เหตุใดพระเจ้าจึงทรงเปิดโอกาสให้พวกเราทนทุกข์?
ชาวคริสเตียนมากมายรู้สึกสับสนว่า พระเจ้าคือความรัก และพระองค์ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วเหตุใดเล่าพระองค์จึงทรงยอมให้พวกเราทนทุกข์? สามารถเป็นไปได้หรือไม่ว่า พระองค์ได้ทรงทอดทิ้งพวกเราแล้ว? คำถามนี้เคยทำให้ข้าพเจ้าพิศวงงุนงงอยู่เสมอ แต่ล่าสุดมานี้ ข้าพเจ้าได้รับความรู้แจ้งและความสว่างมาบ้างเล็กน้อยโดยผ่านทางการอธิษฐานและการแสวงหา การนี้แก้ไขความเข้าใจผิดของข้าพเจ้าเกี่ยวกับพระเจ้า และข้าพเจ้าก็ได้มาเข้าใจว่า การทนทุกข์ไม่ใช่การที่พระเจ้าทรงตัดพวกเราทิ้งไป แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้น กลับได้รับการจัดการเตรียมการอย่างระมัดระวังมากโดยพระเจ้าเพื่อที่จะชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเราให้รอด บททดสอบเหล่านี้กับกระบวนการถลุงเป็นพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้าสำหรับพวกเรา!
บททดสอบและกระบวนการถลุงคือพระคุณอันยิ่งใหญ่ที่สุดของพระเจ้า
พระเจ้าตรัสว่า “เราจะเอาหนึ่งในสามนี้ใส่ไฟ และถลุงเขาเหมือนถลุงเงิน และทดสอบเขาเหมือนทดสอบทองคำ เขาจะร้องทูลออกนามของเรา และเราจะตอบเขา เราจะกล่าวว่า ‘เขาทั้งหลายเป็นชนชาติของเรา’ และเขาจะกล่าวว่า ‘พระยาห์เวห์คือพระเจ้าของข้าพเจ้า’” (เศคาริยาห์ 13:9) “ดูสิ เราได้ถลุงเจ้าแล้ว แต่ไม่เหมือนเงิน เราได้ทดสอบเจ้าในเตาของความทุกข์ยาก” (อิสยาห์ 48:10) และใน 1 เปโตร 5:10 กล่าวว่า “และหลังจากพวกท่านทนทุกข์ชั่วเวลาหนึ่งแล้ว พระเจ้าแห่งพระคุณทั้งสิ้น ผู้ได้ทรงเรียกให้พวกท่านเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ของพระองค์ในพระ[เยซู]คริสต์ พระองค์เองก็จะทรงฟื้นฟู จะทรงค้ำจุนให้มั่นคง จะทรงเสริมเรี่ยวแรง และจะทรงให้พวกท่านตั้งมั่นอยู่”
พวกเราสามารถเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าและบทคัมภีร์ว่า มีน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่ในการที่พระองค์ทรงยอมให้พวกเราทนทุกข์ และทั้งหมดทั้งสิ้นแล้วก็คือเพื่อที่จะชำระพวกเราให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเราให้รอด นี่เป็นขุมทรัพย์อันล้ำค่าที่พระเจ้าได้ประทานให้พวกเรา ก่อนที่บททดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุงจะมาสู่พวกเรา พวกเราล้วนคิดว่าตัวเองเป็นผู้คนที่ค้ำจุนหนทางของพระเจ้า และพวกเราบางคนถึงกับรู้สึกว่า โดยการละทิ้ง การสละ การตรากตรำ และการทำงานเพื่อพระเจ้า โดยการทนทุกข์และการจ่ายราคา พวกเราย่อมมีความคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ รู้สึกว่า พวกเราคือประชากรที่รักพระองค์ที่สุด และว่าพวกเราอุทิศให้พระองค์มากที่สุด พวกเราเชื่อว่า ไม่สำคัญว่าใครอื่นอาจจะกลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ หรือทรยศพระเจ้า พวกเราคงไม่สามารถทำสิ่งเช่นนั้นได้ แต่ว่าความเป็นจริงก็คือว่าเมื่อพวกเราเผชิญกับความลำบากยากเย็นอย่างเช่น การตกงาน หรือภาวะฝืดเคืองทางการเงิน พวกเราก็พร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อพระเจ้า สูญสิ้นความเชื่อของพวกเรา และถึงขั้นกลายเป็นไม่เต็มใจที่จะสละเพื่อพระองค์อีกต่อไป เมื่อโชคร้ายซัดกระหน่ำใส่ครอบครัวของเรา หรือหายนะบางอย่างบังเกิดขึ้น พวกเราอาจยังคงพร่ำบ่นร้องทุกข์เกี่ยวกับพระเจ้าเนื่องเพราะบางสิ่งกระทบต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของพวกเรา พวกเราโต้เถียงกรณีของพวกเราและพยายามต่อสู้ต้านทาน และในกรณีที่ร้ายแรง ทรยศพระเจ้าและละทิ้งความเชื่อของพวกเรา พระเจ้าได้ทรงตรัสแถลงไว้ในหลายวาระโอกาสว่า พระองค์ทรงพึงประสงค์ให้พวกเราติดตามหนทางของพระองค์ และได้ทรงเรียกร้องว่า “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน” (มัทธิว 22:37) อย่างไรก็ตาม พวกเราก็คิดคำนวณอยู่เสมอเพื่อที่จะทำให้ผลประโยชน์ทางเนื้อหนังไปไกลมากขึ้น และหวงแหนผลประโยชน์เหล่านั้นเป็นสมบัติล้ำค่ามากกว่าความรักที่พวกเรามีต่อพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงกระทำโดยสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเรา พวกเราก็ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์ แต่เมื่อพระองค์ไม่ทรงทำเช่นนั้น พวกเราก็พัฒนาความเข้าใจผิดและการพร่ำบ่นร้องทุกข์ทั้งหลายเกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา หรือถึงขั้นทรยศพระองค์ นี่แสดงให้พวกเราเห็นว่าซาตานได้ทำให้พวกเราเสื่อมทรามอย่างถลำลึกเพียงใด พวกเราไล่ตามเสาะหาพระพรอยู่เสมอในความเชื่อของพวกเรา ซึ่งโดยแก่นแท้แล้ว ก็คือการพยายามทำธุรกรรมแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า—การทำแบบนี้เป็นการเห็นแก่ตัว น่าดูหมิ่นอย่างแท้จริง และขาดเหตุผลอย่างสิ้นเชิง! ตรงจุดนี้ พวกเราสามารถได้รับความเข้าใจที่แท้จริงบางอย่างเกี่ยวกับอุปนิสัยของซาตานในเรื่องการกบฏและต่อต้านพระเจ้าที่อยู่ภายในตัวพวกเรา ตลอดจนวิจารณญาณบางอย่างที่อยู่เหนือสิ่งจูงใจในทางที่ผิดและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายในความเชื่อของพวกเรา พวกเราสามารถเห็นได้ว่าสิ่งที่เราใช้ชีวิตตามนั้นห่างไกลสุดกู่จากสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ต่อพวกเรา และว่าพวกเรานั้นไม่มีค่าคู่ควรแก่การได้รับพระพรและความเห็นชอบของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง ในทำนองเดียวกัน โดยผ่านทางบททดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุงดังกล่าว พวกเราจึงสามารถได้รับประสบการณ์กับความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้า และรู้สึกได้ว่ามีสิ่งเจือปนมากเท่าใดอยู่ในความเชื่อของพวกเราที่มีต่อพระองค์ หากพวกเราเชื่อในพระองค์ต่อไปด้วยเจตนาที่จะแสวงหาพระพรทั้งหลาย พวกเราย่อมจะเป็นเหตุให้พระเจ้าทรงขยะแขยงพวกเราและเกลียดพวกเราก็เท่านั้นเอง ทันทีที่ถูกเปิดโปงโดยผ่านทางบททดสอบทั้งหลาย พวกเราก็มีความสามารถที่จะมองเห็นว่าความเสื่อมทรามของพวกเรานั้นใหญ่โตเกินไปและข้อบกพร่องของพวกเรานั้นก็มากมายเกินไป และด้วยเหตุนี้ พวกเราจึงสามารถเริ่มต้นที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน อ่านพระวจนะของพระเจ้า แล้วก็คิดทบทวนและรู้จักที่ทางทั้งหลายภายในตัวเราที่ไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ พวกเราสามารถแสวงหาให้พบวิธีที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยและยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระองค์ และพวกเราก็พัฒนาสัมพันธภาพที่ใกล้ชิดขึ้นอย่างมากกับพระเจ้าอย่างไม่รู้สึกตัว หลังประสบการณ์ดังกล่าว พวกเราไม่เพียงได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับตัวพวกเราเองและความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับพระอุปนิสัยของพระเจ้าเท่านั้น พวกเรายังกลายเป็นมั่นคงและเป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกด้วย อุปนิสัยที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง เห็นแก่ตัว โอหัง และหุนหันพลันแล่นของพวกเรานั้นหมดสิ้นไป และเมื่อนั้นเท่านั้นพวกเราจึงสามารถเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ในขณะที่บททดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุงเป็นเหตุให้พวกเราทนทุกข์ทางเนื้อหนังบางอย่าง ดอกผลที่มันให้ในตัวพวกเราก็คือความรอดและการชำระให้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นประโยชน์และให้ความเจริญอย่างมากสำหรับชีวิตพวกเรา
พวกเรายังสามารถมองเห็นการนี้ได้จากประสบการณ์ทั้งหลายของเหล่าธรรมิกชนตลอดทั่วยุคทั้งหลาย ก่อนที่พระเจ้าทรงใช้ประโยชน์จากโมเสสนั้น อันดับแรกพระองค์ได้ทรงทำให้โมเสสแข็งแกร่งทรหดขึ้นในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี ในเวลานั้น โมเสสได้สู้ทนความยากลำบากทุกลักษณะ ไม่มีใครให้เขาพูดด้วยเลย และเขาได้เผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายในป่าและสภาพอากาศอันสาหัสอยู่เนืองนิจ ชีวิตของเขาอยู่ในอันตรายเป็นนิตย์ แน่นอนว่า เขาได้ทนทุกข์อย่างใหญ่หลวงในสภาพแวดล้อมอันสาหัสเช่นนั้น ผู้คนบางคนอาจจะถามว่า “พระเจ้าคงไม่สามารถนำโมเสสมาใช้โดยตรงได้อย่างนั้นหรือ? ทำไมพระองค์จึงจำเป็นต้องส่งเขาไปยังถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปีเสียก่อน? พวกเราพบความเมตตากรุณาของพระเจ้าอยู่ในการนี้ พวกเรารู้ว่าโมเสสเป็นบุคคลตรงไปตรงมาคนหนึ่งที่มีสำนึกแห่งความยุติธรรม แต่เขามีความใจร้อนและมีแนวโน้มที่จะปฏิบัติตนโดยหุนหันพลันแล่นจากแนวคิดแห่งความชอบธรรมของเขา ตอนที่เขาเห็นทหารอียิปต์นายหนึ่งกำลังหวดตีคนอิสราเอล เขาก็ซัดชาวอียิปต์นั่นเข้าที่ศีรษะด้วยก้อนหิน อันเป็นการฆ่าทหารคนนั้นให้ตาย ความใจร้อนโดยกำเนิดของโมเสสและจิตวิญญาณเยี่ยงวีรบุรุษของเขาไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ดังนั้นหากพระเจ้าได้ทรงใช้เขาโดยตรง เขาก็คงจะได้พึ่งพาคุณลักษณะเฉพาะเหล่านี้ต่อไปในการกระทำทั้งหลายของเขา และคงจะไม่มีวันมีความสามารถที่จะเสร็จสิ้นสิ่งที่เขาได้รับความวางใจมอบหมายมา—การนำทางคนอิสราเอลทั้งหลายออกจากประเทศอียิปต์ นี่คือเหตุผลที่ทำไมพระเจ้าจึงได้ให้โมเสสอยู่ในถิ่นทุรกันดารเป็นเวลา 40 ปี เพื่อให้เขาเหมาะแก่การใช้ของพระเจ้ามากขึ้น ในสภาพแวดล้อมที่ลำบากแสนเข็ญไม่เป็นมิตรเช่นนั้น โมเสสไม่เพียงอธิษฐานและร้องเรียกพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์เท่านั้น แต่เขาได้เห็นฤทธานุภาพไม่สิ้นสุดและอำนาจครอบครองของพระเจ้า และพึ่งพาพระเจ้าเพื่อให้เขารอดชีวิตอย่างต่อเนื่อง องค์ประกอบตามธรรมชาติที่อารมณ์ร้อนของเขานั้นค่อยๆ มลายไป และเขาก็ได้พัฒนาความเชื่ออันจริงแท้และการนบนอบต่อพระเจ้าขึ้นมา ดังนั้นเมื่อพระเจ้าทรงเรียกหาโมเสสเพื่อให้มารับภาระหน้าที่ตามพระบัญชาของพระองค์ อันเป็นการนำทางคนอิสราเอลทั้งหลายออกจากประเทศอียิปต์ โมเสสจึงมีความสามารถที่จะยอมรับและเชื่อฟังโดยปราศจากการต้านทานอันใด และด้วยการทรงนำของพระเจ้า เขาจึงดำเนินการตามพระบัญชาของพระเจ้าจนเสร็จสิ้นไปอย่างราบรื่น
ยังมีเรื่องราวของโยบอยู่ในพระคัมภีร์ด้วยเช่นกัน โยบก้าวผ่านบททดสอบแห่งการที่สิ่งครอบครองทั้งหลายของเขาถูกลอกคราบเอาไป ลูกๆ ของเขาถูกทำลาย และตัวเขาเองกำลังเกิดฝีร้ายขึ้นทั่วร่างกาย กระนั้น ทั้งที่เขามีความทุกข์ เขาก็ไม่เคยทำบาปด้วยคำพูดของเขา เขาไม่ได้พร่ำบ่นร้องทุกข์เกี่ยวกับพระเจ้า แต่ยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างจากพระเจ้าไว้ภายในหัวใจของเขา เขายังมีความสามารถที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน และในท้ายที่สุดก็ได้กล่าวว่า “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ) และ “เราจะรับสิ่งดีจากพระเจ้า และจะไม่รับสิ่งไม่ดีบ้างหรือ?” (โยบ 2:10) เขาพึ่งพาความเชื่อ ความยำเกรง และความนบนอบของเขาที่มีต่อพระเจ้าในการกล่าวสิ่งเหล่านี้ และยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้าด้วยประการนี้เอง เหตุผลที่โยบมีความสามารถที่จะยืนหยัดเป็นพยานโดยผ่านทางบททดสอบอันใหญ่หลวงเช่นนั้นก็คือการที่เขาได้เชื่อว่า พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง และเชื่อว่าข้าวของทั้งหลายของเขาและลูกๆ ของเขาทั้งหมดนั้นล้วนได้ถูกมอบให้เขาโดยพระเจ้า ดังนั้นจึงเป็นสิทธิ์ของพระเจ้าที่จะนำสิ่งเหล่านั้นไปจากเขา ในฐานะของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เขาควรที่จะยอมรับและนบนอบ ความสามารถของโยบในการยืนอยู่ในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และเชื่อฟังพระผู้สร้างอย่างปราศจากเงื่อนไขนั้นก็คือ การยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า ต่อมาพระเจ้าได้ทรงปรากฏแก่โยบในพายุ และโยบได้มองเห็นด้านหลังของพระเจ้าในสายตาและได้ยินเสียงพระองค์ตรัสกับเขาด้วยพระโอษฐ์ของพระองค์เอง เขาจึงได้รับความเข้าใจอันจริงแท้เกี่ยวกับพระเจ้า โยบได้เก็บเกี่ยวความอารีทั้งหลายที่เขาไม่มีวันที่จะได้รับในสภาพแวดล้อมที่ชูใจ และนี่คือพระพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่ถูกประทานแก่โยบโดยผ่านทางบททดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุง ดังที่โยบได้บอกกับเพื่อนฝูงของเขาภายหลังบททดสอบของเขาว่า “เมื่อทรงทดสอบข้าแล้ว ข้าก็จะเป็นอย่างทองคำ” (โยบ 23:10)
การนี้แสดงให้พวกเราเห็นว่า บททดสอบทั้งหลายกับกระบวนการถลุงนั้น อันที่จริงแล้วคือความรักอันแท้จริงและเป็นจริงของพระเจ้าที่มีต่อพวกเรา โดยผ่านทางบททดสอบกับกระบวนการถลุงเหล่านั้นเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถได้รับการทำให้บริสุทธิ์และได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเจ้าได้ อันเป็นการกลับกลายมาเป็นผู้คนซึ่งสอดคล้องไปกับน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยประการนี้เอง
พระคุณในทางวัตถุสามารถช่วยให้พวกเราเติบโตในชีวิตของพวกเราหรือไม่?
บ่อยครั้งที่พวกเราขาดความเข้าใจในเจตนารมณ์ที่ดีของพระเจ้า และมุ่งหวังให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปดังที่พวกเราปรารถนาให้สิ่งเหล่านั้นเป็น พวกเรานั้นไม่เต็มใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการที่จะก้าวผ่านบททดสอบทั้งหลายกับกระบวนการถลุง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเรามุ่งหวังชีวิตอันเปี่ยมสันติสุขอย่างครบถ้วนบริบูรณ์โดยปราศจากมหันตภัยอันใดในชีวิตของพวกเราหรือในชีวิตของคนที่พวกเรารัก พวกเราต้องการทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปอย่างราบรื่น และต้องการที่จะชื่นชมพระพรทั้งหลายและพระคุณของพระเจ้า แต่ว่า พวกเราเคยพิจารณาบ้างไหมว่า สภาพแวดล้อมที่ชูใจสามารถเปิดโอกาสให้พวกเราได้สลัดทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราหรือเปล่า? พระพรในทางวัตถุสามารถช่วยให้พวกเรารู้จักพระอุปนิสัยและสิ่งที่ทรงเป็นของพระเจ้าได้จริงหรือ? หากพวกเราเพียงชื่นชมความปรานีและพระคุณของพระองค์เท่านั้น นั่นจะสามารถเพิ่มความเชื่อของพวกเราที่มีต่อพระองค์และยอมให้พวกเราพัฒนาความรักที่แท้จริงและความนบนอบต่อพระเจ้าได้หรือ? พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “หากเจ้าเพียงแค่ชื่นชมกับพระคุณของพระเจ้า ด้วยการมีชีวิตครอบครัวที่สงบสุขหรือพระพรทางวัตถุต่างๆ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่ได้รับพระเจ้า และความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าจะไม่สามารถถือว่าประสบผลสำเร็จได้ พระเจ้าได้ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งพระคุณในเนื้อหนังไปช่วงระยะหนึ่งแล้ว และได้ประทานพระพรทางวัตถุต่างๆ แก่มนุษย์แล้ว แต่มนุษย์นั้นไม่สามารถถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้ด้วยพระคุณ ความรัก และความเมตตาเพียงอย่างเดียว ในประสบการณ์ทั้งหลายของมนุษย์นั้น เขาเผชิญกับความรักบางส่วนของพระเจ้า และมองเห็นความรักและความปรานีของพระเจ้า แต่ถึงกระนั้น ด้วยการได้รับประสบการณ์มาเป็นเวลาช่วงหนึ่ง เขามองเห็นว่าพระคุณของพระเจ้าและความรักกับความปรานีของพระองค์นั้นไม่สามารถพอที่จะทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อมได้ ไม่สามารถพอที่จะเปิดเผยถึงสิ่งที่เสื่อมทรามภายในมนุษย์ได้ และไม่สามารถขจัดอุปนิสัยเสื่อมทรามของมนุษย์ไปจากเขาได้ หรือทำให้ความรักและความเชื่อของเขามีความเพียบพร้อมได้ พระราชกิจแห่งพระคุณของพระเจ้าคือพระราชกิจในช่วงเวลาหนึ่ง และมนุษย์ไม่สามารถอาศัยการชื่นชมพระคุณของพระเจ้าเพื่อที่จะรู้จักพระเจ้าได้” (“เจ้าสามารถรู้จักความดีงามของพระเจ้าได้โดยการรับประสบการณ์กับการทดสอบอันแสนเจ็บปวดเท่านั้น”)
พระวจนะของพระเจ้านั้นชัดเจนดุจแก้วผลึก หากพวกเราแค่มุ่งเน้นไปที่การชื่นชมความปรานีและพระคุณของพระเจ้า พวกเราไม่เพียงจะไร้ความสามารถในการเป็นอิสระจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราเท่านั้น แต่พวกเราจะไม่มีการเติบโตในชีวิตอีกด้วย และความเชื่อ ความรัก และก็จะเป็นไปไม่ได้ที่ความเชื่อฟังของพวกเราจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม พระคัมภีร์กล่าวว่า “และการที่คนโง่หลงเพลิดเพลินก็ทำลายตนเอง” (สุภาษิต 1:32) หากพวกเราดำรงชีวิตอยู่ภายในสภาพแวดล้อมที่ชูใจอยู่เป็นนิตย์ โดยปราศจากบททดสอบหรือกระบวนการถลุงอันใด หัวใจของพวกเราจะค่อยๆ กลายไปมีระยะห่างจากพระเจ้า และพวกเราก็จะมีแววอย่างมากที่จะกลายเป็นต่ำทราม อันเป็นผลจากความโลภของพวกเราที่มีต่อสิ่งชูใจทางวัตถุทั้งหลาย พวกเราจะดำรงชีวิตอยู่ภายในอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา กับพุงของพวกเราที่เต็มไปด้วยอาหาร และจิตใจของพวกเราที่ว่างเปล่าปราศจากความกังวล โดยในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่สำเร็จลุล่วงสิ่งใดเลย อันเป็นการสิ้นเปลืองชีวิตของพวกเราไปเปล่าๆ นั่นเหมือนกันไม่ผิดกับการเป็นบิดามารดา—หากคุณเอาแต่ประคบประหงมลูกของคุณ และมีแต่การยกโทษ และยอมผ่อนปรนให้โดยไม่สำคัญว่าพวกเขาทำผิดอะไร ตรงจุดไหนหรือที่เด็กคนนั้นจะมีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงลักษณะนิสัยที่เป็นลบของพวกเขาและเป็นผู้ใหญ่ได้? ดังนั้น สภาพแวดล้อมที่ชูใจไม่ให้ประโยชน์แต่ประการใดเลยสำหรับการเติบโตในชีวิต ในทางกลับกัน มันจะทำให้พวกเราโลภมากขึ้นทุกทีต่อความชื่นชมยินดีเกี่ยวกับเนื้อหนัง และพวกเราจะแค่เรียกร้องต่อพระคุณและพระพรทั้งหลายของพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ กลายเป็นเห็นแก่ตัว โลภ ชั่ว และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวงมากขึ้นตลอดเวลา หากพวกเราต้องการหนีพ้นจากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราและกลายเป็นผู้คนที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้วไซร้ พวกเราไม่สามารถพอใจเต็มอิ่มไปกับการอาบชุ่มอยู่ในพระคุณและพระพรทั้งหลายของพระเจ้าและการที่เชื่อในพระเจ้าในสภาพแวดล้อมที่ชูใจได้ แต่พวกเราต้องทนฝ่าบททดสอบและกระบวนการถลุงให้มากขึ้นด้วยเช่นกัน นั่นเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถขจัดอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเรา และได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระเจ้าได้
วิธีที่จะทนฝ่าบททดสอบและกระบวนการถลุง
พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับความทุกข์ เจ้าต้องมีความสามารถที่จะวางความกังวลสนใจต่อเนื้อหนังไว้ก่อนและไม่ทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงซ่อนเร้นพระองค์เองจากเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะมีความเชื่อที่จะติดตามพระองค์ ที่จะธำรงรักษาความรักก่อนหน้านี้ของเจ้าโดยไม่เปิดโอกาสให้มันกระท่อนกระแท่นหรือสูญสลาย ไม่สำคัญว่าพระเจ้าทรงทำสิ่งใด เจ้าต้องนบนอบต่อการออกแบบของพระองค์และตระเตรียมที่จะสาปแช่งเนื้อหนังของเจ้าเองแทนที่จะทำการร้องทุกข์คร่ำครวญต่อพระองค์ เมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับการทดสอบ เจ้าต้องทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แม้ว่าเจ้าอาจร่ำไห้อย่างขมขื่นหรือรู้สึกอิดออดที่จะไปจากวัตถุอันเป็นที่รักบางอย่าง สิ่งนี้เท่านั้นคือความรักและความเชื่อที่แท้จริง ไม่สำคัญว่าวุฒิภาวะจริงของเจ้าจะเป็นอะไร ก่อนอื่นเจ้าต้องครองทั้งเจตจำนงที่จะทนทุกข์ความยากลำบากและความเชื่อที่แท้จริง และเจ้าต้องมีเจตจำนงที่จะละทิ้งเนื้อหนังอีกด้วย เจ้าควรเต็มใจสู้ทนความยากลำบากส่วนตัวและทนทุกข์กับความสูญเสียต่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเจ้าเพื่อที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้า เจ้าต้องสามารถรู้สึกเสียใจเกี่ยวกับตัวเจ้าเองในหัวใจของเจ้าอีกด้วย กล่าวคือ ในอดีตนั้น เจ้าไม่ได้มีความสามารถที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ และบัดนี้ เจ้าสามารถเสียใจได้ด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าต้องไม่กำลังขาดพร่องสิ่งใดในเรื่องเหล่านี้—โดยผ่านทางสิ่งเหล่านี้นั่นเองที่พระเจ้าจะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม หากเจ้าไม่สามารถประจวบพ้องกับเกณฑ์กำหนดเหล่านี้ได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมไม่สามารถถูกทำให้มีความเพียบพร้อมได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง)
พระวจนะของพระเจ้าให้เส้นทางแก่เราในการฝึกฝนปฏิบัติ เมื่อพวกเราเผชิญกับความยากลำบาก ท่าทีของพวกเราที่มีต่อพระราชกิจของพระเจ้าก็เป็นอันวิกฤติ และมีความสัมพันธ์โดยตรงกับการที่พวกเราจะสามารถยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า และได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอดโดยพระองค์หรือไม่ หากพวกเราพึ่งพาอุปนิสัยเยี่ยงซาตานอันเสื่อมทรามและโลภต่อสิ่งชูใจทางเนื้อหนังโดยผ่านทางบททดสอบและกระบวนการถลุง พิจารณาและวางแผนการเพื่อเห็นแก่ผลประโยชน์ของตัวพวกเราเองอยู่เสมอ พวกเราก็จะมีแววที่จะเกิดการพร่ำบ่นร้องทุกข์เกี่ยวกับพระเจ้าขึ้นมา พวกเราจะต่อสู้และต่อต้านพระองค์ หรือถึงขั้นทำสิ่งทั้งหลายที่กบฏหรือต้านทานพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเราย่อมเป็นตัวตลกสำหรับซาตาน และพวกเราย่อมสูญเสียคำพยานของพวกเราไปโดยครบถ้วนบริบูรณ์ แต่หากพวกเรามีความสามารถที่จะยอมรับและนบนอบต่อพระราชกิจของพระเจ้าโดยผ่านทางความยากลำบากทั้งหลาย และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ที่มีต่อพวกเราภายในความยากลำบากเหล่านั้น หากพวกเราสามารถละทิ้งเนื้อหนังและใส่ความจริงเข้าไปในการฝึกฝนปฏิบัติ โดยเลือกชอบที่จะทนทุกข์ในเนื้อหนังและยืนหยัดเป็นพยานต่อพระเจ้า และพึงปรารถนาที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย เช่นนั้นแล้ว พวกเราจะมีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงได้หลายประการมากขึ้นโดยผ่านทางบททดสอบเหล่านี้ อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเราสามารถได้รับการชำระให้สะอาดโดยพระเจ้า และพวกเราสามารถกลายเป็นผู้คนที่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้
เมื่อไม่นานมานี้ ความเดือดร้อนบางอย่างได้เกิดขึ้นอย่างกระทันหันในครอบครัวของข้าพเจ้า—สามีของข้าพเจ้าเสียผู้ผลิตของเขาที่เป็นผู้จัดหาให้กับธุรกิจของพวกเราไป ลูกของข้าพเจ้าก็กำลังมีความลำบากยากเย็นในที่ทำงาน และในธุรกิจก็มีปัญหาอย่างสม่ำเสมอ ข้าพเจ้าหัวเสียและซึมเศร้าอย่างมาก และข้าพเจ้าก็แค่ไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้บ่นว่าพระเจ้าได้ ข้าพเจ้ารู้สึกไปว่า ข้าพเจ้าได้ใช้เวลาทุกวันทำงานหนักเพื่อพระเจ้า ท่องไปตามท้องถนนเพื่อแบ่งปันข่าวประเสริฐและสละตัวเอง ดังนั้นเหตุใดสิ่งเหล่านี้จึงกำลังเกิดขึ้นในครอบครัวของข้าพเจ้า? เป็นไปได้อย่างไรที่พระเจ้าไม่ทรงปกป้องครอบครัวของข้าพเจ้า? ตลอดช่วงเวลานั้น ข้าพเจ้าใช้เวลาอ่านองค์พระคัมภีร์น้อยลง และถึงแม้ว่า ข้าพเจ้ายังคงได้เข้าร่วมการชุมนุมและการทำงานต่อไป หัวใจของข้าพเจ้าก็เต็มไปด้วยความขมขื่นอยู่เสมอ และข้าพเจ้าก็ไม่รู้ว่าน้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีสำหรับข้าพเจ้านั้นคือสิ่งใดในสภาพแวดล้อมนั้น
จากนั้น ข้าพเจ้าก็ได้อธิษฐานต่อพระเจ้าเพื่อเป็นการแสวงหา และอ่านพระวจนะเหล่านี้จากพระองค์ ความว่า “ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อเรียกร้องทรัพย์สมบัติทางวัตถุจากเราให้มากยิ่งขึ้นเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่จะได้ใช้ชีวิตนี้อย่างสันติสุขและเพื่อที่จะอยู่อย่างปลอดภัยคลายกังวลในโลกที่จะมาถึง ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพื่อหลีกเลี่ยงความทุกข์จากนรกและเพื่อได้รับพรจากสวรรค์ ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อสิ่งชูใจชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่ได้พยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใดในโลกที่จะมาถึง เมื่อเราได้ปล่อยความพิโรธต่อมนุษย์ของเราออกมาและได้ยึดเอาความชื่นบานยินดีและสันติสุขที่พวกเขาเคยมีไป มนุษย์ก็กลับคลางแคลงใจ เมื่อเราได้ให้ความทุกข์จากนรกแก่มนุษย์และได้เอาพรจากสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังต่อเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และมีมากเกินไปที่จะได้รับ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?)
ข้าพเจ้าอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาในขณะที่อ่านพระวจนะของพระเจ้า—ข้าพเจ้าผิดหวังเสียใจมากและรู้สึกเจ็บปวด รวมถึงตะขิดตะขวงใจ ข้าพเจ้าได้เห็นว่ามุมมองของข้าพเจ้าที่มีต่อความเชื่อนั้นผิดทั้งหมด และเห็นว่ามันก็แค่เพื่อแสวงหาพระพรและพระคุณ เมื่อพระเจ้าทรงอวยพรข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ออกไปข้างนอกอย่างมีใจกระตือรือร้นและแบ่งบันข่าวประเสริฐและสละตัวเอง และไม่เกรงกลัวทั้งความลำบากยากเย็นและความอ่อนล้าหมดแรง แต่เมื่อความลำบากยากเย็นได้บังเกิดขึ้นอย่างกระทันหันในครอบครัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ได้เริ่มดำรงชีวิตอยู่ในความอ่อนแอและคิดลบ เกิดการพร่ำบ่นร้องทุกข์เกี่ยวกับพระเจ้า และติเตียนพระองค์ที่ไม่ปกป้องครอบครัวของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าวางกำแพงกั้นพระเจ้าในหัวใจของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้จำเป็นต้องทำการบางอย่างเพื่อสำรวจค้นดวงจิตของตัวเอง พลางถามตัวเองว่า “การทำงานหนักของฉันไม่ใช่การชดใช้คืนให้กับความรักพระเจ้า แต่เป็นแค่การแลกเปลี่ยนเพื่อพระพรของพระเจ้า—นั่นไม่ใช่การทำธุรกรรมซื้อขายกับพระเจ้าหรอกหรือ? ความเชื่อประเภทนั้น—เต็มไปด้วยแรงจูงใจที่ไม่ถูกต้องและสิ่งเจือปน—จะสามารถได้รับความเห็นชอบของพระเจ้าหรือ? ฉันกำลังหายใจอยู่อย่างสม่ำเสมอในลมปราณจริงๆ ของพระเจ้า ชื่นชมดวงอาทิตย์และสายฝนที่พระองค์ได้ทรงสร้าง และใช้ชีวิตโดยอาศัยความอารีทั้งหลายของแผ่นดินโลกซึ่งทำขึ้นโดยพระองค์ แต่ฉันไม่มีความคิดเกี่ยวกับการชดใช้คืนพระเจ้าสำหรับสิ่งใดเลย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ฉันกลับแค่สร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ นั่นไม่ใช่การขาดเหตุผลอย่างครบบริบูรณ์หรอกหรือ?” เมื่อนั้นเท่านั้นเอง ข้าพเจ้าจึงได้เห็นว่า ความเชื่อในพระเจ้าประเภทนี้น่าดูหมิ่นและน่าเหยียดหยามเพียงใด—ข้าพเจ้าไม่ได้กำลังยืนอยู่ในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่กำลังนมัสการพระเจ้าโดยสิ้นเชิง ข้าพเจ้ายังได้มาเข้าใจอีกด้วยว่า เพื่อที่จะเชื่อฟังต่อพระเจ้านั้น ก่อนอื่นข้าพเจ้าต้องยืนในตำแหน่งของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และโดยไม่สำคัญว่า พระผู้สร้างทรงทำสิ่งใด ไม่ว่าพระองค์ทรงมอบให้หรือทรงพรากไป ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเชื่อฟังและนบนอบโดยปราศจากการโต้เถียงกรณีของตัวเอง นั่นเท่านั้นจึงจะเป็นเหตุผลประเภทที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรครอง ทันทีข้าพเจ้าได้เข้าใจจนข้าพเจ้าได้ตกลงใจแน่วแน่ต่อพระเจ้าว่า ไม่สำคัญว่าอะไรได้เกิดขึ้นในสถานการณ์ของงานของสามีและลูกชายของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็จะเต็มใจที่จะนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์และไม่พร่ำบ่นร้องทุกข์เกี่ยวกับพระองค์ ทันทีที่ข้าพเจ้าได้ตระหนักถึงการนี้ทั้งหมด ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นอิสระขึ้นอย่างมาก และค่อยๆ ออกมาจากสภาวะที่เป็นลบของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่ถูกรบกวนหรือจำกัดควบคุมโดยประเด็นปัญหาเหล่านี้อีกต่อไป แต่มีความสามารถที่จะทำงานอย่างใจเย็นและสละตัวเองเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าได้
ประสบการณ์นี้ได้แสดงให้ข้าพเจ้าเห็นตามความเป็นจริงว่า บททดสอบทั้งหลายกับกระบวนการถลุงนั้นให้ประโยชน์อย่างเหลือเชื่อเพียงใดสำหรับการเติบโตของพวกเราในชีวิต แม้ว่า พวกเราทนทุกข์เล็กน้อยโดยผ่านทางบททดสอบกับกระบวนการถลุงเหล่านั้น พวกเราก็เก็บเกี่ยวได้ขุมสมบัติอันเลอค่าในชีวิต และความเชื่อกับความรักของพวกเราที่มีต่อพระเจ้าจึงเติบโต ข้าพเจ้ามั่นใจว่าตอนนี้พี่น้องชายหญิงทุกคนซึ่งเสาะแสวงที่จะได้รับความเห็นชอบจากพระเจ้าต่างก็เข้าใจเจตนารมณ์อันจริงจังตั้งใจของพระเจ้า และไม่ยึดอยู่กับความเข้าใจผิดทั้งหลายเกี่ยวกับพระองค์อีกต่อไป และมั่นใจว่าพวกเขาจะมีความสามารถที่จะเผชิญหน้ากับความยากลำบากอันใดก็ตามอย่างไม่ตระหนกตกใจ ในบททดสอบใดก็ตามหรือในสิ่งทั้งหลายที่ไม่พึงปรารถนาที่พวกเราเผชิญในภายภาคหน้า ขอพวกเราจงทำตัวเองให้สงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์และแสวงหาความจริง ในหนทางนี้ พวกเราจึงสามารถได้รับประสบการณ์กับพระพรทั้งหลายที่พระเจ้าทรงนำพามาสู่พวกเราโดยผ่านทางบททดสอบทั้งหลายและกระบวนการถลุงนั่นเอง! ขอขอบคุณพระเจ้า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ