วิธีที่คนเราควรกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
บัดนี้เป็นยุคแห่งราชอาณาจักร การที่เจ้าจะได้เข้าสู่ยุคใหม่นี้แล้วหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับว่าเจ้าได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าแล้วหรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่าพระวจนะของพระองค์นั้นได้กลายเป็นชีวิตความเป็นจริงของเจ้าแล้วหรือไม่ พระวจนะของพระเจ้านั้นได้รับการทำให้รู้กันทั่วทุกคนก็เพื่อที่ ในท้ายที่สุด ผู้คนทั้งหมดจะใช้ชีวิตในโลกแห่งพระวจนะของพระเจ้า และพระวจนะของพระองค์จะให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างกับแต่ละบุคคลจากภายใน หากในช่วงระหว่างเวลานี้ เจ้าไม่ใส่ใจในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า และไม่มีความสนใจในพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วนี่ก็แสดงให้เห็นว่าสภาวะของเจ้านั้นผิดปกติ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะเข้าสู่ยุคพระวจนะ เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็ไม่ทรงปฏิบัติพระราชกิจในตัวเจ้า หากเจ้าได้เข้าสู่ยุคนี้แล้ว พระองค์จะทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์ อะไรหรือที่เจ้าสามารถทำได้เมื่อเริ่มต้นยุคพระวจนะเพื่อที่จะได้รับพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์? ในยุคนี้และท่ามกลางพวกเจ้า พระเจ้าจะทรงทำให้ข้อเท็จจริงต่อไปนี้สำเร็จลุล่วง: ที่ว่าทุกคนจะใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าจะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และจะรักพระเจ้าอย่างจริงจังจริงใจ ที่ว่าผู้คนทั้งหมดจะใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานและเป็นความเป็นจริงของตนและจะมีหัวใจที่เคารพพระเจ้า และที่ว่าโดยอาศัยการปฏิบัติพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์จะใช้อำนาจขัตติยะพร้อมไปกับพระเจ้า นี่คืองานที่จะต้องสัมฤทธิ์ผลโดยพระเจ้า เจ้าสามารถอยู่โดยที่ไม่อ่านพระวจนะของพระเจ้าได้หรือไม่? วันนี้ มีผู้คนมากมายที่รู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถอยู่ได้แม้แต่วันเดียวหรือสองวันโดยที่ไม่ได้อ่านพระวจนะของพระองค์ พวกเขาต้องอ่านพระวจนะของพระองค์ทุกวัน และหากไม่มีเวลา การฟังพระวจนะเหล่านี้ก็จะเพียงพอ นี่คือความรู้สึกที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้แก่ผู้คน และมันเป็นหนทางที่พระองค์ทรงเริ่มที่จะขับเคลื่อนพวกเขา นั่นคือ พระองค์ทรงปกครองผู้คนผ่านพระวจนะ เพื่อที่พวกเขาจะสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้าได้ หากหลังจากผ่านไปเพียงแค่หนึ่งวันโดยที่ไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้ารู้สึกถึงความมืดมิดและความกระหาย และไม่สามารถทนต่อสภาวะเช่นนั้นได้ นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าได้ถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว และแสดงให้เห็นว่าพระองค์ไม่ได้หันหนีไปจากเจ้า เจ้าก็จะเป็นหนึ่งในผู้ซึ่งอยู่ในกระแสนี้ อย่างไรก็ตาม หากหลังจากผ่านไปหนึ่งวันหรือสองวันโดยไม่ได้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่ได้รู้สึกอะไรสักอย่าง หากเจ้าไม่มีความกระหาย และไม่ได้ถูกขับเคลื่อนเลยทั้งสิ้น นี่แสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้หันหนีไปจากเจ้าแล้ว เช่นนั้นแล้วนี่ย่อมหมายความว่า มีบางอย่างผิดปกติกับสภาวะภายในตัวเจ้า เจ้ายังไม่ได้เข้าสู่ยุคพระวจนะ และเจ้าเป็นหนึ่งในบรรดาพวกที่ล้าหลัง พระเจ้าทรงใช้พระวจนะปกครองผู้คน เจ้ารู้สึกดีหากเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และหากเจ้าไม่ได้กินและดื่ม เจ้าย่อมไร้เส้นทางให้ติดตาม พระวจนะของพระเจ้ากลายเป็นอาหารของผู้คน และเป็นพละกำลังซึ่งขับเคลื่อนพวกเขา พระคัมภีร์กล่าวว่า “มนุษย์จะดำรงชีวิตด้วยอาหารเพียงอย่างเดียวไม่ได้ แต่ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า” วันนี้ พระเจ้าจะทรงนำพาพระราชกิจนี้ไปสู่ความครบถ้วนบริบูรณ์ และพระองค์จะทรงทำให้ข้อเท็จจริงนี้สำเร็จลุล่วงในตัวพวกเจ้า เป็นไปได้อย่างไรกันที่ในอดีตนั้น ผู้คนสามารถอยู่ได้หลายวันโดยไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า และกระนั้นก็ยังสามารถกินอาหารและทำงานได้ตามปกติ แต่นี่ไม่ใช่กรณีในวันนี้ใช่ไหม? ในยุคนี้ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเป็นหลักในการปกครองทุกคน โดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า มนุษย์จึงได้รับการพิพากษาและทำให้มีความเพียบพร้อม จากนั้นในที่สุดจึงถูกนำตัวไปยังราชอาณาจักร มีเพียงพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถจัดหาให้แก่ชีวิตของมนุษย์ได้ และมีเพียงแค่พระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถให้ความสว่างและเส้นทางสำหรับการปฏิบัติแก่มนุษย์ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคแห่งราชอาณาจักร ตราบเท่าที่เจ้าไม่ไถลห่างจากความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า การกินและการดื่มพระวจนะของพระองค์ในแต่ละวัน พระเจ้าก็จะทรงสามารถทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อมได้
การไล่ตามเสาะหาชีวิตไม่ใช่อะไรบางอย่างที่จะเร่งรัดได้ การเติบโตของชีวิตไม่ได้เกิดขึ้นในเวลาเพียงหนึ่งหรือสองวัน พระราชกิจของพระเจ้านั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดาและสัมพันธ์กับชีวิตจริง และมีกระบวนการหนึ่งที่พระราชกิจจำเป็นต้องก้าวผ่านไปให้ได้ พระเยซูผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ทรงใช้เวลาสามสิบสามปีครึ่งเพื่อเสร็จสิ้นพระราชกิจการตรึงกางเขนของพระองค์—แล้วถ้าเป็นงานชำระล้างมนุษย์ให้บริสุทธิ์และแปรสภาพชีวิตของเขา ซึ่งเป็นพระราชกิจที่มีความยากถึงขั้นสูงสุดล่ะจะเป็นอย่างไร? มันไม่ใช่ชิ้นงานที่ง่ายเลย ในการที่จะสร้างมนุษย์ปกติคนหนึ่งซึ่งสำแดงพระเจ้า นี่เป็นเช่นนั้นจริงๆ สำหรับผู้คนซึ่งเกิดมาในชนชาติแห่งพญานาคใหญ่สีแดง ผู้ที่มีขีดความสามารถต่ำและพึงต้องใช้ระยะเวลาอันยาวนานสำหรับพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้า ดังนั้นจงอย่าไร้ความอดทนที่จะได้เห็นผลลัพธ์ เจ้าจำต้องกระตือรือร้นในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และใช้ความพยายามให้มากขึ้นกับพระวจนะของพระเจ้า เมื่อเจ้าเสร็จจากการอ่านพระวจนะของพระองค์แล้ว เจ้าจำต้องสามารถนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติได้จริง เติบโตขึ้นในด้านความรู้ ความรู้ความเข้าใจเชิงลึกการหยั่งรู้และปัญญาในพระวจนะของพระเจ้า โดยผ่านการนี้ เจ้าจะเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่รู้ตัว หากเจ้าสามารถรับการกินและการดื่มพระวจนะของพระเจ้า การอ่านพระวจนะเหล่านั้น การได้มารู้พระวจนะเหล่านั้น การได้รับประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้น และการปฏิบัติพระวจนะเหล่านั้นมาเป็นหลักธรรมของเจ้า เจ้าจะมาถึงความเป็นผู้ใหญ่บริบูรณ์โดยที่ไม่รู้ตัว มีพวกที่กล่าวว่า พวกเขาไร้ความสามารถที่จะนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้แม้หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะเหล่านั้นแล้วก็ตาม เจ้ารีบร้อนอะไรหรือ? เมื่อเจ้าไปถึงวุฒิภาวะหนึ่ง เจ้าก็จะสามารถนำพระวจนะของพระองค์ไปปฏิบัติได้ เด็กอายุสี่หรือห้าขวบจะพูดว่าพวกเขาไร้ความสามารถที่จะสนับสนุนหรือให้เกียรติพ่อแม่ของตนได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าควรรู้ว่าวุฒิภาวะ ณ ปัจจุบันของเจ้านั้นดีเลิศเพียงใด จงนำสิ่งที่เจ้าสามารถปฏิบัติได้ไปปฏิบัติ และหลีกเลี่ยงการเป็นใครบางคนที่ทำให้การบริหารจัดการของพระเจ้าหยุดชะงัก แค่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และรับการปฏิบัติเช่นนั้นไว้เป็นหลักธรรมของเจ้านับแต่บัดนี้ไป สำหรับตอนนี้ อย่าเพิ่งไปกังวลในเรื่องที่ว่าพระเจ้าสามารถทำให้เจ้าครบบริบูรณ์ได้หรือไม่ อย่าเพิ่งเจาะลึกเข้าไปในเรื่องนั้น แค่กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเมื่อพระวจนะเหล่านั้นเข้ามาหาเจ้า และพระเจ้าจึงจะทรงรู้สึกมั่นใจที่จะทำให้เจ้ามีความครบถ้วนบริบูรณ์ อย่างไรก็ดี มีหลักการซึ่งเจ้าจำต้องกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ไปตามนั้น อย่าทำเช่นนั้นไปโดยหลับหูหลับตา ในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้านั้น ในด้านหนึ่ง จงแสวงหาพระวจนะที่เจ้าควรมารู้ออกมาให้ได้—นั่นคือ พระวจนะที่เกี่ยวข้องกับนิมิต—และในอีกด้านหนึ่ง จงแสวงหาพระวจนะที่เจ้าควรนำไปปฏิบัติจริง—นั่นคือ สิ่งที่เจ้าควรเข้าสู่ แง่มุมหนึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับความรู้ และอีกแง่มุมหนึ่งเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ ทันทีที่เจ้าได้จับความเข้าใจถึงทั้งสองแง่มุม—เมื่อเจ้าได้จับความเข้าใจถึงสิ่งที่เจ้าควรรู้และสิ่งที่เจ้าควรปฏิบัติ—เจ้าก็จะรู้ว่าจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าได้อย่างไร
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ
จากหลักการต่างๆ ของการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้านั้น หนึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับความรู้ และอีกหนึ่งนั้นเกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ พระวจนะใดหรือที่เจ้าควรได้มารู้? เจ้าควรได้มารู้พระวจนะซึ่งสัมพันธ์กับนิมิตทั้งหลาย (อาทิ พระวจนะต่างๆ ที่สัมพันธ์กับเรื่องที่ว่า พระราชกิจของพระเจ้าได้เข้าสู่ยุคใดไปแล้วในขณะนี้ พระเจ้าทรงปรารถนาจะสัมฤทธิ์ผลสิ่งใดในขณะนี้ การจุติเป็นมนุษย์คืออะไร เป็นต้น ทั้งหมดเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับนิมิต) เส้นทางที่มนุษย์ควรเข้าสู่นั้นหมายถึงอะไร? เรื่องนี้อ้างอิงถึงพระวจนะของพระเจ้าที่มนุษย์ควรปฏิบัติและเข้าสู่ ข้างต้นนี้คือแง่มุมสองด้านของการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า นับแต่นี้ไป จงกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเช่นนี้ หากเจ้ามีความเข้าใจที่ชัดเจนในพระวจนะของพระองค์ที่เกี่ยวข้องกับนิมิต เช่นนั้นแล้วก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอ่านต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา สิ่งสำคัญเบื้องต้นก็คือการกินและดื่มพระวจนะซึ่งว่าด้วยการเข้าสู่ให้มากขึ้นอาทิ วิธีที่จะหันหัวใจของเจ้าเข้าหาพระเจ้า วิธีที่จะนิ่งสงบหัวใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และวิธีที่จะละทิ้งเนื้อหนัง เหล่านี้คือสิ่งที่เจ้าควรนำไปปฏิบัติ หากไม่รู้ว่าจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร การสามัคคีธรรมที่แท้จริงก็คงเป็นไปไม่ได้ ทันทีที่เจ้ารู้ว่าจะกินและดื่มพระวจนะของพระองค์อย่างไรแล้ว ครั้นเจ้าได้จับความเข้าใจแล้วว่าอะไรคือกุญแจสำคัญ การสามัคคีธรรมจะกลายเป็นเปิดกว้างไร้ข้อจำกัด และไม่ว่าจะเป็นหัวข้อใดที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เจ้าก็จะสามารถร่วมสามัคคีธรรมและจับความเข้าใจความเป็นจริงได้ หากขณะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า เจ้าไม่มีความเป็นจริง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ได้จับความเข้าใจว่าอะไรคือกุญแจสำคัญ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่รู้ว่าจะกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างไร ผู้คนบางคนอาจพบว่าการอ่านพระวจนะของพระเจ้านั้นน่าเบื่อหน่าย ซึ่งไม่ใช่สภาวะปกติ สิ่งที่เป็นปกติก็คือการไม่เคยเบื่อหน่ายไปกับการอ่านพระวจนะของพระเจ้า การกระหายในพระวจนะเหล่านั้นอยู่เสมอ และการพบว่าพระวจนะของพระเจ้าเป็นสิ่งที่ดีอยู่เสมอ นี่คือวิธีการซึ่งคนเราที่ได้เข้าสู่แล้วโดยแท้กินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เมื่อเจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระเจ้านั้นช่างเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงเหลือเกิน และเป็นสิ่งที่มนุษย์ควรเข้าสู่อย่างแท้จริง เมื่อเจ้ารู้สึกว่าพระวจนะของพระองค์นั้นเป็นประโยชน์อย่างใหญ่หลวงและเป็นคุณต่อมนุษย์ และรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านั้นคือการจัดเตรียมชีวิตของมนุษย์—เป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองที่ทรงมอบความรู้สึกนี้แก่เจ้า และเป็นพระวิญญาณบริสุทธิ์นั่นเองที่ทรงขับเคลื่อนเจ้า นี่เป็นการพิสูจน์ว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจในตัวเจ้าและพิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงหันหนีไปจากเจ้า ผู้คนบางคนเมื่อได้เห็นว่าพระเจ้าตรัสอยู่ตลอดเวลา ก็กลายเป็นรู้สึกเบื่อหน่ายในพระวจนะของพระองค์ และคิดว่าคงไม่มีผลสืบเนื่องตามมาไม่ว่าพวกเขาจะอ่านพระวจนะเหล่านั้นหรือไม่—ซึ่งไม่ใช่สภาวะปกติ พวกเขาไร้ซึ่งหัวใจที่กระหายจะเข้าสู่ความเป็นจริง และผู้คนเช่นนั้นก็ไม่กระหายอีกทั้งไม่ให้ความสำคัญต่อการได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อม เมื่อใดก็ตามที่เจ้าพบว่าเจ้าไม่ได้กระหายต่อพระวจนะของพระเจ้า นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในสภาวะปกติ ในอดีต การที่พระเจ้าทรงหันหนีไปจากเจ้าหรือไม่นั้นสามารถกำหนดพิจารณาได้จากการที่เจ้ามีสันติสุขภายในหรือไม่ และเจ้าได้รับประสบการณ์ความชื่นชมยินดีหรือไม่ มาบัดนี้ กุญแจสำคัญก็คือการที่เจ้ากระหายต่อพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ พระวจนะของพระองค์คือความเป็นจริงของเจ้าหรือไม่ เจ้าสัตย์ซื่อหรือไม่ และเจ้าสามารถทำทุกอย่างที่เจ้าสามารถทำได้เพื่อพระเจ้าหรือไม่ อีกนัยหนึ่ง มนุษย์ได้รับการพิพากษาโดยความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า พระเจ้าทรงชี้นำพระวจนะของพระองค์ต่อมนุษยชาติทั้งมวล หากเจ้าเต็มใจที่จะอ่านพระวจนะเหล่านั้น พระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า แต่หากเจ้าไม่เต็มใจ พระองค์จะไม่ทรงทำเช่นนั้น พระเจ้าทรงให้ความรู้แจ้งแก่บรรดาผู้ที่หิวและกระหายต่อความชอบธรรม และพระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่บรรดาผู้ที่แสวงหาพระองค์ บางคนพูดว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้ความรู้แจ้งแก่พวกเขา แม้ภายหลังจากที่พวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระองค์แล้ว ว่าแต่เจ้าได้อ่านพระวจนะเหล่านี้แบบไหนหรือ? หากเจ้าได้อ่านพระวจนะของพระองค์ในแบบมนุษย์ที่ขี่ม้าชมสวนคนหนึ่ง และไม่ได้ให้ความสำคัญกับความเป็นจริง พระเจ้าจะให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าได้อย่างไรกัน? คนที่ไม่หวงแหนความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้าจะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระองค์ได้อย่างไร? หากเจ้าไม่หวงแหนความล้ำค่าของพระวจนะของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีทั้งความจริงและความเป็นจริง หากเจ้าหวงแหนความล้ำค่าของพระวจนะของพระองค์ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะสามารถนำความจริงไปปฏิบัติได้ และเมื่อนั้นเจ้าจึงจะครอบครองความเป็นจริง นี่คือเหตุผลที่เจ้าจึงต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าในทุกเวลา ไม่ว่าเจ้าจะมีธุระยุ่งหรือไม่ก็ตาม ไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมต่างๆ นั้นจะไม่เป็นใจหรือไม่ก็ตาม และไม่ว่าเจ้ากำลังถูกทดสอบหรือไม่ก็ตาม โดยรวมแล้ว พระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานของการดำรงอยู่ของมนุษย์ ไม่มีใครสามารถหันหนีไปจากพระวจนะของพระองค์ได้ แต่จำต้องกินพระวจนะของพระองค์อย่างที่พวกเขากินอาหารสามมื้อของวันนั้น การได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมและการได้รับการรับไว้โดยพระเจ้านั้นจะง่ายดายปานนั้นเชียวหรือ? ไม่ว่าเจ้าจะเข้าใจในปัจจุบันหรือไม่ และไม่ว่าเจ้าจะมีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในพระวจนะของพระเจ้าหรือไม่ เจ้าจำต้องกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นี่คือการเข้าสู่ในแบบเชิงรุก หลังจากที่อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว จงเร่งรีบนำสิ่งที่เจ้าสามารถเข้าสู่ได้ไปปฏิบัติ และกันสิ่งที่เจ้าไม่สามารถเข้าสู่ได้ไปไว้ทางอื่นสักชั่วขณะหนึ่ง อาจมีพระวจนะของพระเจ้ามากมายที่เจ้าไม่สามารถเข้าใจได้ในตอนต้น แต่หลังผ่านไปสองหรือสามเดือน บางทีอาจจะเป็นหนึ่งปี เจ้าก็จะเข้าใจ เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรนะหรือ? เป็นเพราะพระเจ้าไม่ทรงสามารถทำให้ผู้คนมีความเพียบพร้อมได้ในหนึ่งหรือสองวัน ส่วนใหญ่แล้ว เมื่อเจ้าอ่านพระวจนะของพระองค์ เจ้าอาจไม่เข้าใจในทันที ในเวลานั้น พระวจนะเหล่านั้นอาจดูเหมือนไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าแค่ข้อความ เจ้าจำต้องมีประสบการณ์กับพระวจนะเหล่านั้นสักช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่เจ้าจะสามารถเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นได้ พระเจ้าได้มีการตรัสไว้มากมายนักแล้ว เจ้าควรทำให้ถึงที่สุดที่จะกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ และจากนั้น โดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว เจ้าจะได้มาเข้าใจ และโดยที่เจ้าไม่ทันรู้ตัว พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า ในเวลาที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่มนุษย์ บ่อยครั้งที่มันเป็นไปโดยที่มนุษย์ไม่รู้ตัว พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าและทรงนำเจ้าเมื่อเจ้ากระหายและแสวงหา หลักการซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงพระราชกิจนั้นมีศูนย์กลางโอบล้อมพระวจนะของพระเจ้าที่เจ้ากินและดื่ม ทุกคนที่ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อพระวจนะของพระเจ้าและมีท่าทีที่แตกต่างต่อพระวจนะของพระองค์เสมอ—การเชื่อในการคิดที่มึนงงสับสนของตน นับเป็นเรื่องของความไม่แยแส ไม่ว่าพวกเขาจะอ่านพระวจนะของพระองค์หรือไม่ก็ตาม—คือพวกที่ไม่ได้ครอบครองความเป็นจริง อีกทั้งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และการให้ความรู้แจ้งของพระองค์ก็ไม่อาจพบเห็นได้ในบุคคลเช่นนั้น ผู้คนเยี่ยงนี้ก็เพียงแค่ลอยชายไปเรื่อยไม่จริงจัง พวกคนเสแสร้งซึ่งปราศจากคุณสมบัติที่แท้จริง เหมือนอย่างนายหนานกวั๋วจากนิทานอุปมา[ก]
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ยุคแห่งราชอาณาจักรคือยุคพระวจนะ
ทุกครั้งที่เจ้ากินและดื่มบทตอนแห่งพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้ามีความสามารถที่จะจับความเข้าใจพระราชกิจที่พระองค์กำลังทรงปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันได้ และสามารถเรียนรู้วิธีอธิษฐานได้ สามารถเรียนรู้วิธีที่จะร่วมมือได้ และเรียนรู้วิธีบรรลุการเข้าสู่ได้ เมื่อนั้นเท่านั้นการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของเจ้าจึงจะสร้างผลลัพธ์ต่างๆ เมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะค้นพบเส้นทางแห่งการเข้าสู่และสามารถหยั่งรู้ถึงพลังแห่งพระราชกิจของพระเจ้าในปัจจุบันได้ รวมไปถึงการชี้นำแห่งพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ โดยหนทางแห่งพระวจนะของพระเจ้า เจ้าก็จะได้เข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแล้ว หากเจ้ายังไม่ได้จับความเข้าใจประเด็นสำคัญขณะที่กำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า และภายหลังก็ยังคงไร้ความสามารถที่จะค้นพบเส้นทางซึ่งควรจะปฏิบัติ นี่ก็จะแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังคงไม่รู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าอย่างถูกต้องเหมาะสม และแสดงให้เห็นว่าเจ้ายังไม่ค้นพบวิธีการหรือหลักการสำหรับการทำเช่นนั้น
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม
เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าต้องประเมินวัดความเป็นจริงแห่งสภาวะของเจ้าเองโดยอิงพระวจนะเหล่านั้น กล่าวคือ เมื่อเจ้าค้นพบข้อบกพร่องของเจ้าในครรลองของประสบการณ์อันเป็นจริงของเจ้า เจ้าต้องมีความสามารถที่จะค้นหาเส้นทางที่จะปฏิบัติ ที่จะหันหลังให้กับแรงจูงใจทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องและมโนคติที่หลงผิดของเจ้า หากเจ้าเพียรพยายามเพื่อสิ่งเหล่านี้และเทหัวใจของเจ้าเข้าไปในการสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นอยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีเส้นทางให้ติดตาม เจ้าจะไม่รู้สึกว่างเปล่า และด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะสามารถธำรงรักษาสภาวะปกติเอาไว้ได้ เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะเป็นใครบางคนที่แบกภาระในชีวิตของเจ้าเอง เป็นผู้ที่มีความเชื่อ เหตุใดเล่า ผู้คนบางคนจึงไม่สามารถนำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติได้หลังจากที่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าแล้ว? นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุดได้หรอกหรือ? นั่นไม่ใช่เพราะพวกเขาไม่คิดเรื่องชีวิตอย่างจริงจังหรอกหรือ? เหตุผลที่พวกเขาไม่สามารถจับความเข้าใจสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่สุดได้และไม่มีเส้นทางที่จะฝึกฝนปฏิบัติก็คือว่า เมื่อพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่สามารถเชื่อมโยงสภาวะของพวกเขาเองเข้ากับพระวจนะเหล่านั้นได้ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถมีความรู้ความเข้าใจในสภาวะของพวกเขาเอง ผู้คนบางคนพูดว่า “ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าและเชื่อมโยงสภาวะของฉันกับพระวจนะเหล่านั้น และฉันรู้ว่าฉันเสื่อมทรามและมีขีดความสามารถต่ำ แต่ฉันก็ไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้” เจ้าได้เห็นไปเพียงผิวเผินอย่างมากเท่านั้นเอง มีสิ่งที่เป็นจริงมากมายที่เจ้าไม่รู้ นั่นคือ จะละวางความชื่นชมยินดีของเนื้อหนังอย่างไร จะละวางความคิดว่าตนเองชอบธรรมเสมออย่างไร จะเปลี่ยนตัวเจ้าเองอย่างไร จะเข้าสู่สิ่งเหล่านี้อย่างไร จะปรับปรุงขีดความสามารถของเจ้าอย่างไร และจะเริ่มต้นจากแง่มุมใด เจ้าเพียงจับความเข้าใจไม่กี่อย่างโดยผิวเผินเท่านั้น และทั้งหมดที่เจ้ารู้ก็คือว่าเจ้าเสื่อมทรามอย่างแท้จริง เมื่อเจ้าพบกับบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้า เจ้าพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องที่ว่าเจ้าเสื่อมทรามเพียงใด และดูเหมือนว่าเจ้ารู้จักตัวเจ้าเองและแบกภาระอันใหญ่หลวงสำหรับชีวิตของเจ้า ในข้อเท็จจริงนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไป ซึ่งเป็นการพิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่ได้พบเส้นทางที่จะปฏิบัติ
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (7)
ยิ่งเจ้าใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้ามากขึ้นเท่าใด เจ้าก็ยิ่งแบกภาระยิ่งใหญ่ขึ้นเท่านั้น และยิ่งภาระที่เจ้าแบกยิ่งใหญ่ขึ้นเท่าใด ประสบการณ์ของเจ้าก็จะยิ่งมั่งคั่งขึ้นเท่านั้น เมื่อเจ้าใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าก็จะทรงวางภาระลงบนตัวเจ้า และเช่นนั้นแล้ว ก็จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าเกี่ยวกับภารกิจซึ่งพระองค์วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า เมื่อพระเจ้าทรงมอบภาระนี้แก่เจ้า เจ้าก็จะให้ความสนใจต่อความจริงที่เกี่ยวข้องทั้งหมดขณะที่กำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้ามีภาระต่อสภาวะของชีวิตพี่น้องชายหญิงของเจ้า เช่นนั้นแล้ว นี่ก็จะเป็นภาระที่พระเจ้าได้วางพระทัยมอบหมายให้เจ้า และเจ้าก็จะแบกภาระนี้ไว้กับเจ้าในการอธิษฐานประจำวันของเจ้าเสมอ เจ้าได้แบกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไว้แล้ว และเจ้าเต็มใจทำสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ นี่คือความหมายของการแบกภาระของพระเจ้าให้เป็นของเจ้าเอง ณ จุดนี้ ในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของเจ้า เจ้าจะมุ่งเน้นที่ชนิดของปัญหาเหล่านี้ และเจ้าจะแปลกใจว่า ฉันจะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไร? ฉันจะสามารถทำให้พี่น้องชายหญิงของฉันสามารถสัมฤทธิ์ผลของการปลดปล่อยให้เป็นอิสระและพบความชื่นชมยินดีฝ่ายวิญญาณได้อย่างไร? เจ้าจะมุ่งเน้นการแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยขณะที่กำลังสามัคคีธรรม และเมื่อกำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า เจ้าจะมุ่งเน้นที่การกินและดื่มพระวจนะที่เกี่ยวข้องกับปัญหาเหล่านี้ เจ้าจะแบกภาระด้วยเช่นกันขณะที่เจ้ากำลังกินและดื่มพระวจนะของพระองค์ ทันทีที่เจ้าได้เข้าใจข้อพึงพระสงค์ทั้งหลายของพระเจ้าแล้ว เจ้าก็จะมีแนวคิดชัดเจนมากขึ้นว่าจะใช้เส้นทางไหน นี่คือความรู้แจ้งและความกระจ่างแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ภาระของเจ้าได้นำมา และนี่ก็ยังเป็นการทรงนำของพระเจ้าที่ได้รับการประทานแก่เจ้าอีกด้วย เหตุใดเราจึงพูดการนี้? หากเจ้าไม่มีภาระ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่เอาใจใส่ขณะที่กำลังกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า กล่าวคือ เมื่อเจ้ากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าขณะที่กำลังแบกภาระ เจ้าก็จะสามารถจับความเข้าใจในแก่นแท้ของพระวจนะเหล่านั้น ค้นพบหนทางของเจ้า และใส่ใจต่อน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ ดังนั้น ในการอธิษฐานของเจ้า เจ้าควรปรารถนาให้พระเจ้าทรงวางภาระบนตัวเจ้ามากขึ้น และวางพระทัยมอบหมายกิจการที่ยิ่งใหญ่มากขึ้นไปอีกให้เจ้า เพื่อที่เจ้าอาจจะมีเส้นทางที่เจ้าจะได้ปฏิบัติมากขึ้นเบื้องหน้าเจ้า เพื่อที่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจะเกิดผลที่ยิ่งใหญ่ขึ้น เพื่อที่เจ้าจะสามารถจับความเข้าใจในแก่นแท้ของพระวจนะของพระองค์ได้เพิ่มมากขึ้น และเพื่อที่เจ้าจะกลับกลายเป็นสามารถถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ได้มากขึ้น
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, จงใส่ใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าเพื่อบรรลุความเพียบพร้อม
การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าสามารถทำให้เจ้าสามารถเข้าใจความจริงก็ต่อเมื่อทำถูกทางเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เพียงการเข้าใจความจริงไม่ได้หมายความว่าเจ้าสามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้ ผู้คนบางคนมีขีดความสามารถที่ดี แต่ไม่รักความจริง แม้ว่าพวกเขาสามารถเข้าใจความจริงเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ไม่ปฏิบัติความจริง ผู้คนเช่นนี้สามารถเข้าสู่ความเป็นจริงของความจริงได้หรือไม่? การเข้าใจความจริงไม่ได้ง่ายเหมือนการเข้าใจคำสอนทั้งหลาย เจ้าต้องรู้วิธีกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเพื่อที่จะเข้าใจความจริง จงลองการกินและดื่มบทตอนหนึ่งที่เกี่ยวกับความจริงของความรักสำหรับพระเจ้า เป็นอาทิ พระวจนะของพระเจ้ากล่าวไว้ว่า “‘ความรัก’ ก็เป็นดั่งชื่อของมันซึ่งอ้างอิงถึงอารมณ์ความรู้สึกหนึ่งซึ่งบริสุทธิ์และปราศจากมลทิน ที่เจ้าใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อไตร่ตรอง ในความรักไม่มีเงื่อนไข ไม่มีสิ่งกีดขวาง และไม่มีระยะห่าง ในความรักไม่มีความสงสัย ไม่มีการหลอกลวง และไม่มีความเจ้าเล่ห์ ในความรักไม่มีการค้าขาย และไม่มีสิ่งใดไม่บริสุทธิ์” นี่คือการที่พระเจ้าทรงนิยามความรัก และนี่คือความจริง แต่เจ้าจะรักผู้ใดเล่า? เจ้าจะรักสามีของเจ้าหรือ? ภรรยาของเจ้าหรือ? บรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าหรือ? เปล่าเลย เมื่อพระเจ้าตรัสถึงความรัก พระองค์ไม่ได้ตรัสถึงความรักต่อเพื่อนมนุษย์ของเจ้า แต่ตรัสถึงความรักที่มนุษย์มีต่อพระเจ้า ความรักนี้คือความรักแท้ เจ้าควรจับใจความความจริงนี้อย่างไร? การนี้หมายความว่าพระเจ้าทรงต้องประสงค์ให้ผู้คนไม่กังขาในพระองค์หรือพาตัวพวกเขาเองห่างจากพระองค์ แต่ให้มีความรักซึ่งปราศจากราคีและไร้มลทินต่อพระองค์ ที่ว่า “ไร้มลทิน” นั้นหมายความว่าไม่มีความอยากได้อยากมีที่ฟุ้งเฟ้อและไม่ยื่นข้อเรียกร้องที่ฟุ้งเฟ้อต่อพระเจ้า โดยไม่วางเงื่อนไขกับพระองค์และไม่มีข้อแก้ตัวใดๆ นั่นหมายความว่าพระองค์ย่อมมาเป็นอันดับแรกในหัวใจของเจ้า และหมายความว่ามีเพียงพระวจนะของพระองค์เท่านั้นที่จับจองหัวใจของเจ้า นี่คืออารมณ์ที่ปราศจากราคีและไร้มลทิน อารมณ์นี้จับจองที่เฉพาะแห่งหนึ่งในหัวใจของเจ้า เจ้านึกถึงพระองค์และคิดถึงพระองค์อยู่เสมอ และสามารถระลึกถึงพระองค์ในแต่ละขณะและทุกชั่วขณะ การรักหมายถึงการรักด้วยหัวใจของเจ้า การรักด้วยหัวใจของเจ้าประกอบด้วยการคำนึงถึงผู้อื่น การใส่ใจและการถวิลหา เจ้าต้องก้าวผ่านกระบวนการของการรู้เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในการรักด้วยหัวใจของเจ้า ณ กาลปัจจุบัน ขณะที่เจ้ามีความรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับพระเจ้า เจ้าก็ควรใช้หัวใจของเจ้าโหยหาพระองค์ ถวิลหาพระองค์ เชื่อฟังพระองค์ คำนึงถึงพระองค์ อธิษฐานต่อพระองค์ และร้องเรียกหาพระองค์ เจ้าควรถึงขั้นสามารถที่จะมีส่วนในพระดำริและความกังวลสนพระทัยของพระองค์ เจ้าต้องใส่หัวใจของเจ้าเข้าไปในสิ่งเหล่านี้ จงอย่าเพียงปรนนิบัติแต่ปาก โดยกล่าวว่า “พระเจ้าที่รักยิ่ง! ข้าพระองค์กำลังทำการนี้เพื่อพระองค์ ข้าพระองค์กำลังทำการนั้นเพื่อพระองค์!” มีเพียงการรักและการทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยด้วยหัวใจของเจ้าเท่านั้นที่เป็นจริง แม้ว่าเจ้าไม่กล่าวเช่นนั้นออกมาดังๆ แต่เจ้าก็มีพระเจ้าในหัวใจของเจ้า เจ้าคิดถึงพระองค์อยู่ในหัวใจของเจ้า เจ้าสามารถยอมทิ้งสามีของเจ้า ภรรยาของเจ้า บุตรชายหญิงของเจ้า บิดามารดาของเจ้า แต่หัวใจของเจ้าไม่อาจอยู่อย่างไร้พระเจ้าได้ หากไม่มีพระเจ้า เจ้าก็เพียงไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้ การนี้ย่อมหมายความว่าเจ้ามีความรัก และเจ้ามีพระเจ้าในหัวใจของเจ้า “จงใช้หัวใจของเจ้าเพื่อรัก เพื่อรู้สึก และเพื่อไตร่ตรอง” การนี้เกี่ยวข้องกับหลายสิ่งหลายอย่าง เป็นความรักแท้ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ เจ้าต้องรักและใส่ใจในพระองค์ด้วยหัวใจของเจ้า และระลึกถึงพระองค์อยู่เสมอ การนี้ไม่ได้หมายถึงเพียงกล่าวคำเหล่านี้ออกมาเท่านั้น อีกทั้งไม่ได้หมายถึงวิธีที่เจ้าแสดงออกถึงตัวเจ้าเองด้วยกิริยาท่าทางของเจ้า ตรงกันข้าม โดยหลักแล้วการนี้กลับหมายถึงการทำสิ่งทั้งหลายด้วยหัวใจ และการปล่อยให้หัวใจของเจ้ากำกับดูแลการกระทำทั้งปวงของเจ้า ในการทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ ย่อมไม่มีแรงจูงใจ ไม่มีการปลอมปน ไม่มีความระแวงสงสัย หัวใจเช่นนี้ปราศจากราคีกว่ามากนัก ความกังขาทั้งหลายในหัวใจของเจ้าแสดงออกมาอย่างไร? ความกังขาทั้งหลายแสดงออกมาเมื่อเจ้าคิดเสมอว่า “ถูกต้องหรือไม่ที่พระเจ้าทรงทำเช่นนี้? เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสดังนี้? หากไม่มีเหตุผลเบื้องหลังการที่พระเจ้าตรัสเช่นนี้ ฉันก็จะไม่เชื่อฟังการนี้ หากเป็นการไม่ยุติธรรมที่พระเจ้าจะทรงทำเช่นนี้ ฉันก็จะไม่เชื่อฟัง ในตอนนี้ฉันจะวางการนี้ไว้ก่อน” การไม่เก็บงำความกังขาทั้งหลายเอาไว้ย่อมหมายถึงการระลึกได้ว่าสิ่งใดก็ตามที่พระเจ้าตรัสและทรงทำย่อมถูกต้อง และกับพระเจ้าย่อมไม่มีถูกหรือผิด มนุษย์ต้องเชื่อฟังพระเจ้า คำนึงถึงพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และมีส่วนในพระดำริและความกังวลสนพระทัยทั้งหลายของพระองค์ ไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำดูเหมือนมีความหมายต่อเจ้าหรือไม่ เป็นที่ยอมรับได้ของมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของมนุษย์หรือไม่ และไม่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนี้เป็นที่เข้าใจได้สำหรับมนุษย์หรือไม่ เจ้าก็สามารถเชื่อฟังและมีหัวใจที่เคารพนบนอบต่อสิ่งเหล่านี้เสมอ การปฏิบัติเช่นนี้ไม่คล้อยตามความจริงหรอกหรือ? การปฏิบัติเช่นนี้ไม่ใช่การสำแดงและการปฏิบัติความรักหรอกหรือ? ด้วยเหตุนี้ จากพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและเจตนารมณ์เบื้องหลังถ้อยดำรัสของพระองค์ หากเจ้าไม่เข้าใจจุดมุ่งหมายและผลลัพธ์ที่พระวจนะของพระองค์ตั้งใจที่จะสัมฤทธิ์ หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งที่พระวจนะของพระองค์พยายามที่จะสำเร็จลุล่วงและทำให้มีความเพียบพร้อมในมนุษย์ หากเจ้าไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วไซร้ ก็พิสูจน์ว่าเจ้ายังไม่จับใจความความจริง เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสสิ่งที่พระองค์ตรัส? เหตุใดพระองค์จึงตรัสด้วยพระกระแสเสียงนั้น? เหตุใดพระองค์จึงทรงจริงจังและจริงพระทัยในทุกพระวจนะที่พระองค์ตรัส? เหตุใดพระองค์จึงทรงเลือกสรรที่จะใช้พระวจนะบางคำ? เจ้ารู้หรือไม่? หากเจ้าไม่อาจกล่าวได้อย่างแน่นอน ก็หมายความว่าเจ้าไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือเจตนารมณ์ของพระองค์ เจ้าไม่เข้าใจบริบทเบื้องหลังพระวจนะของพระองค์ หากเจ้าไม่จับใจความการนี้ เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะสามารถได้รับความจริงได้อย่างไร? การได้รับความจริงหมายถึงการเข้าใจความหมายของพระเจ้าโดยผ่านทางพระวจนะทุกคำที่พระองค์ตรัส หมายถึงการที่เจ้าสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติทันทีที่เจ้าเข้าใจพระวจนะเหล่านั้นแล้ว เพื่อที่เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าได้และให้พระวจนะกลายเป็นความเป็นจริงของเจ้า มีเพียงเมื่อเจ้ามีความเข้าใจอันถ้วนทั่วเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เจ้าจึงจะสามารถจับความเข้าใจในความจริง
ตัดตอนมาจาก “มีเพียงบรรดาผู้ที่มีความจริงความเป็นจริงเท่านั้นที่สามารถนำทางได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
หากเจ้าปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าให้ดี ก่อนอื่นเจ้าต้องเข้าใจความจริง และพยายามมากขึ้นที่จะแสวงหาความจริง ส่วนสำคัญยิ่งยวดอย่างหนึ่งในการแสวงหาความจริงคือการเรียนรู้วิธีที่จะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า จุดประสงค์ของการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าคือเพื่อทำความเข้าใจความหมายที่แท้จริงเบื้องหลังพระวจนะเหล่านี้ กล่าวคือ โดยผ่านทางการแสวงหา เจ้าจะมาเข้าใจความหมายของถ้อยดำรัสของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงพึงประสงค์ และสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระองค์ในพระวจนะเหล่านี้—นี่เองคือสิ่งที่เป็นความหมายของการเข้าใจความเป็นจริงของความจริง ทันทีที่เจ้าเข้าใจความเป็นจริงของความจริง เจ้าจะมีความสามารถที่จะจับความเข้าใจหลักธรรมแห่งการปฏิบัติ และดังนั้น เจ้าจึงจะบรรลุถึงการเข้าไปสู่ความจริงความเป็นจริง เจ้าจะได้รับความรู้แจ้งในเรื่องทั้งหลายที่เจ้าไม่เข้าใจมาก่อนหน้านี้ เจ้าจะได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกใหม่ๆ และสิ่งเหล่านั้นจะค่อยๆ กลายเป็นความเป็นจริงของเจ้าในหนทางนี้และโดยไม่รู้ตัว
ตัดตอนมาจาก “เส้นทางมาจากการไตร่ตรองความจริงบ่อยครั้ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
หากเจ้าปรารถนาที่จะไล่ตามเสาะหาความจริง หากเจ้าปรารถนาที่จะเข้าใจและได้มาซึ่งความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ต้องเรียนรู้วิธีที่จะเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า วิธีที่จะไตร่ตรองความจริง และวิธีที่จะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า มีพิธีการทั้งหลายให้ปฏิบัติตามเพื่อที่จะไตร่ตรองความจริงหรือไม่? มีกฎเกณฑ์ใดบ้างหรือไม่? มีข้อจำกัดด้านเวลาบ้างหรือไม่? เจ้าต้องทำการนั้นในสถานที่เฉพาะบางแห่งหรือไม่? ไม่—สามารถไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าในเวลาใดหรือสถานที่ใดก็ได้ หากพวกเจ้าใช้เวลากับความคิดว่างเปล่าตามปกติและความใจลอยเพ้อฝันของเจ้าให้น้อยลง และใช้ความคิดเพื่อไตร่ตรองความจริง เวลามากเพียงใดในหนึ่งวันที่จะไม่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์อันเป็นผลจากการนั้น? ผู้คนทำอะไรในตอนที่พวกเขาเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์? พวกเขาใช้เวลาทั้งวันคุยเล่นและซุบซิบนินทา ทำเฉพาะสิ่งที่พวกเขาสนใจเท่านั้น มีส่วนร่วมเฉพาะในเรื่องเหละแหละเหลวไหลเท่านั้น คิดถึงเฉพาะสิ่งที่ไร้ประโยชน์จากวันเวลาที่ผ่านไปแล้วเท่านั้น และจินตนาการว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับอนาคตของพวกเขา ราชอาณาจักรในอนาคตจะอยู่ที่ใด นรกอยู่ที่ใด—เหล่านี้ไม่ใช่ความเหลาะแหละเหลวไหลหรอกหรือ? หากเวลานี้ถูกใช้ไปในสิ่งทั้งหลายที่เป็นเชิงบวก หากเจ้าเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ใช้เวลาให้มากขึ้นในการไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าและการสามัคคีธรรมความจริง ทบทวนการกระทำแต่ละอย่างของเจ้า และเชิดชูการกระทำเหล่านั้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อให้พระองค์ทรงพินิจพิเคราะห์ แล้วจากนั้นก็มองดูว่า มีประเด็นปัญหาสำคัญใดบ้างหรือไม่ที่เจ้ายังไม่สามารถตระหนักหรือระบุชี้ได้ โดยพิจารณาดูเป็นพิเศษในด้านซึ่งวิกฤติเหล่านั้นที่เจ้าเป็นกบฏต่อพระเจ้ามากที่สุด และสำรวจค้นพระวจนะของพระเจ้าที่สอดคล้องตรงกันเพื่อแก้ไขสิ่งเหล่านั้น—เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็จะเข้าสู่ความเป็นจริงความจริงทีละน้อย
การไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวข้องกับอะไร? การนั้นเกี่ยวข้องกับการเชิดชูสิ่งที่เรียกว่าเป็นคำศัพท์และคำสอนฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งพวกเจ้าเปล่งถ้อยคำอยู่เนืองนิจ และหลักธรรมฝ่ายจิตวิญญาณในเรื่องของการปฏิบัติที่เจ้าเชื่ออยู่เนืองนิจว่าถูกต้อง และการอ่านเป็นคำอธิษฐานว่า “ข้าพระองค์เข้าใจชัดเจนในเรื่องทฤษฎีของวลีและศัพท์เฉพาะฝ่ายจิตวิญญาณ ข้าพเจ้ามีความเข้าใจดีถึงความหมายตามตัวอักษรของวลีและศัพท์เฉพาะเหล่านั้น แต่ความเป็นจริงของวลีและศัพท์เฉพาะเหล่านั้นคืออะไรเล่า? ข้าพระองค์จะนำวลีและศัพท์เฉพาะเหล่านั้นมาปฏิบัติอย่างไร?” นั่นเองคือวิธีที่จะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า เริ่มต้นจากแง่มุมนี้ หากเมื่อผู้คนเชื่อในพระเจ้า พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะไตร่ตรองพระวจนะของพระองค์ พวกเขาจะมีความลำบากยากเย็นอย่างยิ่งในการเข้าสู่และการเข้าใจความจริง หากผู้คนไม่สามารถที่จะเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาจะมีความสามารถที่จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงกระนั้นหรือ? หากพวกเขาไร้ความสามารถที่จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง พวกเขาสามารถได้รับความจริงกระนั้นหรือ? หากผู้คนไม่สามารถได้รับความจริง และไม่สามารถเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง พวกเขาสามารถสนองน้ำพระทัยของพระเจ้าได้กระนั้นหรือ? การนั้นคงจะลำบากยากเย็นอย่างยิ่ง จงดูพระวจนะซึ่งกล่าวซ้ำบ่อยครั้งที่ว่า “จงยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว” เป็นตัวอย่าง กล่าวคือ เจ้าต้องครุ่นคิดพระวจนะเหล่านี้ และพูดกับตัวเจ้าเองว่า “การยำเกรงพระเจ้าคืออะไร? หากฉันพูดบางสิ่งผิดไป นี่คือการยำเกรงพระเจ้าหรือไม่? การกล่าวเช่นนั้นเป็นการทำความชั่วหรือการทำความดี? การนั้นเป็นที่จดจำของพระเจ้าหรือไม่? การนั้นถูกกล่าวโทษโดยพระเจ้าหรือไม่? สิ่งใดบ้างที่เป็นความชั่ว? แนวคิด แรงจูงใจ ความคิด ทรรศนะของฉันเอง แรงผลักดันและต้นกำเนิดเบื้องหลังสิ่งทั้งหลายที่ฉันพูดและทำ อุปนิสัยสารพัดที่ฉันเปิดเผย—เหล่านี้ถูกพิจารณาว่าเป็นความชั่วหรือไม่? อันใดบ้างจากสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงเห็นชอบด้วย? อันใดบ้างที่พระเจ้าทรงเกลียด? อันใดบ้างที่พระเจ้าทรงกล่าวโทษ? ในเรื่องใดบ้างมีโอกาสสูงที่ฉันจะทำความผิดร้ายแรง?” ทั้งหมดนี้ควรค่าแก่การพิจารณา พวกเจ้าไตร่ตรองความจริงเป็นประจำหรือไม่? พวกเจ้าได้เสียเวลาไปมากเท่าใดแล้ว? พวกเจ้าได้ใช้ความคิดกับเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวกับความจริง เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้า เกี่ยวกับการเข้าสู่ชีวิต เกี่ยวกับการยำเกรงพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วไปกี่เรื่องแล้ว? เมื่อการที่เจ้าไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าหรือไตร่ตรองเรื่องทั้งหลายที่เกี่ยวกับความเชื่อในพระเจ้านั้นให้ดอกออกผล พวกเจ้าก็จะได้บรรลุถึงการเข้าสู่ชีวิต พวกเจ้ายังคงไม่รู้วิธีที่จะไตร่ตรองสิ่งเหล่านี้ในวันนี้ และพวกเจ้ายังไม่ได้บรรลุถึงการเข้าสู่ชีวิต เมื่อใครบางคนได้บรรลุถึงการเข้าสู่ชีวิต และมีความสามารถที่จะไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้า และใคร่ครวญถึงประเด็นปัญหาทั้งหลาย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ได้เริ่มที่จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริงแล้ว
ตัดตอนมาจาก “เส้นทางมาจากการไตร่ตรองความจริงบ่อยครั้ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
สิ่งใดคือพระวจนะของพระเจ้า? พระวจนะของพระเจ้าคือความเป็นจริงของทุกสรรพสิ่งที่เป็นบวก คือความจริง หนทาง และชีวิตที่พระเจ้าประทานแก่มนุษย์ พระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่หลักคำสอน คำขวัญ หรือข้อโต้แย้ง อีกทั้งไม่ใช่ปรัชญาหรือความรู้บางชนิด แต่พระวจนะของพระเจ้ากลับเกี่ยวข้องกับชีวิตและการดำรงอยู่ของมนุษย์ กับพฤติกรรมและอุปนิสัยของเขา กับทั้งหมดที่มนุษย์เผย และกับแนวคิดและความเห็นที่คิดฝันอยู่ในหัวใจของมนุษย์และดำรงอยู่ในจิตใจของเขาเสียมากกว่า หากการใคร่ครวญของเจ้าเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าแยกเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ และหากเจ้าแยกเป็นอิสระจากสิ่งเหล่านี้ขณะที่เจ้าอ่านพระวจนะของพระองค์และฟังคำเทศนา และสามัคคีธรรม เช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เจ้าสามารถเข้าใจได้ย่อมจะผิวเผินและจำกัด พวกเจ้าต้องเรียนรู้วิธีใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า การนี้สำคัญยิ่งยวด มีหลายวิธีที่จะใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า กล่าวคือ เจ้าอาจจะอ่านพระวจนะอย่างเงียบๆ และอธิษฐานในหัวใจของเจ้า โดยแสวงหาความรู้แจ้งและความกระจ่างจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ เจ้าอาจสามัคคีธรรมและอ่าน-อธิษฐานด้วยกันกับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงด้วย และแน่นอนว่าเจ้าอาจผสมกลมกลืนการสามัคคีธรรมและคำเทศนาเข้าไว้ในการใคร่ครวญของเจ้าเพื่อทำให้ความเข้าใจและความซึ้งคุณค่าของเจ้าในพระวจนะของพระเจ้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น หนทางมีมากมายและหลากหลาย โดยสังเขปแล้ว หากในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า คนคนหนึ่งปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ความเข้าใจในพระวจนะและในความจริง เช่นนั้นแล้วก็ย่อมสำคัญยิ่งยวดที่จะใคร่ครวญและอ่าน-อธิษฐานพระวจนะของพระเจ้า วัตถุประสงค์ของการอ่าน-อธิษฐานพระวจนะของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อสามารถสวดท่องพระวจนะได้ อีกทั้งไม่ใช่เพื่อท่องจำพระวจนะ หากแต่เพื่อได้รับความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำในพระวจนะเหล่านี้หลังจากที่ได้อ่าน-อธิษฐานและใคร่ครวญพระวจนะ และเพื่อรู้ความหมายของพระวจนะเหล่านี้ที่ตรัสโดยพระเจ้า รวมทั้งเจตนารมณ์ของพระองค์เสียมากกว่า เพื่อหาในที่นั้นให้พบเส้นทางที่คนคนหนึ่งควรปฏิบัติ และเพื่อหลีกเลี่ยงการหันเข้าหาหนทางของตนเอง นอกจากนี้ยังเป็นเพื่อให้สามารถหยั่งรู้ระหว่างสภาวะนานาชนิดกับผู้คนนานาจำพวกที่ล้วนได้รับการเผยในพระวจนะของพระเจ้า เพื่อให้สามารถหาพบเส้นทางฝึกฝนปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำที่จะใช้ปฏิบัติต่อบุคคลแต่ละจำพวก ทั้งยังเพื่อหลีกเลี่ยงการหลงผิดและก้าวเท้าลงบนเส้นทางที่พระเจ้าทรงชิงชังในเวลาเดียวกัน เมื่อเจ้าเรียนรู้วิธีอ่าน-อธิษฐานและวิธีใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า และทำการนั้นบ่อยครั้ง เมื่อนั้นเท่านั้นที่พระวจนะของพระเจ้าจะสามารถหยั่งรากในหัวใจของเจ้าและกลายเป็นชีวิตของเจ้า
ตัดตอนมาจาก การสามัคคีธรรมของพระเจ้า
ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินแง่มุมใดก็ตามของความเป็นจริงแห่งความจริง หากเจ้าพิจารณาสิ่งนั้นทั้งหมด นำพระวจนะเหล่านี้ไปดำเนินการในชีวิตของเจ้าเอง และรวมพระวจนะเหล่านี้เข้ากับการปฏิบัติของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วแน่นอนว่าเจ้าย่อมจะได้มาซึ่งบางสิ่ง และเจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง หากเจ้าเพียงแต่ยัดพระวจนะเหล่านี้เข้าไปในพุงของเจ้าและจดจำพระวจนะเหล่านี้ไว้ในสมองของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ฟังคำเทศนา เจ้าควรไตร่ตรองดังนี้ “พระวจนะเหล่านี้กำลังอ้างอิงถึงสภาวะจำพวกใด? พระวจนะเหล่านี้กำลังอ้างอิงถึงแง่มุมใดของแก่นแท้? ฉันควรใช้แง่มุมนี้ของความจริงกับในเรื่องใด? เมื่อใดก็ตามที่ฉันทำบางสิ่งที่สัมพันธ์กับแง่มุมนี้ของความจริง ฉันกำลังปฏิบัติโดยสอดคล้องกับแง่มุมนี้ของความจริงหรือไม่? และเมื่อฉันกำลังนำแง่มุมนี้ของความจริงไปปฏิบัติ สภาวะของฉันเหมาะสมกับพระวจนะเหล่าหรือไม่? หากไม่แล้วไซร้ ฉันควรแสวงหา สามัคคีธรรม หรือรอคอย?” พวกเจ้าปฏิบัติในลักษณะนี้ในชีวิตของพวกเจ้าหรือไม่? หากเจ้าไม่ปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วชีวิตของพวกเจ้าก็ปราศจากพระเจ้าและปราศจากความจริง พวกเจ้าใช้ชีวิตตามตัวอักษรและคำสอนหรือตามผลประโยชน์ ความมั่นใจ และความกระตือรือร้นของพวกเจ้าเอง พวกที่ไม่ครองความจริงในฐานะความเป็นจริงคือพวกที่ไม่มีความเป็นจริง และผู้คนที่ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นความเป็นจริงของพวกเขาคือผู้คนที่ไม่ได้เข้าสู่พระวจนะของพระองค์
ตัดตอนมาจาก “การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
หากผู้คนไม่ทุ่มความมานะพยายามเข้าไปในความจริง เช่นนั้นแล้ว ไม่ช้าก็เร็วพวกเขาจะล่มจม และพวกเขาจะดิ้นรนที่จะตั้งมั่น นี่เป็นเพราะเมื่อบททดสอบตกแก่พวกเขา วิธีแก้จะไม่อยู่ในตัวอักษรไม่กี่ตัวหรือคำสอนไม่กี่คำ ตัวอักษรและคำสอนทั้งหลายไม่สามารถแก้ปัญหาจริงได้! เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ชัดเจนเกี่ยวกับความจริงแต่ละประการ ขบคิดถึงปัญหาเหล่านั้นอยู่เป็นเนืองนิจ เพื่อให้เจ้าเข้าใจปัญหาเหล่านั้นในหัวใจของเจ้าและรู้จักปัญหาเหล่านั้นอย่างละเอียดทุกแง่มุม เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะรู้ว่าจะทำอะไรเมื่อบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า แต่เจ้าจะสามารถได้มาซึ่งความจริงเหล่านี้หรือ หากเจ้าไม่ให้การพิจารณาตรึกตรองอันใดต่อปัญหาเหล่านั้น? หากเจ้าไม่ไตร่ตรองปัญหาเหล่านั้น เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าเจ้าได้ยินมากเพียงใด หรือเจ้าสามารถกล่าวถึงปัญหาเหล่านั้นได้มากเพียงใด เจ้าย่อมจะไม่มีวันก้าวพ้นความหมายตามตัวอักษรของปัญหาเหล่านั้นเลย บ่อยครั้งที่ความหมายตามตัวอักษรเหล่านี้ให้ภาพลวงตาแก่เจ้าว่า ความเชื่อในพระเจ้าของเจ้าได้ให้ดอกผลเรียบร้อยแล้ว และว่าวุฒิภาวะของเจ้านั้นยิ่งใหญ่มาก เพราะเจ้ามีความปรารถนาที่แรงกล้าและมีพลังงาน—แต่ทันทีที่บางสิ่งเกิดขึ้นแก่เจ้า เจ้าจะค้นพบว่าความหมายตามตัวอักษรเหล่านี้ไม่สามารถรับประกันได้ว่าเจ้าผ่านพ้นบททดสอบและการทดสอบแต่ละอย่างไปได้อย่างราบรื่น บ่อยครั้งที่ผู้คนสับสนเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา โดยคิดว่า “ฉันควรทำอะไรเกี่ยวกับการนี้? ฉันต้องเร่งรีบและแสวงหาพระวจนะของพระเจ้าและระบุชี้ชัดถึงหลักธรรมนานาประการ นี่สอดคล้องกับแง่มุมใดของความจริงหรือ?” ในเวลาเช่นนั้นเอง เจ้าจึงจะตระหนักว่า เจ้าได้เตรียมตัวเจ้าเองให้พร้อมสรรพด้วยความจริงที่น้อยเกินไป ว่าเจ้าเข้าใจความจริงความเป็นจริงที่น้อยเกินไป บ่อยครั้งที่ผู้คนค้นพบการนี้ก็ต่อเมื่อพวกเขามีความต้องการที่จำเป็นเท่านั้น ในยามที่พวกเขาไม่มีความต้องการจำเป็น พวกเขาก็คิดเสมอว่า พวกเขาได้เตรียมตัวพวกเขาเองให้พร้อมสรรพด้วยความจริงมากมายเรียบร้อยแล้ว ว่าพวกเขานั้นเปี่ยมล้นไปด้วยความจริง พวกเขาเปี่ยมล้นไปด้วยสิ่งใดหรือ? ด้วยตัวอักษรและคำสอน ด้วยความผิวเผินทั้งหลาย พวกเขานั้นไม่ถูกต้องที่รู้สึกว่า พวกเขากำลังเปี่ยมล้นด้วยความจริง เมื่อเจ้ารู้สึกว่าเจ้ากำลังเปี่ยมล้นไปด้วยความจริง เจ้าย่อมอยู่ในอันตราย แต่เมื่อเจ้ารู้สึกว่าเจ้าไม่ใช่สิ่งใดเลย ว่ามีมากมายนักที่เจ้าไม่เข้าใจ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความสามารถที่จะใคร่ครวญวิธีที่จะเข้าสู่ หากเจ้าคิดเสมอว่าเจ้าครองความจริงเรียบร้อยแล้ว ว่าเจ้ากำลังเปี่ยมล้นไปด้วยความจริง ว่าเจ้ามีมากพอแล้ว ว่าเจ้ารู้จักตัวเจ้าเอง และรักพระเจ้า และสามารถทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้ว นี่คือสัญญาณของอันตราย ยิ่งเจ้าคิดเช่นนี้มากเท่าใด ก็ยิ่งพิสูจน์ให้เห็นมากขึ้นเท่านั้น ว่าเจ้าไม่เข้าใจสิ่งใดเลย ว่าเจ้าสิ้นไร้ซึ่งความจริงความเป็นจริง จงคิดให้รอบคอบเกี่ยวกับการนี้ จงเรียนรู้วิธีที่จะไตร่ตรองความจริง นี่คือส่วนที่สำคัญยิ่งในชีวิตของผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า
ตัดตอนมาจาก “เส้นทางมาจากการไตร่ตรองความจริงบ่อยครั้ง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
เชิงอรรถ:
ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีวลี “จากนิทานอุปมา”
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ