เหตุที่พระเจ้าไม่ทรงช่วยพวกที่มีงานของพวกวิญญาณชั่วในตัวพวกเขาหรือพวกที่ถูกผีสิงให้รอด

วันที่ 06 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

เราได้เห็นความประพฤติหลายอย่างของพวกวิญญาณชั่วอย่างชัดเจนมานานแล้ว และผู้คนที่ถูกพวกวิญญาณชั่วใช้นั้น (พวกที่มีเจตนาอันผิด พวกที่ทำตามความปรารถนาของเนื้อหนังหรือความมั่งคั่ง พวกที่ยกย่องตัวพวกเขาเอง พวกที่ทำให้คริสตจักรหยุดชะงัก ฯลฯ) เราก็ได้มองแต่ละคนทะลุแล้วเช่นกัน จงอย่าคิดไปเองว่าทันทีที่พวกวิญญาณชั่วได้ถูกขับออกไปแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างก็แล้วเสร็จ เราขอบอกเจ้าไว้! ตั้งแต่นี้ไป เราจะเอาผู้คนเหล่านี้ออกไปทีละคน ไม่มีวันใช้พวกเขาอีก! กล่าวคือ บุคคลใดก็ตามที่ถูกพวกวิญญาณชั่วทำให้เสื่อมทรามนั้นเราจะไม่ใช้ และพวกเขาจะถูกไล่ส่ง! จงอย่าคิดนะว่าเราไม่มีความรู้สึก! จงรู้ไว้! เราเป็นพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ และเราจะไม่อยู่ในวิหารอันโสมม! เราใช้แต่ผู้คนที่ซื่อสัตย์และชาญฉลาดที่รักภักดีต่อเราอย่างสมบูรณ์และสามารถคำนึงถึงภาระของเราได้เท่านั้น นี่เป็นเพราะผู้คนเช่นนั้นได้ถูกเราลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และไม่มีวิญญาณชั่วใดๆ กำลังชักนำพวกเขาเลยอย่างแน่นอน เราขอกล่าวอย่างชัดเจนว่า นับแต่นี้ต่อไป พวกที่ไร้พระราชกิจแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ล้วนมีงานของพวกวิญญาณชั่วทั้งสิ้น จงให้เรากล่าวซ้ำเถิดว่า เราไม่ต้องการบุคคลสักผู้เดียวที่พวกวิญญาณชั่วทำงานด้วย พวกเขาทั้งหมดจะถูกโยนลงไปในแดนคนตายพร้อมกับเนื้อหนังของพวกเขา!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 76

ผู้คนกล่าวถึงนรกและแดนคนตายบ่อยครั้ง แต่สองคำนี้อ้างอิงถึงสิ่งใด และความแตกต่างระหว่างสองคำนี้คืออะไร? ทั้งสองคำอ้างอิงถึงมุมที่หนาวเหน็บและมืดมิดจริงหรือ? ความรู้สึกนึกคิดของมนุษย์กำลังขัดขวางการบริหารจัดการของเราเสมอ โดยคิดว่าการเฝ้าครุ่นคิดแบบสุ่มของพวกเขาเองนั้นดีอย่างเพียบพร้อม! แต่เหล่านี้ล้วนไม่ใช่สิ่งใดเลย แต่เป็นการจินตนาการของพวกเขาเอง ทั้งแดนคนตายและนรกต่างอ้างอิงถึงวิหารแห่งความโสโครกที่ซาตานหรือวิญญาณชั่วได้มีชีวิตอยู่ก่อนหน้านี้ กล่าวคือ ผู้ใดก็ตามที่ถูกซาตานหรือวิญญาณชั่วครอบงำก่อนหน้านี้—พวกเขานั่นเองที่อยู่ในแดนคนตายและพวกเขานั่นเองที่อยู่ในนรก—ไม่มีข้อผิดพลาดเลย! นี่คือเหตุผลที่เราได้ย้ำครั้งแล้วครั้งเล่าในอดีตว่าเราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในวิหารแห่งความโสโครก เรา (พระเจ้าพระองค์เอง) สามารถมีชีวิตอยู่ในแดนคนตาย หรือในนรกได้หรือ? นั่นจะไม่ใช่เรื่องเหลวไหลอันน่าขันหรอกหรือ? เราได้กล่าวเรื่องนี้หลายครั้งแล้ว แต่พวกเจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจสิ่งที่เราหมายถึง เมื่อเปรียบเทียบกับนรกแล้ว แดนคนตายนั้นถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามอย่างรุนแรงมากกว่า พวกที่มีไว้สำหรับแดนคนตายนั้นเป็นกรณีที่เลวร้ายมากที่สุด และเราเพียงไม่ได้ลิขิตผู้คนเหล่านี้ไว้ล่วงหน้า พวกที่มีไว้สำหรับนรกคือบรรดาผู้ที่เราได้ลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และจากนั้นจึงได้กำจัด กล่าวง่ายๆ คือ เราไม่ได้เลือกสรรผู้คนเหล่านี้แม้แต่คนเดียวเลย

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 90

ศัตรูของพระคริสต์บางคนเป็นวิญญาณชั่วที่ชัดเจนยิ่ง ในขณะที่ศัตรูของพระคริสต์บางคนไม่ไปไกลถึงขนาดที่จะนำเสนอตัวเองว่าเป็นวิญญาณชั่ว ดังนั้นจึงไม่สามารถนิยามพวกเขาได้ว่าเป็นเช่นนั้น สำหรับศัตรูของพระคริสต์เหล่านั้นซึ่งเป็นวิญญาณชั่วอย่างชัดเจน ทันทีที่ใครคนอื่นติดตามพวกเขา พระเจ้าจะยังคงทรงยอมรับรู้บุคคลนั้นหรือไม่ เมื่อพิจารณาถึงแก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้า? พระเจ้าทรงบริสุทธิ์ และพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่อิจฉา—พระองค์ทรงบอกปัดพวกที่ได้ติดตามวิญญาณชั่ว ต่อให้บุคคลนี้ดูเหมือนว่าจะดีงามสำหรับเจ้าที่ภายนอกผิวเผิน พระเจ้าก็ไม่ทรงมองดูที่แง่มุมนั้น “อิจฉา” คืออะไร? “อิจฉา” หมายความว่าอย่างไรในที่นี้? หากนั่นไม่ชัดเจนจากคำพูดนี้ในตัวมันเองแล้ว ดูสิว่าพวกเจ้าจะสามารถเข้าใจจากคำอธิบายของเราได้หรือไม่ เริ่มจากเมื่อบุคคลหนึ่งได้รับการเลือกสรรโดยพระเจ้า ไปจนกระทั่งถึงเมื่อพวกเขากำหนดพิจารณาว่า พระเจ้าทรงเป็นความจริง ว่าพระองค์ทรงเป็นความชอบธรรม พระปัญญา และความทรงมหิทธิฤทธิ์ ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์เดียวและหนึ่งเดียว—ทันทีที่พวกเขาเข้าใจทั้งหมดนี้ พวกเขาย่อมได้รับความเข้าใจพื้นฐานลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขาเกี่ยวกับพระอุปนิสัยและแก่นแท้ของพระเจ้า รวมทั้งสิ่งที่พระองค์ทรงมีและทรงเป็น แล้วความเข้าใจพื้นฐานนี้ก็กลายเป็นความเชื่อของพวกเขา และนั่นก็กลายเป็นสิ่งที่ผลักดันพวกเขาในการติดตามพระเจ้า สละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้า และทำหน้าที่ของพวกเขา นี่คือวุฒิภาวะของพวกเขา ใช่ไหม? (ใช่) สิ่งเหล่านี้ได้หยั่งรากภายในชีวิตของพวกเขาแล้วและพวกเขาจะไม่มีวันปฏิเสธพระเจ้าอีก แต่หากพวกเขาไม่มีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระคริสต์หรือเกี่ยวกับพระเจ้าผู้ทรงสัมพันธ์กับชีวิตจริง พวกเขาอาจยังคงสักการะบูชาและติดตามศัตรูของพระคริสต์ บุคคลจำพวกนี้ยังคงอยู่ในอันตราย พวกเขาอาจยังคงหันหลังให้กับพระคริสต์ในเนื้อหนังเพื่อติดตามศัตรูของพระคริสต์ที่ชั่ว การนี้ย่อมจะเป็นการปฏิเสธพระคริสต์และตัดสัมพันธ์กับพระเจ้าอย่างเปิดเผย ความหมายโดยนัยของการนี้คือ “ข้าพระองค์จะไม่ติดตามพระองค์อีกต่อไป แต่ข้าพระองค์กำลังติดตามซาตาน ข้าพระองค์รักซาตานและปรารถนาที่จะรับใช้มัน ข้าพระองค์ต้องการที่จะติดตามซาตาน และไม่สำคัญว่ามันปฏิบัติต่อข้าพระองค์อย่างไร มันทำให้ข้าพระองค์พังทลาย เหยียบย่ำ และทำให้ข้าพระองค์เสื่อมทรามอย่างไร ข้าพระองค์ก็ยิ่งกว่าเต็มใจ ไม่สำคัญว่าพระองค์ทรงชอบธรรมเพียงใดและทรงบริสุทธิ์เพียงใด ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะติดตามพระองค์อีกต่อไป ข้าพระองค์ไม่ต้องการที่จะติดตามพระองค์ทั้งๆ ที่มีข้อเท็จจริงว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า” และพวกเขาก็จากไปอย่างนั้นเอง โดยติดตามใครบางคนซึ่งไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับพวกเขาเลย ใครบางคนซึ่งเป็นศัตรูกับพระเจ้าหรือแม้กระทั่งวิญญาณชั่ว พระเจ้าจะยังคงทรงต้องประสงค์บุคคลประเภทนั้นหรือไม่? การที่พระเจ้าจะทรงเดียดฉันท์พวกเขาจะเป็นการสมเหตุสมผลหรือไม่? นั่นคงจะสมเหตุสมผลอย่างสมบูรณ์แบบ จากสามัญสำนึก ผู้คนล้วนแต่รู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่อิจฉา ว่าพระองค์ทรงบริสุทธิ์ แต่เจ้าเข้าใจสถานการณ์ตามจริงหรือไม่ว่าจริงๆ แล้วสิ่งใดอยู่เบื้องหลังการนี้? สิ่งที่เรากำลังพูดอยู่ ณ ที่นี้ไม่ถูกต้องแม่นยำหรอกหรือ? (นั่นถูกต้องแม่นยำ) หากนั่นถูกต้องแม่นยำ เช่นนั้นแล้วการที่พระเจ้าทรงล้มเลิกความหวังกับบุคคลนั้นนับเป็นความโหดร้ายทางฝ่ายพระองค์หรือไม่? พระเจ้าทรงปฏิบัติตนบนหลักธรรม—หากเจ้ารู้ว่าพระเจ้าทรงเป็นใครแต่เจ้าไม่ต้องการที่จะติดตามพระองค์ และเจ้ารู้ว่าซาตานเป็นใครและเจ้ายังคงต้องการที่จะติดตามมัน เช่นนั้นแล้วเราก็จะไม่ดึงดัน เราจะปล่อยให้เจ้าติดตามซาตานไปตลอดกาลและเราจะไม่ขอให้เจ้ากลับมา แต่เราจะล้มเลิกความหวังกับเจ้า การนี้คือพระอุปนิสัยแบบใดทางฝ่ายพระเจ้าหรือ? นั่นใช่ความดื้อดึงหรือไม่? พระองค์กำลังทรงปฏิบัติตนบนภาวะอารมณ์ หรือกำลังทรงได้รับเกียรติ? นี่ไม่ใช่ความทรงเกียรติ อีกทั้งไม่ใช่ความดื้อดึง แต่เป็นส่วนของ “ความอิจฉา” ของพระเจ้า กล่าวคือ ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง หากเจ้ามีความสุขที่จะกลายเป็นต่ำทราม พระเจ้าจะสามารถตรัสอะไรได้? หากเจ้าปรารถนาที่จะกลายเป็นต่ำทราม นั่นเป็นตัวเลือกส่วนบุคคลของเจ้า—ในท้ายที่สุดแล้วเจ้าย่อมจะแบกรับผลสืบเนื่องที่ตามมา และเจ้าย่อมจะได้แต่โทษตัวเองเท่านั้น หลักธรรมของพระเจ้าสำหรับการจัดการกับผู้คนมิอาจเปลี่ยนแปลงได้ ดังนั้นหากเจ้ามีความสุขกับความต่ำทราม เช่นนั้นแล้วปลายทางอันมิอาจหลีกเลี่ยงได้ของเจ้าก็คือการถูกลงโทษ ไม่สำคัญเลยว่าเจ้าอาจได้ติดตามพระเจ้ามาแล้วกี่ปีก่อนหน้านี้ หากเจ้าปรารถนาที่จะต่ำทราม พระเจ้าจะไม่ทรงช่วยเจ้าจัดการกับตัวเลือกของเจ้า อีกทั้งพระองค์จะไม่ทรงบังคับเจ้า ตัวเจ้าเองเต็มใจที่จะติดตามซาตาน ที่จะถูกซาตานทำให้เข้าใจผิดและถูกซาตานทำให้มีมลทิน และดังนั้น สุดท้ายแล้วเจ้าย่อมจำเป็นที่จะต้องแบกรับผลสืบเนื่องที่ตามมา นั่นคือสาเหตุที่ไม่มีสิ่งใดใช้ได้ผลกับผู้คนเหล่านี้ ไม่สำคัญว่าผู้อื่นอาจลองพยายามที่จะช่วยเหลือพวกเขาอย่างไร พระเจ้าไม่ทรงต้องประสงค์พวกเขาอีกต่อไป ดังนั้นมนุษย์จะสามารถทำสิ่งใดได้เล่า? นี่คือเหตุผลจริงเบื้องหลังการนั้น แต่ผู้คนควรทำสิ่งที่พวกเขาควรที่จะทำ ดำเนินการภาระผูกพันและหน้าที่รับผิดชอบของพวกเขาจนเสร็จสิ้น และทันทีที่พวกเขาได้กระทำการนั้นจนแล้วเสร็จ จุดจบสุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับการเป็นผู้นำของพระเจ้า ด้วยคำอธิบายโดยละเอียดของเรา พวกเจ้าทั้งหมดได้รับความเข้าใจมากขึ้นสักเล็กน้อยแล้วหรือไม่เกี่ยวกับการที่พูดว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่อิจฉา”? นี่คือหนึ่งแง่มุมของการนั้น กล่าวคือ พระเจ้าทรงบอกปัดพวกที่ได้ถูกวิญญาณชั่วทำให้แปดเปื้อนแล้ว และเหตุใดเล่าพระเจ้าจึงทรงบอกปัดพวกเขา? นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้เลือกซาตาน พระเจ้าจะทรงสามารถต้องประสงค์พวกเขาหลังจากนั้นได้อย่างไรกัน? พระเจ้าจะยังคงทรงมีความกรุณาต่อพวกเขา ดลใจพวกเขา เพื่อที่พวกเขาจะได้กลับมาหรือไม่? นั่นคือบางสิ่งที่พระเจ้าทรงสามารถทำได้ใช่หรือไม่? แน่นอนว่าพระองค์ทรงสามารถทำได้ แต่พระองค์จะไม่ทรงทำ นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของ “อิจฉา”

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (2)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

ติดต่อเราผ่าน Messenger