สิ่งที่เป็นความหน้าซื่อใจคด

วันที่ 07 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ด้วยเหตุว่าพวกฟาริสีเป็นพวกหน้าซื่อใจคด ทุกสิ่งทุกอย่างที่สำแดงและเปิดเผยในตัวพวกเขาจึงเทียมเท็จ เป็นการเสแสร้งทั้งสิ้น—ไม่ใช่ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา ใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขาซ่อนเร้นอยู่ภายในหัวใจของพวกเขา อยู่นอกสายตา หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และหากพวกเขาไม่เข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้วจะเกิดสิ่งใดขึ้นกับทฤษฎีเหล่านั้นที่พวกเขาได้รับไว้แล้ว? ทฤษฎีเหล่านั้นไม่กลายเป็นตัวอักษรและหลักคำสอนที่ผู้คนอ้างอิงถึงบ่อยๆ หรอกหรือ? ผู้คนใช้สิ่งที่เรียกว่าหลักคำสอนที่ถูกต้องเหล่านี้เพื่ออำพรางและตกแต่งตัวพวกเขาเองอย่างดีเหลือเกิน ที่ใดก็ตามที่พวกเขาไป สิ่งที่พวกเขาคุยกัน สิ่งที่พวกเขาพูด และพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาล้วนดูเหมือนถูกต้องและดีต่อผู้อื่น ทั้งหมดนั้นสอดคล้องกับมโนคติที่หลงผิดและรสนิยมของมนุษย์ ในสายตาของผู้อื่น พวกเขาทั้งเคร่งศาสนาและถ่อมใจ สามารถมีความอดกลั้นและความอดทน และสามารถรักผู้อื่นและรักพระเจ้าได้ แต่อันที่จริงแล้ว ทั้งหมดนี้ปลอม ทั้งหมดเป็นเพียงแค่การเสแสร้ง และเป็นหนทางหนึ่งที่พวกเขาตกแต่งตัวพวกเขาเอง ภายนอกแล้วพวกเขาดูเหมือนจงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้ว พวกเขาเพียงแค่กำลังแสดงให้ผู้อื่นมองเห็น เมื่อไม่มีใครกำลังมองดูอยู่ พวกเขาก็ไม่จงรักภักดีแม้แต่น้อย และทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำก็เป็นแบบขอไปที ดูภายนอกแล้ว พวกเขาได้ทิ้งครอบครัวและอาชีพของพวกเขา โดยดูเหมือนทำงานหนักและสละตัวพวกเขาเอง อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริงแล้ว พวกเขากำลังหากำไรจากคริสตจักรและกำลังลักขโมยเครื่องบูชาอย่างลับๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาเปิดเผยภายนอก—พฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขานั้น—ปลอม นี่คือสิ่งที่หมายถึงคนฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด “พวกฟาริสี”—ผู้คนเหล่านี้มาจากที่ใด? พวกเขาอุบัติขึ้นมาท่ามกลางผู้ไม่เชื่อหรือ? พวกเขาทั้งหมดอุบัติขึ้นมาท่ามกลางบรรดาผู้เชื่อ เหตุใดผู้เชื่อเหล่านี้จึงแปลงสภาพเยี่ยงนั้น? พระวจนะของพระเจ้าจะสามารถทำให้พวกเขาเป็นแบบนั้นได้หรือ? สิ่งใดคือสาเหตุหลักที่พวกเขาแปรสภาพเป็นผู้คนเช่นนั้น? สาเหตุหลักคือการที่พวกเขาได้เดินไปในเส้นทางที่ผิด พวกเขาได้ใช้พระวจนะของพระเจ้าเป็นเครื่องมือเพื่อติดอาวุธตัวพวกเขาเอง พวกเขาติดอาวุธตัวพวกเขาเองด้วยพระวจนะเหล่านี้ โดยถือว่าพระวจนะเหล่านี้เป็นต้นทุนสำหรับใช้เพื่อหาเลี้ยงชีพและเพื่อได้บางสิ่งมาเปล่าๆ พวกเขาเพียงแค่ประกาศหลักคำสอน แต่ไม่เคยได้นำพระวจนะเหล่านั้นไปปฏิบัติ ผู้คนชนิดใดที่เป็นพวกที่ประกาศพระวจนะและหลักคำสอนต่อไปทั้งๆ ที่ไม่เคยได้ติดตามหนทางของพระเจ้า? เหล่านี้คือพวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคด ส่วนเล็กน้อยนั้นในพฤติกรรมที่สมมุติว่าดีและหนทางที่สมมุติว่าดีของการแสดงตัวพวกเขาเอง และสิ่งน้อยนิดที่พวกเขาได้ยอมทิ้งและสละเป็นการฝืนทำทั้งสิ้น ทั้งหมดนั่นเป็นเพียงแค่ละครที่พวกเขาเล่นตบตาอยู่ สิ่งเหล่านั้นปลอมทั้งสิ้น การกระทำทั้งหมดนั้นล้วนเป็นการเสแสร้ง ในหัวใจของผู้คนเหล่านี้ไม่มีความเคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย อีกทั้งพวกเขาไม่มีแม้แต่ความเชื่อที่จริงแท้ในพระเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นพวกผู้ปราศจากความเชื่อ หากผู้คนไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะเดินในเส้นทางชนิดนี้ และพวกเขาก็จะกลายเป็นพวกฟาริสี นั่นไม่น่าขวัญผวาหรือ?

ตัดตอนมาจาก “หกข้อบ่งบอกความก้าวหน้าในชีวิต” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในอิสราเอล “ฟาริสี” เคยเป็นชื่อตำแหน่งจำพวกหนึ่ง เหตุใดตอนนี้มันจึงเป็นการตีตราแทน? นี่เป็นเพราะพวกฟาริสีได้กลายเป็นตัวแทนของบุคคลชนิดหนึ่ง สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลชนิดนี้? พวกเขาท่องคำขวัญและใช้ภาษาใหญ่โตโอ้อวด พวกเขามีทักษะในการเสแสร้ง ในการตบแต่งตัวพวกเขาเอง ในการซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และพวกเขาตบตาด้วยการทำเป็นมีความสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์และความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ ความยุติธรรมและเกียรติยิ่งใหญ่ ผลก็คือพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงแม้แต่น้อย พวกเขากระทำตัวอย่างไร? พวกเขาอ่านคัมภีร์ พวกเขาเทศนา พวกเขาสอนผู้อื่นให้ทำดี ไม่ทำชั่ว ไม่ต้านทานพระเจ้า พวกเขาพูดสรรพสิ่งที่น่าฟังและประพฤติตนดีต่อหน้าผู้อื่น แต่ทว่า เมื่อผู้อื่นหันหลังให้ พวกเขาก็ขโมยเครื่องบูชา องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่าพวกเขา “กรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป” นี่หมายความว่าพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาดูเหมือนดีที่ผิวภายนอก—พวกเขาท่องคำขวัญอย่างโอ้อวด พวกเขาพูดถึงทฤษฎีที่สูงส่ง และคำพูดของพวกเขาฟังดูน่ายินดี แต่ทว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นความรกรุงรังที่ไร้ระเบียบ ซึ่งต้านทานพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง พฤติกรรมและรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาล้วนเป็นการเสแสร้ง ล้วนเป็นการฉ้อฉล ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีความรักแม้แต่น้อยสำหรับความจริงหรือสำหรับสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวก พวกเขาเบื่อความจริง เบื่อทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า และเบื่อสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวก พวกเขารักสิ่งใด? พวกเขารักความยุติธรรมและความชอบธรรมหรือไม่? (ไม่) พวกเจ้าสามารถบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่รักสิ่งเหล่านี้? (องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจและเผยแพร่ข่าวประเสริฐแห่งแผ่นดินสวรรค์ ถึงกระนั้นพวกเขากลับกล่าวโทษพระองค์) หากพวกเขาไม่ได้กล่าวโทษพระองค์ เจ้าจะมีความสามารถที่จะบอกได้หรือไม่? ก่อนที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ สิ่งใดหรือที่อาจได้บอกเจ้าว่าพวกเขาไม่ได้รักความยุติธรรมและความชอบธรรม? เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะบอกได้กระนั้นหรือ? พฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาเป็นการเสแสร้ง และพวกเขาใช้การเสแสร้งมีพฤติกรรมดีนี้เพื่อหลอกล่อความไว้วางใจจากผู้อื่น นี่ไม่ใช่ความหน้าซื่อใจคดและการเล่ห์ลวงหรือ? นักหลอกลวงเช่นนั้นสามารถรักความจริงได้หรือ? สิ่งใดคือจุดประสงค์ที่ซ่อนเร้นของพฤติกรรมดีนี้ของพวกเขา? ส่วนหนึ่งของจุดประสงค์ของพวกเขาคือการฉ้อโกงผู้อื่น อีกส่วนหนึ่งคือการหลอกลวงผู้อื่น ชนะใจพวกเขา และได้รับการสักการะบูชาจากพวกเขา และได้รับบำเหน็จรางวัลในที่สุด เทคนิคของพวกเขาต้องฉลาดเพียงใดจึงจะทำให้การต้มตุ๋นขนาดใหญ่เช่นนั้นสำเร็จได้? เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเช่นนี้รักความยุติธรรมและความชอบธรรมหรือ? ไม่อย่างแน่นอน พวกเขารักสถานะ พวกเขารักชื่อเสียงและโชคลาภ และพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับบำเหน็จรางวัล พวกเขานำพระวจนะแห่งการทรงนำของพระเจ้าสำหรับผู้คนไปปฏิบัติหรือไม่? ไม่เลย พวกเขาไม่ใช้ชีวิตตามพระวจนะเหล่านั้นแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่ปลอมตัวและตบแต่งตัวพวกเขาเองเพื่อใช้เล่ห์เหลี่ยมกับผู้คนและชนะใจพวกเขา เพื่อพยุงสถานะของพวกเขาเอง เพื่อพยุงความมีหน้ามีตาของพวกเขาเอง ครั้นสิ่งเหล่านี้มั่นคงแล้ว พวกเขาก็ใช้พวกมันเพื่อจัดหาเงินทุนและแหล่งรายได้ การนี้ไม่น่าเหยียดหยามหรือ? สามารถมองเห็นได้ในพฤติกรรมเหล่านี้ทั้งหมดของพวกเขาว่าแก่นแท้ของพวกเขาคือการไม่รักความจริง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยนำความจริงไปปฏิบัติ สิ่งใดคือเครื่องหมายแสดงว่าพวกเขาไม่นำความจริงไปปฏิบัติ? นี่เป็นเครื่องหมายที่ใหญ่ที่สุด กล่าวคือ องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ตรัสนั้นถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ตรัสคือความจริง พวกเขาได้ปฏิบัติต่อการนั้นอย่างไร? (พวกเขาไม่ยอมรับมัน) พวกเขาไม่ยอมรับพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเพราะพวกเขาเชื่อว่าพระวจนะเหล่านั้นผิด หรือพวกเขาไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าพระวจนะเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่? (พวกเขาไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าพระวจนะเหล่านั้นถูกต้อง) และสิ่งใดเล่าจะสามารถทำให้เกิดการนี้ได้? พวกเขาไม่รักความจริง และพวกเขาชิงชังสิ่งต่างๆ ที่เป็นบวก ทั้งหมดที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสถูกต้อง ไม่มีความผิดใดๆ และทั้งๆ ที่พวกเขาไม่สามารถพบข้อผิดพลาดใดๆ ในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่จะใช้ต่อต้านพระองค์ แต่พวกเขากลับพูดว่า “คนนี้เป็นลูกช่างไม้…ไม่ใช่หรือ?” พวกเขาตั้งใจที่จะค้นหาข้อผิดพลาดในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเพื่อใช้ต่อต้านพระองค์ และเมื่อไร้ความสามารถที่จะพบข้อผิดพลาดใดๆ พวกเขาก็กล่าวโทษพระองค์ และแล้วพวกเขาก็สมคบคิดกันพูดว่า “ให้พระองค์ถูกตรึงกางเขน เป็นพระองค์หรือไม่ก็พวกเรา” ในหนทางนี้ พวกเขาวางตัวพวกเขาเองต่อสู้องค์พระเยซูเจ้า แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ทรงเป็นคนดีที่ไม่ได้ทรงฝ่าฝืนทั้งกฎต่างๆ ตามกฎหมายและธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์[ก] เหตุใดพวกเขาจึงกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า? เหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติต่อองค์พระเยซูเจ้าเยี่ยงนั้น? สามารถมองเห็นได้ว่าผู้คนเหล่านี้เลวร้ายและมุ่งร้ายเพียงใด—พวกเขาชั่วอย่างสุดขั้ว! โฉมหน้าชั่วที่พวกฟาริสีเปิดโปงให้เห็นไม่สามารถแตกต่างจากการพรางตัวด้วยความใจดีมีเมตตามากไปกว่านี้แล้ว มีหลายคนที่ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าอันไหนคือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาและอันไหนคือความเทียมเท็จ ถึงกระนั้นการทรงปรากฎและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าก็ได้เปิดเผยพวกเขาทั้งหมด พวกฟาริสีปลอมตัวดีเพียงใด พวกเขาดูเหมือนใจดีเพียงใดที่ภายนอก—หากข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย ก็คงจะไม่มีใครมีความสามารถที่จะมองเห็นพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาเป็น

ตัดตอนมาจาก “ส่วนสำคัญที่สุดของการที่เชื่อในพระเจ้าคือการนำความจริงไปปฏิบัติ” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในคำว่า “ปลอมเป็นบุคคลอื่น” ส่วนที่สื่อความหมายก็คือภาพจำลองบุคคล ดังนั้นแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์ลงทุนสร้างภาพจำลองบุคคลแบบใดให้แก่ตัวพวกเขาเองเล่า? พวกเขากำลังแสร้งเป็นผู้ใดกัน? แน่นอนว่าการปลอมเป็นบุคคลอื่นของพวกเขาเป็นไปเพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสถานะและภาพพจน์ การปลอมเป็นบุคคลอื่นนี้ไม่สามารถแยกขาดจากสิ่งเหล่านั้นได้ มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาก็คงจะไม่อาจเสแสร้งแกล้งทำเช่นนั้นได้—ไม่มีทางที่พวกเขาจะสามารถทำบางสิ่งที่โง่เขลายิ่งนักได้ เมื่อคำนึงว่าพฤติกรรมดังกล่าวนั้นถือว่าน่าตำหนิ น่าเกลียด และน่าคลื่นเหียน เหตุใดพวกเขาจึงยังคงทำการนั้นเล่า? ไม่ต้องกังขาเลยว่าพวกเขามีจุดมุ่งหมายและแรงจูงใจของพวกเขาเอง—มีเจตนาและแรงจูงใจมาเกี่ยวข้อง หากพวกศัตรูของพระคริสต์จะได้รับสถานะในจิตใจของผู้คน พวกเขาต้องทำให้ผู้คนเหล่านี้คิดกับพวกเขาอย่างสูงส่ง และสิ่งใดเล่าทำให้ผู้คนทำการนั้น? นอกเหนือไปจากการปลอมพฤติกรรมและการแสดงออกบางอย่าง ซึ่งในมโนคติอันหลงผิดของผู้คนนั้นเชื่อกันว่าดีงาม พวกศัตรูของพระคริสต์ยังปลอมพฤติกรรมและภาพลักษณ์บางอย่าง ซึ่งผู้คนเชื่อว่าสูงส่งเลิศลอยอีกด้วย เพื่อทำให้ผู้อื่นยกย่องนับถือพวกเขา สิ่งที่ผู้คนเผชิญในคริสตจักรทั้งหลายอยู่บ่อยครั้งก็คือ บางคนที่แสร้งทำเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ เพื่อที่ผู้อื่นจะได้คิดว่าพวกเขาได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี และเป็นฝ่ายจิตวิญญาณอย่างมาก และผู้คนไม่เชื่อหรอกหรือว่า บรรดาผู้ที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณนั้นแสนวิเศษและโอฬาร? (เชื่อ) ไม่สำคัญว่าพวกศัตรูของพระคริสต์ปลอมเป็นบุคคลชนิดใดหรือบุคคลประเภทใด นั่นย่อมไม่แคล้วที่จะเป็นประเภทซึ่งผู้คนมองว่าดี และโอฬาร และสูงศักดิ์ มิฉะนั้นแล้ว พวกเขาคงจะไม่ปลอมเป็นบุคคลเหล่านั้น ผู้คนจะมองพวกเขาอย่างสูงส่งหรือไม่หากพวกเขาได้ปลอมเป็นซาตาน? หากพวกเขาได้ปลอมเป็นอันธพาล เหล่าร้าย นักเลง หรือโสเภณี ผู้คนจะคิดกับพวกเขาอย่างสูงส่งหรือไม่? (ไม่) หากพวกเขาพูดว่าพวกเขาเป็นพวกฟาริสีหรือยูดาส ผู้คนจะไม่ปฏิเสธพวกเขาหรอกหรือ? (ปฏิเสธ) ปัจเจกบุคคลดังกล่าวได้รับการคำนึงถึงอย่างชัดเจนว่าคิดลบ ว่าแย่ พวกศัตรูของพระคริสต์คงจะไม่มีวันปลอมเป็นปัจเจกบุคคลเหล่านั้น ดังนั้นแล้ว พวกเขาปลอมเป็นใครเล่า? พวกเขาปลอมเป็นบรรดาผู้ที่ถูกมองว่าโอฬาร ดีงาม และแสนวิเศษในจิตใจของผู้คน พวกแรกคือผู้คนในคริสตจักรทั้งหลายที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี ผู้ที่ครองประสบการณ์และคำพยานฝ่ายจิตวิญญาณ ผู้ที่ได้รับพระคุณและพระพรของพระเจ้า ได้รับประสบการณ์กับหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ได้มองดูนิมิตอันยิ่งใหญ่ และผู้ที่ได้มีประสบการณ์อันเป็นเอกลักษณ์บางอย่าง ยังมีพวกที่พ่นคำพูดไร้สาระปาวๆ เมื่อมีผู้อื่นอยู่รายรอบด้วยเช่นกัน ผู้ที่สามารถไปต่อได้เป็นเวลาสองหรือสามชั่วโมง หรือนานกว่านั้นเสียด้วยซ้ำ มีบรรดาผู้ที่มีหนทาง วิถีทางและหลักธรรมของการทำสิ่งทั้งหลายซึ่งตรงแนวกับกฎเกณฑ์ของคริสตจักร แล้วก็มีบรรดาผู้ที่ปรากฏให้เห็นว่ามีความเชื่อใหญ่หลวงในพระเจ้า ผู้คนเหล่านี้รู้จักกันว่าเป็นผู้คนฝ่ายจิตวิญญาณ ดังนั้นแล้ว พวกศัตรูของพระคริสต์ปลอมเป็นผู้คนฝ่ายจิตวิญญาณอย่างไรหรือ? พวกเขาก็แค่ทำสิ่งเดียวกันไม่มีผิดเหล่านี้ เพื่อให้ผู้คนมองพวกเขาเป็นฝ่ายจิตวิญญาณ และตอนที่พวกเขาทำสิ่งเหล่านี้ สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติจากหัวใจหรือไม่? ไม่ เหล่าศัตรูของพระคริสต์ก็แค่กำลังเลียนแบบ โดยทำไปตามกฎเกณฑ์ และบางสิ่งที่พวกเขาทำนั้นผู้อื่นดูว่าเป็นเสมือนพฤติกรรมที่ถูกต้อง ตัวอย่างเช่น พวกเขาอธิษฐานอย่างรวดเร็วเมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา แต่ตอนที่พวกเขาทำเช่นนั้น พวกเขาแค่แสร้งทำท่าทั้งหมดพอเป็นพิธี ในข้อเท็จจริงนั้น พวกเขาไม่ได้กำลังแสวงหาและอธิษฐานอย่างแท้จริง พวกเขาแค่กำลังลองพยายามที่จะทำให้ผู้คนพูดว่าพวกเขารักพระเจ้า และมีความเคารพอันใหญ่หลวงแด่พระเจ้า และว่าพวกเขากลับไปอธิษฐานเมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหาบางอย่าง ที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ไม่สำคัญว่าพวกเขากลายเป็นมีอาการป่วยอย่างร้ายแรงเพียงใด พวกเขาไม่ไปแสวงหาการรักษาพยาบาลในเวลาที่พวกเขาควรไป หรือกินยาในเวลาที่พวกเขาควรกิน ผู้คนพากันพูดว่า “หากคุณไม่กินยา ความเจ็บป่วยของคุณอาจแย่ลงได้ เมื่อมีเวลาให้กับการอธิษฐาน ก็ต้องมีเวลาให้กับยา คุณแค่จำเป็นต้องปฏิบัติตามความเชื่อของคุณและไม่ทอดทิ้งหน้าที่ของคุณ” พวกเขาตอบว่า “ไม่เป็นไร—ฉันมีพระเจ้า ฉันไม่เกรงกลัว” ที่ภายนอก พวกเขาเสแสร้งว่าใจเย็นและไม่กลัว และเต็มไปด้วยความเชื่อ แต่ภายในนั้น พวกเขาหวาดกลัวแทบตาย เมื่ออยู่เป็นส่วนตัว พวกเขากินยาเม็ดแล้วเม็ดเล่า และแอบวิ่งไปหาหมอในวินาทีที่พวกเขารู้สึกถึงความไม่สบายอันใดก็ตาม หากผู้คนค้นพบพวกเขาว่ากำลังกินยา และถามพวกเขาว่านั่นคืออะไร พวกเขาพูดว่า “ฉันก็แค่กำลังกินอาหารเสริมสุขภาพบางอย่าง อาหารเสริมสุขภาพเหล่านี้ให้พลังงานแก่ฉัน เพื่อให้ฉันไม่ทำให้สิ่งทั้งหลายติดขัดล่าช้าในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ของฉัน” พวกเขายังพูดอีกด้วยว่า “ความเจ็บป่วยคือบททดสอบอย่างหนึ่งจากพระเจ้า เมื่อพวกเราดำรงชีวิตอยู่ท่ามกลางอาการป่วย พวกเราก็ป่วย เมื่อพวกเราดำรงชีวิตท่ามกลางพระวจนะของพระเจ้า อาการป่วยก็จากไป พวกเราต้องไม่ดำรงชีวิตท่ามกลางอาการป่วย—หากพวกเราดำรงชีวิตท่ามกลางพระวจนะของพระเจ้า อาการป่วยนี้ย่อมจะปลาสนาการไป” นั่นคือสิ่งที่พวกเขาสอนผู้คนจากภายนอกผิวเผินอยู่บ่อยๆ โดยใช้พระวจนะของพระเจ้าเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น แต่เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาลองพยายามที่จะแก้ไขสิ่งนั้นโดยวิธีการของพวกเขาเองอย่างลับๆ ภายนอกนั้น พวกเขายังคงพูดว่า จงพึ่งพาพระเจ้าในทุกสรรพสิ่ง และทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า แต่อันที่จริงแล้วนั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทำเมื่ออยู่เป็นการส่วนตัว พวกเขาไม่มีความเชื่อที่แท้จริง เมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา ต่อหน้าผู้คนอื่นพวกเขาอธิษฐานและพูดว่าพวกเขานบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ว่าประเด็นปัญหานี้ได้มาจากพระเจ้า และผู้คนไม่ควรร้องทุกข์คร่ำครวญ แต่ในหัวใจของพวกเขาในขณะเดียวกันนั้น พวกเขากำลังคิดว่า “ฉันอุทิศยิ่งนักและฉันทำงานหนักยิ่งนักในการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน ความเจ็บป่วยนี้สามารถตกมาถึงฉันได้อย่างไร? และเป็นไปได้อย่างไรที่ไม่มีใครอื่นเลยได้รับการนั้นไป?” พวกเขาไม่กล้าเปล่งเสียงข้อร้องทุกข์คร่ำครวญอันใด แต่ข้อกังขาทั้งหลายเกี่ยวกับพระเจ้าก็เกิดขึ้นในหัวใจของพวกเขา ทั้งนี้ กับพวกเขาแล้ว นั่นดูเหมือนว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระเจ้าทรงทำนั้นไม่ใช่ว่าถูกต้องไปทั้งหมด อย่างไรก็ดี ที่ภายนอกนั้น พวกเขาปรากฏให้เห็นว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ ว่าทั้งที่กำลังป่วยอยู่ ความเจ็บป่วยก็ยังคงไม่ดูเหมือนหน่วงเหนี่ยวพวกเขา พวกเขายังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขายังคงสัตย์ซื่อ และยังคงสามารถสละตัวพวกเขาเองเพื่อพระเจ้าได้ เมื่อพวกเขาถูกพูดถึงว่าเป็นผู้ที่ปลอมเป็นคนอื่น เช่นนั้นแล้ว พฤติกรรมของพวกเขาก็แสดงให้เห็นว่าปนเปื้อน ความเชื่อและความเชื่อฟังของบุคคลเช่นนั้นจอมปลอม ความจงรักภักดีของพวกเขาก็เช่นกัน ในที่นี้ไม่มีความเชื่อฟังที่แท้จริงหรือความเชื่อที่แท้จริง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะพึ่งพาพระเจ้า และไว้วางใจมอบหมายเรื่องทั้งหลายไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้าอย่างแท้จริง พวกเขาไม่ใส่ใจสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงจัดการเตรียมการ หรือสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาไม่ตรวจสอบความเสื่อมทรามของพวกเขาเอง พวกเขาไม่ตรวจสอบว่าปัญหากับพวกเขานั้นคือสิ่งใด อีกทั้งพวกเขาไม่ลองพยายามแก้ไขปัญหาของพวกเขา แต่ภายนอกนั้นเสแสร้งว่าไม่มีสิ่งใดที่กำลังหน่วงเหนี่ยวพวกเขา ว่าพวกเขามีความสามารถที่จะนบนอบ และมีความเชื่อ และสามารถตั้งมั่นได้ อย่างไรก็ตาม ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขากำลังคิดว่า “ความเจ็บป่วยนี้ได้ตกมาถึงฉันเพราะพระเจ้าทรงเกลียดชังฉันอย่างนั้นหรือ? และด้วยบัดนี้ที่พระเจ้าทรงเกลียดชังฉัน ฉันเป็นคนปรนนิบัติหรือไม่? พระเจ้ากำลังทรงใช้ฉันเพื่อให้การปรนนิบัติหรือไม่? ฉันยังคงมีปลายทางหรือไม่? พระเจ้ากำลังทรงใช้การนี้เพื่อเปิดโปงฉัน เพื่อหยุดฉันจากการปฏิบัติหน้าที่นี้หรือไม่?” นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดในหัวใจของพวกเขา ในขณะที่ภายนอกนั้นกำลังทำการเสแสร้งเป็นใครบางคนฝ่ายจิตวิญญาณอยู่ โดยพูดว่า “เจตนารมณ์อันทรงพระเมตตาของพระเจ้าอยู่เบื้องหลังการนี้” และไม่ร้องทุกข์คร่ำครวญ เมื่อใดก็ตามที่บางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขาไม่ร้องทุกข์คร่ำครวญอย่างเปิดเผย แต่จิตใจของพวกเขาก็เหวี่ยงโยนเสมือนทะเลคลั่งพายุ ข้อร้องทุกข์คร่ำครวญ และข้อกังขาและคำถามเกี่ยวกับพระเจ้าปรากฏขึ้นอย่างฉับพลันทันใด ที่ภายนอกนั้น พวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้าต่อไปและไม่รีรอในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่ในหัวใจของพวกเขานั้น พวกเขาได้ทอดทิ้งหน้าที่ของพวกเขาไปแล้ว นี่ไม่ใช่สิ่งที่หมายถึงการเสแสร้งแกล้งทำหรอกหรือ?

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (10)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ไม่ว่าสภาวะแวดล้อมเป็นเช่นไร หรือพวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในที่ใด พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ทำตัวเหมือนไม่อ่อนแอ มีความรักสูงสุดให้แก่พระเจ้า เต็มไปด้วยความเชื่อในพระเจ้า ไม่เคยคิดลบ อันเป็นการซ่อนเร้นท่าทีที่แท้จริงและทรรศนะที่แท้จริงที่พวกเขายึดถืออยู่ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขาว่าด้วยความจริงและว่าด้วยพระเจ้า จากผู้อื่น ในข้อเท็จจริงนั้น ในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อจริงๆ หรือว่าตัวพวกเขาเองนั้นเปี่ยมอำนาจในทุกด้าน? พวกเขาเชื่อจริงๆ หรือว่าตัวพวกเขาเองนั้นไม่มีความอ่อนแอ? ไม่ ดังนั้นเมื่อรู้ว่าพวกเขาครองความอ่อนแอ ความเป็นกบฏ และอุปนิสัยอันเสื่อมทราม เหตุใดเล่าพวกเขาจึงพูดและประพฤติตนในหนทางเช่นนั้นต่อหน้าผู้อื่น? จุดมุ่งหมายของพวกเขานั้นชัดเจน กล่าวคือ เพียงเพื่อปกป้องสถานะของพวกเขาท่ามกลางผู้อื่นและต่อหน้าผู้อื่น พวกเขาเชื่อว่าหากพวกเขาคิดลบอย่างเปิดเผย พูดถึงสิ่งทั้งหลายที่อ่อนแออย่างโจ่งแจ้ง เปิดเผยความเป็นกบฏ และพูดถึงการรู้จักตัวพวกเขาเองต่อหน้าผู้อื่น เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นบางสิ่งที่ทำอันตรายต่อสถานะและความมีหน้ามีตาของพวกเขา นั่นคือการสูญเสีย เพราะฉะนั้น พวกเขาคงเลือกที่จะตายมากกว่าจะพูดว่าพวกเขาอ่อนแอและคิดลบ และว่าพวกเขาไม่เพียบพร้อม แต่เป็นแค่บุคคลธรรมดาสามัญ พวกเขาคิดว่าหากพวกเขายอมรับว่าพวกเขามีอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ว่าพวกเขาเป็นบุคคลธรรมดาสามัญ เป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กและไม่มีนัยสำคัญ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะสูญเสียสถานะของพวกเขาในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน และดังนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาย่อมไม่สามารถปล่อยมือจากสถานะนี้ไปได้ แต่กลับทำอย่างสุดความสามารถของพวกเขาเพื่อทำให้สถานะนั้นมั่นคงปลอดภัยแทน ทุกครั้งที่พวกเขาเผชิญกับปัญหา พวกเขาจะก้าวไปข้างหน้า—แต่เมื่อเห็นว่าพวกเขาอาจถูกเปิดโปงได้ ว่าผู้คนอาจมองพวกเขาออก พวกเขาก็ซ่อนเร้นอย่างรวดเร็ว หากมีพื้นที่ใดให้ยักย้าย หากพวกเขายังคงมีโอกาสที่จะเดินอวดตัวพวกเขาเอง ที่จะเสแสร้งว่าพวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญ ว่าพวกเขารู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ และเข้าใจเรื่องนี้ และสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้ เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมรีบผลุนผลันไปข้างหน้าเพื่อคว้าโอกาสที่จะได้รับความซึ้งคุณค่าของผู้อื่น โอกาสที่จะปล่อยให้ผู้อื่นรู้ว่าพวกเขามีทักษะในด้านนี้ หากในสถานการณ์หนึ่ง ใครคนหนึ่งถามพวกเขาว่า ความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับประเด็นปัญหาหนึ่งคืออะไร และทรรศนะของพวกเขาคืออะไร พวกเขาก็สงวนท่าทีที่จะพูด และพวกเขาก็ปล่อยให้คนอื่นทุกคนพูดก่อน มีเหตุผลหนึ่งสำหรับการสงวนท่าทีของพวกเขา กล่าวคือ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่มีทรรศนะเลย แต่ว่าพวกเขากลัวว่าการพูดขึ้นมาโดยตรงจะเป็นเหตุให้พวกเขาเสียหน้า หรือว่าพวกเขาจะพูดบางสิ่งที่ไม่รู้เท่าทันหรือไม่สลักสำคัญซึ่งจะไม่มีผู้ใดเลยเห็นด้วย นี่คือหนึ่งเหตุผล อีกเหตุผลหนึ่งคือพวกเขาไม่มีทรรศนะเลย และไม่กล้าพูดโดยตามอำเภอใจ เพราะสองเหตุผลนี้ หรือเหตุผลอื่นๆ อีกมากมาย พวกเขาหลบเลี่ยงจากการพูดขึ้นมาและการแสดงออกถึงมุมมองของพวกเขาเอง พวกเขากลัวการเปิดโปงใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขากลัวที่จะเปิดเผยวุฒิภาวะที่แท้จริงและมุมมองที่แท้จริงของพวกเขา และการส่งผลต่อภาพลักษณ์ที่ผู้คนมีต่อพวกเขาในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และดังนั้น เมื่อผู้คนสามัคคีธรรมมุมมอง ความคิด และความเข้าใจของพวกเขา พวกเขาก็ฉวยเอาถ้อยแถลงโดยบุคคลหนึ่งหรือผู้คนเฉพาะบางคน ถ้อยแถลงซึ่งชาญฉลาดและสมเหตุสมผลกว่า และพวกเขาก็ใช้ถ้อยแถลงเหล่านั้นเป็นของพวกเขาเอง พวกเขากลั่นถ้อยแถลงเหล่านั้นและสามัคคีธรรมถ้อยแถลงเหล่านั้นต่อทุกคน และโดยการทำเช่นนั้นจึงได้รับตำแหน่งที่สูงของพวกเขาในความรู้สึกนึกคิดของผู้คน เมื่อถึงเวลาที่จะแสดงมุมมองจริงๆ พวกเขาไม่เปิดกว้างเกี่ยวกับสภาวะที่แท้จริงของพวกเขาต่อผู้คน หรือปล่อยให้ผู้คนรู้ว่าจริงๆ แล้วพวกเขาคิดอะไร ขีดความสามารถของพวกเขาเป็นอย่างไร สภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขาเป็นอย่างไร อำนาจในการเข้าใจของพวกเขาเป็นอย่างไร และพวกเขามีความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับความจริงหรือไม่เลย และดังนั้น ในเวลาเดียวกันกับที่คุยโวและเสแสร้งว่ามีความเชื่อเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ และเป็นบุคคลที่เพียบพร้อม พวกเขาทำอย่างสุดความสามารถของพวกเขาที่จะปิดบังใบหน้าที่แท้จริงและวุฒิภาวะที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาไม่เปิดเผยความอ่อนแอของพวกเขาต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงเลย อีกทั้งพวกเขาไม่เคยระลึกได้ถึงความขาดตกบกพร่องและจุดอ่อนของพวกเขา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาทำอย่างสุดความสามารถของพวกเขาที่จะปิดบังความขาดตกบกพร่องและจุดอ่อนเหล่านั้น ผู้คนถามพวกเขาว่า “คุณได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีเหลือเกิน คุณได้เคยมีข้อกังขาอันใดเกี่ยวกับพระเจ้าหรือไม่?” พวกเขาตอบว่า “ไม่เคย” พวกเขาถูกถามว่า “คุณร้องไห้หรือไม่เมื่อสมาชิกในครอบครัวของคุณเสียชีวิต?” พวกเขาตอบว่า “ไม่ ฉันไม่ได้หลั่งน้ำตาสักหยด” พวกเขาถูกถามว่า “คุณได้เชื่อในพระเจ้าตลอดหลายปีมานี้ คุณได้ละวางมากมายเหลือเกินและได้สละตัวคุณเองมากมายเหลือเกิน คุณได้เคยมีความเสียใจอันใดบ้างไหม?” พวกเขาตอบว่า “ไม่” พวกเขาถูกถามว่า “เมื่อไม่มีผู้ใดเลยที่จะดูแลเอาใจใส่คุณเมื่อคุณเจ็บป่วย การนั้นทำให้คุณหัวเสียหรือไม่ คุณคิดถึงบ้านหรือไม่?” พวกเขาตอบว่า “ไม่เคยเลย” พวกเขาวาดภาพตัวพวกเขาเองว่าแข็งขันยิ่งนัก หัวแข็ง สามารถที่จะทำการพลีอุทิศ สามารถที่จะสละตัวพวกเขาเองได้—ใครคนหนึ่งที่ไม่มีข้อตำหนิเลย ปราศจากความผิดอันใด และพวกเขามีปฏิกิริยาอย่างไร หากคุณบอกพวกเขาว่าความผิดของพวกเขาคือสิ่งใด โดยเปิดกว้างและสามัคคีธรรมต่อพวกเขาอย่างพี่น้องชายหญิงปกติคนหนึ่ง? พวกเขาทำอย่างสุดความสามารถของพวกเขาเพื่อแก้ต่างและพิสูจน์ตัวพวกเขาเองว่าถูกต้อง เพื่อกอบกู้สถานการณ์ เพื่อบ่อนทำลายสิ่งที่คุณได้พูดไป เพื่อทำให้คุณรับเอาการนั้นกลับไป และในท้ายที่สุดแล้วก็ยอมรับรู้ว่า พวกเขาไม่มีปัญหานี้ และว่าพวกเขายังคงเป็นบุคคลที่เพียบพร้อมและเป็นฝ่ายจิตวิญญาณซึ่งผู้คนคิดว่าพวกเขาเป็น นั่นไม่ใช่ข้ออ้างหรอกหรือ? ใครก็ตามที่คิดว่าพวกเขาเพียบพร้อมและเปี่ยมอำนาจในทุกด้านนั้น แค่กำลังเสแสร้งอยู่ เหตุใดเราจึงพูดว่าพวกเขาแค่กำลังเสแสร้งอยู่? เหตุใดเราจึงเหมารวมพวกเขาทั้งหมดว่ามาจากตะเภาเดียวกัน? ผู้ใดบ้างที่เพียบพร้อม? ผู้ใดบ้างที่เปี่ยมอำนาจในทุกด้าน? “เปี่ยมอำนาจในทุกด้าน” หมายความว่าอย่างไร? นั่นหมายความว่าทรงมหิทธิฤทธิ์หรือไม่? ไม่มีผู้ใดเลยในสากลพิภพนี้ที่เปี่ยมอำนาจในทุกด้าน พระเจ้าเท่านั้นที่ทรงเปี่ยมอำนาจในทุกด้าน และพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมหิทธิฤทธิ์ ดังนั้นแล้ว ผู้คนคือสิ่งใด หากพวกเขาอ้างว่า พวกเขาเปี่ยมอำนาจในทุกด้านและทรงมหิทธิฤทธิ์? พวกเขาคือหัวหน้าทูตสวรรค์ พวกเขาคือพวกมาร และพวกเขาคือเหล่าศัตรูของพระคริสต์ท่ามกลางพวกมนุษย์ เหล่าศัตรูของพระคริสต์เสแสร้งว่าพวกเขาเปี่ยมอำนาจในทุกด้าน ว่าพวกเขาเพียบพร้อม เหล่าศัตรูของพระคริสต์รู้จักตัวพวกเขาเองหรือไม่? (ไม่) พวกเขาไม่รู้จักตัวพวกเขาเอง ดังนั้นแล้ว พวกเขาสามารถให้การสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการรู้จักตัวพวกเขาเองได้หรือไม่? (พวกหน้าซื่อใจคดบางทำได้) ถูกต้อง ผู้คนเหล่านี้เสแสร้งว่าสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการรู้จักตัวพวกเขาเอง ดังนั้นแล้ว อะไรคือความแตกต่างระหว่างการที่พวกเขาสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการรู้จักตัวพวกเขาเองกับการรู้จักตัวเองอย่างแท้จริง? (พวกหน้าซื่อใจคดสามัคคีธรรมเกี่ยวกับการรู้จักตัวพวกเขาเอง เพื่อที่จะทำให้ผู้อื่นยกย่องนับถือพวกเขา เพื่อแสดงด้านที่ดีของพวกเขา บรรดาผู้ที่รู้จักตัวพวกเขาเองอย่างแท้จริงสามัคคีธรรมเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา และชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา โดยได้รับความรู้ที่แท้จริงเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง และมาสำแดงความเสียใจเฉพาะบางอย่างโดยวิธีการของพระวจนะของพระเจ้า) มีความแตกต่างอย่างหนึ่ง เมื่อเหล่าศัตรูของพระคริสต์พูดถึงการรู้จักตัวพวกเขาเอง พวกเขาอธิบายและแก้ต่างให้ตัวพวกเขาเองโดยใช้สิ่งทั้งหลายเกี่ยวกับตัวพวกเขาซึ่งทุกคนรู้จักและมองเห็น เพื่อที่ผู้คนจะได้คิดว่าพวกเขาถูกต้อง และยกย่องนับถือพวกเขา และคิดว่าพวกเขารู้จักตัวพวกเขาเองแม้ในยามที่ไม่มีอะไรที่ผิดมากนักกับพวกเขา และยังคงสามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับความผิดพลาดของพวกเขาและกลับใจได้ จุดมุ่งหมายของพวกเขาคืออะไร? เพื่อหลอกลวงผู้คน จริงๆ แล้วพวกเขาไม่ได้กำลังชำแหละอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของพวกเขา เพื่อที่ผู้คนจะสามารถเรียนรู้จากพวกเขาได้แต่อย่างใดเลย เมื่อพวกเขาใช้การรู้จักตัวพวกเขาเองทำให้ผู้คนยกย่องนับถือพวกเขายิ่งขึ้น ผลคืออะไร? พวกเขาหลอกลวงผู้คน การนี้เป็นการรู้จักตัวเองอย่างไร? นั่นคือการใช้เล่ห์กลกับผู้คน โดยใช้ภาษิตและการปฏิบัติการรู้จักตัวเองเพื่อหลอกลวงผู้คนและทำให้ผู้อื่นยกย่องนับถือพวกเขา

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (10)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ไม่มีสิ่งใดที่พวกศัตรูของพระคริสต์จะเก่งไปกว่าการบ่มเพาะพฤติกรรมที่ดีและสำนวนภาษิตเฉพาะบางอย่าง และการเหนียวแน่นต่อกฎเกณฑ์เฉพาะบางอย่าง ทั้งนี้ นี่คือความถนัดของพวกเขา และความถนัดนี้เป็นบางสิ่งซึ่งอยู่ในความรู้สึกส่วนในสุดของพวกเขา กล่าวคือ นั่นคือแก่นแท้ของพวกเขา สิ่งทั้งหลายที่พวกเขาทำได้เก่งที่สุดนั้นไม่ใช่การไล่ตามเสาะหาที่เป็นบวกและความใฝ่สูงซึ่งอยู่ลึกลงไปภายในหัวใจของผู้คน แต่เป็นสิ่งซึ่งเพียงแค่ปรากฏให้เห็นว่าดีและถูกต้องที่ภายนอก แก่นแท้และอุปนิสัยของพวกเขา หรือสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ลึกๆ ภายในตัวพวกเขานั้น เป็นสิ่งซึ่งอยู่ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมภายนอกของพวกเขาพอดิบพอดี ตัวอย่างเช่น มีพวกศัตรูของพระคริสต์บางคนที่ดูใจดีมีน้ำใจและถ่อมใจในการพูดจาและการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น ผู้ที่ไม่พูดสิ่งที่ทำให้เจ็บปวดเลย ผู้ที่พยายามสงวนไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของผู้อื่นอยู่เสมอ ผู้ที่ทั้งไม่เปิดโปงข้อบกพร่องของผู้อื่นและไม่ตัดสินหรือกล่าวโทษพวกเขาเหล่านั้นส่งเดช ผู้ที่ยื่นมือเข้าไปช่วยอย่างทันต่อเวลา เมื่อผู้คนเกิดความท้อแท้และอ่อนแอขึ้นมา พวกเขาให้ภาพประทับใจว่าเป็นคนอบอุ่นและใจดีมีน้ำใจ และเป็นคนดี ในยามที่ผู้คนตกอยู่ในความลำบากยากเย็น บางครั้งพวกเขาก็ช่วยเหลือด้วยคำพูด และบางครั้งก็ให้ขอยืมเรี่ยวแรงบ้างเล็กน้อยเช่นกัน มีกระทั่งบางเวลาที่พวกเขามาช่วยให้พ้นโดยการบริจาคเงินหรือสิ่งทั้งหลายทางวัตถุบ้าง เมื่อมองจากภายนอก พฤติกรรมดังกล่าวดีหรือไม่? ในจิตใจของผู้คนส่วนใหญ่ นี่คือบุคคลชนิดที่พวกเขาต้องการมาติดต่อด้วยและคบหาสมาคมด้วย ผู้คนเช่นนี้จะไม่ก่อการข่มขู่หรือความไม่สงบประเภทใดต่อผู้อื่น และอาจมีความสามารถที่จะให้ความช่วยเหลือแก่พวกเขาได้เสียด้วยซ้ำ—การให้ความช่วยเหลือทางวัตถุหรือทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งความช่วยเหลือที่มีลักษณะเชิงคำสอนในเรื่องการเข้าไปสู่ชีวิต และอื่นๆ ภายนอกนั้น ผู้คนดังกล่าวไม่ทำสิ่งใดที่แย่เลย และพวกเขาก็ไม่ทำให้ผู้อื่นหยุดชะงัก ดูเหมือนว่าพวกเขานำพาความปรองดองเป็นพิเศษมาสู่กลุ่มใดก็ตามที่พวกเขาอยู่ ทั้งนี้ ภายใต้ทิศทางและการไกล่เกลี่ยของพวกเขา ทุกคนดูมีความสุข ผู้คนไปกันได้ดี พวกเขาไม่มีการทะเลาะเบาะแว้งหรือกรณีพิพาทเลย และพวกเขาก็ชื่นชมสายสัมพันธ์อันยอดเยี่ยมโดยทั่วไป เมื่อพวกเขาอยู่ที่นั่น ทุกคนคิดว่าพวกเขาไปกันได้ดีเพียงใด พวกเขาใกล้ชิดกันเพียงใด เมื่อพวกเขาไปแล้ว ผู้คนบางคนเริ่มไม่เห็นพ้องซึ่งกันและกันในยามที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน คว่ำบาตรกันและกัน และกลายเป็นอิจฉาและชอบทะเลาะวิวาท แต่ทันทีที่ศัตรูของพระคริสต์มาอยู่ท่ามกลางพวกเขาเพื่อไกล่เกลี่ย ทุกคนก็หยุดทะเลาะวิวาท พวกศัตรูของพระคริสต์ดูเก่งกาจในงานของตน แต่มีหนึ่งสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า สิ่งที่เรียกกันว่า “งาน” ของพวกเขานั้นคืออะไรกันแน่ ภายใต้การนำและภาวะการเป็นผู้นำของพวกเขา ผู้คนได้เรียนรู้วิธีเข้าสังคม วิธีพูดจาปากหวานและยกยอผู้อื่น วิธีพูดสิ่งดีๆ ต่อหน้าพวกเขา วิธีที่จะไม่พูดสิ่งที่แท้จริงและไม่ทำร้ายความรู้สึกของผู้คน พวกเขาได้แปรคริสตจักรเป็นสิ่งใดแล้วหรือ? เป็นกลุ่มทางสังคม เมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์ได้นำทางพี่น้องชายหญิงไปบนเส้นทางนี้แล้ว พวกเขาก็คิดว่าตนเองสมควรได้รับความน่าเชื่อถืออันใหญ่หลวง ว่าพวกเขาได้ทำบางสิ่งซึ่งเป็นคุณความดีอย่างแท้จริงเพื่อพี่น้องชายหญิง เป็นความประพฤติหนึ่งซึ่งมีความสำคัญใหญ่โตมาก และเป็นความช่วยเหลืออันมหาศาลต่อพี่น้องชายหญิง บ่อยครั้งที่พวกเขาสอนพี่น้องชายหญิงให้ถ่อมใจ ให้ได้รับการถลุงและสง่างามในวาทะของพวกเขา ท่าทางใดที่พวกเขาควรใช้สร้างความประทับใจในเวลาที่นั่งหรือยืน สายตาจับจ้องของพวกเขาควรมุ่งตรงไปที่ใดในเวลาที่พูด และพวกเขาควรสวมใส่เครื่องแต่งกายอย่างไร สิ่งที่พวกเขาสอนพี่น้องชายหญิงบ่อยครั้งไม่ใช่วิธีเข้าใจความจริง หรือวิธีเข้าไปสู่ความจริงความเป็นจริง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับสอนวิธีปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และประพฤติตนดีให้แก่พี่น้องชายหญิง ภายใต้การติวเข้มของพวกเขา การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้คนไม่ได้มีพื้นฐานอยู่บนความจริง หรือความจริงหลักธรรม แต่พึ่งพาปรัชญาระหว่างบุคคลเกี่ยวกับการเป็นคนนิสัยดี ภายนอกนั้น ไม่มีใครทำร้ายความรู้สึกของใครเลย ไม่มีใครพาดพิงถึงข้อบกพร่องของใครเลย อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครเคยบอกใครเลยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่จริงๆ พวกเขาไม่เปิดกว้างหัวใจของพวกเขาเพื่อสามัคคีธรรมความเสื่อมทรามและความไม่เชื่อฟังของตัวเอง อีกทั้งพวกเขาไม่สามัคคีธรรมข้อบกพร่องและการฝ่าฝืนของตัวเอง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ที่ระดับผิวเผิน พวกเขาพูดพร่ำเกี่ยวกับว่าใครได้ทนทุกข์และยอมลงทุนลำบาก ใครได้จงรักภักดีในการปฏิบัติหน้าที่ของตน ใครได้มีความสามารถที่จะนำพาผลประโยชน์มาสู่พี่น้องชายหญิง ใครมีส่วนร่วมแบ่งปันอันยิ่งใหญ่ในพระนิเวศของพระเจ้า ใครได้ถูกจำคุกและต้องโทษ—เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาพูดคุยกัน พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นไม่ใช่แค่ใช้พฤติกรรมที่ดีทั้งหลาย—ความอ่อนน้อมถ่อมตนภายนอก ความอดทน ความยอมผ่อนปรน การช่วยเหลือผู้คนในทุกหนทาง—เพื่อสร้างการปลอมแปลงให้กับตัวเองและอำพรางตัวเอง แต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาจะยังพยายามด้วยเช่นกันที่จะวางตนเป็นบุคคลตัวอย่างซึ่งใช้พฤติกรรมที่ดีนี้สร้างอิทธิพลต่อความรู้สึกของผู้อื่น และเป็นเหตุให้พวกเขาเอาอย่างพฤติกรรมนั้น จุดมุ่งหมายเบื้องหลังพฤติกรรมที่ดีนี้ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากการทำให้ผู้คนสนใจพวกเขา—สนใจการที่พวกศัตรูของพระคริสต์เพียงลำพังเท่านั้นที่ถ่อมใจและอดทน พวกเขาเพียงลำพังเท่านั้นที่ยอมผ่อนปรนในบรรดาคนทั้งหมด และไม่จัดการกับหรือตัดแต่งใคร หรือเปิดโปงข้อบกพร่องของใคร และเข้ากับทุกคนได้อย่างปรองดอง ในขณะที่ผู้คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรกำลังเสวนาเรื่องอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง และในขณะที่ใครบางคนท่ามกลางพี่น้องชายหญิงระลึกได้ว่าอีกคนมีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามและมีความสามารถที่จะจัดการกับอุปนิสัยนั้นได้—พวกเขาเพียงลำพังเท่านั้นที่เป็นผู้คนที่ดีภายในคริสตจักร นี่คือประเภทหนึ่งของพฤติกรรมเทียมเท็จที่พวกศัตรูของพระคริสต์แสร้งกระทำ

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (10)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ผู้คนบางส่วนพกความจริงบางอย่างติดตัวเผื่อกรณีฉุกเฉิน หรือเพื่อละทิ้งตนเองแล้วช่วยผู้อื่น และไม่ใช่เพื่อแก้ไขความยากลำบากของพวกเขาเอง พวกเราเรียกพวกเขาว่า “ผู้คนที่ไม่เห็นแก่ตัวเอง” พวกเขามองผู้อื่นว่าเป็นหุ่นเชิดของความจริง และมองตัวพวกเขาเองเป็นนายแห่งความจริง โดยสอนผู้อื่นให้ยึดมั่นในความจริงและไม่นิ่งเฉย ขณะที่ตัวพวกเขาเองคงอยู่ในฐานะผู้ชมนอกสนาม เหล่านี้เป็นผู้คนประเภทใดกัน? พวกเขาพกวาจาแห่งความจริงบางส่วนติดตัว แต่ใช้วาจาเหล่านั้นเพียงเพื่อสั่งสอนผู้อื่นเท่านั้น พลางไม่ทำสิ่งใดเพื่อหลบเลี่ยงการประสบกับความย่อยยับของพวกเขาเองเลย ช่างน่าสมเพชเสียจริง! หากคำพูดของพวกเขาสามารถช่วยผู้อื่นได้แล้วไซร้ เหตุใดคำพูดเหล่านั้นจึงไม่สามารถช่วยตัวพวกเขาเองได้เล่า? พวกเราควรจัดพวกเขาเป็นพวกปากอย่างใจอย่างที่ไม่มีความเป็นจริง พวกเขาจัดหาถ้อยคำแห่งความจริงให้ผู้อื่น และขอให้ผู้อื่นนำถ้อยคำเหล่านั้นไปปฏิบัติ ขณะที่ไม่พยายามที่จะปฏิบัติถ้อยคำเหล่านั้นด้วยตัวพวกเขาเอง พวกเขาไม่น่ารังเกียจหรอกหรือ? พวกเขาเองไม่สามารถทำการนั้นได้อย่างชัดเจน แต่ทว่าพวกเขาก็บังคับให้ผู้อื่นนำถ้อยคำแห่งความจริงไปปฏิบัติ—ช่างเป็นวิธีการที่ใจร้ายนัก! พวกเขาไม่ได้กำลังใช้ความเป็นจริงเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น พวกเขาไม่ได้กำลังใช้ความรักเพื่อจัดเตรียมให้ผู้อื่น พวกเขาเพียงแค่กำลังหลอกลวงและทำอันตรายผู้คน หากการนี้ดำเนินต่อไป โดยที่แต่ละบุคคลส่งต่อถ้อยคำแห่งความจริงไปให้บุคคลถัดไป เช่นนั้นแล้วนี่จะไม่จบลงด้วยการที่ทุกคนเพียงแค่พูดถ้อยคำแห่งความจริงขณะที่ไม่สามารถนำความจริงไปปฏิบัติด้วยตัวพวกเขาเองได้หรือ? ผู้คนเช่นนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร? พวกเขาไม่ระลึกรู้ปัญหาของพวกเขาเองเลย จะสามารถมีเส้นทางไปข้างหน้าสำหรับพวกเขาได้อย่างไร?

ตัดตอนมาจาก “บรรดาผู้ที่รักความจริงมีเส้นทางไปข้างหน้า” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ผู้คนบางคนมีใจชอบที่จะดึงดูดความสนใจมาสู่ตัวเอง ยามอยู่ต่อหน้าพี่น้องชายหญิงของพวกเขา พวกเขาอาจกล่าวว่าพวกเขาเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า แต่ลับหลังคนเหล่านั้น พวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงและกระทำการแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง เหล่านี้มิใช่พวกฟาริสีทางศาสนาหรอกหรือ? บุคคลหนึ่งซึ่งรักพระเจ้าอย่างแท้จริงและครองความจริงก็คือผู้ที่จงรักภักดีต่อพระเจ้า แต่ไม่อวดแสดงท่าออกมาภายนอกว่าเป็นคนเช่นนั้น บุคคลเช่นนั้นเต็มใจที่จะปฏิบัติความจริงเมื่อเกิดสถานการณ์ทั้งหลายขึ้น และไม่พูดหรือกระทำการในแบบที่ขัดแย้งกับมโนธรรมของพวกเขา บุคคลเช่นนี้สาธิตแสดงสติปัญญาเมื่อเกิดเรื่องราวทั้งหลายขึ้น และมีหลักธรรมอยู่ในความประพฤติทั้งหลายของเขาหรือของเธอไม่ว่ารูปการณ์แวดล้อมจะเป็นเช่นไร บุคคลประเภทนี้สามารถจัดเตรียมการปรนนิบัติที่แท้จริงได้ มีบางคนที่พูดแต่ปากว่าตนเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า วันๆ พวกเขาเอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดในความวิตกกังวล ทำตัวเศร้าสร้อย และแสร้งทำเป็นน่าสงสาร ช่างน่าดูหมิ่นเสียจริง! หากเจ้าจะถามพวกเขาว่า “คุณบอกฉันได้ไหมเกี่ยวกับว่าคุณเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าอย่างไร?” พวกเขาก็จะพูดไม่ออก หากเจ้าจงรักภักดีต่อพระเจ้าแล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วก็จงอย่าพูดออกไปภายนอกเกี่ยวกับการนี้ แต่จงสาธิตแสดงความรักของเจ้าที่มีต่อพระเจ้าโดยหนทางแห่งการปฏิบัติแบบลงมือจริงแทน และจงอธิษฐานต่อพระองค์ด้วยหัวใจที่แท้จริง บรรดาพวกที่แค่จัดการพระเจ้าด้วยคำพูดและจัดการพอเป็นพิธีล้วนเป็นคนหน้าซื่อใจคดกันทั้งนั้น! บางคนพูดถึงการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐาน และเริ่มร่ำไห้ทุกครั้งที่พวกเขาอธิษฐาน โดยปราศจากการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ด้วยซ้ำ ผู้คนเช่นนี้ถูกครอบงำโดยพิธีกรรมและมโนคติที่หลงผิดทั้งหลายทางศาสนา พวกเขาดำเนินชีวิตโดยพิธีกรรมและมโนคติที่หลงผิดแบบนั้น โดยเชื่อเสมอว่าพระเจ้าทรงยินดีในการกระทำเหล่านั้น และว่าพระองค์ทรงโปรดปรานการอยู่ในทางพระเจ้าแบบผิวเผินหรือน้ำตาอันเปี่ยมไปด้วยความโศกเศร้า สิ่งดีอันใดหรือที่จะสามารถมาจากผู้คนที่ไร้สาระแบบนั้น? เพื่อที่จะสาธิตแสดงความถ่อมใจ บ้างก็แสร้งทำเป็นอ่อนโยนมีมารยาทยามพูดจาอยู่ต่อหน้าผู้อื่น บ้างก็จงใจประจบประแจงยามอยู่ต่อหน้าผู้อื่น โดยทำท่าทางเหมือนลูกแกะที่ไร้เรี่ยวแรง นี่เป็นลักษณะที่เหมาะสมกับประชากรแห่งราชอาณาจักรหรือ? ประชากรแห่งราชอาณาจักรนั้นควรมีชีวิตชีวาและเป็นอิสระ ไร้เดียงสาและเปิดเผย ซื่อสัตย์และน่ารัก และดำเนินชีวิตอยู่ในสภาวะแห่งอิสรภาพ พวกเขาควรมีความสัตย์สุจริตและศักดิ์ศรี และสามารถยืนหยัดเป็นพยานได้ไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด ผู้คนเช่นนั้นเป็นที่รักของทั้งพระเจ้าและมนุษย์ บรรดาผู้ที่เป็นผู้กลับใจใหม่ในความเชื่อนั้นมีการปฏิบัติภายนอกมากเกินไป พวกเขาต้องก้าวผ่านช่วงเวลาของการถูกจัดการและการถูกทำลายเสียก่อน ผู้คนที่มีความเชื่อในพระเจ้าอยู่ลึกๆ นั้นไม่อาจแยกออกจากผู้อื่นได้เมื่อดูภายนอก แต่การกระทำและความประพฤติทั้งหลายของพวกเขานั้นน่ายกย่อง ผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่สามารถถือได้ว่าดำเนินชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า หากเจ้าประกาศข่าวประเสริฐทุกวันแก่ผู้คนหลากหลายในความพยายามที่จะนำพวกเขามาสู่ความรอด ทว่าในท้ายที่สุดก็ยังกำลังดำเนินชีวิตโดยกฎเกณฑ์และคำสอนทั้งหลายอยู่ เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมไม่สามารถนำพระสิริมาสู่พระเจ้าได้ ผู้คนเช่นนั้นก็คือพวกบุคคลสำคัญทางศาสนา ตลอดจนพวกคนหน้าซื่อใจคดนั่นเอง

เมื่อใดก็ตามที่ผู้คนทางศาสนาเหล่านั้นมารวมตัวกัน พวกเขาอาจถามว่า “พี่สาว หมู่นี้คุณเป็นอย่างไรบ้าง?” เธออาจตอบกลับไปว่า “ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า และว่าฉันไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้” อีกคนอาจกล่าวว่า “ฉันก็รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าเหมือนกัน และรู้สึกว่าฉันไม่สามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระองค์ได้” ลำพังไม่กี่ประโยคและคำพูดเหล่านี้แสดงให้เห็นสิ่งถ่อยๆ ทั้งหลายที่อยู่ลึกภายในพวกเขา นั่นคือ คำพูดทั้งหลายดังกล่าวนั้นน่าเกลียดที่สุด และน่าเดียดฉันท์เหลือเกิน ธรรมชาติของผู้คนแบบนั้นย่อมต่อต้านพระเจ้า บรรดาผู้คนที่มุ่งเน้นที่ความเป็นจริงย่อมสื่อสารสิ่งใดก็ตามที่อยู่ในความรู้สึกนึกคิดของพวกเขา และเปิดหัวใจของพวกเขาออกมาในการสามัคคีธรรม พวกเขาไม่ทำกิจกรรมที่เป็นเท็จแม้สักครั้ง ไม่อวดแสดงทั้งความสุภาพมีมารยาทมากมายเกินขนาดและการหยอกล้อคุยเล่นอันว่างเปล่าไม่จริงใจ พวกเขาตรงไปตรงมาอยู่เสมอ และไม่ถือปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ทั้งหลายที่ไม่อิงศาสนา ผู้คนบางคนมีใจชอบการแสดงออกมาภายนอก จนถึงจุดที่ขาดสำนึกอย่างถึงที่สุดด้วยซ้ำ เมื่อใครบางคนร้องเพลง พวกเขาก็เริ่มเต้นรำ ไม่ตระหนักด้วยซ้ำว่าข้าวในหม้อของพวกเขาไหม้เสียแล้ว ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้อยู่ในทางพระเจ้าหรือมีเกียรติ และพวกเขาเหลาะแหละมากเกินไป สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นการสำแดงทั้งหลายของการขาดพร่องความเป็นจริง เมื่อผู้คนบางคนสามัคคีธรรมเกี่ยวกับเรื่องของชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่พูดเรื่องความเป็นหนี้บุญคุณอะไรเลยต่อพระเจ้า แต่ลึกลงไปนั้น พวกเขายังคงไว้ซึ่งความรักที่แท้จริงต่อพระองค์ ความรู้สึกของเจ้าในเรื่องการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าไม่เกี่ยวข้องอะไรเลยกับผู้คนอื่นๆ เจ้าเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้า ไม่ใช่มนุษยชาติ มีประโยชน์อะไรที่เจ้าจะพูดถึงเรื่องนี้กับคนอื่นอยู่เนืองนิตย์? เจ้าต้องให้ความสำคัญแก่การเข้าสู่ความเป็นจริง ไม่ใช่แก่ความคึกคักกระตือรือร้นหรือการอวดแสดงภายนอกใดๆ

ความประพฤติดีแบบผิวเผินของมนุษย์ทั้งหลายเป็นตัวแทนของอะไรหรือ? สิ่งเหล่านั้นเป็นตัวแทนของเนื้อหนัง และแม้แต่การปฏิบัติภายนอกที่ดีที่สุดก็ไม่เป็นตัวแทนของชีวิต สิ่งเหล่านั้นสามารถแสดงออกได้เพียงภาวะอารมณ์แบบปัจเจกบุคคลของเจ้าเองเท่านั้น การปฏิบัติภายนอกทั้งหลายของมนุษยชาติไม่สามารถทำให้ความพึงปรารถนาของพระเจ้าลุล่วงได้ เจ้าพูดถึงการเป็นหนี้บุญคุณพระเจ้าของเจ้าอยู่เนืองนิตย์ ถึงกระนั้นเจ้าก็ไม่สามารถจัดหาให้กับชีวิตของผู้อื่น หรือสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขารักพระเจ้าได้ เจ้าเชื่อหรือว่าการกระทำเหล่านั้นของเจ้าจะทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย? เจ้ารู้สึกว่าการกระทำทั้งหลายของเจ้าเป็นไปในแนวเดียวกับน้ำพระทัยของพระเจ้า และว่าการกระทำเหล่านั้นอยู่ฝ่ายจิตวิญญาณ แต่ในความจริง การกระทำเหล่านั้นช่างไร้สาระทั้งสิ้น! เจ้าเชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เจ้ายินดีและสิ่งที่เจ้าเต็มใจที่จะทำคือสิ่งเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงปีติยินดีเป็นแน่แท้ ความชอบทั้งหลายของเจ้าเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ? บุคลิกลักษณะของบุคคลหนึ่งเป็นตัวแทนของพระเจ้าได้หรือ? สิ่งที่เจ้ายินดีก็คือสิ่งที่พระเจ้าทรงชิงชังพอดี และนิสัยทั้งหลายของเจ้าคือนิสัยเหล่านั้นที่พระเจ้าทรงเกลียดและปฏิเสธพอดี หากเจ้ารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ เช่นนั้นแล้ว จงไปอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า ไม่มีความจำเป็นที่จะพูดถึงการนั้นกับคนอื่นๆ หากเจ้าไม่อธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และกลับดึงความสนใจมาสู่ตัวเจ้าเองอยู่เนืองนิตย์ต่อหน้าผู้อื่นแทน นี่จะสามารถทำให้สมดังน้ำพระทัยของพระเจ้าได้หรือ? หากการกระทำทั้งหลายของเจ้ามีจริงอยู่เสมอในการปรากฏภายนอกเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว นี่ก็หมายความว่าเจ้าไร้ประโยชน์อย่างสุดขั้ว พวกที่เพียงดำเนินความประพฤติดีแบบผิวเผินและไร้ความเป็นจริงเป็นมนุษย์ลักษณะใดหรือ? ผู้คนเช่นนั้นก็เป็นแค่พวกฟาริสีที่หน้าซื่อใจคดและบุคคลสำคัญทางศาสนาเท่านั้นเอง! หากพวกเจ้าไม่สลัดทิ้งการปฏิบัติภายนอกของพวกเจ้าและไร้ความสามารถที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลงทั้งหลายได้ เช่นนั้นแล้ว องค์ประกอบเหล่านั้นของความหน้าซื่อใจคดในพวกเจ้าก็จะเติบโตมากยิ่งขึ้นไปอีก ยิ่งองค์ประกอบของความหน้าซื่อใจคดของเจ้ามีมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งมีการต้านทานต่อพระเจ้ามากขึ้นเท่านั้น ท้ายที่สุด ผู้คนเช่นนั้นก็ย่อมจะถูกกำจัดสิ้นอย่างแน่นอน!

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในความเชื่อ คนเราต้องมุ่งความสนใจไปที่ความเป็นจริง—การมีส่วนในพิธีกรรมทางศาสนาหาใช่ความเชื่อไม่

เชิงอรรถ:

ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีคำว่า “ของพระยาห์เวห์”

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger