ความรักของพระเจ้าอยู่กับฉันในคุกมืดของมาร

วันที่ 08 เดือน 09 ปี 2020

โดย Yang Yi, มณฑลเจียงซู

ฉันเป็นคริสเตียนของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และฉันเป็นผู้ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มามากกว่าสิบปีแล้ว ระหว่างเวลานี้ สิ่งหนึ่งที่ฉันจะไม่มีวันลืมก็คือความทุกข์ลำบากที่น่ากลัวตอนที่ฉันถูกตำรวจพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุมเมื่อทศวรรษก่อน ย้อนไปตอนนั้น แม้ฉันจะถูกพวกปีศาจชั่วทรมานและเหยียบย่ำ และจวนเจียนจะถึงแก่ความตายอยู่หลายครั้ง พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ก็ทรงใช้พระหัตถ์อันทรงพลังของพระองค์เพื่อทรงนำและปกป้องคุ้มครองฉัน เพื่อนำฉันกลับมาสู่ชีวิต และคืนกลับฉันสู่ความปลอดภัย... ผ่านสิ่งนี้ ฉันได้รับประสบการณ์พลังเหนือชีวิตและความยิ่งใหญ่ของพลังชีวิตของพระเจ้าอย่างแท้จริง และได้รับความมั่งคั่งแห่งชีวิตอันล้ำค่าที่พระเจ้าทรงให้เกียรติฉันอย่างเป็นทางการ

ตอนนั้นคือวันที่ 23 มกราคม ปี ค.ศ. 2004 (วันที่สองของปีใหม่จีน) ฉันจำเป็นต้องไปเยี่ยมพี่น้องหญิงคนหนึ่งจากคริสตจักร เพราะเธอกำลังมีปัญหาและต้องการความช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน เนื่องจากเธอพักอาศัยอยู่ไกลออกไป ฉันจึงต้องตื่นแต่เช้าเพื่อเรียกแท็กซี่ จะได้กลับมาในวันเดียวกัน ฉันออกจากบ้านตอนฟ้าสางพอดี บนถนนแทบไม่มีใครเลย มีเพียงคนงานเก็บกวาดขยะเท่านั้น ฉันมองหาแท็กซี่อย่างวิตกกังวล แต่ก็ไม่มีมาสักคัน ฉันไปที่จุดเรียกแท็กซี่เพื่อรอและก้าวลงไปบนถนนเพื่อเรียกคันหนึ่งที่ฉันเห็นขับผ่านมา—แต่ปรากฏว่ามันเป็นรถของสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม พวกเขาถามฉันว่าโบกเรียกทำไม “ขอโทษค่ะ ฉันเข้าใจผิดว่าคุณเป็นแท็กซี่” ฉันพูด “เราคิดว่าคุณกำลังติดโปสเตอร์ผิดกฎหมาย” พวกเขาตอบ “คุณเห็นฉันทำแบบนั้นเหรอคะ โปสเตอร์ที่ฉันกำลังติดมันอยู่ที่ไหนล่ะ” ฉันพูด โดยไม่ให้โอกาสฉันแก้ต่างให้ตัวเอง พวกเขาสามคนก็ปรี่ตรงมาใช้กำลังค้นกระเป๋าฉัน พวกเขาค้นทุกอย่างในกระเป๋าฉัน—หนังสือคำเทศนา สมุดจด กระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์มือถือ และเพจเจอร์ที่ฉันไม่ใช้แล้ว และของอื่นอีก แล้วพวกเขาก็ตรวจดูหนังสือคำเทศนาและสมุดจดอย่างละเอียด เมื่อเห็นว่าในกระเป๋าของฉันไม่มีโปสเตอร์ พวกเขาก็หยิบหนังสือเทศนาขึ้นมาแล้วพูดว่า: “คุณอาจจะไม่ได้กำลังติดโปสเตอร์ผิดกฎหมาย แต่คุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” ต่อมา พวกเขาก็โทรหาแผนกศาสนาของกองพลความมั่นคงแห่งชาติ ไม่นานหลังจากนั้น คนจากกองพลความมั่นคงแห่งชาติสี่คนก็มาถึง พวกเขารู้ว่าฉันเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทันทีที่พวกเขาเห็นสิ่งของในกระเป๋าฉัน โดยไม่ให้ฉันได้พูดอะไร พวกเขายัดฉันเข้าไปในรถของพวกเขา แล้วล็อกประตูไม่ให้ฉันหนีไปได้

เมื่อเราไปถึงสำนักงานความมั่นคงสาธารณะ พวกตำรวจก็นำฉันเข้าไปในห้องห้องหนึ่ง หนึ่งในนั้นง่วนอยู่กับเพจเจอร์และโทรศัพท์มือถือของฉันเพื่อหาเบาะแส เขาเปิดโทรศัพท์แต่มันแสดงว่าแบตเตอรี่ต่ำ แล้วแบตเตอร์รี่ก็หมดสนิท แม้ว่าเขาจะพยายามยังไงก็ไม่สามารถเปิดมันได้ เขาถือโทรศัพท์นั่นไว้ด้วยสีหน้ากังวล ฉันก็งงเหมือนกันค่ะ—ฉันเพิ่งชาร์จโทรศัพท์ในเช้าวันนั้น แล้วแบตเตอรี่หมดได้ยังไง? ทันใดนั้นฉันก็ตระหนักว่าพระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสิ่งนี้อย่างอัศจรรย์เพื่อไม่ให้พวกตำรวจเจอข้อมูลเกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงคนอื่น ฉันยังเข้าใจพระวจนะที่พระเจ้าทรงตรัสด้วย: “ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาศนาการไปตามพระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) ทุกสรรพสิ่งและทุกเหตุการณ์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม ทุกสรรพสิ่งก้าวผ่านความเปลี่ยนแปลงตามพระดำริของพระเจ้า ในห้วงเวลานี้ ฉันได้รับความเข้าใจที่แท้จริงว่าพระเจ้าทรงครองอำนาจอธิปไตยเหนือและจัดวางเรียบเรียงทุกสรรพสิ่งอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น ฉันได้รับความมั่นใจที่จำเป็นเพื่อพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเผชิญการสอบสวนที่กำลังจะมาถึง เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ไปที่สิ่งของในกระเป๋าพลางถามฉันอย่างกล่าวหาว่า “ของพวกนี้แสดงให้เห็นชัดเจนว่าคุณไม่ใช่สมาชิกคริสตจักรโดยทั่วไป คุณต้องเป็นหนึ่งในผู้นำอาวุโสที่มีความสำคัญ เพราะผู้นำอ่อนอาวุโสไม่มีเพจเจอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ผมพูดถูกไหม?” “ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูดค่ะ” ฉันตอบ “คุณแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจน่ะสิ!” เขาคำราม แล้วสั่งให้ฉันย่อตัวลงและเริ่มพูด เมื่อเห็นว่าฉันไม่ทำตาม พวกเขาก็ล้อมฉันแล้วเริ่มเตะต่อยฉัน—ราวกับพวกเขาอยากจะฆ่าฉัน ทั่วทั้งตัวฉันเจ็บปวดจนแทบทนไม่ได้ ฉันทรุดฮวบลงกับพื้นด้วยใบหน้าที่บวมและโชกเลือด ฉันโกรธจัด ฉันอยากคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผล เพื่อแก้ข้อกล่าวหาว่า ฉันทำอะไรผิดหรือ? ทำไมพวกคุณถึงซ้อมฉันแบบนี้? แต่ฉันไม่มีทางคุยกับพวกเขาด้วยเหตุผลได้ เพราะรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนไม่มีเหตุผล ฉันสับสน แต่ฉันไม่อยากยอมแพ้ให้การทุบตีของพวกเขา ตอนที่ฉันทำอะไรไม่ถูกนั้นเอง ทันใดนั้นฉันก็คิดว่าในเมื่อเจ้าหน้าที่ชั่วของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนพวกนี้ไร้เหตุผลอย่างมาก ในเมื่อพวกเขาไม่ยอมให้ฉันพูดเหตุผลสักคำ ฉันก็ไม่จำเป็นต้องพูดอะไรกับพวกเขา ฉันเงียบเอาไว้จะดีกว่า—แบบนั้นฉันจะไม่เป็นประโยชน์ต่อพวกเขา เมื่อฉันคิดแบบนี้ ฉันก็เลิกสนใจสิ่งที่พวกเขากำลังพูดอยู่

เมื่อเห็นว่าวิธีนี้ไม่ได้ผลกับฉัน พวกตำรวจชั่วก็ฉุนและยิ่งป่าเถื่อนมากขึ้น: พวกเขาเปลี่ยนมาทรมานเพื่อเค้นคำสารภาพ พวกเขาใส่กุญแจมือฉันกับเก้าอี้โหละที่ขันน็อตติดกับพื้นในตำแหน่งที่ฉันจะนั่งยองลงก็ไม่ได้ ยืนขึ้นก็ไม่ได้ หนึ่งในพวกเขาวางมือข้างที่ไม่ได้ใส่กุญแจมือของฉันลงบนเก้าอี้นั่นแล้วตีมันด้วยรองเท้า จะหยุดก็ต่อเมื่อหลังมือฉันฟกช้ำดำเขียว ในขณะที่อีกคนกระทืบเท้าของฉันด้วยรองเท้าหนังของเขา ซึ่งเป็นตอนที่ฉันประสบความเจ็บปวดแปรบอย่างยิ่งยวดที่ตรงไปยังหัวใจของฉัน หลังจากนั้น ตำรวจหกหรือเจ็ดคนก็ผลัดกันซ้อมฉัน หนึ่งในพวกเขามุ่งไปที่ข้อต่อของฉัน และหนีบพวกมันแรงมากจนหนึ่งเดือนต่อมาฉันก็ยังไม่สามารถงอแขนของฉันได้ อีกคนจิกผมฉันแล้วโยกหัวฉันไปมา แล้วดึงผมฉันไปข้างหลังเพื่อให้ฉันเงยหน้าขึ้น “ดูบนฟ้าสิว่ามีพระเจ้าไหม!” เขาพูดอย่างชั่วร้าย พวกเขาทำต่อไปจนตกกลางคืน เมื่อเห็นว่าพวกเขาจะไม่ได้อะไรจากฉัน และเพราะเป็นช่วงตรุษจีน พวกเขาก็เลยส่งฉันตรงไปยังสถานกักกัน

เมื่อฉันไปถึงสถานกักกัน ยามคนหนึ่งสั่งให้นักโทษหญิงคนหนึ่งถอดเสื้อผ้าของฉันออกแล้วโยนลงถังขยะ แล้วพวกเขาก็ให้ฉันสวมชุดนักโทษกลิ่นเหม็นสกปรก พวกยามเอาฉันเข้าห้องขังแล้วโกหกนักโทษคนอื่นโดยพูดว่า “เธอพยายามอย่างหนักเพื่อทำให้ครอบครัวคนอื่นแตกแยก ครอบครัวมากมายพังพินาศเพราะเธอ เธอเป็นคนโกหก เธอหลอกลวงคนซื่อสัตย์ และก่อกวนความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสาธารณะ...” “ทำไมเธอถึงดูเหมือนคนเซ่อล่ะคะ?” นักโทษคนหนึ่งถาม ซึ่งพวกยามตอบว่า “เธอแสร้งทำเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกตัดสินโทษน่ะสิ พวกเธอไม่มีใครฉลาดพอจะคิดทำแบบนั้นเลย ใครก็ตามที่คิดว่าเธอเป็นคนโง่นั่นแหละโง่เง่าที่สุด” ถูกพวกยามหลอกลวงเช่นนี้เอง นักโทษคนอื่นๆ จึงพูดว่าฉันถูกปล่อยง่ายเกินไป และพูดว่าสิ่งเดียวที่เหมาะสำหรับคนเลวแบบฉันก็คือการยิงเป้า! การได้ยินแบบนั้นทำให้ฉันโมโห—แต่ฉันก็ทำอะไรไม่ได้ ความพยายามของฉันที่จะต่อต้านนั้นสูญเปล่า พวกมันเพียงนำการทรมานและความโหดร้ายมามากขึ้น ในสถานกักกัน พวกยามให้นักโทษท่องกฎทุกวัน: “สารภาพความผิดและทำตามกฎหมาย ไม่อนุญาตให้ส่งเสริมให้ผู้อื่นกระทำผิด ไม่อนุญาตให้ตั้งแก๊ง ไม่อนุญาตให้ต่อสู้กัน ไม่อนุญาตให้รังแกหรือสบประมาทผู้อื่น ไม่อนุญาตให้รายงานเท็จเอาผิดผู้อื่น ไม่อนุญาตให้เอาอาหารหรือของของผู้อื่น ไม่อนุญาตให้กลั่นแกล้งผู้อื่น การรังแกกันในคุกจะต้องถูกปราบปราม การฝ่าฝืนกฎใดๆ ควรถูกรายงานต่อเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หรือสายตรวจทันที คุณต้องไม่ปกปิดความจริงหรือพยายามปกป้องนักโทษที่ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับ และกฎของคุกต้องได้รับการนำไปใช้อย่างมีมนุษยธรรม...” ในความเป็นจริง พวกยามสนับสนุนให้นักโทษคนอื่นทรมานฉัน อนุญาตให้พวกเธอกลั่นแกล้งฉันทุกวัน: ตอนที่อุณหภูมิติดลบ 8 หรือ 9 องศา พวกเธอทำให้รองเท้าฉันเปียกชุ่ม พวกเธอแอบเทน้ำใส่อาหารของฉัน ตอนค่ำ เวลาที่ฉันหลับ พวกเธอทำให้เสื้อแจ็คเก็ตใยฝ้ายของฉันเปียกชุ่ม พวกเธอให้ฉันนอนข้างโถส้วม และพวกเธอมักจะดึงผ้าห่มของฉันในตอนกลางคืนและดึงผมของฉันเพื่อไม่ให้ฉันนอนหลับ พวกเธอฉกซาลาเปาของฉัน พวกเธอบังคับให้ฉันล้างโถส้วม และกรอกยาที่เหลือของพวกเธอใส่ปากฉัน พวกเธอไม่ให้ฉันถ่ายทุกข์... หากฉันไม่ทำตามที่พวกเธอบอก พวกเธอก็จะรวมหัวกันทุบตีฉัน—และบ่อยครั้งในเวลาแบบนั้น พวกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หรือสายตรวจก็จะรีบเดินหนีไปให้พ้นสายตาหรือแสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไร บางครั้งพวกเขาถึงขนาดแอบดูอยู่ห่างไปเล็กน้อย ถ้าพวกนักโทษไม่ได้ทรมานฉันสองสามวัน พวกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์กับสายตรวจก็จะถามพวกเธอ: “สองสามวันนี้ยัยโง่นั่นฉลาดขึ้นนะ ใช่ไหม? ในขณะที่พวกเธอก็อ่อนข้อลงซะแล้ว ใครที่ทำให้ยัยโง่นั่นหัวหมุนได้จะได้รับการลดโทษนะ” การทรมานที่โหดร้ายของพวกยามทำให้ฉันเต็มไปด้วยความเกลียดชังพวกเขา ถ้าฉันไม่ได้เห็นสิ่งนี้ด้วยตาของตัวเองและประสบมันด้วยตัวเอง ฉันก็คงไม่มีทางเชื่อว่ารัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน ซึ่งควรจะเต็มไปด้วยความเมตตากรุณาและศีลธรรม จะสามารถมืดดำ น่ากลัว และเลวร้ายได้ขนาดนี้—ฉันคงไม่มีทางได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของมัน โฉมหน้าที่หลอกลวงและตีสองหน้า ทั้งหมดที่มันพูดถึง “การรับใช้ประชาชน สร้างสังคมที่มีอารยธรรมและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว”—เหล่านี้เป็นคำโกหกที่ออกแบบมาเพื่อหลอกลวงและตบตาประชาชน พวกมันเป็นวิธีการ อุบาย ในการทำให้ตัวเองดูดีและได้รับการสรรเสริญที่มันไม่ควรได้รับ ในตอนนั้น ฉันคิดถึงพระวจนะของพระเจ้า: “เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าฉงนนักที่พระเจ้าผู้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ยังคงซ่อนเร้นอย่างสมบูรณ์ กล่าวคือ ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องกับการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ขี้ข้าพวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันล่วงเกินพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!( พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) เมื่อเปรียบเทียบพระวจนะของพระเจ้ากับความเป็นจริง ฉันก็เห็นเนื้อแท้ที่มืดดำและชั่วร้ายเยี่ยงปีศาจของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างกระจ่างบริบูรณ์ เพื่อรักษากฎอันมืดดำของมัน มันยึดจับประชาชนเอาไว้แน่น และทำทุกวิถีทางเพื่อตบตาและหลอกลวงพวกเขา ภายนอกแล้ว มันอ้างว่าให้เสรีภาพทางศาสนา—แต่พวกมันแอบจับกุม กดขี่ ข่มเหง และฆ่าประชาชนทั่วประเทศที่เชื่อในพระเจ้า มันถึงขนาดพยายามทำให้พวกเขาทั้งหมดถึงแก่ความตาย เจ้ามารนี่ชั่วร้าย โหดเหี้ยม และขวาจัดอะไรเช่นนี้! เสรีภาพอยู่ที่ไหนเล่า? สิทธิมนุษยชนอยู่ที่ไหน? ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เล่ห์กลเพื่อหลอกลวงผู้คนหรอกหรือ? การใช้ชีวิตภายใต้กฎอันมืดดำของมัน ผู้คนจะสามารถเห็นความหวังหรือแสงสว่างอันริบหรี่ได้ไหม? พวกเขาจะสามารถมีอิสระที่จะเชื่อในพระเจ้าและไล่ตามความจริงได้อย่างไร? ตอนนั้นเองที่ฉันสำนึกว่าพระเจ้าได้ทรงอนุญาตให้การข่มเหงและความทุกข์ลำบากนี้เกิดขึ้นกับฉัน สำนึกว่าพระองค์ได้ทรงใช้มันเพื่อแสดงให้ฉันเห็นความชั่วร้ายและความโหดเหี้ยมของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีน เพื่อแสดงให้ฉันเห็นเนื้อแท้เยี่ยงมารของมันที่เป็นศัตรูกับความจริงและเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้า และเพื่อแสดงให้ฉันเห็นว่าตำรวจของประชาชนที่รัฐบาลส่งเสริมและชักจูงอย่างแข็งขันว่าเป็นผู้ลงโทษคนชั่ว สนับสนุนคนดี และส่งเสริมความยุติธรรม เป็นพวกผู้สมคบและสมุนที่มันได้อบรมมาอย่างพิถีพิถัน กลุ่มเพชฌฆาตซึ่งมีใบหน้าของมนุษย์แต่มีหัวใจของสัตว์ร้าย และฆ่าคนโดยไม่กะพริบตา เพื่อบังคับให้ฉันปฏิเสธและทรยศพระเจ้าและยอมให้อำนาจเผด็จการ รัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนทำทุกวิถีทางในการทรมานและทำลายฉัน—แต่มันไม่รู้เลยสักนิดว่ายิ่งมันทรมานฉันเท่าไร ฉันก็ยิ่งเห็นโฉมหน้าเยี่ยงมารของมัน อีกทั้งชิงชังและปฏิเสธและไม่ยอมรับมันจากก้นบึ้งของหัวใจฉันมากขึ้นเท่านั้น ทำให้ฉันถวิลหาพระเจ้าและเชื่อใจในพระเจ้าอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น เป็นเพราะการทรมานของพวกยามนั่นเองที่ฉันได้มาเข้าใจโดยไม่รู้ตัวว่าการรักสิ่งที่พระเจ้ารัก และเกลียดสิ่งที่พระเจ้าเกลียดหมายความว่าอะไรอย่างแท้จริง การหันหลังให้ซาตานและหันหัวใจของเราให้พระเจ้าหมายถึงอะไร การเป็นคนป่าเถื่อนคืออะไร กองกำลังแห่งความมืดคืออะไร และยิ่งไปกวานั้น การเป็นคนมุ่งร้ายและแอบแฝง ปลอมและหลอกลวงคืออะไร ฉันรู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่ทรงทำให้ฉันประสบสภาพแวดล้อมนี้ ที่ทรงเปิดโอกาสให้ฉันแยกแยะถูกผิดและยิ่งไปกว่านั้น ตัดสินใจเลือกเส้นทางแห่งชีวิตที่ถูกต้อง หัวใจของฉัน—ซึ่งถูกซาตานหลอกลวงมาเนิ่นนาน—ในที่สุดก็ตื่นขึ้นด้วยความรักของพระเจ้า ฉันรู้สึกว่ามีความหมายที่ยิ่งใหญ่ในการที่ฉันมีโชคดีได้ประสบความทุกข์ลำบากและการทดสอบนี้ และฉันได้รับการแสดงให้เห็นถึงของขวัญที่พิเศษอย่างแท้จริง

หลังจากลองมาหมดทุกอย่างแล้ว พวกตำรวจชั่วก็นึกอีกแผนการหนึ่งขึ้นมา: พวกเขาพบยูดาสที่ได้ขายคริสตจักรของฉัน เธอพูดว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และเธอยังพยายามทำให้ฉันหันหลังให้พระเจ้าด้วย เมื่อเห็นผู้รับใช้ชั่วคนนี้ซึ่งรายงานพี่น้องชายหญิงมากมายที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐ และได้ยินคำพูดชั่วร้ายที่ออกมาจากปากของเธอ—คำพูดที่ใส่ความ ให้ร้าย และหมิ่นประมาทพระเจ้า—หัวใจของฉันก็เต็มไปด้วยความโกรธจัด ฉันอยากตะโกนใส่เธอ ถามเธอว่าทำไมถึงเป็นปรปักษ์ต่อพระเจ้าอย่างไม่มีสามัญสำนึกขนาดนี้ ทำไมทั้งที่เธอได้ชื่นชมพระคุณของพระเจ้าอย่างมากมาย แต่กลับเข้าร่วมกับปีศาจชั่วเพื่อข่มเหงผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร? ในหัวใจของฉัน มีความเศร้าและเจ็บปวดที่ไม่สามารถบรรยายได้ ฉันยังรู้สึกสำนึกผิดและเป็นหนี้บุญคุณอย่างยิ่งยวดด้วย ฉันเกลียดตัวเองจริงๆ ที่ในอดีตฉันไม่ได้พยายามไล่ตามความจริง และไม่เคยรู้อะไรเลยนอกจากการชื่อชมพระคุณและพระพรของพระเจ้าเหมือนกับเด็กไร้เดียงสา ไม่คิดถึงความเจ็บปวดและความอัปยศอดสูที่พระเจ้าได้ทรงถอดทนเพื่อประโยชน์ของความรอดของเรา ตอนนี้เอง เมื่อฉันอยู่ลึกในรังของปีศาจนี้ ฉันจึงรู้สึกว่ามันยากแค่ไหนสำหรับพระเจ้าที่จะทรงพระราชกิจในประเทศที่โสมมและเสื่อมทรามแห่งนี้ และพระองค์ได้ทรงทนทุกข์ความเจ็บปวดอย่างยิ่งยวดแค่ไหน! ความรักในมนุษย์ของพระเจ้าแบกความเจ็บปวดไว้อย่างใหญ่หลวง พระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการช่วยมวลมนุษย์ให้รอดไปพร้อมกับการอดทนต่อการทรยศของมนุษย์ การทรยศของมนุษย์ไม่ได้นำอะไรมาให้พระองค์นอกจากความเจ็บปวดและบาดแผล ไม่แปลกใจเลยที่ครั้งหนึ่งพระเจ้าตรัสไว้ว่า “แม้แต่ในระยะชั่วข้ามคืนเท่านั้น พวกเขาก็อาจเปลี่ยนจากบุคคลที่ยิ้มแย้มและ ‘ใจดี’ เป็นฆาตกรที่น่าเกลียดและดุดัน ที่พลันปฏิบัติต่อผู้มีพระคุณในวันวานของพวกเขาประดุจศัตรูคู่อาฆาตของพวกเขาโดยไม่มีเหตุผลใดๆ(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์) ทุกวันนี้ แม้ว่าฉันจะตกอยู่ในเงื้อมมือมาร ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นฉันก็จะไม่ทรยศพระเจ้า ไม่ว่าฉันจะทนทุกข์ความยากลำบากใหญ่หลวงแค่ไหน ฉันก็จะไม่เป็นยูดาสเพื่อเอาตัวรอด และฉันจะไม่สร้างความเจ็บปวดและโศกเศร้าให้พระเจ้า ผลจากการที่ฉันถูกยูดาสคนนั้นเผยข้อมูล พวกตำรวจชั่วก็เพิ่มการทรมานขึ้นไปอีกขั้น ในขณะที่เธอคนนั้นยืนพูดอย่างอยู่ด้านข้างว่า “คุณแยกแยะถูกผิดไม่ได้ คุณสมควรโดนแบบนี้แล้ว! คุณไม่ซาบซึ้งในความกรุณาของฉัน คุณสมควรถูกทรมานจนตาย!” การได้ยินคำพูดที่ชั่วร้ายเลวทรามพวกนี้ทำให้ฉันเดือดดาล—แต่ฉันก็รู้สึกถึงความเศร้าเสียใจที่อธิบายไม่ได้ด้วย ฉันอยากร้องไห้ แต่ฉันรู้ว่าฉันต้องไม่ร้อง ฉันไม่อยากให้ซาตานเห็นความอ่อนแอของฉัน ในหัวใจของฉัน ฉันแอบอธิษฐานว่า “โอ้พระเจ้า! ข้าพระองค์ประสงค์ให้พระองค์ได้รับหัวใจของข้าพระองค์ แม้ว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถทำอะไรให้พระองค์ได้ในขณะนี้ ข้าพระองค์ก็ประสงค์จะให้คำพยานแห่งชัยขนะแด่พระองค์ต่อหน้าซาตานและเจ้าคนชั่วนี่ ทำให้พวกเขาอับอายอย่างที่สุด และนำความสบายพระทัยมาสู่พระทัยของพระองค์ผ่านสิ่งนี้ โอ้พระเจ้า! ขอพระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองหัวใจของข้าพระองค์ และทำให้ข้าพระองค์แข็งแกร่งขึ้น หากข้าพระองค์มีน้ำตา ขอให้มันไหลอยู่ข้างใน—ข้าพระองค์ไม่สามารถให้พวกเขาเห็นน้ำตาของข้าพระองค์ได้ ข้าพระองค์ควรมีความสุขเพราะข้าพระองค์เข้าใจความจริง เพราะพระองค์ได้ทรงเป่าฝุ่นผงออกจากตาของข้าพระองค์ ทรงให้ความสามารถข้าพระองค์แยกแยะ และเห็นธรรมชาติและเนื้อแท้ของซาตานซึ่งเป็นปรปักษ์กับพระองค์ และทรยศพระองค์อย่างชัดเจน ท่ามกลางกระบวนการถลุง ข้าพระองค์ยังได้เห็นว่าพระหัตถ์ที่ทรงปริชาญาณของพระองค์จัดการเตรียมการทุกสิ่งอย่างไรด้วย ข้าพระองค์ประสงค์ที่จะพึ่งพาพระองค์เพื่อเผชิญการสอบสวนที่จะตามมาและทำให้ซาตานพ่ายแพ้ ที่พระองค์อาจได้รับการถวายพระเกียรติในข้าพระองค์” หลังจากอธิษฐาน ในหัวใจของฉันก็ก็มีพละกำลังที่จะไม่พักจนกว่าฉันจะเป็นคำพยานต่อพระเจ้าให้เสร็จสิ้น ฉันรู้ว่าพระเจ้าประทานสิ่งนี้ให้ฉัน รู้ว่าพระเจ้าได้ประทานการปกป้องคุ้มครองอันใหญ่หลวงแก่ฉันและทำให้ฉันซาบซึ้งอย่างยิ่ง พวกตำรวจชั่วต้องการใช้หญิงชั่วคนนี้เพื่อทำให้ฉันทรยศพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรีชาญาณ และพระองค์ทรงใช้หญิงชั่วคนนี้เป็นอุบายเพื่อแสดงให้ฉันเห็นถึงธรรมชาติกบฏของมวลมนุษย์ที่เสื่อมทราม และกระตุ้นการตัดสินใจและความเชื่อของฉันเพื่อทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย ยิ่งไปกว่านั้น ฉันมีความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจที่ทรงพระปรีชาญาณของพระเจ้าอยู่บ้าง และฉันเห็นว่าพระเจ้าทรงปกครองและยักย้ายคนทั้งหมดที่กำลังทำงานปรนนิบัติเพื่อทำให้ประชากรของพระเจ้ามีความเพียบพร้อม นี่เป็นข้อเท็จที่ปฏิเสธไม่ได้ของการที่พระเจ้าทรงใช้พระปรีชาญาณเพื่อทำให้ซาตานพ่ายแพ้

เมื่อเห็นว่าพวกเขาทำให้ฉันพูดสิ่งที่พวกเขาต้องการได้ พวกเขาใช้วิธีการทุกอย่าง—ไม่ว่าจะเป็นกำลังคน หรือทรัพยากรทางวัตถุและทางการเงิน—ขึ้นเขาลงห้วยเพื่อถามหาข้อพิสูจน์ว่าฉันเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า สามเดือนต่อมา ความพยายามทั้งหมดของพวกเขาสูญเปล่า สุดท้ายพวกเขาก็ใช้ไพ่ตาย: พวกเขาใช้ผู้ชำนาญการสอบสวน พูดกันว่าทุกคนที่ถูกนำไปหาเขาจะถูกทรมานสามรูปแบบ และไม่เคยมีใครไม่สารภาพ วันหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจสี่คนมาพูดกับฉันว่า “วันนี้เราจะพาตัวแกไปบ้านหลังใหม่” ต่อมาพวกเขาก็ผลักฉันเข้าไปในรถขนย้ายนักโทษ สวมกุญแจมือฉันไพล่หลัง แล้วเอาถุงคลุมหัวฉัน สถานการณ์ทำให้ฉันคิดว่าพวกเขากำลังพาฉันออกไปฆ่าทิ้งอย่างเป็นความลับ ในหัวใจของฉันอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนก แต่หลังจากนั้นฉันก็นึกถึงเพลงสรรเสริญที่ฉันเคยร้องตอนที่ฉันเชื่อในพระเยซู: “นับตั้งแต่ช่วงต้นของคริสตจักร บรรดาผู้ที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิ่ว ญาติมิตรทางศาสนานับหมื่นได้เสียสละตนเองเพื่อข่าวประเสริฐ และดังนั้นพวกเขาจึงได้รับชีวิตนิรันดร์ เป็นผู้พลีชีพให้องค์พระผู้เป็นเจ้า เป็นผู้พลีชีพให้องค์พระผู้เป็นเจ้า ฉันเตรียมใจเพื่อเป็นผู้พลีชีพให้องค์พระผู้เป็นเจ้า” วันนั้น ในที่สุดฉันก็เข้าใจเพลงสรรเสริญท่อนนั้น: บรรดาผู้ที่ติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าต้องจ่ายด้วยราคาที่สูงลิ่ว ฉันก็เตรียมตัวตายเพื่อพระเจ้าเช่นกัน แต่ก็ต้องแปลกใจหลังจากเข้าไปในรถคันนั้น ฉันก็ได้ยินบทสนทนาระหว่างพวกตำรวจชั่วโดยไม่ได้ตั้งใจ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังพาฉันไปที่ไหนสักแห่งเพื่อสอบสวน อ้า! พวกเขาไม่ได้เอาตัวฉันไปฆ่า—และฉันกำลังเตรียมตัวตายเป็นผู้พลีชีพให้พระเจ้าแล้ว! ในตอนที่ฉันกำลังคิดเรื่องนี้ ด้วยเหตุผลกลใดไม่ทราบ หนึ่งในพวกตำรวจก็รัดเชือกของถุงที่คลุมหัวฉันให้แน่นขึ้น ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็เริ่มรู้สึกไม่สบายตัว—มันรู้สึกเหมือนฉันกำลังหายใจไม่ออก ฉันพบว่าตัวเองนึกสงสัยว่าพวกเขาจะทรมานฉันจนถึงแก่ความตายจริงไหม ในขณะนั้นเอง ฉันก็นึกถึงการที่บรรดาสาวกของพระเยซูได้เสียสละตนเองเพื่อเผยแผ่ข่ายประเสริฐ ฉันจะไม่เป็นคนขี้ขลาด ถึงแม้ฉันจะตาย ฉันก็จะไม่ขอร้องให้พวกเขาคลายมันออก และฉันไม่ยอมรับความพ่ายแพ้แน่นอน แต่ฉันก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้: ฉันสลบไปและทรุดฮวบลงบนตัวพวกเขา เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกตำรวจก็รีบคลายถุงออก ฉันเริ่มน้ำลายฟูมปาก แล้วก็ไม่สามารถหยุดอาเจียนได้ มันรู้สึกเหมือนฉันกำลังจะอาเจียนเอาเครื่องในออกมา ฉันรู้สึกมึนงง สมองว่างเปล่า และไม่สามารถเปิดตาได้ ร่างกายฉันไม่มีพละกำลังเลย ราวกับฉันเป็นอัมพาตไปเสียแล้ว มันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างเหนียวหนึบในปากของฉันที่คายออกมาไม่ได้ ฉันเป็นคนแบบบางมาตลอด และหลังจากถูกทารุณแบบนั้น ฉันรู้สึกได้เลยว่าตัวเองแย่แล้ว และฉันอาจจะหยุดหายใจได้ทุกเมื่อ ท่านกลางความเจ็บปวด ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า: “โอ้พระเจ้า! ไม่ว่าข้าพระองค์จะยังมีชีวิตอยู่หรือตาย ข้าอพระองค์ก็พร้อมจะเชื่อฟังพระองค์ ข้าพระองค์เชื่อมั่นว่าไม่ว่าพระองค์ทรงทำอะไร มันก็ชอบธรรม และข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงปกป้องคุ้มครองหัวใจของข้าพระองค์ เพื่อที่ข้าพระองค์อาจนบนอบต่อทั้งหมดที่พระองค์ทรงเรียบเรียงจัดวางและจัดการเตรียมการ” ไม่นานหลังจากนั้น รถก็ไปถึงโรงแรมแห่งหนึ่ง ในตอนนั้น ทั้งร่างกายของฉันรู้สึกอ่อนแอและฉันไม่สามารถลืมตาได้ พวกเขาหิ้วฉันไปยังห้องที่ปิดมิดชิดห้องหนึ่ง ฉันได้ยินแค่เสียงของสมุนของรัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนมากมายยืนล้อมรอบพูดถึงฉัน พูดว่าการเห็นฉันก็เหมือนการเห็นว่าหลิวฮู่หลานเป็นยังไง “ตาสว่างเลย น่าทึ่งชะมัด!” พวกเขาพูด “เธอแกร่งกว่าหลิวฮู่หลานเสียอีก!” เมื่อได้ยินแบบนี้ ความตื่นเต้นก็พลุ่งขึ้นมาในใจฉัน ฉันเห็นว่าด้วยการพึ่งพาความเชื่อและพึ่งพาพระเจ้าจะมีชัยชนะเหนือซาตานอย่างแน่นอน เห็นว่าซาตานอยู่ใต้พระบาทของพระเจ้า! ฉันขอบคุณและสรรเสริญพระเจ้า ในเวลานั้น ฉันลืมความเจ็บปวด ฉันรู้สึกอิ่มใจอย่างเหลือล้นที่ได้ถวายพระเกียรติแก่พระเจ้า

ไม่นานหลังจากนั้น “ผู้ชำนาญการสอบสวน” ที่ตำรวจพูดถึงก็มาถึง ทันทีที่เขาเข้ามา เขาตะโกน: “ยัยโง่นั่นอยู่ไหน? ขอดูมันหน่อยซิ!” เขาเดินมาข้างหน้าแล้วคว้าตัวฉัน หลังจากตบหน้าฉันเป็นหลายสิบครั้ง เขาก็ต่อยอกและหลังของฉันเต็มแรงหลายครั้ง แล้วก็ถอดรองเท้าหนังข้างหนึ่งของเขาออกมาฟาดหน้าฉันอย่างแรง หลังจากถูกเขาทำร้ายแบบนี้ ความรู้สึกว่ามีบางอย่างที่ฉันเอาออกมาจากปากหรือท้องของฉันไม่ได้ก็หมดไป ฉันไม่รู้สึกมึนงงมากอีกต่อไปและสามารถลืมตาได้ แขนขาของฉันค่อยๆ กลับมามีความรู้สึก และพละกำลังก็เริ่มกลับมาสู่ร่างกายของฉัน ต่อมา เขาจับไหล่ของฉันเต็มมือแล้วผลักฉันไปติดกำแพง สั่งให้ฉันมองเขาและตอบคำถาม การเห็นว่าฉันไม่สนใจเขาเลยทำให้เขาโกรธมาก และเขาพยายามให้ฉันตอบโต้โดยใส่ความ ให้ร้าย และหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาใช้ชีวิตที่น่าเหยียดหยามและน่ารังเกียจเพื่อล่อฉัน และพูดอย่างเป็นลางว่า “ฉันจงใจทรมานแกด้วยสิ่งที่เนื้อหนังกับจิตวิญญาณแกไม่มีทางทนได้ เพื่อให้แก่ทนทุกข์ความเจ็บปวดที่ไม่มีคนปกติคนไหนทนได้—แกจะอยากตายเลยล่ะ สุดท้ายแล้วแก่จะขอให้ฉันปล่อยแกไป แล้วตอนนั้นแหละที่แกจะพูดจามีเหตุผล และพูดว่าชะตากรรมของแกไม่ได้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า—แต่เป็นมือของฉันต่างหาก ถ้าฉันอยากให้แกตาย มันก็จะเกิดขึ้นทันที ถ้าฉันอยากให้แกอยู่ แกก็อยู่ และไม่ว่าความยากลำบากอะไรที่ฉันอยากให้แกทนทุกข์ นั่นแหละคือสิ่งที่แกจะทนทุกข์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของแกช่วยแกให้รอดไม่ได้หรอก—แกจะมีชีวิตอยู่ถ้าขอร้องให้เราช่วยแกเท่านั้น” เผชิญกับอันธพาลที่น่ารังเกียจ ไร้ยางอาย และน่าเหยียดหยามพวกนี้ สัตว์ร้ายพวกนี้ ปีศาจชั่วพวกนี้ ฉันอยากสู้กับพวกมันอย่างแท้จริง “พระเจ้าสร้างและควบคุมสรรพสิ่งในฟ้าสวรรค์และบนแผ่นดินโลก” ฉันคิด “ชะตากรรมของฉันยังอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยและการเตรียมการจัดการของพระเจ้าด้วย พระเจ้าทรงเป็นผู้ชี้ขาดชีวิตและความตาย คุณคิดว่าฉันจะตายเพียงเพราะว่าคุณอยากให้ฉันตายเหรอ?” ในตอนนั้นหัวใจของฉันเต็มไปด้วยความเดือดดาล ฉันรู้สึกเหมือนไม่สามารถยับยั้งมันได้ ฉันอยากร้องตะโกน ต่อสู้กลับ ประกาศกับพวกเขา: “คนไม่มีทางขอความเมตตาจากหมาหรอก!” ตอนนั้นฉันเชื่อว่าฉันกำลังพัฒนาสำนึกของความยุติธรรม—แต่ก็ต้องแปลกใจ ยิ่งฉันคิดแบบนี้ ภายในตัวฉันก็ยิ่งมืดดำขึ้น ฉันพบว่าตัวเองไม่มีคำอธิษฐาน ไม่สามารถคิดถึงเพลงสรรเสริญได้เลย ความคิดของฉันมืดมัวลง ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร และตอนนั้นเองที่ฉันเริ่มรู้สึกกลัวเล็กน้อย ฉันรีบทำให้ตัวเองสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ฉันทบทวนตัวเอง และพยายามรู้จักตัวเอง และในตอนนั้นเองพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าก็ผุดขึ้นในใจฉัน: “สิ่งที่เจ้าเลื่อมใสนั้นไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ […] เจ้าไม่ได้ชื่นชมบูชาความดีงามหรือพระปรีชาญาณของพระคริสต์ […](พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าเป็นผู้เชื่อในพระเจ้าที่แท้จริงหรือไม่?) ใช่—ฉันมองพระคริสต์ว่าไม่สำคัญมากเกินไป และฉันเลื่อมใสอำนาจและอิทธิพล ไม่ใช่ความถ่อมใจของพระคริสต์ ยิ่งพระปรีชาญาณของพระราชกิจที่มองไม่เห็นของพระเจ้านั้นฉันยิ่งไม่ได้เลื่อมใสเลย พระเจ้าทรงใช้พระปรีชาญาณของพระองค์เพื่อเอาชนะซาตาน พระองค์ทรงใช้ความถ่อมใจและความลึกลับของพระองค์เพื่อเปิดเผยโฉมหน้าที่แท้จริงของซาตาน และเพื่อรวบรวมหลักฐานเพื่อลงโทษคนชั่ว ดังนั้นเช่นกัน การกระทำเลวทรามทั้งหมดที่พวกตำรวจได้กระทำผิดต่อฉัน และเรื่องหมิ่นประมาทและต่อต้านพระเจ้าทั้งหมดที่พวกเขาได้พูดไปวันนี้ ได้เปิดโปงเนื้อแท้เยี่ยงปีศาจของพวกเขาในฐานะผู้เกลียดความจริงและผู้ต่อต้านพระเจ้าอย่างชัดเจน และนี่จะเป็นหลักฐานที่จำเป็นเพื่อรับประกันการกล่าวโทษ การลงโทษ และการทำลายของพระเจ้า แต่ฉันกลับไม่เห็นพระปรีชาญาณและความถ่อมใจของพระคริสต์ และคิดว่า “คนอ่อนโยนนั้นง่ายต่อการถูกรังแก ก็เหมือนม้าเชื่องที่มักจะถูกขี่” ฉันไม่พอใจที่ถูกลดเกียรติและถูกกดขี่ ฉันถึงกับเชื่อว่าการสู้กลับเป็นสิ่งที่ชอบธรรม สง่างาม และกล้าหาญที่สุดที่ฉันสามารถทำได้ ฉันไม่รู้เลยว่าซาตานต้องการจะกระตุ้นให้ฉันสู้พวกเขากลับ บังคับให้ฉันยอมรับข้อเท็จจริงของความเชื่อในพระเจ้าของฉันเพื่อที่จะตัดสินว่าฉันผิด ถ้าฉันสู้พวกเขาด้วยความกล้าหาญที่หุนหันพลันแล่นจริง ฉันจะไม่ตกเป็นเหยื่อให้แผนการซึ่งหลอกลวงของพวกเขาเหรอ? ฉันขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริงสำหรับการตีสอนและการพิพากษาฉันในเวลาที่เหมาะสม ซึ่งให้การปกป้องคุ้มครองฉันท่ามกลางความกบฏของฉัน เพื่อที่ฉันจะมองแผนการซึ่งหลอกลวงของซาตานออก จำพิษของซาตานภายในตัวฉันเองได้ และได้รับความรู้เล็กน้อยถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงเป็นและความถ่อมตนและแก่นแท้ของชีวิตอันซ่อนเร้นของพระเจ้า ฉันคิดถึงการที่พระคริสต์ได้ทรงเผชิญการถูกข่มเหง ถูกล่า และถูกฆ่าโดยมารพรรคคอมมิวนิสต์จีน และการที่มวลมนุษย์ทั้งหมดตัดสินพระองค์ และกล่าวโทษพระองค์ และใส่ร้ายพระองค์ และทอดทิ้งพระองค์ ตลอดเวลานั้น พระองค์ทรงทนทั้งหมดนี้อย่างเงียบเชียบ ทนความเจ็บปวดทั้งหมดนี้เพื่อดำเนินพระราชกิจแห่งความรอดของพระองค์ให้เสร็จสิ้น และไม่เคยปริปากบ่น ฉันเห็นว่าพระอุปนิสัยของพระเจ้านั้นอ่อนโยน งดงาม และมีเกียรติแค่ไหน! ในขณะเดียวกัน ฉัน—บุคคลที่โสโครกและเสื่อมทราม—กลับต้องการใช้ความกล้าหาญอย่างหุนหันพลันแล่นเพื่อส่งเสริมความมีเกียรติที่ทึกทักเอาเองของฉัน เพื่อสู้เพื่อความยุติธรรมของฉันเองตามความตั้งใจของฉันเองเมื่อถูกปีศาจชั่วข่มเหง สำนึกของความยุติธรรมอยู่ที่ไหนในเรื่องนี้? และพละกำลังของคุณลักษณะและความมีเกียรติอยู่ที่ไหน? ในเรื่องนี้ ฉันไม่ได้กำลังแสดงโฉมหน้าอันน่าเกลียดเยี่ยงซาตานของฉันหรอกเหรอ? ฉันไม่ได้กำลังเปิดเผยธรรมชาติหยิ่งยโสของฉันหรอกเหรอ? เมื่อคิดแบบนี้ หัวใจของฉันก็เต้มไปด้วยความสำนึกผิด ฉันตัดสินใจทำตามพระคริสต์ ฉันกลับกลายเป็นเต็มใจยอมตามสภาพแวดล้อมนี้และพยายามอย่างดีที่สุดที่จะร่วมมือกับพระเจ้า ไม่เหลือโอกาสให้ซาตานเลย

หัวใจของฉันสงบลง และฉันรอการต่อสู้กับพวกปีศาจรอบต่อไปอย่างสงบเงียบ การปฏิเสธที่จะสารภาพของฉันทำให้คนที่ควรเป็นผู้เชี่ยวชาญนั่นเสียหน้ามาก เขาบิดแขนข้างหนึ่งของฉันไพล่หลังด้วยความโกรธเกรี้ยว และดึงแขนอีกข้างไปข้างหลังไหล่ของฉัน แล้วก็ใส่กุญแจมือของฉันเข้าด้วยกันอย่างคับแน่น หลังจากผ่านไปไม่ถึงชั่วโมง เหงื่อเม็ดใหญ่ก็ลงมาตามใบหน้าเข้าตาของฉัน เป็นอุปสรรคไม่ให้ฉันลืมตาได้ เมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ยอมตอบคำถามของเขา เขาเหวี่ยงฉันลงกับพื้น แล้วยกฉันขึ้นโดยกุญแจมือข้างหลังฉัน ฉันรู้สึกเจ็บแปรบที่แขนทันที ราวกับพวกมันหักเสียแล้ว มันเจ็บปวดมากจนฉันแทบหายใจไม่ได้ ต่อมา เขาก็เหวี่ยงฉันไปยืนติดกำแพง เหงื่อทำให้ฉันตาพร่า มันเจ็บปวดมากจนทั่วทั้งตัวของฉันเต็มไปด้วยเหงื่อ—แม้แต่รองเท้าของฉันก็เปียกชุ่ม ฉันเป็นคนแบบบางมาตลอด และในขณะนี้ฉันก็ทรุดฮวบลง ฉันทำได้แค่หอบหายใจทางปาก เจ้าปีศาจนั่นยืนเฝ้าดูฉันอยู่ข้างหนึ่ง ฉันไม่รู้ว่าเขาเห็นอะไร—บางทีเขาอาจกลัวจะถูกตำหนิถ้าฉันตาย—เขารีบหยิบทิชชู่เต็มกำมือเพื่อเช็ดเหงื่อของฉัน แล้วก็ให้ฉันดื่มน้ำ เขาทำแบบนี้ทุกครึ่งชั่วโมงเห็นจะได้ ฉันไม่รู้ว่าฉันดูเป็นยังไงในตอนนั้น ฉันเดาว่าฉันคงจะน่ากลัวมาก เพราะฉันหอบหายใจทางปากได้เท่านั้น ดูเหมือนว่าฉันจะเสียความสามารถที่จะหายใจทางจมูกไปแล้ว ปากของฉันแห้งแตกและต้องใช้กำลังทั้งหมดเท่าที่มีเพื่อหายใจ ฉันรู้สึกว่าใกล้ความตายอีกครั้ง—บางทีฉันอาจตายจริงแล้วคราวนี้ แต่ในตอนนั้นเอง พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉัน ฉันนึกถึงลูกา หนึ่งในสาวกของพระเยซู และประสบการณ์ของเขาที่ถูกแขวนคอจนถึงแก่ความตาย ในหัวใจของฉัน พละกำลังของฉันฟื้นคืนมาอย่างฉับพลัน และพูดคำเดิมซ้ำๆ เพื่อย้ำเตือนตัวเอง: “ลูกาถูกแขวนคอจนตาย ฉันก็ต้องเป็นลูกาเหมือนกัน ฉันต้องเป็นลูกา เป็นลูกา... ฉันเต็มใจเชื่อฟังพระเจ้าจนตายเหมือนลูกา” ขณะที่ความเจ็บปวดนั้นเกินทนและฉันใกล้ตาย ทันใดนั้นฉันก็ได้ยินหนึ่งในพวกตำรวจชั่วพูดว่าพี่น้องชายหญิงหลายคนผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ถูกจับกุม ในหัวใจของฉัน ฉันตกใจสุดขีด: พี่น้องชายหญิงอีกหลายคนจะถูกทรมาน พวกเขาทรมานบรรดาพี่น้องชายหนักเป็นพิเศษ หัวใจของฉันเต็มไปดด้วยความกังวล ฉันอธิษฐานให้พวกเขาอยู่ในใจ ขอให้พระเจ้าทรงคุ้มครองพวกเขาและทรงอนุญาตให้พวกเขาเป็นคำพยานแห่งชัยชนะต่อหน้าซาตานและไม่ยอมทรยศพระเจ้า เพราะฉันไม่ต้องการให้พี่น้องชายหญิงคนไหนทนทุกข์แบบที่ฉันเจอมา บางทีฉันอาจจะได้รับการสัมผัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ฉันอธิษฐานไม่รู้จบ และยิ่งฉันอธิษฐานมากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งได้รับการดลใจมากขึ้นเท่านั้น ฉันลืมความเจ็บปวดโดยไม่รู้ตัว ฉันรู้ดีว่านี่เป็นการเตรียมการจัดการอันทรงพระปรีชาญาณของพระเจ้า พระเจ้าทรงรู้ดีถึงความอ่อนแอของฉันและกำลังทรงนำฉันผ่านเวลาที่เจ็บปวดที่สุด คืนนั้น ฉันไม่สนอีกต่อไปว่าพวกตำรวจชั่วปฏิบัติต่อฉันอย่างไร และไม่สนใจคำถามของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น พวกตำรวจชั่วก็ใช้กำปั้นต่อยหน้าฉันอย่างป่าเถื่อน แล้วใช้นิ้วม้วนผมตรงขมับของฉันและดึงอย่างแรง หูของฉันบวมจากการถูกบิด หน้าของฉันเละจนจำไม่ได้ ก้นและต้นขาของฉันถูกตีด้วยไม้ท่อนหนาจนแตกช้ำ และนิ้วเท้าของฉันก็เขียวช้ำเช่นกันหลังจากถูกฟาดด้วยท่อนไม้ หลังจากห้อยฉันด้วยกุญแจมือนานหกชั่วโมง เมื่อพวกตำรวจชั่วถอดกุญแจมือออก เนื้อใต้หัวแม่โป้งซ้ายของฉันก็ถูกขูดจนหลุดลอก—เหลือชั้นผิวบางเฉียบหุ้มกระดูกอยู่เท่านั้น กุญแจมือยังทิ้งรอยแผลพุพองสีเหลืองไว้ที่ข้อมือของฉันด้วย และไม่มีทางที่จะสวมพวกมันกลับเข้าไปอีกครั้ง ในตอนนั้นเอง ตำรวจหญิงที่ดูมีความสำคัญคนหนึ่งก็เดินเข้ามา เธอมองฉันหัวจดเท้า แล้วพูดกับพวกเขา: “พวกคุณซ้อมคนนี้ต่อไม่ได้แล้ว—เธอดูเหมือนใกล้ตายอยู่รอมร่อ”

พวกตำรวจขังฉันไว้ในห้องหนึ่งของโรงแรม ผ้าม่านถูกดึงปิดสนิทตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง มีคนได้รับมอบหมายให้เฝ้าประตู และไม่อนุญาตให้เจ้าหน้าที่บริการคนไหนเข้ามาได้ อีกทั้งไม่อนุญาตให้ใครเห็นภาพที่พวกเขาทรมานและทารุณฉันในนั้น พวกเขาผลัดกันสอบสวนฉันโดยไม่หยุดพัก เป็นเวลาห้าวันห้าคืน พวกเขาไม่ให้ฉันหลับ พวกเขาไม่ให้ฉันนั่งหรือย่อตัวลง อีกทั้งพวกเขาไม่ยอมให้ฉันกินอาหารด้วย ฉันได้รับอนุญาตให้ยืนพิงกำแพงได้เท่านั้น วันหนึ่ง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งมาสอบสวนฉัน เมื่อเห็นว่าฉันเพิกเฉยเขา เขาก็เดือดดาลและเตะฉันกระเด็นไปใต้โต๊ะ ต่อจากนั้น เขาก็ดึงฉันออกมาต่อยจนเลือดไหลออกทางมุมปากของฉัน เพื่อปกปิดความทารุณของเขา เขารีบปิดประตูไม่ให้ใครเข้ามา แล้วก็ฉีกทิชชู่ออกมากำมือหนึ่งเพื่อเช็ดเลือดของฉัน ใช้น้ำล้างเลือดบนหน้าของฉันและพื้นห้อง ฉันจงใจทิ้งรอยเลือดไว้บนเสื้อกันหนาวสีขาวของฉัน แต่ทว่าเมื่อฉันกลับไปที่สถานกักกัน พวกตำรวจชั่วก็บอกนักโทษคนอื่นว่าเลือดบนเสื้อผ้าของฉันมาจากตอนที่ฉันรับการรับรองที่โรงพยาบาลจิตเวช และบอกว่าหลายวันที่ผ่านมาฉันอยู่ที่นั่น แผลและเลือดบนร่างกายของฉันเกิดจากคนไข้คนอื่นๆ—พวกเขา พวกตำรวจ ไม่ได้แตะต้องฉันเลย... ข้อเท็จจริงอันโหดร้ายนี้แสดงให้ฉันเห็นถึงความอำมหิต ความเจ้าเล่ห์ซ่อนเงื่อน และความป่าเถื่อนของตำรวจของประชาชน และฉันรู้สึกถึงความหมดหนทางและสิ้นหวังของบรรดาผู้ที่ตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเขา ในขณะเดียวกัน ฉันก็ได้รับความซาบซึ้งอย่างลึกล้ำของความชอบธรรม ความบริสุทธิ์ ความสว่าง และความดีของพระเจ้า และรู้สึกว่าทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้าคือความรัก การปกป้องคุ้มครอง ความรู้แจ้ง การจัดเตรียม ความสบาย และการสนับสนุน ทุกครั้งที่ความเจ็บปวดของฉันเลวร้ายที่สุด พระเจ้าก็ทรงคอยให้ความรู้แจ้งและทรงนำฉันเสมอ เพิ่มความเชื่อและพละกำลังของฉัน อนุญาตให้ฉันเอาอย่างจิตวิญญาณของธรรมิกชนที่เคยทุกข์ทรมานเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดทุกยุคสมัย แล้วให้ความกล้าหาญแก่ฉันเพื่อยืนหยัดเพื่อความจริง เมื่อความทารุณของพวกตำรวจชั่วทิ้งฉันไว้ที่ประตูแห่งความตาย พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันได้ยินข่าวเกี่ยวกับการจับกุมพี่น้องชายหญิงคนอื่น ใช้สิ่งนี้เพื่อดลใจให้ฉันอธิษฐานให้พวกเขามากขึ้น เพื่อที่ฉันจะลืมความเจ็บปวดของตัวเอง และเอาชนะข้อจำกัดของความตายโดยไม่รู้ตัว ขอบคุณซาตานที่กระทำอุบายชั่วและเลวทราม ฉันเห็นว่าพระเจ้าเท่านั้นทรงเป็นความจริง หนทาง และชีวิต และพระอุปนิสัยของพระเจ้าเท่านั้นที่เป็นสัญลักษณ์ของความชอบธรรมและความดี พระเจ้าเท่านั้นทรงปกครองเหนือทุกสิ่ง และทรงเตรียมการจัดการทุกอย่าง และพระองค์ทรงใช้ฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่และพระปรีชาญาณของพระองค์เพื่อนำทุกย่างก้าวของฉันในการเอาชนะการล้อมโจมตีของกองทหารปีศาจ ในการเอาชนะความอ่อนแอของเนื้อหนังและข้อจำกัดของความตาย ด้วยวิธีนี้อนุญาตให้ฉันเอาตัวรอดอย่างถึงที่สุดในถ้ำอันมืดมิดนี้ ขณะที่ฉันนึกถึงความรักและความรอดของพระเจ้า ฉันก็รู้สึกได้รับการดลใจอย่างยิ่ง และฉันตัดสินใจที่จะต่อสู้กับซาตานให้ถึงที่สุด ถึงแม้ฉันจะเน่าตายในคุก ฉันก็จะยืนหยัดในคำพยานของฉันและสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า

วันหนึ่ง ตำรวจชั่วหลายคนที่ฉันไม่เคยเจอมาดูฉันและหารือเรื่องคดีของฉัน โดยไม่ได้ตั้งใจ ฉันได้ยินคนที่น่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญพูดว่า “จากการสอบสวนทั้งหมดที่ผมเคยทำมา ผมไม่เคยหนักข้อกับใครเท่ายัยโง่นั่นเลย ผมห้อยเธอไว้ด้วยกุญแจมือนานแปดชั่วโมง (ที่จริงแล้วคือหกชั่วโมง แต่เขาอยากโอ้อวด กลัวว่าหัวหน้าของเขาจะพูดว่าเขาไร้ประโยชน์) และเธอก็ยังไม่สารภาพ” ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงพูดว่า “คุณซ้อมผู้หญิงคนนั้นหนักขนาดนั้นได้ยังไง? คุณมันโหดร้าย” ปรากฏว่าในหมู่ทุกคนที่ถูกจับกุม ฉันทนทุกข์มามากที่สุด ทำไมฉันถึงทนทุกข์มากขนาดนั้น? ฉันเสื่อมทรามมากกว่าคนอื่นอย่างนั้นหรือ? สิ่งที่ฉันทนทุกข์เป็นการที่พระเจ้าทรงลงโทษฉันหรือ? บางทีในตัวฉันอาจจะมีความเสื่อมทรามมากเกินไป และฉันมาถึงจุดของการลงโทษแล้ว? เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ฉันก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ฉันรู้ว่าฉันต้องไม่ร้องไห้ ฉันไม่สามารถให้ซาตานเห็นน้ำตาของฉันได้—ถ้ามันเห็น มันจะเชื่อว่าฉันพ่ายแพ้แล้ว แต่ฉันก็ไม่สามารถสงบความรู้สึกโศกเศร้าในหัวใจของฉันได้ และน้ำตาก็ไหลอย่างที่ฉันไม่อาจควบคุม ท่ามกลางความสิ้นหวังของฉัน ฉันทำได้เพียงร้องหาพระเจ้า: “โอ้พระเจ้า! ในตอนนี้ ข้าพระองค์รู้สึกเสียใจอย่างมาก ข้าพระองค์คอยแต่อยากร้องไห้ โปรดปกป้องคุ้มครองข้าพระองค์ หยุดข้าพระองค์จากการก้มหัวต่อหน้าซาตาน—ข้าพระองค์ให้มันเห็นน้ำตาของข้าพระองค์ไม่ได้ ข้าพระองค์รู้ว่าสภาพจิตใจที่ข้าพระองค์เป็นอยู่นั้นผิด ข้าพระองค์เรียกร้องและตัดพ้อพระองค์ และข้าพระองค์รู้ว่าไม่ว่าพระองค์ทรงทำอะไร มันดีที่สุด—แต่วุฒิภาวะของข้าพระองค์เล็กน้อยนัก อุปนิสัยกบฏของข้าพระองค์ใหญ่หลวงเกินไป และข้าพระองค์ไม่สามารถยอมรับข้อเท็จจริงนี้อย่างยินดีได้ อีกทั้งข้าพระองค์ไม่รู้ว่าข้าพระองค์ควรทำอย่างไรเพื่อออกจากสภาพจิตใจที่ผิดนี้ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงนำ และอนุญาตให้ข้าพระองค์เชื่อฟังการเรียบเรียงจัดวางและการเตรียมการจัดการของพระองค์ และไม่เข้าใจพระองค์ผิดหรือตำหนิพระองค์อีก” ขณะที่ฉันอธิษฐาน พระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจฉัน: “ท่านจำต้องดื่มจากถ้วยที่มีรสขมที่เราได้ดื่มแล้วด้วยเช่นกัน (นี่คือสิ่งที่พระองค์ตรัสหลังการคืนพระชนม์) ท่านจำต้องเดินไปบนเส้นทางที่เราได้เดินแล้วด้วยเช่นกัน ท่านจำต้องวางชีวิตของท่านลงไว้เพื่อเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร) น้ำตาฉันหยุดไหลทันที ความทุกข์ของพระคริสต์ไม่สามารถเทียบกับสิ่งที่ทรงสร้างใดได้เลย อีกทั้งไม่มีสิ่งทรงสร้างใดสามารถทนได้—แต่ทว่าตอนนี้ฉันกำลังรู้สึกว่าพระเจ้าทรงทำผิดต่อฉันและตัดพ้อต่อพระเจ้าว่าเป็นการไม่ยุติธรรมหลังจากทนทุกข์ความยากลำบากเล็กน้อย ความรู้ผิดชอบชั่วดีและเหตุผลในเรื่องน้อยู่ที่ไหน? ฉันเหมาะจะถูกเรียกว่าเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? หลังจากนั้น ฉันก็นึกถึงสิ่งที่พระเจ้าตรัส: “แต่ความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไขโดยผ่านทางการทดสอบทั้งหลาย ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าไม่ได้รับการทำให้บริสุทธิ์ ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าต้องได้รับการถลุง—นี่คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งให้กับเจ้า อันเป็นการบังคับให้เจ้าได้รับการถลุงที่นั่นเพื่อที่เจ้าจะสามารถรู้ความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง(“คนเราควรทำเช่นไรให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ท่ามกลางการทดสอบทั้งหลาย” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์) เมื่อไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าและทบทวนตัวเอง ฉันเข้าใจว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงเตรียมการจัดการนั้นมุ่งไปที่ความเสื่อมทรามและความขาดแคลนของฉัน—และนี่เองเป็นสิ่งที่ชีวิตฉันต้องการ ด้วยการผ่านความทุกข์และทรมานที่ป่าเถื่อนนี้เท่านั้นที่ฉันสามารถตระหนักได้ว่าฉันชักนำไปทางเนื้อหนังของฉันไกลเกินไปมาก ตระหนักว่าฉันเห็นแก่ตัว ต่ำต้อย เรียกร้องจากพระเจ้า และไม่พอใจที่จะทนทุกข์เพื่อพระเจ้าและเป็นคำพยานที่ส่องสว่างให้พระองค์ ถ้าฉันไม่ได้ผ่านความเป็นทุกข์นี้ ฉันก็คงอยู่ภายใต้การฝังใจอย่างเข้าใจผิดต่อไปว่าฉันได้ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัยแล้ว ฉันคงจะไม่มีวันตระหนักว่าฉันยังมีความเสื่อมทรามและความกบฏอยู่ในตัวฉันอีกมาก อีกทั้งฉันคงไม่ได้รับประสบการณ์ตรงว่ามันยากลำบากแค่ไหนที่พระเจ้าจะทรงพระราชกิจของพระองค์ท่ามกลางมวลมนุษย์ที่เสื่อมทรามเพื่อช่วยพวกเขาให้รอด ฉันคงไม่มีทางละทิ้งซาตานและกลับมาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริงด้วย ความยากลำบากนี้คือความรักของพระเจ้าสำหรับฉัน มันเป็นพระพรพิเศษที่พระองค์ประทานให้ฉัน เมื่อเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าแล้ว ทันใดนั้นหัวใจของฉันก็รู้สึกกระจ่างใส ความเข้าใจพระเจ้าผิดของฉันเลือนหายไป ฉันรู้สึกมีคุณค่าและความหมายอันยิ่งใหญ่ในการที่ฉันสามารถทนทุกข์ความยากลำบากได้!

หลังจากลองทุกอย่างที่พวกเขาทำได้แล้ว พวกตำรวจชั่วก็ไม่ได้อะไรจากฉัน สุดท้ายแล้ว พวกเขาพูดด้วยความมั่นใจ: “พรรคคอมมิวนิสต์จีนทำขึ้นจากเหล็กกล้า แต่คนที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทำขึ้นจากเพชร—พวกเขาดีกว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนในทุกด้านเลย” หลังจากได้ยินคำพูดพวกนี้ ในหัวใจของฉันอดไม่ได้ที่จะโห่ร้องและสรรเสริญพระเจ้า: “โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์! ด้วยพระมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระองค์ พระองค์ได้เอาชนะซาตานและเอาชนะพวกศัตรูของพระองค์ พระองค์ส่งเป็นสิทธิอำนาจสูงสุดและขอพระเกียรติเป็นของพระองค์!” ตอนนั้นเองที่ฉันเห็นว่าไม่ว่ารัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะโหดร้ายแค่ไหน มันก็ถูกควบควมและเรียบเรียงจัดวางโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า ดังที่พระวจนะของพระเจ้าตรัสว่า “ทุกสรรพสิ่งในท้องฟ้าและบนผืนดินต้องมาอยู่ภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ สิ่งเหล่านั้นไม่สามารถมีตัวเลือกใดและทั้งหมดต้องนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์ การนี้ประกาศกฤษฎีกาโดยพระเจ้า และเป็นสิทธิอำนาจของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขึ้นอยู่กับเส้นทางที่มนุษย์เดิน)

วันหนึ่ง พวกตำรวจชั่วมาสอบสวนฉันอีกครั้ง คราวนี้พวกเขาทั้งหมดดูแปลกไปเล็กน้อย พวกเขามองฉันตอนที่พวกเขาพูด แต่ดูไม่เหมือนพวกเขากำลังพูดกับฉัน ดูเหมือนพวกเขากำลังหารืออะไรบางอย่าง เหมือนครั้งก่อนๆ การสอบสวนนี้จบลงอย่างไม่เป็นท่า หลังจากนั้น พวกตำรวจชั่วก็นำฉันกลับไปที่ห้องขัง ระหว่างทาง อยู่ๆ ฉันก็ได้ยินพวกเขาพูดว่าดูเหมือนว่าฉันจะถูกปล่อยตัวในวันที่หนึ่งของเดือนถัดไป เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวใจของฉันเกือบจะระเบิดด้วยความตื่นเต้น: "นี่แปลว่าฉันจะได้ออกไปในสามวัน!" ฉันคิด "ในที่สุดฉันก็สามารถไปจากนรกร้ายกาจนี่ได้!" ด้วยการข่มความยินดีในหัวใจของฉัน ฉันคาดหวังและเฝ้ารอทุกวินาทีที่ผ่านไป สามวันรู้สึกเหมือนสามปี ในที่สุด วันที่หนึ่งของเดือนนั้นก็มาถึง! วันนั้น ฉันคอยมองที่ประตู เฝ้ารอให้ใครเรียกชื่อฉัน ช่วงเช้าผ่านไป แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น ฉันใส่ความหวังทั้งหมดว่าจะได้ออกไปในตอนบ่าย—แต่เมื่อเวลาค่ำมาถึง ก็ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น ฉันก็ไม่รู้สึกอยากอาหารเลย ในหัวใจของฉัน ฉันรู้สึกสิ้นหวัง ในตอนนั้นเอง มันก็เหมือนหัวใจของฉันได้ร่วงจากสวรรค์ลงสู่นรก “ทำไมเธอถึงไม่กินนะ?” เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ถามนักโทษคนอื่น “เธอไม่ค่อยกินอะไรตั้งแต่กลับมาจากการสอบสวนวันนั้น” หนึ่งในนักโทษตอบ “จับหน้าผากเธอซิ ป่วยหรือเปล่า?” เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พูด นักโทษคนหนึ่งเข้ามาแตะหน้าผากฉัน เธอพูดว่ามันร้อนมาก ฉันกำลังมีไข้ ฉันมีไข้จริง อาการป่วยนั้นมาอย่างปัจจุบันทันด่วน และมันรุนแรงมาก ตอนนั้นเอง ฉันทรุดฮวบลง ตลอดเวลาสองชั่วโมง อาการไข้แย่ลงเรื่อยๆ ฉันร้องไห้! พวกเขาทุกคนรวมถึงเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ดูฉันร้องไห้ พวกเขาทั้งหมดประหลาดใจอย่างที่สุด: พวกเขาเห็นว่าฉันเป็นคนที่ไม่รู้ร้อนรู้หนาว คนที่ไม่เสียน้ำตาสักหยดทุกครั้งที่เธอเผชิญการทรมานแสนสาหัส และคนที่ถูกห้อยกับกุญแจมือนานหกชั่วโมงโดยไม่โอดครวญ แต่วันนี้ ทั้งที่ไม่ถูกทรมานเลยแต่ฉันกลับร้องไห้ พวกเขาไม่รู้ว่าน้ำตาของฉันมาจากไหน—พวกเขาแค่คิดว่าฉันคงจะป่วยมาก ที่จริง มีเพียงพระเจ้ากับฉันที่รู้เหตุผล ทั้งหมดเป็นเพราะความกบฏและไม่เชื่อฟังของฉัน ฉันเสียน้ำตาเพราะฉันรู้สึกสิ้นหวังเมื่อความคาดหวังของฉันสุญเปล่าและความหวังของฉันก็ถูกทำลาย พวกมันเป็นน้ำตาของความกบฏและความเศร้าโศก ในตอนนั้นเอง ฉันไม่ต้องการตัดสินใจแน่วแน่ที่จะเป็นพยานต่อพระเจ้าอีกต่อไป ฉันไม่มีแม้แต่ความกล้าที่จะถูกทดสอบแบบนี้อีก คืนนั้น ฉันหลั่งน้ำตาแห่งความทุกข์ยาก เพราะฉันใช้ชีวิตในคุกมาพอแล้วและเกลียดชังปีศาจพวกนี้—และยิ่งไปกว่านั้น ฉันเกลียดการอยู่ในสถานที่เลวร้ายแห่งนี้ ฉันไม่อยากใช้เวลาอยู่ที่นั่นอีกแม้แต่วินาทีเดียว ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ฉันก็ยิ่งสิ้นหวังมากขึ้น และฉันก็ยิ่งรู้สึกถึงความคับข้องใจ ความสังเวช และความเหงามากขึ้นเท่านั้น ฉันรู้สึกว่าฉันเหมือนเรือที่เดียวดายกลางทะเล ลำที่ถูกน้ำกลืนลงไปได้ทุกเวลา ฉันไม่สามารถหยุดตัวเองไม่ให้ร้องตะโกนได้: “โอ้พระเจ้า! ขอพระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอด ข้าพระองค์มาถึงจุดที่จะพังทลายแล้ว ข้าพระองค์สามารถทรยศพระองค์ได้ทุกที่ทุกเวลา ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงกุมหัวใจของข้าพระองค์และดลใจให้ข้าพระองค์กลับไปเฉพาะพระพักตร์พระองค์อีกครั้ง และข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงสงสารข้าพระองค์อีกครั้ง และทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ยอมรับการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการของพระองค์ แม้ว่าข้าพระองค์จะไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่พระองค์กำลังทรงทำในตอนนี้ ข้าพระองค์ก็รู้ว่าทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำนั้นแสนดี และขอให้พระองค์ทรงช่วยข้าพระองค์ให้รอดอีกครั้ง และทรงอนุญาตให้หัวใจของข้าพระองค์หันไปหาพระองค์” หลังจากอธิษฐาน ฉันหยุดรู้สึกกลัว ฉันเริ่มสงบลงและทบทวนตัวเอง และในตอนนั้นเองพระวจนะแห่งการพิพากษาและวิวรณ์ของพระเจ้าก็ผุดขึ้นในใจฉัน: “เจ้าต้องการเนื้อหนัง หรือเจ้าต้องการความจริง? เจ้าต้องการการพิพากษาหรือการชูใจ? เมื่อได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจมากมายของพระเจ้ามาแล้ว และเมื่อได้มองดูความบริสุทธิ์และความชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว เจ้าควรไล่ตามเสาะหาอย่างไร? เจ้าควรเดินไปตามเส้นทางนี้อย่างไร? เจ้าควรนำความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้ามาปฏิบัติอย่างไร? การตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าได้สัมฤทธิ์ผลในตัวเจ้าบ้างหรือไม่? การที่เจ้าจะมีความรู้ในเรื่องการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เจ้าใช้ดำเนินชีวิต และขอบข่ายของความรักที่เจ้ามีต่อพระเจ้า! ริมฝีปากเจ้าพูดว่าเจ้ารักพระเจ้า ทว่าสิ่งที่เจ้าใช้ในการดำเนินชีวิตนั้นคืออุปนิสัยเดิมที่เสื่อมทราม เจ้าปราศจากความยำเกรงในพระเจ้า และนับประสาอะไรที่เจ้าจะมีมโนธรรม ผู้คนเช่นนี้รักพระเจ้าหรือ? ผู้คนเช่นนี้รักภักดีต่อพระเจ้าหรือ? พวกเขาคือบรรดาผู้ที่ยอมรับการตีสอนและการพิพากษาของพระเจ้าหรือ? เจ้าพูดว่าเจ้ารักพระเจ้าและเชื่อในพระองค์ ทว่าเจ้าไม่ปล่อยวางมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายของเจ้าเลย ในงาน ในการเข้าสู่ และในคำพูดที่เจ้าพูด และในชีวิตของเจ้า ไม่มีการสำแดงความรักของเจ้าต่อพระเจ้าอยู่เลย และไม่มีความเคารพในพระเจ้าอยู่เลย นี่คือใครบางคนผู้ที่ได้รับการตีสอนและการพิพากษาแล้วหรือ? ใครบางคนที่เป็นเช่นนี้จะสามารถเป็นเปโตรได้หรือ? บรรดาผู้ที่เป็นเหมือนเปโตรเพียงมีความรู้ แต่ไม่มีการดำเนินชีวิตอย่างนั้นหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) ทุกพระวจนะแห่งการพิพากษาของพระเจ้าเป็นเหมือนดาบสองคมที่แทงใส่จุดอ่อนของฉัน สุมการกล่าวโทษมาที่ฉัน: ใช่ มีหลายครั้งที่ฉันได้สาบานอย่างเอาจริงเอาจังเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พูดว่าฉันจะละทิ้งทุกอย่างและทนความยากลำบากทุกอย่างเพื่อความจริง แต่วันนี้ เมื่อพระเจ้าทรงใช้ความเป็นจริงเพื่อขอบางอย่างจากฉัน เมื่อพระองค์ทรงต้องการให้ฉันทนทุกข์และยอมลำบากอย่างแท้จริงเพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย ฉันก็ไม่ได้เลือกความจริงหรือชีวิต แต่กลับถูกควบคุมโดยความกังวล ความเสียใจ และความวิตกอย่างมืดบอด เนื่องจากประโยชน์และความหวังของเนื้อหนัง ฉันไม่มีความเชื่อในพระเจ้าแม้แต่นิดเดียวด้วยซ้ำ ฉันจะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยการทำแบบนี้ได้อย่างไร? พระเจ้าทรงต้งการให้สิ่งที่ดำเนินชีวิตนั้นออกผล พระองค์ทรงไม่ต้องการคำสาบานที่สละสลวยแต่ว่างเปล่า แต่เฉพราะพระพักตร์พระเจ้า ฉันมีความรู้แต่ไม่มีความเป็นจริง และฉันไม่มีทั้งความภักดีและความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้า ยิ่งความเชื่อฟังฉันยิ่งไม่มีเลย ฉันดำเนินชีวิตที่มีแต่ความหลอกลวง ความกบฏ และการกดขี่ ในเรื่องนี้ ฉันไม่ใช่คนที่ทรยศพระเจ้าหรอกหรือ? ฉันไม่ใช่คนที่ทำให้พระทัยของพระเจ้าสลายหรอกหรือ? ในตอนนั้นเอง ฉันนึกถึงตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงถูกจับตรึงบนไม้กางเขน บรรดาผู้ที่มักจะชื่นชมพระคุณของพระองค์กลับละทิ้งพระองค์คนแล้วคนเล่า ในหัวใจของฉัน ฉันอดไม่ได้ที่จะท่วมท้นไปด้วยความสำนึกผิด ฉันเกลียดความกบฏของฉัน ฉันเกลียดความขาดความเป็นมนุษย์ของฉัน ฉันต้องการยืนขึ้นอีกครั้ง เพื่อใช้การกระทำแท้จริงเพื่อทำให้สัญญาที่ฉันให้กับพระเจ้าเป็นความจริง ถึงฉันจะเน่าตายในคุก ฉันก็จะไม่มีวันทำร้ายน้ำพระทัยของพระเจ้าอีก ฉันไม่สามารถทรยศราคาของเลือดที่พระเจ้าได้ทรงจ่ายให้ในตัวฉันได้อีกต่อไป ฉันเลิกร้องไห้ และในหัวใจของฉันก็อธิษฐานอย่างเงียบเชียบต่อพระเจ้า: “โอ้พระเจ้า ขอบคุณสำหรับการทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ และสำหรับการที่ทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ ข้าพระองค์เห็นว่าวุฒิภาวะของข้าพระองค์เล็กน้อยนัก และข้าพระองค์ไม่มีความรักหรือความเชื่อฟังต่อพระองค์แม้แต่นิดเดียว โอ้พระเจ้า ตอนนี้ข้าพระองค์ต้องการถวายตัวข้าพระองค์ให้พระองค์อย่างสมบูรณ์ ถึงแม้ข้าพระองค์จะใช้ทั้งชีวิตในคุก ข้าพระองค์จะไม่มีวันยอมให้ซาตาน ข้าพระองค์ต้องการเพียงใช้การกระทำแท้จริงของข้าพระองค์เพื่อทำให้พระองค์พอพระทัย”

หลังจากนั้นสักพัก ก็มีข่าวลือหนาหูว่าฉันกำลังจะถูกปล่อยตัว พวกเขาพูดว่าอีกเพียงไม่กี่วันเท่านั้น เนื่องจากบทเรียนที่ฉันผ่านมาครั้งก่อน คราวนี้ฉันมีเหตุผลและมีสติมากกว่าเดิม แม้ฉันจะรู้สึกตื่นเต้นมาก ฉันก็อยากอธิษฐานและแสวงหาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ที่จะไม่ตัดสินใจเลือกเมื่อตัวฉันเองอีก ฉันจะขอให้พระเจ้าทรงปกป้องคุ้มครองฉันเพียงเท่านั้นเพื่อที่ฉันอาจจะเชื่อฟังการเรียบเรียงจัดวางและการจัดการเตรียมการทั้งหมดของพระองค์ สองสามวันต่อมา ข่าวลือพวกนั้นก็ไม่เป็นจริงอีกครั้ง ยิ่งกว่านั้น ฉันได้ยินเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์พูดว่าถึงฉันจะตายในคุก พวกเขาก็จะไม่ปล่อยฉันไป เหตุผลก็คือฉันไม่ยอมบอกที่อยู่และชื่อของฉัน—ดังนั้นฉันจะถูกคุมขังตลอดไป การได้ยินเรื่องนี้มันหนักมาก แต่ฉันรู้ว่านี่เป็นความเจ็บปวดที่ฉันต้องทนทุกข์ พระเจ้าทรงต้องการให้ฉันเป็นคำพยานนี้ให้พระองค์ และฉันก็พร้อมเชื่อฟังพระเจ้า และก้มหัวให้น้ำพระทัยของพระเจ้า และฉันเชื่อใจว่าทุกเรื่องและทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า นี่เป็นการที่พระเจ้าทรงแสดงพระคุณที่พิเศษแก่ฉันและยกชูฉันขึ้น ก่อนหน้านั้น แม้ว่าฉันจะพูดว่าฉันจะเน่าตายในคุก นั่นก็เป็นเพียงความมุ่งมาดปรารถนาของฉันเองเท่านั้น—ฉันไม่มีความเป็นจริงนี้ วันนี้ ฉันพร้อมจะเป็นคำพยานนี้ผ่านชีวิตที่ฉันใช้มาในความเป็นจริงและยินยอมให้พระเจ้าทรงหาการปลอบประโลมในตัวฉัน เมื่อฉันเต็มไปด้วยความเกลียดต่อซาตานและตัดสินใจที่จะต่อสู้กับซาตานไปจนถึงจุดสิ้นสุด เพื่อเป็นคำพยานที่แท้จริงที่จะเน่าตายในคุกอย่างแท้จริง ฉันเห็นพระมหิทธิฤทธิ์์และกิจการอันอัศจรรย์ของพระเจ้า ในวันที่ 6 ธันวาคม ปี ค.ศ. 2005 รถของคุกก็นำฉันจากสถานกักกันไปปล่อยไว้ข้างถนน ชีวิตสองปีในคุกของฉันก็จบลงด้วยวิธีนี้เอง

หลังจากได้รับประสบการณ์ความทุกข์ลำบากที่เลวร้ายนี้ แม้ว่าเนื้อหนังของฉันจะได้ทนความยากลำบากมาบ้าง ฉันก็ได้รับมากกว่าเป็นร้อยเป็นพันเท่า: ฉันไม่เพียงเกิดความรู้ลึกซึ้งและปัญญาแยกแยะ และเห็นว่ารัฐบาลพรรคคอมมิวนิสต์จีนเป็นร่างจำแลงของมารซาตาน กลุ่มฆาตกรที่จะฆ่าผู้คนโดยไม่กะพริบตาเพียงเท่านั้น แต่ฉันยังได้เข้าใจอำนาจโดยสมบูรณ์และพระปรีชาญาณของพระเจ้า รวมถึงความชอบธรรมและความบริสุทธิ์ของพระองค์อีกด้วย ฉันได้มาซาบซึ้งในพระเจตนารมย์ที่ดีของพระเจ้าในการช่วยฉันให้รอด และการดูแลและการปกป้องคุ้มครองของพระองค์ที่มีต่อฉัน นั่นทำให้ระหว่างการทารุณของซาตาน นั่นอนุญาตให้ฉันเอาชนะซาตานไปทีละขั้น และยืนหยัดในคำพยานของฉัน จากวันนี้เป็นต้นไป ฉันอยากให้ตัวตนทั้งหมดของฉันแก่พระเจ้าอย่างสมบูรณ์ และฉันจะติดตามพระเจ้าอย่างซื่อสัตย์ ที่ฉันอาจจะได้รับไปโดยพระองค์ทันทีที่เป็นไปได้

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

หลังจากถูกจับ

โดย โจว ลี่, ประเทศจีน บ่ายวันหนึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ตอนที่ฉัน กำลังไปชุมนุมพร้อมพี่สาวอีกสามคน เราตระหนักได้ว่า มีรถสองคัน...

ตำรวจเรียกเอาเงิน

โดย กาว ฮุ่ย, ประเทศจีน เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อกรกฎาฯ ค.ศ. 2009 ค่ะ วันหนึ่ง พี่หลิวรีบร้อนมาที่บ้านฉัน...

ความทุกข์ยากของเรือนจำ

โดย เซี่ยวฝาน ประเทศจีน วันหนึ่ง ย้อนกลับไปเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2004 ฉันกำลังเข้าร่วมการชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงบางคนอยู่...

ติดต่อเราผ่าน Messenger