วิธีที่คนเราควรนำพระวจนะของพระเจ้าไปสู่การปฏิบัติเพื่อที่จะเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง

วันที่ 06 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

พระเจ้าไม่ได้ทรงพึงประสงค์ให้ผู้คนเพียงแต่มีความสามารถในการพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริง นั่นคงจะง่ายเกินไปไม่ใช่หรือ? เช่นนั้นแล้ว เหตุใดพระเจ้าจึงตรัสถึงการเข้าสู่ชีวิต? เหตุใดพระองค์จึงทรงพูดคุยเกี่ยวกับการแปลงสภาพ? หากผู้คนมีความสามารถเพียงแค่การพูดคุยอันว่างเปล่าเกี่ยวกับความเป็นจริง เมื่อนั้นพวกเขาจะสามารถสัมฤทธิ์การแปลงสภาพในอุปนิสัยของพวกเขาได้อย่างไร? ทหารที่ดีแห่งราชอาณาจักรไม่ได้รับการฝึกอบรมให้เป็นกลุ่มผู้คนที่เพียงแค่สามารถพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงหรืออวดตัวได้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาได้รับการฝึกอบรมให้ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าตลอดเวลา เพื่อที่จะยังคงมีใจเด็ดเดี่ยวต่อไป ไม่ว่าจะเผชิญกับความพลั้งพลาดอันใด และดำเนินชีวิตโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้าอยู่เป็นนิตย์ และไม่กลับคืนสู่ทางโลก นี่คือความเป็นจริงที่พระเจ้าตรัส นี่คือข้อพึงประสงค์ที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษย์ ฉะนั้น อย่ามองว่าความเป็นจริงที่พระเจ้าตรัสนั้นเรียบง่ายเกินไป แค่ความรู้แจ้งจากพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นไม่เทียบเท่ากับการครองความเป็นจริง เช่นนั้นไม่ใช่วุฒิภาวะของมนุษย์—นั่นเป็นพระคุณของพระเจ้า ซึ่งมนุษย์ไม่มีส่วนร่วมสนับสนุนอันใดเลย แต่ละบุคคลต้องสู้ทนความทุกข์ของเปโตร และยิ่งกว่านั้นคือ ครองสง่าราศีของเปโตรที่พวกเขาใช้ดำเนินชีวิตหลังจากที่พวกเขาได้รับพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว การนี้เท่านั้นจึงสามารถเรียกได้ว่าความเป็นจริง จงอย่าคิดว่าเจ้าครองความเป็นจริงเพียงเพราะว่าเจ้าสามารถพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริงได้ เพราะนั่นคือเหตุผลวิบัติ ความคิดเช่นนั้นไม่ได้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และไม่มีนัยสำคัญแท้จริงอันใดเลย จงอย่ากล่าวสิ่งทั้งหลายเช่นนั้นในอนาคต—จงดับคำกล่าวทั้งหลายเช่นนั้นเสียให้สิ้น! ผู้คนเหล่านั้นทั้งหมดที่มีความเข้าใจที่ผิดเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าคือพวกผู้ไม่เชื่อ พวกเขาไม่มีความรู้ที่เป็นจริงอันใด นับประสาอะไรที่จะมีวุฒิภาวะที่เป็นจริงอันใด พวกเขาเป็นผู้คนที่ไม่รู้เท่าทันซึ่งขาดความเป็นจริง อีกนัยหนึ่ง คนเหล่านั้นทั้งหมดที่ดำเนินชีวิตอยู่ภายนอกแก่นแท้แห่งพระวจนะของพระเจ้าคือผู้ไม่เชื่อ พวกที่ผู้คนถือว่าเป็นผู้ไม่เชื่อคือสัตว์ร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า และพวกที่พระเจ้าทรงถือว่าเป็นผู้ไม่เชื่อคือผู้คนที่ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นชีวิตของพวกเขา ดังนั้นเอง จึงกล่าวได้ว่าพวกที่ไม่ได้ครองความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า และผู้ที่ล้มเหลวต่อการใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้าก็คือผู้ไม่เชื่อ เจตนารมณ์ของพระเจ้าคือการทำให้ทุกคนใช้ชีวิตตามความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์—ไม่ใช่แค่ให้ทุกคนพูดคุยเกี่ยวกับความเป็นจริง แต่ยิ่งกว่านั้นก็คือทำให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตตามความเป็นจริงจากพระวจนะของพระองค์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เฉพาะการนำความเป็นจริงมาปฏิบัติเท่านั้นที่เป็นการครองความเป็นจริง

อะไรคือสิ่งสำคัญที่สุดในการปฏิบัติความจริง? ไม่ใช่ว่าก่อนอื่นเจ้าต้องจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายหรอกหรือ? อะไรหรือคือหลักธรรม? หลักธรรมก็คือด้านที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของความจริง เมื่อเจ้าอ่านประโยคหนึ่งของพระวจนะของพระเจ้า เจ้าคิดว่าประโยคนั้นคือความจริง แต่เจ้าไม่จับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายภายในความจริงนั้น เจ้ารู้สึกว่าประโยคนั้นถูกต้อง แต่เจ้าไม่รู้ว่าประโยคนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงในหนทางใด หรือสภาวะใดที่ประโยคนั้นหมายที่จะจัดการแก้ไข เจ้าไม่สามารถจับความเข้าใจหลักธรรมทั้งหลายของประโยคนั้นหรือเส้นทางแห่งการปฏิบัติตามประโยคนั้นได้ สำหรับเจ้า ความจริงนี้ที่เจ้าได้ล่วงรู้เป็นเพียงแค่คำสอน อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เจ้าจับความเข้าใจความเป็นจริงของความจริงของประโยคนั้น ตลอดจนสิ่งที่เป็นข้อพึงประสงค์ของพระเจ้านั้น—หากเจ้าเข้าใจสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริง และมีความสามารถที่จะจ่ายราคาและนำสิ่งเหล่านั้นไปสู่การปฏิบัติได้—เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะได้รับความจริงนั้น ขณะที่เจ้าได้รับความจริงนั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าก็ได้รับการแก้ไขทีละเล็กละน้อย และความจริงนั้นก็ได้รับการหลอมรวมเข้าไปในตัวเจ้าแล้ว เมื่อเจ้ามีความสามารถที่จะนำความเป็นจริงของความจริงไปสู่การปฏิบัติ และเมื่อการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า การกระทำของทุกอย่างของเจ้า และการประพฤติของเจ้าในฐานะบุคคลหนึ่งนั้นมีพื้นฐานอยู่บนหลักธรรมทั้งหลายของการปฏิบัติความจริงนี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ได้ถูกทำให้เปลี่ยนแปลงไปหรอกหรือ? เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าได้กลายเป็นใครคนหนึ่งซึ่งครองความเป็นจริงของความจริง ใครคนหนึ่งซึ่งครองความเป็นจริงของความจริงไม่ใช่คนเดียวกันกับใครคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมหรอกหรือ? และใครคนหนึ่งซึ่งปฏิบัติตนด้วยหลักธรรมไม่ใช่คนเดียวกันกับใครคนหนึ่งซึ่งครองความจริงหรอกหรือ? ใครคนหนึ่งซึ่งครองความจริงไม่มีความสามารถที่จะคล้อยตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้ด้วยเช่นกันหรอกหรือ? นั่นเองคือวิธีที่สิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กัน

ตัดตอนมาจาก การสามัคคีธรรมของพระเจ้า

ไม่ว่าเจ้าจะได้ยินแง่มุมใดก็ตามของความเป็นจริงแห่งความจริง หากเจ้าพิจารณาสิ่งนั้นทั้งหมด นำพระวจนะเหล่านี้ไปดำเนินการในชีวิตของเจ้าเอง และรวมพระวจนะเหล่านี้เข้ากับการปฏิบัติของเจ้าเอง เช่นนั้นแล้วแน่นอนว่าเจ้าย่อมจะได้มาซึ่งบางสิ่ง และเจ้าย่อมมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลง หากเจ้าเพียงแต่ยัดพระวจนะเหล่านี้เข้าไปในพุงของเจ้าและจดจำพระวจนะเหล่านี้ไว้ในสมองของเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าย่อมจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ในขณะที่ฟังคำเทศนา เจ้าควรไตร่ตรองดังนี้ “พระวจนะเหล่านี้กำลังอ้างอิงถึงสภาวะจำพวกใด? พระวจนะเหล่านี้กำลังอ้างอิงถึงแง่มุมใดของแก่นแท้? ฉันควรใช้แง่มุมนี้ของความจริงกับในเรื่องใด? เมื่อใดก็ตามที่ฉันทำบางสิ่งที่สัมพันธ์กับแง่มุมนี้ของความจริง ฉันกำลังปฏิบัติโดยสอดคล้องกับแง่มุมนี้ของความจริงหรือไม่? และเมื่อฉันกำลังนำแง่มุมนี้ของความจริงไปปฏิบัติ สภาวะของฉันเหมาะสมกับพระวจนะเหล่าหรือไม่? หากไม่แล้วไซร้ ฉันควรแสวงหา สามัคคีธรรม หรือรอคอย?” พวกเจ้าปฏิบัติในลักษณะนี้ในชีวิตของพวกเจ้าหรือไม่? หากเจ้าไม่ปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วชีวิตของพวกเจ้าก็ปราศจากพระเจ้าและปราศจากความจริง พวกเจ้าใช้ชีวิตตามตัวอักษรและคำสอนหรือตามผลประโยชน์ ความมั่นใจ และความกระตือรือร้นของพวกเจ้าเอง พวกที่ไม่ครองความจริงในฐานะความเป็นจริงคือพวกที่ไม่มีความเป็นจริง และผู้คนที่ไม่มีพระวจนะของพระเจ้าเป็นความเป็นจริงของพวกเขาคือผู้คนที่ไม่ได้เข้าสู่พระวจนะของพระองค์ พวกเจ้าเข้าใจสิ่งที่เรากำลังกล่าวหรือไม่? เป็นการดีที่สุดหากพวกเจ้ากำลังเข้าใจอยู่ แต่โดยไม่คำนึงถึงว่าสิ่งที่เจ้าเข้าใจในสิ่งเหล่านั้นคืออะไร และว่าเจ้าได้จับใจความถึงสิ่งที่เจ้าได้ยินมาแล้วมากเพียงใด สิ่งสำคัญยิ่งยวดก็คือว่า เจ้ามีความสามารถที่จะนำสิ่งที่เจ้าได้จับความเข้าใจเข้าไปในชีวิตของเจ้าและนำสิ่งนั้นไปปฏิบัติ เมื่อนั้นเท่านั้นวุฒิภาวะของเจ้าจึงจะมีความสามารถที่จะเติบโต และเมื่อนั้นเท่านั้นการเปลี่ยนแปลงทั้งหลายจึงจะเกิดขึ้นในอุปนิสัยของเจ้า

ตัดตอนมาจาก “การฝึกฝนปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของการเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การเข้าไปสู่ความจริงความเป็นจริงไม่ใช่เรื่องที่เรียบง่าย กุญแจสำคัญก็คือการมุ่งเน้นที่การแสวงหาความจริงและการนำความจริงไปปฏิบัติ เจ้าต้องยึดสิ่งเหล่านี้ไว้ในหัวใจของเจ้าทุกวัน ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญกับปัญหาใด จงอย่าปกป้องผลประโยชน์ของเจ้าเองอยู่เสมอ ในทางตรงกันข้าม จงเรียนรู้ที่จะแสวงหาความจริงและทบทวนตัวเอง ไม่สำคัญว่าความเสื่อมทรามใดจะถูกเปิดเผยในตัวเจ้า เจ้าไม่สามารถปล่อยให้ความเสื่อมทรามเหล่านั้นผ่านพ้นไปโดยไม่ตรวจ จะเป็นการดีที่สุดหากเจ้าสามารถทบทวนและระลึกได้ถึงแก่นแท้ที่เสื่อมทรามของเจ้า หากในสถานการณ์ทั่วไปในชีวิตประจำวัน ความคิดของเจ้าวนเวียนอยู่กับวิธีที่จะแก้ไขอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของเจ้า วิธีที่จะปฏิบัติความจริง และสิ่งที่เป็นหลักการทั้งหลายของความจริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็สามารถเรียนรู้วิธีที่จะใช้ความจริงเพื่อแก้ไขปัญหาของเจ้าโดยสอดคล้องกับพระวจนะของพระเจ้า ในการทำเช่นนั้น เจ้าจะค่อยๆ เข้าสู่ความเป็นจริงทีละน้อย หากจิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยความคิดเกี่ยวกับวิธีที่จะบรรลุตำแหน่งซึ่งสูงกว่า หรือสิ่งที่จะทำต่อหน้าผู้อื่นเพื่อให้พวกเขาเลื่อมใสเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็กำลังอยู่บนเส้นทางที่ผิด มันหมายความว่า เจ้ากำลังทำสิ่งทั้งหลายเพื่อซาตาน เจ้ากำลังทำการปรนนิบัติ หากจิตใจของเจ้าเต็มไปด้วยความคิดทั้งหลายซึ่งเกี่ยวกับวิธีที่จะเปลี่ยนแปลงเพื่อที่เจ้าจะเป็นเหมือนกับมนุษย์คนหนึ่งมากยิ่งขึ้นทุกที อยู่ในแนวเดียวกันกับเจตนารมณ์ของพระเจ้า มีความสามารถในการนบนอบต่อพระองค์และการเคารพพระองค์ และแสดงให้เห็นความยับยั้งชั่งใจและยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระองค์ในทุกสิ่งที่เจ้าทำ เช่นนั้นแล้ว สภาวะเงื่อนไขของเจ้าก็ย่อมจะดีขึ้นทุกที นี่เองคือความหมายของการเป็นคนที่ดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นจึงมีอยู่สองเส้นทาง เส้นทางหนึ่งนั้นก็แค่เน้นที่พฤติกรรม โดยการทำให้ความทะเยอทะยาน ความอยากได้อยากมี ความตั้งใจ และแผนการทั้งหลายลุล่วง นี่เป็นการดำรงชีวิตต่อหน้าซาตานและเป็นการดำรงชีวิตอยู่ภายใต้แดนครอบครองของมัน อีกเส้นทางเน้นวิธีที่จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า เข้าสู่ความเป็นจริงของความจริง นบนอบต่อพระเจ้า และไม่มีมโนคติที่ไม่ถูกต้องหรือความไม่เชื่อฟังต่อพระองค์ เพื่อที่คนเราจะเคารพพระเจ้า และปฏิบัติหน้าที่ของคนเราเป็นอย่างดี นี่เองคือความหมายของการดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “คนเราสามารถครองสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้โดยการปฏิบัติความจริงเท่านั้น” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ผู้คนที่สละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างแท้จริงแผ่วางความเป็นอยู่ทั้งหมดทั้งมวลของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขานบนอบต่อถ้อยดำรัสทั้งปวงของพระองค์อย่างแท้จริง และมีความสามารถที่จะนำพระวจนะของพระองค์มาปฏิบัติ พวกเขาทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นรากฐานแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา และพวกเขามีความสามารถที่จะค้นคว้าอย่างจริงจังจริงใจภายในพระวจนะของพระเจ้าเพื่อค้นหาส่วนที่จะนำไปปฏิบัติให้พบ เช่นนั้นคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอย่างแท้จริง หากสิ่งที่เจ้าทำเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของเจ้า และเจ้าสามารถเติมเต็มความต้องการและความขาดตกบกพร่องภายในของเจ้าได้โดยผ่านการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าจนอุปนิสัยชีวิตของเจ้าได้แปลงสภาพไป เมื่อนั้น การนี้จะสนองน้ำพระทัยของพระเจ้า หากเจ้ากระทำการโดยสอดคล้องกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า และหากเจ้าไม่ทำความพึงพอใจให้แก่เนื้อหนังแต่สนองน้ำพระทัยของพระองค์แทน เช่นนั้นแล้ว ในการนี้เจ้าย่อมจะได้เข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์ เมื่อพูดถึงการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าอย่างสมจริงมากขึ้น มันหมายความว่าเจ้าสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและทำตามข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าได้ มีเพียงการกระทำที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจำพวกนี้เท่านั้นที่สามารถเรียกได้ว่าการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์ หากเจ้ามีความสามารถที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงได้แล้วไซร้ เจ้าย่อมจะครองความจริง นี่คือจุดเริ่มต้นของการเข้าสู่ความเป็นจริง เจ้าต้องเข้ารับการฝึกฝนนี้ก่อน และเมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะมีความสามารถที่จะเข้าสู่ความเป็นจริงที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นได้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริงคือบรรดาผู้ที่สามารถนบนอบโดยสมบูรณ์ต่อการทรงภาคชีวิตจริงของพระองค์

ตั้งแต่ที่ผู้คนเริ่มเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ได้เก็บงำเจตนาทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องเอาไว้มากมาย เมื่อเจ้าไม่นำความจริงไปปฏิบัติ เจ้ารู้สึกว่าเจตนาทั้งหมดของเจ้านั้นถูกต้อง แต่เมื่อบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับเจ้า เจ้าจะเห็นว่ามีเจตนาทั้งหลายที่ไม่ถูกต้องมากมายภายในตัวเจ้า ด้วยเหตุนี้ เมื่อพระเจ้าทรงทำให้มนุษย์มีความเพียบพร้อม พระองค์ทรงทำให้พวกเขาตระหนักว่ามีมโนคติอันหลงผิดมากมายภายในตัวพวกเขาที่กำลังปิดกั้นความรู้เรื่องพระเจ้าของพวกเขา เมื่อเจ้าตระหนักว่าเจตนาทั้งหลายของเจ้านั้นผิด หากเจ้าสามารถหยุดการปฏิบัติตามมโนคติอันหลงผิดและเจตนาทั้งหลายของเจ้า และสามารถเป็นคำพยานต่อพระเจ้า และตั้งมั่นในตำแหน่งของเจ้าในทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้า นี่พิสูจน์ว่าเจ้าได้กบฏต่อเนื้อหนังแล้ว เมื่อเจ้ากบฏต่อเนื้อหนัง จะมีการสู้รบภายในตัวเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซาตานจะพยายามทำให้ผู้คนติดตามมัน จะพยายามทำให้พวกเขาติดตามมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของเนื้อหนังและค้ำจุนผลประโยชน์ทั้งหลายของเนื้อหนัง—แต่พระวจนะของพระเจ้าจะให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างแก่ผู้คนภายใน และ ณ เวลานี้ก็ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้วว่าเจ้าจะติดตามพระเจ้าหรือติดตามซาตาน พระเจ้าทรงขอให้ผู้คนนำความจริงไปปฏิบัติเพื่อจัดการกับสิ่งทั้งหลายภายในตัวพวกเขาเป็นหลัก เพื่อจัดการกับความคิดทั้งหลายและมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของพวกเขาที่ไม่ได้ดังพระทัยของพระเจ้า พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสัมผัสผู้คนในหัวใจของพวกเขาและทรงให้ความรู้แจ้งและให้ความกระจ่างแก่พวกเขา ดังนั้นเบื้องหลังทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็คือการสู้รบ กล่าวคือ ทุกครั้งที่ผู้คนนำความจริงไปปฏิบัติ หรือนำความรักพระเจ้าไปปฏิบัติ จะมีการสู้รบที่ยิ่งใหญ่ และแม้ว่าทุกคนจะดูเหมือนสบายดีด้วยเนื้อหนังของพวกเขา แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาการสู้รบระหว่างชีวิตและความตายจะดำเนินต่อไป—และหลังจากการสู้รบอันหนักหน่วงนี้ หลังจากการตรึกตรองในปริมาณที่มากมายมหาศาลแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถตัดสินการมีชัยชนะหรือการพ่ายแพ้ได้ คนเราไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี เพราะเจตนามากภายในผู้คนนั้นผิด หรือไม่ก็เพราะส่วนมากของพระราชกิจของพระเจ้านั้นไม่ลงรอยกันกับมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของพวกเขา เมื่อผู้คนนำความจริงไปปฏิบัติ การสู้รบที่ยิ่งใหญ่จึงเกิดเบื้องหลังฉาก เมื่อนำความจริงนี้ไปปฏิบัติแล้ว เบื้องหลังฉาก ผู้คนจะได้หลั่งน้ำตาแห่งความเศร้านับไม่ถ้วนก่อนที่ท้ายที่สุดพวกเขาจะได้ตัดสินใจที่จะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย เป็นเพราะการสู้รบครั้งนี้นี่เองที่ผู้คนทนกับความทุกข์และกระบวนการถลุง นี่คือความทุกข์ที่แท้จริง เมื่อการสู้รบนั้นมาถึงเจ้า หากเจ้าสามารถยืนในฝ่ายของพระเจ้าได้อย่างแท้จริง เจ้าจะสามารถทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยได้ ในขณะที่ปฏิบัติความจริง หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่คนเราจะทนทุกข์ภายใน หากเมื่อผู้คนนำความจริงไปปฏิบัติ ทุกสิ่งทุกอย่างภายในพวกเขานั้นถูกต้อง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็คงจะไม่จำเป็นต้องให้พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อม และคงจะไม่มีการสู้รบ และพวกเขาคงจะไม่ทนทุกข์ เป็นเพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างภายในตัวผู้คนที่ไม่เหมาะจะให้พระเจ้าทรงใช้งาน และเพราะมีอุปนิสัยอันเป็นกบฏส่วนมากของเนื้อหนังนั่นเอง ผู้คนจึงจำเป็นต้องเรียนรู้บทเรียนของการเป็นกบฏต่อเนื้อหนังอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกว่าความทุกข์ซึ่งพระองค์ได้ทรงขอให้มนุษย์ก้าวผ่านไปกับพระองค์ เมื่อเจ้าเผชิญกับความยากลำบากทั้งหลาย จงเร่งรีบแล้วอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะสู้ทนความยากลำบากขั้นสุดท้ายเพื่อทำให้สมดังพระทัยของพระองค์ และไม่ว่าข้าพระองค์จะเผชิญกับความล้มเหลวทั้งหลายที่ใหญ่หลวงเพียงใดก็ตาม ข้าพระองค์จะยังคงต้องทำให้พระองค์พึงพอพระทัย แม้ว่าข้าพระองค์จำต้องละวางทั้งชีวิตของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะยังคงต้องทำให้พระองค์พึงพอพระทัย!” ด้วยการตัดสินใจที่แน่วแน่นี้ เมื่อเจ้าอธิษฐานดังนั้น เจ้าจะสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าได้ แต่ละครั้งที่พวกเขานำความจริงไปปฏิบัติ แต่ละครั้งที่พวกเขาก้าวผ่านกระบวนการถลุง แต่ละครั้งที่พวกเขาถูกทดสอบ และแต่ละครั้งที่พระราชกิจของพระเจ้ามาถึงพวกเขา ผู้คนต้องสู้ทนความเจ็บปวดสุดขีด ทั้งหมดนี้เป็นการทดสอบสำหรับผู้คน และดังนั้นภายในตัวพวกเขาทั้งหมดจึงมีการสู้รบ นี่คือราคาจริงที่พวกเขาจ่าย การอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้นและการวิ่งวุ่นดำเนินงานมากขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของราคานั้น มันคือสิ่งผู้คนควรที่จะทำ มันคือหน้าที่ของพวกเขา และความรับผิดชอบที่พวกเขาควรทำให้สำเร็จลุล่วง แต่ผู้คนต้องละวางสิ่งที่อยู่ภายในตัวพวกเขาซึ่งจำเป็นต้องถูกละวาง หากเจ้าไม่ทำ เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าความทุกข์ภายนอกของเจ้าจะใหญ่หลวงเพียงใด ไม่สำคัญว่าเจ้าจะยุ่งกับการทำงานหลายอย่างมากเพียงใด ทั้งหมดจะสูญเปล่า! กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงทั้งหลายภายในตัวเจ้าเท่านั้นที่สามารถกำหนดพิจารณาว่าความยากลำบากภายนอกของเจ้านั้นมีค่าหรือไม่ เมื่ออุปนิสัยภายในของเจ้าได้เปลี่ยนไปและเจ้าได้นำความจริงไปปฏิบัติ เช่นนั้นแล้วความทุกข์ภายนอกทั้งหมดของเจ้าจะได้รับการรับรองจากพระเจ้า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยภายในของเจ้า เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าเจ้าจะสู้ทนความทุกข์มากมายเพียงใดหรือเจ้าจะวิ่งวุ่นทำงานกับเรื่องภายนอกมากเพียงใด จะไม่มีการรับรองจากพระเจ้า—และความยากลำบากที่ไม่ได้รับการยืนยันจากพระเจ้าก็จะสูญเปล่า ด้วยเหตุนี้ การที่ราคาที่เจ้าได้จ่ายไปแล้วจะได้รับการรับรองจากพระเจ้าหรือไม่นั้น จะกำหนดพิจารณาจากการที่มีการเปลี่ยนแปลงในตัวเจ้าหรือไม่ และจากการที่ว่าเจ้านำความจริงไปปฏิบัติและกบฏต่อเจตนาทั้งหลายและมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของเจ้าเองเพื่อให้ได้มาซึ่งความพึงพอพระทัยจากน้ำพระทัยพระเจ้า ความรู้เรื่องพระเจ้า และความจงรักภักดีต่อพระเจ้าหรือไม่ ไม่สำคัญว่าเจ้าจะวิ่งวุ่นดำเนินงานมากมายเพียงใด หากเจ้าไม่เคยรู้จักที่จะกบฏต่อเจตนาทั้งหลายของเจ้าเอง แต่เพียงแค่แสวงหาการกระทำทั้งหลายและความศรัทธาแรงกล้าภายนอกเท่านั้น และไม่เคยให้ความสนใจใดๆ ต่อชีวิตของเจ้า เช่นนั้นแล้วความยากลำบากของเจ้าก็จะสูญเปล่า หากในสภาพแวดล้อมบางอย่าง เจ้ามีบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องการพูด แต่ภายในแล้วเจ้ารู้สึกว่าการพูดมันออกมานั้นไม่ถูกต้อง รู้สึกว่าการพูดมันออกมานั้นไม่เป็นประโยชน์ต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงของเจ้าและอาจทำให้พวกเขาเจ็บปวดได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่พูดมันออกมา โดยเลือกที่จะเจ็บปวดอยู่ภายใน เพราะคำพูดเหล่านี้ไร้ความสามารถที่จะสนองน้ำพระทัยพระเจ้าได้ ณ เวลานี้ จะมีการสู้รบภายในตัวเจ้า แต่เจ้าจะเต็มใจที่จะทนทุกข์กับความเจ็บปวดและละวางสิ่งซึ่งเจ้ารัก เจ้าจะเต็มใจสู้ทนความยากลำบากนี้เพื่อทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และแม้ว่าเจ้าจะทนทุกข์กับความเจ็บภายใน เจ้าจะไม่ตามใจเนื้อหนัง และพระทัยของพระเจ้าจะได้พึงพอพระทัย และดังนั้นเจ้าจะได้รับการปลอบใจอยู่ภายในด้วยเช่นกัน นี่คือการจ่ายราคาอย่างแท้จริง และคือราคาที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนา หากเจ้าปฏิบัติในหนทางนี้ พระเจ้าจะทรงอำนวยพรเจ้าอย่างแน่นอน หากเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์การนี้ได้ เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเข้าใจมากเพียงใด หรือเจ้าจะสามารถพูดได้ดีเพียงใด ทั้งหมดนั้นจะไม่มีประโยชน์อันใดเลย! หากบนถนนไปสู่การรักพระเจ้า เจ้าสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของพระเจ้าได้เมื่อพระองค์ทรงสู้รบกับซาตาน และเจ้าไม่หวนกลับไปหาซาตาน เช่นนั้นแล้ว เจ้าจะได้บรรลุการรักพระเจ้า และเจ้าจะได้ตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง

กล่าวโดยสรุป การรับเอาเส้นทางของเปโตรในความเชื่อของคนเราหมายถึงการเดินบนเส้นทางของการไล่ตามเสาะหาความจริง ซึ่งยังเป็นเส้นทางของการได้รู้จักตนเองและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของตนเองอย่างแท้จริงเช่นกัน มีเพียงโดยการเดินบนเส้นทางของเปโตรเท่านั้นคนเราจึงจะอยู่บนเส้นทางของการได้รับการทำให้เพียบพร้อมโดยพระเจ้า คนเราต้องชัดเจนเกี่ยวกับวิธีเดินบนเส้นทางของเปโตรโดยแน่ชัด ตลอดจนวิธีนำการนั้นไปปฏิบัติ ก่อนอื่น คนเราต้องละวางเจตนาของคนเราเอง การไล่ตามเสาะหาที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม และแม้กระทั่งครอบครัวและทุกสรรพสิ่งของเนื้อหนังของคนเราเอง คนเราต้องอุทิศโดยสุดหัวใจ กล่าวคือ คนเราต้องอุทิศตัวเองแก่พระวจนะของพระเจ้าโดยสุดหัวใจ มุ่งความสนใจไปที่การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า จดจ่ออยู่กับการค้นหาความจริงและการค้นหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ และพยายามจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าในทุกสิ่งทุกอย่าง นี่เป็นวิธีการปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานและสำคัญยิ่งยวด นี่คือสิ่งที่เปโตรทำหลังจากที่ได้เห็นพระเยซู และเป็นเพียงโดยการปฏิบัติในหนทางนี้เท่านั้นคนเราจึงจะสามารถสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้ การอุทิศโดยสุดหัวใจต่อพระวจนะของพระเจ้าโดยหลักแล้วเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความจริง การแสวงหาเจตนารมณ์ของพระเจ้าภายในพระวจนะของพระองค์ มุ่งความสนใจไปที่การจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า และการเข้าใจและการได้มาซึ่งความจริงมากขึ้นจากพระวจนะของพระเจ้า เมื่ออ่านพระวจนะของพระองค์ เปโตรไม่ได้มุ่งความสนใจไปที่การเข้าใจคำสอน นับประสาอะไรที่เขาจะมุ่งความสนใจไปที่การได้มาซึ่งความรู้ทางเทววิทยา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขาจดจ่ออยู่กับการจับใจความความจริงและการจับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ตลอดจนการสัมฤทธิ์ความเข้าใจพระอุปนิสัยของพระองค์และความดีงามของพระองค์ เปโตรยังได้พยายามที่จะเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามหลากหลายของมนุษย์จากพระวจนะของพระเจ้าเช่นกัน ตลอดจนธรรมชาติอันเสื่อมทรามและข้อบกพร่องจริงแท้ของมนุษย์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นการทำตามแง่มุมทั้งหมดของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์เพื่อที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัย เปโตรมีการปฏิบัติที่ถูกต้องมากมายเหลือเกินที่ยึดปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า การนี้อยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้ามากที่สุด และนั่นเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่บุคคลหนึ่งจะสามารถร่วมมือได้ในขณะที่ได้รับประสบการณ์กับพระราชกิจของพระเจ้า เมื่อได้รับประสบการณ์กับการทดสอบหลายร้อยครั้งจากพระเจ้า เปโตรได้ตรวจสอบตัวเขาเองอย่างเข้มงวดโดยอิงทุกพระวจนะแห่งการพิพากษามนุษย์ของพระเจ้า ทุกพระวจนะแห่งวิวรณ์เกี่ยวกับมนุษย์ของพระเจ้า และทุกพระวจนะแห่งข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อมนุษย์ และเพียรพยายามที่จะหยั่งลึกความหมายของพระวจนะเหล่านั้น เขาพยายามอย่างจริงจังจริงใจที่จะไตร่ตรองและจดจำทุกพระวจนะที่พระเยซูตรัสกับเขา และได้สัมฤทธิ์ผลลัพธ์ที่ดีมาก โดยผ่านทางการปฏิบัติลักษณะนี้ เขาสามารถสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเขาเองจากพระวจนะของพระเจ้า และเขาไม่เพียงมาเข้าใจสภาวะอันเสื่อมทรามหลากหลายของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมาเข้าใจแก่นแท้ ธรรมชาติ และข้อบกพร่องทั้งหลายของมนุษย์เช่นกัน นี่คือความหมายของการเข้าใจตัวเองอย่างแท้จริง จากพระวจนะของพระเจ้า เปโตรไม่เพียงสัมฤทธิ์ความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวเขาเองเท่านั้น แต่จากสิ่งทั้งหลายที่แสดงออกในพระวจนะของพระเจ้า—พระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า สิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น น้ำพระทัยของพระเจ้าสำหรับพระราชกิจของพระองค์ ข้อพึงประสงค์ของพระองค์ต่อมวลมนุษย์—จากพระวจนะเหล่านี้เขาได้มารู้จักพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ เขาได้มารู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้า และเนื้อแท้ของพระองค์ เขาได้มารู้จักและเข้าใจสิ่งที่พระเจ้าทรงมีและทรงเป็น ตลอดจนความดีงามของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมนุษย์ แม้ว่าพระเจ้าไม่ได้ตรัสในตอนนั้นมากเท่ากับที่พระองค์ตรัสในวันนี้ กระนั้นก็ตามผลลัพธ์ในแง่มุมเหล่านี้ก็สัมฤทธิ์ในเปโตร นี่คือสิ่งที่หายากและล้ำค่าสิ่งหนึ่ง เปโตรได้ก้าวผ่านการทดสอบหลายร้อยครั้ง แต่ไม่ได้ทนทุกข์โดยสูญเปล่า เขาไม่เพียงได้มาเข้าใจตัวเขาเองจากพระวจนะและพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น แต่เขายังได้มารู้จักพระเจ้าเช่นกัน นอกจากนี้ เขาได้มุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่ข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าต่อมวลมนุษย์ภายในพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าจะในแง่มุมใดก็ตามที่มนุษย์ควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยเพื่ออยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า เปโตรสามารถทุ่มเทความพยายามอันยิ่งใหญ่ออกไปในแง่มุมเหล่านั้นและสัมฤทธิ์ความกระจ่างชัดเต็มที่ นี่เป็นประโยชน์อย่างที่สุดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการเข้าสู่ของเขาเอง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าได้ตรัสถึงสิ่งใด ตราบเท่าที่พระวจนะเหล่านั้นสามารถกลายเป็นชีวิตของเขาได้และพระวจนะเหล่านั้นเป็นของความจริง เปโตรสามารถสลักพระวจนะเหล่านั้นไว้ในหัวใจของเขาเพื่อไตร่ตรองและซึ้งคุณค่าพระวจนะเหล่านั้นได้เป็นนิจศีล หลังจากที่ได้ยินพระวจนะของพระเยซู เขาก็สามารถเก็บพระวจนะเหล่านั้นไปคิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามุ่งความสนใจเป็นพิเศษไปที่พระวจนะของพระเจ้า และเขาสัมฤทธิ์ผลลัพธ์ในที่สุดอย่างแท้จริง กล่าวคือ เขาสามารถนำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติได้อย่างเป็นอิสระ ปฏิบัติตามความจริงและอยู่ในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างถูกต้องแม่นยำ กระทำการโดยสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระเจ้าได้โดยทั้งหมดทั้งมวล และละวางความคิดเห็นและจินตนาการส่วนตัวของเขาเอง ในหนทางนี้ เปโตรได้เข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “วิธีเดินบนเส้นทางของเปโตร” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger