การศึกษาประจำวัน: 4 หนทางที่จะช่วยเหลือคุณให้เข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น

วันที่ 29 เดือน 10 ปี 2021

โดย เซียวโม ประเทศจีน

ในชีวิตประจำวันของพวกเรา มีเพียงโดยการเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นและมีการมีปฏิสัมพันธ์จริงกับพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถธำรงไว้ซึ่งสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้า ได้มาซึ่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เข้าใจความจริง และเข้าสู่ความเป็นจริงได้ ดังนั้น พวกเราสามารถเข้าใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นได้อย่างไรกันแน่? พวกเราเพียงจำเป็นต้องจับความเข้าใจสี่ประเด็นที่ด้านล่างนี้เท่านั้น แล้วสัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นใกล้ชิดยิ่งขึ้นอย่างแน่นอน

1. อธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์และได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์

การอธิษฐานคือช่องทางซึ่งพวกเราใช้เพื่อสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้า โดยผ่านทางการอธิษฐาน หัวใจของพวกเรามีความสามารถดียิ่งขึ้นที่จะกลายเป็นสงบเงียบเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้า ใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าได้ แต่ในชีวิตนั้น เพราะพวกเราติดธุระกับงานหรืองานบ้าน บ่อยครั้งที่พวกเราก็แค่สามารถแสร้งทำท่าพอเป็นพิธีในการอธิษฐานได้เท่านั้น และพวกเราก็แค่ปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างขอไปทีโดยการพูดคำพูดแบบคนใจลอยไม่กี่คำ ตัวอย่างเช่น สิ่งแรกในตอนเช้าก็คือ เมื่อพวกเราติดธุระกับการไปทำงานหรือกำลังติดธุระอยู่กับสิ่งอื่นใด พวกเราอธิษฐานอย่างเร่งรีบว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ไว้วางใจมอบหมายงานของวันนี้ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และข้าพระองค์ไว้วางใจมอบหมายลูกหลานของข้าพระองค์และบิดามารดาของข้าพระองค์ให้พระองค์ ข้าพระองค์ไว้วางใจมอบหมายทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ และข้าพระองค์เอ่ยขอให้พระองค์ทรงอวยพรข้าพระองค์และทรงอารักขาข้าพระองค์ อาเมน!” พวกเราปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างขอไปทีโดยการพูดคำพูดที่สุ่มไม่กี่คำ หัวใจของพวกเราไม่เงียบสงบ นับประสาอะไรที่พวกเราจะมีการมีปฏิสัมพันธ์จริงอันใดกับพระเจ้า บางครั้ง พวกเราพูดคำพูดบางคำที่ฟังเสนาะหู และคำพูดบางคำที่ว่างเปล่าและเต็มไปด้วยการอวดตัวต่อพระเจ้าในการอธิษฐาน และพวกเราไม่พูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเรากับพระเจ้า หรือบางครั้ง เมื่อพวกเราอธิษฐาน พวกเราท่องคำพูดบางคำได้ขึ้นใจ และพวกเราก็พูดคำพูดเก่าๆ น่าเบื่อคำเดียวกันเหล่านั้นทุกครั้ง และนี่ก็กลายเป็นการอธิษฐานที่เป็นพิธีกรรมทางศาสนาอย่างเต็มที่ คำอธิษฐานจำนวนมากเยี่ยงนี้พูดกันในชีวิตของพวกเรา—เป็นคำอธิษฐานซึ่งเกาะติดอยู่กับกฎเกณฑ์ และเป็นคำอธิษฐานซึ่งพวกเราไม่เปิดหัวใจของพวกเราให้พระเจ้าอีกทั้งยังไม่แสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในนั้น พระเจ้าทรงเกลียดชังเวลาที่พวกเราพูดคำอธิษฐานโดยไม่ได้หมายความจริงๆ ถึงคำอธิษฐานคำใดนั้นเลย เพราะคำอธิษฐานประเภทนี้เกี่ยวข้องกับรูปลักษณ์ภายนอกและพิธีกรรมทางศาสนาเพียงเท่านั้น และไม่มีการมีปฏิสัมพันธ์จริงใดเลยกับพระเจ้าในจิตวิญญาณของพวกเรา ผู้คนที่อธิษฐานเยี่ยงนี้กำลังปฏิบัติต่อพระเจ้าอย่างขอไปทีและกำลังหลอกลวงพระเจ้า เพราะฉะนั้น พระเจ้าจึงไม่ทรงได้ยินคำอธิษฐานเยี่ยงนี้ และก็กลายเป็นยากลำบากมากสำหรับผู้คนที่อธิษฐานในหนทางนี้ที่จะได้รับการดลใจโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เวลาที่พวกเขาอธิษฐานเยี่ยงนี้ พวกเขาไร้ความสามารถที่จะรู้สึกถึงการทรงสถิตของพระเจ้า จิตวิญญาณของพวกเขานั้นมืดและอ่อนแอ และสัมพันธภาพของพวกเขากับพระเจ้าก็กลายเป็นมีระยะห่างมากขึ้นเรื่อยๆ

องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “พระเจ้าเป็นพระวิญญาณ และคนที่นมัสการพระองค์จะต้องนมัสการด้วยจิตวิญญาณและความจริง(ยอห์น 4:24) พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้างผู้ทรงเติมเต็มสวรรค์และแผ่นดินโลกทั้งหมด พระองค์ทรงอยู่ข้างพวกเราตลอดเวลา โดยทรงเฝ้ามองทุกคำพูดและการกระทำของพวกเรา ทุกความคิดและแนวคิดของพวกเรา เมื่อพวกเราอธิษฐานต่อพระเจ้า พวกเรานมัสการพระเจ้า และพวกเราต้องมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเราอธิษฐานต่อพระเจ้า พวกเราต้องมีหัวใจที่ยำเกรงพระเจ้า พูดกับพระเจ้าอย่างจริงใจและสัตย์ซื่อ นำพาสภาวะจริงของพวกเรา ความลำบากยากเย็นของพวกเรา และความยากลำบากของพวกเรามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และบอกพระองค์เกี่ยวกับพวกเขา และพวกเราต้องแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าและแสวงหาเส้นทางของการปฏิบัติ ด้วยเหตุที่มีเพียงในหนทางนี้เท่านั้นที่คำอธิษฐานของพวกเราจะคล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้า ตัวอย่างเช่น พวกเราเผชิญความลำบากยากเย็นบางอย่างในชีวิต หรือพวกเรามองตัวเองว่ากำลังใช้ชีวิตอยู่ในสถานการณ์ที่ซึ่งพวกเรากำลังทำบาปและสารภาพอยู่เนืองนิตย์ และพวกเรารู้สึกถูกทรมาน ดังนั้นแล้ว พวกเราจึงเปิดหัวใจของพวกเราให้พระเจ้า บอกพระเจ้าเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้ และแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้า และพระเจ้าก็จะทอดพระเนตรเห็นความจริงใจของพวกเรา และพระองค์จะทรงดลใจพวกเรา พระองค์จะทรงมอบความเชื่อให้พวกเรา หรือพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเราให้เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ในหนทางนี้ พวกเรามาเข้าใจความจริงและมีหนทางต่อไปข้างหน้า ตัวอย่างเช่น เมื่อพวกเราระลึกถึงอย่างแท้จริงว่าคำอธิษฐานของพวกเราก็แค่เกาะติดอยู่กับกฎเกณฑ์และก็แค่ถูกพูดไปในฐานะพิธีรีตอง หรือพวกเราพูดอย่างอวดตัวหรือว่างเปล่า และพวกเราไม่ได้กำลังการมีปฏิสัมพันธ์จริงอันใดกับพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเราย่อมสามารถอธิษฐานในหนทางนี้ได้ว่า “โอ พระเจ้า! เมื่อก่อนตอนที่ข้าพระองค์ได้อธิษฐาน ข้าพระองค์ก็แค่กำลังปฏิบัติต่อพระองค์อย่างขอไปที ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์ได้พูดนั้นพูดออกไปเพื่อเล่นไม่ซื่อกับพระองค์ และข้าพระองค์ก็ไม่ได้กำลังพูดอย่างจริงใจเลยแม้แต่น้อย ทั้งนี้ ข้าพระองค์รู้สึกเป็นหนี้พระองค์ยิ่งนัก จากวันนี้ไปข้างหน้า ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะอธิษฐานด้วยหัวใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะพูดกับพระองค์ในสิ่งก็ตามที่ข้าพระองค์คิดในหัวใจของข้าพระองค์ และข้าพระองค์จะนมัสการพระองค์ด้วยหัวใจที่ซื่อสัตย์ และขอการทรงนำจากพระองค์” เมื่อพวกเราเปิดกว้างต่อพระเจ้าเช่นนี้จากก้นบึ้งของหัวใจของพวกเรา เมื่อนั้นหัวใจของพวกเราย่อมได้รับการดลใจ เช่นนั้นแล้วพวกเราจึงเห็นว่าพวกเราได้เป็นกบฏต่อพระเจ้าเรื่อยมามากเพียงใด และพวกเราปรารถนามากขึ้นไปอีกที่จะกลับใจต่อพระเจ้าอย่างแท้จริงและที่จะพูดกับพระองค์อย่างจริงใจ ในเวลานี้ พวกเราจะรู้สึกว่าสัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าใกล้ชิดกันอย่างสุดขีด ราวกับว่าพวกเราอยู่กับพระองค์ตัวต่อตัว นี่คือผลลัพธ์ของการเปิดหัวใจของพวกเราให้พระเจ้า

การเปิดหัวใจของพวกเราให้พระเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับการที่พวกเราพูดกับพระองค์มากเพียงใด หรือการที่พวกเราใช้คำพูดสวยหรู หรือภาษาเพ้อฝันหรือไม่ ตราบที่พวกเราเปิดหัวใจของพวกเราให้พระเจ้าและบอกพระองค์เกี่ยวกับสภาวะที่แท้จริงของพวกเรา แสวงหาการทรงนำและความรู้แจ้งของพระองค์ เช่นนั้นแล้ว ต่อให้พวกเราพูดคำพูดเรียบง่ายไม่กี่คำเท่านั้น พระเจ้าย่อมจะทรงสดับรับฟังพวกเรา เมื่อพวกเราเข้าใกล้พระเจ้าเป็นนิจในหนทางนี้ ไม่ว่าจะเป็นในการชุมนุมหรือในระหว่างการเฝ้าเดี่ยว หรือเมื่อพวกเรากำลังเดินบนถนนหรือนั่งอยู่ในรถบัสหรือทำงาน หัวใจของพวกเราจะกำลังเปิดกว้างอย่างเงียบๆ ให้พระเจ้าอยู่เสมอในการอธิษฐาน หากปราศจากการตระหนักรู้การนั้น เช่นนั้นแล้วหัวใจของพวกเราย่อมสามารถกลายเป็นสงบเงียบเฉพาะพระพักตร์ของพระเจ้าได้มากขึ้นไปอีก พวกเราจะเข้าใจเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้น และเมื่อพวกเราเผชิญประเด็นปัญหา พวกเราจะรู้วิธีปฏิบัติความจริงเพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ในหนทางนี้ สัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าจะกลายเป็นปกติมากขึ้นมาก

2. เมื่ออ่านพระวจนะของพระเจ้า จงใคร่ครวญพระวจนะด้วยหัวใจของคุณ แล้วคุณจะเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะเหล่านั้น

พวกเราปฏิบัติการเฝ้าเดี่ยวและอ่านพระวจนะของพระเจ้าทุกวัน พวกเราสามารถอ่านพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไรในหนทางที่ทั้งสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีและที่สามารถทำให้สัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้ากลายเป็นใกล้ชิดได้? พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “วิธีที่ผู้คนเชื่อในพระเจ้า รักพระเจ้า และทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยนั้นเป็นได้โดยการสัมผัสกับพระวิญญาณของพระเจ้าด้วยหัวใจของพวกเขา และโดยเหตุนี้จึงได้รับความพึงพอพระทัยของพระองค์ และโดยการใช้หัวใจของพวกเขาในการติดต่อกับพระวจนะของพระเจ้า และด้วยเหตุนี้จึงได้รับการขับเคลื่อนจากพระวิญญาณของพระเจ้า(“การสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าคือสิ่งสำคัญยิ่ง”) พระวจนะของพระเจ้าบอกพวกเราว่า เมื่อพวกเราอ่านพระวจนะของพระองค์ พวกเราต้องใคร่ครวญพระวจนะเหล่านั้นและไปแสวงหาด้วยหัวใจของพวกเรา พวกเราต้องได้มาซึ่งความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ และพวกเราต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและสิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ต่อพวกเรา มีเพียงโดยการอ่านพระวจนะของพระเจ้าในหนทางนี้เท่านั้น ความพยายามของพวกเราจึงจะเกิดผลและพวกเราจะเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น เมื่อพวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า หากพวกเราแค่มองพระวจนะเหล่านั้นอย่างผ่านๆ โดยไม่ให้ความสนใจจริงๆ หากพวกเราเพียงแค่มุ่งเน้นไปที่การเข้าใจตัวอักษรและคำสอนบางอย่างเท่านั้นเพื่อที่จะอวดโอ้ตัวเอง และพวกเราไม่ให้ความสนใจกับการเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าพวกเราอ่านพระวจนะของพระองค์มากเพียงใด พวกเราจะไม่คล้อยตามน้ำพระทัยของพระองค์ นับประสาอะไรที่พวกเราจะสามารถสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าได้

เพราะฉะนั้น เมื่อพวกเราอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเราต้องทำให้หัวใจของพวกเราสงบเงียบและใช้หัวใจของพวกเราเพื่อใคร่ครวญว่า เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสสิ่งทั้งหลายดังกล่าว น้ำพระทัยของพระเจ้าคืออะไร และพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะสัมฤทธิ์สิ่งใดกับพวกเราโดยการตรัสสิ่งทั้งหลายดังกล่าว มีเพียงโดยการใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์อย่างลึกซึ้งในหนทางนี้เท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและมีหัวใจตรงกันกับพระองค์มากขึ้นได้ และสัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น พวกเราเห็นว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ถ้าพวกท่านไม่กลับใจและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ก็จะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย(มัทธิว 18:3) พวกเราล้วนสามารถเข้าใจความหมายอันผิวเผินของถ้อยแถลงนี้ได้ ว่าพระเจ้าทรงปรารถนาให้พวกเรากลายเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ แต่ประเด็นปัญหา อาทิ นัยสำคัญของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ เหตุผลที่พระเจ้าทรงรักผู้คนที่ซื่อสัตย์ และวิธีที่จะกลายเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์อย่างแน่ชัด เป็นประเด็นปัญหาที่พวกเราควรใคร่ครวญอย่างลึกซึ้งมากขึ้น โดยผ่านทางการอธิษฐาน-อ่านและการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า พวกเราจึงเข้าใจว่าแก่นแท้ของพระเจ้านั้นสัตย์ซื่อ และว่าไม่มีการโป้ปดมดเท็จหรือการหลอกลวงใดเลยในสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสหรือทรงทำ และเพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงรักผู้คนที่ซื่อสัตย์และทรงเกลียดชังผู้คนที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พระเจ้าทรงพึงประสงค์ให้พวกเราต้องกลายเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ ด้วยเหตุที่มีเพียงโดยการกลายเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์โดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถได้รับการนำทางโดยพระเจ้าเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระองค์ได้ ดังนั้น พวกเรากลายเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์อย่างไรกันแน่? ประการแรก พวกเราต้องไม่พูดคำโกหก แต่พวกเราต้องปราศจากราคีและเปิดกว้างและพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของพวกเรา ประการที่สอง พวกเราต้องไม่ปฏิบัติตนอย่างเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง พวกเราต้องมีความสามารถที่จะละทิ้งผลประโยชน์ของตัวเองได้ และไม่เล่นไม่ซื่อกับทั้งพระเจ้าและมนุษย์ ประการที่สาม ต้องไม่มีการหลอกลวงอันใดในหัวใจของพวกเรา ต้องไม่มีเหตุจูงใจหรือจุดมุ่งหมายส่วนบุคคลในการกระทำของพวกเรา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นพวกเรากลับควรปฏิบัติตนเพียงเพื่อจะปฏิบัติความจริงและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเท่านั้น หลังจากที่ได้สัมฤทธิ์ความสว่างนี้โดยผ่านทางการใคร่ครวญแล้ว พวกเราทบทวนการกระทำและพฤติกรรมของพวกเรา และจากนั้นพวกเราก็เห็นว่าพวกเรายังคงครองการแสดงออกมากมายถึงเล่ห์ลวง กล่าวคือ ในยามที่พวกเรากำลังจัดการกับผู้คนอื่นๆ บ่อยครั้งที่พวกเราไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้โกหกหรือเล่นไม่ซื่อเพื่อที่จะคุ้มภัยผลประโยชน์ ความมีหน้ามีตา และสถานะของตัวเองได้ ในยามที่พวกเราสละตัวเองเพื่อพระเจ้า พวกเราอาจพูดในการอธิษฐานว่าพวกเราปรารถนาที่จะรักพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย แต่เมื่อลูกของพวกเราเจ็บป่วย หรือตัวพวกเราเองหรือไม่ก็สมาชิกในครอบครัวตกงาน พวกเราเริ่มพร่ำบ่นร้องทุกข์ต่อพระเจ้า มากจนถึงขนาดที่ว่าพวกเราต้องการที่จะล้มเลิกการทำงานและการสละเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ในการนี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพวกเราสละตัวเองเพื่อพระเจ้าในหนทางที่แปดเปื้อน และในหนทางที่ซึ่งพวกเราทำข้อตกลงกับพระเจ้า พวกเราสละตัวเองเพื่อพระเจ้าเพื่อที่จะทำกำไรจากพระเจ้า และไม่ใช่เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเพียงเท่านั้น เหล่านี้เป็นแค่บางตัวอย่างของการแสดงออกของพวกเราถึงเล่ห์ลวง จากการแสดงออกเหล่านี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพวกเราไม่ใช่ผู้คนที่ซื่อสัตย์จริงๆ ทันทีที่พวกเราเห็นข้อบกพร่องและความขาดตกบกพร่องของตัวเองอย่างชัดเจน ความตั้งใจแน่วแน่ก็เกิดขึ้นภายในตัวเราในการที่จะกระหายความจริง และพวกเราก็เสาะแสวงที่จะปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นในชีวิตของพวกเรา นี่คือผลลัพธ์ซึ่งสัมฤทธิ์โดยการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า

แน่นอนว่า ผลลัพธ์นี้ไม่สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยการใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้าครั้งเดียว แต่กลับเป็นโดยผ่านทางการใคร่ครวญพระวจนะของพระองค์หลายครั้ง พวกเรายังต้องปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าโดยรู้สึกตัวเมื่อใดก็ตามที่พวกเราเผชิญประเด็นปัญหา สรุปสั้นๆ ก็คือ ตราบที่พวกเราใคร่ครวญพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยหัวใจของพวกเราในหนทางนี้อย่างไม่ย่นย่อ เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมจะมีความสามารถที่จะได้มาซึ่งความรู้แจ้งและความกระจ่างของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อยู่มาวันหนึ่ง พวกเราจะได้รับความสว่างใหม่บางส่วน และวันถัดมาพวกเราก็จะได้รับความสว่างใหม่เพิ่มอีกเล็กน้อย และเมื่อเวลาผ่านไป พวกเราก็จะมีความสามารถที่จะเข้าใจเกี่ยวกับความจริงในพระวจนะของพระเจ้าได้มากขึ้น เส้นทางของการปฏิบัติจะกลายเป็นชัดเจนขึ้น ชีวิตของพวกเราจะสร้างความก้าวหน้าทีละน้อย และสัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าก็จะกลายเป็นใกล้ชิดมากขึ้นเรื่อยๆ

3. แสวงหาความจริงและปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง

สิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุดสำหรับพวกเราที่จะธำรงไว้ซึ่งสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าก็คือ การแสวงหาความจริงเมื่อพวกเราเผชิญประเด็นปัญหาและการปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระองค์ แต่ในชีวิต เมื่อพวกเราเผชิญประเด็นปัญหา บ่อยครั้งที่พวกเราพึ่งพาประสบการณ์ของตัวเองหรือพวกเรานำเอาวิถีทางของมนุษย์มาใช้เพื่อจัดการรับมือกับประเด็นปัญหาเหล่านั้น หรือพวกเราจัดการกับประเด็นปัญหาเหล่านั้นไปตามความเลือกชอบของตัวเอง พวกเราแทบจะไม่ทำให้ตัวเองสงบเงียบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและแสวงหาความจริง หรือจัดการกับประเด็นปัญหาโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า นี่เป็นเหตุให้พวกเราเสียโอกาสมากมายในการปฏิบัติความจริง และพวกเราก็ห่างไกลจากพระเจ้าออกไปมากขึ้นเรื่อยๆ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “โดยไม่คำนึงถึงสิ่งที่เจ้ากำลังทำว่าเป็นเรื่องใหญ่หรือเล็ก และไม่ว่าเจ้ากำลังทำไปเพื่อปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ลุล่วงในครอบครัวของพระเจ้าหรือไม่ หรือเพื่อเหตุผลส่วนบุคคลของเจ้าเอง เจ้าต้องพิจารณาว่าสิ่งที่เจ้ากำลังทำคล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ รวมทั้งเป็นบางสิ่งที่บุคคลหนึ่งควรทำกับสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่ หากเจ้าแสวงหาความจริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำแบบนั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง(“การแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นไปเพื่อประโยชน์ของการปฏิบัติความจริง”)ถ้าพวกท่านยึดมั่นในคำสอนของเรา ท่านก็เป็นสาวกของเราอย่างแท้จริง(ยอห์น 8:31) พระวจนะของพระเจ้าแสดงหนทางที่ชัดเจนแก่พวกเรา ไม่ว่าพวกเรากำลังทำงานอยู่ในคริสตจักรหรือจัดการรับมือกับประเด็นปัญหาซึ่งพวกเราได้เผชิญในชีวิตของพวกเรา พวกเราต้องแสวงหาความจริงและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าอยู่เสมอ ดูวิธีจัดการรับมือกับเรื่องนั้นในหนทางซึ่งสนองข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหมดซึ่งพวกเราอาจเผชิญ และธำรงไว้ซึ่งสัมพันธภาพปกติของพวกเรากับพระเจ้า

สำหรับตัวอย่าง ให้ดูวิธีที่พวกเราควรแสวงหาความจริงเวลาที่พวกเราเลือกคู่สมรสของพวกเรา เวลาที่พวกเรากำลังมองหาคู่ชีวิต พวกเราทำไปโดยความเลือกชอบของตัวเองอยู่เสมอและมุ่งเน้นไปที่รูปลักษณ์ภายนอกและภาวะจิตใจของบุคคลนั้น และพวกเรามองหาผู้ชายหล่อเหลา มั่งคั่ง สูง หรือหญิงสาวสวย มั่งคั่ง ผิวขาว โดยเชื่อว่าพวกเราจะมีแต่การสมรสที่มีความสุขหากพวกเราสมรสกับใครสักคนเช่นนั้น และว่าพวกเราจะใช้ชีวิตที่มีความสบายทางกายภาพ สิ่งชูใจ และความยินดี และผู้อื่นจะอิจฉาริษยาพวกเรา อย่างไรก็ตาม พวกเราเคยสงสัยหรือไม่ว่าการค้นหาคู่ชีวิตเช่นนั้นเป็นประโยชน์ต่อการเชื่อของพวกเราในพระเจ้าและต่อความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเราหรือไม่? หากคู่ชีวิตของพวกเราไม่เชื่อในพระเจ้าและพวกเขาลองพยายามที่จะหยุดพวกเราไม่ให้เชื่อในพระเจ้า จุดจบจะเป็นอะไรหรือ? พระคัมภีร์กล่าวว่า “อย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ(2 โครินธ์ 6:14) จากการนี้ พวกเราสามารถเห็นได้ว่าความทะเยอทะยานของผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อไปด้วยกันไม่ได้ และไม่เหมาะสมซึ่งกันและกัน ในวิธีที่พวกเขาเข้าหาความเชื่อและกระแสนิยมทางโลก พวกเขาแต่ละคนจะมีทรรศนะของตัวเองและจะไล่ตามเสาะหาสิ่งที่ต่างกัน กล่าวคือ ผู้เชื่อจะต้องการที่จะติดตามหนทางของการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ในขณะที่ผู้ไม่เชื่อจะต้องการที่จะติดตามกระแสนิยมชั่วของโลก เมื่อพวกเราเป็นหนึ่งเดียวกันกับผู้ไม่เชื่อ พวกเราจะจำเป็นต้องได้รับอิทธิพลจากพวกเขา และความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเราก็จะถูกฉุดรั้ง เพราะฉะนั้น เวลาที่เลือกคู่ชีวิต พวกเราต้องรับสภาวะความเป็นมนุษย์และบุคลิกลักษณะของบุคคลนั้นเอาไว้เพื่อพิจารณา และพิจารณาว่าการคบหาสมาคมกับพวกเขาจะเป็นประโยชน์ต่อการเชื่อของพวกเราในพระเจ้าหรือไม่ ว่าพวกเราทั้งคู่เข้ากันได้ดีหรือไม่ และว่าความทะเยอทะยานของพวกเราสอดคล้องกันหรือไม่ หากพวกเราไม่พิจารณาสิ่งเหล่านี้ แต่แค่มุ่งเน้นไปที่รูปลักษณ์ภายนอกของบุคคลนั้นและสถานการณ์ในครอบครัวของพวกเขาเพียงอย่างเดียว เช่นนั้นแล้ว หลังจากที่พวกเราสมรสแล้ว ความเจ็บปวดย่อมจะมาเพราะพวกเราเข้ากันไม่ได้ดี หากคู่ชีวิตของพวกเรายังลองพยายามที่จะบังคับขู่เข็ญพวกเราและหยุดพวกเราไม่ให้เชื่อในพระเจ้าด้วยเช่นกัน เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมจะพังทลายชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณของพวกเรามากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นจึงสามารถเห็นได้ว่า ไม่สำคัญว่าพวกเราอาจได้เผชิญประเด็นปัญหาใดในชีวิตของพวกเรา มีเพียงโดยการแสวงหาความจริง การจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และการปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้าเท่านั้น พวกเราจึงจะสามารถใช้ชีวิตภายใต้การดูแลเอาพระทัยใส่และการทรงอารักขาจากพระเจ้าได้ และมีเพียงในหนทางนั้นเท่านั้นพวกเราจึงจะสามารถธำรงไว้ซึ่งสัมพันธภาพปกติของพวกเรากับพระเจ้าได้

4. มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทบทวนตัวเองทุกวัน และธำรงไว้ซึ่งสัมพันธภาพปกติของคุณกับพระเจ้า

พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสไว้ว่า “จงพิจารณาดูความเป็นอยู่ของพวกเจ้า(ฮักกัย 1:7) จากพระวจนะของพระเจ้า พวกเราสามารถเห็นได้ว่า การทบทวนตัวเองจำเป็นยิ่งนักสำหรับการเข้าสู่ชีวิตของพวกเรา! โดยผ่านทางการทบทวน พวกเราสามารถเห็นได้ว่าพวกเรามีข้อบกพร่องมากมายเหลือเกิน และว่าพวกเราบกพร่องต่อเกณฑ์กำหนดอันพึงประสงค์ของพระเจ้ามากเกินไป เพราะฉะนั้นแรงจูงใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงจึงเกิดขึ้นในตัวพวกเรา พวกเราตัดสินใจแน่วแน่ที่จะละทิ้งเนื้อหนังของพวกเรา และพวกเราทำให้ดีสุดความสามารถที่จะปฏิบัติโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ในหนทางนี้ พวกเราใส่ใจที่จะปฏิบัติตนโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าในประสบการณ์ซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตของพวกเรา พวกเราปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า และสัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าก็กลายเป็นปกติมากขึ้นเรื่อยๆ ตัวอย่างเช่น บรรดาพวกเราที่ทำหน้าที่เป็นรับบีมองว่า ในพระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า “จงเลี้ยงฝูงแกะของพระเจ้าที่อยู่ท่ามกลางพวกท่าน ไม่ใช่ด้วยความฝืนใจ แต่ด้วยความเต็มใจ ไม่ใช่ด้วยใจโลภในทรัพย์สิ่งของ แต่ด้วยใจกระตือรือร้น(1 เปโตร 5:2-3) เพราะฉะนั้น พวกเราจึงควรทำการทบทวนตนเองและถามตัวเองว่า พวกเรากำลังใส่ใจที่จะให้การเป็นพยานต่อพระวจนะของพระเจ้าและต่อน้ำพระทัยของพระองค์ และนำทางผู้อื่นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่หรือไม่ หรือพวกเรากำลังพูดสิ่งไร้ความหมายที่ฟังดูสูงส่งเวลาที่พวกเราให้คำเทศนาเพื่อที่จะอวดโอ้ และประกาศตัวอักษรและคำสอนเพื่อทำให้ผู้อื่นนมัสการพวกเราและชื่นชมยกย่องพวกเรา? เมื่อผู้อื่นสร้างข้อเสนอแนะที่สมเหตุสมผลให้พวกเรา พวกเราทบทวนปัญหาของตัวเองหรือไม่ หรือพวกเราไม่ยอมที่จะยอมรับข้อเสนอแนะของพวกเขา จนถึงจุดที่พวกเราถึงขั้นสร้างข้อแก้ตัวและลองพยายามที่จะแก้ต่างให้ตัวเองหรือไม่? โดยผ่านทางการทบทวนตนเอง พวกเราสามารถเห็นได้ว่า ในการรับใช้ของพวกเราที่มีต่อพระเจ้า ยังคงมีมากมายหลายด้านที่มีพวกเราเป็นกบฏ และว่าพวกเรายังคงครองอุปนิสัยอันเสื่อมทรามมากมายซึ่งพึงกำหนดให้พวกเราแสวงหาความจริงอย่างไม่ลดละ เพื่อที่จะให้อุปนิสัยเหล่านั้นได้รับการแก้ไข ในหนทางนี้ พวกเราสามารถประพฤติปฏิบัติตนได้อย่างถ่อมใจ พวกเราสามารถแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าได้มากขึ้นในงานของพวกเรา และพวกเราสามารถนำทางผู้อื่นโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้ หากพวกเราไร้ความสามารถที่จะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าและทบทวนตัวเองเป็นนิจ เช่นนั้นแล้ว พวกเราย่อมจะล้มเหลวที่จะระลึกได้ถึงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของตัวเอง และจะยังคงเชื่อว่าตัวเองเป็นผู้คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอยู่ เพราะฉะนั้นพวกเราจะพอใจกับการยืนนิ่งอยู่กับที่และจะไม่ยอมที่จะสร้างความก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีกแต่อย่างใด และพวกเราจะกลายเป็นโอหังและคิดว่าตนชอบธรรมเสมอมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเชื่อว่าตัวเองมีหัวใจตรงกันกับพระเจ้า อย่างไรก็ตาม ในข้อเท็จจริงตามจริงแล้ว การกระทำและพฤติกรรมของพวกเราจะไม่สามารถยอมรับได้สำหรับพระเจ้า และพระเจ้าจะทรงรังเกียจพวกเรา เพราะฉะนั้นจึงสามารถเห็นได้ว่าการเข้าร่วมในการทบทวนตนเองเป็นนิจสำคัญอย่างยิ่ง และว่าการปฏิบัติความจริงของคนเรานั้นถูกสร้างขึ้นบนรากฐานของการรู้จักตนเอง มีเพียงโดยการมีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องของคนเราเองเท่านั้น เมื่อนั้นความสำนึกผิดจึงจะสามารถเกิดขึ้นได้ และเมื่อนั้นคนเราจะกลายเป็นเต็มใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงและปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การทบทวนตนเองเป็นประโยชน์มากยิ่งนักต่อความก้าวหน้าในชีวิตของพวกเรา และนั่นเป็นกุญแจสำคัญที่ขาดไม่ได้สำหรับการที่พวกเราจะเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น

มีหนทางมากมายที่จะทบทวนตัวเอง กล่าวคือ พวกเราสามารถทบทวนตัวเองได้ในความสว่างแห่งพระวจนะของพระเจ้า ทั้งนี้ พวกเราสามารถทบทวนตัวเองได้ในความผิดพลาดซึ่งพวกเราสร้างในชีวิตประจำวันของพวกเรา การที่ผู้อื่นชี้ชัดถึงข้อบกพร่องและความเสื่อมทรามของพวกเรานั้นยิ่งเป็นโอกาสเหมาะที่ดีเยี่ยมมากไปกว่านั้นอีกในการที่จะทบทวนตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพวกเราเห็นความผิดพลาดซึ่งพวกที่อยู่รอบตัวพวกเราสร้างขึ้น พวกเรายังสามารถทบทบทวนตัวเอง ใช้ความผิดพลาดของพวกเขาเป็นการเตือน เรียนรู้บทเรียนและได้รับประโยชน์จากบทเรียนเหล่านั้น และอื่นๆ ในทำนองเดียวกันด้วยเช่นกัน การทบทวนตัวเองไม่จำกัดอยู่ที่เวลากลางวันหรือเวลากลางคืน พวกเราสามารถอธิษฐานต่อพระเจ้าในหัวใจของพวกเรา ทบทวนและรู้จักความเสื่อมทรามของตัวเองได้ในทุกที่และทุกเวลา และพวกเราสามารถแสวงหาน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าภายในพระวจนะของพระองค์ และกลับใจได้ทันเวลา อย่างไรก็ตาม ก่อนที่พวกเราจะไปนอนในแต่ละคืน พวกเราควรทบทวนและสรุปย่อทั้งหมดที่พวกเราได้ทำในวันนั้น แล้วพวกเราก็จะมีความสามารถที่จะมีการจับความเข้าใจที่ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับสถานะของพวกเรา และรู้ว่าสิ่งใดที่พวกเรายังไม่ได้เข้าใจถูกต้อง ทันทีที่พวกเราเริ่มทำการนี้ การไล่ตามเสาะหาของพวกเราย่อมจะมีทิศทางมากขึ้น และจะเป็นประโยชน์มากขึ้นต่อการสถาปนาสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้า

สี่ประเด็นข้างต้นคือเส้นทางของการปฏิบัติสำหรับพวกเราที่จะเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้น ตราบที่พวกเรานำประเด็นเหล่านี้ไปสู่การปฏิบัติ เช่นนั้นแล้ว สัมพันธภาพของพวกเรากับพระเจ้าย่อมจะกลายเป็นใกล้ชิดกันมากขึ้น พวกเราจะมีเส้นทางของการปฏิบัติกับประเด็นปัญหาซึ่งพวกเราเผชิญ และพระเจ้าจะประทานสันติสุขและความชื่นบานแก่พวกเรา และจะทรงทำให้พวกเราสามารถใช้ชีวิตในพระพรของพระองค์ได้ ดังนั้น เหตุใดพวกเราจึงไม่เริ่มเสียตั้งแต่บัดนี้เล่า?

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ฉันควรทำสิ่งใดหากงานของฉันยุ่งมากจนกระทั่งฉันหลบเลี่ยงพระเจ้า?

สวัสดีบรรดาพี่น้องชายหญิง ฉันเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าเมื่อเร็วๆ นี้ ถึงแม้ว่าฉันจะรู้ว่า ในฐานะคริสตชน...

คำเผยวจนะ 6 ประการเรื่องการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ได้ลุล่วงแล้ว

โดย ซินเจี่ย สองพันปีมาแล้ว องค์พระเยซูเจ้าทรงสัญญากับพวกเราว่า: “นี่แน่ะ เราจะมาในเร็วๆ นี้” (วิวรณ์ 22:12) บัดนี้...

ติดต่อเราผ่าน Messenger