สิ่งที่เป็นการถูกผีสิง และสิ่งที่เป็นการสำแดงถึงการถูกผีสิง

วันที่ 06 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

หากในระหว่างยุคปัจจุบันมีบุคคลผู้หนึ่งโผล่ออกมาซึ่งสามารถแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ไล่ผี รักษาคนป่วย และทำปาฏิหาริย์มากมาย และหากบุคคลผู้นี้อ้างว่าพวกเขาคือพระเยซูผู้ได้เสด็จมา เช่นนั้นแล้วนี่จะเป็นสิ่งเทียมเท็จที่ทำขึ้นโดยพวกวิญญาณชั่วที่เลียนแบบพระเยซู จงจดจำการนี้ไว้! พระเจ้าไม่ทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ ช่วงระยะแห่งพระราชกิจของพระเยซูได้ครบบริบูรณ์ไปแล้ว และพระเจ้าจะไม่มีวันทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะนั้นอีกครั้ง พระราชกิจของพระเจ้าไม่สามารถลงรอยกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้ ยกตัวอย่างเช่น พันธสัญญาเดิมได้บอกล่วงหน้าถึงการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ และผลลัพธ์ของคำพยากรณ์นี้คือการเสด็จมาของพระเยซู เมื่อการนี้ได้เกิดขึ้นแล้ว ก็น่าจะผิดที่จะมีพระเมสสิยาห์อีกองค์เสด็จมาอีกครั้ง พระเยซูได้เสด็จมาแล้วครั้งหนึ่ง และมันน่าจะผิดหากพระเยซูจะเสด็จมาอีกครั้งในครานี้ มีชื่อเดียวสำหรับทุกยุค และแต่ละชื่อประกอบด้วยคุณลักษณะสำคัญของยุคนั้น ในมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ พระเจ้าต้องทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์เสมอ ต้องทรงรักษาคนป่วยและไล่ผีเสมอ และต้องทรงเป็นดุจดั่งพระเยซูเสมอ กระนั้นในครานี้ พระเจ้าไม่ทรงเป็นเหมือนเช่นนั้นเลย หากในระหว่างยุคสุดท้าย พระเจ้ายังคงทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ และยังคงทรงไล่ผีและรักษาคนป่วย—หากพระองค์ทรงทำอย่างเดียวกันกับพระเยซู—เช่นนั้นแล้วพระเจ้าก็คงจะกำลังทรงทำพระราชกิจเดียวกันซ้ำ และพระราชกิจของพระเยซูก็จะไม่มีนัยสำคัญหรือคุณค่า ดังนั้นในทุกยุคพระเจ้าจึงทรงดำเนินพระราชกิจช่วงระยะเดียวจนแล้วเสร็จ ทันทีที่แต่ละช่วงระยะของพระราชกิจของพระองค์ได้ดำเนินการครบบริบูรณ์แล้ว ในไม่ช้าก็ถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว และหลังจากซาตานเริ่มตามหลังพระเจ้าไปติดๆ พระเจ้าก็ทรงเปลี่ยนแปลงไปสู่วิธีการที่ต่างออกไป ทันทีที่พระเจ้าได้ทรงเสร็จสิ้นช่วงระยะหนึ่งของพระราชกิจของพระองค์ ก็จะถูกเลียนแบบโดยพวกวิญญาณชั่ว พวกเจ้าต้องชัดเจนเกี่ยวกับการนี้

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรู้จักพระราชกิจของพระเจ้าในวันนี้

มีบางคนผู้ถูกครอบงำโดยวิญญาณชั่วและส่งเสียงร้องอย่างระเบ็งเซ็งแซ่ว่า “เราคือพระเจ้า!” กระนั้น ในที่สุดพวกเขาก็ถูกเปิดเผย เพราะพวกเขาผิดในสิ่งที่พวกเขาเป็นตัวแทน พวกเขาเป็นตัวแทนซาตาน และพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใส่พระทัยพวกเขา เจ้าจะยกย่องตัวเจ้าเองอย่างสูงเพียงใดก็ตาม หรือเจ้าจะส่งเสียงร้องอย่างแข็งกร้าวเพียงใดก็ตาม เจ้าก็ยังคงเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหนึ่งและเป็นผู้ที่เป็นของซาตาน เราไม่มีวันส่งเสียงร้องว่า “เราคือพระเจ้า เราเป็นพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระเจ้า!” แต่งานที่เราทำคือพระราชกิจของพระเจ้า เราจำเป็นต้องตะโกนหรือ? ไม่มีความจำเป็นต้องมีการยกย่อง พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์เองด้วยพระองค์เอง และไม่จำเป็นต้องทรงให้มนุษย์มอบสถานะแก่พระองค์หรือให้สมญาที่ให้เกียรติแก่พระองค์ กล่าวคือ พระราชกิจของพระองค์เป็นตัวแทนของพระอัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ ก่อนหน้าการบัพติศมาของพระองค์ พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าพระองค์เองหรือไม่? พระองค์ไม่ได้ทรงเป็นเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรอกหรือ? แน่ใจหรือไม่ว่าไม่สามารถกล่าวได้ว่า หลังจากการได้รับประจักษ์พยานแล้วเท่านั้นพระองค์จึงทรงกลายเป็นพระบุตรพระองค์เดียวของพระเจ้า? ไม่ได้มีบุรุษหนึ่งที่มีนามว่าเยซูอยู่นานแล้วก่อนที่พระองค์จะได้ทรงเริ่มพระราชกิจของพระองค์หรอกหรือ? เจ้าไร้ความสามารถที่จะนำพาเส้นทางใหม่ๆ ออกมาหรือเป็นตัวแทนพระวิญญาณได้ เจ้าไม่สามารถแสดงออกถึงพระราชกิจของพระวิญญาณหรือพระวจนะที่พระองค์ตรัส เจ้าไร้ความสามารถที่จะทำพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เองได้ และเจ้าก็ไร้ความสามารถที่จะทำพระราชกิจของพระวิญญาณได้ พระปรีชาญาณ การอัศจรรย์ และความยากหยั่งถึงได้ของพระเจ้า และความครบถ้วนบริบูรณ์แห่งพระอุปนิสัยที่พระเจ้าทรงใช้ตีสอนมนุษย์—เหล่านี้ทั้งหมดล้วนเกินความสามารถของเจ้าที่จะแสดงออก ดังนั้นจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพยายามกล่าวอ้างว่าเป็นพระเจ้า เจ้าคงจะมีเพียงชื่อเท่านั้นและไม่มีสิ่งใดจากเนื้อแท้นี้เลย พระเจ้าพระองค์เองได้เสด็จมาแล้ว แต่ไม่มีผู้ใดจำพระองค์ได้ กระนั้นพระองค์ยังทรงดำเนินพระราชกิจของพระองค์ต่อไป และทรงทำเช่นนั้นในการเป็นตัวแทนของพระวิญญาณ ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพระองค์ว่ามนุษย์หรือพระเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้าหรือพระคริสต์ หรือเรียกพระองค์ว่าพี่น้องหญิง นั่นก็ไม่สำคัญ แต่พระราชกิจที่พระองค์ทรงทำคือพระราชกิจของพระวิญญาณและเป็นตัวแทนของพระราชกิจของพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์ไม่ใส่พระทัยกับพระนามที่มนุษย์ใช้เรียกพระองค์ พระนามนั้นสามารถกำหนดพระราชกิจของพระองค์ได้หรือไม่? ไม่ว่าเจ้าจะเรียกพระองค์ว่าอย่างไร เท่าที่พระเจ้าทรงเกี่ยวข้องนั้น พระองค์ทรงเป็นเนื้อหนังซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระวิญญาณของพระเจ้า พระองค์ทรงเป็นตัวแทนของพระวิญญาณและได้รับความเห็นชอบโดยพระวิญญาณ หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะกรุยทางให้แก่ยุคใหม่ หรือนำพายุคเก่าไปถึงบทอวสาน หรือนำมาซึ่งยุคใหม่ หรือทำงานใหม่ได้ เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่สามารถเรียกเจ้าว่าพระเจ้าได้!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ความล้ำลึกแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ (1)

บางคนกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจในตัวพวกเขาตลอดเวลา นี่เป็นไปไม่ได้ หากพวกเขาจะกล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขาตลอดเวลา นั่นอาจจะตรงกับความเป็นจริง หากพวกเขาจะกล่าวว่าการคิดและสำนึกรับรู้ของพวกเขาเป็นปกติตลอดเวลา นั่นก็อาจจะตรงกับความเป็นจริงได้เช่นกัน และอาจแสดงให้เห็นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์สถิตกับพวกเขา หากพวกเขากล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์กำลังทรงพระราชกิจภายในตัวพวกเขาตลอดเวลา กล่าวว่าพวกเขาได้รับการให้ความรู้แจ้งโดยพระเจ้าและได้รับการสัมผัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทุกชั่วขณะ และได้รับความรู้ใหม่ตลอดเวลา เช่นนั้นแล้วนี่ไม่ใช่เรื่องปกติแต่อย่างใดเลย! มันเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติทั้งสิ้น! ไม่ต้องสงสัยเลยแม้แต่น้อย ผู้คนเช่นนั้นก็คือเหล่าวิญญาณชั่ว! แม้คราที่พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ ก็มีเวลาที่พระองค์ยังต้องเสวยและต้องทรงหยุดพัก—ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมนุษย์แต่อย่างใด พวกที่ได้ถูกเหล่าวิญญาณชั่วครอบครองนั้นดูเหมือนว่าไม่มีความอ่อนแอของเนื้อหนัง พวกเขาสามารถละทิ้งและล้มเลิกทุกสิ่งได้ พวกเขาเป็นอิสระจากอารมณ์ความรู้สึก สามารถสู้ทนความทรมานและไม่รู้สึกถึงความเหนื่อยล้าแม้แต่น้อย ราวกับว่าพวกเขาได้อยู่เหนือเนื้อหนังแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติอย่างที่สุดหรอกหรือ? งานของเหล่าวิญญาณชั่วนั้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ—ไม่มีมนุษย์คนใดสามารถสัมฤทธิ์สิ่งต่างๆ เช่นนั้นได้! พวกที่ขาดการหยั่งรู้จะอิจฉาเมื่อพวกเขาเห็นผู้คนเช่นนั้น นั่นคือ พวกเขากล่าวว่าคนเหล่านั้นมีเรี่ยวแรงกำลังเช่นนั้นในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา มีความเชื่ออันยิ่งใหญ่ และไม่เคยแสดงให้เห็นสัญญาณของความอ่อนแอแม้แต่น้อย! ในความเป็นจริงแล้ว เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการสำแดงให้เห็นถึงงานของวิญญาณชั่ว ด้วยเพราะผู้คนปกติย่อมมีความอ่อนแอของมนุษย์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นี่คือสภาวะปกติของบรรดาผู้ที่มีการสถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การปฏิบัติ (4)

มีผู้คนบางคนซึ่งเมื่อไม่มีประเด็นปัญหาใดเกิดขึ้นก็เป็นปกติดี ผู้ซึ่งพูดและสนทนาเป็นปกติดี ผู้ซึ่งดูเหมือนปกติ และผู้ซึ่งไม่ทำอะไรที่แย่เลย แต่เมื่อมีการอ่านพระวจนะของพระเจ้าในการชุมนุม เมื่อมีการสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาก็พลันเริ่มประพฤติตนอย่างไม่เป็นปกติ บางคนไม่สามารถทนฟังได้ บางคนกลายเป็นเซื่องซึม และบางคนเจ็บป่วย โดยพูดว่าพวกเขารู้สึกแย่และไม่ปรารถนาที่จะได้ยินอีกต่อไป แล้วพวกเขาก็ปราศจากการตระหนักรู้อย่างครบบริบูรณ์—อันที่จริงแล้ว กำลังเกิดอะไรขึ้นตรงนี้หรือ? พวกเขาได้ถูกวิญญาณชั่วเข้าครอง เหตุใดหรือพวกเขาจึงพูดคำพูดซ้ำๆ ว่า “ฉันไม่อยากฟัง” ในยามที่พวกเขาได้ถูกวิญญาณชั่วดวงหนึ่งเข้าครอง? บางครั้งผู้คนไม่สามารถเข้าใจสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นที่นี่ได้ แต่การนี้ชัดเจนราวแก้วผลึกสำหรับวิญญาณชั่วดวงหนึ่ง นี่คือจิตวิญญาณที่อยู่ภายในพวกศัตรูของพระคริสต์ เจ้าถามพวกเขาว่าเหตุใดพวกเขาจึงเป็นอริกับความจริง และพวกเขาก็กล่าวว่าพวกเขาไม่ได้เป็นเช่นนั้น และพวกเขาก็ปฏิเสธอย่างหนักแน่นที่จะไม่ยอมรับเรื่องนี้ แต่ในหัวใจของพวกเขา พวกเขารู้ว่าพวกเขาไม่รักความจริง ตอนที่ไม่ได้กำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้าอยู่ พวกเขาดูเป็นปกติในยามที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้อื่น เจ้าคงจะไม่รู้สิ่งที่อยู่ข้างในพวกเขา เมื่อพวกเขาลองพยายามและอ่านพระวจนะของพระเจ้า คำพูดทั้งหลายก็ออกมาว่า “ฉันไม่อยากฟัง” ธรรมชาติของพวกเขาได้ถูกเปิดโปงแล้ว และนี่คือสิ่งที่พวกเขาเป็น พระวจนะของพระเจ้าได้ยั่วยุพวกเขา หรือเปิดเผยพวกเขา หรือตีพวกเขาตรงที่มันเจ็บหรือ? ไม่ใช่สิ่งใดข้างต้นเลย สิ่งที่ได้เกิดขึ้นก็คือว่า ตอนที่ทุกคนกำลังอ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขากล่าวว่าพวกเขาไม่ต้องการได้ยินพระวจนะเหล่านั้น พวกเขาไม่ใช่คนเลวหรอกหรือ? การเป็นคนเลวหมายถึงสิ่งใดหรือ? หมายถึงการที่เป็นอริเหลือเกินต่อบางสิ่งบางอย่างและต่อสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวกด้วยเหตุผลที่มิอาจหยั่งรู้ได้และโดยไม่มีแม้กระทั่งการรู้เหตุผลว่าทำไม พวกเขากล่าวว่า “ทันทีที่ฉันได้ยินพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้า ฉันก็ไม่อยากฟังพระวจนะเหล่านั้น ทันทีที่ฉันได้ยินคำพยานต่อพระเจ้า ฉันก็รู้สึกถึงความไม่ชอบ และฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทำไม เมื่อฉันเห็นใครบางคนผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาความจริง หรือผู้ซึ่งรักความจริง ฉันต้องการที่จะท้าทายพวกเขา ฉันต้องการก่นด่าพวกเขา ต้องการที่จะทำบางอย่างซึ่งเป็นอันตรายต่อพวกเขาลับหลังพวกเขา ฉันต้องการฆ่าพวกเขา” พวกเขาเลวจากการกล่าวเช่นนี้

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (1)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

พวกเจ้าได้เคยเห็นฝูงชนที่วุ่นวายเช่นนั้นของพวกศัตรูของพระคริสต์เยี่ยงนี้หรือไม่? เจ้ารู้สึกอะไรเมื่อเจ้าอยู่ท่ามกลางพวกเขา? ที่ภายนอกผิวเผินนั้น พวกเขาดูเหมือนเป็นความสุภาพไปหมด—แต่เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงและน้ำพระทัยของพระเจ้ากับพวกเขา ท่าทีที่พวกเขาแสดงนั้นตรงกันข้ามอย่างคนละขั้วกับความสุภาพภายนอกของพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาเป็นที่คลื่นเหียนอย่างสุดขีดและไม่ให้ความสนใจอย่างถึงที่สุด เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมความจริงกับพวกเขา พวกเขารู้สึกว่าเจ้าเป็นคนนอก และเมื่อเจ้าสามัคคีธรรมงานของคริสตจักร พวกเขายิ่งรู้สึกเช่นนั้นมากขึ้นไปอีก เมื่อเจ้าสามัคคีธรรมว่ารายละเอียดเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับงานของคริสตจักรได้ดำเนินไปจนเสร็จสิ้นแล้วหรือไม่ และว่ารายละเอียดเหล่านั้นได้ดำเนินไปจนเสร็จสิ้นดีเพียงใด พวกเขาก็มีแววที่จะเริ่มสัปหงกและเปิดเผยสภาพเสมือนเยี่ยงปีศาจออกมา พวกเขาเกาหัวและจับหู พวกเขาหาว ดวงตาของพวกเขามีน้ำตาคลอ พวกเขาอาจจะถึงกับจามออกมาเสียด้วยซ้ำ การนี้ไม่ใช่การครอบงำโดยวิญญาณชั่วหรอกหรือ? เหตุใดเล่าสภาพเสมือนเยี่ยงปีศาจของพวกเขาจึงอุบัติขึ้นทันทีที่เจ้าสามัคคีธรรมความจริง? พวกเขาแต่ละคนไม่มีความรักมากมายในหัวใจของพวกเขาหรอกหรือ? พวกเขาจะสามารถหมดความสนใจได้อย่างไรเมื่อเจ้าเริ่มที่จะสามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริง? พวกเขาไม่ถูกเปิดเผยด้วยผลจากการนั้นหรอกหรือ? พวกเขาไม่มีความมีใจกระตือรือร้นและความหมายมั่นต่อการดำเนินกิจภายนอกจนเสร็จสิ้นหรอกหรือ? และหากพวกเขาหมายมั่น พวกเขาไม่ครองความเป็นจริงหรอกหรือ? หากพวกเขามีความเป็นจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาควรมีความสุขเมื่อพวกเขาได้ยินผู้คนสามัคคีธรรมความจริง พวกเขาควรโหยหาการนั้น ถ้าเช่นนั้นแล้วเหตุใดเล่าปรากฏการณ์ของการครอบงำโดยวิญญาณชั่วจึงเกิดขึ้น? นี่พิสูจน์ว่าความสุภาพตามปกติของพวกเขาเทียมเท็จโดยสิ้นเชิง—ความจริงได้เปิดโปงพวกเขาแล้ว

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาปฏิบัติต่อพระนิเวศของพระเจ้าดังเช่นครอบครัวส่วนบุคคลของพวกเขาเอง” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

เพื่อที่จะให้พี่น้องชายหญิงพัฒนาการหยั่งรู้และเรียนรู้บทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการให้ใครบางคนที่ถูกมารครอบงำมาใช้ชีวิตท่ามกลางพวกเขา แรกเริ่มนั้น รูปแบบในการพูดและการทำสิ่งทั้งหลายของบุคคลนี้เป็นปกติ เช่นเดียวกับการใช้เหตุผลของพวกเขา เขาไม่ดูเหมือนว่าเป็นปัญหาแต่อย่างใด แต่หลังจากที่ได้ติดต่อสื่อสารอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง พี่น้องชายหญิงก็ได้ค้นพบว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาพูดดูเหมือนไม่ตรงประเด็น—ไม่เชื่อมโยงกับสิ่งที่กำลังพูดถึงเลย ต่อมาก็มีสิ่ง “เหนือธรรมชาติ” บางอย่างเกิดขึ้น กล่าวคือ เขาจะบอกพี่น้องชายหญิงเสมอว่าเขาเห็นสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น หรือว่าพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยสิ่งนั้นๆ แก่เขา ตัวอย่างเช่น วันหนึ่งพระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแก่เขาว่าเขาต้องทำหมั่นโถว—เขาก็จำต้องทำ—และวันต่อมา ตามที่ได้เกิดขึ้น เขาก็จำเป็นต้องออกไปข้างนอก ดังนั้นเขาจึงนำหมั่นโถวเหล่านั้นติดตัวไปด้วยและไม่จำเป็นต้องทำอาหารอื่นๆ วันถัดมา พระเจ้าได้ทรงเปิดเผยแก่เขาในความฝันว่าเขาต้องมุ่งหน้าไปทางใต้ มีใครบางคนกำลังรอคอยเขาอยู่ ห่างออกไปหกไมล์ เขาก็ไปดูและ ณ ที่นั้นมีผู้เชื่อในพระเยซูคนหนึ่งกำลังหลงทางอยู่ เขาได้ให้การเป็นพยานแก่ผู้เชื่อคนนี้ถึงพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และผู้เชื่อยอมรับการนั้น เขาได้รับคำวิวรณ์อยู่เสมอ เขาได้ยินเสียงอยู่เสมอ สิ่งเหนือธรรมชาติทั้งหลายเกิดขึ้นอยู่เสมอ แต่ละวัน เมื่อมาถึงเรื่องที่ว่าจะกินอะไร จะไปที่ใด จะทำอะไร จะมีปฏิสัมพันธ์กับใคร เขาไม่ได้ปฏิบัติตามกฎของชีวิตที่ปกติของมนุษย์ และเขาไม่ได้แสวงหาพระวจนะของพระเจ้าในฐานะหลักพื้นฐานหรือหลักธรรม อีกทั้งเขาไม่ได้เสาะแสวงผู้คนที่จะสามัคคีธรรมด้วย แทนที่จะเป็นเช่นนั้น เขากลับรอคอยเสียง หรือคำวิวรณ์ หรือความฝันอยู่เสมอ บุคคลนี้ปกติหรือไม่? (ไม่) ผู้คนบางคนมีความสามารถที่จะมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งและพูดว่า “ชายผู้นี้อาจไม่ได้วิ่งตัวเปล่าเปลือยและกระเซอะกระเซิงไปทั่วตามท้องถนน แต่เหล่านี้คือการสำแดงถึงวิญญาณชั่ว” บรรดาพี่น้องชายหญิงเริ่มที่จะมองเขาออกอย่างช้าๆ แต่ทว่าแน่นอน จนกระทั่งถึงวันที่ประเด็นปัญหาของเขาปะทุขึ้นมา และเขาออกวิ่งไปบนท้องถนน ตัวเปลือยเปล่าและกระเซอะกระเซิง พูดจาบ้าบอ มารได้ปรากฏตัวขึ้นแล้ว ในที่สุดสิ่งทั้งหลายก็ปรากฏชัด ดังนั้น ในระหว่างเวลานี้บรรดาพี่น้องชายหญิงสามารถมองเขาออกอย่างทะลุปรุโปร่งหรือไม่? พวกเขาได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกหรือไม่ว่าวิญญาณชั่วคืออะไร งานของวิญญาณชั่วคืออะไร และการสำแดงถึงงานของวิญญาณชั่วในตัวผู้คนคืออะไร? (ได้รับ) แน่นอนว่าผู้คนบางคนได้รับความรู้ความเข้าใจเชิงลึกและการหยั่งรู้ ผู้คนบางคนมีแนวโน้มที่จะถูกเขาหลอก และได้แต่มองเห็นเขาในสิ่งที่เขาเป็นก็ต่อเมื่อเขาระเบิดอารมณ์ออกมาเท่านั้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะถูกหลอกหรือมีความสามารถที่จะมองเห็นเขาได้อย่างทะลุปรุโปร่งหรือไม่ หากพระเจ้าไม่ได้ทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมนี้ จะเป็นที่ชัดเจนแก่ผู้คนหรือไม่ว่างานของวิญญาณชั่วคืออะไร? (ไม่) ดังนั้นแล้ว นัยสำคัญและจุดประสงค์ของการที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสภาพแวดล้อมนี้และทำสิ่งเหล่านี้คืออะไรกันแน่? ก็เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้คนพัฒนาการหยั่งรู้ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงและเรียนรู้บทเรียน เพื่อระบุแยกแยะบุคคลจำพวกนี้ หากผู้คนเพียงแค่ได้รับการบอกเล่าว่างานของวิญญาณชั่วคืออะไร เหมือนดังที่ครูสอนบทเรียน โดยไม่มีแบบฝึกหัดหรือการปฏิบัติตามจริง ผู้คนก็คงจะได้รับเพียงทฤษฎีและคำพูดเรื่อยไปเท่านั้น เจ้าสามารถอธิบายได้อย่างชัดเจนว่างานของวิญญาณชั่วคืออะไรและการสำแดงที่เฉพาะเจาะจงถึงวิญญาณชั่วคืออะไรกันแน่ ก็ต่อเมื่อเจ้าได้พบเห็นวิญญาณชั่วด้วยตนเองเท่านั้น—มองเห็นวิญญาณชั่วด้วยสองตาของเจ้าเอง ได้ยินวิญญาณชั่วด้วยสองหูของเจ้าเอง และแล้วเมื่อเจ้าเผชิญผู้คนเช่นนั้นอีก เจ้าจะสามารถระบุแยกแยะพวกเขาและบอกปัดพวกเขาได้ เจ้าจะสามารถจัดการแก้ไขและรับมือเรื่องเช่นนั้นได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้า และปฏิเสธแก่นแท้ของพระคริสต์ (1)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ทุกคริสตจักรมีผู้คนซึ่งก่อให้เกิดปัญหาแก่คริสตจักรหรือก้าวก่ายในพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาล้วนเป็นซาตานผู้ซึ่งได้แทรกซึมเข้ามาในพระนิเวศของพระเจ้าโดยการแฝงตัว ผู้คนเช่นนี้เก่งด้านการแสดง นั่นคือ พวกเขามาอยู่ต่อหน้าเราด้วยความเคารพอย่างยิ่ง ทำพินอบพิเทา ใช้ชีวิตเหมือนกับสุนัขขี้เรื้อน และอุทิศ “ทั้งหมด” ของพวกเขาเพื่อให้สัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ของตนเอง—แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าบรรดาพี่น้องชายหญิง พวกเขาแสดงให้เห็นด้านที่น่าเกลียดของพวกเขา เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนที่ปฏิบัติความจริง พวกเขาจะโจมตีผู้คนเหล่านั้นและผลักไสพวกเขาให้พ้นทาง เมื่อพวกเขาเห็นผู้คนที่น่าเกรงขามกว่าตนเอง พวกเขาจะเยินยอและประจบประแจงคนพวกนั้น พวกเขาประพฤติตัวป่าเถื่อนในคริสตจักร สามารถพูดได้ว่า “อันธพาลประจำถิ่น” เช่นนั้น “คนขี้ประจบ” เช่นนั้น มีอยู่ในคริสตจักรส่วนใหญ่ พวกเขาจะกระทำการอย่างชั่วร้ายด้วยกัน ขยิบตาและส่งสัญญาณลับให้กันและกัน และพวกเขาไม่มีใครปฏิบัติความจริงเลย ผู้ใดก็ตามที่มีพิษมากที่สุดได้เป็น “หัวหน้าปีศาจ” และผู้ใดก็ตามที่มีศักดิ์ศรีสูงที่สุดจะได้นำพวกเขา ถือธงของพวกเขาให้สูงขึ้น ผู้คนเหล่านี้อาละวาดไปทั่วคริสตจักร เผยแพร่ความคิดด้านลบของพวกเขา ระบายถึงความตาย กระทำอย่างที่พวกเขาพอใจ พูดสิ่งที่พวกเขาพอใจ และไม่มีใครสักคนกล้าหยุดพวกเขา พวกเขาปริ่มอยู่กับอุปนิสัยของซาตาน ทันทีที่พวกเขาก่อให้เกิดความวุ่นวายขึ้น บรรยากาศแห่งความตายก็เข้ามายังคริสตจักร บรรดาผู้คนภายในคริสตจักรผู้ซึ่งปฏิบัติความจริงถูกละทิ้งไป ไร้ความสามารถที่จะมอบทุกอย่างของพวกเขาได้ ในขณะที่บรรดาผู้ที่รบกวนคริสตจักรและเผยแพร่ความตายทำการอาละวาดอยู่ภายใน—และนอกจากนั้น ผู้คนส่วนใหญ่ติดตามพวกเขา คริสตจักรเช่นนั้นถูกปกครองโดยซาตาน ธรรมดาและเรียบง่าย มีมารเป็นกษัตริย์ของพวกเขา

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

หลายคนในคริสตจักรไม่มีการหยั่งรู้ เมื่อมีบางสิ่งที่ลวงตาเกิดขึ้น พวกเขาจะยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง พวกเขาถึงขั้นมีความขุ่นเคืองกับการถูกเรียกว่าสมุนของซาตาน แม้ว่าผู้คนอาจจะกล่าวว่าพวกเขาไม่มีการหยั่งรู้ พวกเขาก็มักจะยืนอยู่ในฝ่ายที่ปราศจากความจริง พวกเขาไม่เคยยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงในยามวิกฤติเลย พวกเขาไม่เคยยืนหยัดและโต้แย้งเพื่อความจริงเลย พวกเขาขาดพร่องการหยั่งรู้อย่างจริงแท้หรือ? เหตุใดพวกเขาจึงเลือกฝ่ายของซาตานอย่างคาดไม่ถึง? เหตุใดพวกเขาจึงไม่เคยพูดสักคำหนึ่งที่เป็นธรรมและสมเหตุสมผลเพื่อสนับสนุนความจริง? สถานการณ์นี้เป็นผลที่เกิดขึ้นจากความสับสนเพียงชั่วขณะของพวกเขาอย่างแท้จริงหรือ? ยิ่งผู้คนมีการหยั่งรู้น้อยลงเท่าใด พวกเขาก็ยิ่งมีความสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของความจริงน้อยลงเท่านั้น การนี้แสดงให้เห็นถึงอะไร? มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าผู้คนที่ปราศจากการหยั่งรู้นั้นรักความชั่ว? มันไม่ได้แสดงให้เห็นหรอกหรือว่าพวกเขานั้นเป็นลูกหลานที่จงรักภักดีของซาตาน? เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานและพูดภาษาของมันได้ตลอดเวลา? ทุกถ้อยคำและการกระทำของพวกเขา การแสดงออกทางสีหน้าของพวกเขา ล้วนเพียงพอในการพิสูจน์ว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้รักความจริงประเภทใดเลย ตรงกันข้าม พวกเขาเป็นผู้คนที่เกลียดชังความจริง การที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ในฝ่ายของซาตานได้ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าซาตานนั้นรักมารตัวน้อยเหล่านี้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นผู้ที่ใช้ชีวิตของตนต่อสู้เพื่อประโยชน์ของซาตาน ข้อเท็จจริงเหล่านี้ทั้งหมดยังไม่กระจ่างชัดอย่างท่วมท้นหรอกหรือ? หากเจ้าคือบุคคลหนึ่งที่รักความจริงอย่างจริงแท้แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่สนใจบรรดาผู้ที่ปฏิบัติความจริง และเหตุใดเจ้าจึงติดตามพวกที่ไม่ปฏิบัติความจริงทันทีที่พวกเขามองมาเพียงนิดเดียว? นี่เป็นปัญหาประเภทใดกันแน่? เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะมีการหยั่งรู้หรือไม่ เราไม่ใส่ใจว่าเจ้าได้จ่ายไปในราคาแพงเท่าใด เราไม่ใส่ใจว่ากำลังบังคับของเจ้าจะยิ่งใหญ่สักเพียงไหน และเราไม่ใส่ใจว่าเจ้าจะเป็นอันธพาลประจำถิ่นหรือว่าเป็นผู้นำที่ถือธง หากกำลังบังคับของเจ้ายิ่งใหญ่ นั่นก็เป็นเพียงด้วยความช่วยเหลือจากพละกำลังของซาตาน หากศักดิ์ศรีของเจ้าสูงส่ง เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพียงเพราะว่ามีผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริงอยู่รอบตัวเจ้ามากเกินไป หากเจ้ายังไม่ถูกขับไล่ออกไป เช่นนั้นแล้วนั่นก็เป็นเพราะว่า ณ ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาสำหรับงานแห่งการขับไล่ แต่ทว่า นี่เป็นเวลาแห่งงานของการกำจัด ไม่มีความรีบร้อนที่จะขับไล่เจ้าในตอนนี้ เราเพียงแค่กำลังรอคอยวันที่เราจะลงโทษเจ้าหลังจากที่เจ้าได้ถูกกำจัดไปแล้ว ผู้ใดก็ตามที่ไม่ปฏิบัติความจริงจะถูกกำจัดไป!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, คำเตือนสำหรับบรรดาผู้ที่ไม่ปฏิบัติความจริง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger