหลือเกิน ไม่มีทางที่พระเจ้าจะทรงสร้างสิ่งอัปลักษณ์เช่นนี้—ไม่มีทางที่พระองค์จะทรงสร้างบางอย่างที่อัปลักษณ์ได้ถึงเพียงนี้”  เป็นทรรศนะที่ช่างเขลานัก!  พวกเขาควรจะกล่าวว่า “แม้แมลงตัวนี้จะอัปลักษณ์เหลือเกิน แต่พระเจ้าก็ทรงสร้างมันขึ้นมา และดังนั้นมันจึงต้องมีจุดประสงค์ที่เป็นเอกลักษณ์ของมันเอง”  ในพระดำริของพระเจ้านั้น พระองค์ตั้งพระทัยที่จะประทานทุกรูปลักษณ์ และหน้าที่และประโยชน์ทุกจำพวก ให้แก่สิ่งมีชีวิตนานาที่พระองค์ทรงสร้าง และดังนั้นจึงไม่มีสิ่งทรงสร้างของพระเจ้าที่เหมือนกันอย่างกับแกะ  ตั้งแต่ส่วนประกอบภายในถึงภายนอก จากนิสัยในการดำรงชีวิตไปจนถึงถิ่นฐานที่พวกมันอาศัยอยู่—แต่ละอย่างแตกต่างกัน  วัวมีรูปลักษณ์ของวัว ลามีรูปลักษณ์ของลา กวางมีรูปลักษณ์ของกวาง และช้างก็มีรูปลักษณ์ของช้าง  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าสิ่งใดดูดีที่สุด และสิ่งใดอัปลักษณ์ที่สุด?  เจ้าสามารถพูดได้หรือไม่ว่าสิ่งใดมีประโยชน์มากที่สุด และการดำรงอยู่ของสิ่งใดมีความจำเป็นน้อยที่สุด?  ผู้คนบางคนชอบรูปร่างหน้าตาของช้าง แต่ไม่มีผู้ใดใช้ช้างเพาะปลูกในทุ่งนา ผู้คนบางคนชอบรูปร่างหน้าตาของสิงโตและเสือ เพราะรูปลักษณ์ของพวกมันน่าประทับใจที่สุดในหมู่สรรพสิ่ง แต่เจ้าสามารถเอาสิงโตและเสือมาเป็นสัตว์เลี้ยงได้หรือไม่?  กล่าวสั้นๆ คือ เมื่อพูดถึงสิ่งต่างๆ มากมายเหลือคณานับแห่งการทรงสร้าง มนุษย์ควรน้อมรับสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ซึ่งหมายถึงน้อมรับระบบระเบียบที่พระผู้สร้างทรงกำหนดให้แก่ทุกสิ่ง นี่คือท่าทีที่ทรงปัญญาที่สุด  มีเพียงท่าทีแห่งการแสวงหาเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระผู้สร้างและการเชื่อฟังเจตนารมณ์นั้นเท่านั้นที่เป็นการยอมรับและมั่นใจในสิทธิอำนาจแห่งพระผู้สร้างอย่างแท้จริง  ทุกสิ่งดีงามในสายพระเนตรของพระเจ้า ดังนั้นเหตุใดมนุษย์จึงต้องจับผิด?

ด้วยเหตุนี้ สรรพสิ่งภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจึงต้องบรรเลงดนตรีบทใหม่ให้แก่อธิปไตยของพระผู้สร้าง ต้องเริ่มบทโหมโรงอันเจิดจรัสเพื่อพระราชกิจแห่งวันใหม่ของพระองค์ และ ณ ชั่วขณะนี้พระผู้สร้างก็จะทรงพลิกหน้าใหม่ในพระราชกิจแห่งการบริหารจัดการของพระองค์ด้วย!  ตามธรรมบัญญัติที่พระผู้สร้างทรงกำหนดไว้ให้มีหน่อพันธุ์ที่สดใหม่ในฤดูใบไม้ผลิ มีการสุกงอมในฤดูร้อน การเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง และมีการเก็บรักษาในฤดูหนาวนั้น สรรพสิ่งย่อมจะสะท้อนแผนบริหารจัดการของพระผู้สร้าง และต้อนรับวันใหม่ การเริ่มต้นใหม่ และครรลองชีวิตใหม่ของตนเอง  ทุกสิ่งจะดำรงชีวิตต่อไปและสืบพันธุ์อย่างต่อเนื่องไม่มีที่สิ้นสุดเพื่อต้อนรับแต่ละวันภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง…

ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดสามารถแทนที่พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างได้

จากครั้งที่พระองค์ทรงเริ่มสร้างสรรพสิ่ง ฤทธานุภาพของพระเจ้าก็เริ่มได้รับการเปิดเผยและแสดงออก เพราะพระเจ้าใช้พระวจนะสร้างทุกสรรพสิ่ง  ไม่ว่าพระองค์จะทรงสร้างสรรพสิ่งในลักษณะใด ไม่ว่าพระองค์จะทรงสร้างพวกมันเพราะเหตุใด ทุกสิ่งก็เกิดมีขึ้นและยืนหยัดมั่นคงและดำรงอยู่เนื่องแต่พระวจนะของพระเจ้า นี่คือสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง  ในกาลเวลาก่อนที่มวลมนุษย์จะปรากฏตัวในโลกนี้นั้น พระผู้สร้างทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์เพื่อสร้างสรรพสิ่งให้แก่มวลมนุษย์ และทรงใช้วิธีการอันเป็นเอกลักษณ์ของพระองค์เพื่อตระเตรียมสภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตที่เหมาะสมให้แก่มวลมนุษย์  ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำนั้นเป็นไปเพื่อตระเตรียมให้แก่มวลมนุษย์ที่กำลังจะได้รับลมปราณของพระองค์ในไม่ช้า  นี่หมายความว่าในเวลาก่อนที่มวลมนุษย์จะถูกสร้างขึ้น สิทธิอำนาจของพระเจ้าได้รับการแสดงออกในสิ่งทรงสร้างทั้งปวงที่แตกต่างไปจากมวลมนุษย์ ในสิ่งทั้งหลายที่ยิ่งใหญ่เฉกเช่นฟ้าสวรรค์ ดวงสว่าง ทะเล และแผ่นดิน และในสิ่งที่มีขนาดเล็กพอกันกับสัตว์และนกทั้งหลาย ตลอดจนแมลงและจุลินทรีย์ทุกจำพวก รวมถึงแบคทีเรียต่างๆ ที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า  แต่ละสิ่งได้รับมอบชีวิตจากพระวจนะของพระผู้สร้าง แต่ละสิ่งเพิ่มจำนวนอย่างแพร่หลายเนื่องแต่พระวจนะของพระผู้สร้าง และแต่ละสิ่งดำรงชีวิตภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้างเนื่องแต่พระวจนะของพระองค์  ถึงแม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะไม่ได้รับลมปราณของพระผู้สร้าง แต่ก็ยังคงแสดงให้เห็นพลังชีวิตที่พระผู้สร้างประทานแก่พวกมันผ่านทางรูปแบบและโครงสร้างที่แตกต่างกันของตน ถึงแม้ว่าส่งเหล่านี้จะไม่ได้รับความสามารถในการพูดที่พระผู้สร้างประทานแก่มวลมนุษย์ แต่ต่างก็ได้รับหนทางในการแสดงออกถึงชีวิตที่พระผู้สร้างประทานให้ ซึ่งต่างไปจากภาษาของมนุษย์  สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่เพียงมอบพลังชีวิตให้แก่วัตถุที่จับต้องได้ซึ่งดูเหมือนไม่เปลี่ยนแปลงเพื่อที่พวกมันจะไม่มีวันปลาสนาการไปเท่านั้น แต่พระองค์ยังประทานสัญชาตญาณในการสืบพันธุ์และทวีจำนวนให้แก่สิ่งมีชีวิตทุกสิ่งอีกด้วย เพื่อให้พวกมันไม่มีวันอันตรธานไป และเพื่อให้ส่งต่อธรรมบัญญัติและหลักธรรมแห่งการอยู่รอดที่พระผู้สร้างได้ทรงประสิทธิ์ประสาทให้แก่พวกมันไปสู่รุ่นต่อรุ่น  ลักษณะที่พระผู้สร้างทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์นั้นไม่ได้ยึดติดตายตัวกับมุมมองแบบมหัพภาคหรือจุลภาค และไม่จำกัดอยู่กับรูปแบบอันใด พระองค์สามารถบัญชาการปฏิบัติงานของจักรวาลและถือครองอธิปไตยเหนือชีวิตและความตายของสรรพสิ่ง และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์สามารถยักย้ายทุกสรรพสิ่งให้รับใช้พระองค์ พระองค์สามารถบริหารจัดการกลไกการทำงานทั้งหมดของภูเขา แม่น้ำ และทะเลสาบ และปกครองทุกสิ่งภายในสิ่งเหล่านั้น และที่เหนือไปกว่านั้น พระองค์สามารถจัดเตรียมสิ่งที่สรรพสิ่งจำเป็นต้องมี  นี่คือการสำแดงสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างท่ามกลางทุกสรรพสิ่งที่นอกเหนือไปจากมวลมนุษย์  การสำแดงเช่นนี้ไม่ได้เป็นไปภายในระยะเวลาเพียงชั่วชีวิตหนึ่งเท่านั้น แต่จะไม่มีวันยุติ ไม่หยุดพัก และไม่สามารถถูกบุคคลหรือสิ่งอันใดมาปรับเปลี่ยนหรือทำให้เสียหายได้ อีกทั้งไม่สามารถถูกบุคคลหรือสิ่งอันใดมาเพิ่มเติมหรือลดได้—เพราะไม่มีสิ่งใดสามารถแทนที่พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างได้ และดังนั้นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจึงไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดมาแทนที่ และไม่มีสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดสามารถครอบครอง  จงดูบรรดาทูตสื่อสารและทูตสวรรค์ของพระเจ้าเป็นตัวอย่าง  พวกเขาไม่มีฤทธานุภาพของพระเจ้า และยิ่งไม่มีสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และสาเหตุที่ไม่มีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าก็เป็นเพราะพวกเขาไม่มีแก่นแท้ของพระผู้สร้าง  สิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้าง อาทิ ทูตสื่อสารและทูตสวรรค์ของพระเจ้านั้น ถึงแม้จะสามารถทำบางสิ่งบางอย่างแทนพระเจ้าได้ แต่ก็ไม่สามารถเป็นพระเจ้า  ถึงแม้จะมีพลังอำนาจบางอย่างที่มนุษย์ไม่มี แต่พวกเขาก็ไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า พวกเขาไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้าในการที่จะสร้างสรรพสิ่ง ในการบัญชาสรรพสิ่ง และในการถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่ง  ดังนั้นเอกลักษณ์ของพระเจ้าจึงไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดแทนที่ และในทำนองเดียวกัน สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าก็ไม่สามารถถูกสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดแทนที่  ในพระคัมภีร์ เจ้าเคยอ่านเรื่องทูตสื่อสารคนใดของพระเจ้าสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาหรือไม่?  เหตุใดพระเจ้าจึงไม่ส่งทูตสื่อสารหรือทูตสวรรค์ของพระองค์ไปสร้างสรรพสิ่ง?  นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า และดังนั้นจึงไม่มีความสามารถที่จะใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้า  พวกเขาล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้างและอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างเช่นเดียวกับสิ่งทรงสร้างทั้งปวง และดังนั้น ในหนทางเดียวกันนี้ พระผู้สร้างก็คือพระเจ้าของพวกเขาและองค์อธิปัตย์ของพวกเขาเช่นกัน  ท่ามกลางพวกเขาแต่ละองค์—ไม่ว่าพวกเขาจะสูงศักดิ์หรือต่ำต้อย มีอำนาจยิ่งใหญ่หรือน้อยนิด—ก็ไม่มีสักองค์เดียวที่สามารถเลิศล้ำเกินสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้ และดังนั้นจึงไม่มีสักองค์เดียวท่ามกลางพวกเขาที่สามารถแทนที่พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง  พวกเขาจะไม่มีวันถูกเรียกว่าพระเจ้า และจะไม่มีวันสามารถกลายเป็นพระผู้สร้าง  เหล่านี้คือความจริงและข้อเท็จจริงที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้!

โดยผ่านทางการสามัคคีธรรมข้างต้น พวกเราสามารถยืนยันได้ดังต่อไปนี้หรือไม่ว่า มีเพียงพระผู้สร้างและองค์ปกครองแห่งสรรพสิ่ง พระองค์ผู้ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์และฤทธานุภาพอันทรงเอกลักษณ์เท่านั้น ที่สามารถได้รับการเรียกขานว่าพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์พระองค์เองได้?  ณ จุดนี้ พวกเจ้าอาจรู้สึกว่าคำถามเช่นนี้ลุ่มลึกเกินไป  ในชั่วขณะนี้พวกเจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ และไม่สามารถล่วงรู้แก่นแท้ภายใน และดังนั้นสำหรับตอนนี้ พวกเจ้าจึงรู้สึกว่ายากที่จะตอบ  เมื่อเป็นเช่นนั้น เราจะทำการสามัคคีธรรมของเราต่อไป ต่อจากนี้ เราจะเปิดโอกาสให้พวกเจ้าเห็นกิจการที่แท้จริงจากแง่มุมมากมายแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพที่พระเจ้าทรงเป็นเจ้าของแต่เพียงพระองค์เดียว และด้วยเหตุนี้ เราจึงจะเปิดโอกาสให้พวกเจ้าเข้าใจ ซึ้งคุณค่า และรู้จักเอกลักษณ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง รวมทั้งสิ่งที่เป็นความหมายของสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าด้วย

2. พระเจ้าทรงใช้พระวจนะของพระองค์ทำพันธสัญญากับมนุษย์

ปฐมกาล 9:11-13  “เราจะตั้งพันธสัญญาของเราไว้กับพวกเจ้าว่าจะไม่ทำลายมนุษย์และสัตว์ทั้งปวงโดยให้น้ำท่วมอีก และจะไม่ให้มีน้ำมาท่วมทำลายโลกอีกต่อไป” พระเจ้าตรัสว่า “นี่แหละเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญา ซึ่งเราให้ไว้ระหว่างเรากับพวกเจ้า และกับสิ่งมีชีวิตทั้งปวงที่อยู่กับพวกเจ้าสืบไปทุกชั่วอายุ คือเราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก”

หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างสรรพสิ่ง สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างก็ได้รับการยืนยันและแสดงให้เห็นอีกครั้งในพันธสัญญาแห่งรุ้ง

มีการใช้และแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างท่ามกลางสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงอยู่เสมอ และพระองค์ไม่เพียงทรงปกครองชะตากรรมของทุกสรรพสิ่งเท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงปกครองมวลมนุษย์ซึ่งเป็นสิ่งทรงสร้างพิเศษที่พระองค์สร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง และเป็นสิ่งที่มีโครงสร้างชีวิตที่แตกต่างและดำรงอยู่ในรูปแบบชีวิตที่แตกต่างออกไปอีกด้วย  หลังจากที่ทรงสร้างสรรพสิ่งแล้ว พระผู้สร้างไม่ได้ทรงหยุดแสดงออกถึงสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์ สำหรับพระองค์แล้ว สิทธิอำนาจที่พระองค์ทรงใช้ถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งหมดนั้นได้เริ่มต้นอย่างเป็นกิจจะลักษณะเฉพาะเมื่อมวลมนุษย์ถือกำเนิดจากพระหัตถ์ของพระองค์อย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น  พระองค์ตั้งพระทัยที่จะบริหารจัดการมวลมนุษย์และปกครองมวลมนุษย์ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและได้รับมวลมนุษย์เอาไว้อย่างแท้จริง ได้รับมวลมนุษย์ที่สามารถปกครองทุกสิ่งได้ พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำให้มวลมนุษย์ดังกล่าวดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระองค์ และรู้จักและเชื่อฟังสิทธิอำนาจของพระองค์  ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงเริ่มแสดงสิทธิอำนาจของพระองค์อย่างเป็นกิจจะลักษณะท่ามกลางมนุษย์โดยใช้พระวจนะของพระองค์ และทรงเริ่มใช้สิทธิอำนาจของพระองค์เพื่อทำให้พระวจนะทั้งหลายของพระองค์เป็นจริง  แน่นอนว่าย่อมมีการแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าในทุกหนแห่งในระหว่างกระบวนการนี้ เราเพียงหยิบยกเอาตัวอย่างพิเศษที่รู้จักกันดีบางตัวอย่างเพื่อที่พวกเจ้าอาจเข้าใจและรู้จักเอกลักษณ์ของพระเจ้าและสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระองค์ได้จากตัวอย่างเหล่านี้

มีความคล้ายคลึงกันระหว่างบทตอนในปฐมกาล 9:11-13 กับบทตอนข้างต้นที่เกี่ยวกับบันทึกแห่งการสร้างโลกของพระเจ้า แต่กระนั้นก็ยังมีความแตกต่างกันอยู่อย่างหนึ่งเช่นกัน  สิ่งใดคือความคล้ายคลึงนั้น?  มีความคล้ายคลึงอยู่ในการใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อทำสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้ และมีความแตกต่างอยู่ตรงที่บทตอนที่อ้างถึงในที่นี้นั้นแสดงถึงการสนทนาที่พระเจ้าทรงมีกับมนุษย์ และในการสนทนานี้พระองค์ได้ทรงทำพันธสัญญาประการหนึ่งกับมนุษย์และตรัสบอกมนุษย์ถึงเนื้อความในพันธสัญญาดังกล่าว  พระเจ้าทรงสัมฤทธิ์การใช้สิทธิอำนาจในครั้งนี้ระหว่างที่พระองค์ตรัสสนทนากับมนุษย์ ซึ่งหมายความว่าก่อนการสร้างมวลมนุษย์ พระวจนะของพระเจ้าคือคำสอนและคำสั่งต่างๆ ที่ทรงมีแก่สิ่งทรงสร้างทั้งหลายที่พระองค์ตั้งพระทัยว่าจะสร้าง  แต่บัดนี้มีใครบางคนได้ฟังพระวจนะของพระเจ้า และดังนั้นพระวจนะของพระองค์จึงเป็นทั้งบทสนทนากับมนุษย์ และการเตือนสติและการตักเตือนมนุษย์ด้วย  ยิ่งไปกว่านั้น พระวจนะของพระเจ้ายังเป็นพระบัญชาที่แสดงถึงสิทธิอำนาจของพระองค์ และประกาศไปยังทุกสรรพสิ่ง

บทตอนนี้บันทึกการกระทำใดของพระเจ้าเอาไว้?  บทตอนนี้บันทึกพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์หลังจากที่พระองค์ทรงทำลายล้างโลกด้วยน้ำท่วม บทตอนนี้บอกมนุษย์ว่าพระเจ้าจะไม่ทรงบันดาลให้เกิดการทำลายล้างเช่นนั้นบนโลกอีก และว่าเพื่อให้บรรลุปลายทางเช่นนี้ พระเจ้าจึงทรงสร้างหมายสำคัญอย่างหนึ่ง  สิ่งใดคือหมายสำคัญนี้?  ในองค์พระคัมภีร์ระบุว่า “เราตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ และรุ้งนั้นจะเป็นเครื่องหมายแห่งพันธสัญญาระหว่างเรากับโลก”  เหล่านี้คือพระวจนะดั้งเดิมที่พระผู้สร้างมีกับมวลมนุษย์  ขณะที่พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านี้ ก็มีรุ้งปรากฏขึ้นแก่สายตาของมนุษย์ และยังคงอยู่ตรงนั้นมาจนถึงทุกวันนี้  ทุกคนเคยเห็นรุ้งดังกล่าว และเมื่อเจ้ามองเห็นรุ้ง เจ้ารู้หรือไม่ว่ารุ้งปรากฏขึ้นได้อย่างไร?  วิทยาศาสตร์ไม่สามารถพิสูจน์รุ้งหรือชี้ที่ตั้งของแหล่งกำเนิดของมัน หรือระบุตำแหน่งแห่งหนของรุ้งได้  นั่นเป็นเพราะรุ้งคือหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างพระผู้สร้างกับมนุษย์ มันไม่จำเป็นต้องใช้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น อีกทั้งมนุษย์ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนมันได้  รุ้งคือการดำรงคงอยู่แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างหลังจากที่พระองค์ตรัสพระวจนะของพระองค์  พระผู้สร้างทรงใช้วิธีการเฉพาะของพระองค์เองเพื่อที่จะทรงปฏิบัติตามสัญญาของพระองค์และพันธสัญญาที่พระองค์ทรงมีกับมนุษย์ และดังนั้นการที่พระองค์ทรงใช้รุ้งเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาที่พระองค์ทรงทำขึ้นนั้น จึงเป็นประกาศิตและธรรมบัญญัติจากสวรรค์ที่จะคงอยู่โดยไม่เปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของพระผู้สร้างหรือมวลมนุษย์ที่ทรงสร้าง  ธรรมบัญญัติอันไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้นี้ ต้องกล่าวว่าเป็นการสำแดงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างแท้จริงอีกครั้งหนึ่งหลังการสร้างสรรพสิ่งของพระผู้สร้าง และต้องกล่าวว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระผู้สร้างนั้นไร้ขีดจำกัด การที่พระองค์ทรงใช้รุ้งเป็นหมายสำคัญคือการดำเนินสืบเนื่องและแผ่ขยายสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  นี่คือพฤติการณ์อีกอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงกระทำโดยใช้พระวจนะของพระองค์ และเป็นหมายสำคัญแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับมนุษย์โดยใช้พระวจนะ  พระองค์ตรัสบอกมนุษย์ถึงสิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยแน่วแน่ว่าจะทำให้เกิดขึ้น และวิธีการที่จะทรงทำให้ลุล่วงและสัมฤทธิ์  ในหนทางนี้ เรื่องราวจึงได้ลุล่วงไปตามพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองฤทธานุภาพเช่นนี้ และในวันนี้ หลายพันปีหลังจากที่พระองค์ตรัสพระวจนะเหล่านี้ มนุษย์ยังคงสามารถมองดูรุ้งที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า  เนื่องจากพระวจนะเหล่านั้นที่พระเจ้าดำรัสไว้ สิ่งนี้จึงคงอยู่มาโดยไม่ปรับเปลี่ยนและไม่เปลี่ยนแปลงจนถึงวันนี้  ไม่มีผู้ใดสามารถทำให้รุ้งนี้หายไปได้ ไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติทั้งหลายของมันได้ และรุ้งย่อมดำรงอยู่ด้วยพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้  “พระเจ้าทรงดีงามเช่นเดียวกับพระวจนะของพระองค์ และพระวจนะของพระองค์จะสำเร็จลุล่วง และสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้สำเร็จลุล่วงนั้นจะคงอยู่ตลอดกาล”  พระวจนะดังกล่าวสำแดงตนไว้ ณ ที่นี้อย่างชัดเจน และนี่คือหมายสำคัญและลักษณะเฉพาะแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าอย่างชัดเจน  หมายสำคัญหรือลักษณะเฉพาะเช่นนี้ไม่มีอยู่หรือไม่อาจพบเห็นในสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใดๆ รวมทั้งไม่มีการพบเห็นในสิ่งมีชีวิตที่มิได้ทรงสร้างใดๆ  นี่เป็นของพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์เท่านั้น และแยกพระอัตลักษณ์และแก่นแท้ที่มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองออกจากอัตลักษณ์และแก่นแท้ของสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย  ในขณะเดียวกัน นี่ยังเป็นหมายสำคัญและลักษณะเฉพาะที่นอกจากพระเจ้าพระองค์เองแล้ว ไม่มีวันที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ จะสามารถทำให้เลิศล้ำกว่าได้

การที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญาของพระองค์กับมนุษย์เป็นพฤติการณ์ที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสิ่งที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะใช้สื่อสารข้อเท็จจริงกับมนุษย์และบอกมนุษย์ถึงน้ำพระทัยของพระองค์  เพื่อการนี้ พระองค์จึงทรงใช้วิธีการที่มีเอกลักษณ์ โดยใช้หมายสำคัญพิเศษเพื่อทำพันธสัญญากับมนุษย์ หมายสำคัญซึ่งเป็นสัญญาถึงพันธสัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้กับมนุษย์  ดังนั้นการทำพันธสัญญานี้เป็นเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่หรือไม่?  แล้วยิ่งใหญ่อย่างไร?  แน่นอนว่าสิ่งที่พิเศษเกี่ยวกับพันธสัญญามีดังนี้คือ  ไม่ใช่พันธสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างมนุษย์คนหนึ่งกับมนุษย์อีกคน หรือคนกลุ่มหนึ่งกับอีกกลุ่มหนึ่ง หรือประเทศหนึ่งกับอีกประเทศหนึ่ง แต่เป็นพันธสัญญาที่ทำขึ้นระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์ทั้งปวง และจะยังคงมีผลไปจนถึงวันที่พระผู้สร้างทรงล้มล้างทุกสิ่ง  ผู้ที่สร้างพันธสัญญานี้คือพระผู้สร้าง และผู้ธำรงรักษาพันธสัญญาไว้ก็คือพระผู้สร้างเช่นกัน  กล่าวสั้นๆ คือ ทั้งหมดของพันธสัญญาแห่งรุ้งที่ทำไว้กับมวลมนุษย์นี้ลุล่วงและสัมฤทธิ์ตามบทสนทนาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์ และยังคงเป็นเช่นนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้  สิ่งทรงสร้างทั้งหลายจะสามารถทำสิ่งอื่นใดได้อีกหรือ นอกจากนบนอบ เชื่อฟัง เชื่อ ซึ้งคุณค่า เป็นประจักษ์พยาน และสรรเสริญสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง?  เพราะไม่มีผู้ใดนอกจากพระเจ้าผู้ทรงเอกลักษณ์ที่มีฤทธานุภาพในการทำพันธสัญญาเช่นนั้น  การปรากฏของรุ้งครั้งแล้วครั้งเล่าคือการป่าวประกาศแก่มวลมนุษย์และร้องเรียกให้เขาหันมาสนใจพันธสัญญาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์  ในการปรากฏตัวอย่างต่อเนื่องของพันธสัญญาระหว่างพระผู้สร้างกับมวลมนุษย์นี้ สิ่งที่แสดงให้มวลมนุษย์ดูไม่ใช่รุ้งหรือตัวพันธสัญญาเอง แต่เป็นสิทธิอำนาจอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ของพระผู้สร้าง  การปรากฏของรุ้งที่เกิดขึ้นซ้ำๆ แสดงให้เห็นกิจการที่เป็นปาฏิหาริย์และยิ่งใหญ่ไพศาลของพระผู้สร้างในสถานที่อันซ่อนเร้นทั้งหลาย และในขณะเดียวกันก็เป็นภาพสะท้อนที่สำคัญยิ่งถึงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างที่จะไม่มีวันจางหายไป และจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง  นี่มิใช่การแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างอีกแง่มุมหนึ่งหรอกหรือ?

3. พรของพระเจ้า

ปฐมกาล 17:4-6  จงดู พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง เราจะทำให้เจ้าเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า

ปฐมกาล 18:18-19  แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา เพราะเรารู้จักเขา ว่าเขาจะกำชับลูกหลาน และครอบครัวที่สืบต่อมาของเขา ให้รักษาพระมรรคาของพระยาห์เวห์ ให้ทำความชอบธรรมและความยุติธรรม เพื่อพระยาห์เวห์จะประทานแก่อับราฮัม ตามที่พระองค์ตรัสไว้แก่เขา

ปฐมกาล 22:16-18  พระยาห์เวห์ตรัสว่า เราเองปฏิญาณว่า เพราะเจ้าทำอย่างนี้และไม่ได้หวงบุตรชายของเจ้า คือบุตรชายคนเดียวของเจ้า ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา

โยบ 42:12  และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว

รูปแบบและลักษณะเฉพาะอันทรงเอกลักษณ์แห่งถ้อยดำรัสของพระผู้สร้าง คือสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์และสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง

มีคนมากมายปรารถนาที่จะแสวงหาและได้รับพรจากพระเจ้า แต่ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถได้รับพรเหล่านี้ เพราะพระเจ้าทรงมีหลักธรรมของพระองค์เอง และทรงอวยพรมนุษย์ในหนทางของพระองค์เอง  สัญญาที่พระเจ้าทรงมีแก่มนุษย์ และความมากน้อยของพระคุณที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์ ถูกจัดสรรไปตามความคิดและการกระทำของมนุษย์  ดังนั้นพรของพระเจ้าแสดงให้เห็นสิ่งใด?  ผู้คนสามารถมองเห็นสิ่งใดในพรเหล่านี้?  ณ จุดนี้ พวกเรามาพักการเสวนาเกี่ยวกับประเภทของผู้คนที่พระเจ้าจะทรงอวยพร และหลักธรรมในการอวยพรมนุษย์ของพระเจ้าเอาไว้ก่อน แล้วมาดูการที่พระเจ้าทรงอวยพรมนุษย์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ของการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า จากมุมมองของการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าแทนเถิด

สี่บทตอนขององค์พระคัมภีร์ข้างต้นล้วนเป็นบันทึกเกี่ยวกับการอวยพรมนุษย์ของพระเจ้า  บทตอนเหล่านี้พรรณนาถึงผู้ที่ได้รับพรจากพระเจ้าอย่างละเอียด อาทิ โยบและอับราฮัม รวมทั้งสาเหตุที่พระเจ้าประทานพรของพระองค์ และสิ่งที่อยู่ในพรเหล่านี้  กระแสเสียงและรูปแบบแห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า และมุมมองและตำแหน่งที่พระองค์ตรัส เปิดโอกาสให้ผู้คนได้ซึ้งคุณค่าว่า องค์หนึ่งเดียวที่ประทานพรและผู้ที่รับพรดังกล่าวนั้นมีอัตลักษณ์ สถานะ และแก่นแท้ที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด  กระแสเสียงและรูปแบบของถ้อยดำรัสเหล่านี้ และตำแหน่งจากที่มีการตรัสถ้อยดำรัสเหล่านี้ออกมา คือเอกลักษณ์ประจำองค์ของพระเจ้าผู้ครองพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง  พระองค์ทรงมีสิทธิอำนาจและอิทธิฤทธิ์ รวมทั้งพระเกียรติของพระผู้สร้าง และพระบารมีที่จะไม่ยอมทนต่อความสงสัยของมนุษย์คนใด

ก่อนอื่น พวกเรามาดูปฐมกาล 17:4-6 กันเถิด ความว่า “จงดู พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย ชื่อของเจ้าจะไม่ใช่อับรามอีกต่อไป เจ้าจะมีชื่อใหม่คืออับราฮัม เพราะเราให้เจ้าเป็นบิดาของประชาชาติมากมาย เราจะทำให้เจ้ามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง เราจะทำให้เจ้าเป็นชนหลายชาติ และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเจ้า”  พระวจนะเหล่านี้คือพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัม ทั้งยังเป็นการที่พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมว่า พระเจ้าจะทรงทำให้อับราฮัมเป็นบิดาของประชาชาติทั้งหลาย จะทรงทำให้เขามีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง และจะทรงทำให้ชนหลายชาติถือกำเนิดจากเขา และกษัตริย์หลายองค์จะเกิดมาจากเขา  เจ้ามองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  เจ้าเห็นว่าสิทธิอำนาจดังกล่าวเป็นเช่นไร?  เจ้ามองเห็นแง่มุมใดของแก่นแท้แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า?  จากการอ่านพระวจนะเหล่านี้อย่างตั้งใจ ย่อมไม่ยากเลยที่จะค้นพบว่าสิทธิอำนาจและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าถูกเผยให้เห็นอย่างชัดเจนในรูปแบบการใช้คำในถ้อยดำรัสของพระเจ้า  ตัวอย่างเช่น เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “พันธสัญญาของเราอยู่กับเจ้า เจ้าจะ… เราให้เจ้าเป็น… เราจะทำให้เจ้า…”  วลีเช่น “เจ้าจะ” และ “เราจะ” ซึ่งเป็นการใช้คำในรูปแบบบอกเล่าที่แสดงถึงพระอัตลักษณ์และสิทธิอำนาจของพระเจ้านั้น ในแง่มุมหนึ่งเป็นการบ่งชี้ให้เห็นความสัตย์ซื่อของพระผู้สร้าง และในอีกแง่หนึ่ง เหล่านี้เป็นคำพิเศษที่พระเจ้าซึ่งครองพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง ทรงใช้—ทั้งยังเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์ตามแบบแผนทั่วไปด้วย  หากใครบางคนกล่าวว่าพวกเขาหวังจะให้อีกบุคคลหนึ่งมีพงศ์พันธุ์มากมายยิ่ง จะสร้างประชาชาติจากเขา และจะให้กษัตริย์หลายองค์เกิดจากเขา เช่นนั้นแล้ว นั่นย่อมเป็นความปรารถนาอย่างหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่สัญญาหรือพร  ดังนั้นผู้คนจึงไม่กล้าพูดว่า “ฉันจะทำให้ธอเป็นเช่นนั้นเช่นนี้ เธอจะเป็นเช่นนั้นเช่นนี้” เพราะพวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่มีพลังอำนาจเช่นนั้น ความปรารถนาแบบนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา และต่อให้พวกเขากล่าวเช่นนั้น คำพูดของพวกเขาก็ย่อมจะเหลวไหลว่างเปล่าที่มีความอยากและความทะเยอทะยานของพวกเขาคอยขับเคลื่อน  มีใครบ้างที่กล้าพูดด้วยน้ำเสียงที่ใหญ่โตเช่นนั้นหากพวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถทำความปรารถนาของตนให้สำเร็จลุล่วงได้?  ทุกคนปรารถนาดีต่อพงศ์พันธุ์ของตนเอง และหวังว่าพวกเขาจะเป็นเลิศและสุขสำราญกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่  “หากพวกเขาคนใดคนหนึ่งได้เป็นจักรพรรดิก็ย่อมจะเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่!  หากคนเราได้เป็นเจ้าเมือง นั่นย่อมจะดีเช่นกัน—แค่ตราบใดที่พวกเขาได้เป็นคนสำคัญเท่านั้น!”  เหล่านี้คือ ความปรารถนาของผู้คนทุกคน แต่ผู้คนก็ทำได้เพียงอวยพรพงศ์พันธุ์ของพวกเขาเท่านั้น และไม่สามารถทำให้สัญญาอันใดของพวกเขาลุล่วงหรือกลายเป็นจริงขึ้นมาได้  ทุกคนรู้ชัดในหัวใจของพวกเขาว่าพวกเขาไม่มีพลังอำนาจที่จะสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวพวกเขาอยู่นอกเหนือการควบคุมของพวกเขา ดังนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถบังคับบัญชาชะตากรรมของผู้อื่นได้อย่างไร?  สาเหตุที่พระเจ้าสามารถตรัสพระวจนะเหล่านี้ได้ก็เป็นเพราะพระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจเช่นนั้น และสามารถทำให้สัญญาทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำกับมนุษย์สำเร็จลุล่วงและเป็นจริงได้ และสามารถทำให้พรทั้งหมดที่พระองค์ประทานแก่มนุษย์กลายเป็นจริง  มนุษย์ถูกพระเจ้าสร้างขึ้นมา และการที่พระเจ้าจะทรงทำให้ใครสักคนมีพงศ์พันธุ์อย่างมากมายยิ่งย่อมจะง่ายเหมือนของเด็กเล่น การทำให้พงศ์พันธุ์ของใครสักคนเจริญรุ่งเรืองนั้นพึงต้องใช้พระวจนะของพระองค์เพียงคำเดียวเท่านั้น  พระองค์ไม่มีวันต้องทรงพระราชกิจจนหลั่งพระเสโทเพื่อสิ่งนั้น หรือต้องใช้ความคิด หรือวิตกกังวลกับมัน นี่คือฤทธานุภาพของพระเจ้าโดยแท้ สิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้

หลังจากที่ได้อ่านบทตอนที่ว่า “แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา” ในปฐมกาล 18:18 แล้วนั้น พวกเจ้าสามารถรู้สึกถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถรับรู้ถึงความเหนือธรรมดาของพระผู้สร้างหรือไม่?  พวกเจ้าสามารถรับรู้ถึงความยิ่งใหญ่สูงสุดของพระผู้สร้างหรือไม่?  พระวจนะของพระเจ้านั้นแน่แท้  พระเจ้าตรัสพระวจนะเช่นนี้มิใช่เพราะ หรือเพื่อแสดงให้เห็นความมั่นใจในความสำเร็จของพระองค์ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พระวจนะเหล่านี้กลับเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจแห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า และเป็นพระบัญชาที่ทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วง  ในที่นี้มีอยู่สองประโยคที่พวกเจ้าควรให้ความสนใจ  เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “แน่ทีเดียวอับราฮัมจะเป็นประชาชาติใหญ่โตและมีกำลังมาก และประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้รับพรก็เพราะเขา” นั้น มีสิ่งใดที่กำกวมอยู่ในพระวจนะเหล่านี้หรือไม่?  มีสิ่งใดที่แสดงถึงความกังวลหรือไม่?  มีสิ่งใดที่แสดงถึงความเกรงกลัวหรือไม่?  เป็นเพราะคำว่า “แน่ทีเดียว” และคำว่า “จะได้” ในถ้อยดำรัสของพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ที่มีเฉพาะในมนุษย์และมักจะแสดงออกบ่อยครั้งในตัวเขา จึงไม่เคยมีความสัมพันธ์อันใดกับพระผู้สร้างเลย  ไม่มีผู้ใดจะกล้าใช้คำพูดเช่นนี้เวลาส่งความปรารถนาดีให้แก่ผู้อื่น ไม่มีผู้ใดจะกล้าอวยพรผู้อื่นด้วยความแน่ใจเช่นนี้ว่าจะมอบชนชาติที่ยิ่งใหญ่และทรงอำนาจให้แก่พวกเขา หรือสัญญาว่าประชาชาติทั้งปวงบนแผ่นดินโลกจะได้รับการอวยพรอยู่ภายในตัวเขา  ยิ่งพระวจนะของพระเจ้าแน่นอนมากเท่าใด พระวจนะก็ยิ่งพิสูจน์บางอย่างมากเท่านั้น—แล้วบางอย่างนั้นคือสิ่งใด?  พระวจนะพิสูจน์ว่าพระเจ้ามีสิทธิอำนาจถึงเพียงนั้น ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์สามารถทำให้สิ่งเหล่านี้สำเร็จลุล่วงได้ และการที่สิ่งเหล่านี้จะสำเร็จลุล่วงก็มิอาจหลีกเลี่ยงได้  ในพระหทัยของพระองค์ พระเจ้าแน่พระทัยในทุกสิ่งที่พระองค์ทรงอวยพรอับราฮัม ไม่ทรงมีความลังเลแม้แต่น้อย  ยิ่งไปกว่านั้น ทั้งหมดนี้ย่อมจะสำเร็จลุล่วงตามพระวจนะของพระองค์ และไม่มีกำลังบังคับใดที่จะสามารถปรับเปลี่ยน ขัดขวาง ลดทอน หรือรบกวนการลุล่วงของมันได้ ไม่ว่าจะเกิดสิ่งอื่นใดขึ้น ไม่มีสิ่งใดจะสามารถเพิกถอนหรือมีอิทธิพลเหนือการทำให้พระวจนะของพระเจ้าลุล่วงและสำเร็จได้  นี่คืออิทธิฤทธิ์แห่งพระวจนะที่ดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระผู้สร้างโดยแท้ และเป็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างที่ไม่ยอมให้มนุษย์ปฏิเสธ!  เมื่อได้อ่านพระวจนะเหล่านี้แล้ว เจ้ายังรู้สึกสงสัยอยู่หรือไม่?  พระวจนะเหล่านี้ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และมีฤทธานุภาพ บารมี และสิทธิอำนาจอยู่ในพระวจนะของพระเจ้า  อิทธิฤทธิ์และสิทธิอำนาจเช่นนี้ และการที่ข้อเท็จจริงย่อมสำเร็จลุล่วงอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้นั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ สามารถสัมฤทธิ์ได้ และไม่มีสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ สามารถทำได้เหนือกว่า  มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถสนทนากับมวลมนุษย์ด้วยกระแสเสียงและน้ำเสียงเช่นนั้น และข้อเท็จจริงต่างๆ ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า สัญญาของพระองค์มิใช่คำพูดที่ว่างเปล่า หรือคำอวดตัวที่ไร้สาระ แต่เป็นการแสดงออกถึงสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ที่ไม่มีบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งอันใดสามารถทำให้เลิศล้ำกว่าได้

สิ่งใดคือความแตกต่างระหว่างพระวจนะที่พระเจ้าตรัสกับคำพูดที่มนุษย์กล่าว?  เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะที่พระเจ้าตรัสเหล่านี้ เจ้ารับรู้ถึงอิทธิฤทธิ์แห่งพระวจนะของพระเจ้าและสิทธิอำนาจของพระเจ้า  แล้วเจ้ารู้สึกอย่างไรเมื่อเจ้าได้ยินผู้คนกล่าวคำพูดเช่นนี้?  เจ้าคิดว่าพวกเขาโอหังและอวดตัวอย่างที่สุด เป็นผู้คนที่กำลังทำให้ตัวเองขายหน้าต่อหน้าธารกำนัลหรือไม่?  ในเมื่อพวกเขาไม่มีพลังอำนาจนี้ พวกเขาจึงไม่ได้ครองสิทธิอำนาจเช่นนี้ และดังนั้นพวกเขาจึงไม่สามารถสัมฤทธิ์สิ่งทั้งหลายเช่นนี้อย่างสิ้นเชิง  การที่พวกเขามั่นใจในคำสัญญาของพวกเขาเหลือเกินแสดงให้เห็นเพียงความไม่ระมัดระวังในการให้ความเห็นของพวกเขาเท่านั้น  หากใครบางคนกล่าวคำพูดเช่นนี้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะโอหังและมั่นใจเกินขนาดอย่างไม่ต้องสงสัย และพวกเขาย่อมจะเผยตัวเองว่าเป็นตัวอย่างตามแบบฉบับแห่งอุปนิสัยของหัวหน้าทูตสวรรค์  พระวจนะเหล่านี้มาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า เจ้ารู้สึกถึงความโอหังในที่นี้บ้างหรือไม่?  เจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นเพียงเรื่องตลกหรือไม่?  พระวจนะของพระเจ้าคือสิทธิอำนาจ พระวจนะของพระเจ้าคือข้อเท็จจริง และก่อนที่พระวจนะจะถูกดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์ ซึ่งหมายความว่าขณะที่พระองค์กำลังตัดสินพระทัยว่าจะทำบางสิ่งบางอย่าง เมื่อนั้นสิ่งนั้นก็ได้สำเร็จลุล่วงไปแล้ว  อาจกล่าวได้ว่าทั้งหมดที่พระเจ้าได้ตรัสกับอับราฮัมคือพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัม และเป็นสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัม  สัญญานี้คือข้อเท็จจริงที่ยอมรับกันทั่วไป ทั้งยังเป็นข้อเท็จจริงที่สำเร็จลุล่วงไปแล้ว และข้อเท็จจริงเหล่านี้ก็ค่อยๆ ลุล่วงในพระดำริของพระเจ้าอย่างสอดคล้องกับแผนการของพระเจ้า  ดังนั้น การที่พระเจ้าตรัสพระวจนะเช่นนั้นจึงไม่ได้หมายความว่าพระองค์มีพระอุปนิสัยที่โอหัง เพราะพระเจ้าสามารถสัมฤทธิ์สิ่งดังกล่าวได้  พระองค์ทรงมีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจนี้ และสามารถที่จะสัมฤทธิ์การกระทำเหล่านี้โดยบริบูรณ์ และการสำเร็จลุล่วงการกระทำเหล่านี้ก็อยู่ภายในขอบเขตความสามารถของพระองค์ทั้งสิ้น  เมื่อพระวจนะเช่นนี้ถูกดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ก็ย่อมเป็นการแสดงออกและเผยให้เห็นพระอุปนิสัยที่แท้จริงของพระเจ้า เป็นการเปิดเผยและสำแดงแก่นแท้และสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และไม่มีสิ่งใดเป็นข้อพิสูจน์พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างได้อย่างถูกต้องเหมาะสมไปกว่านี้  ลักษณะ กระแสเสียง และรูปแบบการใช้คำในถ้อยดำรัสเช่นนี้คือเครื่องหมายแห่งพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างโดยแท้ และเป็นดังการแสดงออกซึ่งพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าเอง ในพระวจนะเหล่านี้ไม่มีการเสแสร้ง ไม่มีมลทิน และเป็นการแสดงให้เห็นแก่นแท้และสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างเต็มที่และบริบูรณ์  สำหรับสรรพสิ่งทรงสร้างทั้งหลายนั้น พวกเขาไม่มีทั้งสิทธิอำนาจนี้หรือแก่นแท้นี้ และพวกเขายิ่งไม่มีพลังอำนาจที่พระเจ้าประทานให้  หากมนุษย์สำแดงพฤติกรรมดังกล่าวได้ เช่นนั้นแล้ว แน่นอนที่สุดว่าอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเขาย่อมจะระเบิดออกมา และที่รากเหง้าของการนี้ก็จะเกิดผลกระทบวุ่นวายจากความโอหังกับความทะเยอทะยานอันลำพองของมนุษย์ และจะเกิดการเปิดโปงเจตนาอันมุ่งร้ายที่ไม่ใช่ของใครอื่นนอกจากมารซาตาน ซึ่งปรารถนาที่จะหลอกลวงผู้คนและชักจูงพวกเขาให้ทรยศพระเจ้า  พระเจ้าทรงมองสิ่งที่ถูกเปิดเผยออกมาด้วยการใช้ภาษาเช่นนั้นว่าอย่างไร?  พระเจ้าย่อมจะตรัสว่าเจ้าปรารถนาที่จะช่วงชิงพื้นที่ของพระองค์ และเจ้าปรารถนาที่จะปลอมเป็นพระองค์และแทนที่พระองค์  เมื่อเจ้าเลียนแบบกระแสเสียงแห่งถ้อยดำรัสของพระเจ้า เจตนาของเจ้าคือการแทนที่พระเจ้าในหัวใจของผู้คน เป็นการยึดเอามวลมนุษย์ที่เป็นของพระเจ้าโดยชอบอยู่แล้ว นี่คือซาตานโดยแท้ เหล่านี้คือการกระทำแห่งพงศ์พันธุ์ของหัวหน้าทูตสวรรค์ ที่สวรรค์มิอาจทนยอมรับได้!  มีผู้ใดในหมู่พวกเจ้าที่เคยเลียนแบบพระเจ้าในหนทางใดหนทางหนึ่งโดยกล่าวคำพูดไม่กี่คำ ด้วยเจตนาที่จะหลอกลวงและชี้นำผู้คนในทางที่ผิด และทำให้พวกเขารู้สึกราวกับว่าคำพูดและการกระทำของบุคคลผู้นี้มีสิทธิอำนาจและอิทธิฤทธิ์ของพระเจ้า ราวกับว่าแก่นแท้และอัตลักษณ์ของบุคคลผู้นี้มีเอกลักษณ์ และกระทั่งราวกับว่าน้ำเสียงในคำพูดของบุคคลผู้นี้คล้ายคลึงกับพระกระแสเสียงของพระเจ้าหรือไม่?  พวกเจ้าเคยทำบางสิ่งเยี่ยงนี้หรือไม่?  ในวาทะของพวกเจ้า พวกเจ้าเคยเลียนแบบพระกระแสเสียงของพระเจ้า พร้อมอากัปกิริยาที่กล่าวอ้างกันว่าแสดงถึงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และสิ่งที่พวกเจ้าคาดเดาเอาว่าเป็นอิทธิฤทธิ์และสิทธิอำนาจหรือไม่?  พวกเจ้าส่วนใหญ่กระทำการหรือวางแผนที่จะกระทำการในหนทางเช่นนั้นอยู่บ่อยครั้งหรือไม่?  บัดนี้เมื่อพวกเจ้ามองเห็น ล่วงรู้ และรู้จักสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างอย่างแท้จริง และย้อนกลับไปมองสิ่งที่พวกเจ้าเคยทำ และสิ่งที่พวกเจ้าเคยเผยให้เห็นเกี่ยวกับตัวเอง พวกเจ้ารู้สึกรังเกียจหรือไม่?  พวกเจ้าตระหนักถึงความต่ำศักดิ์และความไร้ยางอายของตนเองหรือไม่?  เมื่อได้ชำแหละอุปนิสัยและแก่นแท้ของผู้คนเช่นนั้นแล้ว สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าพวกเขาคือลูกหลานที่ถูกสาปของนรก?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าทุกคนที่ทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นกำลังนำความอัปยศมาสู่ตัวพวกเขาเอง?  พวกเจ้าตระหนักถึงความร้ายแรงแห่งธรรมชาติของมันหรือไม่?  แล้วมันร้ายแรงเพียงใด?  เจตนาของผู้คนที่กระทำการในหนทางนี้ก็คือเพื่อเลียนแบบพระเจ้า  พวกเขาต้องการที่จะเป็นพระเจ้า ที่จะทำให้ผู้คนนมัสการพวกเขาเช่นพระเจ้า  พวกเขาต้องการที่จะลบล้างพื้นที่ของพระเจ้าในหัวใจของผู้คน และกำจัดพระเจ้าผู้ทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ และพวกเขาทำการนี้เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายในการควบคุมผู้คน กลืนกินผู้คน และครอบครองผู้คน  ทุกคนมีความอยากได้อยากมีและความทะเยอทะยานเยี่ยงนี้ในจิตใต้สำนึก และทุกคนดำรงชีวิตอยู่ในแก่นแท้ที่เสื่อมทรามเยี่ยงซาตานเช่นนี้ อยู่ในธรรมชาติเยี่ยงซาตานที่ทำให้พวกเขาเป็นปฏิปักษ์กับพระเจ้า ทรยศพระเจ้า และปรารถนาที่จะกลายเป็นพระเจ้า  หลังจากการสามัคคีธรรมของเราในหัวข้อเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า พวกเจ้ายังคงปรารถนาหรือใฝ่ฝันที่จะเลียนแบบหรือปลอมเป็นพระเจ้าอยู่หรือไม่?  พวกเจ้ายังคงอยากเป็นพระเจ้าอยู่หรือไม่?  พวกเจ้ายังคงปรารถนาที่จะกลายเป็นพระเจ้าอยู่หรือไม่?  สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นมิอาจมีมนุษย์คนใดเลียนแบบได้ และพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้าก็มิอาจมีมนุษย์คนใดปลอมแปลงได้  ถึงแม้ว่าเจ้าจะสามารถเลียนแบบพระกระแสเสียงที่พระเจ้าใช้ตรัส แต่เจ้าก็ไม่สามารถเลียนแบบแก่นแท้ของพระเจ้าได้  ถึงแม้เจ้าจะสามารถยืนอยู่ในที่ของพระเจ้าและปลอมเป็นพระเจ้า แต่เจ้าจะไม่มีวันสามารถทำสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะทำ และจะไม่มีวันสามารถปกครองและบัญชาสรรพสิ่งได้  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เจ้าจะเป็นสิ่งทรงสร้างเล็กๆ สิ่งหนึ่งตลอดไป และไม่ว่าทักษะและความสามารถของเจ้าจะยิ่งใหญ่เพียงใด ไม่ว่าเจ้าจะมีพรสวรรค์สักกี่อย่าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลที่เป็นเจ้าก็อยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง  ถึงแม้เจ้าจะสามารถกล่าวคำที่แข็งกร้าวอยู่บ้าง แต่นี่ก็ไม่สามารถแสดงให้เห็นว่าเจ้ามีแก่นแท้ของพระผู้สร้าง หรือแสดงว่าเจ้ามีสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าคือแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เอง  สิ่งเหล่านี้ไม่ได้เกิดจากการเรียนรู้หรือเพิ่มเติมได้จากภายนอก แต่เป็นแก่นแท้ตามธรรมชาติของพระเจ้าพระองค์เอง  และดังนั้นสัมพันธภาพระหว่างพระผู้สร้างกับสรรพสิ่งทรงสร้างจึงไม่มีวันปรับเปลี่ยนได้  ในฐานะหนึ่งในสรรพสิ่งทรงสร้าง มนุษย์ต้องรักษาตำแหน่งของเขาเอง และประพฤติตนอย่างมีสติ  จงเฝ้าระวังรักษาสิ่งที่พระผู้สร้างไว้วางพระทัยมอบหมายแก่เจ้าตามหน้าที่  จงอย่ากระทำการล้ำเส้น หรือทำสิ่งที่อยู่นอกเหนือความสามารถของเจ้า หรือที่พระเจ้าทรงเกลียดชัง  จงอย่าพยายามเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือกลายเป็นยอดมนุษย์ หรือเหนือสิ่งอื่นใด จงอย่าพยายามที่จะกลายเป็นพระเจ้า  นี่คือสิ่งที่ผู้คนไม่ควรอยากจะเป็น  การพยายามเป็นผู้ยิ่งใหญ่หรือยอดมนุษย์นั้นไร้สาระ  การเสาะแสวงที่จะกลายเป็นพระเจ้าย่อมเป็นที่เสื่อมเสียยิ่งกว่า ทั้งน่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่น  สิ่งที่น่าชมเชยและสิ่งที่สิ่งทรงสร้างทั้งหลายควรจะยึดปฏิบัติยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็คือ การกลายเป็นสิ่งทรงสร้างที่แท้จริง นี่คือเป้าหมายเดียวเท่านั้นที่ทุกคนควรไล่ตามเสาะหา

สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยกาลเวลา พื้นที่ หรือภูมิประเทศ และสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างนั้นมิอาจคิดคำนวณได้

พวกเรามาดูปฐมกาล 22:17-18 กันเถิด  นี่คืออีกบทตอนหนึ่งที่พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสไว้ ในบทตอนนี้พระองค์ตรัสกับอับราฮัมว่า “ดังนั้นเราจะอวยพรเจ้าแน่ เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล เชื้อสายของเจ้าจะได้ประตูเมืองแห่งศัตรูทั้งหลายของเขาเป็นกรรมสิทธิ์ ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา”  พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมหลายครั้งว่าให้เชื้อสายของเขาเพิ่มทวีขึ้น ว่าแต่ว่าพวกเขาจะเพิ่มไปถึงขอบเขตใด?  ถึงขอบเขตที่กล่าวไว้ในองค์พระคัมภีร์ว่า “ดังดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล”  นี่หมายความว่าพระเจ้าปรารถนาที่จะประทานหน่อเนื้อเชื้อไขแก่อับราฮัมเป็นจำนวนมากเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า และเหลือเฟือเหมือนเม็ดทรายบนฝั่งทะเล  พระเจ้าตรัสโดยใช้โวหารภาพพจน์ และจากโวหารภาพพจน์นี้ก็ไม่ยากที่จะมองเห็นว่าพระเจ้าจะไม่ประทานพงศ์พันธุ์ให้แก่อับราฮัมเพียงหนึ่ง สอง หรือเพียงหลายพันคน แต่เป็นจำนวนที่นับไม่ถ้วน มากพอที่พวกเขาจะกลายเป็นมวลชนแห่งประชาชาติ เพราะพระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัมไว้ว่าเขาจะได้เป็นบิดาแห่งประชาชาติมากมาย  ทั้งนี้ จำนวนนั้นตัดสินโดยมนุษย์ หรือว่าตัดสินโดยพระเจ้า?  มนุษย์สามารถควบคุมได้หรือว่าเขาจะมีพงศ์พันธุ์เท่าใด?  การนี้ขึ้นอยู่กับเขากระนั้นหรือ?  นี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ด้วยซ้ำว่าเขาจะมีพงศ์พันธุ์หลายคนหรือไม่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจำนวนที่มากมายดัง “ดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล”  มีผู้ใดไม่ปรารถนาให้เชื้อสายของตนมีจำนวนมากมายเหมือนดวงดาว?  น่าเสียดายที่มิใช่ว่าสิ่งทั้งหลายจะออกมาในหนทางที่เจ้าต้องการเสมอไป  ไม่ว่ามนุษย์จะเปี่ยมด้วยทักษะหรือความสามารถเพียงใด การนี้ก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเขา ไม่มีผู้ใดสามารถยืนอยู่นอกสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ได้  พระองค์ทรงอนุญาตให้เจ้ามากเพียงใด เจ้าก็จะมีมากเพียงเท่านั้น กล่าวคือ หากพระเจ้าประทานแก่เจ้าแต่น้อย เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะไม่มีวันมีมาก และหากพระเจ้าประทานแก่เจ้ามากมาย ก็ย่อมไม่มีประโยชน์ที่จะไม่พอใจว่าเจ้ามีมาก  นี่ไม่ใช่เช่นนี้หรอกหรือ?  ทั้งหมดนี้ขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์!  มนุษย์มีพระเจ้าปกครอง และไม่มีผู้ใดได้รับการยกเว้น!

เมื่อพระเจ้าตรัสว่า “เราจะทวีเชื้อสายของเจ้าให้มากขึ้น” นี่คือพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับอับราฮัม และมันก็จะสำเร็จลุล่วงไปจนชั่วกัลปาวสานดังเช่นพันธสัญญาแห่งรุ้ง และยังเป็นสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัมเช่นกัน  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีคุณสมบัติและมีความสามารถที่จะทำให้สัญญานี้เป็นจริงได้  ไม่ว่ามนุษย์จะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่ามนุษย์จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่ามนุษย์จะมีทรรศนะหรือคำนึงถึงมันอย่างไรก็ตาม ทั้งหมดนี้จะลุล่วงตามพระวจนะที่พระเจ้าตรัสอย่างไม่ผิดเพี้ยน  พระวจนะของพระเจ้าจะไม่มีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในเจตจำนงหรือมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ และจะไม่มีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงในตัวบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งอันใด  สรรพสิ่งอาจปลาสนาการไป แต่พระวจนะของพระเจ้าจะยังคงอยู่ตลอดกาล  ในความเป็นจริงแล้ว วันที่ทุกสิ่งปลาสนาการไปนั้นย่อมเป็นวันที่พระวจนะของพระเจ้าลุล่วงอย่างบริบูรณ์โดยแท้ เพราะพระองค์คือพระผู้สร้าง พระองค์ทรงครองสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง ฤทธานุภาพของพระผู้สร้าง และพระองค์ทรงควบคุมสรรพสิ่งและพลังชีวิตทั้งหมด พระองค์สามารถทำให้บางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า หรือทำให้บางสิ่งบางอย่างกลายเป็นความว่างเปล่าได้ และพระองค์ทรงควบคุมการแปลงสภาพของทุกสิ่งตั้งแต่สิ่งที่มีชีวิตไปจนถึงสิ่งที่ตายแล้ว สำหรับพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดง่ายดายเท่าการเพิ่มทวีเมล็ดพันธุ์ของใครบางคน  การนี้ฟังดูเพ้อฝันเหมือนเป็นเทพนิยายสำหรับมนุษย์ แต่สำหรับพระเจ้าแล้ว สิ่งที่พระองค์ตัดสินพระทัยและสัญญาว่าจะทำนั้นไม่ใช่เรื่องเพ้อฝัน และไม่ใช่เทพนิยาย  แต่กลับเป็นข้อเท็จจริงที่พระเจ้าทรงมองเห็นแล้ว และย่อมจะต้องสำเร็จลุล่วงอย่างแน่นอน  พวกเจ้าซึ้งคุณค่าของการนี้หรือไม่?  ข้อเท็จจริงเหล่านี้พิสูจน์ให้เห็นหรือไม่ว่าพงศ์พันธุ์ของอับราฮัมมีจำนวนมากมาย?  พวกเขามีจำนวนมากมายเพียงใด?  พวกเขามีจำนวนมากมายดัง “ดวงดาวในท้องฟ้า และดังเม็ดทรายบนฝั่งทะเล” ตามที่พระเจ้าตรัสไว้หรือไม่?  พวกเขาได้แพร่กระจายไปทั่วทุกประชาชาติและภูมิภาคทั้งปวง ไปยังทุกที่ในโลกหรือไม่?  ข้อเท็จจริงนี้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยสิ่งใด?  สำเร็จลุล่วงด้วยสิทธิอำนาจแห่งพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่?  หลังจากที่มีการตรัสพระวจนะของพระเจ้ามานานหลายร้อยหรือหลายพันปีแล้ว พระวจนะของพระเจ้าก็ยังคงลุล่วงต่อไป และกลายเป็นข้อเท็จจริงอยู่เป็นนิจ นี่คืออิทธิฤทธิ์แห่งพระวจนะของพระเจ้า และเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า  เมื่อพระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งในปฐมกาลนั้น พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” และความสว่างก็มีขึ้น  การนี้เกิดขึ้นรวดเร็วมาก ลุล่วงไปในเวลาอันสั้นมาก และไม่มีความล่าช้าในการสำเร็จและลุล่วงของการนั้น ผลแห่งพระวจนะของพระเจ้าเกิดขึ้นโดยพลัน  ทั้งสองสิ่งคือการแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัม พระองค์ได้ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นแก่นแท้อีกด้านหนึ่งแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า รวมทั้งข้อเท็จจริงที่ว่าสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างมิอาจคิดคำนวณได้ และยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างในด้านที่เป็นจริงยิ่งขึ้นและวิจิตรยิ่งขึ้น

ทันทีที่มีการดำรัสพระวจนะของพระเจ้า สิทธิอำนาจของพระเจ้าก็เข้าบัญชาพระราชกิจนี้ และข้อเท็จจริงที่พระโอษฐ์ของพระเจ้าให้สัญญาไว้ก็เริ่มค่อยๆ กลายเป็นจริง  ผลลัพธ์ก็คือความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายเริ่มปรากฏท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง เหมือนกันอย่างยิ่งกับที่ต้นหญ้ากลายเป็นสีเขียวเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาถึง ดอกไม้ผลิบาน เกิดตาอ่อนตามต้นไม้ นกเริ่มขับขาน ห่านป่าหวนคืน และท้องทุ่งก็คับคั่งไปด้วยผู้คน… ทุกสิ่งฟื้นคืนกำลังขึ้นมาใหม่ด้วยการมาเยือนของฤดูใบไม้ผลิ และนี่คือกิจการอันมหัศจรยย์ของพระผู้สร้าง  เมื่อพระเจ้าทรงทำให้สัญญาของพระองค์สำเร็จลุล่วง ทุกสิ่งบนสวรรค์และแผ่นดินโลกก็เริ่มต้นใหม่และเปลี่ยนแปลงไปตามพระดำริของพระเจ้า—ไม่มีสิ่งใดได้รับการยกเว้น  เมื่อคำมั่นหรือสัญญาถูกดำรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ทุกสิ่งย่อมทำหน้าที่เพื่อให้คำมั่นหรือสัญญานั้นลุล่วง และถูกยักย้ายถ่ายเทเพื่อทำให้การนั้นลุล่วง สรรพสิ่งทรงสร้างทั้งปวงถูกจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการภายใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้าง แสดงบทบาทในส่วนของตน และปฏิบัติหน้าที่ในส่วนของตน  นี่คือการสำแดงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  เจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  เจ้ารู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้อย่างไร?  สิทธิอำนาจของพระเจ้ามีการแบ่งออกเป็นระดับหรือไม่?  มีการจำกัดเวลาหรือไม่?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ามีความสูงเท่านี้หรือมีความยาวเท่านี้?  สามารถกล่าวได้หรือไม่ว่ามีขนาดหรือความแข็งแกร่งเท่านี้?  สามารถวัดตามมิติทั้งหลายของมนุษย์ได้หรือไม่?  สิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่ได้กะพริบเปิดและปิด ไม่ได้มาแล้วก็ไป และไม่มีผู้ใดสามารถวัดได้ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด  ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าใด เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรบุคคลหนึ่ง พรนี้จะดำเนินต่อเนื่องไป และความต่อเนื่องนี้จะเป็นข้อพิสูจน์ถึงสิทธิอำนาจอันมิอาจประเมินได้ของพระเจ้า และจะเปิดโอกาสให้มวลมนุษย์ได้เห็นพลังชีวิตอันมิอาจดับสลายได้ของพระผู้สร้างปรากฏขึ้นอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า  การแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของพระองค์ในแต่ละครั้งคือการแสดงพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์แบบ โดยแสดงให้ปรากฏแก่ทุกสรรพสิ่ง และมวลมนุษย์  ยิ่งไปกว่านั้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำเร็จลุล่วงโดยสิทธิอำนาจของพระองค์ล้วนวิจิตรเกินจะเปรียบปาน และไร้ตำหนิโดยสิ้นเชิง  สามารถกล่าวได้ว่าพระดำริของพระองค์ พระวจนะของพระองค์ สิทธิอำนาจของพระองค์ และพระราชกิจทั้งหมดที่พระองค์สำเร็จลุล่วงล้วนเป็นภาพอันงดงามอย่างมิอาจหาใดเปรียบ และสำหรับสิ่งทรงสร้างทั้งหลาย ภาษาของมวลมนุษย์ไม่สามารถพรรณนานัยสำคัญและคุณค่าของสิทธิอำนาจได้  เมื่อพระเจ้าทรงทำสัญญากับบุคคลหนึ่ง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพวกเขาย่อมเป็นที่คุ้นเคยของพระเจ้าดุจดังหลังพระหัตถ์ของพระองค์เอง ไม่ว่าจะเป็นที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่ หรือสิ่งที่พวกเขาทำ ภูมิหลังของพวกเขาก่อนหรือหลังจากที่พวกเขาได้รับสัญญา หรือไม่ว่าความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสภาพแวดล้อมที่พวกเขาดำรงชีวิตนั้นจะใหญ่หลวงเพียงใด  ไม่ว่าเวลาจะล่วงเลยไปมากเพียงใดหลังจากที่มีการตรัสพระวจนะของพระเจ้า สำหรับพระองค์แล้ว นั่นเป็นราวกับว่าพระวจนะเหล่านั้นเพิ่งถูกดำรัส  นี่หมายความว่าพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพและทรงมีสิทธิอำนาจชนิดที่พระองค์สามารถติดตามรับรู้ ควบคุม และลุล่วงสัญญาทุกข้อที่พระองค์ทรงทำกับมวลมนุษย์ได้ และไม่ว่าสัญญานั้นจะเป็นสิ่งใด ไม่ว่าต้องใช้เวลายาวนานเพียงใดในการทำให้ลุล่วงโดยบริบูรณ์ และยิ่งไปกว่านั้น ไม่ว่าการทำให้สัญญาสำเร็จลุล่วงจะเกี่ยวข้องกับสิ่งต่างๆ ในขอบเขตกว้างขวางสักเพียงใด—ตัวอย่างเช่น กาลเวลา ภูมิประเทศ เชื้อชาติ และอื่นๆ—สัญญานี้ย่อมจะสำเร็จและลุล่วง นอกจากนี้การทำให้สัญญาสำเร็จและลุล่วงย่อมไม่ต้องใช้ความพยายามของพระองค์เลยแม้แต่น้อย  การนี้พิสูจน์ให้เห็นสิ่งใด?  นี่พิสูจน์ให้เห็นว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้ากว้างใหญ่ไพศาลพอที่จะควบคุมทั้งจักรวาลและมวลมนุษย์ทั้งปวง  พระเจ้าทรงสร้างความสว่าง แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงบริหารจัดการเฉพาะความสว่างเท่านั้น หรือพระองค์ทรงบริหารจัดการเพียงน้ำเพราะพระองค์ทรงสร้างน้ำขึ้นมาเท่านั้น และไม่ได้หมายความว่าทุกสิ่งนอกเหนือจากนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพระเจ้า  นี่มิใช่การเข้าใจผิดหรอกหรือ?  ถึงแม้ว่าการที่พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมค่อยๆ เลือนหายไปจากความทรงจำของมนุษย์แล้วหลังเวลาผ่านไปหลายร้อยปี แต่สำหรับพระเจ้า สัญญานี้ยังคงอยู่เหมือนเดิม ยังคงอยู่ในกระบวนการแห่งการสำเร็จลุล่วง และไม่เคยหยุดเลย  มนุษย์ไม่เคยรู้หรือไม่เคยได้ยินว่าพระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อย่างไร ทุกสิ่งได้รับการจัดวางเรียบเรียงและจัดการเตรียมการอย่างไร และมีเรื่องราวอันน่าอัศจรรย์เกิดขึ้นท่ามกลางสรรพสิ่งแห่งการทรงสร้างของพระเจ้าในกาลสมัยนี้มากมายเพียงใด แต่สิ่งอัศจรรย์ทุกอย่างที่แสดงถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า และการเผยให้เห็นกิจการทั้งหลายของพระองค์ ได้ถูกส่งต่อและเป็นที่ยกย่องท่ามกลางสรรพสิ่ง ทุกสิ่งแสดงและกล่าวถึงกิจการอันเปี่ยมปาฏิหาริย์ของพระผู้สร้าง และเรื่องราวแต่ละเรื่องที่เล่าขานกันไว้มากมายถึงอธิปไตยที่พระผู้สร้างทรงมีเหนือทุกสรรพสิ่ง ย่อมจะได้รับการกล่าวประกาศโดยทุกสรรพสิ่งไปชั่วกาลนาน  สิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองสรรพสิ่ง และฤทธานุภาพของพระเจ้า แสดงให้ทุกสิ่งเห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ทุกแห่งหนและตลอดเวลา  เมื่อเจ้าประจักษ์ถึงการมีอยู่ในทุกหนแห่งของสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าแล้ว เจ้าจะเห็นว่าพระเจ้าสถิตอยู่ทุกหนทุกแห่งและตลอดเวลา  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าไม่ถูกจำกัดควบคุมโดยกาลเวลา ภูมิประเทศ พื้นที่ หรือบุคคล เหตุการณ์ หรือสิ่งอันใด  ความกว้างขวางแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าเลิศล้ำเกินจินตนาการของมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่อาจหยั่งถึงได้ มนุษย์ไม่อาจจินตนาการได้ และมนุษย์จะไม่มีวันรู้จักอย่างครบถ้วน

ผู้คนบางคนชอบที่จะอนุมานและจินตนาการ แต่จินตนาการของมนุษย์จะสามารถไปได้ไกลเพียงใด?  สามารถไปได้ไกลพ้นโลกนี้หรือไม่?  มนุษย์สามารถอนุมานและจินตนาการถึงความจริงแท้และความถูกต้องแม่นยำแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้หรือไม่?  การอนุมานและจินตนาการของมนุษย์สามารถเปิดโอกาสให้เขาสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้หรือไม่?  ทั้งสองอย่างนี้ทำให้มนุษย์ซึ้งคุณค่าและนบนอบต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างแท้จริงได้หรือไม่?  ข้อเท็จจริงทั้งหลายพิสูจน์ให้เห็นว่า การอนุมานและจินตนาการของมนุษย์เป็นเพียงผลผลิตแห่งเชาวน์ปัญญาของมนุษย์เท่านั้น และไม่ได้ช่วยหรือเป็นประโยชน์ต่อความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าเลยแม้แต่น้อย  หลังจากอ่านนิยายวิทยาศาสตร์ บางคนสามารถจินตนาการถึงดวงจันทร์ หรือจินตนาการว่าดวงดาวทั้งหลายเป็นอย่างไร  กระนั้นนี่ก็ไม่ได้หมายความว่ามนุษย์มีความเข้าใจอันใดในสิทธิอำนาจของพระเจ้า  จินตนาการของมนุษย์ก็เป็นเพียงเท่านั้น—แค่จินตนาการ  เขาไม่มีการจับความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของสิ่งเหล่านี้อย่างสิ้นเชิง ซึ่งหมายถึงจับความเข้าใจในความเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเหล่านี้กับสิทธิอำนาจของพระเจ้า  ต่อให้เจ้าเคยไปดวงจันทร์ การนี้จะสำคัญอย่างไร?  การนี้แสดงให้เห็นว่าเจ้ามีความเข้าใจหลากหลายมิติเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้ากระนั้นหรือ?  แสดงให้เห็นว่าเจ้าสามารถจินตนาการถึงความกว้างขวางแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ?  ในเมื่อการอนุมานและจินตนาการของมนุษย์ไม่สามารถเปิดโอกาสให้เขารู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ แล้วมนุษย์ควรทำเช่นไร?  ทางเลือกที่ทรงปัญญาที่สุดย่อมจะเป็นการไม่อนุมานหรือจินตนาการ กล่าวคือ มนุษย์ต้องไม่พึ่งพาจินตนาการและอาศัยการอนุมานโดยเด็ดขาดเมื่อเป็นเรื่องของการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า  สิ่งใดที่เราปรารถนาจะกล่าวกับพวกเจ้าในที่นี้?  ความรู้ในเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้า ฤทธานุภาพของพระเจ้า พระอัตลักษณ์ของพระเจ้าเอง และแก่นแท้ของพระเจ้า ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้ด้วยการพึ่งพาจินตนาการของเจ้า  ในเมื่อเจ้าไม่สามารถพึ่งพาจินตนาการเพื่อที่จะรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้ในหนทางใด?  หนทางในการทำการนี้ก็คือโดยผ่านทางการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางการสามัคคีธรรม และผ่านทางการมีประสบการณ์กับพระวจนะของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้เจ้าจึงจะมีประสบการณ์และมีการพิสูจน์ยืนยันความจริงแท้แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าทีละน้อย และเจ้าจะได้รับความเข้าใจและความรู้ในสิทธิอำนาจของพระเจ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  นี่คือหนทางเดียวที่จะสัมฤทธิ์ความรู้ในสิทธิอำนาจของพระเจ้า ไม่มีทางลัด  การขอให้พวกเจ้าไม่จินตนาการไม่ใช่การให้พวกเจ้านั่งนิ่งรอคอยการทำลายล้าง หรือหยุดยั้งพวกเจ้าจากการทำบางสิ่ง  การที่พวกเจ้าไม่ใช้สมองคิดและจินตนาการหมายถึงการไม่ใช้ตรรกะเพื่ออนุมาน ไม่ใช้ความรู้เพื่อวิเคราะห์ และไม่ใช้วิทยาศาสตร์เป็นพื้นฐาน แต่กลับเป็นการซึ้งคุณค่า การพิสูจน์ และการยืนยันว่าพระเจ้าที่เจ้าเชื่อนั้นมีสิทธิอำนาจ การยืนยันว่าพระองค์ทรงถือครองอธิปไตยเหนือชะตากรรมของเจ้า และว่าฤทธานุภาพของพระองค์พิสูจน์อยู่ตลอดเวลาว่า พระองค์คือพระเจ้าเที่ยงแท้พระองค์เอง โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า ผ่านทางความจริง ผ่านทางทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าเผชิญในชีวิตต่างหาก  นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่ใครสักคนจะสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจในพระเจ้า  บางคนกล่าวว่าพวกเขาปรารถนาที่จะหาหนทางที่เรียบง่ายในการสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายนี้ แต่พวกเจ้าสามารถคิดหาหนทางเช่นนั้นได้หรือ?  เรากล่าวกับเจ้าว่า ไม่มีความจำเป็นต้องคิด เพราะไม่มีหนทางอื่น!  มีหนทางเดียวเท่านั้นคือการรู้จักและพิสูจน์ยืนยันอย่างมีมโนธรรมและอย่างหนักแน่นถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น โดยผ่านทางพระวจนะทุกคำที่พระองค์แสดงไว้และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ทรงทำ  นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่จะรู้จักพระเจ้า  เพราะสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น และทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับพระเจ้านั้นไม่ไร้แก่นสารและไม่ว่างเปล่า แต่เป็นจริง

ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการควบคุมและอำนาจครอบครองที่พระผู้สร้างทรงมีเหนือทุกสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายนั้น ชี้ให้เห็นถึงการดำรงอยู่อย่างแท้จริงแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

ในทำนองเดียวกันนี้ การอวยพรโยบของพระยาห์เวห์ก็มีบันทึกอยู่ในหนังสือโยบ  พระเจ้าประทานสิ่งใดให้แก่โยบ?  “และพระยาห์เวห์ทรงอวยพรชีวิตตอนปลายของโยบมากยิ่งกว่าตอนต้นของท่าน และท่านมีแกะ 14,000 ตัว อูฐ 6,000 ตัว วัวผู้ 1,000 คู่ และลาตัวเมีย 1,000 ตัว” (โยบ 42:12)  จากมุมมองของมนุษย์ สิ่งเหล่านี้ที่ประทานแก่โยบคืออะไร?  ใช่ทรัพย์สินของมวลมนุษย์หรือไม่?  ด้วยทรัพย์สินเหล่านี้ โยบจะไม่มั่งคั่งอย่างมากในยุคนั้นหรอกหรือ?  เช่นนั้นแล้ว เขาได้ทรัพย์สินดังกล่าวมาอย่างไร?  สิ่งใดคือเหตุแห่งความมั่งคั่งของเขา?  เห็นได้ชัดว่าเป็นเพราะพรของพระเจ้า โยบจึงได้ครอบครองทรัพย์สินเหล่านี้  โยบมีทรรศนะกับทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร และเขาคำนึงถึงพรของพระเจ้าอย่างไรนั้น ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราจะเสวนากันในที่นี้  เมื่อกล่าวถึงพรของพระเจ้า ผู้คนทั้งหมดล้วนโหยหาทั้งวันทั้งคืนที่จะได้รับพรจากพระเจ้า กระนั้นมนุษย์ก็ไม่สามารถควบคุมได้ว่าเขาจะมีทรัพย์สินมากเพียงใดในชั่วชีวิตของเขา หรือ เขาจะสามารถได้รับพรจากพระเจ้าหรือไม่—นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจโต้แย้งได้!  พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ และฤทธานุภาพที่จะประทานทรัพย์สินอันใดก็ได้ให้แก่มนุษย์ ที่จะเปิดโอกาสให้มนุษย์ได้รับการอำนวยพรเช่นไรก็ได้ แต่ทว่ามีหลักธรรมอยู่ประการหนึ่งในพรของพระเจ้า  พระเจ้าทรงอวยพรผู้คนประเภทใด?  พระองค์ทรงอวยพรผู้คนที่พระองค์โปรด แน่นอนอยู่แล้ว!  อับราฮัมและโยบได้รับพรจากพระเจ้าทั้งคู่ แต่ทว่าพรที่พวกเขาได้รับนั้นไม่เหมือนกัน  พระเจ้าทรงอวยพรให้อับราฮัมมีพงศ์พันธุ์มากมายดังเม็ดทรายและดวงดาว  เมื่อพระองค์ทรงอวยพรอับราฮัม พระองค์ทรงทำให้พงศ์พันธุ์ของชายคนเดียวและชนชาติหนึ่งกลายมามีอำนาจและเจริญรุ่งเรือง  ในการนี้ สิทธิอำนาจของพระเจ้าปกครองมวลมนุษย์ที่หายใจด้วยลมปราณของพระเจ้าท่ามกลางสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย  ภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า มวลมนุษย์นี้ได้ทวีจำนวนและดำรงอยู่ด้วยความเร็ว และภายในวงเขตที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอยู่รอด อัตราการขยายตัว และอายุขัยของชนชาตินี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเตรียมการของพระเจ้า และหลักธรรมของทั้งหมดนี้ล้วนเป็นไปตามสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัมทั้งสิ้น  การนี้หมายความว่าไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร สัญญาของพระเจ้าจะดำเนินต่อไปโดยปราศจากการขัดขวางและจะกลายเป็นจริงภายใต้การดูแลจัดเตรียมแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า  ในสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับอับราฮัมนั้น ไม่ว่าโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลงใหญ่โตสักกี่ครั้ง ไม่ว่าจะเป็นยุคสมัยใด ไม่ว่ามวลมนุษย์จะทนฝ่ามหันตภัยกี่ครา พงศ์พันธุ์ของอับราฮัมจะไม่เสี่ยงต่อการถูกสูญสลาย และชาติของพวกเขาจะไม่ล้มตายจนสิ้น  อย่างไรก็ตาม พรที่พระเจ้าประทานแก่โยบทำให้เขามั่งคั่งสุดขีด  สิ่งที่พระเจ้าประทานแก่เขาคือสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตมีลมหายใจจำนวนมากเหลือหลาย ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ของสิ่งเหล่านี้—จำนวนของพวกมัน ความเร็วในการขยายพันธุ์ อัตราการรอดชีวิต ปริมาณไขมันในร่างกายของพวกมัน และอื่นๆ—ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของพระเจ้าเช่นกัน  ถึงแม้ว่าสิ่งมีชีวิตเหล่านี้จะพูดไม่ได้ แต่พวกมันก็เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้างเช่นกัน และหลักธรรมเบื้องหลังการจัดการเตรียมการที่พระเจ้าทรงมีให้พวกมันนั้นเกิดขึ้นบนพื้นฐานของพรที่พระเจ้าทรงสัญญาไว้กับโยบ  ในพรทั้งหลายที่พระเจ้าประทานแก่อับราฮัมและโยบ แม้สิ่งที่สัญญาไว้จะแตกต่างกัน แต่สิทธิอำนาจที่พระเจ้าทรงใช้ปกครองสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายคืออย่างเดียวกัน  ทุกรายละเอียดแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าถูกแสดงออกมาในสัญญาและพรที่แตกต่างกันของอับราฮัมและโยบ และแสดงให้มวลมนุษย์เห็นอีกครั้งหนึ่งว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าพ้นวิสัยแห่งจินตนาการของมนุษย์ไปมาก  รายละเอียดเหล่านี้บอกมวลมนุษย์อีกครั้งหนึ่งว่า หากเขาปรารถนาที่จะรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว การนี้จะสามารถสัมฤทธิ์ได้ก็โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า และโดยผ่านทางการมีประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น

สิทธิอำนาจแห่งอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่งของพระเจ้าเปิดโอกาสให้มนุษย์มองเห็นข้อเท็จจริงประการหนึ่งว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้ามิได้ถูกจำแลงเฉพาะในรูปของพระวจนะที่ว่า “พระเจ้าตรัสว่าจงเกิดความสว่าง ความสว่างก็เกิดขึ้น และ จงเกิดภาคพื้น และภาคพื้นก็เกิดขึ้น และจงเกิดแผ่นดิน และแผ่นดินก็เกิดขึ้น” เท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น สิทธิอำนาจของพระองค์ยังสำแดงอยู่ในวิธีการที่พระองค์ทรงทำให้ความสว่างนั้นดำเนินต่อไป ป้องกันไม่ให้พื้นฟ้าปลาสนาการไป และทำให้แผ่นดินกับน้ำแยกจากกันตลอดไป รวมทั้งในรายละเอียดของการปกครองและบริหารจัดการสิ่งทั้งหลายที่พระองค์ทรงสร้าง อันได้แก่ ความสว่าง พื้นฟ้า และแผ่นดิน  มีสิ่งใดอีกที่พวกเจ้ามองเห็นในพรที่พระเจ้าประทานแก่มวลมนุษย์?  เห็นได้อย่างชัดเจนว่า หลังจากที่พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมและโยบแล้ว ย่างพระบาทของพระเจ้ามิได้ยุติลง เพราะพระองค์เพิ่งจะทรงเริ่มใช้สิทธิอำนาจของพระองค์เท่านั้น และพระองค์ได้ตั้งพระทัยที่จะทำให้พระวจนะของพระองค์ทุกคำเป็นจริง และทำให้ทุกรายละเอียดที่พระองค์ตรัสถึงนั้นกลายเป็นจริง และดังนั้นในอีกหลายปีที่จะมาถึง พระองค์จึงทรงทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ตั้งพระทัยไว้อย่างต่อเนื่อง  เนื่องจากพระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ สำหรับมนุษย์แล้วบางครั้งจึงอาจดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่จำเป็นต้องทรงขยับแม้ปลายนิ้ว เพียงตรัสเท่านั้น ทุกเรื่องราวและทุกสิ่งก็สำเร็จลุล่วง  ความคิดฝันเช่นนั้นไร้สาระอย่างยิ่ง!  หากเจ้าใช้ทรรศนะเพียงด้านเดียวมามองการที่พระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับมนุษย์โดยใช้พระวจนะ และการที่พระเจ้าทรงสำเร็จลุล่วงทุกสิ่งทุกอย่างโดยใช้พระวจนะ และเจ้าไม่สามารถมองเห็นหมายสำคัญและข้อเท็จจริงต่างๆ ที่ว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้ามีอำนาจครอบครองเหนือการดำรงอยู่ของทุกสรรพสิ่ง เช่นนั้นแล้ว ความเข้าใจที่เจ้ามีต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าก็ไร้แก่นสารและน่าขันยิ่งนัก!  หากมนุษย์จินตนาการว่าพระเจ้าต้องเป็นดังนั้น เช่นนั้นแล้วก็ต้องกล่าวว่าความรู้ที่มนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้าถูกไล่ให้จนแต้มและไปถึงทางตันแล้ว เพราะพระเจ้าที่มนุษย์จินตนาการนั้นเป็นแต่เพียงเครื่องจักรคอยออกคำสั่ง ไม่ใช่พระเจ้าผู้ทรงครองสิทธิอำนาจ  เจ้ามองเห็นสิ่งใดผ่านทางตัวอย่างของอับราฮัมและโยบ?  เจ้าได้เห็นด้านที่จริงแท้แห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าหรือไม่?  หลังจากที่พระเจ้าทรงอวยพรอับราฮัมและโยบแล้ว พระเจ้ามิได้ประทับในที่ซึ่งพระองค์สถิตอยู่ อีกทั้งพระองค์ก็มิได้ทรงให้ทูตสื่อสารของพระองค์ทำงาน พลางทรงรอดูว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นใด  ในทางตรงกันข้าม ทันทีที่พระเจ้าดำรัสพระวจนะของพระองค์ ทุกสรรพสิ่งก็เริ่มเป็นไปตามพระราชกิจที่พระเจ้าตั้งพระทัยว่าจะทำ ภายใต้การนำแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า และมีการตระเตรียมผู้คน เป้าหมาย และสิ่งทั้งหลาย ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ทันทีที่มีการดำรัสพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า ก็เริ่มมีการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าทั่วทั้งแผ่นดิน และพระองค์ทรงกำหนดครรลองที่จะทำให้สัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้กับอับราฮัมและโยบนั้นสำเร็จและลุล่วง พลางทรงวางแผนการทั้งปวงและตระเตรียมทุกอย่างที่พึงต้องใช้อย่างถูกต้องเหมาะสมสำหรับทุกขั้นตอนและแต่ละช่วงระยะที่สำคัญที่พระองค์ทรงวางแผนไว้ว่าจะดำเนินการ  ในระหว่างเวลานี้ พระเจ้าไม่เพียงทรงโยกย้ายทูตสื่อสารของพระองค์เท่านั้น แต่ยังทรงยักย้ายทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างไว้อีกด้วย  กล่าวคือ ภายในวงเขตที่มีการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้านั้นไม่ได้มีเพียงบรรดาทูตสื่อสารเท่านั้น แต่ยังมีทุกสรรพสิ่งในการทรงสร้างที่ถูกยักย้ายเพื่อให้เป็นไปตามพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำให้สำเร็จลุล่วง เหล่านี้คือรูปแบบเฉพาะของการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้า  ในความคิดฝันของพวกเจ้านั้น บางคนอาจจะมีความเข้าใจในสิทธิอำนาจของพระเจ้าดังต่อไปนี้คือ พระเจ้าทรงมีสิทธิอำนาจ และพระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพ และดังนั้นพระเจ้าเพียงแค่ต้องประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นที่สาม หรือในสถานที่ที่เป็นหลักแหล่งสักแห่ง และไม่ต้องทรงพระราชกิจอันใดเป็นการเฉพาะ และพระราชกิจทั้งปวงของพระเจ้าก็เสร็จสมบูรณ์อยู่ในพระดำริของพระองค์  บางคนอาจเชื่อด้วยว่า ถึงแม้พระเจ้าจะทรงอวยพรอับราฮัม แต่พระเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทรงทำสิ่งใด พระองค์เพียงตรัสพระวจนะของพระองค์เท่านั้นก็พอ  นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงหรือ?  เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่!  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่สิทธิอำนาจของพระองค์ก็เที่ยงแท้และเป็นจริง มิใช่ว่างเปล่า  ความจริงแท้และความเป็นจริงแห่งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าค่อยๆ เผยให้เห็นและสำแดงออกมาในการสร้างสรรพสิ่งของพระองค์ ในการควบคุมทุกสรรพสิ่งของพระองค์ และในกระบวนการที่พระองค์ทรงนำและบริหารจัดการมวลมนุษย์  ทุกวิธีการ ทุกแง่มุม และทุกรายละเอียดเกี่ยวกับอธิปไตยที่พระเจ้าทรงมีเหนือมวลมนุษย์และทุกสรรพสิ่ง และพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำให้สำเร็จลุล่วง รวมทั้งความเข้าใจที่พระองค์ทรงมีในทุกสรรพสิ่ง—ทั้งหมดนี้ล้วนพิสูจน์อย่างแท้จริงว่าสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าไม่ใช่ถ้อยคำที่ว่างเปล่า  สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์มีการแสดงออกและเผยให้เห็นอยู่เป็นนิจและในทุกสรรพสิ่ง  การสำแดงและการเปิดเผยเหล่านี้บ่งบอกถึงการดำรงอยู่จริงแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า เพราะพระองค์กำลังทรงใช้สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระองค์เพื่อดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไป และเพื่อบัญชาทุกสรรพสิ่ง และปกครองทุกสรรพสิ่งในทุกขณะ ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระองค์ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ไม่ว่าจะโดยทูตสวรรค์หรือทูตสื่อสารของพระเจ้า  พระเจ้าได้ตัดสินพระทัยว่าพระองค์จะประทานพรใดแก่อับราฮัมและโยบ—นี่เป็นสิ่งที่พระองค์ต้องเป็นผู้ตัดสินพระทัย  ถึงแม้ว่าทูตสื่อสารของพระเจ้าคือผู้ที่ไปเยือนอับราฮัมและโยบ แต่การกระทำของพวกเขาก็เป็นไปตามพระบัญชาของพระเจ้า และพวกเขาก็กระทำการภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และในทำนองเดียวกัน บรรดาทูตสื่อสารก็อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า  ถึงแม้มนุษย์จะเห็นว่าทูตสื่อสารของพระเจ้าไปเยือนอับราฮัม และไม่ได้ประจักษ์ว่าพระยาห์เวห์พระเจ้าทรงกระทำสิ่งใดด้วยพระองค์เองในบันทึกของพระคัมภีร์ แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าพระองค์เองคือองค์หนึ่งเดียวเท่านั้นที่ทรงใช้ฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ และการนี้ไม่เปิดทางให้มนุษย์สงสัยเป็นอันขาด!  ถึงแม้เจ้าจะเห็นแล้วว่าบรรดาทูตสวรรค์และทูตสื่อสารมีพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และได้แสดงปาฏิหาริย์ทั้งหลาย หรือเห็นว่าพวกเขาได้ทำสิ่งต่างๆ ตามพระบัญชาของพระเจ้า แต่การกระทำของพวกเขาก็เป็นไปเพื่อทำให้พระบัญชาของพระเจ้าสำเร็จสมบูรณ์เท่านั้น และไม่ได้แสดงถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้าแต่อย่างใด—เพราะไม่มีมนุษย์หรือวัตถุใดที่มีหรือครองสิทธิอำนาจในการสร้างทุกสรรพสิ่งและปกครองทุกสรรพสิ่งดังพระผู้สร้าง  ดังนั้นจึงไม่มีมนุษย์หรือวัตถุใดจะสามารถใช้หรือแสดงสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้

สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างมิอาจเปลี่ยนแปลงได้และมิอาจล่วงเกินได้

พวกเจ้ามองเห็นสิ่งใดในสามส่วนนี้ขององค์พระคัมภีร์?  พวกเจ้ามองเห็นว่ามีหลักธรรมในการที่พระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์หรือไม่?  ยกตัวอย่างเช่น พระเจ้าทรงใช้รุ้งเพื่อทำพันธสัญญากับมนุษย์—พระองค์ทรงวางรุ้งไว้ในหมู่เมฆเพื่อบอกมนุษย์ว่า พระองค์จะไม่มีวันทรงใช้น้ำท่วมมาทำลายโลกอีก  รุ้งที่ผู้คนเห็นอยู่ในวันนี้ยังคงเป็นรุ้งตัวเดียวกันกับที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าหรือไม่?  ธรรมชาติและความหมายของมันเปลี่ยนแปลงไปบ้างหรือไม่?  ไม่ต้องสงสัยเลยว่ารุ้งไม่ได้เปลี่ยนไป  พระเจ้าทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์เพื่อกระทำการนี้ และพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำไว้กับมนุษย์ก็ดำเนินต่อเนื่องมาจนกระทั่งทุกวันนี้ และแน่นอนว่าเวลาที่พันธสัญญานี้จะถูกปรับเปลี่ยนย่อมจะเป็นไปตามการตัดสินพระทัยของพระเจ้า  หลังจากที่พระเจ้าตรัสว่า “ตั้งรุ้งของเราไว้ที่เมฆ” พระเจ้าก็ทรงปฏิบัติตามพันธสัญญานี้เสมอมาจนถึงวันนี้  เจ้ามองเห็นสิ่งใดในการนี้?  ถึงแม้ว่าพระเจ้าจะทรงครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่พระองค์ก็ทรงเข้มงวดและมีหลักธรรมอย่างยิ่งในการกระทำของพระองค์ และทรงทำตามที่พระองค์ตรัส  ความเข้มงวดของพระองค์และหลักธรรมในการกระทำของพระองค์แสดงให้เห็นถึงความมิอาจล่วงเกินได้ของพระผู้สร้างและความมิอาจเอาชนะได้แห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  แม้พระองค์จะทรงครองสิทธิอำนาจสูงสุด และแม้ทุกสิ่งจะอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ และถึงแม้ว่าพระองค์จะทรงมีฤทธานุภาพในการปกครองทุกสรรพสิ่ง แต่พระเจ้าก็ไม่เคยทรงทำให้แผนการของพระองค์เองเสียหายหรือหยุดชะงัก และแต่ละครั้งที่พระองค์ทรงใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ ก็สอดคล้องกับหลักธรรมของพระองค์เองอย่างเคร่งครัด และปฏิบัติตามสิ่งที่ตรัสจากพระโอษฐ์ของพระองค์อย่างเที่ยงตรง ทั้งยังเป็นไปตามขั้นตอนและวัตถุประสงค์แห่งแผนการของพระองค์  ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่า ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงปกครองก็เชื่อฟังหลักธรรมแห่งการใช้สิทธิอำนาจของพระเจ้าเช่นกัน และไม่มีมนุษย์หรือสิ่งใดได้รับการยกเว้นจากการจัดการเตรียมการแห่งสิทธิอำนาจของพระองค์ รวมทั้งไม่สามารถปรับเปลี่ยนหลักธรรมแห่งการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า บรรดาผู้ที่ได้รับพรย่อมได้รับโชควาสนาที่สิทธิอำนาจของพระองค์ทำให้เกิดขึ้น และพวกที่ถูกสาปแช่งก็ได้รับการลงโทษของตนเนื่องแต่สิทธิอำนาจของพระเจ้า  ภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า ไม่มีมนุษย์หรือสิ่งอันใดได้รับการยกเว้นจากการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์  และพวกเขาก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนหลักธรรมแห่งการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ได้  สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างไม่ได้ถูกปรับเปลี่ยนเพราะความเปลี่ยนแปลงในปัจจัยบางอย่าง และในทำนองเดียวกันนี้ หลักธรรมในการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์ก็ไม่ได้ปรับเปลี่ยนด้วยเหตุผลอันใดเช่นกัน  สวรรค์และแผ่นดินโลกอาจก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงอันใหญ่หลวงทั้งหลาย แต่สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจะไม่เปลี่ยนแปลง สรรพสิ่งอาจอันตรธานไป แต่สิทธิอำนาจของพระผู้สร้างจะไม่มีวันปลาสนาการ  นี่คือแก่นแท้แห่งสิทธิอำนาจอันมิอาจเปลี่ยนแปลงได้และมิอาจล่วงเกินได้ของพระผู้สร้าง และนี่คือความทรงเอกลักษณ์อย่างยิ่งของพระผู้สร้าง!

พระวจนะต่อไปนี้คือสิ่งที่ไม่อาจขาดได้ในการรู้จักสิทธิอำนาจของพระเจ้า และมีการอธิบายความหมายของพระวจนะเหล่านี้ไว้ในการสามัคคีธรรมด้านล่าง  พวกเรามาอ่านองค์พระคัมภีร์กันต่อไปเถิด

4. พระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีต่อซาตาน

โยบ 2:6  และพระยาห์เวห์ตรัสกับซาตานว่า “ดูเถิด เขาอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น”

ซาตานไม่เคยกล้าฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และด้วยเหตุนี้ทุกสรรพสิ่งจึงดำรงชีวิตอยู่อย่างเป็นระเบียบ

นี่คือบทตัดตอนจากหนังสือโยบ และ “เขา” ในพระวจนะเหล่านี้อ้างอิงถึงโยบ  แม้จะสั้น แต่ประโยคนี้ก็ชี้แจงหลายประเด็น  ประโยคนี้กล่าวถึงบทสนทนาตอนหนึ่งระหว่างพระเจ้ากับซาตานในโลกฝ่ายวิญญาณ และบอกพวกเราว่าพระวจนะของพระเจ้าพุ่งเป้าไปที่ซาตาน  ประโยคนี้ยังบันทึกสิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้เป็นการเฉพาะอีกด้วย  พระวจนะของพระเจ้าคือพระบัญชาและคำสั่งที่ทรงมีแก่ซาตาน  รายละเอียดเฉพาะของคำสั่งนี้เกี่ยวข้องกับการไว้ชีวิตโยบและเส้นที่พระองค์ทรงขีดไว้ให้ซาตานปฏิบัติต่อโยบ นั่นคือซาตานต้องไว้ชีวิตโยบ  สิ่งแรกที่พวกเราเรียนรู้จากประโยคนี้ก็คือว่า นี่คือพระวจนะที่พระเจ้าตรัสแก่ซาตาน  ตัวบทเดิมของหนังสือโยบบอกให้พวกเรารู้ถึงที่มาของพระวจนะดังกล่าว นั่นคือ ซาตานปรารถนาที่จะกล่าวหาโยบ และดังนั้นมันจึงต้องได้รับการเห็นชอบจากพระเจ้าก่อน  มันจึงจะสามารถทดลองเขาได้  เมื่อทรงยินยอมตามข้อเรียกร้องของซาตานที่จะทดลองโยบแล้ว พระเจ้าได้ทรงวางเงื่อนไขต่อไปนี้แก่ซาตานว่า “โยบอยู่ในมือเจ้า จงไว้ชีวิตเขาเท่านั้น” อะไรคือธรรมชาติของพระวจนะเหล่านี้?  เห็นได้ชัดว่านี่คือพระบัญชา เป็นคำสั่ง  เมื่อเข้าใจธรรมชาติของพระวจนะเหล่านี้แล้ว แน่นอนว่าเจ้าควรจับความเข้าใจด้วยว่า องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงออกคำสั่งนี้ก็คือพระเจ้า และผู้ที่รับคำสั่งนี้และเชื่อฟังคำสั่งนี้คือซาตาน  ไม่จำเป็นต้องกล่าวก็ได้ว่า สัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับซาตานในคำสั่งนี้เป็นที่ประจักษ์ชัดสำหรับทุกคนที่อ่านพระวจนะเหล่านี้  แน่นอนว่านี่ยังเป็นสัมพันธภาพระหว่างพระเจ้ากับซาตานในโลกฝ่ายวิญญาณอีกด้วย และเป็นความแตกต่างระหว่างอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้ากับซาตาน ตามที่ระบุไว้ในบันทึกทั้งหลายถึงบทสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างพระเจ้ากับซาตานในองค์พระคัมภีร์เหล่านี้ และเป็นความแตกต่างอันชัดเจนระหว่างอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้ากับซาตานที่มนุษย์ในปัจจุบันสามารถเรียนรู้ได้จากตัวอย่างและบันทึกข้อความที่ยกมาเป็นการเฉพาะนี้  ณ จุดนี้เราจำต้องกล่าวว่า บันทึกพระวจนะเหล่านี้เป็นเอกสารสำคัญชิ้นหนึ่งในความรู้ที่มวลมนุษย์มีเกี่ยวกับพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า ทั้งยังจัดเตรียมข้อมูลที่สำคัญให้แก่ความรู้ที่มวลมนุษย์มีเกี่ยวกับพระเจ้า  มนุษย์สามารถเข้าใจแง่มุมเฉพาะในด้านสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งประการผ่านทางบทสนทนาแลกเปลี่ยนระหว่างพระผู้สร้างกับซาตานในโลกฝ่ายวิญญาณนี้  พระวจนะเหล่านี้คืออีกหนึ่งคำพยานให้แก่สิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง

ดูจากภายนอก พระยาห์เวห์พระเจ้ากำลังทรงสนทนากับซาตาน  ในแง่ของแก่นแท้แล้ว ท่าทีในการตรัสของพระยาห์เวห์พระเจ้าและตำแหน่งที่พระองค์ทรงยืนอยู่นั้นสูงกว่าซาตาน  กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ พระยาห์เวห์พระเจ้ากำลังมีพระบัญชาแก่ซาตานด้วยพระกระแสเสียงของการออกคำสั่ง และกำลังตรัสบอกซาตานว่ามันควรทำและไม่ควรทำสิ่งใด ว่าโยบนั้นอยู่ในมือของมันแล้ว และว่ามันมีอิสระที่จะปฏิบัติต่อโยบอย่างไรก็ได้ตามที่มันปรารถนา—แต่มันต้องไม่เอาชีวิตของโยบ  ความหมายที่แฝงอยู่ก็คือ ถึงแม้จะให้โยบอยู่ในมือของซาตาน แต่ก็ไม่ได้ส่งมอบชีวิตของเขาให้แก่ซาตาน ไม่มีผู้ใดสามารถเอาชีวิตของโยบไปจากพระหัตถ์ของพระเจ้าได้ เว้นแต่พระเจ้าจะทรงอนุญาต  ท่าทีของพระเจ้าแสดงไว้อย่างชัดเจนในพระบัญชาที่มีต่อซาตานนี้ และพระบัญชานี้ยังสำแดงและเผยให้เห็นว่า พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงสนทนากับซาตานจากตำแหน่งใด  ในการนี้ พระยาห์เวห์พระเจ้าไม่เพียงทรงถือครองสถานะของพระเจ้าผู้ทรงสร้างความสว่าง อากาศ ทุกสรรพสิ่ง และสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย สถานะของพระเจ้าผู้ทรงถือครองอธิปไตยเหนือสรรพสิ่งและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายเท่านั้น แต่ยังทรงถือครองสถานะของพระเจ้าผู้ทรงบัญชามวลมนุษย์ และบัญชาแดนคนตาย พระเจ้าผู้ทรงควบคุมความเป็นและความตายของสิ่งมีชีวิตทั้งปวงด้วย  ในโลกฝ่ายวิญญาณ นอกจากพระเจ้าแล้ว ยังจะมีผู้ใดกล้าออกคำสั่งเช่นนั้นแก่ซาตานอีก?  และเหตุใดพระเจ้าจึงทรงออกคำสั่งของพระองค์แก่ซาตานด้วยพระองค์เอง?  เพราะชีวิตของมนุษย์ซึ่งรวมถึงชีวิตของโยบนั้นอยู่ในความควบคุมของพระเจ้า  พระเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้ซาตานทำอันตรายหรือเอาชีวิตของโยบ และแม้กระทั่งเมื่อพระเจ้าทรงอนุญาตให้ซาตานทดลองโยบ พระเจ้าก็ยังไม่ทรงลืมที่จะออกคำสั่งดังกล่าวเป็นพิเศษ และมีพระบัญชาแก่ซาตานอีกครั้งว่าจงอย่าเอาชีวิตของโยบ  ซาตานไม่เคยกล้าฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้า และยิ่งไปกว่านั้น มันยังตั้งใจรับฟังและเชื่อฟังคำสั่งและพระบัญชาที่พระเจ้าทรงมีเป็นการเฉพาะอยู่เสมอ ไม่เคยกล้าเยาะเย้ยท้าทายพระบัญชาและคำสั่งเหล่านั้น และแน่นอนว่ามันย่อมไม่กล้าปรับเปลี่ยนคำสั่งใดๆ ของพระเจ้าอย่างเสรี  เช่นนั้นเองคือข้อจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้ซาตาน และดังนั้น ซาตานจึงไม่เคยกล้าก้าวข้ามข้อจำกัดเหล่านั้น  การนี้มิใช่อิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรอกหรือ?  นี่มิใช่คำพยานให้แก่สิทธิอำนาจของพระเจ้าหรอกหรือ?  ซาตานมีการจับความเข้าใจที่ชัดเจนกว่ามวลมนุษย์มากนักว่าควรประพฤติตนเช่นไรกับพระเจ้า และควรมองพระเจ้าอย่างไร และดังนั้นในโลกฝ่ายวิญญาณ ซาตานจึงมองเห็นสถานะและสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างชัดเจนยิ่ง และซึ้งคุณค่าในอิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าและหลักธรรมที่อยู่เบื้องหลังการใช้สิทธิอำนาจของพระองค์อย่างลึกซึ้ง  มันไม่กล้ามองข้ามสิ่งเหล่านี้แต่อย่างใด อีกทั้งไม่กล้าละเมิดสิ่งเหล่านี้ไม่ว่าจะในหนทางใด ไม่กล้าทำสิ่งใดที่ฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้า และมันก็ไม่กล้าท้าทายพระพิโรธของพระเจ้าในหนทางใดเลย  ถึงแม้ว่าธรรมชาติของซาตานจะชั่วและโอหัง แต่มันไม่เคยกล้าที่จะข้ามเขตคั่นและข้อจำกัดที่พระเจ้าได้ทรงกำหนดไว้ให้  เป็นเวลาหลายล้านปีแล้วที่มันยึดปฏิบัติตามเส้นแบ่งเขตเหล่านี้อย่างเคร่งครัด มันยึดปฏิบัติตามพระบัญชาและคำสั่งทุกประการที่พระเจ้าทรงมีกับมัน และไม่เคยกล้าก้าวข้ามเครื่องหมายนั้น  แม้ซาตานจะมุ่งร้าย แต่มันก็มีปัญญากว่ามวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามอยู่มาก มันรู้จักพระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้าง และรู้จักอาณาเขตของมันเอง  จากการกระทำ “ที่นบนอบ” ของซาตานจะเห็นได้ว่า สิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้าคือประกาศิตจากสวรรค์ที่ซาตานไม่อาจฝ่าฝืนได้ และเห็นได้ว่า เป็นเพราะเอกลักษณ์และสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้ ทุกสรรพสิ่งจึงเปลี่ยนแปลงและแพร่หลายอย่างเป็นระเบียบ และมวลมนุษย์ก็สามารถดำรงชีวิตและทวีจำนวนอยู่ภายในครรลองที่พระเจ้าทรงสถาปนาขึ้น โดยไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดสามารถทำลายระบบระเบียบนี้ได้ และไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัตินี้ได้—เพราะทั้งหมดนี้ล้วนมาจากพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และจากคำสั่งและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมีพระอัตลักษณ์แห่งพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์

อัตลักษณ์พิเศษของซาตานทำให้ผู้คนมากมายแสดงความสนใจอย่างแรงกล้าในแง่มุมต่างๆ ที่มันสำแดงออกมา  มีแม้กระทั่งคนเขลาจำนวนมากที่เชื่อว่าซาตานมีสิทธิอำนาจเช่นเดียวกับพระเจ้า เพราะซาตานสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ และสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่เป็นไปไม่ได้สำหรับมวลมนุษย์  ด้วยเหตุนี้ นอกจากนมัสการพระเจ้าแล้ว มวลมนุษย์จึงสงวนที่ทางในหัวใจของเขาไว้ให้แก่ซาตาน และถึงกับเคารพบูชาซาตานในฐานะพระเจ้า  ผู้คนเหล่านี้ทั้งน่าเวทนาและน่ารังเกียจ  พวกเขาน่าเวทนาเพราะความไม่รู้เท่าทันของพวกเขา และน่ารังเกียจเพราะความนอกรีตและเนื้อแท้อันชั่วในตัวของพวกเขา  ณ จุดนี้เรารู้สึกว่าจำเป็นต้องบอกพวกเจ้าว่าสิทธิอำนาจคือสิ่งใด เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งใด และเป็นตัวแทนของสิ่งใด  กล่าวโดยกว้างๆ ก็คือพระเจ้าพระองค์เองคือสิทธิอำนาจ สิทธิอำนาจของพระองค์คือสัญลักษณ์แทนความยิ่งใหญ่สูงสุดและแก่นแท้ของพระเจ้า และสิทธิอำนาจของพระเจ้าพระองค์เองเป็นตัวแทนของสถานะและพระอัตลักษณ์ของพระเจ้า  ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ซาตานกล้าพูดหรือไม่ว่าตัวมันเองคือพระเจ้า?  ซาตานกล้าพูดหรือไม่ว่ามันได้สร้างทุกสรรพสิ่งและถือครองอธิปไตยเหนือทุกสรรพสิ่ง?  แน่นอนว่ามันไม่กล้า!  เพราะมันไม่สามารถสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาได้ จนถึงทุกวันนี้มันยังไม่เคยสร้างสิ่งใดที่พระเจ้าทรงสร้างเอาไว้ และไม่เคยสร้างสิ่งใดที่มีชีวิตเลย  เนื่องจากมันไม่มีสิทธิอำนาจของพระเจ้า จึงไม่มีวันเป็นไปได้ที่มันจะสามารถครองสถานะและสิทธิอำนาจของพระเจ้า และนี่เป็นไปตามแก่นแท้ของมัน  มันมีฤทธานุภาพเช่นเดียวกับพระเจ้าหรือไม่?  แน่นอนว่ามันไม่มี!  พวกเราเรียกพฤติการณ์ของซาตาน และปาฏิหาริย์ทั้งหลายที่ซาตานแสดงออกมาว่าอย่างไร?  เป็นฤทธานุภาพหรือ?  สามารถเรียกว่าสิทธิอำนาจได้หรือไม่?  แน่นอนว่าไม่!  ซาตานกำกับกระแสแห่งความชั่ว และก่อกวน บ่อนทำลาย และขัดจังหวะพระราชกิจของพระเจ้า  หลายพันปีให้หลังมานี้ นอกจากทารุณและทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม ยั่วยวนและหลอกลวงมนุษย์ให้ชั่วช้าและปฏิเสธพระเจ้าจนมนุษย์เดินไปสู่หุบเขาแห่งเงามรณะแล้ว ซาตานเคยทำสิ่งใดที่สมควรแก่การที่มนุษย์จะรำลึกถึง ชมเชย หรือทะนุถนอมสักนิดหรือไม่?  หากซาตานได้ครอบครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ มวลมนุษย์ก็คงจะถูกมันทำให้เสื่อมทรามไปแล้วมิใช่หรือ?  หากซาตานครอบครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ มันก็คงจะสร้างความเสียหายให้แก่มวลมนุษย์ไปแล้วมิใช่หรือ?  หากซาตานครอบครองฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ มวลมนุษย์คงจะละทิ้งพระเจ้าแล้วหันไปหาความตายกันแล้วมิใช่หรือ?  ในเมื่อซาตานไม่มีสิทธิอำนาจหรือฤทธานุภาพ พวกเราควรจะสรุปแก่นแท้ของทุกสิ่งที่มันทำว่าอย่างไร?  มีผู้นิยามทุกสิ่งที่ซาตานทำลงไปว่าเป็นเพียงการใช้เล่ห์เพทุบาย กระนั้นเราเชื่อว่าคำนิยามเช่นนั้นยังไม่เหมาะสมนัก  ความประพฤติชั่วที่มันทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามเป็นแค่เล่ห์เพทุบายเท่านั้นเองหรือ?  กำลังบังคับชั่วที่ซาตานใช้ทารุณโยบ และความอยากทารุณและอยากกลืนกินเขาอันแสนดุดันของมันนั้น ไม่อาจที่จะสัมฤทธิ์ได้ด้วยการใช้เพียงเล่ห์กระเท่ห์เท่านั้น เมื่อมองย้อนกลับไป ภายในพริบตาเดียวฝูงแกะฝูงวัวของโยบที่กระจัดกระจายกว้างไกลไปทั่วเนินเขาและภูเขาก็มีอันหายวับไป ภายในพริบตาเดียว โชคลาภอันยิ่งใหญ่ของโยบก็มีอันปลาสนาการไป  การนั้นสามารถสัมฤทธิ์ได้โดยใช้แค่เล่ห์กระเท่ห์กระนั้นหรือ?  ธรรมชาติของทุกสิ่งที่ซาตานทำล้วนสอดรับและเหมาะกับคำศัพท์ด้านลบอย่างเช่น การบั่นทอน การขัดจังหวะ การทำลาย การสร้างความเสียหาย ความชั่ว ความมุ่งร้าย และความมืด และดังนั้นการเกิดขึ้นของทุกสิ่งที่ไม่ชอบธรรมและชั่วย่อมโยงใยกับพฤติการณ์ของซาตานอย่างแนบแน่น และไม่อาจแยกจากแก่นแท้อันชั่วร้ายของซาตานได้  ไม่ว่าซาตานจะ “ทรงพลัง” เพียงใด ไม่ว่ามันจะฮึกเหิมหรือทะเยอทะยานเพียงใด ไม่ว่าความสามารถของมันในการก่อความเสียหายจะมีมากเพียงใด ไม่ว่ากลเม็ดที่มันใช้ยั่วยวนและทำให้มนุษย์เสื่อมทรามจะมีขอบเขตกว้างขวางเพียงใด ไม่ว่าเล่ห์เหลี่ยมและกลอุบายที่มันใช้ข่มขวัญมนุษย์จะฉลาดแยบยลเพียงใด ไม่ว่ารูปสัณฐานที่มันใช้ในการดำรงอยู่จะสามารถเปลี่ยนแปลงไปได้มากมายเพียงใด แต่มันก็ไม่เคยสามารถสร้างสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้สักสิ่งเดียว ไม่เคยสามารถกำหนดธรรมบัญญัติหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ สำหรับการดำรงอยู่ของสรรพสิ่ง และไม่เคยสามารถปกครองและควบคุมวัตถุใดๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต  ทั่วทั้งจักรวาลและพื้นฟ้านั้นไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่กำเนิดจากมัน หรือดำรงอยู่เพราะมัน ไม่มีบุคคลใดหรือวัตถุใดที่อยู่ใต้ปกครองของมัน หรือในการควบคุมของมัน  ในทางตรงกันข้าม มันไม่เพียงต้องดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น มันยังต้องเชื่อฟังคำสั่งและพระบัญชาทั้งหมดของพระเจ้าด้วย  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ก็เป็นการยากที่ซาตานจะแตะต้องแม้น้ำสักหยดหรือทรายสักเม็ดบนแผ่นดินได้  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า ซาตานก็ไม่มีอิสระที่จะเคลื่อนย้ายฝูงมดไปมาบนแผ่นดินด้วยซ้ำ ไม่พักต้องพูดถึงมวลมนุษย์ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมา  ในสายพระเนตรของพระเจ้า ซาตานด้อยค่ากว่าดอกลิลลี่บนภูเขา นกที่บินอยู่ในอากาศ ปลาในทะเล และหนอนแมลงบนแผ่นดินโลก  บทบาทของมันท่ามกลางสรรพสิ่งก็คือการรับใช้ทุกสิ่งและทำงานให้แก่มวลมนุษย์ และรับใช้พระราชกิจของพระเจ้าและแผนการบริหารจัดการของพระองค์  ไม่ว่าธรรมชาติของมันจะมุ่งร้ายเพียงใด และไม่ว่าแก่นแท้ของมันจะชั่วเพียงใด สิ่งเดียวที่มันสามารถทำได้คือทำงานของมันไปตามหน้าที่ นั่นคือ การปรนนิบัติพระเจ้า และการเป็นความต่างขั้วให้พระเจ้า  เช่นนั้นเองที่เป็นเนื้อแท้และตำแหน่งของซาตาน  แก่นแท้ของมันไม่ได้เชื่อมโยงกับชีวิต ไม่ได้เชื่อมโยงกับฤทธานุภาพ ไม่ได้เชื่อมโยงกับสิทธิอำนาจ มันเป็นเพียงของเล่นในพระหัตถ์ของพระเจ้า แค่เครื่องจักรที่รับใช้พระเจ้าเท่านั้น!

เมื่อเข้าใจโฉมหน้าที่แท้จริงของซาตานแล้ว ผู้คนหลายคนก็ยังคงไม่เข้าใจว่าสิทธิอำนาจคือสิ่งใด ดังนั้นให้เราได้บอกเจ้าเถิด!  ตัวสิทธิอำนาจเองนั้น สามารถอธิบายได้ว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า  ก่อนอื่นอาจกล่าวได้อย่างแน่นอนว่า ทั้งสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพเป็นบวก  ทั้งสองสิ่งไม่มีความเชื่อมโยงกับสิ่งใดที่เป็นลบเลย และไม่เกี่ยวโยงกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ  ฤทธานุภาพของพระเจ้าสามารถสร้างสิ่งทั้งหลายในรูปแบบใดก็ได้ที่มีชีวิตและกำลังวังชา และการนี้มีชีวิตของพระเจ้าเป็นเครื่องกำหนด  พระเจ้าคือชีวิต ดังนั้นพระองค์จึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดของสิ่งมีชีวิตทั้งปวง  ยิ่งไปกว่านั้น สิทธิอำนาจของพระเจ้าสามารถทำให้สิ่งมีชีวิตทั้งปวงเชื่อฟังพระวจนะทุกคำของพระเจ้า นั่นคือ เกิดขึ้นมาตามพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า และดำรงชีวิตและสืบพันธุ์ตามพระบัญชาของพระเจ้า ซึ่งหลังจากนั้นพระเจ้าก็ทรงปกครองและบัญชาสิ่งมีชีวิตทั้งปวง และจะไม่มีวันมีการเบี่ยงเบนไปจนชั่วกาลนาน  ไม่ว่าบุคคลหรือวัตถุใดก็ไม่มีสิ่งเหล่านี้ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงครองและกุมฤทธานุภาพเช่นนี้ และดังนั้นฤทธานุภาพจึงถูกเรียกว่าสิทธิอำนาจ  นี่คือเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง เมื่อเป็นเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นคำว่า “สิทธิอำนาจ” เอง หรือแก่นแท้ของสิทธิอำนาจนี้ แต่ละอย่างเชื่อมโยงได้แต่กับพระผู้สร้างเท่านั้น เพราะเป็นสัญลักษณ์แห่งพระอัตลักษณ์และแก่นแท้อันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง และเป็นตัวแทนแห่งพระอัตลักษณ์และสถานะของพระผู้สร้าง นอกเหนือจากพระผู้สร้างแล้วไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่สามารถเชื่อมโยงกับคำว่า “สิทธิอำนาจ” ได้  นี่คือการตีความสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้างอย่างหนึ่ง

แม้ซาตานจะมองโยบด้วยสายตาอันละโมบ แต่หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า มันก็ไม่กล้าแตะต้องแม้ขนสักเส้นบนร่างกายของโยบ  ถึงแม้ว่าซาตานจะชั่วและโหดร้ายโดยกำเนิด แต่หลังจากที่พระเจ้าทรงออกคำสั่งของพระองค์แก่มัน มันก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยึดปฏิบัติตามพระบัญชาของพระเจ้า  ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้ซาตานจะคลั่งดุจหมาป่าท่ามกลางฝูงแกะเมื่อกล่าวถึงโยบ แต่มันก็ไม่กล้าลืมเลือนข้อจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ให้กับมัน ไม่กล้าละเมิดคำสั่งของพระเจ้า และในทุกสิ่งที่ซาตานทำนั้น มันไม่กล้าเบี่ยงเบนไปจากหลักธรรมและข้อจำกัดในพระวจนะของพระเจ้า—นี่มิใช่ข้อเท็จจริงหรอกหรือ?  จากการนี้สามารถมองเห็นว่า ซาตานไม่กล้าขัดพระวจนะอันใดของพระยาห์เวห์พระเจ้า  สำหรับซาตานแล้ว พระวจนะทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าคือคำสั่งและธรรมบัญญัติจากสวรรค์ เป็นการแสดงออกถึงสิทธิอำนาจของพระเจ้า—เพราะเบื้องหลังพระวจนะทุกคำของพระเจ้าแสดงนัยถึงการลงโทษที่พระเจ้าทรงมีต่อพวกที่ละเมิดคำสั่งของพระเจ้า และพวกที่ไม่เชื่อฟังและต่อต้านธรรมบัญญัติจากสวรรค์  ซาตานรู้อย่างชัดเจนว่าหากมันละเมิดคำสั่งของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว มันต้องยอมรับผลสืบเนื่องของการฝ่าฝืนสิทธิอำนาจของพระเจ้าและต่อต้านธรรมบัญญัติจากสวรรค์  แล้วผลสืบเนื่องเหล่านี้คืออะไร?  ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่าผลสิบเนื่องเหล่านี้คือการที่มันถูกพระเจ้าลงโทษ  สิ่งที่ซาตานทำกับโยบนั้นเป็นแค่หน่วยจุลภาคของการที่มันทำให้มนุษย์เสื่อมทราม และเมื่อซาตานกำลังกระทำการเหล่านี้ ข้อจำกัดที่พระเจ้าทรงกำหนดและคำสั่งที่พระองค์ทรงมีแก่ซาตานก็เป็นเพียงหน่วยจุลภาคของหลักธรรมเบื้องหลังทุกสิ่งที่มันทำ  นอกจากนี้บทบาทและตำแหน่งของซาตานในเรื่องนี้ก็เป็นเพียงหน่วยจุลภาคของบทบาทและตำแหน่งที่มันมีในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า และการเชื่อฟังพระเจ้าโดยบริบูรณ์ของซาตานในการที่มันทดลองโยบย่อมเป็นเพียงหน่วยจุลภาคของการที่ซาตานไม่กล้าต่อต้านพระเจ้าแม้แต่น้อยในพระราชกิจบริหารจัดการของพระเจ้า  หน่วยจุลภาคเหล่านี้กำลังเตือนพวกเจ้าว่าอย่างไร?  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่งรวมถึงซาตานนั้น ไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดที่สามารถฝ่าฝืนธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์ที่พระผู้สร้างทรงกำหนดขึ้นได้ และไม่มีบุคคลหรือสิ่งใดที่กล้าละเมิดธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์เหล่านี้ เพราะไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดที่สามารถปรับเปลี่ยนหรือหนีรอดจากการลงโทษที่พระผู้สร้างทรงมีต่อพวกที่ไม่เชื่อฟังธรรมบัญญัติและประกาศิตเหล่านี้  มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่สามารถกำหนดธรรมบัญญัติและประกาศิตจากสวรรค์ได้ มีเพียงพระผู้สร้างเท่านั้นที่ทรงมีฤทธานุภาพที่จะบังคับใช้สิ่งเหล่านี้ และมีเพียงฤทธานุภาพของพระผู้สร้างเท่านั้นที่มิอาจมีบุคคลหรือสิ่งใดฝ่าฝืนได้  นี่คือสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระผู้สร้าง และนี่คือสิทธิอำนาจสูงสุดท่ามกลางสรรพสิ่ง และดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ที่สุด และซาตานคือหมายเลขสอง”  เว้นแต่พระผู้สร้างผู้ทรงครองสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์แล้ว ย่อมไม่มีพระเจ้าองค์อื่น!

บัดนี้พวกเจ้ามีความรู้ใหม่ในเรื่องสิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้วใช่หรือไม่?  ก่อนอื่นมีความแตกต่างระหว่างสิทธิอำนาจของพระเจ้าที่เพิ่งกล่าวถึงไป กับพลังอำนาจของมนุษย์หรือไม่?  สิ่งใดคือความแตกต่าง?  ผู้คนบางคนกล่าวว่าไม่อาจนำสองสิ่งนี้มาเปรียบเทียบกัน  นั่นถูกต้องแล้ว!  และถึงแม้ผู้คนจะกล่าวว่าไม่ควรเปรียบเทียบสองสิ่งนี้ แต่ในความคิดและมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ยังมีบ่อยครั้งที่เอาอำนาจของมนุษย์มาสับสนปนเปกับสิทธิอำนาจ และมีอยู่บ่อยครั้งที่สองสิ่งนี้ถูกนำมาเทียบเคียงกัน  เกิดอะไรขึ้นตรงนี้?  ไม่ใช่ว่าผู้คนกำลังทำผิดพลาดด้วยการเอาสิ่งหนึ่งมาแทนที่อีกสิ่งหนึ่งโดยไม่ได้เจตนาหรอกหรือ?  สองสิ่งนี้ไม่เชื่อมโยงกัน และไม่ควรนำมาเปรียบเทียบกัน กระนั้นผู้คนก็ยังคงอดไม่ได้  การนี้ควรแก้ไขอย่างไร?  หากเจ้าปรารถนาที่จะหาทางแก้ไขอย่างแท้จริง มีหนทางเดียวเท่านั้นคือมาเข้าใจและรู้จักสิทธิอำนาจอันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า  หลังจากที่เข้าใจและรู้จักสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างแล้ว เจ้าจะไม่กล่าวถึงอำนาจของมนุษย์และสิทธิอำนาจของพระเจ้าไปพร้อมกัน

อำนาจของมนุษย์หมายถึงสิ่งใด?  กล่าวง่ายๆ ก็คือเป็นความสามารถหรือทักษะที่ทำให้อุปนิสัยอันเสื่อมทราม ความอยากได้อยากมี และความทะเยอทะยานของมนุษย์สามารถแผ่ขยายหรือสำเร็จลุล่วงจนถึงระดับสูงสุดได้  การนี้นับว่าเป็นสิทธิอำนาจหรือไม่?  ไม่ว่าความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของมนุษย์จะพองโตหรือให้ผลตอบแทนมากเพียงใด ก็ไม่สามารถกล่าวได้ว่าบุคคลนั้นครองสิทธิอำนาจ อย่างมากที่สุดอาการพองโตและความสำเร็จนี้ก็เพียงแสดงให้เห็นถึงการเล่นตลกโปกฮาของซาตานท่ามกลางมนุษย์เท่านั้น อย่างมากที่สุดก็เป็นละครตลกที่ซาตานแสดงเป็นบรรพบุรุษของตัวมันเอง เพื่อลุล่วงความทะเยอทะยานที่จะเป็นพระเจ้าของมัน

บัดนี้ โดยแท้แล้วเจ้ามีทรรศนะต่อสิทธิอำนาจของพระเจ้าอย่างไร?  บัดนี้เมื่อได้สามัคคีธรรมถึงพระวจนะเหล่านี้แล้ว เจ้าควรจะมีความรู้ใหม่เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า  ดังนั้นเราจะถามพวกเจ้าว่า  สิทธิอำนาจของพระเจ้าเป็นสัญลักษณ์แทนสิ่งใด?  เป็นสัญลักษณ์แทนพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่?  เป็นสัญลักษณ์แทนฤทธานุภาพของพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่?  เป็นสัญลักษณ์แทนสถานะอันทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่?  ท่ามกลางทุกสรรพสิ่ง เจ้ามองเห็นสิทธิอำนาจของพระเจ้าในสิ่งใดบ้าง?  เจ้ามองเห็นว่าเป็นอย่างไร?  ในแง่ของฤดูกาลทั้งสี่ที่มนุษย์มีประสบการณ์ด้วยนั้น จะมีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติแห่งการหมุนเวียนเปลี่ยนผันของฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน ฤดูใบไม้ร่วง และฤดูหนาวได้?  ในฤดูใบไม้ผลิ ต้นไม้แตกตาอ่อนและออกดอก ในฤดูร้อน พวกมันมีใบไม้ปกคลุม ในฤดูใบไม้ร่วง พวกมันออกผล และในฤดูหนาว ใบไม้ก็ร่วงหล่น  มีผู้ใดสามารถปรับเปลี่ยนธรรมบัญญัติข้อนี้ได้?  การนี้สะท้อนให้เห็นแง่มุมหนึ่งแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้าหรือไม่?  พระเจ้าตรัสว่า “จงเกิดความสว่าง” แล้วความสว่างก็เกิดขึ้น  ความสว่างนี้ยังคงมีอยู่หรือไม่?  และมีอยู่เนื่องจากสิ่งใด?  แน่นอนว่ามีอยู่เนื่องจากพระวจนะของพระเจ้า และเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า  อากาศที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นยังคงมีอยู่หรือไม่?  อากาศที่มนุษย์หายใจใช่มาจากพระเจ้าหรือไม่?  มีผู้ใดสามารถเอาสิ่งทั้งหลายที่มาจากพระเจ้าไปได้?  มีผู้ใดสามารถปรับเปลี่ยนแก่นแท้และหน้าที่ของพวกมัน?  มีผู้ใดสามารถทำให้คืนและวันที่พระเจ้าทรงจัดสรรไว้ และธรรมบัญญัติแห่งคืนและวันที่พระเจ้าทรงวางระเบียบไว้มีอันยุ่งเหยิงได้?  ซาตานสามารถทำสิ่งดังกล่าวได้หรือไม่?  ต่อให้เจ้าไม่หลับไม่นอนในเวลากลางคืน และใช้กลางคืนเสมือนเป็นกลางวัน แต่มันก็ยังคงเป็นยามราตรี เจ้าอาจเปลี่ยนแปลงกิจวัตรประจำวันของเจ้า แต่เจ้าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติแห่งการสลับสับเปลี่ยนระหว่างกลางคืนและกลางวันได้—ไม่มีบุคคลใดสามารถปรับเปลี่ยนข้อเท็จจริงนี้ได้หรือมิใช่?  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำให้สิงโตไถพรวนเหมือนวัวได้?  ผู้ใดบ้างที่สามารถเปลี่ยนช้างให้เป็นลา?  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำให้ไก่โผบินไปในอากาศเหมือนนกอินทรี?  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำให้หมาป่ากินหญ้าเหมือนแกะ?  (ไม่มี)  ผู้ใดบ้างที่สามารถทำให้ปลาในน้ำดำรงชีวิตอยู่บนบกได้?  มนุษย์ทำเช่นนั้นไม่ได้  เหตุใดจึงไม่ได้?  นั่นเป็นเพราะพระเจ้าทรงบัญชาให้ปลาดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ ดังนั้นพวกมันจึงดำรงชีวิตอยู่ในน้ำ ไม่สามารถรอดชีวิตบนบกและย่อมจะตาย พวกมันไม่สามารถฝ่าฝืนข้อจำกัดที่พระเจ้ามีพระบัญชาเอาไว้  ทุกสรรพสิ่งมีธรรมบัญญัติและข้อจำกัดในการดำรงอยู่ของตน และแต่ละชนิดก็มีสัญชาตญาณของตนเอง  เหล่านี้ถูกกำหนดโดยพระผู้สร้าง และไม่มีมนุษย์คนใดสามารถปรับเปลี่ยนหรือก้าวล่วงได้  ตัวอย่างเช่น สิงโตย่อมจะดำรงชีวิตอยู่ในป่า ห่างไกลจากชุมชนของมนุษย์เสมอ และไม่มีวันที่จะว่านอนสอนง่ายและสัตย์ซื่อเหมือนวัวที่ดำรงชีวิตร่วมกับมนุษย์และทำงานให้มนุษย์  ถึงแม้ว่าช้างและลาจะเป็นสัตว์ทั้งคู่และมีสี่ขาทั้งคู่ และเป็นสรรพสิ่งทรงสร้างที่หายใจเอาอากาศ แต่พวกมันก็เป็นสายพันธุ์ที่แตกต่างกัน เพราะพระเจ้าทรงแยกให้ต่างชนิดกัน แต่ละประเภทก็มีสัญชาตญาณของตนเอง และดังนั้นจึงไม่มีวันสลับสับเปลี่ยนกันได้  ถึงแม้ว่าไก่จะมีขาและปีกสองข้างเหมือนนกอินทรี แต่มันจะไม่มีวันบินไปในอากาศได้ อย่างมากที่สุดก็ทำได้เพียงบินขึ้นไปบนต้นไม้—การนี้มีสัญชาตญาณของมันเป็นเครื่องกำหนด  ไม่จำเป็นต้องกล่าวเลยว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะคำบัญชาแห่งสิทธิอำนาจของพระเจ้า

ในพัฒนาการของมวลมนุษย์ทุกวันนี้ สามารถกล่าวได้ว่าวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษย์กำลังเฟื่องฟู และสามารถพูดได้ว่าความสำเร็จในการสำรวจเชิงวิทยาศาสตร์ของมนุษย์นั้นน่าประทับใจ  ส่วนความสามารถของมนุษย์ ต้องกล่าวว่ากำลังเติบโตยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์อย่างหนึ่งที่มวลมนุษย์ยังไม่สามารถทำได้ กล่าวคือ มวลมนุษย์สร้างเครื่องบิน เรือบรรทุกเครื่องบิน และระเบิดปรมาณู มวลมนุษย์เดินทางไปในอวกาศ เดินบนดวงจันทร์ ประดิษฐ์คิดค้นอินเทอร์เน็ต และมีวิถีชีวิตที่ใช้วิทยาการขั้นสูง กระนั้นมวลมนุษย์ก็ยังไม่สามารถสร้างสิ่งมีชีวิตที่มีลมหายใจ  สัญชาตญาณของสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกชนิด และธรรมบัญญัติที่พวกมันใช้ดำรงชีวิต และวัฏจักรแห่งความเป็นและความตายของสิ่งมีชีวิตทุกประเภท—ทั้งหมดนี้ล้วนพ้นวิสัยของพลังอำนาจแห่งวิทยาศาสตร์ของมวลมนุษย์ และวิทยาศาสตร์ของมนุษย์ก็ไม่สามารถควบคุมสิ่งเหล่านี้ได้ด้วย  ณ จุดนี้ต้องกล่าวว่า ไม่ว่าวิทยาศาสตร์ของมนุษย์จะประสบความสำเร็จสูงส่งเพียงใด ก็มิอาจเทียมทันพระดำริใดๆ ของพระผู้สร้าง และไม่สามารถหยั่งรู้ความมหัศจรรย์แห่งการทรงสร้างของพระผู้สร้างและอิทธิฤทธิ์แห่งสิทธิอำนาจของพระองค์  มีมหาสมุทรมากมายยิ่งนักบนแผ่นดินโลก กระนั้น มหาสมุทรเหล่านี้ก็ไม่เคยฝ่าฝืนข้อจำกัดของพวกมันและขึ้นมาบนบกตามใจชอบ และนั่นเป็นเพราะพระเจ้าได้ทรงกำหนดอาณาเขตให้แก่มหาสมุทรแต่ละแห่ง พวกมันจึงอยู่ในที่ใดก็ตามที่พระองค์ทรงบัญชาให้อยู่ และหากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า พวกมันจะไม่สามารถเคลื่อนที่ไปมาได้อย่างอิสระ  หากไม่ได้รับอนุญาตจากพระเจ้า พวกมันก็ไม่อาจล่วงล้ำกัน และจะเคลื่อนที่ได้ก็ต่อเมื่อพระเจ้าตรัสเช่นนั้นเท่านั้น และที่ซึ่งมหาสมุทรเคลื่อนไปและหยุดยั้งอยู่ ก็มีสิทธิอำนาจของพระเจ้าเป็นเครื่องกำหนด

กล่าวตามตรงก็คือ “สิทธิอำนาจของพระเจ้า” หมายความว่า ขึ้นอยู่กับพระเจ้า  พระเจ้าทรงมีสิทธิ์ในการตัดสินว่าจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างไร และนั่นย่อมจะเสร็จสิ้นไปในลักษณะใดก็ตามที่พระองค์ทรงปรารถนา  ธรรมบัญญัติของทุกสรรพสิ่งขึ้นอยู่กับพระเจ้า และมิได้ขึ้นอยู่กับมนุษย์ อีกทั้งมนุษย์ก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้  ทุกสิ่งไม่สามารถเคลื่อนไหวไปตามเจตจำนงของมนุษย์ แต่กลับเปลี่ยนแปลงตามพระดำริของพระเจ้า พระปัญญาของพระเจ้า และพระบัญชาของพระเจ้า  นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถปฏิเสธได้  ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและทุกสรรพสิ่ง จักรวาล ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว และฤดูกาลทั้งสี่ของปี สิ่งที่มนุษย์มองเห็นและมองไม่เห็น—ทั้งหมดล้วนดำรงอยู่ ทำหน้าที่ และเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่มีความผิดพลาดแม้แต่น้อย ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า ตามคำสั่งของพระเจ้า ตามพระบัญญัติทั้งหลายของพระเจ้า และตามธรรมบัญญัติตั้งแต่ครั้งปฐมกาลของการสร้างโลก  ไม่มีบุคคลหรือวัตถุใดจะสามารถเปลี่ยนแปลงธรรมบัญญัติของตนได้ หรือเปลี่ยนแปลงครรลองแห่งการทำหน้าที่ของตนตามธรรมชาติ  สรรพสิ่งเกิดมีขึ้นเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า และพินาศไปเนื่องจากสิทธิอำนาจของพระเจ้า  นี่คือสิทธิอำนาจของพระเจ้าโดยแท้  บัดนี้เมื่อได้กล่าวมามากมายถึงเพียงนี้แล้ว เจ้ารู้สึกได้หรือไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระเจ้าคือสัญลักษณ์อย่างหนึ่งแห่งพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า?  สิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือที่มิได้ทรงสร้างใดๆ จะสามารถครองสิทธิอำนาจของพระเจ้าได้หรือไม่?  บุคคล สิ่งของ หรือวัตถุใดๆ จะสามารถเลียนแบบ ปลอมแปลง หรือแทนที่สิทธิอำนาจนั้นได้หรือไม่?

พระอัตลักษณ์ของพระผู้สร้างนั้นทรงเอกลักษณ์ และพวกเจ้าไม่ควรยึดปฏิบัติตามแนวคิดแบบพหุเทวนิยม

ถึงแม้ทักษะและความสามารถของซาตานจะยิ่งใหญ่กว่าทักษะและความสามารถของมนุษย์ ถึงแม้ว่ามันจะสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่มนุษย์ไม่สามารถทำได้ แต่ไม่ว่าเจ้าจะอิจฉาหรือใฝ่ฝันในสิ่งที่ซาตานทำหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะเกลียดชังหรือขยะแขยงสิ่งเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม ไม่ว่าเจ้าจะสามารถมองเห็นสิ่งเหล่านี้หรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าซาตานจะสามารถสัมฤทธิ์มากมายเพียงใด หรือมันสามารถหลอกลวงผู้คนให้เคารพบูชาและปกป้องมันกี่คนก็ตาม และไม่ว่าเจ้าจะนิยามมันอย่างไรก็ตาม ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะสามารถกล่าวว่ามันมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพของพระเจ้า  เจ้าควรรู้ว่าพระเจ้าก็คือพระเจ้า พระเจ้ามีเพียงองค์เดียวเท่านั้น และยิ่งไปกว่านั้น เจ้าควรรู้ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีสิทธิอำนาจ ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีฤทธานุภาพในการควบคุมและปกครองทุกสรรพสิ่ง  เพียงเพราะซาตานมีความสามารถที่จะหลอกลวงผู้คนและปลอมเป็นพระเจ้า เลียนแบบหมายสำคัญและปาฏิหาริย์ที่พระเจ้าทรงทำ และได้ทำสิ่งทั้งหลายที่คล้ายกับพระเจ้าเท่านั้น เจ้าก็เชื่อผิดๆ ว่าพระเจ้าไม่ทรงเอกลักษณ์ ว่ามีพระเจ้าหลายองค์ ว่าพระเจ้าที่แตกต่างกันเหล่านี้แค่มีทักษะมากกว่าหรือน้อยกว่ากันเท่านั้น และว่าฤทธานุภาพที่พระเจ้าเหล่านี้กวัดแกว่งย่อมครอบคลุมกว้างขวางแตกต่างกัน  เจ้าจัดอันดับความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเหล่านี้ตามลำดับการมาถึงและตามอายุของแต่ละองค์ และเจ้าเชื่ออย่างผิดๆ ว่ามีเทพเจ้าอื่นๆ นอกเหนือจากพระเจ้า และคิดว่าฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจของพระเจ้าไม่ได้ทรงเอกลักษณ์  หากเจ้ามีแนวคิดเช่นนั้น หากเจ้าไม่ตระหนักในเอกลักษณ์ของพระเจ้า ไม่เชื่อว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองสิทธิอำนาจ และหากเจ้าเพียงแต่ยึดปฏิบัติตามความเชื่อแบบพหุเทวนิยม เช่นนั้นแล้ว เราว่าเจ้าก็คือสิ่งทรงสร้างที่เหลือขอ เจ้าคือรูปจำแลงของซาตานอย่างแท้จริง และเจ้าเป็นคนชั่วโดยสมบูรณ์!  พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เราพยายามสอนพวกเจ้าด้วยการกล่าววจนะเหล่านี้หรือไม่?  ไม่ว่ากาลเวลา สถานที่ หรือภูมิหลังของเจ้าจะเป็นเช่นไร เจ้าต้องไม่เอาพระเจ้าไปสับสนกับบุคคล วัตถุ หรือสิ่งอื่นใด  ไม่ว่าเจ้าจะรู้สึกว่า สิทธิอำนาจของพระเจ้าและแก่นแท้ของพระเจ้าพระองค์เองเป็นที่มิอาจรู้จักได้หรือไม่อาจเข้าถึงได้เพียงใดก็ตาม ไม่ว่าความประพฤติและคำพูดของซาตานจะตรงกับมโนคติอันหลงผิดและจินตนาการของเจ้ามากเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิ่งเหล่านั้นจะทำให้เจ้าพึงพอใจเพียงใดก็ตาม จงอย่าเขลา อย่าสับสนไปกับมโนทัศน์เหล่านี้ อย่าปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระเจ้า จงอย่าปฏิเสธพระอัตลักษณ์และสถานะของพระเจ้า อย่าผลักพระเจ้าออกนอกประตูและนำซาตานเข้ามาแทนที่พระเจ้าที่อยู่ในหัวใจของเจ้าและเป็นพระเจ้าของเจ้า  เราไม่สงสัยเลยว่าพวกเจ้าสามารถจินตนาการถึงผลสืบเนื่องของการทำเช่นนั้น!

แม้มวลมนุษย์จะถูกทำให้เสื่อมทราม แต่เขาก็ยังคงดำรงชีวิตอยู่ภายใต้อธิปไตยแห่งสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง

ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามมาหลายพันปีแล้ว  มันทำความชั่วมานับไม่ถ้วน หลอกลวงผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า และก่ออาชญากรรมอันเลวร้ายบนโลก  มันทารุณมนุษย์ หลอกลวงมนุษย์ ยั่วให้มนุษย์ต่อต้านพระเจ้า และมีพฤติการณ์อันชั่วที่ปั่นป่วนและบ่อนทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า  ถึงกระนั้น ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า สรรพสิ่งและสิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทั้งปวงยังคงยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และธรรมบัญญัติที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้ต่อไป  เมื่อเปรียบเทียบกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าแล้ว ธรรมชาติและการอาละวาดอันชั่วของซาตานนั้นอัปลักษณ์เป็นที่ยิ่ง น่าขยะแขยงและน่าดูหมิ่นยิ่งนัก และช่างเล็กและเปราะบางเหลือเกิน  ถึงแม้ว่าซาตานจะเดินอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้าง แต่มันก็ไม่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงในตัวผู้คน วัตถุ หรือสิ่งอันใดที่อยู่ใต้พระบัญชาของพระเจ้าแม้แต่น้อย  หลายพันปีผ่านพ้นไป และมวลมนุษย์ก็ยังคงชื่นชมความสว่างและอากาศที่พระเจ้าประทานให้ ยังคงหายใจด้วยลมปราณที่พระเจ้าพระองค์เองทรงถ่ายทอดออกมา ยังคงชื่นชมดอกไม้ นก ปลา และแมลงทั้งหลายที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้น และชื่นชมทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้ วันและคืนยังคงสลับแทนที่กันอย่างต่อเนื่อง ฤดูกาลทั้งสี่ยังคงปรับเปลี่ยนหมุนเวียนตามปกติ ห่านป่าที่บินอยู่ในท้องฟ้าจากไปในฤดูหนาว และยังคงหวนคืนมาในฤดูใบไม้ผลิครั้งถัดไป ปลาในน้ำไม่เคยทิ้งแม่น้ำและทะเลสาบซึ่งเป็นบ้านของตน จักจั่นบนแผ่นดินโลกขับขานจากหัวใจของพวกมันในหน้าร้อน และจิ้งหรีดในพงหญ้าครวญเพลงแผ่วเบาเป็นจังหวะเข้ากับสายลมในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ห่านป่ารวมตัวกันเป็นฝูง ในขณะที่นกอินทรียังคงสันโดษ ฝูงสิงโตยังคงหาเลี้ยงตนเองโดยการไล่ล่า กวางเอลก์ไม่ไถลห่างไปจากทุ่งหญ้าและดอกไม้… สิ่งทรงสร้างที่มีชีวิตทุกประเภทจากไปและหวนคืนมา และแล้วก็จากไปอีกครั้งท่ามกลางทุกสิ่ง ความเปลี่ยนแปลงนับล้านเกิดขึ้นภายในพริบตาเดียว—แต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงคือสัญชาตญาณและธรรมบัญญัติแห่งการอยู่รอดของสรรพสิ่ง  พวกมันดำรงชีวิตอยู่ภายใต้การจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงของพระเจ้า และไม่มีผู้ใดสามารถเปลี่ยนแปลงสัญชาตญาณของพวกมันได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถทำลายกฎเกณฑ์แห่งอยู่รอดของพวกมันได้  ถึงแม้ว่ามวลมนุษย์ที่ดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางสรรพสิ่งจะถูกซาตานหลอกลวงและทำให้เสื่อมทราม แต่มนุษย์ก็ยังคงไม่สามารถงดน้ำที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ และอากาศที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ และทุกสรรพสิ่งที่พระเจ้าทรงสร้างไว้ และมนุษย์ยังคงดำรงชีวิตและเพิ่มจำนวนอยู่ในพื้นที่นี้ที่พระเจ้าทรงสร้างไว้  สัญชาตญาณของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลงไป  มนุษย์ยังคงพึ่งพาสายตาของเขาในการมองเห็น พึ่งพาหูของเขาในการได้ยิน พึ่งพาสมองของเขาในการคิด พึ่งพาหัวใจของเขาในการเข้าใจ พึ่งพาขาและเท้าของเขาในการเดิน พึ่งพามือของเขาในการทำงาน และอื่นๆ สัญชาตญาณทั้งหมดที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์เพื่อให้เขาสามารถยอมรับการจัดเตรียมของพระเจ้าได้นั้นยังคงไม่ปรับเปลี่ยน ปฏิภาณทั้งหลายที่มนุษย์ใช้เพื่อร่วมมือกับพระเจ้าก็ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ปฏิภาณของมวลมนุษย์ในการทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความต้องการฝ่ายวิญญาณของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความอยากพบต้นกำเนิดของตนในตัวมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ความโหยหาที่จะได้รับการช่วยให้รอดจากพระผู้สร้างของมวลมนุษย์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง  เช่นนั้นคือรูปการณ์แวดล้อมในปัจจุบันของมวลมนุษย์ ที่ดำรงชีวิตอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า และทนฝ่าการทำลายล้างอันนองเลือดที่เป็นฝีมือของซาตาน  แม้มวลมนุษย์จะถูกซาตานเหยียบย่ำ และแม้มวลมนุษย์จะไม่ใช่อาดัมกับเอวาจากปฐมกาลแห่งการทรงสร้างอีกต่อไปแล้ว แต่พวกเขากลับเต็มไปด้วยสิ่งที่เป็นปรปักษ์กับพระเจ้าแทน เช่น ความรู้ จินตนาการ มโนคติอันหลงผิด และอื่นๆ และเต็มไปด้วยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตาน กระนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า มวลมนุษย์ยังคงเป็นมวลมนุษย์ที่พระองค์ทรงสร้างดังเดิม  มวลมนุษย์ยังคงได้รับการปกครองและจัดวางเรียบเรียงจากพระเจ้า และยังคงดำรงชีวิตอยู่ในครรลองที่พระเจ้าทรงกำหนดเอาไว้ และดังนั้นในสายพระเนตรของพระเจ้า มวลมนุษย์ที่ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามจึงเพียงถูกคราบสกปรกจับ  มีปฏิกิริยาที่เชื่องช้าไปสักหน่อย ท้องก็ร้อง ความจำก็ไม่ดีเหมือนเคย และชราลงเล็กน้อย—แต่การทำงานและสัญชาตญาณทั้งหมดของมนุษย์ไม่มีการเสียหายแต่อย่างใด  นี่คือมวลมนุษย์ที่พระเจ้าตั้งพระทัยที่จะช่วยให้รอด  มวลมนุษย์นี้เพียงต้องได้ยินการทรงเรียกของพระผู้สร้าง และได้ยินพระสุรเสียงของพระผู้สร้างเท่านั้น แล้วเขาจะยืนขึ้นและรีบค้นหาตำแหน่งของแหล่งกำเนิดเสียงนั้น  มวลมนุษย์นี้เพียงต้องมองเห็นรูปสัณฐานของพระผู้สร้างเท่านั้น แล้วเขาจะไม่ใส่ใจในสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่ออุทิศตนต่อพระเจ้า และถึงขั้นยอมพลีชีวิตของเขาเพื่อพระองค์  เมื่อหัวใจของมวลมนุษย์เข้าใจพระวจนะที่เปี่ยมด้วยน้ำใสใจจริงของพระผู้สร้าง มวลมนุษย์จะปฏิเสธซาตานและมาอยู่เคียงข้างพระผู้สร้าง เมื่อมวลมนุษย์ชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกายของเขาอย่างหมดจด และน้อมรับการจัดเตรียมและการบำรุงเลี้ยงของพระผู้สร้างอีกครั้งหนึ่ง เมื่อนั้นความทรงจำของมวลมนุษย์จะฟื้นคืนมา และเมื่อถึงเวลานั้น มวลมนุษย์ย่อมจะหวนคืนสู่อำนาจครอบครองของพระผู้สร้างแล้วอย่างแท้จริง

14 ธันวาคม ค.ศ. 2013

ก่อนหน้า: พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3

ถัดไป: พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 2

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

การตั้งค่า

  • ข้อความ
  • ธีม

สีเข้ม

ธีม

แบบอักษร

ขนาดตัวอักษร

ระยะห่างบรรทัด

ระยะห่างบรรทัด

ความกว้างของหน้า

เนื้อหา

ค้นหา

  • ค้นหาข้อความนี้
  • ค้นหาในหนังสือนี้

ติดต่อเราผ่าน Messenger