เข้าใจความจริงหลักธรรมสำหรับการถวายการต้อนรับการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า
การมีความสามารถที่จะถวายการต้อนรับการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าคือความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่สุดของบรรดาผู้ที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง แล้วพวกเราจะสามารถถวายการต้อนรับองค์พระเยซูเจ้าได้อย่างไรหรือ? สิ่งที่ตามมาคือการสามัคคีธรรมว่าด้วยหลักธรรมสามประการเพื่อให้พวกเราอาจถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าร่วมกันได้
1. จงอย่าพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการ จงมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ มีการบันทึกไว้ว่า “‘เพราะความคิดของเราไม่ใช่ความคิดของเจ้า และทางของพวกเจ้าก็ไม่ใช่ทางของเรา’ พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ ‘เพราะฟ้าสวรรค์สูงกว่าแผ่นดินโลกอย่างไร ทางของเราก็สูงกว่าทางของพวกเจ้า และความคิดของเราก็สูงกว่าความคิดของเจ้าอย่างนั้น’” (อิสยาห์ 55:8-9) พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “เราทุกคนควรรู้ว่ามนุษย์ซึ่งอยู่ในสภาวะเนื้อหนังได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม ธรรมชาติจริงๆ ของมวลมนุษย์คือการต่อต้านพระเจ้า มวลมนุษย์ไม่สามารถเทียบเสมอพระเจ้าได้และมวลมนุษย์ยิ่งหวังได้น้อยกว่าที่จะเป็นผู้ให้คำแนะนำในพระราชกิจของพระเจ้า สำหรับวิธีที่พระเจ้าทรงนำมนุษย์ นี่คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง เป็นการเหมาะสมแล้วที่มนุษย์ควรนบนอบ โดยปราศจากการเอ่ยอ้างทรรศนะอย่างนี้อย่างนั้น เพราะมนุษย์เป็นเพียงผงคลีดิน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งการทรงสร้าง และพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์เปิดเผยสิทธิอำนาจ ฤทธานุภาพ ความอัศจรรย์ และพระปัญญาของพระองค์ ไม่ว่ากิจการของพระเจ้าอยู่ในแนวเดียวกันกับมโนคติอันหลงผิดของพวกเราหรือไม่ และไม่ว่าพวกเราสามารถเข้าใจมโนคติอันหลงผิดเหล่านั้นได้หรือไม่ ในฐานะสรรพสิ่งที่ทรงสร้างทั้งหลาย พวกเราควรแสวงหา ยอมรับ และนบนอบด้วยหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้ากันทุกคน นี่คือเหตุผลประเภทที่พวกเราในฐานะเหล่ามนุษย์ควรครอง หากพวกเราโอหัง โดยพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของตัวเองเพื่อจำกัดเขตพระราชกิจของพระเจ้า หากพวกเรายึดมั่นแนวคิดมากมายของตัวเองอยู่เสมอเกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า โดยเรียกร้องให้พระเจ้าทรงทำการนี้หรือการนั้น พวกเราย่อมจะโน้มเอียงที่จะทำสิ่งทั้งหลายซึ่งต่อต้านพระเจ้า ก็เหมือนตอนที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ—พวกฟาริสีได้ขาดพร่องหัวใจแห่งความเคารพต่อพระเจ้าทั้งสิ้น ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ร่วมทำการแสวงหาเกี่ยวกับพระราชกิจของพระองค์ พวกเขารู้ดีว่าพระวจนะที่องค์พระเยซูเจ้าดำรัสนั้นครองสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่พวกเขาก็ยังคงถือมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของตัวเองเป็นความจริงอย่างหยิ่งผยอง โดยเชื่อว่าในเวลาที่พระเจ้าได้เสด็จมานั้น พระนามของพระองค์จะเป็นพระเมสสิยาห์ และพระองค์จะประสูติในสายสกุลชนชั้นสูงเพื่อเป็นกษัตริย์ของพวกยิว แต่แล้วเมื่อพระองค์ได้เสด็จมา พระนามของพระองค์คือพระเยซูและพระองค์ประสูติในครอบครัวปกติทั่วไป พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระองค์ดังเช่นกษัตริย์ของพวกเขาเช่นกัน ดังนั้นพวกฟาริสีจึงได้ทำการตัดสิน โดยพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าไม่ใช่พระเมสสิยาห์ และว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้า และบนพื้นฐานของสิ่งที่พวกเขาจินตนาการ พวกฟาริสีเชื่อว่าเมื่อพระเมสสิยาห์เสด็จมา ก่อนอื่นพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขาและเปิดเผยพระองค์เองต่อพวกเขา และว่าพระองค์จะทรงพระราชกิจภายในตัวพวกเขา พวกเขาไม่ได้คิดว่าพระองค์จะกำลังทรงพระราชกิจและประกาศท่ามกลางผู้คนที่ต่ำต้อยอย่างเช่นคนเก็บภาษีและชาวประมง ทั้งนี้ พวกเขาเชื่อว่าพระองค์จะยังทรงนำพวกเขาอยู่ต่อไปให้รักษาธรรมบัญญัติแห่งภาคพันธสัญญาเดิม แต่ในพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้านั้น พระองค์ได้เสด็จออกมาจากวิหารและทรงนั่งลงอยู่เนืองนิจเพื่อหักขนมปังกับพวกคนบาป พระองค์ได้ทรงประกาศและได้ทรงพระราชกิจท่ามกลางผู้คนธรรมดาทั่วไป พระองค์ได้ทรงพระราชกิจในวันสะบาโต พระองค์ได้ทรงอนุญาตให้สาวกของพระองค์ถอนและกินข้าวในวันสะบาโต และพระองค์ได้ทรงพึงประสงค์ให้ผู้ติดตามของพระองค์ยังอยู่ในคำสอนของยุคใหม่ และอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน เมื่อเผชิญหน้ากับข้อเท็จจริงที่ว่าพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าไม่ได้สอดคล้องกับมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์ พวกฟาริสีจึงไม่ได้แสวงหาอย่างถ่อมใจ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเกาะติดอยู่กับมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของตัวเองอย่างโอหังและดื้อดึง โดยต้านทาน กล่าวโทษ ตัดสิน และหมิ่นประมาทองค์พระเยซูเจ้าด้วยพละกำลังทั้งหมดของพวกเขา ในท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาก็ได้สมรู้ร่วมคิดกับรัฐบาลโรมันเพื่อตรึงกางเขนพระองค์ ทั้งนี้ การนี้ได้ล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าอย่างร้ายแรงและพวกเขาก็ได้ทนทุกข์จากการลงโทษอันชอบธรรมของพระเจ้า ความล้มเหลวของพวกฟาริสีแสดงให้พวกเราเห็นอย่างชัดเจนว่า การพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของตัวเองในการที่พวกเราเข้าหาพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้พวกเรามีแววว่าจะต้านทานพระเจ้าและล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระองค์ การนี้นำไปสู่การถูกพระเจ้าทรงปฏิเสธและลงโทษ ดังนั้น ในการถวายการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราจึงไม่สามารถจำกัดเขตหรือตัดสินการเสด็จมาของพระเจ้าโดยอยู่บนพื้นฐานของมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของตัวเองได้โดยสิ้นเชิง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเรากลับต้องปล่อยมือจากสิ่งเหล่านั้น ธำรงไว้ซึ่งหัวใจแห่งความเคารพต่อพระเจ้า และแสวงหาความจริงด้วยหัวใจที่เปิดกว้างโดยอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะมีความสามารถที่จะถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดั่งเช่นที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย…คนที่หิวและกระหาย ความชอบธรรมก็เป็นสุข เพราะว่าพระเจ้าจะทรงให้อิ่ม” (มัทธิว 5:3, 6)
2. จงแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริงอย่างแข็งขัน
องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว25:6) ข้อพระคัมภีร์นี้แสดงให้เห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเราเป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญา ทั้งนี้ ตราบที่ใครบางคนร้องออกมาว่าเจ้าบ่าวได้มาแล้ว นั่นก็คือ หากใครบางคนกำลังประกาศในยุคสุดท้ายว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว พวกเราก็ควรแสวงหาและสืบค้นการนั้นอย่างแข็งขัน พวกเราต้องมุ่งเน้นไปที่การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า นี่คือหนทางเดียวเท่านั้นที่พวกเราจะมีความสามารถที่จะถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกรับขึ้นไปอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระองค์ได้ อย่างไรก็ตาม พี่น้องชายหญิงบางคนไม่ได้คำนึงถึงข้อพึงประสงค์ที่สำคัญนี้ขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาแค่รับฟังสิ่งที่พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสจำเป็นที่จะต้องพูด และเชื่อว่าตราบที่พวกเขายึดมั่นในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า อธิษฐานและอ่านพระคัมภีร์อยู่เนืองนิจ และทำพระราชกิจขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างขะมักเขม้น เมื่อพระองค์เสด็จมา พวกเขาย่อมจะมีความสามารถที่จะถวายการต้อนรับพระองค์ได้—พวกเขาจะไม่จำเป็นต้องออกไปแสวงหาและสืบค้น มีแม้กระทั่งพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสบางคนที่บอกกับเหล่าพี่น้องชายหญิงว่า บัดนี้คือยุคสุดท้ายและมีพระคริสต์เทียมเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ในจำนวนที่มากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ควรรับฟัง ดู หรือมาติดต่อกับทุกคนไม่ว่าใครที่เผยแผ่ข่าวเกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาพูดว่านั่นเป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่พวกเขาจะไม่ถูกหลอกลวง เรามองว่าเมื่อเปรียบเทียบกับข้อพึงประสงค์ขององค์พระเยซูเจ้าที่มีต่อพวกเรา หนทางของพวกเราในการคิดไม่อยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงหรือกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้า ในเวลาที่สำคัญยิ่งยวดนั้นเมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมา หากพวกเราได้ยินใครบางคนให้การเป็นพยานว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว แต่พวกเรายังรออย่างตั้งรับอยู่ต่อไปแทนที่จะแสวงหาและสืบค้นอย่างเป็นไปในเชิงรุก พวกเราจะสามารถถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไรเล่า? หากพวกเราปิดกั้นพระคริสต์เที่ยงแท้เพียงเพราะพวกเรากลัวว่าจะถูกพวกพระคริสต์เทียมเท็จนำไปในทางที่ผิด นั่นไม่ใช่เป็นการก่อปัญหาให้กับตัวพวกเราเองโดยพยายามที่จะลงโทษใครคนอื่นจริงๆ กระนั้นหรือ? เช่นนั้นแล้ว พวกเราจะไม่มีแววว่าจะพลาดโอกาสของพวกเราที่จะถวายการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้ากระนั้นหรือ? องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำพระสัญญากับพวกเราว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน” (มัทธิว 7:7) และมีการกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์” (โรม 10:17) พวกเราสามารถเห็นได้จากการนี้ว่า พวกเราจะมีความสามารถที่จะได้รับการทรงนำจากพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อพวกเราฟังคำเทศนาอย่างแข็งขันและมุ่งเน้นไปที่การแสวงหาและการสืบค้นเท่านั้น โดยเฉพาะเมื่อมาถึงเรื่องของการถวายการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราควรอธิษฐานต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างจริงใจ และเมื่อพวกเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการเสด็จมาของพระองค์ พวกเราก็ควรแสวงหาอย่างแข็งขัน ทั้งนี้ ในหนทางนั้นพวกเราจึงจะได้รับความรู้แจ้งและการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เหมือนกันไม่มีผิดกับเปโตรในยุคพระคุณ ก่อนที่เขาจะถูกองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงร้องขอ เขาได้ยินเกี่ยวกับกิจการขององค์พระเยซูเจ้าและถวิลหาที่จะได้เห็นพระองค์ที่ได้ทรงแบ่งปันข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เมื่อเขาได้ยินอันดรูว์น้องชายของเขาพูดว่า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” (ยอห์น 1:41) เปโตรได้ริเริ่มที่จะติดตามอันดรูว์ไปพบองค์พระเยซูเจ้า และได้กำหนดพิจารณาว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์โดยผ่านทางพระราชกิจและพระวจนะของพระองค์ ในท้ายที่สุดแล้ว เขาได้สละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อติดตามองค์พระเยซูเจ้าและได้รับความรอดของพระองค์ นี่คือเหตุผลที่ว่า เป็นเรื่องที่วิกฤติมากที่จะเข้าทำการแสวงหาและการสืบค้นอย่างแข็งขันเมื่อพวกเราได้ยินใครบางคนแบ่งปันข่าวเกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า
3. จงมุ่งเน้นไปที่การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า
องค์พระเยซูเจ้าตรัสบอกพวกเราไว้อย่างชัดเจนว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา” (ยอห์น 10:27) นี่ยังได้มีการเผยวจนะไว้ในบทที่ 2 และ 3 ของวิวรณ์หลายครั้งด้วยเช่นกัน ความว่า “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” และในบทที่ 3 ข้อพระคัมภีร์ที่ 20 มีการกล่าวไว้ว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” พวกเราสามารถกำหนดพิจารณาจากพระวจนะและคำเผยวจนะขององค์พระเยซูเจ้าในวิวรณ์ได้ว่า เมื่อองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พระองค์จะดำรัสวจนะมากขึ้นเพื่อให้น้ำและค้ำชูพวกเรา โดยตรัสบอกพวกเราถึงความจริงทั้งหลายที่พวกเราไม่เข้าใจ เมื่อพวกเราได้ยินข่าวเกี่ยวกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและระลึกถึงพระสุรเสียงของพระเจ้าจากถ้อยดำรัสของพระองค์ พวกเราสามารถติดตามย่างพระบาทขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเข้าร่วมงานเลี้ยงของพระเมษโปดกได้ มีเพียงพระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงสามารถแสดงความจริงได้ ทั้งนี้ นอกเหนือไปจากพระเจ้า ไม่มีบุคคลที่ยิ่งใหญ่หรือมีชื่อเสียงหรือพระคริสต์เทียมเท็จเหล่านั้นคนใดเลยที่เสแสร้งแกล้งทำว่าเป็นพระเจ้าที่สามารถแสดงความจริงได้ นี่คือสาเหตุที่การมุ่งเน้นไปที่การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าเพื่อที่จะถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้านั้นสำคัญยิ่งนัก
แล้วพวกเราจะสามารถหยั่งรู้พระสุรเสียงของพระเจ้าได้อย่างไรเล่า? นั่นไม่ใช่ขึ้นอยู่กับว่าขีดความสามารถของพวกเรายิ่งใหญ่เพียงใดหรือว่าพวกเราได้เป็นผู้เชื่อมานานเพียงใดแล้ว แต่นั่นขึ้นอยู่กับสัญชาตญาณของพวกเรา สำนึกภายในจิตวิญญาณของพวกเรา ที่มีความรู้สึกร่วมกันภายในหัวใจของพวกเรา ใครก็ตามที่มีหัวใจและจิตวิญญาณย่อมสามารถรู้สึกถึงการนั้นได้อย่างแน่นอนที่สุด ดังที่พระยาห์เวห์ตรัสไว้ว่า “ให้โทษของบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานของผู้ที่ชังเราจนถึงสามชั่วสี่ชั่วอายุคน แต่แสดงความรักมั่นคงต่อคนที่รักเรา และรักษาบัญญัติของเราจนถึงนับพันชั่วอายุคน” (เฉลยธรรมบัญญัติ 5:9-10) เมื่อพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทรงทำพระสัญญากับอับราฮัม พระองค์ได้ตรัสว่า “เราจะให้เจ้าเป็นชนชาติใหญ่…เราจะอวยพรคนที่อวยพรเจ้า เราจะสาปคนที่แช่งเจ้า บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า” (ปฐมกาล 12:2-3) และองค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสเช่นนี้ว่า “คนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม ก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย เมื่อพวกเขาจะติเตียนข่มเหง และนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายต่างๆ เป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุข” (มัทธิว 5:10-11) เมื่อองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงสาปแช่งพวกฟาริสี พระองค์ยังได้ตรัสอีกด้วยว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด” (มัทธิว 23:13) “เจ้าพวกงู พวกชาติงูร้าย เจ้าจะพ้นโทษนรกได้อย่างไร?” (มัทธิว 23:33) โดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพระวจนะของพระเจ้ามีลักษณะเฉพาะ หลายประการ กล่าวคือ พระวจนะของพระเจ้าครองฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจและเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมาจากปากมนุษย์อันใดได้เลย พระวจนะของพระเจ้าเปิดกว้างความล้ำลึกทั้งหลายและบอกพวกเราเกี่ยวกับแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ซึ่งพวกเราไม่เคยรู้จักมาก่อน พระวจนะของพระเจ้าตรงไปสู่หัวใจของแก่นแท้อันเสื่อมทรามของเหล่ามนุษย์ และสามารถเปิดโปงความเสื่อมทรามซึ่งซ่อนเร้นลึกที่สุดภายในหัวใจของพวกเราได้เสียด้วยซ้ำ นี่เปิดโอกาสให้พวกเราได้เห็นธรรมชาติและแก่นแท้ของผู้คนทุกจำพวก นอกจากนั้น พระวจนะของพระเจ้าจัดเตรียมเสบียงอาหารสำหรับชีวิตของพวกเรา โดยชี้ชัดเส้นทางแห่งการปฏิบัติให้กับพวกเราและแก้ไขความลำบากยากเย็นทั้งหลายของพวกเราที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ดังที่องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับความจริงทั้งหลาย อาทิ วิธีปฏิบัติต่อผู้อื่นและวิธีเข้าหาศัตรูของพวกเรา นั่นได้ให้เส้นทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการปฏิบัติในการที่พวกเรามีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น และแล้วพวกเราจึงได้รู้วิธีปฏิบัติต่อผู้คนอื่นๆ เหล่านี้คือหลักธรรมทั้งหลายเกี่ยวกับวิธีหยั่งรู้ว่าบางสิ่งคือพระสุรเสียงของพระเจ้าหรือไม่
ในข้อเท็จจริงแล้ว บรรดาสาวกที่ได้ติดตามองค์พระเยซูเจ้าในยุคพระคุณ อาทิ เปโตร ยอห์น และเจมส์ ล้วนแต่เป็นผู้คนที่ได้ยินพระองค์ตรัสและทรงประกาศ และได้รู้สึกว่าพระวจนะของพระองค์เต็มไปด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และว่าพระวจนะของพระองค์ได้ครองความจริง พวกเขาได้รู้สึกว่านั่นคือพระเจ้าที่กำลังตรัส และนี่คือเหตุผลที่พวกเขาได้ระลึกถึงว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ ดังนั้นพวกเขาจึงได้ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับความรอดของพระองค์ แล้วก็มีนาธานาเอล ที่ได้รู้ภายในหัวใจของเขาว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้าเมื่อตอนที่เขาได้ยินองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับเขาว่า “นี่แหละ ชาวอิสราเอลแท้ ในตัวเขาไม่มีอุบาย” (ยอห์น 1:47) “เราเห็นท่านอยู่ใต้ต้นมะเดื่อก่อนที่ฟีลิปจะเรียกท่าน” (ยอห์น 1:48) ตอนนั้นเขาได้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นกษัตริย์ของคนอิสราเอล เพราะแม้ว่าองค์พระเยซูเจ้าไม่ได้เคยทรงพบเขามาก่อน แต่พระองค์ก็ยังคงทรงรู้ว่าเขากำลังอธิษฐานอย่างเงียบๆ และได้ตรัสว่าเขานั้นปราศจากกลลวง นาธานาเอลได้คิดขึ้นมาว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถตรวจสอบหัวใจของมนุษย์ได้ ทั้งนี้ ผู้คนปกติธรรมดาขาดพร่องความสามารถนั้น สิทธิอำนาจนั้นอย่างสิ้นเชิง นี่คือสาเหตุที่พวกเราจะมีความสามารถที่จะระลึกถึงพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ในยามที่พวกเราเผชิญกับพระวจนะที่องค์พระผู้เป็นเจ้าดำรัสในยุคสุดท้าย ตราบที่พวกเราไตร่ตรองพระวจนะเหล่านั้นอย่างจริงแท้และระมัดระวัง บรรดาคนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีความสามารถที่จะได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ และที่ยอมรับและนบนอบต่อพระองค์ จะถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าและถูกรับขึ้นไปอยู่เบื้องหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้าเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยงสมรสของพระเมษโปดก ผู้คนทั้งหมดเหล่านี้เป็นหญิงพรหมจารีมีปัญญาและได้รับการอวยพรมากที่สุดในบรรดาทั้งปวง
ตอนนี้พวกเราได้รับความเข้าใจเกี่ยวกับสามเส้นทางสู่การถวายการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว หนึ่งก็คือการไม่พึ่งพามโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการ และการมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า สอง แสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริงอย่างแข็งขัน สาม มุ่งเน้นไปที่การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า เราเชื่อว่าตราบที่พวกเราปฏิบัติโดยสอดคล้องกับสามเส้นทางเหล่านี้ แน่นอนว่าพวกเราย่อมจะมีความสามารถที่จะถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าได้
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ