สิ่งที่เป็นการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และสิ่งที่เป็นความแตกต่างระหว่างการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กับการปฏิบัติความจริง

วันที่ 06 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

สิ่งที่มนุษย์ต้องสัมฤทธิ์ผลในตอนนี้สอดคล้องกันกับสภาวะจริงของมนุษย์ในวันนี้ เป็นไปตามขีดความสามารถและวุฒิภาวะจริงของมนุษย์ยุคปัจจุบัน และมันไม่พึงประสงค์ให้เจ้าต้องปฏิบัติตามกฎทั้งหลาย การนี้เป็นไปเพื่อที่ว่าอาจจะมีการสัมฤทธิ์ผลการเปลี่ยนแปลงในธรรมชาติเก่าๆ ของเจ้าได้ และเพื่อที่เจ้าอาจจะละทิ้งมโนคติอันหลงผิดทั้งหลายของเจ้าไปเสีย เจ้าคิดว่าพระบัญญัติคือกฎหรือ? อาจกล่าวได้ว่าพวกมันเป็นข้อพึงประสงค์ปกติของมนุษย์ พวกมันไม่ใช่กฎที่เจ้าต้องปฏิบัติตาม ดูการห้ามสูบบุหรี่เป็นตัวอย่าง—นั่นคือกฎหรือ? มันไม่ใช่กฎ! มันเป็นข้อพึงประสงค์ของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ มันไม่ใช่กฎ แต่เป็นบางสิ่งบางอย่างที่กำหนดเป็นเงื่อนไขสำหรับมวลมนุษย์ทั้งหมด วันนี้ พระบัญญัติสิบกว่าประการที่ได้ถูกกำหนดไว้แล้วนั้นก็ไม่ใช่กฎเช่นกัน พวกมันเป็นข้อพึงประสงค์เพื่อสัมฤทธิ์สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ผู้คนไม่มีหรือไม่รู้เรื่องสิ่งต่างๆ เช่นนั้นในอดีต และดังนั้น ผู้คนจึงพึงต้องสัมฤทธิ์สิ่งเหล่านั้นในวันนี้ และสิ่งต่างๆ เช่นนั้นไม่นับว่าเป็นกฎ ธรรมบัญญัติไม่ใช่แบบเดียวกันกับกฎ กฎที่เราพูดถึงเป็นการอ้างอิงถึงพิธีต่างๆ ระเบียบแผน หรือการปฏิบัติที่เบี่ยงเบนและผิดพลาดของมนุษย์ พวกมันคือกฎและระเบียบที่ไม่ช่วยอะไรมนุษย์เลย ไม่มีประโยชน์กับเขาเลย สิ่งเหล่านั้นก่อให้เกิดครรลองของการปฏิบัติที่ไม่มีความหมายอันใดเลย นี่คือตัวอย่างของกฎ และกฎเช่นนั้นต้องถูกทิ้งไป เพราะพวกมันไม่ให้ประโยชน์อันใดแก่มนุษย์เลย สิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ต่างหากที่ต้องนำมาปฏิบัติ

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, นิมิตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า (1)

ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติจำเป็นต้องเกี่ยวพันกับการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าการปฏิบัติเช่นนั้นจริงๆ แล้วจะมีผลลัพธ์ใดๆ หรือนำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม ผู้คนเหล่านี้มุ่งเน้นที่การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ผิวเผิน โดยไม่มีความคิดใดๆ ถึงผลลัพธ์ของพวกมัน พวกเขาคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพิธีกรรมของศาสนา ไม่ใช่ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในคริสตจักร และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะเป็นประชากรของราชอาณาจักร การอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ทำไปเพราะความจำต้องทำและเพื่อให้ตามสมัยนิยมได้ทัน ไม่ใช่ทำเพราะความเต็มใจหรือทำจากหัวใจ ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะอธิษฐานหรือร้องเพลงมากเพียงใดก็ตาม ความพยายามของพวกเขาจะไม่ผลิดอกออกผล เพราะสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติเป็นเพียงกฎเกณฑ์และพิธีกรรมของศาสนา พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ พวกเขามุ่งเน้นแค่การเอะอะโวยวายว่าพวกเขาปฏิบัติอย่างไรเท่านั้น และพวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเหมือนเป็นกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตาม ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้กำลังนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ พวกเขาเพียงกำลังสนองความต้องการของเนื้อหนัง และปฏิบัติเพื่อให้คนอื่นมองเห็น กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเหล่านี้ต่างมีต้นกำเนิดจากมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายใดๆ แต่พระองค์ทรงกระทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน และสำเร็จลุล่วงพระราชกิจภาคปฏิบัติ เช่นเดียวกับผู้คนในคริสตจักรหลักการพึ่งตนเองสามด้านที่จำกัดตัวเองแค่การปฏิบัติ เช่น การเข้าร่วมนมัสการตอนเช้าทุกวัน การถวายคำอธิษฐานตอนเย็นและการอธิษฐานขอบคุณก่อนมื้ออาหาร และการขอบคุณในทุกสรรพสิ่ง—ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติมากเพียงใดและไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติยาวนานเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์และมีหัวใจที่ยึดติดกับวิธีการปฏิบัติ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจได้ เพราะหัวใจของพวกเขาถูกกฎเกณฑ์และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์จับจองอยู่ ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงไร้ความสามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงและปฏิบัติพระราชกิจกับพวกเขาได้ และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถรับคำสรรเสริญจากพระเจ้าได้ตลอดกาล

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ

เจ้าถือพิธีปฏิบัติทางศาสนาอยู่กี่อย่าง? เจ้าได้กบฏต่อพระวจนะของพระเจ้าและไปตามหนทางของเจ้าเองกี่ครั้งแล้ว? กี่ครั้งที่เจ้าได้นำพระวจนะของพระเจ้าไปปฏิบัติเพราะเจ้าคำนึงถึงภาระทั้งหลายของพระองค์และพยายามที่จะทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์อย่างแท้จริง? เจ้าควรเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและนำพระวจนะไปปฏิบัติอย่างสอดคล้อง จงมีหลักธรรมในทุกการกระทำและทุกความประพฤติของเจ้า กระนั้นนี่ก็ไม่ได้หมายถึงการยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายหรือการฝืนใจทำบางสิ่งเพียงเพื่อสร้างภาพ ในทางกลับกัน นั่นหมายถึงการปฏิบัติความจริงและการดำเนินชีวิตโดยพระวจนะของพระเจ้าต่างหาก การปฏิบัติเช่นนี้เท่านั้นที่ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ครรลองแห่งการกระทำใดที่ทำให้พระเจ้าพอพระทัยนั้นไม่ใช่กฎเกณฑ์อย่างหนึ่ง แต่เป็นการปฏิบัติแห่งความจริง ผู้คนบางคนมีใจชอบที่จะดึงดูดความสนใจมาสู่ตัวเอง ยามอยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงของพวกเขา พวกเขาอาจกล่าวว่าพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า แต่ลับหลังคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงและกระทำการแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เหล่านี้มิใช่พวกฟาริสีทางศาสนาหรอกหรือ? บุคคลหนึ่งซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริงและครองความจริงก็คือผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่ไม่อวดแสดงท่าออกมาภายนอกว่าเป็นคนเช่นนั้น บุคคลเช่นนั้นเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงเมื่อเกิดสถานการณ์ทั้งหลายขึ้น และไม่พูดหรือกระทำการในแบบที่ขัดแย้งกับมโนธรรมของพวกเขา บุคคลเช่นนี้สาธิตแสดงสติปัญญาเมื่อเกิดเรื่องราวทั้งหลายขึ้น และมีหลักธรรมอยู่ในความประพฤติทั้งหลายของเขาหรือของเธอไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร บุคคลประเภทนี้สามารถจัดเตรียมการปรนนิบัติที่แท้จริงได้ มีบางคนที่พูดแต่ปากว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า วันๆ พวกเขาเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในความวิตกกังวล ทำตัวเศร้าสร้อย และแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ช่างน่าดูหมิ่นเสียจริง! หากเจ้าจะถามพวกเขาว่า “คุณบอกฉันได้ไหมเกี่ยวกับว่าคุณเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าอย่างไร?” พวกเขาก็จะพูดไม่ออก หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าพูดออกไปภายนอกเกี่ยวกับการนี้ แต่จงสาธิตแสดงความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าโดยหนทางแห่งการปฏิบัติแบบลงมือจริงแทน และจงอธิษฐานต่อพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริง บรรดาพวกที่แค่จัดการพระเจ้าด้วยคำพูดและจัดการพอเป็นพิธีล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคดกันทั้งนั้น!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่

ในอดีต มีการเบี่ยงเบนมากมายและแม้กระทั่งความไร้สาระในหนทางที่ผู้คนได้รับประสบการณ์ พวกเขาเพียงแค่ไม่เข้าใจมาตรฐานของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า ดังนั้นประสบการณ์ทั้งหลายของผู้คนจึงได้บิดเบือนไปในหลายๆ ด้าน สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์ก็คือการที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตตามสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติได้ ตัวอย่างเช่น เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนในการติดตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ทันสมัยในส่วนที่เกี่ยวกับอาหารและเสื้อผ้า ในการสวมใส่สูทและเน็คไท ในการเรียนรู้เล็กน้อยเกี่ยวกับศิลปะสมัยใหม่ และในเวลาว่างพวกเขาสามารถชื่นชมศิลปะ วัฒนธรรม และการบันเทิงได้ พวกเขาสามารถถ่ายภาพแห่งความทรงจำบางภาพได้ พวกเขาสามารถอ่านและได้รับความรู้อันเป็นประโยชน์บางอย่างได้ และมีสภาพแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างดีได้ เหล่านี้คือทุกสรรพสิ่งที่เหมาะสมกับชีวิตของสภาวะความเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่กระนั้นผู้คนก็มองสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ และพวกเขาก็ระงับใจไว้ไม่ให้ทำสิ่งเหล่านี้ การปฏิบัติของพวกเขาประกอบไปด้วยการทำตามกฎเกณฑ์เพียงไม่กี่ข้อเท่านั้น ซึ่งนำไปสู่ชีวิตที่ขุ่นเหมือนน้ำในท้องร่องและไร้ความหมายอย่างสิ้นเชิง ในข้อเท็จจริงแล้ว พระเจ้าไม่เคยทรงเรียกร้องให้ผู้คนทำสิ่งทั้งหลายในหนทางนี้ ผู้คนทั้งหมดต่างก็ปรารถนาที่จะตัดทอนอุปนิสัยของพวกเขาเอง อธิษฐานอย่างไม่หยุดหย่อนภายในจิตวิญญาณของพวกเขาเพื่อใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้น จิตใจของพวกเขาครุ่นคิดถึงสิ่งที่พระเจ้าตั้งพระทัยไว้ตลอดเวลา ดวงตาของพวกเขาสังเกตสิ่งนี้หรือสิ่งนั้นอยู่เนืองนิตย์ ด้วยความกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าการเชื่อมโยงของพวกเขากับพระเจ้าจะถูกตัดขาดด้วยเหตุผลบางประการ เหล่านี้คือข้อสรุปทั้งหมดที่ผู้คนคิดได้ด้วยตัวของพวกเขาเอง ข้อสรุปเหล่านี้คือกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นโดยผู้คนเพื่อตัวพวกเขาเอง หากเจ้าไม่รู้จักธรรมชาติแก่นแท้ของเจ้าเอง และเจ้าไม่เข้าใจว่าการปฏิบัติของเจ้าเองนั้นสามารถเข้าถึงระดับใด เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่มีทางมั่นใจได้อย่างแน่นอนว่าพระเจ้าทรงพึงประสงค์มาตรฐานอะไรจากมนุษย์ และเจ้าก็จะไม่มีเส้นทางของการปฏิบัติที่ถูกต้องแม่นยำ เนื่องจากเจ้าไม่สามารถเข้าใจว่าพระเจ้าทรงพึงประสงค์อะไรจากมนุษย์กันแน่ จิตใจของเจ้าจึงปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา เจ้าพยายามใช้สมองของเจ้าคิดอย่างหนักในการวิเคราะห์เจตนารมณ์ของพระเจ้าและงุ่มง่ามค้นหาหนทางบางอย่างที่จะถูกขับเคลื่อนและถูกทำให้รู้แจ้งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เนื่องจากผลนั้น เจ้าจึงพัฒนาหนทางบางอย่างในการปฏิบัติที่เจ้าเชื่อว่าจะเหมาะสม เจ้าเพียงแค่ไม่มีแนวคิดว่าพระเจ้าทรงพึงประสงค์อะไรจากมนุษย์กันแน่ เจ้าแค่ดำเนินการไปตามหลักการปฏิบัติของเจ้าเองโดยไม่ไตร่ตรอง ใส่ใจต่อผลลัพธ์ที่ได้เพียงเล็กน้อยและยิ่งใส่ใจน้อยไปกว่านั้นอีกเกี่ยวกับว่ามีการเบี่ยงเบนหรือข้อผิดพลาดในการปฏิบัติของเจ้าหรือไม่ ในหนทางนี้ การปฏิบัติของเจ้าจึงขาดพร่องความถูกต้องแม่นยำโดยธรรมชาติและไม่มีหลักการ สิ่งที่ขาดพร่องไปเป็นพิเศษนั้นก็คือความมีเหตุผลและมโนธรรมของมนุษย์ที่ปกติ รวมทั้งการกล่าวชมเชยจากพระเจ้าและการยืนยันจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ การเลือกถนนของเจ้าเองนั้นได้กลายเป็นเรื่องที่ง่ายเกินไปโดยสิ้นเชิง การปฏิบัติประเภทนี้เป็นแค่การทำตามกฎเกณฑ์หรือการรับภาระเพิ่มขึ้นอย่างตั้งใจเพื่อที่จะจำกัดตัวเจ้าเองและควบคุมตัวเจ้าเอง แต่กระนั้นก็ตามเจ้าก็คิดว่าเจ้ามีการปฏิบัติที่ถูกต้องและแม่นยำอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่รู้ว่าส่วนใหญ่ของการปฏิบัติของเจ้านั้นประกอบไปด้วยกระบวนการหรือพิธีกรรมทางศาสนาที่ไม่จำเป็น มีผู้คนจำนวนมากที่ปฏิบัติเช่นนี้เป็นเวลาหลายปีโดยที่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยของพวกเขา ไม่มีการทำความเข้าใจใหม่ และไม่มีการเข้าสู่ใหม่ พวกเขากระทำความผิดพลาดเดิมๆ โดยไม่รู้ตัวและใช้ธรรมชาติเยี่ยงสัตว์เดรัจฉานของตนอย่างเต็มที่ จนกระทั่งถึงจุดที่ว่ามีหลายครั้งหลายคราเมื่อพวกเขากระทำการอันไร้เหตุผลและขาดมนุษยธรรม และประพฤติตนในแบบที่ทำให้ผู้คนต้องถึงกับเกาศีรษะและงงงันอย่างสิ้นเชิง อาจกล่าวได้หรือไม่ว่าผู้คนเช่นนั้นได้รับประสบการณ์กับการแปรสภาพทางอุปนิสัย?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (1)

อะไรคือมาตรฐานซึ่งกำหนดพิจารณาว่าใครคนหนึ่งกำลังปฏิบัติตามความจริงหรือไม่? มันก็คือเรื่องที่ว่า พวกเขาได้มาครองความจริงความเป็นจริง อะไรคือมาตรฐานซึ่งกำหนดพิจารณาว่าคนเราครองความจริงความเป็นจริงหรือไม่? นั่นขึ้นอยู่กับท่าทีที่เจ้ามีต่อพระเจ้าในหัวใจของเจ้าเมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหาทั้งหลาย และขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามีความรู้และการประเมินวัดตัวเจ้าเองที่ถูกต้องแม่นยำหรือลึกซึ้งกว่าหรือไม่ ผู้คนบางคนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องสิ่งทั้งหลายที่ผิวเผินทั่วไปอยู่เสมอเมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหาทั้งหลาย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พวกเขาไม่ครองความจริงความเป็นจริง พวกที่ไม่ครองจริงความเป็นจริงสามารถที่จะปฏิบัติตามความจริงได้หรือไม่เมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา? ไม่ พวกเขาไม่สามารถ บางทีพวกเขาอาจพูดว่า “ฉันได้เผชิญประเด็นปัญหานี้และฉันก็แค่จะเชื่อฟังพระเจ้า” ดังนั้นแล้ว เหตุใดเจ้าจึงจำเป็นที่จะต้องเชื่อฟังพระเจ้าในประเด็นปัญหานี้เล่า? หลักธรรมที่เจ้าติดตามนั้นถูกต้อง แต่บางทีเจ้าอาจประพฤติตนไปตามความรู้สึกของเจ้า ซึ่งเป็นหนทางของการทำสิ่งทั้งหลายที่เจ้าได้ประเมินวัดและกำหนดพิจารณาด้วยตัวเจ้าเอง เจ้าพูดว่า “ฉันเพียงเชื่อฟังพระเจ้าเท่านั้น ฉันไม่พูดหรือทำสิ่งอื่นใดเลย” แต่ในหัวใจของเจ้านั้น เจ้าคิดอยู่เสมอว่า “ทั้งหมดนี้มันเป็นเรื่องอะไรกันแน่? สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงทำนั้นผิด” เจ้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงได้ทรงกระทำการในหนทางเช่นนั้น แต่เจ้าก็บอกตัวเจ้าเองให้เชื่อฟังอยู่ร่ำไป ในขณะที่อันที่จริงแล้ว ไม่มีความเชื่อฟังที่แท้จริงในหัวใจของเจ้าเลย เจ้าเพียงแค่ปรากฏให้เห็นภายนอกว่าไม่พูดหรือทำสิ่งใดเลย ราวกับว่าเจ้าเชื่อฟัง ในเมื่อในข้อเท็จจริงนั้น ความเชื่อฟังเช่นนั้นเป็นเพียงแค่การปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ไม่ใช่การปฏิบัติความจริง เจ้าต้องเดินย้อนครรลองของอุปนิสัยอันเสื่อมทรามไม่เชื่อฟังนั้นภายในตัวเจ้าและพูดว่า “ฉันเห็นและเข้าใจประเด็นปัญหานี้ ฉันเข้าใจพระทัยของพระเจ้า ฉันรู้ว่าเหตุใดพระเจ้าจึงทรงต้องประสงค์ที่จะทำการนี้ ไม่ว่าฉันจะทนทุกข์ หรือฉันจะอ่อนแอ หรือฉันจะล่มสลายและไม่สามารถลุกขึ้นได้ หรือฉันจะเศร้าหรือไม่ ฉันก็จะเชื่อฟังพระเจ้า ด้วยเหตุที่ฉันรู้ว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำนั้นดีงาม ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นถูกต้อง และว่าพระเจ้าไม่ทรงสามารถทำสิ่งใดผิดได้เลย” นี่แตกต่างไปจากการพูดว่า “ฉันจะเชื่อฟังพระเจ้า” โดยไม่มีเจตนาอันใดที่จะทำเช่นนั้นอย่างแท้จริง จากภายนอกผิวเผิน “ความเชื่อฟัง” นั้นไม่ได้แสดงออกในหนทางของความเชื่อฟังอันใดเลย—แต่ภายในหัวใจของเจ้านั้นมีพายุแปรปรวน และความเข้าใจผิดในพระเจ้าและความคับข้องใจต่อพระองค์มากมายก่ายกอง ในข้อเท็จจริงนั้น นั่นคือฝีที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในตัวเจ้า—ถึงแม้ว่าผิวหนังของเจ้านั้นเป็นปกติดีที่ภายนอก แต่มีอาการป่วยอยู่ภายในซึ่งจะปะทุออกมาในไม่ช้า ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าได้เชื่อฟังมาแล้วกี่ปีหรือเจ้าได้เชื่อฟังในหนทางนี้มาแล้วกี่ครั้ง ในที่สุดแล้ว เจ้ายังคงไม่มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า อีกทั้งเจ้าไม่มีความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับพระองค์ และนี่หมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าเจ้าเชื่อฟังโดยการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ และไม่สำคัญว่าเจ้าเชื่อฟังกี่ครั้ง เจ้าก็เพียงแค่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์เท่านั้น อุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้ายังไม่ได้เปลี่ยนแปลงหรือได้รับการแก้ไข เจ้าต้องได้รับความรู้เกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของเจ้าเองโดยผ่านทางประเด็นปัญหาทั้งหลายที่เจ้าเผชิญ และเจ้าต้องมีความเข้าใจ ความรู้เกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ และความคำนึงถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ เพื่อที่เจ้าจะสามารถสัมฤทธิ์ความเชื่อฟังที่แท้จริงได้ นั่นคือ ความเชื่อฟังโดยเต็มใจ มีเพียงโดยการไปถึงระดับนี้เท่านั้น เจ้าจึงจะมีการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงในอุปนิสัยของเจ้า

ตัดตอนมาจาก “การปฏิบัติตามความจริงคือสิ่งใด?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การปฏิบัติตามความจริงคือสิ่งใดหรือ? เมื่อเจ้าทำสิ่งเฉพาะบางสิ่ง—เมื่อเจ้าทำกิจหนึ่งจนครบบริบูรณ์หรือปฏิบัติหน้าที่หนึ่ง—เมื่อพูดถึงสิ่งนั้นในตัวของมันเอง การนั้นทำไปอย่างไรเล่าในหนทางซึ่งเป็นการปฏิบัติความจริง และการนั้นทำไปอย่างไรเล่าในหนทางซึ่งไม่เป็นการปฏิบัติความจริง? การไม่ปฏิบัติความจริงไม่มีความสัมพันธ์ใดเลยกับความจริง เจ้าอาจกำลังปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าอยู่ แต่การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้านั้นแทบไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงเลย การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าเป็นเพียงแค่พฤติกรรมอันดีงามประเภทหนึ่งเท่านั้น และยังสามารถกล่าวได้อีกด้วยว่าเป็นความประพฤติอันดีงามอย่างหนึ่ง แต่ก็ยังคงมีระยะห่างอยู่บ้างระหว่างการนี้กับการปฏิบัติความจริง สองอย่างนี้แตกต่างกัน ดังนั้นแล้ว สองอย่างนี้สามารถแยกความแตกต่างได้บนหลักพื้นฐานใด? เมื่อเจ้ากำลังทำสิ่งนี้อยู่ เจ้าธำรงไว้ซึ่งวงเขตเฉพาะบางอย่างและกฎเกณฑ์เฉพาะบางอย่าง หนึ่งในวงเขตและกฎเกณฑ์เหล่านี้ก็คือว่า เจ้าไม่เป็นเหตุให้เกิดความสูญเสียต่อผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า อีกหนึ่งนั้นคือ เจ้าสาละวนเร่งร้อนมากขึ้นเล็กน้อย และว่าเจ้าทนทุกข์เล็กน้อย โดยล้มเหลวที่จะกินและดื่มตามเวลาปกติ เจ้าได้สำเร็จลุล่วงสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด และหากไม่นำเกณฑ์อันเคร่งครัดมาใช้กับเจ้า การทำหน้าที่ของเจ้าก็ยังอาจแล้วเสร็จอย่างเป็นที่น่าพึงพอใจอยู่ กระนั้นก็ยังมีอีกสิ่งหนึ่งอยู่ดี กล่าวคือ เจ้าได้พลิกแผ่นดินหาและค้นพบหรือไม่ว่า อุปนิสัยอันเสื่อมทรามใดบ้างอยู่ภายในตัวเจ้าเมื่อเจ้าทำสิ่งนี้? กล่าวคือ เจ้าได้พลิกแผ่นดินหาและค้นพบหรือไม่ว่า เจ้ามีแนวคิดใดและมีสิ่งใดอยู่ภายในตัวเจ้าที่พระเจ้าไม่พึงพอพระทัยด้วยในยามที่เจ้าเผชิญประเด็นปัญหานี้? เจ้ามาเข้าใจตัวเจ้าเองใหม่หรือไม่ และเจ้าได้ค้นพบความจริงอันใดหรือไม่ที่เจ้าควรนำไปสู่การปฏิบัติและเข้าสู่ โดยผ่านทางการปฏิบัติหน้าที่นี้และการทำสิ่งนี้? (นั่นเกิดขึ้นนานๆ ครั้ง บางคราว ข้าพระองค์ก็แค่มาเข้าใจความโอหังของข้าพระองค์อย่างผิวเผิน แล้วจากนั้นข้าพระองค์ก็ไม่นำพาความเข้าใจนั้นมากไปกว่านั้นอีก) เช่นนั้นแล้ว ส่วนใหญ่แล้วเจ้าก็มีความเข้าใจที่เป็นสูตรตายตัวและเป็นเชิงทฤษฎี ไม่ใช่ความเข้าใจจริง หากเจ้าไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เจ้ายังไม่ได้ทำสิ่งใดที่ผิดหรือเลวอย่างเหลือร้ายเลย และเจ้ายังไม่ได้ล่วงละเมิดหลักธรรมหลักๆ ทั้งหลาย และภายนอกนั้น เจ้าดูเหมือนว่าเป็นบุคคลที่ดีซึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง เจ้าก็ยังคงไม่ได้กำลังปฏิบัติตามความจริง อีกทั้งเจ้ายังไม่ได้รับความจริงอันใดเลย “การที่ยังไม่ได้ทำสิ่งใดผิดเลย” และการที่ปรากฏให้เห็นภายนอกว่าเป็นใครคนหนึ่งซึ่งมีสภาวะความเป็นมนุษย์ของเจ้านั้น ไม่นับว่าเท่ากันกับการสอดคล้องกับความจริงหรือการปฏิบัติตามความจริง มีช่องว่างหนึ่ง ความแตกต่างหนึ่ง อยู่ระหว่างการนี้กับการปฏิบัติตามความจริง

ตัดตอนมาจาก “การปฏิบัติตามความจริงคือสิ่งใด?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger