เทศนาพระคัมภีร์: 2 วิธีที่จะแยกแยะพระคริสต์ที่แท้จริงจากพระคริสต์เทียมเท็จ
ความวิบัติสารพัดชนิดกำลังเกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้และคำเผยพระวจนะต่างๆ ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าส่วนใหญ่ได้ถูกทำให้ลุล่วงแล้วในขณะนี้ พี่น้องชายหญิงจำนวนมากรู้สึกในหัวใจของพวกเขาว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าอาจทรงกลับมาแล้ว และพวกเขาทุกคนต่างก็กำลังค้นหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ถึงก็นั้นก็ดี มีหลายคนที่นึกถึงข้อพระคัมภีร์เหล่านี้จากพระคัมภีร์ ที่ว่า “ในเวลานั้นถ้าใครจะบอกท่านทั้งหลายว่า ‘นี่แน่ะ พระคริสต์อยู่ที่นี่’ หรือ ‘อยู่ที่โน่น’ อย่าเชื่อเลย เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้” (มัทธิว 24:23-24) ถึงแม้ว่าพวกเขาอาจจะได้ยินใครบางคนเป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้ว พวกเขาก็ไม่แสวงหาหรือเจาะลึกถึงการกล่าวอ้างนี้ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับติดตามโลกศาสนาและยึดติดกับมโนคติอันหลงผิดที่ว่า “ข้อความใดที่ประกาศว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาในสภาวะเนื้อหนังเป็นข้อความเท็จ” หากพวกเราทำเช่นนี้ พวกเราจะสามารถต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้หรือไม่? องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะหลายครั้งว่าพระองค์จะทรงกลับมา ดังนั้น หากพวกเราคิดว่าพระวจนะของพระองค์มีความหมายว่าข้อความใดที่ประกาศว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมาแล้วในสภาวะเนื้อหนังเป็นความเท็จ เช่นนั้นแล้วพวกเราก็ไม่ได้กำลังปฏิเสธการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้วพวกเราก็กำลังต้านทานพระเจ้าและกำลังกระทำความผิดพลาดอย่างร้ายแรงจริงๆ เมื่อพูดถึงการรอคอยการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราไม่สามารถที่จะคงความระมัดระวังอย่างนิ่งเฉยได้ ด้วยว่าในการทำเช่นนั้น พวกเราจะพลาดการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเราต้องพยายามรับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าอย่างแข็งขัน ดังที่มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’” (มัทธิว 25:6) หนังสือวิวรณ์ได้กล่าวคำเผยพระวจนะไว้ด้วยว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา” (วิวรณ์ 3:20) และ “ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย” (วิวรณ์ 2:7) เป็นน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่พวกเรายังคงเฝ้าระวังและมุ่งเน้นการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า ชั่วขณะที่ใครบางคนเป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงกลับมา พวกเราต้องเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีผู้มีปัญญาที่แสวงหาพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแข็งขัน เนื่องจากว่าด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่พวกเราจะสามารถต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ หากทั้งหมดที่พวกเราได้แต่ทำคือการระมัดระวังพระคริสต์เทียมเท็จและลงเอยด้วยการปิดประตูของเราต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์ทรงกลับมาด้วย นั่นก็คงจะเหมือนกับการที่พวกเราเลิกกินอาหารไปเลยเพราะกลัวว่าจะสำลักอาหารไม่ใช่หรือ? และเช่นนั้นแล้วพวกเราก็คงจะเป็นเหมือนกับหญิงพรหมจารีผู้โง่เขลา ไร้ความสามารถที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า ถูกทอดทิ้งและถูกกำจัดไม่ใช่หรือ? แกะของพระเจ้าฟังพระสุรเสียงของพระองค์ บรรดาผู้ที่มีขีดความสามารถและความตระหนักรู้อย่างแท้จริงจะรับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า และพวกเขาก็สามารถแสวงหาความจริงและบอกความแตกต่างระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เทียมเท็จได้ พวกเขาจะไม่ถูกหลอกลวงโดยพระคริสต์เทียมเท็จ ด้วยเหตุนี้ สิ่งที่พวกเราควรเข้าใจในตอนนี้มากยิ่งกว่าสิ่งอื่นใดก็คือรู้วิธีแยกแยะระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เทียมเท็จ โดยการทำเช่นนั้นเท่านั้นที่พวกเราจะได้รับการปกป้องจากการหลอกลวงของพระคริสต์เทียมเท็จได้ และพวกเราก็จะสามารถต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ การสามัคคีธรรมของเราต่อไปนี้เกี่ยวข้องกับแง่มุมของความจริงนี้
วิธีแรกที่จะบอกความแตกต่างระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เทียมเท็จ: การระลึกรู้ถึงพระคริสต์ว่าทรงเป็นความจริง เป็นหนทางและเป็นชีวิต
การแยกแยะว่าใครบางคนคือพระคริสต์ที่แท้จริงหรือพระคริสต์เทียมเท็จหรือไม่นั้น พวกเราต้องเฝ้าดูเพื่อจะได้เล็งเห็นว่าพวกเขาสามารถแสดงถึงความจริงหรือไม่และพวกเขาสามารถปฏิบัติงานแห่งความรอดของมนุษย์หรือไม่ พระเจ้าตรัสว่า “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะทรงสามารถนำความจริงสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่พระรูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำนำ) “พระเจ้าซึ่งทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ได้รับการเรียกขานพระนามว่าพระคริสต์ และดังนั้นแล้วพระคริสต์ที่สามารถประทานความจริงแก่ผู้คนได้จึงมีพระนามเรียกขานว่าพระเจ้า ไม่มีอะไรที่เกินเลยเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะพระองค์ทรงครองเนื้อแท้ของพระเจ้า และทรงครองพระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระปรีชาญาณในพระราชกิจของพระองค์ ที่ไม่สามารถบรรลุได้โดยมนุษย์ บรรดาพวกที่เรียกตัวเองว่าพระคริสต์ ทว่ากลับไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้นั้นเป็นพวกฉ้อฉล พระคริสต์ไม่ได้ทรงเป็นแค่การสำแดงของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกเท่านั้น แต่ยังทรงเป็นเนื้อหนังพิเศษเฉพาะที่ทรงได้รับการดูแลรับผิดชอบโดยพระเจ้าในขณะที่พระองค์ทรงดำเนินการและทำให้พระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมนุษย์เสร็จสิ้น เนื้อหนังนี้ไม่สามารถแทนที่ได้โดยมนุษย์คนใด แต่เป็นเนื้อหนังที่สามารถแบกรับพระราชกิจของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกได้อย่างเพียงพอ และสามารถแสดงพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเป็นตัวแทนพระเจ้าได้เป็นอย่างดี และสามารถจัดเตรียมชีวิตให้แก่มนุษย์ได้ ไม่ช้าก็เร็ว พวกที่แสร้งแสดงตนเป็นพระคริสต์จะพินาศกันทั้งหมด เพราะแม้พวกเขาจะอ้างว่าเป็นพระคริสต์ พวกเขาก็ไม่ได้ครองเนื้อแท้ของพระคริสต์เลย และดังนั้นเราจึงกล่าวว่าความจริงแท้แห่งพระคริสต์ไม่สามารถนิยามได้โดยมนุษย์ แต่พระเจ้าจะเป็นผู้ตอบและตัดสินด้วยพระองค์เอง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)
พระวจนะของพระเจ้าตรัสไว้อย่างชัดเจนมากว่าพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์เท่านั้นจึงสามารถถูกเรียกขานว่าพระคริสต์ได้ พระคริสต์ทรงเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าที่ได้รับการตระหนักถึงในสภาวะเนื้อหนัง นั่นก็คือ สิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น พระอุปนิสัยของพระเจ้าและพระปรีชาญาณของพระเจ้า ทั้งหมดได้รับการตระหนักถึงในสภาวะเนื้อหนัง พระคริสต์ทรงถูกครองด้วยแก่นแท้แห่งพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นร่างทรงแห่งความจริง พระองค์ทรงสามารถแสดงถึงความจริงเพื่อทรงเป็นผู้เลี้ยงและจัดเตรียมให้กับมนุษย์ในทุกเวลาและในทุกๆ ที่ได้ และพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจการไถ่และความรอดของมวลมนุษย์ได้ นี่คือข้อเท็จจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ยกตัวอย่างเช่น องค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ พระองค์ทรงสามารถแสดงความจริงได้ทุกเวลาและในทุกๆ ที่ พระองค์ได้ทรงนำพาหนทางแห่งการกลับใจมาสู่มนุษย์ และทรงนำส่งมนุษย์ออกจากการบังคับควบคุมของธรรมบัญญัติ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงได้กำหนดข้อพึงประสงค์บางประการให้กับพวกเราด้วยเพื่อพวกเราจะได้เข้าใจว่าจะรักและยกโทษผู้อื่นได้อย่างไร และเพื่อที่จะรับเอาความบาปของพวกเราไว้กับพระองค์เอง พระองค์ทรงถูกตรึงกางเขนด้วยพระองค์เอง พระราชกิจทั้งหมดที่องค์พระเยซูเจ้าทรงกระทำและพระวจนะทั้งหมดที่พระองค์ตรัส รวมถึงความรักและความปรานีของพระองค์ต่อมวลมนุษย์ คือสิ่งที่ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์ได้มาก่อน และการเหล่านั้นเป็นตัวแทนพระอัตลักษณ์ของพระเจ้าอย่างครบถ้วนบริบูรณ์
ในทางกลับกัน พระคริสต์เทียมเท็จก็อยู่ในแก่นแท้แห่งวิญญาณและปีศาจชั่วร้ายทั้งหลาย พระคริสต์เทียมเท็จปราศจากความจริงอย่างสิ้นเชิง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะสามารถแสดงความจริงได้ พวกเขาส่วนมากโอหังและไร้สาระอย่างสุดขั้ว พวกเขารู้ว่าผู้คนเลื่อมใสบูชาความรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ และด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงใช้ความสามารถทางจิตนี้ตีความพระคัมภีร์ผิด นำเอาข้อพระคัมภีร์มาตีความผิดไปจากบริบท และตั้งทฤษฏีอันไร้สาระทุกประเภทขึ้นมาใช้หลอกลวงผู้คน คำพูดของพวกเขาไม่เพียงแต่ไม่สามารถนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของผู้คนได้หรือเปิดโอกาสให้ผู้คนรู้จักพระเจ้าได้เท่านั้น แต่พวกเขายังทำให้จิตวิญญาณของผู้คนมืดมนและซึมเศร้าเพิ่มมากขึ้นด้วย พวกเขาไม่กล้าที่จะทำให้คำพูดของพวกเขาเป็นที่เปิดเผยเพื่อให้มวลมนุษย์ทั้งปวงได้แสวงหาและเจาะลึก แต่ก็สามารถหลอกลวงได้เฉพาะผู้คนเพียงหยิบมือเดียวที่ไม่หยั่งรู้อย่างลับๆ เท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การที่จะบอกถึงความแตกต่างระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เทียมเท็จได้ พวกเราต้องแยกแยะแก่นแท้ของพวกเขาก่อน เฉพาะพระคริสต์ผู้ถูกครองด้วยแก่นแท้แห่งพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถแสดงความจริงที่ช่วยมวลมนุษย์ให้รอดและจัดเตรียมให้กับมวลมนุษย์ได้ ในขณะที่พวกที่ปราศจากแก่นแท้แห่งพระเจ้าไม่สามารถทำการนี้ได้ ไม่ว่าพวกเขาจะมีความรู้มากเพียงใดก็ตามหรือมีความสามารถมากเพียงใดก็ตาม พวกวิญญาณและปีศาจที่ชั่วร้ายก็ยิ่งสามารถแสดงความจริงได้น้อยกว่าหรือปฏิบัติงานแห่งความรอดของมนุษย์ได้น้อยยิ่งกว่า เท่าที่พวกเขาสามารถทำได้คือหลอกลวงผู้คนและทำให้ผู้คนเสื่อมทราม ดังนั้นจึงชัดเจนว่าเพื่อที่จะบอกความแตกต่างระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เทียมเท็จ พวกเราต้องระลึกรู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นความจริง เป็นหนทางและเป็นชีวิต ดังที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสไว้ว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต” (ยอห์น 14:6) “คนเหล่านี้เป็น […] พวกที่ติดตามพระเมษโปดกไม่ว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน” (วิวรณ์ 14:4)
วิธีที่สองที่จะบอกความแตกต่างระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงกับพระคริสต์เทียมเท็จ: พระราชกิจของพระเจ้าใหม่เสมอและไม่เคยเก่าเลย และพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจของพระองค์ซ้ำอีก
ดังที่พวกเราทุกคนทราบดีว่าพระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่เคยเก่าเลย และพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจของพระองค์ซ้ำอีก ดังนั้นพวกเราจึงสามารถใช้ประเด็นนี้เพื่อจำแนกระหว่างพระคริสต์ที่แท้จริงและพระคริสต์เทียมเท็จได้ ก่อนอื่นให้พวกเรามาอ่านบทตอนหนึ่งจากพระวจนะของพระเจ้ากัน “หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมาซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู จงจดจำการนี้ไว้! พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง…หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้)
พวกเราสามารถมองเห็นได้จากพระวจนะของพระเจ้าว่าพระเจ้าทรงใหม่เสมอและไม่เคยเก่าเลย และว่าพระองค์ไม่ทรงพระราชกิจของพระองค์ซ้ำอีก ทุกครั้งที่พระเจ้าทรงปฏิบัติพระราชกิจ พระองค์ทรงเริ่มต้นยุคใหม่และสรุปปิดตัวยุคเก่า ทรงก่อให้เกิดระยะของพระราชกิจที่ใหม่กว่าและสูงส่งกว่า ยกตัวอย่างเช่น พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทำให้พระราชกิจการประกาศธรรมบัญญัติและพระบัญญัติของยุคธรรมบัญญัติเสร็จสิ้นเสียก่อนและทรงนำทางชีวิตของมนุษย์ เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ไม่ได้ทรงปฏิบัติพระราชกิจที่ได้มาถึงก่อนหน้านั้นซ้ำอีก ตรงกันข้าม พระองค์ทรงนำยุคธรรมบัญญัติมาถึงบทอวสานและทรงเริ่มต้นยุคพระคุณ และพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งความรอดของมนุษย์และการยกโทษต่อบาปของเขา พระเจ้าพระองค์เองเท่านั้นที่ทรงสามารถกระทำพระราชกิจเช่นนั้นได้ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากว่าพระคริสต์เทียมเท็จไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้า พวกเขาจึงไม่สามารถทำงานของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่พวกเขาจะสามารถทำงานของการเริ่มต้นยุคใหม่และนำยุคเก่ามาถึงบทอวสานได้ เท่าที่พวกเขาสามารถทำได้ก็คือตามอยู่ข้างหลังพระราชกิจของพระเจ้า และเลียนแบบกระแสเสียงของพระวาทะของพระเจ้าและพระวจนะที่พระองค์ได้ตรัส และเลียนแบบพระราชกิจที่พระเจ้าได้ทรงกระทำในอดีต พวกเขาทำการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ง่ายๆ บางอย่างและเสแสร้งว่าเป็นพระเจ้าเพื่อที่จะหลอกลวงผู้คน ยิ่งไปกว่านั้น พระคริสต์เทียมเท็จไม่มีสิทธิอำนาจ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามเลียนแบบองค์พระผู้เป็นเจ้ามากเพียงใดก็ตาม พวกเขาก็ไม่มีวันสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ดังที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงแสดงได้ เช่น การทรงเลี้ยงอาหารคนห้าพันคนด้วยปลาสองตัวและขนมปังห้าแถวและการทรงนำพาลาซารัสกลับมาจากความตาย สิ่งที่การนี้แสดงความหมายให้เห็นก็คือว่าพระเจ้าในยุคสุดท้ายจะไม่ทรงพระราชกิจที่ได้ทรงปฏิบัติมาก่อนหน้าแล้วโดยองค์พระเยซูเจ้าซ้ำอีก และทุกคนที่เลียนแบบงานของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ผู้ที่ทำการแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ง่ายๆ ไม่กี่อย่างและรักษาคนป่วยและขับไล่มารทั้งหลายเพื่อหลอกลวงผู้คนนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นพวกวิญญาณชั่วร้ายที่ปลอมตัวมาอย่างแน่นอน—พวกเขาคือพระคริสต์เทียมเท็จ นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงให้การเตือนนี้แก่พวกเราว่า “เพราะว่าจะมีพระคริสต์เทียมเท็จและผู้เผยพระวจนะเทียมเท็จหลายคนปรากฏขึ้น แสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ เพื่อล่อลวงแม้พวกที่พระเจ้าทรงเลือกถ้าเป็นได้” (มัทธิว 24:24)
จากการสามัคคีธรรมครั้งนี้ พวกเราตระหนักรู้ในตอนนี้แล้วว่าพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงมีแก่นแท้ของชีวิตของพระเจ้า และพระคริสต์พระองค์เดียวเท่านั้นที่ทรงสามารถแสดงความจริงและจัดเตรียมให้กับชีวิตของผู้คนได้ เมื่อบรรดาผู้ที่รักความจริงและกระหายความจริงรับฟังพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาถูกดึงเข้ามาและถูกพิชิตโดยพระวจนะของพระองค์ ผู้คนเช่นนั้นจึงเป็นผู้คนของพระเจ้า พวกเขาสามารถเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้าและระลึกรู้ว่าพระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เอง ยกตัวอย่างของ เปโตร ยอห์นและอัครทูตคนอื่นๆ ทุกคนซึ่งต่างก็ระลึกรู้ในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นพระเมสสิยาห์ที่ทรงกลับมา และดังนั้นเอง พวกเขาก็ได้เริ่มติดตามพระองค์ทีละคน บัดนี้พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาแล้วในยุคสุดท้าย และพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มต้นกับพระนิเวศของพระเจ้า และพระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งหมดเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด พระองค์ทรงเปิดผนึกความล้ำลึกแห่งพระราชกิจการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าในความครบถ้วนบริบูรณ์ และพระองค์ทรงตีแผ่ธรรมชาติและแก่นแท้เยี่ยงซาตานของมนุษย์ เพื่อว่ามนุษย์อาจมารู้จักความจริงของความเสื่อมทรามของเขาและมีเส้นทางที่นำทางไปสู่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของเขา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงบอกกับพวกเราด้วยถึงวิธีนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติ วิธีการใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ที่เหมาะสม พร้อมด้วยสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย และเมื่อรวมกันแล้ว สิ่งต่างๆ เหล่านี้ทั้งหมดคือหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์ พระราชกิจแห่งความรอดของมวลมนุษย์ที่ปฏิบัติโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง ซึ่งทำให้คำเผยพระวจนะเหล่านี้จากพระคัมภีร์ลุล่วงอย่างแน่นอนที่ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพลการ แต่พระองค์จะตรัสสิ่งที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น” (ยอห์น 16:12-13) “เราไม่พิพากษาคนที่ได้ยินถ้อยคำของเราและไม่ทำตาม เพราะว่าเราไม่ได้มาเพื่อจะพิพากษาโลก แต่มาเพื่อจะช่วยโลกให้รอด” (ยอห์น 12:47)
ในขณะนี้ หนังสือพระวจนะที่ได้รับการแสดงออกโดยพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือ พระวจะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะทางออนไลน์แล้วสำหรับให้บรรดาผู้ที่รักความจริงจากทั่วโลกได้ไล่ตามเสาะหาและเจาะลึก ผู้คนมากมายที่ถวิลหาให้พระเจ้าทรงปรากฏได้อ่านพระวจนะเหล่านี้ที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงแสดงออกและพวกเขาก็ได้ระลึกรู้ว่าเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และจากการนั้นก็ได้กลายเป็นมั่นใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาในยุคสุดท้าย พวกเขาติดตามย่างพระบาทของพระเมษโปดกทีละคน และได้กลับมาอยู่ต่อหน้าพระบัลลังก์ของพระเจ้า นี่คือผลลัพธ์ของพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองอย่างครบถ้วนบริบูรณ์ ซึ่งทำให้คำเผยพระวจนะข้อนี้จากอิสยาห์บทที่ 2 ข้อที่ 2 ลุล่วงอย่างสมบูรณ์ “ในวาระสุดท้ายจะเป็นดังนี้ คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์จะถูกสถาปนาขึ้นเป็นที่สูงสุดของภูเขาทั้งหลาย และจะถูกยกขึ้นให้อยู่เหนือบรรดาเนินเขา ประชาชาติทั้งหมดจะหลั่งไหลเข้ามาหา” เป็นที่ประจักษ์ชัดว่าในการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า สิ่งที่เป็นสาระสำคัญคือการมุ่งเน้นที่การรับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและการระลึกรู้พระคริสติ์ว่าทรงเป็นความจริง เป็นหนทางและเป็นชีวิต พวกเราควรแสวงหาและเจาะลึกเมื่อพวกเราได้ยินว่าบางสถานที่มีพระดำรัสของพระเจ้าหรือมีใครบางคนกำลังประกาศถึงการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า หากพวกเรายังคงเกรงกลัวว่าจะถูกหลอกลวงโดยพระคริสต์เทียมเท็จและระมัดระวังอยู่เรื่อย หากพวกเราไม่กล้าแสวงหาหรือเจาะลึก และพวกเราปฏิเสธที่จะยอมรับความรอดของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์—พระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย—เช่นนั้นแล้วพวกเราก็คงจะไม่ได้โง่เขลาอย่างที่สุดหรอกหรือ? หากพวกเราทำเช่นนั้น พวกเราก็คงจะสูญเสียความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าไปตลอดกาล!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ