คำเทศนาเรื่อง: คริสตจักรของพระเจ้าที่แท้จริงคืออะไร? เราสามารถแยกแยะระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลายได้อย่างไร?

วันที่ 08 เดือน 09 ปี 2020

โดยเบาดา ออสเตรเลีย

โลกอยู่ในสภาพของความยุ่งเหยิง ด้วยความวิบัติทุกประเภทกำลังเกิดขึ้นกับมนุษยชาติ ผู้คนมากมายกำลังนึกสงสัยว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วหรือยัง? และถ้าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ทำไมเราจึงยังไม่ถูกรับขึ้นไปก่อนความวิบัติครั้งใหญ่ทั้งหลายกันล่ะ?” บางคนเห็นบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของพวกเขาประกาศเกี่ยวกับสิ่งเก่าเดิมๆ ตลอดเวลา ความเชื่อของผู้เชื่อทั้งหลายกำลังมอดดับ ผู้เชื่อทั้งหลายกำลังติดตามกระแสโลกและไม่สามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ แล้วพวกเขาก็นึกสงสัยว่าคริสตจักรคริสเตียนนั้นเป็นเหมือนคริสตจักรเลาดีเซียที่ถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทอดทิ้งหรือไม่ ในจดหมายถึงคริสตจักรฟิลาเดลเฟียในวิวรณ์กล่าวว่า “เรารู้จักความประพฤติของเจ้า นี่แน่ะ เราจัดวางประตูที่เปิดไว้ตรงหน้าพวกเจ้า ประตูนี้ไม่มีใครสามารถปิดได้ เรารู้ว่าเจ้ามีกำลังเพียงเล็กน้อย แต่กระนั้นเจ้าก็ถือรักษาคำของเรา และไม่ได้ปฏิเสธนามของเรา(วิวรณ์ 3:8) เราสามารถเห็นได้ว่ามีเพียงบรรดาผู้ที่อยู่ในคริสตจักรฟิลาเดลเฟียเท่านั้นที่สามารถรักษาพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ภายใต้สถานการณ์ใดๆ และมีพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้ พวกเขาเป็นผู้เดียวที่ถูกรับขึ้นไปก่อนความวิบัติครั้งใหญ่ทั้งหลายอย่างแท้จริง และคริสตจักรซึ่งมีพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ประเภทนี้เท่านั้นที่เป็นคริสตจักรแท้จริงเพียงหนึ่งเดียว บางคนเปรียบเทียบสิ่งนี้กับสถานการณ์ปัจจุบันของคริสตจักรคริสเตียนและปรารถนาจะออกไปเพื่อค้นหาคริสตจักรที่แท้จริง อย่างไรก็ตามก็มีคนอื่นที่เชื่อว่าคริสตจักรกำลังรุ่งเรืองด้วยการจัดการแข่งขันทั้งหลายในเรื่องความรู้ของผู้คนเกี่ยวกับพระคัมภีร์และบรรยากาศซึ่งมีชีวิตชีวาในการเฉลิมฉลองงานเทศกาลทุกรูปแบบ พวกเขาคิดว่า “นี่คือพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่หรือ? คริสตจักรประเภทนี้คือคริสตจักรที่แท้จริงและมันจะถูกรับขึ้นไปอย่างแน่นอน” แต่มุมมองใดที่ถูกต้อง? คริสตจักรที่แท้จริงคืออะไร? และเราควรจะแยกแยะระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลายอย่างไร? มาสามัคคีธรรมถึงคำถามเหล่านี้กันค่ะ

สารบัญ
หลักการแรกสำหรับแยกแยะความแตกต่างระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลายก็คือ มันมีพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ และสมาชิกของมันไล่ตามความจริงหรือไม่?
หลักการที่สองสำหรับการแยกแยะระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลายก็คือ ความจริงหรือผู้เลี้ยงแกะเทียมเท็จที่มีอำนาจเหนือกันแน่?
จะหาคริสตจักรที่แท้จริงอย่างไร

หลักการแรกสำหรับแยกแยะความแตกต่างระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลายก็คือ มันมีพระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ และสมาชิกของมันไล่ตามความจริงหรือไม่?

พระคัมภีร์กล่าวว่า “คริสตจักรเป็นพระกายของพระคริสต์ ซึ่งเป็นความบริบูรณ์ของพระองค์ ผู้ทรงเติมทุกอย่างในทุกแห่งให้เต็มบริบูรณ์” (เอเฟซัส 1:23) พระยาเวห์พระเจ้าได้ตรัสกับซาโลมอนว่า “เพราะบัดนี้เราได้เลือกสรรและทำให้นิเวศนี้เป็นที่บริสุทธิ์เพื่อนามของเราจะอยู่ที่นั่นเป็นนิตย์ และตาของเรา ใจของเราจะอยู่ที่นั่นตลอดเวลา(2 พงศาวดาร 7:16) และพระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “ในแต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระเจ้ายังมีข้อพึงประสงค์ต่อมนุษย์ที่สอดคล้องกับช่วงระยะนั้นๆ ด้วยเช่นกัน ผู้คนทั้งหมดที่อยู่ภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกครองโดยการทรงสถิตและการบ่มวินัยของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกที่ไม่อยู่ภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมอยู่ภายใต้คำสั่งของซาตาน และปราศจากพระราชกิจใดๆ แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้คนที่อยู่ในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์คือบรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า กับผู้ที่ร่วมมือในพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า หากบรรดาผู้ที่อยู่ภายในกระแสนี้ไม่สามารถร่วมมือ และไร้ความสามารถที่จะนำความจริงที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ในช่วงระหว่างยุคนี้ไปปฏิบัติได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะถูกบ่มวินัย และในกรณีที่เลวร้ายที่สุดพวกเขาก็จะถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงละทิ้ง บรรดาผู้ที่ยอมรับพระราชกิจใหม่แห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะใช้ชีวิตภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเขาจะได้รับการดูแลและการคุ้มครองปกป้องของพระวิญญาณบริสุทธิ์ บรรดาผู้ที่เต็มใจที่จะนำความจริงไปปฏิบัติย่อมได้รับการประทานความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกที่ไม่เต็มใจจะนำความจริงไปปฏิบัติย่อมถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงบ่มวินัย และอาจแม้กระทั่งถูกลงโทษ ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นบุคคลประเภทใดก็ตาม พระเจ้าจะทรงรับผิดชอบทุกผู้คนที่ยอมรับพระราชกิจใหม่ของพระองค์เพื่อประโยชน์แห่งพระนามของพระองค์ภายใต้เงื่อนไขว่าพวกเขานั้นอยู่ภายในกระแสแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและการปฏิบัติของมนุษย์)

เราสามารถเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าคริสตจักรเป็นพระวิหารของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงเก็บรักษาไว้และมีการยอมรับของพระเจ้า คริสตจักรที่แท้จริงมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มันถูกสร้างขึ้นจากผู้คนที่ยอมรับพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้า และผู้ที่ใช้ชีวิตภายในกระแสทางเดินของพระวิญญาณบริสุทธิ์และไล่ตามความจริง ในคริสตจักรเช่นนี้ ผู้เชื่อมารวมตัวกันเพื่อสามัคคีธรรมในเรื่องถ้อยดำรัสปัจจุบันของพระเจ้า พวกเขาได้รับความรู้แจ้งและความสว่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาเข้าใจน้ำพระทัยและข้อกำหนดทั้งหลายของพระเจ้า พวกเขาคืบหน้าในชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ และสามารถแบ่งปันคำพยานทั้งหลายในเรื่องการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าในชีวิตประจำวันของพวกเขา เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ บรรดาผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและติดตามองค์พระเยซูเจ้าอย่างจริงใจมารวมตัวกันเพื่อสร้างคริสตจักรขึ้น พวกเขายอมรับหนทางแห่งการกลับใจที่องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศและไม่ถูกครอบงำโดยข้อจำกัดของธรรมบัญญัติอย่างที่เคยเป็นอีกต่อไป ความประพฤติของพวกเขาดำเนินตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า แสดงความอดกลั้น ความอดทน และการให้อภัยแก่ผู้อื่น เป็นต้น ภายใต้การทรงนำของพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความเป็นมนุษย์ของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาใช้ชีวิตในชีวิตมีความถูกต้องมากขึ้นเรื่อยๆ พวกเขายังเห็นด้วยว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอดทนต่อความทุกข์มหาศาลและความอับยศ อีกทั้งทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อประโยชน์ของมนุษย์อย่างไร พระองค์ทรงไถ่มวลมนุษย์อย่างไร และพวกเขาเข้าใจว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้าเปี่ยมด้วยพระเมตตาและความรัก ความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเติบโตขึ้นเรื่อยๆ นี่บอกเราว่าคริสตจักรประเภทนี้มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และเป็นคริสตจักรที่แท้จริง ในทางกลับกัน คริสตจักรใดก็ตามที่ขาดพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นเป็นคริสตจักรเทียมเท็จ ตัวอย่างเช่น ณ จุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ องค์พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจ แล้วพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เปลี่ยนไป วิหารกลายเป็นไร้ผู้คน พวกมหาปุโรหิต ธรรมาจารย์และฟาริสียิวไม่ได้ยอมรับพระราชกิจและพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าในเวลานั้น แม้ว่าภายนอกพวกเขาจะรักษาธรรมบัญญัติและพระบัญญัติไว้ แต่พวกเขาขาดพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จนกระทั่งในที่สุดพวกเขาก็ไม่สามารถแม้แต่จะรักษากฎของพวกเขาเองเอาไว้ได้ การกระทำผิดกฎหมายอย่างการลักขโมย การฆาตกรรม และการสำส่อนทางเพศรุกลาม วิหารไม่ใช่สถานที่นมัสการอีกต่อไป แต่กลับกลายเป็นซ่องโจรที่มีการแลกเปลี่ยนเงิน และมีการซื้อขายวัวควายและนกพิราบ ตอนนี้เรามาดูที่สถานการณ์ของคริสตจักรคริสเตียนทุกวันนี้กัน: พวกศิษยาภิบาลสามารถอธิบายความรู้และหลักคำสอนบางประการจากพระคัมภีร์ในการเทศนาของพวกเขาได้เท่านั้น และพวกเขาไม่มีความรู้แจ้งและความสว่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้เชื่อทั้งหลายพบว่าตนเองไม่ได้รับการรดน้ำและการบำรุงเลี้ยงที่แท้จริง พวกเขากลายเป็นคิดลบและเฉื่อยชา และความเชื่อของพวกเขาก็มอดดับ ในการชุมนุม ผู้คนแค่เข้าร่วมไปแกนๆ โดยไม่ได้เพลิดเพลินกับพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าศิษยาภิบาลหรือผู้อาวุโส หรือแค่ผู้เชื่อธรรมดาคนหนึ่ง ส่วนใหญ่แล้วไม่มีใครสามารถรักษาคำสอนขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ได้ด้วยซ้ำ ในคริสตจักร พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสมีส่วนร่วมในการโต้เถียงด้วยความริษยาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกเขาต่อสู้แย่งชิงแท่นปราศัยกัน โลภ และขาดหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ผู้เชื่อมากมายกลับไปสู่โลกและยุ่งอยู่กับการทำเงิน พวกเขาปรารถนาความสุขทางเนื้อหนัง ผู้คนเข้าร่วมการปรนนิบัติทั้งหลายน้อยลงเรื่อยๆ ผู้คนแค่ไปคริสตจักรเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญหรือมีจัดรับประทานอาหาร หรือเมื่อพวกเขาเผชิญอันตรายใหญ่หลวงเท่านั้น พวกเขาไม่ได้แสวงหาความจริงอย่างแท้จริง แต่ส่วนใหญ่แค่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความสนุกสนาน หรือได้รับพระคุณและประกันสันติสุขในชีวิตของพวกเขา ไม่ว่าภายนอกคริสตจักรแห่งหนึ่งจะดูมีชีวิตชีวาแค่ไหน มันก็ไม่ใช่อะไรนอกจากน้ำที่หยุดนิ่ง เหมือนกันกับวิหาร ณ จุดสิ้นสุดของยุคธรรมบัญญัติ เห็นชัดว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงพระราชกิจในคริสตจักรเช่นนี้ และพระเจ้าไม่ทรงรักษามันไว้

เพราะฉะนั้น เพื่อแยกแยะระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลาย ก่อนอื่นเราต้องดูว่ามันมีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์หรือไม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์รักษามันไว้หรือไม่ ผู้คนอ่านถ้อยดำรัสปัจจุบันของพระเจ้าหรือไม่ และโดยอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาเข้าใจความจริงมากขึ้นและความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขาเติบโตขึ้นหรือไม่ หากคริสตจักรไม่เดินไปพร้อมกันกับพระราชกิจปัจจุบันของพระเจ้าและไม่มีการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนั้นไม่ว่ามันจะมีสมาชิกมากแค่ไหนหรือแรงผลักดันของมันดูยิ่งใหญ่แค่ไหนเมื่อจัดงานทุกประเภท มันก็ยังเป็นคริสตจักรเทียมเท็จและจะถูกพระเจ้าทรงทอดทิ้งในไม่ช้า ดังที่พระเจ้าทรงดลใจให้ยอห์นเขียนในจดหมายถึงคริสตจักรเลาดีเซียว่า “เรารู้จักความประพฤติของเจ้า คือว่าเจ้าไม่เย็นและไม่ร้อน เราอยากให้เจ้าเย็นหรือร้อน เพราะว่าเจ้าเป็นแต่อุ่นๆ ไม่ร้อนและไม่เย็น เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา(วิวรณ์ 3:15-16)

หลักการที่สองสำหรับการแยกแยะระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลายก็คือ ความจริงหรือผู้เลี้ยงแกะเทียมเท็จที่มีอำนาจเหนือกันแน่?

มีหลักการที่สำคัญอีกข้อหนึ่งเพื่อแยกแยะระหว่างคริสตจักรที่แท้จริงกับคริสตจักรเทียมเท็จ ซึ่งก็คือการดูว่าความจริงมีอำนาจเหนือหรือผู้เลี้ยงแกะเทียมเท็จทั้งหลายมีอำนาจเหนือกันแน่ คริสตจักรเป็นสถานที่สำหรับผู้คนที่แสวงหาความจริงเพื่อใช้ชีวิตคริสตจักรและนมัสการพระเจ้า และคริสตจักรใดก็ตามที่สร้างขึ้นจากผู้คนที่เชื่อพระเจ้าอย่างจริงใจและพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจในพวกเขานั้นเป็นคริสตจักรที่แท้จริง ความจริงมีอำนาจเหนือในคริสตจักรประเภทนี้ ทุกคนอ่านและปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขานบนอบต่อความจริง และผู้ไล่ตามความจริงทั้งหลายได้รับการสนับสนุน ใครก็ตามที่ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าและความจริง ที่ทำชั่วและวิ่งอาละวาดในคริสตจักร จะถูกปฏิเสธและขับไล่ออกไป เพราะบรรดาผู้ที่ไล่ตามความจริงมีพระราชกิจและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ น้ำพระทัยของพระเจ้าถูกดำเนินให้ลุล่วงในคริสตจักรที่สร้างขึ้นจากผู้คนเช่นนี้ และมันมีการทรงสถิตของพระเจ้า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจและตรัสในยุคพระคุณ พระองค์ทรงเลือกอัครสาวก 12 คน และพระองค์ทรงให้คำพยานและแต่งตั้งเปโตรเป็นผู้เลี้ยงแกะของคริสตจักรทั้งหลายด้วยพระองค์เอง บรรดาอัครสาวกนำเหล่าผู้เชื่อในเวลานั้นตามพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาได้แบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องความรอดขององค์พระเยซูเจ้า โดยทางนั้น น้ำพระทัยของพระเจ้าได้รับการดำเนินให้ลุล่วงและพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ขององค์พระเยซูเจ้าก็แผ่ออกไปกว้างไกล

ตอนนี้ในยุคสุดท้าย บรรดาผู้เชื่อในองค์พระเยซูเจ้าถูกแบ่งออกไปตามคณะนิกายที่หลากหลาย แต่ละนิกายมีบรรดาผู้นำของตนเอง อย่างไรก็ตาม ในพระคัมภีร์พระเจ้าไม่ได้ทรงให้คำพยานแก่ศิษยาภิบาลและผู้นำเหล่านี้โดยพระองค์เอง อีกทั้งพระองค์มิได้ทรงอ้างว่าได้ทรงแต่งตั้งพวกเขาเป็นผู้นำเลย พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสส่วนใหญ่ในคณะนิกายเหล่านี้ต่างจบการศึกษาจากโรงเรียนสอนศาสนาซึ่งกลายเป็นผู้นำและศิษยาภิบาลเมื่อพวกเขาได้รับใบรับรอง—พวกเขาไม่ได้เกิดขึ้นผ่านการถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมและเทศนาในขณะที่ได้รับประสบการณ์พระราชกิจของพระเจ้า ในงานและการเทศนาของพวกเขา พวกเขาไม่เคยให้คำพยานหรือยกย่องพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ได้สามัคคีธรรมเกี่ยวกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยทั่วไปพวกเขาทำงานโดยพึ่งพาพรสวรรค์และความสามารถของตนเอง และพวกเขาพูดถึงแต่ความรู้จากพระคัมภีร์และทฤษฎีฝ่ายจิตวิญญาณ พวกเขายกย่องและเป็นคำพยานให้พระคัมภีร์และพวกเขาแทนที่องค์พระเยซูเจ้าด้วยพระวจนะจากพระคัมภีร์ งานเช่นนี้เป็นการไม่ยอมรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะรักษาคริสตจักรของพวกเขาไว้ได้อย่างไร? พวกเขาไม่สามารถสามัคคีธรรมความรู้ที่แท้จริงของพระเจ้าและนำผู้คนเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้ วิธีการทั้งหมดที่พวกเขารู้ก็คือการนำผู้คนด้วยกฎเกณฑ์และหลักคำสอน นำพวกเขาไปผิดทางสู่ความพินาศ ยิ่งไปกว่านั้น ในงานของพวกเขาในคริสตจักร พวกเขายกย่องตนเองและสร้างชื่อเสียงของตนเองให้ผู้อื่นยกย่องอยู่เสมอ พวกเขาไม่ได้กระทำตนหรือปฏิบัติต่อผู้คนตามพระวจนะของพระเจ้า แต่พวกเขากลับประจบประแจงใครก็ตามที่บริจาคเงินมากที่สุด และแต่งตั้งคนที่พวกเขาโปรดปรานให้รับตำแหน่งสำคัญ พี่น้องชายหญิงบางคนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาสับสนและไม่มีปัญญาแยกแยะ ดังนั้นพวกเขาจึงหลับหูหลับตาเทิดทูนศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเหล่านี้และไปหาพวกเขาเพื่อถามเกี่ยวกับทุกเรื่องภายใต้ดวงอาทิตย์ ราวกับมีเพียงพวกเขาที่สามารถนำผู้คนเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า แม้ว่าผู้เชื่อเหล่านี้จะดูเชื่อในพระเจ้าและติดตามพระเจ้า แต่ในแก่นแท้แล้วพวกเขาเชื่อในพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสต่างหาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคริสตจักรไร้ผู้คนและพี่น้องชายหญิงที่เกี่ยวพันกับการไล่ตามของพวกเขามากกว่าไปค้นหาคริสตจักรที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และค้นหาถ้อยดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมา พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสขัดขวางและประณามพวกเขาทุกวิถีทาง พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเลือกให้บรรดาผู้เชื่อตายด้วยความหิวกระหายฝ่ายวิญญาณมากกว่าที่จะอนุญาตให้พวกเขาหนีไปจากนิกายของตนเอง เห็นได้ชัดเจนว่าความจริงไม่ได้มีอำนาจเหนือในคริสตจักรเช่นนี้ แต่พวกมันกลับถูกควบคุมโดยผู้เลี้ยงแกะเทียมเท็จ ศัตรูของพระคริสต์ และผู้รับใช้ชั่วที่ไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ คริสตจักรเช่นนี้ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองเมื่อนานมาแล้ว และถูกพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทอดทิ้ง แล้วไม่ช้าก็เร็วพวกเขาก็จะถูกกำจัดทิ้้งไปพร้อมกัน ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ท่านร้องประกาศด้วยเสียงกึกก้องว่า บาบิโลนมหานครพังทลายแล้ว พังทลายแล้ว กลายเป็นที่อาศัยของพวกผี เป็นที่อยู่ของวิญญาณทุกชนิดที่โสโครก เป็นที่อยู่ของนกทุกชนิดที่โสโครก และน่าเกลียดน่าชัง เพราะประชาชาติทั้งหมดต่างได้ดื่มเหล้าองุ่นแห่งราคะในการล่วงประเวณีของนครนั้น และบรรดากษัตริย์แห่งแผ่นดินโลกได้ล่วงประเวณีกับนครนั้น และพวกพ่อค้าแห่งแผ่นดินโลกก็มั่งมีขึ้นจากความฟุ่มเฟือยอย่างยิ่งของนครนั้น(วิวรณ์ 18:2-3)

จะหาคริสตจักรที่แท้จริงอย่างไร

ถึงจุดนี้ในการสามัคคีธรรมของพวกเรา บางที บัดนี้ พวกคุณหลายคนคงจะตระหนักว่าคริสตจักรทั้งหลายของโลกศาสนานั้นไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นแล้วพวกเราจะสามารถหาคริสตจักรที่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการทรงสถิตของพระเจ้าอยู่จริงได้อย่างไร? พวกเราสามารถมองดูประวัติศาสตร์เพื่อหาคำตอบต่อคำถามนี้ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงปรากฏเพื่อทรงพระราชกิจและตรัสตลอดหลายปีที่ผ่านมา วิหารก็ได้ถูกทิ้งร้าง ส่วนหนึ่งของมันก็คือว่าพวกมหาปุโรหิต ธรรมมาจารย์ และฟาริสี ไม่ได้นำทางบรรดาผู้เชื่อไปบนเส้นทางที่ถูก ซึ่งด้วยเหตุนั้นจึงทำให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทอดทิ้งพวกเขา อีกส่วนหนึ่งก็คือองค์พระเยซูเจ้าทรงกำลังปฏิบัติพระราชกิจใหม่ ดังนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จึงถอนพระราชกิจของพระองค์จากวิหารและเริ่มทรงพระราชกิจในบรรดาผู้คนที่ก้าวทันย่างพระบาทของพระเจ้า เมื่อบรรดาผู้ที่ติดตามองค์พระเยซูเจ้าได้ยินพระดำรัสในเวลานั้นของพระองค์ พวกเขาก็ได้รับเสบียงอาหารของน้ำที่มีชีวิต ในขณะที่บรรดาผู้ที่ยังอยู่ในวิหารก็ร่วงหล่นลงสู่ความมืดมิด สิ่งเดียวกันนั้นกำลังเกิดขึ้นในยุคสุดท้ายนี้ ศาสนาได้กลายเป็นอ้างว้างไร้ผู้คนและปราศจากพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดังนั้นพวกเราจึงควรแสวงหาพระดำรัสของพระวิญญาณบริสุทธิ์และก้าวให้ทันย่างพระบาทของพระเมษโปดก ดังที่กล่าวในพระคัมภีร์ว่า “เราเองเป็นผู้ยับยั้งฝนไว้เสียจากเจ้าด้วยสามเดือนก่อนถึงฤดูเกี่ยว เราให้ฝนตกในเมืองหนึ่ง อีกเมืองหนึ่งไม่ให้ฝน นาแห่งหนึ่งมีฝนตก ส่วนนาที่ไม่มีฝนก็เหี่ยวแห้ง ดังนั้นชาวเมืองสองสามเมืองก็เดินโซเซไปหาอีกเมืองหนึ่งเพื่อจะหาน้ำดื่ม แต่ไม่สิ้นกระหาย กระนั้น พวกเจ้าก็ยังไม่กลับมาหาเรา(อาโมส 4:7-8) เพราะฉะนั้นพวกเราจึงสามารถเห็นได้ว่าเมื่อพระเจ้าเสด็จมาเพื่อคลี่คลายพระราชกิจใหม่ คริสตจักรของยุคเก่าทั้งหลายจะต้องกลายเป็นอ้างว้างไร้ผู้คน ภายในการนี้มีน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่ นั่นก็คือ พวกเราถูกบังคับให้ไปค้นหาย่างพระบาทของพระองค์โดยผ่านทางการถูกทิ้งร้างของคริสตจักรทั้งหลายนั่นเอง ความวิบัติทั้งหลายกำลังเพิ่มขนาดขึ้นทุกที และคำเผยวจนะทั้งหลายเกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยส่วนมากได้ลุล่วงไปแล้ว น่าจะเป็นไปได้อย่างสูงว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว ว่าพระองค์ได้ทรงปรากฏแล้วและกำลังทรงพระราชกิจอยู่ในคริสตจักร หากเราสามารถหาพบย่างพระบาทของพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเราก็ย่อมจะพบคริสตจักรแท้ไปได้เองตามความคาดหมาย

เช่นนั้นเราจะสามารถหาย่างพระบาทของพระเจ้าได้อย่างไร? มีบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้าซึ่งอธิบายเรื่องนี้อย่างชัดเจน: “เนื่องจากว่าพวกเรากำลังตามหารอยพระบาทของพระเจ้า มันจึงจำเป็นที่พวกเราต้องค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระองค์—เพราะที่ใดก็ตามที่มีพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าตรัส พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น และที่ใดที่มีก้าวพระบาทของพระเจ้า กิจการต่างๆ ของพระเจ้าอยู่ที่นั่น ที่ใดก็ตามที่มีการทรงแสดงออกของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าทรงปรากฏ และที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏ ที่นั่นความจริง หนทาง และชีวิตดำรงอยู่(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่) นี่แปลว่าหากเราต้องการหาคริสตจักรที่แท้จริงที่จะถูกรับขึ้นไปก่อนความวิบัติครั้งใหญ่ทั้งหลาย เช่นนั้นเราก็ต้องแสวงหาย่างพระบาทของพระเจ้า แสวงหาถ้อยดำรัสของพระเจ้า และจดจ่ออยู่กับการฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย(วิวรณ์ 2:7)นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)

พวกเราเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมา พระองค์จะทรงแสดงพระวจนะใหม่ๆ แก่คริสตจักรทั้งหลาย ตลอดทั่วทั้งโลก ปัจจุบันมีเพียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่กำลังให้คำพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ว่าพระองค์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้า และว่าพระองค์ได้ทรงแสดงพระวจนะนับหลายล้านคำและเปิดผ้าคลุมความล้ำลึกทั้งหมดของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ความล้ำลึกเหล่านี้รวมถึงรูปการณ์แวดล้อมที่เป็นจริงของพระราชกิจสามระยะของพระองค์ ความล้ำลึกแห่งการทรงจุติเป็นมนุษย์ นัยสำคัญของพระนามต่างๆ ของพระเจ้า เบื้องลึกเบื้องหลังของพระคัมภีร์ วิธีที่ซาตานทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทราม วิธีที่พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอด บั้นปลายสุดท้ายของบุคคลทุกชนิด วิธีที่ผู้คนจะสามารถบรรลุความรอดโดยครบถ้วน และอื่นๆ ความล้ำลึกเหล่านี้ถูกเปิดผ้าคลุมออกเพื่อที่ดวงตาของพวกเราอาจถูกเปิดออกและสิ่งที่เราเห็นอาจเป็นอาหารตาของพวกเรา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาในยุคสุดท้ายเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์ และดังนั้นคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จึงได้มามีขึ้น เช่นเดียวกับที่คริสตจักรแห่งยุคพระคุณได้มามีขึ้นหลังจากองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจในยุคพระคุณ คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สร้างขึ้นจากผู้คนที่ยอมรับพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างจริงใจ และผู้คนที่ไล่ตามความจริง พวกเขายอมรับการให้น้ำและการเป็นผู้เลี้ยงของพระวจนะแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาอ่านพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า และพวกเขานมัสการและอธิษฐานต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ องค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ผู้คนกลุ่มนี้ได้ก้าวผ่านการข่มเหงและการกดขี่ของพรรคคอมมิวนิสต์จีน บางคนได้ถูกจับกุมและจำคุก ได้ตกอยู่ภายใต้ความโหดร้ายและการทรมานของมัน แต่พวกเขาก็ยังติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างเด็ดเดี่ยว และได้เป็นคำพยานของผู้ชนะทั้งหลาย หลังจากก้าวผ่านประสบการณ์การพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า กลุ่มนี้ก็ได้มารู้จักธรรมชาติเยี่ยงซาตานของตนเอง พวกเขาได้รู้สึกถึงความสำนึกผิดที่แท้จริงและความเกลียดชังตนเองที่แท้จริง อุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาได้แปลงสภาพไป และพวกเขาได้เป็นคำพยานมากมายเกี่ยวกับการที่อุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ผ่านการพิพากษาและการตีสอน นั่นเป็นหลักฐานว่าพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระเจ้าในยุคสุดท้ายได้สร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้นแล้ว เป็นผู้ชนะเหล่านี้นี่เองที่ถูกรับขึ้นไปก่อนความวิบัติทั้งหลาย และเป็นผู้ซึ่งเหมาะที่จะสืบทอดพระสัญญาและพระพรของพระเจ้า หนังสือพระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงไว้ได้รับการเผยแพร่ออนไลน์ให้อ่านได้แล้วอย่างกว้างขวาง และคำพยานจากประสบการณ์ของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ตลอดจนภาพยนตร์และวิดีโอหลากหลายซึ่งผลิตโดยคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็สามารถพบได้มากมายบนอินเตอร์เน็ต คนมากมายที่โหยหาความจริงกลายเป็นแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาหลังจากอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และคำพยานจากประสบการณ์มากมายของผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาได้รับความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้าและวิธีปฏิบัติความจริง เช่นนี้แล้ว พวกเราจึงสามารถเห็นได้ว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จริงๆ คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือคริสตจักรฟีลาเดลเฟีย—มันเป็นคริสตจักรที่ถูกรับขึ้นไปก่อนความวิบัติทั้งหลาย! ทุกวันนี้ ทั้งโลกศาสนาได้ตกอยู่ในสภาพถูกทิ้งร้าง มีเพียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นี่เองที่แข็งแกร่งขึ้นทุกวัน มีการก่อตั้งคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สาขาใหม่ สาขาแล้วสาขาเล่าในประเทศทั้งหลายทั่วโลก พวกเขายังคงเติบโตและกลับกลายเป็นแข็งแกร่งขึ้น แสดงให้พวกเราเห็นว่าทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้าจะต้องเฟื่องฟู!

เนื่องจากมีความวิบัติที่รุนแรงขึ้นทุกที และนั่นจึงเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวดที่พวกเราจะหาคริสตจักรฟิลาเดลเฟียซึ่งจะถูกรับขึ้นไปให้พบก่อนความวิบัติครั้งใหญ่ทั้งหลาย นี่มีผลโดยตรงต่อวิกฤติการณ์ที่ว่า พวกเราจะสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้หรือไม่ หากพวกเราไม่สามารถก้าวทันย่างพระบาทของพระเจ้าและหาคริสตจักรที่แท้จริงให้พบได้ ท้ายที่สุดแล้วพวกเราก็ย่อมจะถูกภัยพิบัติกวาดล้างไปพร้อมกับการร่ำไห้และการขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมากมาย ในเวลาวิกฤตินี้ พวกเราควรรับฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพื่อกำหนดพิจารณาว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่ หากพวกเราระลึกได้ว่าพระวจนะเหล่านั้นเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเราต้องรีบยอมรับ เพราะด้วยการทำแบบนั้นเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถตามทันย่างพระบาทของพระเมษโปดก

การสามัคคีธรรมนี้ได้แสดงให้คุณเห็นแล้วหรือยัง ถึงเส้นทางสู่การแยกแยะคริสตจักรแท้ออกจากคริสตจักรเทียมเท็จทั้งหลาย และเส้นทางสู่การหาคริสตจักรฟีลาเดลเฟียที่จะถูกรับขึ้นไปให้พบก่อนความวิบัติทั้งหลายดังที่ได้รับการเผยพระวจนะไว้ในพระคัมภีร์? หากบทความนี้เป็นประโยชน์ต่อคุณ กรุณาแบ่งปันกับผองเพื่อนของคุณเพื่อที่ผู้คนมากขึ้นอาจพบคริสตจักรแท้ท่ามกลางภัยพิบัติทั้งหลาย และเพื่อที่สักวันหนึ่งในไม่ช้าพวกเขาอาจถูกรับขึ้นไปอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อรับการดูแลและการปกป้องของพระองค์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

แกะของพระเจ้าฟังเสียงของพระเจ้า: พวกเราควรฟังเพียงพระวจนะของพระเจ้าในขณะที่เจาะลึกหนทางที่แท้จริง

โดยซู่ซิง ประเทศจีน โรคระบาดได้แพร่กระจายต่อไปในช่วงหลายเดือนมานี้และจำนวนของกรณีและผู้เสียชีวิตที่ยืนยันแล้วกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกที...

เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดโอกาสให้พวกเราทนทุกข์?

โดยหลี่ถง ชาวคริสเตียนมากมายรู้สึกสับสนว่า พระเจ้าคือความรัก และพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วเหตุใดเล่าพระองค์จึงทรงยอมให้พวกเราทนทุกข์?...

ติดต่อเราผ่าน Messenger