แกะของพระเจ้าฟังเสียงของพระเจ้า: พวกเราควรฟังเพียงพระวจนะของพระเจ้าในขณะที่เจาะลึกหนทางที่แท้จริง
โรคระบาดได้แพร่กระจายต่อไปในช่วงหลายเดือนมานี้และจำนวนของกรณีและผู้เสียชีวิตที่ยืนยันแล้วกำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ ทุกที ความวิบัติทั้งหลายเต็มไปทั่วโลก เช่น ฝูงแมลง น้ำท่วม และไฟไหม้ และภัยคุกคามจากสงครามก็ปรากฏรางๆ คริสเตียนจำนวนมากได้กลายเป็นตระหนักรู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วและบัดนี้กำลังทรงแสวงหาการทรงปรากฏของพระองค์ ทุกวันนี้ มีเพียงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นที่กำลังให้คำพยานว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมา และหลายคนตอนนี้กำลังแสวงหาและเจาะลึกการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผู้คนจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็นแน่ใจว่าพวกเขาคือเสียงของพระเจ้าหลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และจากนั้นก็ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย กระนั้นก็มีผู้คนบางคนที่ เมื่อพวกเขาเห็นพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถูกใส่ร้ายป้ายสีและถูกกล่าวโทษโดยรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสแห่งโลกศาสนา ตัดสินใจที่จะติดตามพวกคนเหล่านั้น พวกเขาไม่เชื่อว่านี่คือหนทางที่แท้จริงและไม่กล้าแสวงหาหรือเจาะลึกหนทางนั้น ในขณะที่พวกเราควรระมัดระวังเมื่อเจาะลึกหนทางที่แท้จริง นั่นอยู่ในแนวเดียวกับความจริงในการยึดมั่นกับคำพูดของรัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนและบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ว่าเป็นมาตรฐานสำหรับการกำหนดพิจารณาว่าบางสิ่งบางอย่างเป็นหนทางที่แท้จริงหรือหนทางเท็จ หรือไม่? ใครกันแน่ที่พวกเราควรฟังเมื่อมองเข้าไปในหนทางที่แท้จริง เพื่อที่พวกเราจะสามารถต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า? พวกเราจะสามัคคีธรรมและท่องสำรวจประเด็นปัญหาเหล่านี้กันที่นี่
การที่เชื่อการกล่าวโทษของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนคือการที่เชื่อคำพูดของซาตาน
พวกเราทั้งหมดรู้ว่ารัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเป็นรัฐบาลที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า นับตั้งแต่ที่ได้มาสู่อำนาจ พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ทุ่มโฆษณาเรื่องอเทวนิยม ลัทธิวัตถุนิยม และทฤษฎีว่าด้วยวิวัฒนาการ รัฐบาลนี้ได้ปฏิเสธการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเสมอมาและได้สนับสนุนเหตุผลวิบัติเยี่ยงซาตานอย่างเช่น “ไม่เคยมีผู้ช่วยให้รอด” “โชคชะตาของคนอยู่ในมือของเขาเอง” และ “มนุษย์สามารถสร้างบ้านเกิดที่แสนสุขได้ด้วยมือของเขาเอง” พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนยังได้กล่าวโทษศาสนาคริสต์อย่างเปิดเผยว่าเป็น “เสียเจี้ยว” และกล่าวโทษพระคัมภีร์ว่าเป็นหนังสือ “เสียเจี้ยว” เล่มหนึ่ง พรรคนี้ได้ทำลายคริสตจักรจำนวนมากมายยิ่งนัก เผาพระคัมภีร์จำนวนนับไม่ถ้วน และจับกุมและข่มเหงคริสเตียนและชาวคาทอลิกอย่างป่าเถื่อน พวกเราสามารถมองเห็นได้จากการข่มเหงคริสเตียนและชาวคาทอลิกว่า พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนรังเกียจความจริงและพระเจ้ามากที่สุด ระบอบเยี่ยงซาตานที่ต้านทานพระเจ้าจะสามารถยอมรับการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้าได้อย่างไร? พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนแค่ปฏิเสธที่จะยอมรับว่ามีสิ่งอย่างเช่นหนทางที่แท้จริง นับประสาอะไรที่จะยอมรับว่ามีพระเจ้า เมื่อมาถึงเรื่องของการกำหนดพิจารณาว่าหนทางหนึ่งเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น เช่นนั้นแล้ว อะไรคือความแตกต่างระหว่างการเชื่อข่าวลือและการโกหกของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนกับการเชื่อคำพูดของปีศาจร้ายซาตาน?
ที่มากกว่านั้น พวกเราทั้งหมดรู้ว่าหนทางที่แท้จริงได้ตกอยู่ใต้การข่มเหงตั้งแต่กาลดึกดำบรรพ์ ระบอบเยี่ยงซาตานทุกระบอบมีความเกลียดชังสุดขีดต่อพระเจ้าและต่อความจริง และยิ่งบางสิ่งบางอย่างมาจากพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งต้านทานสิ่งนั้นอย่างบ้าคลั่งมากขึ้นเท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่ทุกครั้งที่พระเจ้าเสด็จมาเพื่อปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ทรงถูกข่มเหงและกล่าวโทษโดยระบอบเยี่ยงซาตานอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้—นี่คือข้อเท็จจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงมอบคำเทศนาของพระองค์และทรงพระราชกิจของพระองค์ตลอดช่วงปีเหล่านั้นทั้งหมดที่ผ่านมา บรรดาหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีแห่งความเชื่อของชาวยิวสมรู้ร่วมคิดกับทางการโรมันเพื่อตรึงพระเยซูที่กางเขน เช่นนั้นแล้วพวกเราจะสามารถปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่า องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระคริสต์เพราะการกล่าวโทษ การข่มเหง การโกหก และการทำให้เสียชื่อเสียงของระบอบที่ปกครองอยู่ ได้หรือไม่? ในทำนองเดียวกัน บัดนี้พระเจ้าได้ทรงกลับมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ และพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้เพิ่มการกล่าวโทษและการหมิ่นประมาทอันบ้าคลั่งของพรรคต่อการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า พรรคนี้จับกุมและข่มเหงคริสเตียนอย่างป่าเถื่อน และใช้สื่อออนไลน์ทั้งในบ้านและในต่างประเทศ เพื่อเผยแพร่การโกหกของพรรคที่ใส่ร้ายป้ายสีพระราชกิจของพระเจ้า และทำให้พวกที่ไม่รู้ความจริงเข้าใจผิด พรรคนี้ทำการนี้จากความเกรงกลัว เพราะพรรคนี้เกรงกลัวว่าพระเจ้าได้ทรงปรากฏแล้วและกำลังทรงพระราชกิจเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด และเกรงกลัวว่ามวลมนุษย์ทั้งปวงจะยอมรับความจริงและหวนกลับไปหาพระเจ้า ยิ่งมากไปกว่านั้นอีก พรรคนี้เกรงกลัวว่าพระวจนะของพระเจ้าจะบังเกิดบนแผ่นดินโลก ว่าราชอาณาจักรของพระองค์จะปรากฏบนแผ่นดินโลก และจากนั้นมวลมนุษย์ทั้งปวงจะปฏิเสธพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีน นี่คือเหตุผลที่รัฐบาลจีนปราบปรามคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง และข่มเหงคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างโหดร้าย นี่คือเหตุผลมูลฐานที่พรรคนี้ใส่ร้ายป้ายสีและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้า หากพวกเรามีการแยกแยะที่แท้จริง เช่นนั้นแล้วพวกเราควรกำหนดพิจารณาว่าอะไรคือหนทางที่แท้จริง จากสิ่งที่ถูกต่อต้านและเกลียดชังมากที่สุดโดยระบอบเยี่ยงซาตานระบอบนี้ ในทางตรงกันข้าม หากพวกเราละวางการเจาะลึกพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย เพราะพระราชกิจนั้นถูกรัฐบาลจีนต่อต้านและกล่าวโทษ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็คงจะเป็นผู้โง่เขลายิ่งนักโดยแท้
การฟังสิ่งที่บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพูดเมื่อเจาะลึกหนทางที่แท้จริง และไม่ฟังพระวจนะของพระเจ้านั้น ถูกต้องหรือไม่?
ผู้คนบางคนคิดว่ารัฐบาลของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนได้ต้านทานพระเจ้าเสมอมา และคิดว่าไม่มีสิ่งใดเลยที่พรรคนี้ใส่ไว้ทางออนไลน์สามารถไว้วางใจได้ แต่ในทางกลับกันเชื่อว่าบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสรอบรู้ในพระคัมภีร์และเข้าใจพระคัมภีร์ ดังนั้นโดยการฟังพวกคนเหล่านั้นเมื่อเจาะลึกหนทางที่แท้จริง พวกเขาไม่สามารถผิดพลาดได้เลย แต่พวกเราได้เคยพิจารณาสิ่งต่อไปนี้หรือไม่ กล่าวคือ ใครบางคนที่รอบรู้ในพระคัมภีร์สามารถสาธิตแสดงว่าพวกเขาเข้าใจความจริงได้หรือไม่? นั่นสามารถสาธิตแสดงว่าพวกเขารู้จักพระเจ้าได้หรือไม่? หากพวกเราคิดย้อนกลับไปถึงบรรดาหัวหน้าปุโรหิต อาลักษณ์ และพวกฟาริสีแห่งความเชื่อของชาวยิว พวกเขารอบรู้ในข้อพระคัมภีร์และชี้แจงข้อพระคัมภีร์แก่ผู้อื่นบ่อยครั้ง แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พวกเขาจำได้หรือไม่ว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์? พวกเขาจำได้หรือไม่ว่าพระวจนะของพระองค์เป็นความจริง พระสุรเสียงของพระเจ้า? พวกเขาไม่เพียงล้มเหลวที่จะจำองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ แต่เพื่อประโยชน์ของตำแหน่งและการดำรงชีพของพวกเขา พวกเขายึดถือความหมายตามตัวอักษรของข้อพระคัมภีร์ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเขากุข่าวลือเกี่ยวกับพระองค์และทำให้พระองค์เสื่อมเสียชื่อเสียง พวกเขาข่มเหงและหมิ่นประมาทพระองค์อย่างเกรี้ยวกราด และท้ายที่สุดพวกเขาสมรู้ร่วมคิดกับทางการโรมันเพื่อตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า ข้อเท็จจริงเหล่านี้สาธิตแสดงอย่างถึงขนาดว่าเพียงเพราะใครบางคนรอบรู้ในพระคัมภีร์และชี้แจงพระคัมภีร์บ่อยครั้ง นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะรู้จักพระเจ้า นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ที่มีความเชื่อชาวยิวแห่งยุคนั้นไม่ได้เข้าใจอย่างเต็มที่ และพวกเขาไม่ได้มีการแยกแยะเมื่อมาถึงเรื่องของพวกฟาริสี ในเรื่องของการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเชื่ออย่างหูหนวกตาบอดถึงสิ่งที่บรรดาผู้นำทางศาสนาของพวกเขาพูด และถึงแม้ว่าบางคนรู้ดีว่าพระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่พวกเขายังคงเชื่อข่าวลือและการใส่ร้ายป้ายสีที่พวกฟาริสีเคร่งศาสนาแพร่ ดังนั้นพวกเขาจึงถูกหลอกและเห็นด้วยกับบรรดาผู้นำทางศาสนาของพวกเขาในการกล่าวโทษและละทิ้งองค์พระเยซูเจ้า ไม่เพียงพวกเขาไม่ได้รับความรอดขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้เท่านั้น แต่กลับถูกพระเจ้าทรงลงโทษแทน
ในหนทางเดียวกันเลย ถึงแม้ว่าบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของวันนี้จะรอบรู้ในพระคัมภีร์ แต่นี่ไม่ได้สาธิตแสดงว่าพวกเขาเข้าใจความจริงหรือรู้จักพระเจ้า โดยปกติแล้ว ส่วนใหญ่ของสิ่งที่พวกเขาเทศนาคือความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์และทฤษฎีทางเทววิทยา แทบจะไม่มีเลยที่พวกเขาเทศนาหรือเป็นพยานต่อพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า ความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์และทฤษฎีทางเทววิทยาของพวกเขาไม่สามารถจัดเตรียมเสบียงอาหารสำหรับชีวิตของผู้คนได้ และไม่สำคัญว่าพวกเขารู้มากเพียงใด นั่นไม่ได้แสดงให้เห็นแต่อย่างใดว่าพวกเขาเข้าใจความจริงหรือรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่พวกเราจำเป็นต้องมีตอนนี้เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการเข้าใจความจริงบางอย่าง เช่น เหตุใดโลกศาสนาจึงว่างเปล่ายิ่งนัก วิธีที่จะแก้รากสาเหตุของความอ้างว้างของคริสตจักร วิธีที่จะค้นหารอยพระบาทของพระเจ้า วิธีที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า วิธีที่จะทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าและเชื่อฟังองค์พระผู้เป็นเจ้า วิธีที่จะเป็นอิสระจากเครื่องพันธนาการและโซ่ตรวนของบาปและได้รับการชำระให้บริสุทธิ์เพื่อกลายเป็นเข้ากันได้กับพระคริสต์ และอื่นๆ บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสไม่เคยได้เทศนาความจริงดังกล่าวเหล่านี้เพราะตัวพวกเขาเองไม่เข้าใจความจริงเหล่านั้น หากพวกเขาเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วบรรดาผู้เชื่อก็คงจะได้รับการให้น้ำและการค้ำชู เมื่อบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเองไม่เข้าใจความจริงหรือรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเขาจะสามารถนำทางพวกเราเพื่อต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร? พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า “จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” (มัทธิว 4:10) “ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน” (มัทธิว 15:8-9) “คนที่วางใจในมนุษย์ และให้เนื้อหนังเป็นกำลังของเขา และใจของเขาหันออกจากพระยาห์เวห์ คนนั้นก็เป็นที่แช่งสาป” (เยเรมีย์ 17:5) องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงให้คำปรึกษาแก่พวกเราว่า พวกเราต้องยกย่องพระเจ้าว่าทรงยิ่งใหญ่ในความเชื่อของพวกเรา และนมัสการพระเจ้าด้วยหัวใจที่แท้จริง พวกเราต้องไม่ยึดถือผู้คนอื่นๆ ในหัวใจของพวกเราอีกทั้งไม่เชื่อสิ่งที่ผู้คนอื่นๆ พูดอย่างง่ายๆ มิฉะนั้นองค์พระผู้เป็นเจ้าจะไม่มีวันทรงกล่าวชมเชยพวกเราไม่สำคัญว่าพวกเราติดตามพระองค์อย่างไร ในความเชื่อของพวกเราในพระเจ้า หากพวกเราเชื่อบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสอย่างหูหนวกตาบอดเมื่อมาถึงเรื่องสำคัญทั้งหลายของการเจาะลึกหนทางที่แท้จริง และพวกเราทิ้งชะตากรรมและบั้นปลายของพวกเราให้ขึ้นอยู่กับพวกเขาที่จะจัดการเตรียมการ นี่เป็นปัญหาประเภทใดกัน? นั่นเป็นการเชื่อในพระเจ้าหรือ หรือนั่นเป็นการเชื่อในผู้คน? ขณะที่พวกเราเจาะลึกหนทางที่แท้จริง พวกเราควรฟังสิ่งที่พระเจ้าตรัส หรือฟังสิ่งที่บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพูด? ในขณะที่พวกเราเจาะลึกหนทางที่แท้จริง หากพวกเราไม่มีทรรศนะของพวกเราเองแต่แค่เชื่อคำพูดของผู้อื่นอย่างหูหนวกตาบอด นี่ไม่ใช่การล้มเหลวในการแสดงความรับผิดชอบต่อชีวิตของพวกเราเองหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วพวกเราคงจะโน้มเอียงที่จะกระทำความผิดพลาดเดียวกันอย่างที่ผู้คนชาวยิวทั่วไปได้ทำตลอดช่วงปีเหล่านั้นทั้งหมดที่ผ่านมา และพวกเราคงจะถูกทอดทิ้งและถูกกำจัดโดยองค์พระผู้เป็นเจ้า!
พวกเราควรฟังเสียงของพระเจ้าขณะที่พวกเราเจาะลึกหนทางที่แท้จริง
พวกเราควรมีทรรศนะของพวกเราเองเมื่อมาถึงเรื่องของการเจาะลึกหนทางที่แท้จริง มากกว่าจะเชื่ออย่างหูหนวกตาบอดถึงสิ่งที่บรรดาศิษยาภิบาล ผู้อาวุโส หรือรัฐบาลจีนพูด พวกเราจำเป็นที่จะต้องปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยเหตุที่เมื่อนั้นเท่านั้นที่พวกเราจะสามารถต้อนรับการทรงปรากฏขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ องค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา” (ยอห์น 10:27) บทที่ 2 และ 3 ของหนังสือวิวรณ์กล่าวการเผยพระวจนะหลายครั้งว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กล่าวว่า “เนื่องจากว่าพวกเรากำลังตามหารอยพระบาทของพระเจ้า มันจึงจำเป็นที่พวกเราต้องค้นหาน้ำพระทัยของพระเจ้า พระวจนะของพระเจ้า ถ้อยดำรัสของพระองค์—เพราะที่ใดก็ตามที่มีพระวจนะใหม่ๆ ที่พระเจ้าตรัส พระสุรเสียงของพระเจ้าอยู่ที่นั่น และที่ใดที่มีก้าวพระบาทของพระเจ้า กิจการต่างๆ ของพระเจ้าอยู่ที่นั่น ที่ใดก็ตามที่มีการทรงแสดงออกของพระเจ้า ที่นั่นพระเจ้าทรงปรากฏ และที่ใดที่พระเจ้าทรงปรากฏ ที่นั่นความจริง หนทาง และชีวิตดำรงอยู่ ในการค้นหารอยพระบาทของพระเจ้า พวกเจ้าได้ละเลยคำว่า “พระเจ้าคือความจริง หนทาง และชีวิต” และดังนั้น ผู้คนมากมายแม้ในเวลาที่พวกเขาได้รับความจริงไม่เชื่อว่าพวกเขาได้พบรอยพระบาทของพระเจ้าแล้ว และพวกเขายิ่งไม่ยอมรับการทรงปรากฏของพระเจ้า เป็นความผิดพลาดร้ายแรงยิ่งนัก!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่) พวกเราสามารถมองเห็นได้จากการนี้ว่าพระเจ้าดำรัสพระวจนะมากขึ้นเมื่อพระองค์ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย และพวกเราควรเป็นหญิงพรหมจารีที่มีปัญญาผู้ซึ่งมุ่งความสนใจไปที่การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า หญิงพรหมจารีที่มีปัญญามีขีดความสามารถและล่วงรู้ในทางจิตวิญญาณ พวกเขาสามารถระลึกได้จากถ้อยดำรัสของพระคริสต์ว่าพระวจนะเหล่านี้คือความจริง หนทางแห่งชีวิต และดังนั้นพวกเขาจึงสามารถระลึกได้ถึงพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้อนรับการทรงปรากฏของพระองค์ได้ ตัวอย่างเช่น เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏและทรงพระราชกิจของพระองค์ในยุคพระคุณ พระองค์ทรงแสดงหนทางแห่ง “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17) เปโตร ยอห์น และบรรดาสาวกคนอื่นๆ ผู้ซึ่งได้ติดตามองค์พระเยซูเจ้าล้วนแต่จำองค์พระผู้เป็นเจ้าได้โดยผ่านทางพระสุรเสียงของพระเจ้า พวกเขาสามารถได้ยินว่าสิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังทรงแสดงนั้นคือความจริง และดังนั้นพวกเขาจึงละวางบิดามารดาและบ้านของพวกเขาโดยไม่ลังเลใจเลยเพื่อติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาได้รับการรดน้ำและการเป็นผู้เลี้ยงโดยพระองค์ด้วยพระองค์เองโดยเฉพาะ ในช่วงระหว่างเวลาที่พวกเขาได้ติดตามองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาถูกคุกคามและถูกขัดขวางในทุกลักษณะของหนทางโดยพวกฟาริสี และถูกใส่ร้ายป้ายสีและถูกกล่าวโทษโดยทางการโรมัน กระนั้นพวกเขาเพียงฟังพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อฟังพระองค์เท่านั้น โดยปฏิเสธที่จะถูกรบกวนหรือถูกหลอกโดยอำนาจปกครองหรือพวกฟาริสีเคร่งศาสนา เมื่อจำพระคริสต์ได้ พวกเขาได้ติดตามพระองค์ไปจนถึงที่สุด พวกเขาอธิษฐานต่อพระองค์ และได้รับประสบการณ์กับพระวจนะของพระองค์ พวกเขาค่อยๆ เป็นผู้ใหญ่ในชีวิตและมามีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ผู้มีความเชื่อชาวยิวที่เข้มงวด ไม่รู้เท่าทัน และดื้อดึง ถึงแม้ว่าพวกเขาได้ยันสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า และรู้ว่าไม่มีมนุษย์คนใดจะสามารถพูดสิ่งเหล่านั้นได้ แต่พวกเขายังคงไม่สามารถเชื่อในหรือติดตามพระองค์ได้ พวกเขาล้มคว่ำในการระแคะระคายครั้งแรกถึงการถูกคุกคามและถูกหลอกลวงโดยพวกฟาริสี พวกเขาเชื่อในพระเจ้าแต่ไม่สามารถได้ยินพระวจนะของพระองค์ พวกเขาไม่มีการแยกแยะหรือทรรศนะใดๆ ของพวกเขาเอง และกระทั่งไปไกลถึงขนาดที่ยืนที่ด้านเดียวกับซาตานเพื่อต้านทานพระเจ้า ในที่สุด ผู้คนเช่นนั้นสามารถเพียงถูกทอดทิ้งและถูกกำจัดโดยพระเจ้า โดยตกลงสู่นรกเพื่อถูกลงโทษตลอดชั่วกัลปาวสาน ดังนั้น เมื่อพวกเราเจาะลึกหนทางที่แท้จริง พวกเราต้องไม่เชื่ออย่างหูหนวกตาบอดถึงสิ่งที่ผู้คนอื่นๆ พูด แต่ต้องมุ่งความสนใจไปที่การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและการระลึกได้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต การนี้มีความสำคัญสูงสุด
ข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายบัดนี้แผ่ขยายไปทั่วจักรวาลทั้งหมดทั้งมวล และหนังสือพระวจนะอมตะซึ่งทรงแสดงออกโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์—ได้รับการแปลเป็นภาษาต่างๆ มากกว่า 20 ภาษา และมีบริการทางออนไลน์แก่สาธารณะสำหรับมวลมนุษย์ทั้งปวงได้แสวงหาและเจาะลึก พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด เช่น ความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าคืออะไร การนบนอบต่อพระเจ้าและความรักที่มีให้พระเจ้าคืออะไร พวกเราสามารถยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วได้อย่างไร พวกเราสามารถเข้ากันได้กับพระคริสต์ได้อย่างไร พวกเราสามารถดำเนินชีวิตอันมีความหมายได้อย่างไร และอีกมาก ผู้คนจากชนชาติทั้งปวงทั่วโลกผู้ซึ่งได้โหยหาให้พระเจ้าทรงปรากฏ จำพระสุรเสียงของพระเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ พวกเขาได้กลายเป็นแน่ใจว่า พระวจนะเหล่านี้คือความจริงที่พระเจ้าทรงแสดงออกเพื่อชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอด และพวกเขาได้กลับมายังพระนิเวศของพระเจ้าทีละคน ไม่สำคัญว่าบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสพยายามขวางทางอย่างไร หรือรัฐบาลจีนแพร่กระจายการใส่ร้ายป้ายสีและการหมิ่นประมาทประเภทใด พวกเขาติดตามพระเจ้าอย่างเหนียวแน่น ผู้คนเหล่านี้คือหญิงพรหมจารีที่มีปัญญา ผู้ที่ได้ถูกรับขึ้นไปต่อหน้าบัลลังก์ของพระเจ้า ผู้ที่มีโอกาสที่จะได้รับการชำระให้สะอาดและการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า และที่จะได้รับการทำให้เป็นผู้ชนะโดยพระเจ้าในยุคสุดท้าย แล้วก็มีบรรดาผู้ที่มองเห็นว่าพระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงออกทั้งหมดคือความจริง ว่าพระวจนะเหล่านั้นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า กระนั้นก็ถูกหลอกและถูกจำกัดควบคุมหลังจากได้ยินคำสั่งห้ามที่พูดกันโดยบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส และไม่กล้าเจาะลึกพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขากระทั่งไปไกลถึงขนาดที่กังขาหนทางที่แท้จริงและพระราชกิจของพระเจ้า—นี่คือวิธีที่หญิงพรหมจารีที่มีปัญญาประพฤติตนหรือ? พระเจ้าทรงสามารถตรัสพระวจนะร้อยคำและพวกเขาก็คงจะไร้ความสามารถที่จะเชื่อในพระวจนะเหล่านั้นอย่างเต็มที่ แต่เมื่อคนหนึ่งจากมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามพูดแค่คำพูดเดียว พวกเขายอมรับมันโดยสุดหัวใจ—เหล่านี้ไม่ใช่หญิงพรหมจารีที่โง่เขลาหรอกหรือ? เมื่อพวกเขาเจาะลึกหนทางที่แท้จริง หญิงพรหมจารีที่โง่เขลาไม่ฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่กลับฟังเสียงของมนุษย์แทน พวกเขาถูกซาตานคุกคามและหลอกอยู่เนืองนิตย์ และในที่สุดพวกเขาจะถูกซาตานกลืนกิน พวกเขาจะสูญเสียความรอดของพระเจ้า พวกเขาจะถูกทอดทิ้งและถูกกำจัดโดยพระเจ้า และพวกเขาจะถูกกวาดออกไปโดยความวิบัติทั้งหลาย แน่นอนว่าการนี้ทำให้พระวจนะเหล่านี้ในพระคัมภีร์ลุล่วง กล่าวคือ “ประชากรของเราถูกทำลายเพราะขาดความรู้” (โฮเชยา 4:6) และ “แต่คนโง่ตายเพราะขาดสามัญสำนึก” (สุภาษิต 10:21)
บัดนี้ พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายจะไปถึงบทอวสานในไม่ช้า พวกเราต้องการเป็นเหมือนเปโตร เป็นผู้คนที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือไม่? หรือพวกเราต้องการเป็นเหมือนผู้มีความเชื่อชาวยิว ติดตามอย่างหูหนวกตาบอดในสิ่งที่บรรดาศิษยาภิบาล ผู้อาวุโส และระบอบเยี่ยงซาตานพูด และดังนั้นจึงสูญเสียความรอดของพระเจ้า? การที่พวกเราเลือกที่จะฟังพระวจนะของพระเจ้าหรือฟังคำพูดของมนุษย์เมื่อเจาะลึกหนทางที่แท้จริงนั้น จะตัดสินชะตากรรมของพวกเราและบทอวสานสุดท้ายของพวกเรา! ดังที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “พระราชกิจของพระเจ้าถั่งโถมรุดหน้าไปราวลูกคลื่นอันทรงอิทธิฤทธิ์ ไม่มีใครสามารถยับยั้งพระองค์ได้ และไม่มีใครสามารถชะลอรั้งการเดินทัพของพระองค์ มีเพียงผู้คนที่รับฟังพระวจนะของพระองค์อย่างตั้งใจ และผู้ที่แสวงหาและกระหายในพระองค์เท่านั้น ที่สามารถติดตามย่างพระบาทของพระองค์และได้รับพระสัญญาจากพระองค์ พวกคนที่ไม่ทำเช่นนั้นจะต้องตกอยู่ภายใต้ความวิบัติอันท่วมท้น และการลงโทษอันสมควรแล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 2: พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ทั้งปวง)
บันทึกของบรรณาธิการ: หากท่านมีคำถามหรือปัญหาใดๆ โปรดติดต่อเราผ่านการแชทสด แล้วเราจะสามารถสำรวจและหารือเรื่องเหล่านั้นร่วมกันได้
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ