ผ่านการอ่านพระคัมภีร์ เราทุกคนรู้ว่าพวกฟาริสียิวกล่าวโทษและต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า ยังไงก็ตาม พี่น้องชายหญิงส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจ ว่าตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ พวกฟาริสีรู้ว่าพระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แม้จะเป็นอย่างนั้น พวกเขาก็ยังต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง พวกนั้นตรึงพระองค์บนกางเขน ธรรมชาติและเนื้อแท้ของพวกเขาคืออะไร
ตอบ: ทุกคนที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ารู้ว่าพวกฟาริสีต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า แต่รากของมัน แก่นแท้ที่แท้จริงของการต่อต้านของพวกเขาคืออะไร พูดได้เลยว่าในประวัติศาสตร์ของศาสนากว่า 2,000 ปี ไม่มีใครขบคิดคำตอบของคำถามนี้ออกเลย แม้ว่าการสาปแช่งพวกฟาริสีขององค์พระเยซูเจ้าถูกเขียนไว้ในพันธสัญญาใหม่ ก็ไม่มีใครเคยสามารถหยั่งรู้แก่นแท้ของพวกฟาริสีได้ เมื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาถึงในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงเปิดเผยคำตอบที่แท้จริงต่อคำถามนี้ มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กัน “พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซูหรือไม่? พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ธาตุแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่? พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้แสวงหาความจริงของชีวิต และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้เท่าทันเช่นนั้นได้รับพระพรของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร? พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์ และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยได้ร่วมเคียงกับพระเมสสิยาห์ พวกเขาทำผิดพลาดที่ยึดติดอย่างสูญเปล่ากับพระนามของพระเมสสิยาห์ ในขณะที่ต่อต้านเนื้อแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยธาตุแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง หลักการของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ทรงไม่ใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์ ทรรศนะเหล่านี้ไม่ได้โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว)
พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสอย่างชัดเจนมาก รากเหง้าของการต้านทานและการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าของพวกฟาริสี ก็คือพวกเขาไม่ได้เคารพนับถือพระเจ้าหรือค้นหาความจริงสักนิด ลึกลงไป พวกเขาดื้อรั้นและโอหัง พวกเขาไม่เชื่อฟังความจริง พวกฟาริสีนิยามพระเจ้าอยู่ภายในกรอบมโนทัศน์และจินตนาการของตัวเอง ภายในความหมายตามตัวอักษรของพระคำในพระคัมภีร์ พวกเขายึดถือพระเมสสิยาห์ก็แต่ชื่อเท่านั้น ไม่ว่าคำประกาศขององค์พระเยซูเจ้าจะลุ่มลึกและถูกต้องแค่ไหน พระวจนะของพระองค์เป็นความจริงแค่ไหน หรือพระวจนะของพระองค์จะมีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพแค่ไหน เพราะว่าพระนามของพระองค์ไม่ใช่พระเมสสิยาห์ พวกฟาริสีจึงต่อต้านและกล่าวโทษพระองค์ หลักการแห่งความเชื่อของพวกเขาเป็นเหมือนที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ทรงไม่ใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์” พวกฟาริสีไม่เพียงแค่ไม่ยอมรับความจริงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงแสดงเท่านั้น พวกนั้นยังได้ทดลองพระองค์และทดสอบจับผิดพระองค์ ตัวอย่างเช่น พวกเขาทดลององค์พระเยซูเจ้าโดยถามว่าพระองค์ใช้สิทธิอำนาจอะไรแสดงปาฏิหาริย์ และจงใจถามองค์พระเยซูเจ้าว่าพวกเขาจ่ายภาษีให้ซีซาร์ได้หรือไม่ พวกเขาถามองค์พระเยซูเจ้าว่าพระองค์ทรงเป็นบุตรของพระเจ้า พระคริสต์ หรืออีกสารพัดหรือไม่ องค์พระเยซูเจ้าทรงโต้กลับแผนการชั่วร้ายของพวกเขาด้วยความจริงและพระปรีชาญาณ พวกฟาริสีไม่มีกำลังหักล้างพระองค์ แต่พวกเขาก็ยังไม่ได้ค้นหาความจริง พวกเขายังคงต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาให้จับองค์พระเยซูเจ้า และเรียกร้องให้ตรึงพระองค์บนกางเขน มันเหมือนกับที่องค์พระเยซูตรัสไว้ตอนที่พระองค์ทรงเปิดโปงพวกนั้น “แต่เดี๋ยวนี้พวกท่านหาโอกาสฆ่าเรา ซึ่งเป็นผู้บอกท่านถึงสัจจะที่เราได้ยินมาจากพระเจ้า […] ถ้าเราพูดความจริง ทำไมท่านถึงไม่เชื่อเรา?” (ยอห์น 8:40, 46) ดังนั้น เราเห็นได้ว่า ธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกฟาริสีคือปีศาจอย่างซาตาน ศัตรูของพระเจ้าที่เกลียดชังความจริง! พี่น้องชายหญิงทุกคน คนแบบไหนกันที่สามารถเกลียดชังและกล่าวโทษพระคริสต์ได้ เรื่องราวของพวกฟาริสีแสดงให้เห็นข้อเท็จจริงนึงอย่างชัดเจน ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ไม่รักความจริง ไม่สนใจความจริงและเกลียดชังความจริง ก็ไม่รู้จักพระเจ้า แถม คนเหล่านี้ต่อต้านพระเจ้าและเห็นพระองค์เป็นศัตรูของตัวเองแน่นอน เพราะว่าแก่นแท้ของพระคริสต์คือความจริง คือหนทาง และคือชีวิต ใครก็ตามที่เกลียดชังความจริงก็เกลียดชังพระคริสต์ด้วย คนที่เกลียดชังความจริงหลายคนดูจากภายนอกเหมือนเป็นคนดี พวกเขาทำตามกฎของพระคัมภีร์และดูไม่เหมือนคนชั่วสักนิด แต่เมื่อพระคริสต์เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ ศัตรูอย่างซาตานของพระเจ้าเหล่านี้จะถูกเปิดโปงอย่างสมบูรณ์
การต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าอย่างชั่วร้ายของพวกฟาริสี เปิดโปงแก่นแท้อย่างปีศาจของพวกเขาอย่างหมดเปลือก พวกเขาเกลียดชังความจริงและต่อต้านพระเจ้า ว่าตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงประกาศและทรงพระราชกิจของพระองค์ พระองค์ได้ทรงแสดงความจริงมากมาย ทรงแสดงปาฏิหาริย์ต่างๆ มากมายและทรงมอบพระคุณอันบริบูรณ์แก่ผู้คน พระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าทำให้รากฐานของศาสนายิวสั่นสะเทือนและทำให้รัฐยิวตกตะลึง คนมากมายได้ติดตามองค์พระเยซูเจ้า พวกฟาริสีรู้ ว่าถ้าองค์พระเยซูเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ต่อไป ผู้สัตย์ซื่อในศาสนายิวทั้งหมดจะติดตามพระองค์ ศาสนายิวจะล่มจม และตำแหน่งกับตั๋วอาหารของพวกเจ้าก็จะหายไป ดังนั้น พวกเขาจึงตัดสินใจฆ่าองค์พระเยซูเจ้า ดังที่พระคัมภีร์กล่าวว่า “ฉะนั้นพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภา แล้วพูดกันว่า เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งพระวิหารและชาติของเรา […] นับตั้งแต่วันนั้นพวกเขาจึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์” (ยอห์น 11:47, 48, 53) เพื่อปกป้องสถานะและตั๋วอาหารของพวกเขาไว้ พวกฟาริสีสมรู้ร่วมคิดกับคณะปกครองโรมันเพื่อตรึงองค์พระเยซูเจ้าบนกางเขน ฝูงชนทั้งหมดก็ร้องว่า “ให้ความผิดเรื่องความตายของเขาตกอยู่กับเราและลูกๆ ของเรา” (มัทธิว 27:25) อย่างที่พวกคุณเห็นได้ พวกฟาริสีเกลียดชังความจริงและเกลียดชังพระคริสต์ จนถึงจุดที่พวกเขาไม่ปรารถนาจะอยู่ร่วมโลกกับพระคริสต์อีกต่อไปมานานแล้ว พวกเขาเลือกที่จะละทิ้งเครื่องบูชาไถ่บาปของพวกเขามากกว่าที่จะไม่ตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาเลือกทำบาปที่เลวทราม ต่อต้านพระเจ้า และทำให้พระเจ้าขุ่นเคือง และให้บุตรชายและหลายชายของพวกเขาถูกสาปแช่ง มากกว่าไม่ตรึงองค์พระเยซูเจ้ากับกางเขน พระองค์ผู้ซึ่งทรงแสดงความจริงของการไถ่ให้มวลมนุษย์ นั่นคือธรรมชาติและเนื้อแท้ที่เกลียดชังความจริงอย่างซาตานอย่างแท้จริงของพวกฟาริสี ว่าเมื่อองค์พระเยซูเจ้าถูกตรึงกับกางเขน ดวงอาทิตย์ดับแสง แผ่นดินโลกสั่นสะเทือน และม่านของวิหารก็แยกเปิดออก หลังจากองค์พระเยซูเจ้าคืนพระชนม์ พระองค์ทรงปรากฏต่อหน้ามนุษย์อีกครั้ง หลังจากผู้คนเรียนรู้ความจริงเหล่านี้ พวกเขากลับใจสำหรับบาปของตัวเอง และหันเข้าหาองค์พระเยซูเจ้า แล้วพวกฟาริสีล่ะ พวกเขานอกจากไม่กลับใจแล้ว ยังจะยิ่งเป็นศัตรูคู่อาฆาตขององค์พระเยซูเจ้ามากขึ้นไปอีก พวกเขาจ่ายให้ทหารเป็นพยานเท็จและพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าไม่ได้คืนพระชนม์ เมื่ออัครทูตเผยแผ่ข่าวประเสริฐขององค์พระเยซูเจ้า พวกฟาริสีก็จับและข่มเหงพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาต้องการสั่งห้ามพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า เพื่อบรรลุความทะยานอยากของพวกเขาในการควบคุมชุมชนศาสนาอย่างถาวร พวกฟาริสีเชื่อในพระเจ้าในพระนามเท่านั้น ในความเป็นจริง พวกเขาเกลียดชังความจริงและต่อต้านพระเจ้า แก่นแท้ของการต่อต้านและการกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าของพวกเขามีดังนี้: พวกเขาแข่งกับพระเจ้าและประเมินพระองค์ พวกเขาต่อสู้กับพระเจ้า ความโอหังของการต่อต้านและความเกลียดชังของพวกเขาต่อองค์พระเยซูเจ้าได้เปิดโปงความทะเยอทะยานของพวกเขาจนหมดเปลือก และเปิดโปงโฉมหน้าอย่างซาตานที่ชั่วร้ายของพวกเขา อีกอย่าง มันยังได้เปิดโปงธรรมชาติที่เป็นศัตรูของพระคริสต์อย่างปีศาจของพวกเขา: การปฏิเสธที่จะกลับใจ ความเกลียดชังความจริงและเกลียดชังพระเจ้าอย่างบ้าคลั่ง นั่นเป็นวิธีที่บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสของชุมชนศาสนาปฏิบัติต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ใช่เหรอ ถ้าเราเห็นได้ชัดเจนว่าบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ยังไง เราจะรู้อย่างแน่นอน ว่าพวกฟาริสีต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าในแบบเดียวกัน
เมื่อ 2,000 ปีก่อน พวกปุโรหิต ธรรมาจารย์ และพวกฟาริสียิวได้ตรึงองค์พระเยซูเจ้าบนกางเขน 2,000 ปีต่อมา บรรดาผู้นำศาสนาก็ซ้ำรอยเดิมโดยการตรึงพระเจ้าบนกางเขนอีกครั้ง! เราทุกคนเห็นแล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงดำเนินพระราชกิจแห่งการพิพากษาเริ่มจากพระนิเวศของพระเจ้าในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริงที่ชำระมนุษยชาติให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงเปิดเผยความลึกลับทั้งหมดของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า พระองค์ทรงพิพากษาและทรงเปิดโปงธรรมชาติอย่างซาตานของมนุษยชาติที่ต่อต้านและทรยศพระเจ้า พระองค์ทรงแสดงให้พวกเขาเห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ซึ่งไม่สามารถถูกทำให้ขุ่นเคืองได้ พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริง พระวจนะเหล่านี้มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ และทำให้เราเชื่อหมดใจ ความจริงเหล่านี้ชำระมนุษยชาติให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอด แล้วเรื่องบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสทุกวันนี้ล่ะ พวกเขาไม่สนว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงยังไง พระวจนะของพระองค์มีสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพมากแค่ไหน พวกมันชำระมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอดได้ยังไง พวกเขายังคงรักษาความคิดผิดๆ ไว้อย่างดื้อรั้น “ใครก็ตามที่ไม่ได้เสด็จลงมาบนเมฆและยกฉันขึ้นไปสู่อาณาจักรสวรรค์ก็ไม่ใช่การเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า” พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง พวกเขารักษาองค์พระเยซูเจ้าไว้ในพระนามเท่านั้น แต่ต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง มันจะต่างอะไรกับตอนที่พวกฟาริสีรักษาพระนามของเมสสิยาห์ไว้แต่ต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าล่ะ แก่นแท้ของพวกเขาเหมือนกับพวกฟาริสีเลยไม่ใช่เหรอ ดื้อรั้น โอหัง ไม่เชื่อฟังความจริง เกลียดชังความจริง พวกเขาเชื่อในพระเจ้าที่คลุมเครือบนสวรรค์เท่านั้น และพวกเขาปฏิเสธ ต่อต้าน และกล่าวโทษพระคริสต์ซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ พวกเขาเป็นปรปักษ์ที่ไปด้วยกันไม่ได้กับพระคริสต์ พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ปฏิเสธ กล่าวโทษ และต่อต้านพระคริสต์ไม่ใช่เหรอ พระคัมภีร์กล่าวว่า “และตามที่พวกท่านได้ยินได้ฟังมาว่าศัตรูของพระคริสต์จะมา เดี๋ยวนี้ศัตรูของพระคริสต์จำนวนมากก็มาแล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงรู้ว่าบัดนี้เป็นวาระสุดท้ายแล้ว” (1 ยอห์น 2:18) “เพราะว่ามีผู้ล่อลวงจำนวนมากออกมาในโลก เป็นพวกที่ไม่ยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เสด็จมาเป็นมนุษย์ คนประเภทนั้นแหละเป็นผู้ล่อลวงและเป็นศัตรูของพระคริสต์” (2 ยอห์น 1:7) ดังนั้นทุกคนที่ไม่ยอมรับพระเจ้าผู้จุติเป็นมนุษย์ก็เป็นศัตรูของพระคริสต์ ทุกคนที่ต่อต้านและกล่าวโทษพระคริสต์ก็เป็นศัตรูของพระคริสต์ ดังนั้นพวกฟาริสียิวจึงถูกเปิดโปงว่าเป็นศัตรูของพระคริสต์โดยพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในยุคสุดท้าย ทั้งหมดเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกเปิดโปงโดยพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระราชกิจของพระเจ้าผู้จุติเป็นมนุษย์เปิดโปงผู้คนจริงๆ! ทุกอย่างที่พระคริสต์ทรงแสดงในยุคสุดท้ายเป็นความจริง พระองค์ไม่เพียงแค่ทรงเปิดโปงหญิงพรหมจารีย์มีปัญญาและโง่เท่านั้น พระองค์ทรงเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์และผู้ไม่เชื่อทุกประเภท นี่เป็นความจริงที่ไม่มีใครปฏิเสธได้!
บรรดาผู้นำศาสนาในยุคสุดท้าย และบรรดาหัวหน้าปุโรหิต ธรรมจารย์ และพวกฟาริสียิว แก่นแท้และรากเหง้าของการต่อต้านพระเจ้าของพวกเขาเป็นแบบเดียวกัน วิธีที่บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสต่อต้านพระเจ้า แย่ยิ่งกว่าบรรดาหัวปุโรหิต ธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีเสียอีก ตั้งแต่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เริ่มทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาของพระองค์จากพระนิเวศของพระเจ้า คนทั้งหมดของทุกนิกายได้ถูกรับขึ้นไปอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า ตราบเท่าที่พวกเขารักความจริงและโหยหาการทรงปรากฏของพระเจ้า บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสจะไม่หยุดต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทั้งหมดนี้เป็นความพยายามที่จะจำกัดผู้สัตย์ซื่อ และทำให้สถานะและการดำรงชีวิตของพวกเขามีมั่นคง พวกเขากระจายข่าวลือ เป็นพยานเท็จ และหมิ่นประมาทพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาปิดผนึกคริสตจักรไว้ และห้ามผู้เชื่ออย่างเข้มงวดไม่ให้ศึกษาพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย พวกเขาข่มขู่ ทำให้กลัว เย้ยหยัน และทำร้ายพี่น้องชายหญิงที่เผยแผ่ข่าวประเสริฐของอาณาจักร พวกเขาถึงกับสมรู้ร่วมคิดกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่โหดเหี้ยมเพื่อจับกุมและข่มเหงผู้เชื่อ ทำให้พี่น้องชายหญิงหลายร้อยหลายพันคนไม่มีบ้านให้กลับไป คนอย่างน้อย 10,000 คนถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนทรมานอย่างโหดร้าย คนมากมายถึงกับถูกฆ่าตาย…การต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของบรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส บ้าคลั่งยิ่งกว่าการต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าของพวกฟาริสีเสียอีก การกระทำชั่วร้ายของพวกเขาในการต่อต้านพระเจ้ามีจำนวนมากมาย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ทรงพิพากษาและสาปแช่งพวกเขานานมาแล้ว พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีกี่คนท่ามกลางพวกเขาที่แสวงหาความจริงและปฏิบัติตามความชอบธรรม? พวกเขาทั้งหมดคือสัตว์ร้าย ไม่ได้ดีไปกว่าสุกรและสุนัข อยู่กับตัวหัวหน้าของพวกแมลงวันที่ส่งกลิ่นเหม็น แกว่งหัวไปมาในการชื่นชมตัวเองอย่างสบายใจ และก่อปัญหาทุกประเภท[1] ในท่ามกลางกองมูลสัตว์ พวกเขาเชื่อว่ากษัตริย์แห่งนรกของพวกเขาคือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในบรรดากษัตริย์ทั้งปวง โดยรู้เพียงน้อยนิดว่าพวกเขาเองนั้นไม่ได้เป็นมากไปกว่าแมลงวันที่ส่งกลิ่นเหม็นทั้งหลาย…ด้วยปีกสีเขียวบนหลังของพวกมัน (นี่อ้างอิงถึงการกล่าวอ้างของพวกมันว่าเชื่อในพระเจ้า) พวกมันหลงตัวเองและโอ้อวดความงามและความยั่วยวนของพวกมันเองทุกที่ ในขณะที่พวกมันแอบสลัดความไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายบนตัวของพวกมันเองเข้าใส่มนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้น พวกมันพอใจในตัวพวกมันเองเหลือเกิน ราวกับว่าพวกมันสามารถใช้ปีกสีรุ้งหนึ่งคู่เพื่อปกปิดความไม่บริสุทธิ์ทั้งหลายของพวกมันเองได้ และด้วยวิถีทางเหล่านี้พวกมันนำการกดขี่ของพวกมันให้มีผลต่อการทรงดำรงอยู่ของพระเจ้าเที่ยงแท้ (นี่อ้างอิงสิ่งที่เกิดขึ้นหลังฉากในโลกศาสนา) มนุษย์จะรู้ได้อย่างไรว่า แม้จะสวยงามชวนให้หลงใหลอย่างที่ปีกของแมลงวันอาจจะเป็น เจ้าแมลงวันเองนั้นที่จริงแล้วไม่ได้เป็นมากไปกว่าสิ่งทรงสร้างขนาดจิ๋ว โดยมีท้องที่เต็มไปด้วยความโสมมและร่างกายที่ปกคลุมไปด้วยเชื้อโรค? พวกเขาวิ่งพล่านไปทั่วแผ่นดินบนพละกำลังของสุกรและสุนัขที่พวกเขามีให้กับบิดามารดา (นี่อ้างอิงถึงวิธีซึ่งเจ้าหน้าที่ทางศาสนาผู้ที่ข่มเหงพระเจ้าพึ่งพาการสนับสนุนอันแข็งแกร่งจากรัฐบาลของชาติเพื่อกบฏต่อพระเจ้าเที่ยงแท้และความจริง) ปล่อยตัวปล่อยใจไปในความป่าเถื่อนของพวกเขา เป็นราวกับว่าบรรดาผีของพวกฟาริสีชาวยิวได้กลับมายังชนชาติของพญานาคใหญ่สีแดงพร้อมกันกับพระเจ้า กลับไปสู่รังเดิมของพวกมัน พวกเขาได้เริ่มการข่มเหงอีกรอบแล้ว โดยยกระดับงานของพวกมันจากเมื่อหลายพันปีมาแล้ว บรรดาคนต่ำทรามกลุ่มนี้แน่นอนว่าจะพินาศบนแผ่นดินโลกในท้ายที่สุด!” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (7)) พระวจนะที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง ได้รับการเผยแพร่สู่สาธารณะผ่านทางหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ และอินเตอร์เน็ตเมื่อนานมาแล้ว ภาพยนตร์และวีดีโอข่าวประเสริฐหลากหลายประเภทได้ถูกโพสต์ลงบนอินเตอร์เน็ตแล้ว เพื่อเป็นพยานอย่างเปิดเผยให้การทรงสำแดงและพระราชกิจของพระเจ้าแก่ทั้งโลก นี่ทำให้เกิดระลอกคลื่นในหมู่ชุมชนศาสนาและมนุษยชาติโดยทั่วไป บรรดาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในชุมชนศาสนา ได้เห็นกระแสนิยมที่กำลังเติบโตขึ้นแล้ว: พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังพิชิตบรรดาผู้ที่อยู่ในชุมชนศาสนาและมนุษยชาติโดยทั่วไป ไม่มีบุคคลใดหรือกำลังใดหยุดยั้งมันได้ พวกเขากลายเป็นคนโกรธง่ายและกำลังต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อย่างบ้าคลั่ง พวกเขาพยายามทำให้พระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และทำฝันอันป่าเถื่อนที่สุดของพวกเขาให้เป็นผล นั่นก็คือ การควบคุมชุมชนศาสนาไปตลอดกาล และมีอำนาจเหนือประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไปตลอดกาล ข้อเท็จจริงเหล่านี้พอที่จะพิสูจน์ ว่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสทางศาสนาในยุคสุดท้ายคือการปรากฏขึ้นอีกครั้งของพวกฟาริสี! พวกเขาเป็นปีศาจศัตรูของพระคริสต์ที่ทำงานหนักที่สุดเท่าที่ทำได้เพื่อก่อกวนและทำลายพระราชกิจของพระเจ้าและสาบานว่าจะเป็นศัตรูของพระเจ้าไปจนตาย! ความประพฤติชั่วนานัปการของพวกเขาได้ยั่วยุพระอุปนิสัยของพระเจ้าแล้ว พวกเขาจะหนีพ้นการพิพากษาและการลงโทษที่ชอบธรรมของพระเจ้าไปได้ยังไง
ตัดตอนจากบทภาพยนตร์เรื่อง เมืองนั้นจะล่มจม
เชิงอรรถ:
1. “ก่อปัญหาทุกประเภท” อ้างอิงถึงวิธีที่ผู้คนที่เหมือนปีศาจทำตัวเกเร โดยขัดขวางและต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้า
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ