หัวเลี้ยวหัวต่อที่สาม: ความมีอิสระ
หลังจากที่บุคคลหนึ่งได้ผ่านพ้นวัยเด็กและวัยรุ่น และค่อยๆ ไปถึงภาวะความเป็นผู้ใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก้าวต่อไปก็คือ...
พวกเราต้อนรับผู้แสวงหาทุกคนที่ถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า!
หลังการวิวาห์ คนเราเริ่มฟูมฟักคนรุ่นต่อไป คนเราไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าคนเราจะมีบุตรกี่คนและมีบุตรประเภทใด สิ่งนี้ได้ถูกกำหนดจากชะตากรรมของบุคคล ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าโดยพระผู้สร้างด้วยเช่นกัน นี่คือหัวเลี้ยวหัวต่อที่ห้าที่บุคคลหนึ่งต้องผ่านพ้น
หากคนเราเกิดมาเพื่อลุล่วงบทบาทของการเป็นบุตรของใครบางคน เช่นนั้นแล้วคนเราก็เลี้ยงดูคนรุ่นต่อไปเพื่อที่จะลุล่วงบทบาทของการเป็นบิดามารดาของใครบางคน บทบาทที่ขยับเปลี่ยนไปนี้ทำให้คนเรามีประสบการณ์กับระยะที่ต่างกันของชีวิตจากมุมมองที่ต่างกัน การขยับเปลี่ยนนี้ยังให้ชุดประสบการณ์ชีวิตที่แตกต่างกันแก่คนเรา ส่งผลให้คนเรามารู้จักอธิปไตยแห่งพระผู้สร้างซึ่งแสดงบทบาทไปในทางเดียวกันเสมอ และเป็นสิ่งที่ทำให้คนเราเผชิญกับข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีใครสามารถก้าวล้ำหรือดัดแปลงแก้ไขการลิขิตล่วงหน้าของพระผู้สร้าง

การเกิด การเจริญเติบโต และการสมรสล้วนนำมาซึ่งความผิดหวังหลากหลายประเภทและในระดับที่แตกต่างกัน ผู้คนบางคนไม่พึงพอใจกับครอบครัวของพวกเขาหรือรูปลักษณ์ทางกายของตัวพวกเขาเอง บ้างก็ไม่ชอบบิดามารดาของตัวเอง บ้างก็คับแค้นใจ หรือมีเรื่องพร่ำบ่นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาได้เติบโตขึ้นมา และสำหรับผู้คนส่วนใหญ่แล้ว ท่ามกลางความผิดหวังเหล่านี้ การสมรสคือที่สุดของความไม่สมดังปรารถนา ไม่ว่าคนเราไม่พึงพอใจกับกำเนิด การเติบโตเต็มวัย หรือการสมรสของคนเราอย่างไร ทุกคนที่ได้ก้าวผ่านสิ่งเหล่านี้มาแล้วย่อมรู้ว่า คนเราไม่สามารถเลือกสถานที่และเวลาเกิดของพวกเขา รูปร่างหน้าตาของพวกเขา ผู้ที่เป็นบิดามารดาของพวกเขา และผู้ที่เป็นคู่สมรสของพวกเขาได้ แต่เพียงต้องยอมรับน้ำพระทัยแห่งฟ้าสวรรค์เท่านั้น กระนั้นเมื่อถึงเวลาที่ผู้คนจะฟูมฟักคนรุ่นต่อไป พวกเขาจะทุ่มความอยากได้อยากมีทั้งหมดที่พวกเขาไม่สามารถทำให้เป็นจริงได้ในครึ่งแรกของชีวิตพวกเขาลงบนผู้ที่เป็นพงศ์พันธุ์ของพวกเขา ด้วยความหวังว่าเชื้อสายของพวกเขาจะชดเชยความผิดหวังต่างๆ ในครึ่งแรกของชีวิตของตัวพวกเขาเอง ดังนั้นผู้คนจึงปล่อยตัวเองให้ดื่มด่ำอยู่ในความเพ้อฝันทุกประเภทเกี่ยวกับลูกๆ ของตัวเอง ว่าลูกสาวของพวกเขาจะโตขึ้นไปเป็นสาวงามผู้ชวนตะลึง ลูกชายของพวกเขาจะเป็นสุภาพบุรุษผู้โก้หรู ว่าลูกสาวของพวกเขาจะรอบรู้วัฒนธรรมและเปี่ยมพรสวรรค์ และลูกชายของพวกเขาจะเป็นนักเรียนที่ฉลาดหัวดีและเป็นดาวกีฬา ว่าลูกสาวของพวกเขาจะสุภาพอ่อนโยน มีคุณธรรม และมีเหตุผล และลูกชายของพวกเขาจะเฉลียวฉลาด มีความสามารถ และเข้าใจความรู้สึกผู้อื่นได้ดี พวกเขาหวังว่าเชื้อสายของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นลูกสาวหรือลูกชาย จะเคารพผู้ใหญ่ เข้าใจหัวอกพ่อแม่ เป็นที่รักและยกย่องของทุกคน… ณ จุดนี้ ความหวังของชีวิตผลิบานสดชื่น และความหลงใหลใหม่ๆ ก็ถูกจุดประกายขึ้นในหัวใจของผู้คน ผู้คนรู้ว่าพวกเขาไร้พลังและหมดสิ้นความหวังในชีวิตนี้ ว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสอีกครั้งหรือความหวังอีกครั้งที่จะโดดเด่นออกมาจากฝูงชน และว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับชะตากรรมของพวกเขา และดังนั้นพวกเขาจึงยัดเยียดความหวังทั้งหมดของพวกเขา ความอยากได้อยากมีและอุดมคติที่ยังไม่เป็นจริงของพวกเขาให้กับคนรุ่นต่อไป โดยหวังว่าเชื้อสายของพวกเขาจะสามารถช่วยให้พวกเขาสัมฤทธิ์ความฝันของพวกเขาและทำให้ความอยากต่างๆ ของพวกเขาเป็นจริงขึ้นมา หวังว่าลูกสาวและลูกชายของพวกเขาจะนำเกียรติยศมาสู่วงศ์สกุล กลายมามีความสำคัญ ร่ำรวย และโด่งดัง กล่าวสั้นๆ ก็คือ พวกเขาต้องการเห็นโชควาสนาของลูกๆ ของพวกเขาทะยานขึ้นสูง แผนการและความเพ้อฝันของผู้คนนั้นสมบูรณ์แบบ พวกเขาไม่รู้หรือว่าจำนวนบุตรที่พวกเขามี รูปลักษณ์ ความสามารถ และอื่นๆ ของลูกๆ ของพวกเขานั้นหาใช่สิ่งที่พวกเขาเป็นผู้ตัดสินใจไม่ พวกเขาไม่รู้หรือว่าไม่มีส่วนใดในชะตากรรมของลูกๆ ของพวกเขาอยู่ในมือพวกเขา? มนุษย์ไม่ได้เป็นนายแห่งชะตากรรมของตัวพวกเขาเอง ทว่าพวกเขาก็ยังหวังที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของคนรุ่นเยาว์ พวกเขาไร้พลังอำนาจที่จะหลีกหนีชะตากรรมของตัวเอง ทว่าพวกเขากลับพยายามที่จะควบคุมชะตากรรมของลูกชายและลูกสาว พวกเขาไม่ได้กำลังประเมินตัวเองสูงเกินไปหรอกหรือ? นี่มิใช่ความโง่เขลาเบาปัญญาและความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์หรอกหรือ? ผู้คนจะพยายามทุกทางเพื่อประโยชน์ของเชื้อสายของพวกเขา แต่ในท้ายที่สุดแล้ว แผนการและความอยากได้อยากมีของคนเราก็มิอาจชี้ขาดว่าคนเราจะมีบุตรกี่คนและบุตรเหล่านั้นจะมีลักษณะอย่างไร ผู้คนบางคนไร้เงินทอง แต่กลับมีบุตรมากมาย ผู้คนบางคนที่อุดมด้วยโภคทรัพย์กลับยังไม่มีบุตรสักคน บ้างก็ต้องการลูกสาวแต่ความปรารถนานั้นก็ถูกปฏิเสธ บ้างต้องการลูกชายแต่กลับล้มเหลวที่จะผลิตบุตรชายออกมา สำหรับบางคน ลูกคือพร สำหรับคนอื่นๆ ลูกๆ คือคำสาปแช่ง คู่ครองบางคู่มีความเฉลียวฉลาด ทว่ากลับให้กำเนิดบุตรที่หัวช้า พ่อแม่บางคนขยันขันแข็งและซื่อสัตย์ ทว่าลูกๆ ที่พวกเขาฟูมฟักกลับขี้เกียจสันหลังยาว พ่อแม่บางคนจิตใจดีและซื่อตรง แต่มีบุตรที่กลับกลายเป็นปลิ้นปล้อนและจิตใจโหดร้าย พ่อแม่บางคนสมบูรณ์พร้อมทั้งร่างกายและจิตใจ แต่ให้กำเนิดบุตรที่ไม่สมประกอบ พ่อแม่บางคนเป็นคนธรรมดาและไม่ประสบความสำเร็จ ทว่ากลับมีบุตรที่สัมฤทธิ์การใหญ่ พ่อแม่บางคนมีสถานภาพต่ำต้อย ทว่ากลับมีบุตรที่ผงาดสู่ความมีชื่อเสียงเด่นดัง…
ผู้คนส่วนใหญ่ที่เข้าสู่ชีวิตแต่งงานทำเช่นนั้นในช่วงอายุราวสามสิบปี อันเป็นเวลาในชีวิตที่คนเรายังไม่มีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับชะตากรรมของมนุษย์ แต่เมื่อผู้คนเริ่มฟูมฟักลูกๆ และเมื่อเชื้อสายของพวกเขาเติบโต พวกเขาก็เฝ้ามองคนรุ่นใหม่มีชีวิตและประสบการณ์ทั้งหมดซ้ำรอยคนรุ่นก่อนหน้า และเมื่อมองเห็นอดีตของตัวพวกเขาเองสะท้อนอยู่ในลูกๆ พวกเขาจึงตระหนักว่าเส้นทางเดินของคนรุ่นเยาว์ก็เหมือนกับของพวกเขาเอง คือไม่สามารถถูกวางแผนหรือเลือกได้ ครั้นเผชิญกับข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยอมรับแต่โดยดีว่า ชะตากรรมของบุคคลทุกคนนั้นได้ถูกลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และโดยไม่ได้ตระหนักถึงมันเสียทีเดียวนัก ผู้คนก็ค่อยๆ วางความอยากได้อยากมีของตนลง และความหลงใหลในหัวใจของพวกเขาก็ทะลักทลายและวายวางลง… ด้วยความที่ได้ผ่านป้ายบอกทางสำคัญๆ ในชีวิตตามที่จำเป็นมาแล้ว ผู้คนในช่วงเวลานี้จึงได้สัมฤทธิ์ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับชีวิต และนำท่าทีใหม่มาใช้ บุคคลหนึ่งในวัยนี้สามารถคาดหวังจากอนาคตได้เท่าใดกัน และความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้อันใดหนอที่พวกเขาต้องตั้งตารอ? หญิงวัยห้าสิบปีแบบไหนกันที่ยังคงฝันถึงเจ้าชายรูปงาม? ชายวัยห้าสิบปีแบบไหนกันที่ยังคงมองหาสโนว์ไวท์? หญิงวัยกลางคนแบบไหนกันที่ยังคงหวังจะพลิกจากลูกเป็ดขี้เหร่มาเป็นหงส์? ชายชราส่วนใหญ่มีพลังขับดันในอาชีพการงานแบบเดียวกับชายหนุ่มหรือ? โดยสรุปแล้ว ไม่ว่าคนเราเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผู้ใดก็ตามที่มีชีวิตมาถึงวัยนี้ย่อมมีแนวโน้มที่จะมีท่าทีซึ่งมีเหตุมีผลและใช้การได้เกี่ยวกับการสมรส ครอบครัว และลูกๆ โดยหลักแล้วบุคคลดังกล่าวไม่มีทางเลือกเหลืออยู่ ไม่มีแรงกระตุ้นที่จะท้าทายชะตากรรม ส่วนในด้านประสบการณ์ของมนุษย์นั้น ทันทีที่คนเรามาถึงวัยนี้ คนเราย่อมเกิดท่าทีบางอย่างขึ้นมาเองว่า “คนเราต้องยอมรับชะตากรรม ลูกๆ ของคนเรามีโชควาสนาของพวกเขาเอง ชะตากรรมของมนุษย์นั้นถูกฟ้าสวรรค์ลิขิตไว้” ผู้คนส่วนใหญ่ที่ไม่เข้าใจความจริง หลังจากได้ฝ่าทุกความผันผวน ความคับข้องขุ่นมัว และความยากลำบากของพิภพนี้มาแล้ว ก็จะสรุปความรู้ความเข้าใจเชิงลึกเกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ด้วยคำว่า “นี่เป็นชะตากรรม!” แม้ว่าวลีนี้แสดงความตระหนักในชะตากรรมมนุษย์ของผู้คนทางโลกและบทสรุปที่พวกเขาได้มาถึงแล้วได้อย่างรัดกุม และแม้ว่ามันแสดงให้เห็นความอับจนหนทางของมนุษยชาติและอาจพรรณนาได้คมชัดและแม่นยำ แต่ก็ยังห่างไกลจากความเข้าใจในอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างมาก และไม่อาจแทนที่ความรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างได้เลย
หลังจากที่ได้ติดตามพระเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ มีความแตกต่างอย่างมีสาระสำคัญระหว่างความรู้ของพวกเจ้าเกี่ยวกับชะตากรรม กับความรู้เกี่ยวกับผู้คนทางโลกหรือไม่? เจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงแล้วหรือเกี่ยวกับการลิขิตไว้ล่วงหน้าของพระผู้สร้าง และมารู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแท้จริงแล้วหรือ? ผู้คนบางคนมีความเข้าใจที่ลุ่มลึกและรับรู้ได้ลึกซึ้งถึงวลีที่ว่า “นั่นเป็นชะตากรรม” กระนั้นพวกเขาก็ไม่เชื่อในอธิปไตยของพระผู้สร้างแม้แต่น้อย พวกเขาไม่เชื่อว่าชะตากรรมของมนุษย์ได้ถูกจัดการเตรียมการและจัดวางเรียบเรียงโดยพระเจ้า และไม่เต็มใจที่จะนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า ผู้คนเช่นนั้นช่างเสมือนลอยคออยู่กลางมหาสมุทร ถูกคลื่นซัดสาดโยนไปมา ละล่องคว้างไปตามกระแสน้ำ ไม่มีทางเลือก ได้แต่รอเฉยๆ และกล้ำกลืนยอมรับชะตากรรมของตน กระนั้นพวกเขาก็หาได้ระลึกรู้ไม่ว่า ชะตากรรมของมนุษย์นั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถริเริ่มที่จะมารู้จักอธิปไตยของพระเจ้าด้วยตนเอง และด้วยการนั้น สัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้า นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า หยุดฝืนต้านชะตากรรม และใช้ชีวิตภายใต้การดูแลเอาใจใส่ การปกป้อง และการทรงนำของพระเจ้า กล่าวได้อีกอย่างว่า การยอมรับชะตากรรมไม่ใช่สิ่งเดียวกับการนบนอบอธิปไตยของพระผู้สร้าง การเชื่อในชะตากรรมหาได้หมายความว่าคนเรายอมรับ ระลึกรู้ และรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้าง การเชื่อในชะตากรรมเป็นแค่การระลึกรู้ความจริงของชะตากรรมและการสำแดงอันผิวเผินของมัน นี่แตกต่างจากการรู้ว่าพระผู้สร้างทรงปกครองชะตากรรมของมนุษยชาติอย่างไร จากการระลึกรู้ว่าพระผู้สร้างคือแหล่งกำเนิดแห่งอำนาจครอบครองเหนือชะตากรรมของทุกสรรพสิ่ง และแน่นอนว่ายังห่างไกลอย่างมากจากการนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการสำหรับชะตากรรมของมนุษยชาติของพระผู้สร้าง สมมติว่าบุคคลหนึ่งเพียงเชื่อในชะตากรรมเท่านั้น และถึงขั้นรู้สึกเกี่ยวกับชะตากรรมนั้นอย่างลึกซึ้งแต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังไม่สามารถรู้จักและยอมรับในอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมของมวลมนุษย์ได้ ไม่สามารถยอมรับและนบนอบอธิปไตยนั้น ในกรณีเช่นนั้น ชีวิตของเขาก็จะเป็นโศกนาฏกรรม ไม่ว่าอย่างไรก็จะอยู่อย่างสูญเปล่า เป็นความว่างเปล่า เขาจะไม่สามารถยอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระผู้สร้างอยู่ดี ไม่สามารถกลายเป็นมนุษย์ทรงสร้างในความหมายที่จริงแท้ของคำศัพท์นั้น และไม่สามารถได้รับการยอมรับของพระผู้สร้างได้ บุคคลหนึ่งซึ่งรู้จักและมีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแท้จริงควรอยู่ในสภาวะที่เป็นบวก ไม่ใช่สภาวะที่เป็นลบหรือยอมจำนน ในขณะที่ยอมรับว่าสรรพสิ่งถูกกำหนดชะตากรรม เขาจะมีคำนิยามที่ถูกต้องแม่นยำของชีวิตและชะตากรรมอยู่ในหัวใจของตน นั่นก็คือ ชีวิตของมนุษย์ล้วนอยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง เมื่อพวกเขามองย้อนกลับไปยังถนนที่ตนได้เดินมา เมื่อพวกเขาย้อนรำลึกถึงทุกระยะของการเดินทางในชีวิต พวกเขาย่อมมองเห็นว่า ในทุกย่างก้าว ไม่ว่าการเดินทางนั้นจะทุลักทุเลหรือราบรื่น พระเจ้าทรงนำทางพวกเขา และทรงจัดการเตรียมการเส้นทางนั้นให้พวกเขาอยู่ นั่นเป็นการทรงวางแผนอันพิถีพิถันของพระเจ้า รวมถึงเป็นการจัดการเตรียมการอันระมัดระวังของพระองค์นี่เองที่นำทางพวกเขามาถึงทุกวันนี้โดยไม่รู้ตัว พวกเขาตระหนักว่าการที่สามารถยอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้างได้ ยอมรับความรอดของพระองค์ได้—นั่นคือพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของมนุษย์! หากบุคคลมีท่าทีที่เป็นลบต่อชะตากรรม นั่นก็พิสูจน์ว่า พวกเขากำลังฝืนต้านทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้พวกเขา ว่าพวกเขาไม่มีท่าทีนบนอบ หากใครบางคนมีท่าทีที่เป็นบวกต่ออธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ของพระเจ้าแล้วไซร้ เช่นนั้นเมื่อพวกเขาย้อนมองการเดินทางของตน เมื่อพวกเขามีประสบการณ์กับอธิปไตยของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาย่อมอยากอย่างจริงแท้มากขึ้นที่จะนบนอบทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมไว้ และจะมีความตั้งใจแน่วแน่และมีความเชื่อมากขึ้นในการยอมให้พระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงชะตากรรมของตนและไม่กบฏต่อพระเจ้าอีกต่อไป ด้วยความที่คนเรามองเห็นว่า เมื่อคนเราไม่จับใจความเกี่ยวกับชะตากรรม เมื่อคนเราไม่เข้าใจอธิปไตยของพระเจ้า เมื่อคนเราคลำทางไปข้างหน้าอย่างดื้อรั้น พยุงสังขารเดินโซเซฝ่าม่านหมอก การเดินทางนั้นย่อมยากเกินไป และทำให้เจ็บปวดหัวใจมากเกินไป ดังนั้นเมื่อผู้คนตระหนักว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ คนฉลาดย่อมเลือกที่จะทำความรู้จักและยอมรับอธิปไตยของพระเจ้า อำลาวันเวลาอันปวดร้าวเมื่อตอนที่พวกเขาได้พยายามจะสร้างชีวิตที่ดีด้วยสองมือของพวกเขาเอง และหยุดดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและไล่ตามเสาะหาสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เป้าหมายชีวิต” ในหนทางของพวกเขาเอง เมื่อคนเราไม่มีพระเจ้า เมื่อคนเรามองไม่เห็นพระองค์ เมื่อคนเราไม่สามารถรู้จักอธิปไตยของพระเจ้าโดยแท้และชัดเจนได้ ทุกวันก็ย่อมไร้ความหมาย ไร้คุณค่า น่าเวทนา ไม่ว่าคนเราจะอยู่แห่งหนใด งานการของคนเราจะเป็นอะไร วิธีดำรงชีวิตและไล่ตามเสาะหาเป้าหมายก็ไม่ได้นำอะไรมาให้เลยนอกจากหัวใจที่เจ็บปวดอย่างไม่รู้จบและความทุกข์ทนที่ไม่มีการบรรเทา จนกระทั่งคนเราไม่สามารถทนมองย้อนกลับไปในอดีตของคนเราได้ มีเพียงเมื่อคนเรายอมรับอธิปไตยของพระผู้สร้าง นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์ และไล่ตามการได้มาซึ่งชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงคนเราถึงจะค่อยๆ หลุดพ้นจากความปวดร้าวใจและเจ็บปวดทั้งหมด และกำจัดความว่างเปล่าทั้งปวงในชีวิตให้หมดสิ้นไป
เนื่องเพราะผู้คนไม่รู้การจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้าและอธิปไตยของพระเจ้า พวกเขาจึงเผชิญหน้ากับชะตากรรมอย่างเยาะเย้ยท้าทายและด้วยท่าทีที่เป็นกบฏเสมอ และพวกเขาต้องการที่จะปลดเปลื้องสิทธิอำนาจและอธิปไตยของพระเจ้าและสิ่งต่างๆ ที่ชะตากรรมเตรียมไว้ให้ทิ้งไป โดยหวังลมๆ แล้งๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันและแก้ไขดัดแปลงชะตากรรมของพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีวันสามารถทำสำเร็จ และถูกขัดขวางในทุกการขยับตัว การดิ้นรนที่ก่อตัวลึกอยู่ในดวงจิตของพวกเขานี้ก่อความเจ็บปวดล้ำลึกชนิดที่กัดเซาะเข้าไปถึงกระดูกของพวกเขา และนี่ทำให้พวกเขาทิ้งขว้างชีวิตของตนไปในเวลาเดียวกัน อะไรหรือคือสาเหตุของความเจ็บปวดนี้? มันเป็นเพราะอธิปไตยของพระเจ้า หรือเพราะบุคคลหนึ่งเกิดมาโชคร้าย? เห็นได้ชัดว่าไม่ถูกทั้งสองอย่าง โดยพื้นฐานแล้ว มันเกิดจากเส้นทางที่ผู้คนเลือกเดิน วิธีที่พวกเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตของพวกเขา ผู้คนบางคนอาจไม่ตระหนักถึงสิ่งเหล่านี้ แต่เมื่อเจ้ารู้อย่างแท้จริง เมื่อเจ้ามาระลึกรู้อย่างแท้จริงว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์ เมื่อเจ้าเข้าใจอย่างแท้จริงว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่อธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้านำมาให้เจ้านั้นให้ผลประโยชน์และการคุ้มครองป้องกันอันยิ่งใหญ่ เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมรู้สึกว่าความเจ็บปวดของเจ้าค่อยๆ เบาบางลง และความเป็นอยู่ทั้งปวงของเจ้ากลายมาเป็นผ่อนคลายลงทีละน้อย อิสระ และเสรี เมื่อตัดสินจากสภาวะของผู้คนส่วนใหญ่ กล่าวตามความจริงแล้ว พวกเขาไม่สามารถทำใจยอมรับได้อย่างแท้จริงถึงคุณค่าและความหมายในทางปฏิบัติของอธิปไตยของพระผู้สร้างเหนือชะตากรรมมนุษย์ แม้ว่าในระดับความรู้สึกส่วนตัวแล้ว พวกเขาไม่ต้องการดำเนินชีวิตอย่างที่พวกเขาเคยทำมาก่อนอีกต่อไป และต้องการหลุดพ้นจากความเจ็บปวดของพวกเขา แต่ในแง่ความเป็นจริง พวกเขากลับไม่สามารถระลึกรู้และนบนอบอธิปไตยของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง และยิ่งไม่รู้วิธีแสวงหาและยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระผู้สร้าง ดังนั้น หากผู้คนไม่สามารถระลึกรู้อย่างแท้จริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่าพระผู้สร้างทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์และเหนือเรื่องราวทั้งหมดของมนุษย์ หากพวกเขาไม่สามารถนบนอบอำนาจครอบครองของพระผู้สร้างได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะเป็นการยากที่พวกเขาจะไม่ถูกล่ามและถูกขับเคลื่อนโดยแนวความคิดที่ว่า “ชะตากรรมของคนเรานั้นอยู่ในมือของคนเราเอง” มันย่อมจะยากที่พวกเขาจะสลัดหลุดจากความเจ็บปวดในการคร่ำเคร่งดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมและสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง และคงไม่จำเป็นต้องพูดว่า มันก็จะเป็นการลำบากสำหรับพวกเขาเช่นกันที่จะกลายมามีเสรีภาพและเป็นอิสระอย่างแท้จริง กลายมาเป็นผู้คนที่นมัสการพระเจ้า แต่มีหนทางที่จะทำให้คนเราเป็นอิสระจากสภาวะนี้อยู่หนทางหนึ่งซึ่งเรียบง่ายยิ่งนัก นั่นก็คือการอำลาวิถีชีวิตแต่เก่าก่อนของคนเรา การกล่าวคำอำลาเป้าหมายชีวิตก่อนหน้านี้ของคนเรา การสรุปและชำแหละรูปแบบการใช้ชีวิต มุมมองในชีวิต การไล่ตามไขว่คว้า ความอยากได้อยากมี และอุดมคติต่างๆ ก่อนหน้านี้ของคนเรา แล้วจากนั้นก็นำสิ่งเหล่านั้นมาเปรียบเทียบกับเจตนารมณ์และข้อกำหนดที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์และข้อกำหนดของพระเจ้า ดูว่ามีสิ่งใดบ้างที่มอบคุณค่าที่ถูกต้องของชีวิต นำทางคนเราไปสู่ความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความจริง และอำนวยให้คนเรามีชีวิตอยู่กับสภาวะความเป็นมนุษย์และสภาพเสมือนมนุษย์คนหนึ่ง เมื่อเจ้ายังคงเจาะลึกลงไปซ้ำๆ และชำแหละเป้าหมายอันหลากหลายที่ผู้คนไล่ตามเสาะหาในชีวิตและหนทางการดำเนินชีวิตนับหมื่นแสนของพวกเขาอย่างระมัดระวัง เจ้าจะไม่พบสักอย่างเดียวที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ดั้งเดิมของพระผู้สร้างซึ่งพระองค์ใช้ในการสร้างมนุษยชาติขึ้นมา สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดดึงผู้คนให้ห่างออกจากอธิปไตยและการดูแลเอาใจใส่ของพระผู้สร้าง สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดคือกับดักที่เป็นเหตุให้ผู้คนกลายเป็นคนที่ต่ำช้าและนำทางพวกเขาไปสู่นรก หลังจากที่เจ้าตระหนักรู้การนี้ กิจของเจ้าก็คือการวางมุมมองเก่าของชีวิตลง อยู่ให้ห่างจากกับดักนานา ยอมให้พระเจ้าเข้ากำกับชีวิตของเจ้าและทำการจัดการเตรียมการสำหรับเจ้า นี่คือการเสาะแสวงที่จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการทรงนำของพระเจ้าเท่านั้น เป็นการมีชีวิตโดยปราศจากการเลือกของปัจเจกบุคคล และกลายเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งนมัสการพระเจ้า การนี้ฟังดูง่าย แต่ยากที่จะทำ ผู้คนบางคนสามารถทนความเจ็บปวดของมันได้ ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่สามารถทนได้ บ้างก็เต็มใจที่จะปฏิบัติตาม ส่วนคนอื่นๆ นั้นไม่เต็มใจ พวกที่ไม่เต็มใจขาดความพึงปรารถนาและปณิธานที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาตระหนักรู้ในอธิปไตยของพระเจ้าอย่างชัดเจน รู้ดีอย่างครบถ้วนว่าพระเจ้านี่เองที่ทรงวางแผนการและจัดการเตรียมชะตากรรมมนุษย์ แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเตะถีบดิ้นรน และยังคงไม่ยอมประนีประนอมที่จะวางชะตากรรมของพวกเขาไว้ในฝ่าพระหัตถ์ของพระเจ้าและนบนอบอธิปไตยของพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาคับแค้นใจในการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ดังนั้นจึงมีผู้คนบางคนที่ต้องการดูด้วยตัวเองเสมอว่า พวกเขามีความสามารถอะไร พวกเขาต้องการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมด้วยสองมือของพวกเขาเอง หรือสัมฤทธิ์ความสุขด้วยพลังอำนาจของพวกเขาเอง ต้องการมองเห็นว่าพวกเขาสามารถก้าวล้ำขอบเขตสิทธิอำนาจของพระเจ้า และผงาดเหนืออธิปไตยของพระเจ้าได้หรือไม่ โศกนาฏกรรมของมนุษย์ไม่ได้อยู่ตรงที่เขาแสวงหาชีวิตที่มีความสุข ไม่ได้อยู่ตรงที่เขาไล่ตามเสาะหาชื่อเสียงและโชควาสนา หรือดิ้นรนต่อต้านชะตากรรมของตัวเขาเองผ่านม่านหมอก แต่อยู่ตรงที่หลังจากที่เขาได้เห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงมีอยู่จริง หลังจากที่เขาได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงว่าพระเจ้าทรงมีอธิปไตยเหนือชะตากรรมมนุษย์แล้ว เขาก็ยังคงไม่สามารถหันหลังกลับจากเส้นทางที่ผิด ไม่สามารถชักเท้าขึ้นจากปลักตม แต่ยังคงใจแข็งและดึงดันในความผิดพลาดของเขา เขาเลือกที่จะดิ้นพราดอยู่ในโคลนต่อไป แข่งขันชิงดีกับอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างหัวชนฝา ฝืนต้านไปจนกว่าจะจบสิ้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ทั้งหมดนั้นไม่มีความรู้สึกเสียใจในสิ่งที่กระทำไปแม้เพียงเสี้ยวกระผีก มีเพียงเมื่อเขานอนหมดสิ้นสภาพและโลหิตไหลรินเท่านั้น ที่ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจยอมแพ้และหันหลังกลับ นี่คือโศกนาฏกรรมอันแท้จริงของมนุษย์ ดังนั้น เราพูดเลยว่า บรรดาผู้ที่เลือกนบนอบนั้นมีสติปัญญา และพวกที่เลือกดิ้นรนและหลบหนีช่างโง่เขลาปัญญาเอาเสียจริง
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ
หลังจากที่บุคคลหนึ่งได้ผ่านพ้นวัยเด็กและวัยรุ่น และค่อยๆ ไปถึงภาวะความเป็นผู้ใหญ่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก้าวต่อไปก็คือ...
ความจริงต่างๆ ที่เกี่ยวกับสิทธิอำนาจของพระเจ้าคือความจริงที่ทุกบุคคลต้องคำนึงถึงอย่างจริงจัง...
หลังจากที่ได้ฟังทุกสิ่งที่เราเพิ่งได้พูดไป แนวคิดของพวกเจ้าเกี่ยวกับชะตากรรมได้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่?...
พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่ บางคนอยู่ในวัยกลางคน บางคนได้เข้าสู่วัยชรา พวกเจ้ามาจากการไม่เชื่อในพระเจ้าจนมาถึงการเชื่อในพระองค์...