สิ่งศัตรูของพระคริสต์เป็น วิธีที่จะสามารถระบุแยกแยะพวกเขาได้

วันที่ 07 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

อะไรคือคำนิยามของพระเจ้าเกี่ยวกับศัตรูของพระคริสต์? คนที่เป็นอริต่อพระเจ้า นี่คือศัตรูคนหนึ่งของพระเจ้า! คนที่เป็นอริต่อพระเจ้า เป็นอริต่อความจริง เป็นผู้ที่เกลียดความจริง เกลียดพระเจ้า และผู้ที่เกลียดอย่างสิ้นเชิงในสิ่งใดก็ตามที่เป็นบวก—นี่ไม่ใช่บุคคลธรรมดาทั่วไปที่อ่อนแอเพียงชั่วครู่ชั่วยาม โง่เขลา และทำผิดพลาดไปโดยเล็กน้อยในความคิดและทรรศนะของพวกเขา และไม่ใช่คนที่มีความเข้าใจอันไร้เหตุผลเพียงเล็กน้อยที่ไม่สอดคล้องกับความจริง นี่ไม่ใช่บุคคลประเภทที่พวกเขาเป็น นี่คือศัตรูของพระคริสต์ ศัตรูของพระเจ้า! บทบาทของเขาก็คือบทบาทของใครบางคนที่เกลียดชังอย่างสิ้นเชิงในสิ่งใดก็ตามที่เป็นบวก เกลียดชังความจริงทั้งมวล และเกลียดชังพระอุปนิสัยและแก่นแท้ทั้งปวงของพระเจ้า พระเจ้าทรงปฏิบัติต่อคนที่อยู่ในบทบาทนี้อย่างไรหรือ? พระเจ้าก็จะไม่ทรงช่วยพวกเขาให้รอดยังไงเล่า! ผู้คนดังกล่าวดูหมิ่นและรังเกียจความจริงโดยธรรมชาติของพวกเขา สิ่งที่ถูกเปิดโปงตรงนี้คือความชั่ว ความเกรี้ยวกราดดุดัน และความเกลียดชังความจริง—เหล่านี้เป็นการสำแดงและอุปนิสัยที่รุนแรงที่สุดท่ามกลางอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหลาย และเหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่เป็นแก่นแท้และเป็นแบบฉบับเฉพาะที่สุดของซาตาน นี่ไม่ใช่การเปิดเผยที่เล็กน้อยในเรื่องเกี่ยวกับอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่มีอยู่ในผู้คนธรรมดาทั่วไปที่ถูกทำให้เสื่อมทราม แต่เป็นกองกำลังซึ่งเป็นอริต่อพระเจ้า พวกมันสามารถก่อให้เกิดการหยุดชะงักและควบคุมคริสตจักรได้ และพวกมันสามารถทำลายและขัดจังหวะแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าได้ นี่เป็นบางสิ่งซึ่งผู้คนทั่วไปที่ถูกทำให้เสื่อมทรามทำกันกระนั้นหรือ? ไม่ใช่โดยสิ้นเชิง เพราะฉะนั้น เจ้าก็ไม่ควรประเมินมันต่ำไป ผู้คนธรรมดาทั่วไปก็สามารถมีอุปนิสัยชั่วได้เช่นกัน ทั้งนี้ พวกเขาบางคนประพฤติอย่างเห็นแก่ตัวและน่าดูหมิ่น และบ้างก็ประพฤติอย่างพวกภูตผีปีศาจ โดยไม่ยอมให้ผู้อื่นปั่นหัวพวกเขา และคิดกับตัวพวกเขาเองว่า “ถ้าผู้คนไม่ล่วงเกินฉัน ฉันก็จะไม่ล่วงเกินพวกเขา” ว่าแต่พวกศัตรูของพระคริสต์แตกต่างจากนี้อย่างไรหรือ? อุปนิสัยหลักของพวกเขานั้นไม่ใช่ความโอหัง แต่เป็นความชั่วแบบเต็มขั้น แล้วโดยหลักๆ นั้น ความชั่วนี้ถูกสำแดงออกมาอย่างไรหรือ? มันถูกมองเห็นได้ในหนทางอันพิสดารของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลาย ซึ่งผู้คนทั่วไปที่มีสติปัญญาอยู่บ้าง มีความรู้อยู่บ้าง และมีประสบการณ์ทางสังคมอยู่บ้าง พบว่าลำบากยากเย็นที่จะจับได้ไล่ทัน ทั้งนี้ หนทางนี้ขยับขึ้นมาสู่ความชั่วและไม่ใช่เป็นเล่ห์ลวง พวกเขาสามารถเล่นเกมบังเงาและเล่ห์กลทั้งหลายได้ และสามารถเล่นสิ่งเหล่านั้นได้ “ดีกว่า” ผู้คนส่วนใหญ่ ผู้คนธรรมดาสามัญส่วนมากไม่สามารถแข่งกับพวกเขาได้และไม่สามารถจัดการพวกเขาได้ นี่คือศัตรูของพระคริสต์คนหนึ่ง เหตุใดจึงมีการกล่าวว่าผู้คนธรรมดาสามัญไม่สามารถจัดการพวกเขาได้? นั่นเป็นเพราะความชั่วของพวกเขานั้นสุดขั้วยิ่งนักจนพวกเขาครองพลังอำนาจมหาศาลในการหลอกลวงผู้คน เหตุใดหรือ พวกเราจึงกำลังสามัคคีธรรมกันเกี่ยวกับการสำแดงของพวกศัตรูของพระคริสต์? นั่นก็เพราะพวกศัตรูของพระคริสต์ล้วนมีความสามารถมากเกินไปที่จะหลอกลวงผู้คน พวกเขาหลอกลวงผู้คนเป็นแถบๆ ในคราวเดียว เสมือนภัยพิบัติมหากาฬซึ่งสามารถทำอันตรายและเข่นฆ่าได้มากมายโดยผ่านทางการติดต่อสัมผัสกับมันในการแพร่ระบาดเพียงครั้งเดียว นั่นคือ มันติดต่อกันได้อย่างสูงและเข้าถึงอย่างกว้างขวาง และอัตราการติดเชื้อและอัตราการตายนั้นก็สูงกว่าอัตราการติดเชื้อและอัตราการตายของโรคธรรมดา เหล่านี้มิใช่ผลสืบเนื่องที่รุนแรงหรอกหรือ?

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาปฏิบัติตนอย่างลับๆ ล่อๆ ประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยมและอย่างเผด็จการ ไม่สามัคคีธรรมกับผู้คนเลย และบังคับผู้คนให้เชื่อฟัง” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ในกาลที่พระเจ้ายังไม่ทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ การวัดว่ามนุษย์ต่อต้านพระเจ้าหรือไม่นั้นมีพื้นฐานจากการที่มนุษย์นมัสการและชื่นชมบูชาพระเจ้าผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตาบนสวรรค์หรือไม่ การต่อต้านพระเจ้าซึ่งมีการให้คำนิยามในเวลานั้น ไม่เป็นไปในวิถีทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากนัก เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้า อีกทั้งเขาไม่รู้ว่าพระฉายาของพระเจ้าเป็นอย่างไร หรือพระองค์ทรงพระราชกิจและตรัสอย่างไร มนุษย์ไม่มีมโนคติที่หลงผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเลยไม่ว่าอะไรก็ตาม และเขาเชื่อในพระเจ้าอย่างคลุมเครือเพราะพระเจ้ายังไม่เคยปรากฏต่อมนุษย์ ดังนั้น ไม่สำคัญว่ามนุษย์ได้เชื่อในพระเจ้าในจินตนาการของเขาอย่างไรก็ตาม พระเจ้าก็มิได้ทรงกล่าวโทษมนุษย์หรือทรงเรียกร้องจากเขามากเกินไปนัก เพราะมนุษย์ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าได้โดยสิ้นเชิง ครั้นพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์และเสด็จมาทรงพระราชกิจท่ามกลางมนุษย์ ทุกคนมองเห็นพระองค์และได้สดับตรับฟังพระวจนะของพระองค์ และทั้งหมดมองเห็นกิจการที่พระเจ้าทรงพระราชกิจจากภายในกายมนุษย์ของพระองค์ ณ ขณะนั้นเอง มโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ทุกคนจึงปลาสนาการไป สำหรับผู้ที่เคยเห็นพระเจ้าซึ่งทรงปรากฏเป็นมนุษย์แล้วนั้น พวกเขาจะไม่ถูกกล่าวโทษหากพวกเขาเต็มใจเชื่อฟังพระองค์ ในขณะที่พวกซึ่งยืนต้านพระองค์อย่างมีจุดประสงค์จะถูกถือว่าเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้า ผู้คนดังกล่าวคือศัตรูของพระคริสต์ เป็นศัตรูที่ตั้งใจยืนต้านพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าคือผู้ที่ต่อต้านพระองค์ และใครก็ตามที่ได้มาเข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้าแล้ว แต่ยังไม่พยายามทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยก็ยิ่งถือว่าเป็นผู้ต่อต้านพระเจ้าขึ้นไปอีก มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี “องค์ประกอบอันเพียบพร้อม” แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า

เนื่องจากเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าต้องเชื่อในพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าและในพระราชกิจทั้งหมดของพระองค์ ซึ่งพูดได้ว่า ในเมื่อเจ้าเชื่อในพระเจ้า เจ้าก็ต้องเชื่อฟังพระองค์ หากเจ้าไม่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็ย่อมไม่สำคัญแล้วว่าเจ้าจะเชื่อในพระเจ้าหรือไม่ หากเจ้าเชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี แต่ไม่เคยเชื่อฟังพระองค์ และไม่ยอมรับพระวจนะของพระองค์อย่างครบถ้วนบริบูรณ์ แต่กลับขอให้พระเจ้าทรงนบนอบต่อเจ้าและทรงกระทำตามมโนคติที่หลงผิดของเจ้า เจ้าก็คือกบฏตัวร้ายที่สุดในบรรดาทั้งหมด เจ้าก็คือผู้ปราศจากความเชื่อคนหนึ่งนั่นเอง ผู้คนเช่นนั้นจะเชื่อฟังพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าซึ่งไม่ประจวบพ้องกับมโนคติที่หลงผิดของมนุษย์ได้อย่างไรกัน? ที่เป็นกบฏที่สุดในบรรดาทั้งหมดก็คือพวกที่เยาะเย้ยท้าทายและต้านทานพระเจ้าโดยเจตนา พวกเขาเป็นศัตรูของพระเจ้าพวกต่อต้านพระคริสต์ ท่าทีของพวกเขานั้นไม่เป็นมิตรต่อพระราชกิจใหม่ของพระเจ้าเสมอ พวกเขาไม่มีความเอนเอียงแม้แต่น้อยนิดที่จะนบนอบ ทั้งยังไม่เคยนบนอบหรือถ่อมใจตนเองอย่างเปรมปรีดิ์ พวกเขายกย่องตนเองต่อหน้าผู้อื่นและไม่เคยยอมนบนอบต่อผู้ใด เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาพิจารณาว่าตนเองนั้นเก่งที่สุดในเรื่องการประกาศพระวจนะ และมีทักษะสูงสุดในการทำงานให้เกิดผลในตัวผู้อื่น พวกเขาไม่เคยทิ้งขว้าง “ขุมทรัพย์” ที่ตนครอง แต่ปฏิบัติต่อขุมทรัพย์เหล่านั้นเฉกเช่นมรดกตกทอดของครอบครัวสำหรับนมัสการ เพื่อประกาศต่อผู้อื่นไปทั่ว และใช้ขุมทรัพย์เหล่านั้นเพื่ออบรมสั่งสอนพวกคนโง่เขลาที่ชื่นชูพวกเขา ในคริสตจักรมีผู้คนแบบนี้อยู่ไม่น้อยทีเดียวจริงๆ อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเป็น “วีรบุรุษผู้มิอาจมีผู้ใดพิชิตได้” รุ่นแล้วรุ่นเล่าที่ผ่านมาพักแรมในบ้านของพระเจ้า พวกเขาถือการประกาศพระวจนะ (คำสอน) เป็นหน้าที่อันสูงส่งที่สุดของพวกเขา ปีแล้วปีเล่า รุ่นแล้วรุ่นเล่า พวกเขายุ่งอยู่กับการบังคับใช้หน้าที่ “อันศักดิ์สิทธิ์และมิอาจฝ่าฝืนได้” ของตนอย่างกร้าวแกร่ง ไม่มีใครกล้าแตะพวกเขา ไม่แม้แต่คนเดียวที่กล้าตำหนิพวกเขาอย่างเปิดเผย พวกเขากลายเป็น “กษัตริย์” ในพระนิเวศของพระเจ้า อาละวาดเพ่นพ่านขณะที่พวกเขาปฏิบัติอย่างเผด็จการกับผู้อื่นมายุคแล้วยุคเล่า ปีศาจฝูงนี้พยายามหาทางร่วมมือกันรื้อทำลายงานของเรา เราสามารถยอมให้มารมีชีวิตพวกนี้ดำรงอยู่ต่อหน้าต่อตาเราได้อย่างไรกันเล่า? แม้แต่บรรดาผู้ที่เชื่อฟังเพียงครึ่งใจก็ยังไม่อาจรอดไปถึงปลายทางได้ นับประสาอะไรกับพวกเผด็จการเหล่านี้ที่ไม่มีความเชื่อฟังแม้เพียงน้อยนิดในหัวใจ! พระราชกิจของพระเจ้าไม่ใช่สิ่งที่มนุษย์ได้รับอย่างง่ายดาย แม้จะใช้สรรพกำลังทั้งหมดที่พวกเขามี มนุษย์ก็สามารถได้รับเพียงบางส่วนเท่านั้น ซึ่งก็เปิดโอกาสให้พวกเขาได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมในท้ายที่สุด เช่นนั้นแล้ว บรรดาลูกหลานของหัวหน้าทูตสวรรค์ที่พยายามหาทางทำลายพระราชกิจของพระเจ้าล่ะว่าอย่างไร? พวกเขายิ่งมีความหวังน้อยสักเท่าใดที่จะได้รับการรับไว้โดยพระเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เหล่าผู้เชื่อฟังพระเจ้าด้วยใจจริงย่อมได้รับการรับไว้โดยพระเจ้าอย่างแน่นอน

จงมองไปที่บรรดาผู้นำของแต่ละนิกาย—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาขาดบริบทและถูกชี้นำโดยจินตนาการของพวกเขาเอง พวกเขาล้วนพึ่งพาพรสวรรค์และความคงแก่เรียนในการทำงานของพวกเขา หากพวกเขาไม่สามารถประกาศได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ? จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง และสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือพวกเขารู้วิธีที่จะเอาชนะผู้อื่น และใช้ประโยชน์จากชั้นเชิงบางอย่าง พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อนำพาผู้คนมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเองและหลอกลวงผู้คนเหล่านั้น ผู้คนเหล่านี้เชื่อพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงพวกเขาติดตามบรรดาผู้นำของพวกเขา เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับใครบางคนที่กำลังประกาศหนทางที่แท้จริง พวกเขาบางคนก็จะกล่าวว่า “พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา” มนุษย์เป็นสื่อกลางความเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา นั่นมิใช่ปัญหาหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งใดไปแล้วกันเล่า? พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี พวกผู้เลี้ยงเทียมเท็จ พวกศัตรูของพระคริสต์ และเครื่องสะดุดต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วกระนั้นหรือ?

ตัดตอนมาจาก “มีเพียงการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

มีบางคนที่ไม่ใยดีเกินไปโดยสิ้นเชิงในท่าทีของพวกเขาต่อการจัดการเตรียมการงานจากเบื้องบน “เบื้องบนทำการจัดการเตรียมการงาน” พวกเขาคิด “และพวกเราทำงานอยู่ข้างล่างนี้ บางส่วนของสิ่งที่พูดกันนั้นและบางส่วนของกิจทั้งหลายสามารถนำมาดำเนินการได้อย่างยืดหยุ่น—สิ่งเหล่านั้นสามารถปรับเปลี่ยนได้เมื่อสิ่งเหล่านั้นลงมายังพวกเรา จะว่าไปแล้ว เบื้องบนก็แค่พูดคุย และพวกเราคือผู้ที่ทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริง พวกเราเข้าใจสถานการณ์ในคริสตจักร แต่เบื้องบนนั้นไม่ ดังนั้น ผู้คนและงานของคริสตจักรที่ได้ถูกมอบแก่พวกเราจึงเป็นของพวกเราที่จะทำตามที่พวกเราเห็นว่าเหมาะสม พวกเราสามารถทำอย่างที่พวกเราชอบ และไม่มีผู้ใดมีสิทธิที่จะแทรกแซง” กับผู้คนเช่นนั้น หลักธรรมของการรับใช้พระเจ้าก็คือการนี้ กล่าวคือ “หากฉันคิดว่าบางสิ่งถูกต้อง ฉันจะจดบันทึกการนั้น หากฉันคิดว่าบางสิ่งใช้งานไม่ได้ ฉันจะเพิกเฉยการนั้น ฉันสามารถต้านทานคุณหากฉันต้องการ หรือต่อต้านคุณ และสิ่งใดก็ตามที่ฉันไม่ต้องการ ฉันก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำสิ่งนั้นมาดำเนินการหรือดำเนินการสิ่งนั้นจนเสร็จสิ้น หากบางสิ่งที่คุณพูดทำให้ฉันรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ฉันจะแก้ไขการนั้นเพื่อคุณ และทันทีที่ฉันได้กรองการนั้นแล้ว ฉันก็จะส่งต่อการนั้น ไม่มีอะไรที่ฉันยังไม่ได้รับรองจะได้รับการตีพิมพ์” ที่อื่นๆ นั้น พวกเขาเผยแพร่การจัดการเตรียมการจากเบื้องบนในรูปแบบดั้งเดิม แต่บุคคลนี้ส่งการจัดการเตรียมการงานฉบับที่แก้ไขแล้วของพวกเขาไปยังผู้คนในพื้นที่ที่พวกเขานำทาง บุคคลเช่นนั้นปรารถนาอยู่เสมอที่จะผลักพระเจ้าไว้ด้านข้าง และต้องการแทบขาดใจที่จะให้ทุกคนติดตามและเชื่อในพวกเขา หนทางที่พวกเขามองเห็นนั้น พระเจ้าไม่ทรงเทียบเท่าพวกเขาในด้านเฉพาะบางด้าน—พวกเขาควรเป็นพระเจ้าด้วยเช่นกัน และทุกคนควรเชื่อในพวกเขา นั่นคือธรรมชาติของสิ่งที่พวกเขาทำ หากพวกเจ้าเข้าใจการนี้ เจ้าจะยังคงร้องไห้หรือไม่เมื่อบุคคลเช่นนั้นถูกย้ายและแทนที่? เจ้าจะยังคงรู้สึกถึงความเห็นใจที่มีให้พวกเขาหรือไม่? เจ้าจะยังคงคิดว่า “สิ่งที่เบื้องบนทำนั้นไม่จำเป็นและไม่เป็นธรรม—เบื้องบนจะสามารถปลดใครคนหนึ่งที่ได้ทนทุกข์มามากมายเหลือเกินได้อย่างไร?” พวกเขาได้ทนทุกข์เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของใครกัน? พวกเขาได้ทนทุกข์เพื่อเห็นแก่ประโยชน์ของสถานะของพวกเขาเอง พวกเขากำลังรับใช้พระเจ้ากระนั้นหรือ? พวกเขากำลังปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขากระนั้นหรือ? พวกเขาจงรักภักดีและนบนอบต่อพระเจ้ากระนั้นหรือ? พวกเขาไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากสมุนของซาตาน และงานของพวกเขาคืออำนาจครอบครองของมาร การนั้นทำลายแผนการบริหารจัดการของพระเจ้าและรบกวนพระราชกิจของพระองค์ นั่นคือความเชื่อจำพวกใดกัน? พวกเขาไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากมาร ศัตรูของพระคริสต์!

ตัดตอนมาจาก “การล่วงเกินพระเจ้าคือสิ่งใด?” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ศัตรูของพระคริสต์เป็นอริอย่างเปิดเผยต่อความจริงและต่อพระเจ้า พวกเขาแก่งแย่งชิงดีกับพระเจ้าเพื่อให้ได้ผู้ที่ทรงเลือกสรร พวกเขาแก่งแย่งชิงดีกับพระองค์เพื่อให้ได้สถานะ และเพื่อให้ได้หัวใจของผู้คน และไปไกลถึงขนาดที่ลองพยายามสิ่งทั้งหลายทุกลักษณะเพื่อชนะใจผู้คน ลวงให้ใจของผู้คนหลงผิด และทำให้หัวใจของผู้คนด้านชา สรุปสั้นๆ ก็คือ ทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำ—ไม่ว่าจะโดยเปิดเผยหรือโดยเป็นความลับ—ในธรรมชาติที่แท้จริงของมันแล้วเป็นอริต่อพระเจ้า เหตุใดเราจึงพูดว่านั่นเป็นอริต่อพระเจ้า? เพราะพวกเขายังคงลุกขึ้นต้านทาน แม้ในยามที่พวกเขารู้อย่างชัดเจนว่านี่คือความจริง และรู้อย่างชัดเจนว่านี่คือพระเจ้า ตัวอย่างหนึ่งก็คือ ในคริสตจักรบางแห่ง เมื่อศัตรูของพระคริสต์ได้ชักนำผู้คนให้ไปอยู่ฝั่งพวกเขา ยั่วใจพวกเขาให้จากไป และใช้อิทธิพลเหนี่ยวโน้มผู้คนเหล่านั้นให้ทำตามเจตจำนงของพวกตน จากนั้นพวกเขาก็จะบีบบังคับเอาหนังสือทุกประเภทและเอกสารวัสดุอื่นๆ จากพระนิเวศของพระเจ้าเพื่อที่จะสถาปนาคริสตจักรที่แยกต่างหากของพวกเขาเอง ผู้คนเหล่านี้สักการบูชาและติดตามศัตรูของพระคริสต์ ศัตรูของพระคริสต์ได้พวกเขาไว้ภายใต้การควบคุมอย่างเหนียวแน่น ในการประพฤติตนในหนทางนี้ พวกเขากำลังแก่งแย่งชิงดีกับพระเจ้าอย่างเห็นได้ชัดเพื่อให้ได้ผู้ที่ทรงเลือกสรร นี่ใช่หรือนี่ไม่ใช่หนึ่งในคุณลักษณะของศัตรูของพระคริสต์? การจำแนกชั้นพวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์บนพื้นฐานของคุณลักษณะที่เห็นได้ชัดเช่นนั้น ห่างไกลนักจากการตัดสินพวกเขาอย่างไม่ยุติธรรม ก็แค่ถูกต้องแม่นยำเกินไปเท่านั้นเอง! แล้วก็มีศัตรูของพระคริสต์บางคนที่สร้างราชอาณาจักรของพวกเขาเองภายในคริสตจักร โดยบ่มเพาะพลังอำนาจและอิทธิพลของพวกเขาเอง ขุดถอนใครก็ตามที่ล้มเหลวที่จะคล้อยตาม เก็บบรรดาผู้ที่ติดตามและเชื่อฟังพวกเขาไว้เคียงข้างพวกเขา เพื่อที่จะก่อรูปกำลังบังคับอิสระและใช้อิทธิพลเหนี่ยวโน้มผู้คนให้ทำตามเจตจำนงของพวกเขา ไม่ว่าการจัดการเตรียมการงานหรือข้อพึงประสงค์ใดก็ตามที่มาจากเบื้องบน ศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้ปฏิบัติตามแนวทางปฏิบัติแบบอิสระ โดยนำทางผู้คนที่อยู่ภายใต้พวกเขาให้เยาะเย้ยท้าทายการจัดการเตรียมการงานจากเบื้องบนอย่างเปิดเผย ตัวอย่างเช่น ข้อพึงประสงค์จากเบื้องบนก็คือ ผู้นำและคนทำงานที่ไม่เหมาะสมอาจถูกแทนที่ได้ตลอดเวลา แต่จากมุมมองของศัตรูของพระคริสต์ ถึงแม้ว่าผู้นำและคนทำงานเหล่านี้อาจไม่เหมาะสม แต่เนื่องจากพวกเขาได้รับการบ่มเพาะโดยศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจึงไม่สามารถถูกแทนที่ได้โดยคำสั่งการจากเบื้องบนไม่ว่าในรูปการณ์แวดล้อมใด นอกเสียจากว่าศัตรูของพระคริสต์ถูกย้ายออกไปเองก่อนหน้านั้น พวกเขาได้เข้าควบคุมหรือยังไม่ได้เข้ายึดอำนาจควบคุมคริสตจักรนี้เล่า? ทันทีที่อยู่ในมือของพวกเขา การจัดการเตรียมการงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็ไม่อาจกระทำได้อีกต่อไป และไม่สามารถดำเนินการจนเสร็จสิ้นได้อีกต่อไป การจัดการเตรียมการงานได้ถูกแจกจ่ายออกมานานแล้ว และแต่ละคริสตจักรก็ได้ส่งรายงานสถานะเกี่ยวกับการนำไปดำเนินการของพวกเขากลับไปแล้ว—ตัวอย่างเช่น ใครได้เปลี่ยนแปลงหน้าที่ของพวกเขาหรือถูกย้ายออกจากหน้าที่เหล่านั้นเพราะรูปการณ์แวดล้อมเฉพาะบางอย่าง—แต่ในพื้นที่ที่ศัตรูของพระคริสต์ต้องรับผิดชอบ ไม่มีผู้คนเช่นนั้นเลย ไม่มีผู้ใดเลยที่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอันใดกับหน้าที่ของพวกเขา จะเป็นไปได้หรือที่ไม่มีบุคคลที่ไม่เหมาะสมสักคนเดียวในพื้นที่นั้น? นั่นเป็นถึงขั้นกรณีที่ว่าบุคลากรบางคนไม่เหมาะสม และศัตรูของพระคริสต์ได้รับคำสั่งโดยตรงจากเบื้องบนให้แทนที่บุคลากรเหล่านั้น ทว่าแม้หลังจากที่เวลาผ่านไปนานแล้วก็ไม่มีคำตอบปรากฏออกมาเลย ณ ที่นี้มีปัญหาหรือว่าไม่มี? นี่เองคือสถานการณ์หนึ่งที่คริสตจักรได้ตกไปอยู่ในมือของศัตรูของพระคริสต์ คำสั่งให้ดำเนินการจัดการเตรียมการงานจนเสร็จสิ้นนั้นลงมาจากเบื้องบน แต่ทันทีที่คำสั่งเหล่านั้นไปถึงศัตรูของพระคริสต์ คำสั่งเหล่านั้นก็ถูกสกัดกั้นเอาไว้ และไม่มีคำพูดใดไปถึงพวกที่อยู่ต่ำลงไป ดังนั้น พวกเขาจึงได้สูญเสียการติดต่อทั้งหมดกับเบื้องบน และทุกสิ่งทุกอย่างก็ถูกควบคุมโดยศัตรูของพระคริสต์ ธรรมชาติของพวกเขาคืออะไรเมื่อพวกเขาทำสิ่งทั้งหลายเช่นนั้น? นี่คือกรณีของการที่ศัตรูของพระคริสต์แสดงตัวตนของพวกเขาเอง

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (1)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

บุคคลประเภทใดที่ตั้งราชอาณาจักรของเขาเองขึ้นมา? (ศัตรูของพระคริสต์) และเหตุใดบุคคลเช่นนั้นจึงถูกเรียกว่า “ศัตรูของพระคริสต์”? ก่อนอื่น คำว่า “ศัตรู” หมายถึงการเป็นปรปักษ์และไม่เป็นมิตร และนั่นเกี่ยวข้องกับการเป็นปรปักษ์และไม่เป็นมิตรต่อพระคริสต์ ต่อพระเจ้า และต่อความจริง การเป็น “ปรปักษ์และไม่เป็นมิตร” หมายถึงสิ่งใด? (การยืนหยัดในการต่อต้านโดยตรง) (การเกลียดชัง) ผู้ที่เกลียดชังพระเจ้าและผู้ที่อยู่ในการต่อต้านโดยตรงต่อพระองค์จะสามารถยอมรับความจริงได้หรือไม่? พวกเขาสามารถรักความจริงได้หรือไม่? พวกเขาไม่สามารถทำได้อย่างแน่นอน หนทางเดียวที่พวกเขาใช้ในการแสดงออกถึงตัวของพวกเขาเองก็คือการไม่รักความจริง เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนพูดความจริง พวกเขาจะไม่แสดงออกถึงสิ่งใดต่อหน้าบุคคลผู้นั้น แต่ในหัวใจของพวกเขานั้นพวกเขาไม่ยอมรับความจริง และลึกลงไปพวกเขาต้านทานความจริง ในขณะที่ต้านทานความจริงทั้งหมดเหล่านี้—ที่เกี่ยวกับทุกสิ่งที่เป็นแง่บวก เช่น การนบนอบต่อพระเจ้า การปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างจงรักภักดี การเป็นผู้คนที่ซื่อสัตย์ การแสวงหาความจริงในทุกสรรพสิ่ง และอื่นๆ—พวกเขามีความโหยหาหรือความรักอยู่ภายในใจสักเล็กน้อยหรือไม่? ไม่มีเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะฉะนั้น เมื่อพิจารณาถึงธรรมชาติและแก่นแท้ชนิดนี้ที่พวกเขามี พวกเขากำลังยืนอยู่ในการต่อต้านพระเจ้าและความจริงโดยตรงแล้ว ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ผู้คนเช่นนี้ ลึกลงไปแล้วจะไม่รักความจริงหรือสิ่งที่เป็นแง่บวกใดๆ เลย ตัวอย่างเช่น ผู้คนที่อยู่ในตำแหน่งของการเป็นผู้นำต้องมีความสามารถที่จะยอมรับความคิดเห็นต่างๆ ของบรรดาพี่น้องชายหญิงของพวกเขาได้ พวกเขาต้องมีความสามารถที่จะเปิดใจตนเองต่อบรรดาพี่น้องชายหญิงและยอมรับการตำหนิของบรรดาพี่น้องชายหญิง และพวกเขาต้องไม่เข้ารับสถานะ ศัตรูของพระคริสต์จะคิดถึงหนทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งหมดเหล่านี้หรือไม่? บางทีพวกเขาคงจะกล่าวว่า “หากฉันรับฟังความคิดเห็นของบรรดาพี่น้องชายหญิงทั้งหลาย เช่นนั้นแล้วฉันจะยังคงเป็นผู้นำอยู่หรือ? ฉันจะยังคงสามารถทำให้ผู้คนยำเกรงฉันได้หรือ? หากฉันไม่สามารถทำให้ผู้คนยำเกรงฉันได้ และหากฉันไม่มีศักดิ์ศรี เช่นนั้นแล้วฉันจะสามารถทำงานใดได้?” นี่คืออุปนิสัยประเภทที่ศัตรูของพระคริสต์ถือครองอย่างแน่นอน เขาไม่ยอมรับความจริงแม้ในหนทางเล็กน้อยที่สุดด้วยซ้ำ และยิ่งวิธีการในการปฏิบัติถูกต้องเหมาะสมมากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งต้านทานวิธีการนั้นมากขึ้นเท่านั้น เขาไม่ยอมรับว่าวิธีการที่ถูกต้องในการปฏิบัติเหล่านี้เป็นหนทางแห่งการปฏิบัติความจริง ความจริงดังเช่นที่เขาเชื่อนั้นคือสิ่งใด? นั่นคือการที่คนเราควรจะใช้กฎเหล็ก ความประพฤติชั่ว วิธีการที่โหดร้าย และเล่ห์กลเมื่อปฏิบัติกับใครก็ตามอยู่เสมอ คนเราไม่ควรใช้ความจริง ความรัก และพระวจนะของพระเจ้าเลย หนทางของเขาคือหนทางที่ชั่วร้าย นี่คือธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกที่เป็นจำพวกของศัตรูพระคริสต์ และนั่นยังเป็นหนทางที่พวกเขาทำสิ่งทั้งหลายและเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังการกระทำของพวกเขา เป็นแหล่งกำเนิดที่พวกเขาผุดขึ้นมาอีกด้วย นี่คือสิ่งที่เป็นเหมือนแรงจูงใจของพวกเขาและเจตนาของพวกเขา แก่นแท้ของแรงจูงใจและเจตนาของพวกเขา ซึ่งพวกเขาเปิดเผยอออกมาบ่อยครั้ง แท้จริงแล้วก็คือแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ เป็นความไม่ชอบและเกลียดต่อความจริง นี่คือแก่นแท้ของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว ความหมายของการยืนหยัดในการต่อต้านความจริงและต่อต้านพระเจ้าคืออะไร? นั่นหมายถึงการเกลียดชังความจริงและสิ่งที่เป็นแง่บวก ตัวอย่างเช่น ในฐานะวัตถุแห่งการทรงสร้าง คนเราควรปฏิบัติหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างให้ลุล่วง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าอาจจะตรัสสิ่งใด ผู้คนควรจะนบนอบ เพราะพวกมนุษย์คือวัตถุแห่งการทรงสร้าง แต่ศัตรูของพระคริสต์คิดอย่างไร? “ไม่ใช่ว่าไม่จริงเลยที่ข้าพระองค์เป็นวัตถุแห่งการทรงสร้าง แต่เมื่อกล่าวถึงการนบนอบ นั่นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ สิ่งแรกและที่สำคัญที่สุดคือ ต้องมีผลประโยชน์บางอย่างในการนั้นสำหรับข้าพระองค์ ข้าพระองค์ต้องไม่ตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ และข้าพระองค์ต้องให้ผลประโยชน์ของข้าพระองค์เองมาเป็นที่หนึ่ง หากมีบำเหน็จรางวัลและพระพรอันยิ่งใหญ่ที่จะได้มา และพระองค์ทรงต้องประสงค์ให้ข้าพระองค์นบนอบ เช่นนั้นแล้วก็ไม่เป็นไรเลย แต่หากปราศจากบำเหน็จรางวัลและปราศจากบั้นปลาย เช่นนั้นแล้ว ข้าพระองค์ก็ไม่สามารถนบนอบได้” นี่คือวิธีที่ศัตรูของพระคริสต์มองการนั้น อีกตัวอย่างหนึ่ง พระเจ้าทรงประสงค์จะให้ผู้คนซื่อสัตย์ แต่ศัตรูของพระคริสต์คิดถึงการนี้อย่างไร? “พวกโง่เง่าเท่านั้นที่ซื่อสัตย์ ผู้คนที่ฉลาดไม่ซื่อสัตย์หรอก” ความคิดเห็นเหล่านี้ประกอบขึ้นเป็นท่าทีที่ไม่ยอมรับความจริงหรือไม่? แก่นแท้ของท่าทีจำพวกนี้คือสิ่งใด? แก่นแท้ของมันคือการเกลียดชังความจริง นี่คือแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์เช่นนั้นอย่างแน่นอน และแก่นแท้ของพวกเขากำหนดพิจารณาว่าพวกเขาจะเดินบนเส้นทางประเภทใด และในทางกลับกัน เส้นทางที่พวกเขาเดินก็กำหนดพิจารณาสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาจะทำในขณะที่ปฏิบัตินี้ที่จำพวกนี้ให้ลุล่วง

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาพยายามที่จะได้รับความสนับสนุนจากผู้คน” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ผู้คนบางคนมีการสำแดงเฉพาะหนึ่งของพวกศัตรูของพระคริสต์และการพรั่งพรูเฉพาะหนึ่งของอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ แต่ก็ยอมรับและรับรู้ความจริง และรักความจริงอีกด้วย พวกเขาเป็นเป้าหมายแห่งความรอดที่เป็นไปได้ มีผู้คนบางคนที่ไม่เป็นมิตรและมีความเกลียดต่อความจริงโดยธรรมชาติและธาตุแท้ของพวกเขาโดยไม่คำนึงถึงรูปลักษณ์ของพวกเขา ทันทีที่เจ้าพูดถึงความจริงหรือเทศนาพวกเขา พวกเขาก็ยิ่งหงุดหงิดและต่อต้าน กล่าวคือพวกเขาเริ่มม่อย พวกเขาผล็อยหลับ พวกเขาเบื่อและไม่สนใจแม้แต่เวลาที่พวกเขาเข้าใจ หรือพวกเขาอาจดูขยันที่ภายนอก แต่ประเมินวัดความจริงด้วยท่าทีที่แตกต่าง หรือด้วยบางองค์ความรู้และทฤษฎี หากเป็นเช่นนั้นแล้วไซร้ โดยไม่คำนึงถึงว่าพวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าไปแล้วมากเท่าใดหรือพวกเขาได้ฟังคำเทศนาไปแล้วมากเท่าใด ในท้ายที่สุดก็จะไม่มีวันมีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อยในท่าทีของพวกเขา ซึ่งก็คือการไล่ตามเสาะหาสถานะและสรรพสิ่งทางโลก ความเป็นศัตรูต่อพระเจ้าและความไม่เป็นมิตรต่อความจริง นี่เป็นแบบฉบับของพวกศัตรูของพระคริสต์ เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าพูดว่าการกระทำของพวกเขาหมายจะชนะใจผู้คนให้มาเข้าข้างพวกเขา และหมายให้พวกเขายกย่องและเป็นพยานเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองเพื่อแย่งชิงสถานะของพระเจ้า เพื่อหลอกลวงผู้คน และหมายให้การกระทำของพวกเขาเป็นการกระทำของซาตานและพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาจะยอมรับการกล่าวโทษเช่นนี้หรือ? พวกเขาย่อมไม่ยอมรับ พวกเขาคิดว่ามันถูกต้องและเหมาะสมสำหรับพวกเขาที่จะกระทำตัวในหนทางนี้ กล่าวคือ “นี่คือวิธีที่ฉันทำสิ่งต่างๆ เธอสามารถประณามและวิจารณ์ฉันตามที่เธอต้องการได้ทั้งนั้น—ฉันจะไม่ยอมแพ้ในการไล่ตามเสาะหานี้ ความอยากได้อยากมีนี้ หรือหนทางนี้ในการทำสิ่งต่างๆ” มันถูกตัดสินแล้ว นั่นคือ พวกเขาคือพวกศัตรูของพระคริสต์ ไม่มีสิ่งใดที่เจ้าพูดจะสามารถปรับเปลี่ยนมุมมองของพวกเขา อีกทั้งไม่สามารถปรับเปลี่ยนแรงจูงใจและเจตนาของพวกเขา อีกทั้งความทะเยอทะยานและความอยากได้อยากมีของพวกเขา เช่นนั้นคือธรรมชาติและธาตุแท้ของศัตรูของพระคริสต์ในแบบฉบับ ไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หรือผู้คน เรื่องต่างๆ และสรรพสิ่งรอบตัวพวกเขาเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หรือเวลาเปลี่ยนไปอย่างไร และโดยไม่คำนึงถึงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงกระทำ และพระเจ้าทรงให้พระคุณแก่พวกเขามากเท่าใด—ต่อให้พระองค์ทรงลงโทษพวกเขา—เจตนาของพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง หนทางของพวกเขาในการเป็นมนุษย์และหนทางของพวกเขาในการทำสิ่งทั้งหลายจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง อีกทั้งท่าทีของพวกเขาที่ไม่เป็นมิตรต่อความจริงก็จะไม่เปลี่ยนแปลง เมื่อผู้อื่นชี้ให้เห็นว่าสิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่คือการยกย่องและการเป็นพยานเกี่ยวกับตัวพวกเขาเองและการพยายามหลอกลวงผู้คน พวกเขาก็เปลี่ยนแปลงลักษณะการพูดของพวกเขาให้เป็นลักษณะการพูดที่ผู้อื่นไม่สามารถจับผิดได้ ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้สิ่งที่พวกเขากำลังทำ พวกเขาใช้วิถีทางที่เจ้าเล่ห์ยิ่งขึ้นไปอีกเพื่อดำเนินการบริหารจัดการของพวกเขาจนเสร็จสิ้นและสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายลับของพวกเขา นี่คือสิ่งที่ถูกสำแดงในศัตรูของพระคริสต์ และมันถูกก่อให้เกิดโดยธาตุแท้ของศัตรูของพระคริสต์ ต่อให้พระเจ้าตรัสบอกพวกเขาว่าพวกเขาจะถูกลงโทษ ว่าบทอวสานของพวกเขาได้มาถึงแล้ว ว่าพวกเขาได้ถูกสาปแช่งและสาปส่ง นี่จะสามารถเปลี่ยนแปลงธาตุแท้ของพวกเขาได้หรือ? มันจะสามารถเปลี่ยนท่าทีของพวกเขาต่อความจริงได้หรือ? มันจะสามารถเปลี่ยนแปลงความรักของพวกเขาต่อสถานะ โชคลาภ และศักดิ์ศรีได้หรือ? มันไม่สามารถ การแปรสภาพผู้คนที่ได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทรามไปแล้วให้กลายเป็นผู้คนที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติซึ่งนมัสการพระเจ้าเป็นพระราชกิจของพระเจ้า มันสามารถสัมฤทธิ์ผลได้ แต่เป็นไปได้ไหมที่จะแปรสภาพเหล่าผี ผู้คนที่แต่งกายด้วยผิวหนังมนุษย์ แต่มีธาตุแท้เยี่ยงซาตาน ซึ่งบูชาซาตานในค่ายของซาตานและไม่เป็นมิตรกับพระเจ้าให้กลายเป็นผู้คนปกติ? นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้ พระเจ้าไม่ทรงพระราชกิจประเภทนี้ ผู้คนเหล่านี้ไม่ได้รวมอยู่ในบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงช่วยให้รอด เช่นนั้นแล้ว พระเจ้าทรงนิยามผู้คนเช่นนี้อย่างไร? พวกเขาเป็นของซาตาน พวกเขาไม่ใช่เป้าหมายแห่งการคัดสรรหรือความรอดของพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงพึงประสงค์ผู้คนเช่นนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้อยู่ในพระนิเวศของพระเจ้ามานานเท่าใดแล้ว พวกเขาได้ทนทุกข์มากมายเพียงใดแล้ว หรือพวกเขาได้ทำให้สิ่งใดสำเร็จลุล่วงแล้ว เจตนาของพวกเขาก็ไม่เปลี่ยนแปลง พวกเขาจะไม่วางความทะเยอทะยานหรือความอยากได้อยากมีของพวกเขาเอาไว้ก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าพวกเขาจะละทิ้งแรงจูงใจและความใฝ่หาของพวกเขาที่จะแย่งชิงสถานะและผู้คนกับพระเจ้า ผู้คนเช่นนี้เป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ที่มีชีวิต

ตัดตอนมาจาก “พวกเขายกย่องตัวเองและให้การเป็นพยานต่อตัวเอง” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

พวกศัตรูของพระคริสต์ทั้งหมดคงจะยอมตายมากกว่าจะยอมกลับใจ พวกเขาสาบานที่จะต้านทานพระเจ้าจนตาย และต่อสู้จนถึงที่สุดจริงๆ ถึงแม้ว่าลึกลงไปแล้ว พวกเขายอมรับรู้ว่ามีพระเจ้าองค์หนึ่ง ว่าพระองค์ได้ทรงสร้างมนุษย์ และว่าพระองค์สามารถทรงช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ แต่ธรรมชาติของพวกเขาทำให้พวกเขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเส้นทางที่พวกเขาได้เลือกแล้ว และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงแห่งความไม่เป็นมิตรของพวกเขาต่อพระเจ้าได้ ด้วยเหตุนั้น แก่นแท้ของพฤติกรรมของพวกศัตรูของพระคริสต์คือการใช้วิถีทางและวิธีการต่างๆ อย่างเนืองนิตย์ เพื่อสัมฤทธิ์เป้าหมายของพวกเขาในการมีสถานะ ในการชนะใจผู้คน และในการทำให้ผู้คนติดตามและเคารพพวกเขา เป็นไปได้ว่าในส่วนลึกของหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่จงใจแย่งชิงมนุษยชาติกับพระเจ้า แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่นอน นั่นคือแม้ในเวลาที่พวกเขาไม่แย่งชิงพวกมนุษย์กับพระเจ้า พวกเขาก็ยังคงปรารถนาที่จะมีสถานะและพลังอำนาจท่ามกลางพวกมนุษย์ ต่อให้วันนั้นมาถึงเมื่อพวกเขาตระหนักว่าพวกเขากำลังแย่งชิงสถานะกับพระเจ้า และพวกเขาเหนี่ยวรั้งตัวพวกเขาเองไว้ แต่พวกเขาก็ยังคงนำวิธีการอื่นๆ มาใช้เพื่อให้ได้รับสถานะท่ามกลางผู้คนและได้รับการยืนยันว่าใช้ได้ กล่าวสั้นๆ ก็คือ แม้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกศัตรูของพระคริสต์ทำดูเหมือนจะประกอบด้วยการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างสัตย์ซื่อ และดูเหมือนว่าพวกเขาจะเป็นผู้ติดตามที่แท้จริงของพระเจ้า แต่ความทะเยอทะยานของพวกเขาที่จะควบคุมผู้คน—และได้รับสถานะและพลังอำนาจท่ามกลางผู้คน—จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง ไม่สำคัญว่าพระเจ้าจะตรัสหรือทรงทำสิ่งใด และไม่สำคัญว่าพระองค์จะทรงขอสิ่งใดจากผู้คน พวกเขาก็ไม่ทำสิ่งที่พวกเขาควรทำหรือทำให้หน้าที่ของพวกเขาลุล่วงในหนทางที่เหมาะสมกับพระวจนะและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ อีกทั้งพวกเขาก็ไม่ยกเลิกการไล่ตามเสาะหาพลังอำนาจและสถานะของพวกเขา อันเป็นผลของการเข้าใจถ้อยดำรัสของพระองค์และความจริง ความทะเยอทะยานของพวกเขาครอบงำพวกเขา ควบคุมและชี้นำพฤติกรรมและความคิดของพวกเขา และกำหนดเส้นทางที่พวกเขาเดินมาโดยตลอด นี่คือข้อสรุปลักษณะของพวกศัตรูของพระคริสต์ สิ่งใดได้รับการเน้นย้ำตรงนี้? ผู้คนบางคนถามว่า “พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ใช่พวกที่แข่งกับพระเจ้าเพื่อให้ได้รับผู้คนไว้ และที่ไม่ยอมรับรู้พระองค์หรอกหรือ?” พวกเขาอาจยอมรับรู้พระเจ้า พวกเขาอาจยอมรับรู้และเชื่ออย่างแท้จริงในการทรงดำรงอยู่ของพระองค์ และพวกเขาอาจเต็มใจที่จะติดตามพระองค์และไล่ตามเสาะหาความจริง แต่สิ่งหนึ่งจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง นั่นก็คือพวกเขาจะไม่มีวันละทิ้งความทะเยอทะยานของพวกเขาเพื่อพลังอำนาจและสถานะ อีกทั้งพวกเขาก็จะไม่ยอมทิ้งการไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นของพวกเขาเนื่องจากสภาพแวดล้อมของพวกเขาหรือท่าทีของพระเจ้าต่อพวกเขา เหล่านี้คือคุณลักษณะเฉพาะของพวกศัตรูของพระคริสต์ ไม่ว่าบุคคลหนึ่งจะได้ทนทุกข์มากเพียงใดแล้วก็ตาม ไม่ว่าเขาจะได้เข้าใจความจริงไปมากเพียงใดแล้วก็ตาม ไม่ว่าเขาจะได้เข้าสู่ความจริงความเป็นจริงไปมากเพียงใดแล้วก็ตาม และไม่ว่าเขาจะครองความรู้เกี่ยวกับพระเจ้ามากเพียงใดก็ตาม แต่เขาจะไม่มีวันเหนี่ยวรั้งหรือละทิ้งความทะเยอทะยานสำหรับและการไล่ตามเสาะหาสถานะและพลังอำนาจ และนี่จะกำหนดธรรมชาติแก่นแท้ของพวกเขาอย่างแม่นยำ เหนือโพ้นปรากฏการณ์และการสำแดงภายนอกเหล่านี้ ไม่มีความคลาดเคลื่อนแม้แต่น้อยในการที่พระเจ้าทรงตีตราผู้คนเช่นนี้ว่าเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ การนี้ได้ถูกกำหนดโดยธรรมชาติแก่นแท้จริงๆ ของพวกเขา บางทีผู้คนบางคนอาจเคยเชื่อว่าพวกศัตรูของพระคริสต์คือผู้ใดก็ตามที่พยายามแย่งชิงมนุษยชาติกับพระเจ้า อย่างไรก็ตาม บางครั้งพวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่จำเป็นต้องแข่งกับพระองค์ พวกเขาเพียงแค่ต้องเป็นพวกที่มีความรู้ ความเข้าใจ และความจำเป็นต้องมีสถานะและพลังอำนาจซึ่งไม่เหมือนกับของผู้คนปกติ ผู้คนปกติสามารถเหลิงในลาภยศ พวกเขาสามารถพยายามได้รับการสรรเสริญโดยผู้อื่นและสร้างความประทับใจที่ดีให้กับผู้อื่น และพวกเขาสามารถพยายามแย่งชิงอันดับที่ดี นี่คือความทะเยอทะยานของผู้คนปกติ เมื่อพวกเขาถูกเปลี่ยนตัวในฐานะผู้นำ สูญเสียตำแหน่งของพวกเขาไป พวกเขาก็รับได้ เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมของพวกเขา การเติบโตบ้างในวุฒิภาวะของพวกเขา การบรรลุบ้างในการเข้าสู่ความจริง หรือการได้รับความเข้าใจความจริงที่ลึกขึ้น ความทะเยอทะยานของพวกเขาจะค่อยๆ ลดลง การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในเส้นทางที่พวกเขาใช้และในทิศทางที่พวกเขาเดินทาง และการไล่ตามเสาะหาสถานะและพลังอำนาจของพวกเขาก็จางไป ความพึงปรารถนาของพวกเขาก็ค่อยๆ ลดลงเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นแตกต่าง กล่าวคือพวกเขาไม่มีวันสามารถยอมทิ้งการไล่ตามเสาะหาสถานะและพลังอำนาจของพวกเขา ไม่ว่าในเวลาใด ในสภาพแวดล้อมใด และไม่สำคัญว่าผู้คนใดที่พวกเขามีอยู่รอบตัวพวกเขา และไม่ว่าพวกเขาอาจจะแก่ชราเพียงใด แต่ความทะเยอทะยานของพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง สิ่งใดบ่งบอกว่าความทะเยอทะยานของพวกเขาจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง? สมมุติว่าพวกเขาเป็นผู้นำคริสตจักร พวกเขาก็คงจะต้องการควบคุมทุกคนในคริสตจักร จากนั้นพวกเขาอาจไปยังคริสตจักรอื่นที่ซึ่งพวกเขาไม่ใช่ผู้นำ แต่ทว่าพวกเขาก็ยังคงโหยหาสถานะนั้น ที่ใดก็ตามที่ผู้คนเหล่านี้ไป พวกเขาก็ต้องการที่จะใช้พลังอำนาจ หัวใจของพวกเขาไม่พองโตด้วยความทะเยอทะยานหรอกหรือ? สิ่งที่พวกเขาสำแดงนั้นไปเหนือโพ้นอาณาจักรของสภาวะความเป็นมนุษย์ปกติ ไม่มีบางสิ่งผิดปกติเกี่ยวกับการนี้หรอกหรือ? สิ่งใดผิดปกติเกี่ยวกับการนี้เล่า? สิ่งที่พวกเขาสำแดงไม่ใช่สิ่งที่สภาวะความเป็นมนุษย์ปกติควรจะสำแดง พวกเขาเป็นเหล่าวิญญาณชั่ว เจ้าเข้าใจหรือไม่? นี่ไม่เหมือนกับความเสื่อมทรามธรรมดา มีความแตกต่างอยู่ พวกศัตรูของพระคริสต์จะทำทุกวิถีทางในการไล่ตามเสาะหาสถานะและพลังอำนาจของพวกเขา พวกเขาจดจ่ออยู่กับการนั้นอย่างที่สุด นี่คือธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกเขา เป็นรูปแบบดั้งเดิมของพวกเขา และใบหน้าที่แท้จริงของพวกเขา พวกเขาไม่เพียงแค่แข่งขันกับพระเจ้าเพื่อสถานะ แต่พวกเขายังแข่งขันกับผู้คนเพื่อสถานะอีกด้วย ไม่ว่าผู้อื่นจะเต็มใจหรือเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม พวกศัตรูของพระคริสต์ก็พยายามอย่างแข็งขันที่จะควบคุมผู้คนและเป็นผู้นำของผู้คน โดยไม่คำนึงถึงความปรารถนาของผู้คน ที่ใดก็ตามที่พวกเขาไป พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ต้องการกำกับดูแลและเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด นี่เป็นธรรมชาติของพวกเขาหรือ? ผู้คนต้องการรับฟังพวกศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? พวกเขาได้เลือกพวกศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? พวกเขาได้เลือกตั้งพวกศัตรูของพระคริสต์หรือไม่? พวกเขาเห็นด้วยกับการที่พวกศัตรูของพระคริสต์เป็นผู้ตัดสินชี้ขาดหรือไม่? ไม่มีผู้ใดต้องการให้ผู้คนเหล่านี้เป็นผู้ตัดสินชี้ขาด และไม่มีผู้ใดรับฟังพวกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงพยายามที่จะเป็นผู้ตัดสินชี้ขาด นี่เป็นปัญหาหรือไม่? พวกเขาไร้ยางอายและไร้ความรู้สึกอย่างถึงที่สุด เมื่อผู้คนเช่นนี้เป็นผู้นำ พวกเขาก็เป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ เมื่อพวกเขาไม่ใช่ผู้นำ พวกเขาก็ยังเป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ด้วยเช่นกัน

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำให้ผู้คนประหลาดใจสับสน ชวนผู้คนเข้าร่วม ข่มขู่ และควบคุมผู้คน” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ความทะนุถนอมที่พวกศัตรูของพระคริสต์มีต่อสถานะและเกียรติยศนั้นไปไกลเกินกว่าความทะนุถนอมอย่างเดียวกันของผู้คนปกติ และเป็นบางสิ่งที่อยู่ภายในอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกเขา นั่นไม่ใช่ความสนใจชั่วคราวหรือผลกระทบชั่วครู่ชั่วยามจากสิ่งรอบตัวของพวกเขา—นั่นเป็นบางสิ่งภายในชีวิตของพวกเขา กระดูกของพวกเขา และดังนั้นนั่นจึงเป็นแก่นแท้ของพวกเขา นี่กล่าวได้ว่าในทุกสิ่งทุกอย่างที่ศัตรูของพระคริสต์ทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาก็คือสถานะและเกียรติยศของพวกเขาเอง ไม่ใช่อะไรอื่น สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศคือชีวิตของพวกเขา และเป็นเป้าหมายชั่วชีวิตของพวกเขา ในทั้งหมดที่พวกเขาทำ การคิดพิจารณาอย่างแรกของพวกเขาคือ “จะเกิดอะไรขึ้นกับสถานะของฉัน? แล้วกับเกียรติยศของฉันล่ะ? การทำเช่นนี้จะให้เกียรติยศแก่ฉันหรือไม่? นั่นจะยกระดับสถานะของฉันในจิตใจของผู้คนหรือไม่?” นั่นคือสิ่งแรกที่พวกเขาคิดถึง ซึ่งเป็นข้อพิสูจน์ที่มากพอว่าพวกเขามีอุปนิสัยและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจะไม่เพียรพยายามเป็นอย่างอื่น อาจกล่าวได้ว่าสำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศไม่ใช่ข้อพึงประสงค์เพิ่มเติมบางอย่าง นับประสาอะไรที่จะเป็นบางสิ่งที่นอกเหนือซึ่งพวกเขาไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งเหล่านี้อยู่ในกระดูกของพวกเขา ในเลือดของพวกเขา สิ่งเหล่านี้มีมาแต่กำเนิดสำหรับพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นมิใช่ไม่แยแสต่อการที่พวกเขาครองสถานะและเกียรติยศหรือไม่ นี่ไม่ใช่ท่าทีของพวกเขา เช่นนั้นแล้ว อะไรคือท่าทีของพวกเขา? สถานะและเกียรติยศเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับชีวิตประจำวันของพวกเขา กับสภาวะในแต่ละวันของพวกเขา กับสิ่งที่พวกเขาเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาเป็นประจำทุกวัน และดังนั้นแล้ว สำหรับศัตรูของพระคริสต์ สถานะและเกียรติยศจึงเป็นชีวิตของพวกเขา ไม่สำคัญว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่อย่างไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมใด ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำงานอะไร ไม่สำคัญว่าพวกเขาเพียรพยายามเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งใด เป้าหมายของพวกเขาคือสิ่งใด ทิศทางชีวิตของพวกเขาคืออะไร สถานะและเกียรติยศก็คือจุดประสงค์ที่พวกเขาไล่ตามเสาะหา เป้าหมายที่พวกเขาไล่ตามเสาะหาซึ่งพวกเขาไม่สามารถปล่อยมือได้ในหัวใจของพวกเขา นี่คือหน้าตาที่แท้จริงของพวกศัตรูของพระคริสต์ และแก่นแท้ของพวกเขา เจ้าอาจนำพวกเขาไปไว้ในป่าดงดิบลึกเข้าไปในเทือกเขา แต่พวกเขาก็ยังคงจะไม่ละทิ้งสถานะและเกียรติยศ เจ้าสามารถนำพวกเขาไปอยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้คนธรรมดาสามัญ และทั้งหมดที่พวกเขาคิดก็ยังคงเป็นสถานะและเกียรติยศ และดังนั้นแล้ว ทันทีที่พวกเขารับเอาความเชื่อ พวกเขาก็มองว่าสถานะและเกียรติยศของตนเองเทียบได้กับการไล่ตามเสาะหาความเชื่อในพระเจ้า กล่าวคือ ขณะที่พวกเขาเดินบนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้า พวกเขาก็ไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรติยศของตนเองด้วยเช่นกัน อาจกล่าวได้ว่าในหัวใจของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าความเชื่อในพระเจ้าและการไล่ตามเสาะหาความจริงคือการไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรติยศ การไล่ตามเสาะหาสถานะและเกียรติยศก็เป็นการไล่ตามเสาะหาความจริงด้วยเช่นกัน และการได้รับสถานะและเกียรติยศคือการได้รับความเชื่อและชีวิต บนเส้นทางแห่งความเชื่อในพระเจ้า หากพวกเขารู้สึกว่าพวกเขายังไม่ได้รับสถานะซึ่งมีสาระสำคัญ—หากไม่มีใครเคารพหรือเชิดชูบูชาพวกเขา หากพวกเขาไม่ได้รับการยกย่องท่ามกลางผู้อื่น และไม่มีพลังอำนาจจริงอันใดเลย—เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ท้อแท้มาก และเชื่อว่าไม่มีนัยสำคัญหรือความคุ้มค่าใดเลยต่อความเชื่อในพระเจ้า “หนทางที่ฉันเชื่อไม่ได้รับการรับรองจากพระเจ้าหรอกหรือ? ฉันยังไม่ได้รับชีวิตหรอกหรือ?” ในจิตใจของพวกเขา บ่อยครั้งที่พวกเขาคิดคำนวณเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ พวกเขาวางแผนวิธีที่พวกเขาสามารถได้รับตำแหน่งในพระนิเวศของพระเจ้าหรือสภาพแวดล้อมที่พวกเขาอยู่ วิธีที่พวกเขาสามารถได้รับภาพพจน์ซึ่งยกระดับและสิทธิอำนาจในระดับเฉพาะหนึ่ง วิธีที่พวกเขาสามารถทำให้ผู้คนฟังพวกเขาและยกยอพวกเขาเมื่อพวกเขาพูด วิธีที่พวกเขาสามารถให้ผู้คนเหล่านั้นทำตามที่พวกเขาพูด วิธีที่พวกเขาสามารถมีอำนาจเด็ดขาดเพียงฝ่ายเดียวเหนือสิ่งทั้งหลายและยืนยันความมีตัวตนของพวกเขาในกลุ่ม นี่คือสิ่งที่พวกเขาคิดในจิตใจของพวกเขาบ่อยครั้ง นี่คือสิ่งที่ผู้คนดังกล่าวเพียรพยายามเพื่อให้ได้มา เหตุใดเล่าพวกเขาจึงคิดอยู่เสมอเกี่ยวกับสิ่งทั้งหลายดังกล่าว? หลังจากที่ได้ยินความจริง หลังจากที่ฟังคำเทศนา หลังจากที่อ่านพระวจนะแห่งพระเจ้า พวกเขาไม่เข้าใจทั้งหมดนี้จริงๆ หรือ? พระวจนะแห่งพระเจ้าและความจริงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมโนคติอันหลงผิด แนวคิด และความคิดเห็นของพวกเขาได้จริงๆ หรือ? นี่เป็นปัญหาเกี่ยวกับธรรมชาติและแก่นแท้ของผู้คน

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (3)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

อะไรหรือคือคติประจำใจของพวกศัตรูของพระคริสต์ ไม่สำคัญว่าพวกเขาอยู่ในกลุ่มใด? “ฉันต้องแข่งขัน! แข่งขัน! แข่งขัน! ฉันต้องแข่งขันเพื่อเป็นผู้ที่สูงสุดและผู้ที่มีพละกำลังมากที่สุด!” นี่คืออุปนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์ ทุกแห่งหนที่พวกเขาไป พวกเขาแข่งขันและพยายามสัมฤทธิ์จุดมุ่งหมายของพวกเขา พวกเขาคือขี้ข้าของซาตาน และพวกเขารบกวนงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้า อุปนิสัยของพวกศัตรูของพระคริสต์เป็นเยี่ยงนี้ พวกเขาแข่งขันกับใครก็ตามที่แสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศในงานอาชีพของตน ใครก็ตามที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลานาน ใครก็ตามที่มีทักษะพิเศษบางอย่าง ใครก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้องชายหญิงในการเข้าไปสู่ชีวิตของพวกเขา ใครก็ตามที่ได้รับการนับหน้าถือตา ใครก็ตามที่เป็นที่กล่าวขวัญท่ามกลางพี่น้องชายหญิง ใครก็ตามที่มีสิ่งที่เป็นบวกมากกว่า กล่าวโดยสรุป ทุกครั้งที่พวกศัตรูของพระคริสต์อยู่ท่ามกลางกลุ่มผู้คน นี่คือสิ่งที่พวกเขาทำอยู่เสมอ พวกเขาแข่งขันเพื่อสถานะ แข่งขันเพื่อภาพพจน์ที่ได้รับการยกระดับ แข่งขันเพื่ออำนาจเด็ดขาดสุดท้ายในเรื่องทั้งหลายและพลังอำนาจสูงสุดในการตัดสินใจในกลุ่ม ซึ่งทำให้พวกเขามีความสุขในทันทีที่พวกเขาได้รับสิ่งเหล่านั้น แต่พวกเขาทำงานแบบลงมือทำจริงอันใดหรือไม่หลังจากที่จัดหาสิ่งเหล่านี้มาแล้ว? (ไม่) พวกเขาไม่ได้แข่งขันเพื่อสิ่งเหล่านี้เพื่อที่จะทำงานแบบลงมือทำจริง จุดมุ่งหมายของพวกเขาคือการกดทุกคนลง กล่าวคือ “ใครสนล่ะว่าคุณเห็นดีเห็นงามด้วยหรือไม่? เมื่อมองในแง่ของทุน ฉันมีมากที่สุด เมื่อมองในแง่ของวาทะ ฉันมีวาทศิลป์ที่สุด เมื่อมองในแง่ของทักษะในงานอาชีพที่มีอยู่ในมือ ฉันไม่เป็นสองรองใคร” พวกเขาแข่งขันในทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อพี่น้องชายหญิงเลือกพวกเขาเป็นหัวหน้างานกลุ่ม พวกเขาแข่งขันกับคู่ร่วมงานของพวกเขาเพื่อให้ได้อำนาจเด็ดขาดสุดท้าย เพื่อให้ได้สิทธิอำนาจในการตัดสินใจ หากคริสตจักรวางตัวพวกเขาให้ควบคุมดูแลงานบางอย่าง พวกเขาก็ต้องการมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายในเรื่องวิธีดำเนินการงานนั้น และต่อสู้ในสิ่งที่พวกเขาพูด แนวคิดของพวกเขา และการตัดสินใจของพวกเขาที่จะรับเอามาใช้และแปรไปเป็นความเป็นจริง หากพี่น้องชายหญิงรับเอาข้อเสนอแนะของใครคนอื่นมาใช้ นั่นจะไม่ผ่านพวกเขาไปได้เลย หากเจ้าไม่ทำตามที่พวกเขาพูด พวกเขาจะแสดงให้เจ้าเห็นว่าใครคือนาย เพื่อที่เจ้าจะได้รู้สึกว่าเจ้าจะขาดพวกเขาเสียไม่ได้ และเพื่อที่เจ้าจะได้ถูกทิ้งให้อยู่กับสำนึกถึงผลสืบเนื่องที่ตามมา หากเจ้าไม่ทำตามที่พวกเขาพูด นั่นเองคือลักษณะของอุปนิสัยอันโอหัง น่าเกลียดน่าชัง และไม่มีเหตุผลของศัตรูของพระคริสต์ สิ่งที่ถูกเปิดเผยในตัวพวกเขาคือการขาดพร่องแบบสิ้นเชิงของสภาวะความเป็นมนุษย์ และที่มากกว่านั้นคือ การขาดพร่องสำนึก ทุกสิ่งทุกอย่างในพฤติกรรมของพวกเขาแสดงให้เห็นถึงการขาดพร่องแบบสิ้นเชิงของความมีเหตุผลในการกระทำของพวกเขา พวกเขาจะไม่ยอมรับสิ่งที่เจ้าพูด ไม่สำคัญว่าคำพูดของเจ้าอาจถูกต้องเพียงใด พวกเขาจะไม่ใส่ใจคำพูดเหล่านั้น และเจ้าก็คงจะถึงทางตัน หลักธรรมเดียวที่พวกเขาสามารถยอมรับได้ก็คือ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในกลุ่มงานใด หากพวกเขาสามารถได้รับสถานะและเกียรติยศซึ่งเป็นสิทธิที่พวกเขาสมควรได้รับ หัวใจของพวกเขาก็สบายใจ กล่าวคือ พวกเขาเชื่อว่านี่คือคุณค่าแห่งการดำรงอยู่ของพวกเขา ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ท่ามกลางผู้คนกลุ่มใด พวกเขาจำเป็นที่จะต้องแสดงให้ผู้คนเห็นถึง “ความสว่าง” และ “ความอบอุ่น” ที่พวกเขาจัดเตรียม ความสามารถพิเศษของพวกเขา ความเป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา และเป็นเพราะพวกเขาเชื่อว่าพวกเขานั้นพิเศษนั่นเอง จึงเป็นธรรมดาที่พวกเขาคิดว่าพวกเขาควรได้รับการปฏิบัติดีกว่าผู้อื่น ว่าพวกเขาควรรับการสนับสนุนและความเลื่อมใสจากผู้คน ว่าผู้คนควรยกย่องบูชาพวกเขา สักการบูชาพวกเขา—พวกเขาคิดว่าทั้งหมดนี้คือสิทธิที่พวกเขาสมควรได้รับ ผู้คนเช่นนั้นไม่ใช่ความเดือดร้อนอย่างมากหรอกหรือ? สามัญสำนึกย่อมจะสั่งการว่าเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้น ผู้คนควรฟังใครก็ตามที่ถูก ว่าควรฟังคำพูดของใครก็ตามที่เป็นประโยชน์ต่อพระนิเวศของพระเจ้า ว่าผู้คนควรรับเอาแนวคิดของใครก็ตามที่อยู่ในแนวเดียวกันกับความจริงหลักธรรมมาใช้—แต่หากสามัญสำนึกมีอำนาจเหนือกว่า ผู้คนอาจจะไม่รับเอาแนวคิดของพวกมาใช้ แล้วถ้าอย่างนั้น พวกเขาทำสิ่งใดเล่า? พวกเขาก็ตื่นตระหนก และพยายามปกป้องและแก้ต่างให้กับแนวคิดและข้อเสนอแนะของตนเรื่อยไป โดยทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อโน้มน้าวผู้อื่น เพื่อทำให้พี่น้องชายหญิงฟังพวกเขาและรับเอาข้อเสนอแนะของพวกเขามาใช้ พวกเขาไม่พิจารณาว่าข้อเสนอแนะนำของพวกเขาจะส่งผลต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าอย่างไร หากข้อเสนอแนะนั้นถูกรับเอามาใช้ นั่นไม่อยู่ภายในวงเขตของการพิจารณาของพวกเขา พวกเขาคิดเพียงว่า “ฉันจะสามารถเสนอหน้าของฉันได้อย่างไร หากข้อเสนอแนะของฉันไม่ได้ถูกรับเอาไปใช้ในครั้งนี้? ดังนั้น ฉันต้องแข่งขัน—แข่งขันเพื่อจะได้ให้ข้อเสนอแนะของฉันถูกรับเอาไปใช้” นั่นคือสิ่งที่พวกเขาคิดและทำทุกๆ ครั้ง—และแน่นอนว่านี่คืออุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (3)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

หนึ่งในคุณลักษณะเฉพาะที่เห็นได้ชัดที่สุดในแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ก็คือว่า พวกเขาเป็นเหมือนพวกใช้อำนาจเด็ดขาดที่กำลังดำเนินระบอบเผด็จการของพวกเขาเอง กล่าวคือ พวกเขาไม่ฟังผู้ใด พวกเขาดูแคลนทุกคน และสิ่งที่ผู้ใดอื่นกล่าว ทำ ความรู้ความเข้าใจที่พวกเขามี ทัศนคติของพวกเขา จุดแข็งของพวกเขา—ในสายตาของพวกเขาแล้ว พวกเขาทั้งหมดล้วนด้อยกว่าพวกเขา สำหรับพวกเขาแล้ว ดูเหมือนว่าไม่มีใครเลยที่เหมาะที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในสิ่งที่พวกเขาต้องการจะทำ อีกทั้งพวกเขายังไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะให้หารือหรือให้คำแนะนำ—นั่นคืออุปนิสัยประเภทที่เป็นของศัตรูของพระคริสต์ ผู้คนบางคนพูดว่า นี่คือการเป็นผู้ที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ต่ำ—นั่นเป็นแค่สภาวะความเป็นมนุษย์ต่ำธรรมดาๆ ได้อย่างไรเล่า? นี่เป็นอุปนิสัยเยี่ยงซาตานโดยทั้งหมดทั้งสิ้น นี่เป็นอุปนิสัยประเภทที่ดุร้ายอย่างสูงสุด เหตุใดหรือเราจึงพูดว่าอุปนิสัยของพวกเขาดุร้ายอย่างสูงสุด? พวกศัตรูของพระคริสต์คิดว่าพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า รวมทั้งผลประโยชน์แห่งคริสตจักรเป็นของพวกเขาเองโดยทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของพวกเขาที่ควรได้รับการบริหารจัดการโดยพวกเขาโดยไม่มีผู้ใดอื่นมาแทรกแซง และดังนั้น สิ่งเดียวที่พวกเขานึกถึงในยามที่ทำพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็คือผลประโยชน์ของพวกเขาเอง สถานะและเกียรติยศของพวกเขาเอง พวกเขาปฏิเสธผู้ใดก็ตามที่ในสายตาของพวกเขาแล้วเป็นภัยคุกคามต่อสถานะและภาพพจน์ของพวกเขา ทั้งนี้ พวกเขาปราบปรามและคว่ำบาตรคนเหล่านั้น พวกเขาถึงขั้นปราบปรามและตัดผู้คนที่มีประโยชน์และเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่พิเศษอย่างใดอย่างหนึ่งออกจากกลุ่ม พวกเขาไม่มีความคำนึงถึงแม้แต่น้อยให้กับพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า อีกทั้งไม่ยังไม่มีความคำนึงถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า หากผู้ใดอาจเป็นภัยคุกคามต่อสถานะของพวกเขา ไม่นบนอบต่อพวกเขา ไม่สนใดพวกเขาเลย เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็จะตัดผู้คนเหล่านั้นออกไปจากกลุ่ม และให้ผู้คนเหล่านั้นอยู่ห่างจากพวกเขา พวกเขาไม่เปิดโอกาสให้ผู้คนเหล่านั้นให้ความร่วมมือกับพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกเขาไม่ยอมให้ผู้คนเหล่านั้นแสดงบทบาทสำคัญอันใด หรือให้มีประโยชน์สำคัญอันใดภายในขอบเขตอำนาจ ไม่สำคัญว่าความประพฤติของผู้คนเหล่านี้จะสมควรแก่คุณงามความดีเพียงใด หรือสิ่งที่พวกเขาได้ทำเพื่อพระนิเวศของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่เพียงใด พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ปิดบังการนั้นไว้ ลดบทบาทความสำคัญของการนั้นลง และไม่ปล่อยให้การนั้นได้แสดงออกมาต่อหน้าบรรดาพี่น้องชายหญิงและปล่อยให้ผู้คนเหล่านั้นอยู่ในความมืดต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น พวกศัตรูของพระคริสต์มักจะหยิบยกความล้มเหลวและความเสื่อมทรามของผู้คนเหล่านี้ขึ้นมาพูดท่ามกลางบรรดาพี่น้องชายหญิง พวกเขาพูดว่าผู้คนเหล่านี้โอหัง ว่าผู้คนเหล่านี้จ้ำจี้จ้ำไชกับผู้คนและประเด็นปัญหาทั้งหลายมากเกินไป ว่าพวกเขาหมิ่นเหม่ที่จะขายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ว่าพวกเขาช่วยเหลือคนภายนอกแทนที่จะเป็นพระนิเวศของพระเจ้า ว่าพวกเขารู้ไม่เท่าทัน และอื่นๆ พวกเขาค้นหาข้อแก้ตัวทุกประเภทที่พวกเขาสามารถหาได้เพื่อปราบปรามและตัดผู้คนเหล่านี้ออกจากกลุ่ม โดยข้อเท็จจริงแล้ว ผู้คนเหล่านี้บางคนมีทักษะพิเศษอย่างหนึ่ง และบางคนก็แค่มีความผิดเล็กน้อย โดยรวมแล้ว พวกเขาเหมาะสมสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ พวกเขาสอดคล้องกับหลักธรรมสำหรับบรรดาผู้ปฏิบัติหน้าที่ แต่ในสายตาของพวกศัตรูของพระคริสต์นั้น พวกเขาคิดว่า “ไม่มีทางที่ฉันจะทนยอมรับเรื่องนี้ ท่านต้องการมีบทบาทภายในแดนครอบครองของฉัน เพื่อแข่งขันกับฉัน นั่นเป็นไปไม่ได้ จงอย่าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนั้น ท่านมีความสามารถมากกว่าฉัน พูดจาฉะฉานมากกว่าฉัน มีการศึกษามากกว่าฉัน และเป็นที่นิยมมากกว่าฉัน ฉันจะทำอย่างไรหากท่านขโมยฟ้าร้องของฉันไป? ท่านต้องการให้ฉันทำงานเคียงข้างท่านกระนั้นหรือ? อย่าแม้แต่จะคิดถึงเรื่องนั้น!” พวกเขากำลังพิจารณาถึงผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าอยู่หรือไม่? ไม่ ทั้งหมดที่พวกเขากำลังนึกถึงก็คือวิธีที่จะสงวนสถานะของพวกเขาเองไว้ ดังนั้น พวกเขาสู้ทำอันตรายผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าเสียดีกว่าที่จะใช้ผู้คนเหล่านี้ นี่เป็นข้อยกเว้น ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาบ่มเพาะคนโง่ที่ไม่มีความสามารถอันใด ผู้คนที่ไร้สมรรถภาพ ง่ายที่จะสั่งการ ว่านอนสอนง่าย และไม่รู้เท่าทัน ผู้คนที่ขาดความรู้ความเข้าใจเชิงลึก ที่ไม่คิดด้วยตัวเอง ที่ไม่เข้าใจความจริง—คนเหล่านี้เป็นคนพวกเดียวที่พวกเขาบ่มเพาะ บรรดาผู้ไม่เชื่อมีคำกล่าวหนึ่งว่า “ฉันอยากเลือกที่จะนำทางม้าของบุรุษที่แท้จริง และถือโกลนขี่ม้าของเขาให้แก่เขา มากกว่าที่จะเป็นบรรพบุรุษของคนขี้เกียจ” แต่พวกศัตรูของพระคริสต์นั้นตรงกันข้ามแน่นอน กล่าวคือ พวกเขาคงจะเป็นบรรพบุรุษของคนขี้เกียจเหล่านี้ นี่ไม่ใช่การสำแดงถึงการไร้สมรรถภาพหรอกหรือ? ตัวอย่างเช่น พวกเขากล่าวถึงใครบางคนที่ไม่โอหัง และสามารถที่จะมีส่วนร่วมได้ เมื่อเจ้าถามพวกเขาว่าบุคคลนี้เป็นอย่างไรบ้างในการเข้าใจความจริง พวกเขาก็กล่าวว่า “พวกเขาเข้าใจความจริงเป็นอย่างดีพอใช้ได้ พวกเขามีขีดความสามารถเล็กน้อย” โดยข้อเท็จจริงแล้ว บุคคลนี้ที่พวกเขาพาดพิงถึงนั้นจะซ่อนเร้นเมื่อพวกเขาเผชิญกับประเด็นปัญหาเล็กๆ พวกเขาไม่มีความเชื่อ ท่ามกลางผู้คนเช่นนั้น มีพวกที่ไม่เข้าใจความจริง พวกที่ไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ พวกที่ร้องทุกข์คร่ำครวญเป็นการส่วนตัวอยู่เสมอ และพวกที่ทำผิดพลาดอยู่เสมอ พวกเขาเป็นคนโง่กระจุกหนึ่ง พวกศัตรูของพระคริสต์คือบรรพบุรุษของพวกเขา และคนเหล่านั้นคือบรรดาผู้ที่พวกเขาบ่มเพาะ เหล่านี้คือผู้คนที่เหล่าศัตรูของพระคริสต์หมิ่นเหม่ที่จะบ่มเพาะเมื่อพวกเขากลายเป็น “ผู้นำ” ในพระนิเวศของพระเจ้า และพระราชกิจของพระเจ้าจะไม่ถูกทำให้ล่าช้าอันเป็นผลจากการนั้นหรอกหรือ? พวกเขาไม่มีการคำนึงถึงผู้คนที่มีขีดความสามารถน้อย ผู้ที่สามารถเข้าใจความจริงเล็กน้อย ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ที่ปฏิบัติความจริงอยู่บ้าง และผู้ที่สามารถรับภาระหน้าที่งานของพระนิเวศของพระเจ้าได้ เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้นเล่า? ผู้คนเช่นนั้นจะไม่มีวันกลายเป็นทาสหรือผู้ติดตามของพวกเขา ผู้คนเหล่านั้นจะไม่มีวันคอยรับใช้พวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงบ่มเพาะผู้คนกระจุกหนึ่งซึ่งโง่เขลา ใจเสาะ ไม่รู้เท่าทัน เซ่อซ่า เชื่องช้า และผู้ที่ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง—นี่คือขยะประเภทที่พวกเขาบ่มเพาะ นี่คือหนทางของการปฏิบัติตนที่เป็นประโยชน์ต่อพระราชกิจแห่งพระนิเวศของพระเจ้า? ไม่ และพวกเขาใช้ความคิดในการนี้หรือไม่? พวกเขากำลังคิดถึงสิ่งใด? “ฉันกำลังมองหาผู้ใดก็ตามที่ฉันสามารถทำงานด้วยและเข้ากันได้ ผู้ใดก็ตามที่ทำให้ฉันรู้สึกมีนัยสำคัญ และสามารถเน้นให้คุณค่าของฉันโดดเด่นได้” หมู่คนของพวกเขาคือคนโง่กระจุกหนึ่งผู้ที่ไม่เข้าใจเรื่องฝ่ายวิญญาณ ไม่มีพวกเขาคนใดที่แสวงหาความจริงเมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาหนึ่ง ไม่มีพวกเขาคนใดเข้าใจความจริง ไม่มีพวกเขาคนใดรับมือกับสิ่งทั้งหลายโดยสอดคล้องกับความจริงหลักธรรม อย่างไรก็ตาม มีอยู่สิ่งหนึ่งที่พวกศัตรูของพระคริสต์ชอบเกี่ยวกับพวกเขา นั่นก็คือ เมื่อผู้คนเช่นนั้นเผชิญหน้ากับประเด็นปัญหาหนึ่ง พวกเขาจะแสวงหาพวกศัตรูของพระคริสต์และทำสิ่งที่พวกเขาพูด นี่คือหลักการที่บรรดาศัตรูของพระคริสต์ใช้ในการค้นหาผู้คนเพื่อทำงานเคียงข้าง พวกเขาค้นหาคนโง่กระจุกหนึ่ง ขยะกองหนึ่ง เพื่อทำงานและจูบเท้าของพวกเขา และในท้ายที่สุดแล้ว งานบางอย่างแห่งพระนิเวศของพระเจ้าก็ถูกค้างไว้ ผลประโยชน์ของคริสตจักรและความเร็วของงานก็ได้รับผลกระทบ แต่ผู้คนเหล่านี้ไม่มีสำนึกรับรู้ถึงการนั้น และถึงขั้นกล่าวว่า “นั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันคนเดียว” หากทุกคนพูดว่านี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพวกเขาเอง เช่นนั้นแล้ว การนั้นเป็นความรับผิดชอบของผู้ใดกันแน่? หากไม่มีผู้ใดรับผิดชอบเมื่อปัญหาหนึ่งเกิดขึ้น จุดประสงค์ในการที่พวกเขาฟังการเทศนาตลอดหลายปีนี้คืออะไร? ข้อเท็จจริงอยู่ต่อหน้าต่อตาของพวกเขาพอดี กระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ระลึกรู้ข้อเท็จจริงเหล่านั้น เหล่านี้คือผู้คนประเภทใดกัน? ข้อเท็จจริงนี้พิสูจน์ให้เห็นว่าผู้คนที่พวกศัตรูของพระคริสต์เลือกนั้นไม่ดี พวกเขาไม่ยอมรับความจริง พวกศัตรูของพระคริสต์จงใจตั้งคณะร่วมกับกับคนโง่ คนเคราะห์ร้ายที่น่าเหยียดหยาม คนที่ไม่มีอะไรดีสักอย่าง ผู้ซึ่งไม่ยอมรับหรือรักความจริง พวกเขาผูกเชือกคนเหล่านั้นไว้ สอดแทรกตัวเองเข้าไปกับพวกเขาจนกระทั่งพวกเขาเป็นที่ถูกอกถูกใจกันในแง่ที่สนิทสนม และพวกเขาก็ไปด้วยกันได้เป็นอย่างดี นี่คืออะไร? นี่ไม่ใช่แก๊งศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ? เมื่อเจ้ามาแทนที่ “บรรพบุรุษของพวกเขา เชื้อสายที่สัตย์ซื่อของพวกเขาก็คัดค้าน พวกเขาทำการตัดสิน และพูดว่าเบื้องบนไม่ยุติธรรม และตั้งวงกันเพื่อทำให้พวกเขาเหนียวแน่น พวกศัตรูของพระคริสต์เป็นแค่ผู้คนที่ชั่วบางคนใช่หรือไม่? ศัตรูของพระคริสต์บางคนเป็นพวกรกโลกซึ่งไม่มีความสามารถพิเศษที่เป็นนัยสำคัญอันใด แต่มีสิ่งหนึ่งเกี่ยวกับพวกเขา นั่นคือ ความรักใคร่เป็นพิเศษของพวกเขาที่มีต่อสถานะ จงอย่าคิดว่าเมื่อไม่มีความสามารถพิเศษและไม่ได้รับการศึกษาแล้วพวกเขาจะไม่มีความรักต่อสถานะ นั่นผิด และนั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าไม่เข้าใจแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์อย่างถี่ถ้วน ผู้ใดก็ตามที่เป็นศัตรูของพระเจ้าย่อมรักสถานะ ในเมื่อบรรดาศัตรูของพระคริสต์ไร้ความสามารถที่จะทำงานเคียงข้างผู้ใดได้ พวกเขาจะมีความสามารถในการบ่มเพาะไข่เน่าและพวกผู้จูบเท้ากระจุกหนึ่งได้อย่างไร? พวกเขาต้องการที่จะทำงานเคียงข้างกับผู้คนเช่นนั้นหรือไม่? หากพวกเขาสามารถที่จะทำงานเคียงข้างผู้คนเหล่านี้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว คำพูดเหล่านั้นก็คงไม่เป็นจริง พวกเขาไม่มีความสามารถในการทำงานเคียงข้างผู้ใด—และ “ผู้ใด” นั้นก็รวบถึงผู้คนที่พวกเขาบ่มเพาะด้วยเช่นกัน ดังนั้น พวกเขากำลังทำสิ่งใดโดยการบ่มเพาะคนเหล่านั้น? พวกเขาบ่มเพาะกลุ่มผู้ที่ง่ายต่อการออกคำสั่งและบงการ ผู้ไม่สามารถคิดด้วยตัวเองได้ ผู้ทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาได้รับการบอก ผู้ทำงานกับพวกเขาเพื่อปกป้องสถานะของพวกเขา การปกป้องสถานะของพวกเขาโดยไม่ได้รับความช่วยเหลือคงจะลำบากยากเย็นเล็กน้อย ยากเย็นเข็ญใจเล็กน้อย และดังนั้น พวกเขาจึงบ่มเพาะกลุ่มผู้คนเช่นนั้น—กลุ่มผู้ซึ่งในสายตาของพวกเขาแล้วเป็น “ฝ่ายวิญญาณ” ตามที่คาดไว้—ผู้ที่สู้ทนความยากลำบากอย่างมีความสุขและมีความสามารถปกป้อง “ผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า” ได้ พวกเขาแต่ละคนทำกิจหลายอย่างที่แตกต่างกัน และพวกเขาไปหาพวกศัตรูของพระคริสต์เพื่อถามคำถามหรือหารือทุกครั้งที่พวกเขาเผชิญกับประเด็นปัญหาหนึ่ง พวกเขาคิดว่านี่คือสิ่งที่หมายถึงการทำงานเคียงข้างผู้คน แต่นั่นใช่หรือ? พวกเขาค้นหาผู้คนกระจุกหนึ่งเพื่อออกคำสั่ง เพื่อให้งานของพวกเขาเสร็จสิ้น เพื่อเชื่อมประสานสถานะของพวกเขา นี่ไม่ใช่การให้ความร่วมมือ—นี่คือการดำเนินปฏิบัติการส่วนตัวของพวกเขาเอง

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (1)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

พวกศัตรูของพระคริสต์ประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยมและอย่างเผด็จการ ไม่สามัคคีธรรมกับผู้อื่นเลย และบังคับผู้คนให้เชื่อฟังพวกเขา เหล่านี้คือพฤติกรรมชนิดเฉพาะหนึ่ง เป็นชุดของพฤติกรรมที่ร่วมอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน อาจกล่าวได้ว่า ไม่สำคัญว่าศัตรูของพระคริสต์ทำสิ่งใด ไม่สำคัญว่าพวกเขาทำการตัดสินใจหรือการจัดการเตรียมการใด พวกเขาไม่เคยสามัคคีธรรมสิ่งเหล่านั้นกับผู้อื่นเลย ไม่เคยลุแก่ฉันทามติกับผู้อื่นเลย และไม่เคยแสวงหาหลักธรรมสำหรับงานและการปฏิบัติเลย ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่ให้ความรู้แจ้งแก่ผู้คนในเรื่องที่ว่าเหตุใดพวกเขาจึงปฏิบัติตนในหนทางนี้ ผู้คนติดหล่มอยู่ในความงุนงงสับสน แต่ต้องทำตามที่พวกศัตรูของพระคริสต์พูด หากใครก็ตามถามคำถาม พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ปรารถนาที่จะสามัคคีธรรมหรืออธิบาย แต่คอยควบคุมเรื่องเหล่านี้เอาไว้โดยทั้งหมดทั้งสิ้นภายในสภาวะเฉพาะบางอย่าง—แล้วสภาวะนั้นคืออะไรหรือ? ในสภาวะนี้ ไม่มีผู้ใดมีสิทธิที่จะได้รับความรู้ พวกศัตรูของพระคริสต์ทำตามที่พวกเขายินดี และสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้องต้องได้รับการดำเนินจนเสร็จสิ้นครบถ้วน โดยไม่มีใครคนอื่นมีสิทธิที่จะถามคำถาม หรือที่จะรู้ นับประสาอะไรที่จะทำงานแบบเป็นหุ้นส่วนกับพวกเขา ผู้คนสามารถทำได้ตามที่พวกเขาถูกบอกให้ทำเท่านั้น อะไรหรือคือทรรศนะของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อการนี้? “เนื่องจากพวกคุณได้เลือกฉันเป็นผู้นำ เพราะฉะนั้นพวกคุณจึงอยู่ภายใต้การความดูแลของฉัน และพวกคุณต้องทำตามที่ฉันพูด หากพวกคุณจะไม่ทำตามที่ฉันพูด เช่นนั้นแล้วก็อย่าเลือกฉัน—หากพวกคุณเลือกฉัน เช่นนั้นแล้วพวกคุณก็ต้องทำตามที่ฉันพูด! ฉันคนเดียวเท่านั้นมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้ายเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเราทำ” ถ้าเช่นนั้นแล้ว ในสายตาของพวกเขา สิ่งใดคือสัมพันธภาพระหว่างพวกเขากับผู้ติดตามที่อยู่ใต้พวกเขา? พวกเขาคือผู้ที่ออกคำสั่ง และพวกที่อยู่ต่ำกว่าพวกเขาก็ไม่สามารถวิเคราะห์ได้ว่าพวกเขาถูกหรือผิด อีกทั้งพวกเขาไม่อาจตำหนิ จำแนกแยกแยะ ตั้งคำถาม หรือกังขาในตัวพวกเขา อีกทั้งไม่อาจสอบถามเกี่ยวกับสิ่งใดได้เลย—ไม่มีสิ่งใดเลยในบรรดาสิ่งเหล่านี้ที่ได้รับอนุญาต เมื่อใดก็ตามที่ศัตรูของพระคริสต์เสนอแนะแผนการใหม่บางอย่าง ถ้อยแถลง หรือหนทางในการทำสิ่งทั้งหลาย ทุกคนต้องปรบมือเป็นการรองรับสนับสนุน ไม่อาจมีคำถามใดได้เลย ในการนี้ไม่มีบางสิ่งซึ่งเป็นการบังคับขู่เข็ญหรอกหรือ? นี่คือวิธีการลักษณะใดหรือ? การประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยมและอย่างเผด็จการ นี่คืออุปนิสัยประเภทใดหรือ? (ความเลวทราม) จากมุมมองของความหมายผิวเผินของวลี “การประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยมและอย่างเผด็จการ” “การประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยม” หมายความว่าคำพูดของพวกเขานั้นมีน้ำหนักเสมือนเป็นอำนาจสิทธิขาด และ “อย่างเผด็จการ” หมายความว่าหลังจากที่พวกเขาได้ทำการตัดสินและตัดสินใจไปแล้วโดยลำพัง ทุกคนก็จำเป็นที่จะต้องดำเนินสิ่งเหล่านั้นไปจนเสร็จสิ้น และไม่มีใครคนอื่นได้รับอนุญาตให้มีความคิดเห็นหรือแนวคิดที่แตกต่างออกไป หรือแม้แต่จะถามคำถาม การที่พวกเขาประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยมและอย่างเผด็จการหมายความว่า เมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา พวกเขาคิดถึงประเด็นปัญหานั้นเล็กน้อยแล้วก็ตัดสินใจด้วยตัวเองว่าจะทำสิ่งใด พวกเขาทำการตัดสินใจเช่นนั้นเพียงลำพัง เป็นการส่วนตัว โดยไม่คำนึงถึงใครคนอื่น ไม่มีใครอื่นเลย แม้กระทั่งหุ้นส่วนของพวกเขาหรือผู้นำที่สูงกว่าพวกเขา ที่อาจมีสิทธิมีเสียงอันใดในสิ่งที่จะต้องทำให้แล้วเสร็จ นั่นคือสิ่งที่เป็นความหมายของ “การประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยมและอย่างเผด็จการ” แล้วสิ่งใดคือหลักธรรมและวิธีการอันยืนยงตลอดกาลซึ่งผู้คนเช่นนั้นใช้ในการปฏิบัติตน? เมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา พวกเขาเริ่มที่จะไตร่ตรองปัญหานั้นในจิตใจของพวกเขา พวกเขาคิดพิจารณาปัญหานั้นในหนทางนี้หนทางนั้นอยู่ในหัวของพวกเขา—แต่ไม่มีใครรู้เลยว่าพวกเขากำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ แล้วเหตุใดเล่าจึงไม่มีผู้ใดรู้เลย? ก็เพราะพวกเขาไม่พูดอะไรเลย ผู้คนบางคนอ้างว่านั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ชอบพูด ใช่กรณีเช่นนั้นหรือไม่? นี่ไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวกับบุคลิกลักษณะ พวกเขาไม่พูดอะไรเลยเพราะพวกเขากำลังจงใจไม่บอกเจ้า พวกเขาปรารถนาที่จะกระทำการตามลำพัง พวกเขาคำนวณสิ่งที่พวกเขาควรทำด้วยตัวเอง พวกเขากำลังคำนวณสิ่งใดหรือ? การนี้เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ สถานะ เกียรติยศ และภาพพจน์ของพวกเขา พวกเขาคำนวณสิ่งทั้งหมดเหล่านี้ และพูดกับตัวเองว่า “ฉันจะสามารถหาสักหนทางหนึ่งได้อย่างไร ในการที่จะรักษาความปลอดภัยให้กับสถานะของฉัน ในการที่จะหยุดยั้งพวกที่อยู่ต่ำกว่าฉันไม่ให้มองเห็นฉันอย่างทะลุปรุโปร่ง และที่สำคัญที่สุด ในการที่จะซ่อนเร้นการนั้นจากเบื้องบน? นี่ไม่ใช่กิจที่ง่ายดายเลย หากฉันเผชิญประเด็นปัญหาและสามัคคีธรรมปัญหานั้นกับพี่น้องชายหญิงที่อยู่ต่ำกว่าฉันโดยไม่คิดทบทวน ทุกคนจะมองเห็นฉันอย่างทะลุปรุโปร่ง และหลังจากที่พวกเขามองเห็นฉันอย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว ใครๆ ก็อาจจะปากพล่อยและรายงานการนั้นไปยังเบื้องบนผู้ซึ่งอาจปลดฉันออกเสียง่ายๆ ก็เป็นได้ ซึ่งในกรณีนั้นฉันย่อมจะไม่มีความสามารถที่จะรักษาสถานะของฉันไว้ได้ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ หากฉันสามัคคีธรรมกับผู้อื่นเป็นนิตย์ ความสามารถพิเศษอันเล็กน้อยนี้ของฉันจะไม่ถูกเปิดโปงต่อทุกคนหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว ผู้คนจะไม่ดูแคลนฉันหรอกหรือ?” หากผู้คนมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่งจริงๆ พวกเจ้าจะพูดว่านั่นเป็นสิ่งที่ดีหรือสิ่งที่แย่? ในข้อเท็จจริงนั้น สำหรับบรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริง ผู้ที่ซื่อสัตย์ การเสียหน้าหรือเสียภาพพจน์เล็กน้อย การให้ผู้คนมองเห็นพวกเขาอย่างทะลุปรุโปร่ง ไม่มีความหมายใดเลยสำหรับพวกเขา พวกเขาไม่ได้ดูเหมือนว่าจะรู้สึกถึงสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งไม่ได้ดูเหมือนว่าจะมีความตระหนักรู้ที่มีนัยสำคัญอันใดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เลย พวกเขาไม่คำนึงถึงสิ่งเหล่านี้ว่าสำคัญเป็นพิเศษ ในขณะเดียวกัน พวกศัตรูของพระคริสต์ก็เป็นในสิ่งที่ตรงกันข้ามพอดิบพอดี กล่าวคือ พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาความจริง และพวกเขาคำนึงถึงสถานะของพวกเขาเอง และคำนึงถึงทรรศนะและท่าทีของผู้คนอื่นๆ ที่มีต่อพวกเขาว่าสำคัญกว่าชีวิตของพวกเขาเอง หากพวกเขาได้รับการเสนอทองคำให้ และพวกเขาจำเป็นที่จะต้องพูดความจริงเป็นการแลกเปลี่ยน ที่จะต้องพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ตามจริง เรื่องราวเบื้องลึกเบื้องหลัง พวกเขาจะเข้ารับข้อเสนอนั้นหรือไม่? หากมีการเสนอทองคำเพียงปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น พวกเขาก็จะคิดว่านั่นไม่คุ้มค่า พวกเขาจะไม่รับข้อเสนอนั้น แต่กลับจะยังคงเสแสร้งต่อไป โดยพูดว่า “พวกเราผู้เชื่อในพระเจ้าไม่รักเงินทอง พวกเรารักความจริง” หากมีการเสนอทองคำปริมาณมาก พวกเขาอาจจะพูดสิ่งที่คร่าวๆ สักสองสามสิ่งซึ่งจริงแท้ เพื่อที่จะได้มาซึ่งเงินทองนั้นอย่างฉ้อโกง แล้วก็ดำเนินต่อไปตามปกติ ไม่ได้ปรับเปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย นี่คือสิ่งที่เป็นความหมายของ “สันดอนขุดง่าย สันดานขุดยาก”

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาปฏิบัติตนอย่างลับๆ ล่อๆ ประพฤติตนตามแบบปัจเจกนิยมและอย่างเผด็จการ ไม่สามัคคีธรรมกับผู้คนเลย และบังคับผู้คนให้เชื่อฟัง” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ศัตรูของพระคริสต์มีอุปนิสัยเดียวกันกับหัวหน้าเทวทูต หัวหน้าเทวทูตได้กล่าวว่า “ฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลกและสรรพสิ่งสร้างขึ้นโดยฉัน และมวลมนุษย์ก็อยู่ภายใต้การควบคุมของฉัน” และเพราะฉะนั้นมันจึงได้ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามและเสียคนตามอำเภอใจ ทันทีที่ศัตรูของพระคริสต์มามีอำนาจ พวกเขาพูดว่า “พวกท่านทั้งหมดต้องเชื่อและติดตามฉัน ฉันกุมอำนาจ ฉันมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย ดังนั้นจงมาหาฉันเมื่ออะไรก็ตามเกิดขึ้น และนำเงินทองของคริสตจักรมาให้ฉัน” ผู้อื่นพูดว่า “เหตุใดพวกเราจึงควรมอบสิ่งนั้นให้ท่าน?” “เพราะฉันเป็นผู้นำ—ฉันมีอำนาจที่จะรับมือกับเรื่องเหล่านี้ และมันก็ขึ้นอยู่กับฉันในการที่จะดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง!” ดังนั้นพวกเขาจึงดูแลทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขาไม่ใส่ใจว่าพี่น้องชายหญิงจะไม่มีพระวจนะของพระเจ้าที่จะกินและดื่มหรือไม่ หรือว่าพวกเขาขาดพร่องคำเทศนาหรือหนังสือหรือไม่ อย่างไรก็ตาม พวกเขาใส่ใจเกี่ยวกับว่าใครถือเงิน มีเงินมากเพียงใด และจะใช้เงินนั้นอย่างไร หากเบื้องบนจะถามคำถามเกี่ยวกับสถานะทางการเงินของคริสตจักร ไม่เพียงแค่พวกเขาจะไม่ส่งมอบเงินของคริสตจักรเท่านั้น พวกเขายังจะไม่ปล่อยให้เบื้องบนรู้ความจริงอีกด้วย เหตุใดพวกเขาจึงจะเลี่ยงไม่ให้เบื้องบนรู้ความจริง? พวกเขาต้องการที่จะยักยอก ที่จะครอบงำ—นั่นใช่เหตุผลหรือไม่? ศัตรูของพระคริสต์สนใจอย่างสุดขั้วในสิ่งครอบครองที่เป็นวัตถุ เงินทอง และสถานะ และแน่นอนว่าพวกเขาไม่ได้เป็นอย่างที่ปรากฏเมื่อพวกเขาพูดว่า “บัดนี้ฉันเชื่อในพระเจ้า และฉันได้หยุดไล่ตามเสาะหาสิ่งของทางโลกและหยุดทะยานอยากเงินทองแล้ว” แน่นอนว่าพวกเขาไม่เรียบง่ายอย่างที่พวกเขาปรากฏ เหตุใดเล่าพวกเขาจึงทำทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อไล่ตามเสาะหาและดำรงไว้ซึ่งสถานะ? เพราะพวกเขาต้องการที่จะมีหรือควบคุมและครอบงำทุกสิ่งทุกอย่างที่สถานะนำพามา พวกเขาคือพงศ์พันธุ์แท้ๆ ของหัวหน้าเทวทูต และพวกเขาทำได้ดีดังชื่อพวกเขาในฐานะธรรมชาติและแก่นแท้ของหัวหน้าเทวทูต ผู้ใดก็ตามที่ไล่ตามเสาะหาสถานะและมุ่งเน้นไปที่ความอุดมด้วยโภคทรัพย์และเงินทอง แน่นอนว่าย่อมมีปัญหาในอุปนิสัยของพวกเขา นี่ไม่ใช่เพียงแค่กรณีของการมีอุปนิสัยของศัตรูของพระคริสต์ ถ้าเช่นนั้นแล้วมันคืออะไรเล่า? ก่อนอื่น หากพวกเขาได้รับอนุญาตให้เข้ารับหน้าที่รับผิดชอบสำหรับกิจหนึ่ง พวกเขาคงจะไม่อนุญาตให้ผู้อื่นแทรกแซง นอกจากนี้ ทันทีที่พวกเขาเป็นหัวหน้างานสำหรับกิจอันใดก็ตาม พวกเขาจะแสวงหาหนทางที่จะแสดงให้เห็นจุดเด่น ปกป้องตัวเอง และยกตัวเองขึ้น เพื่อทำให้ตัวเองโดดเด่นจากฝูงชนและกลายเป็นผู้ที่สูงสุด โดยยึดมั่นและต่อสู้เพื่อสถานะ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเห็นทรัพย์สิน สายตาอันจับจ้องของพวกเขาแปรเป็นละโมบ และจิตใจของพวกเขาก็วุ่นอยู่เสมอ โดยคิดและพยายามที่จะให้ได้เงินทองมา เหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องหมายของศัตรูของพระคริสต์ พวกเขาไม่สนใจในการกล่าวถึงการสัมพันธ์สนิทความจริงอันใดเลย หรือในการถามถึงสภาวะของพี่น้องชายหญิง หรือว่ามีกี่คนในบรรดาพวกเขาที่กำลังรู้สึกอ่อนแอหรือคิดลบ หรือว่าทุกคนปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาดีเพียงใด แต่เมื่อมาถึงเรื่องของเงินทอง เรื่องที่ว่าใครสามารถบริจาคได้ เรื่องของจำนวนเงิน เรื่องที่ว่าเงินนั้นเก็บไว้ที่ใด เหล่านี้คือสิ่งทั้งหลายที่พวกเขาใส่ใจมากที่สุด นี่คือเครื่องหมายและหมายสำคัญของศัตรูของพระคริสต์

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาคงจะให้ผู้อื่นเชื่อฟังเฉพาะพวกเขาเท่านั้น ไม่ใช่ความจริงหรือพระเจ้า (2)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ความชั่วของศัตรูของพระคริสต์มีคุณลักษณะเฉพาะหลักหนึ่งอย่าง—เราจะแบ่งปันกับพวกเจ้าถึงความลับเกี่ยวกับวิธีหยั่งรู้ความชั่วนั้น ความลับนั้นก็คือการนี้—ประการแรก ไม่ว่าในวาทะของพวกเขาหรือการกระทำของพวกเขา พวกเขามิอาจหยั่งลึกได้สำหรับเจ้า เจ้าไม่สามารถอ่านพวกเขาออก เมื่อพวกเขาพูดกับเจ้าอยู่ สายตาของพวกเขากลอกไปมาเสมอ และเจ้าไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขากำลังคิดวางแผนกลอุบายจำพวกใดอยู่ แม้ในยามที่พวกเขาปรากฏเหมือนว่า “จริงใจ” และ “ซื่อสัตย์” อย่างยิ่ง เจ้าก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจพวกเขาได้ เจ้ามีความรู้สึกเฉพาะอย่างหนึ่งในหัวใจของเจ้า เป็นสำนึกว่ามีความละเอียดอ่อนลึกซึ้งภายในความคิดของพวกเขา ส่วนลึกซึ่งมิอาจหยั่งลึกได้ พวกเขาดูเหมือนว่าลี้ลับและประหลาด นี่คือคุณลักษณะเฉพาะอย่างแรก และลำพังเพียงแค่การนี้ก็เป็นคุณลักษณะเฉพาะของความชั่ว คุณลักษณะเฉพาะอย่างที่สองของความชั่วของศัตรูของพระคริสต์ก็คือ พวกเขาพูดและประพฤติตนในหนทางซึ่งทำให้เข้าใจผิดอย่างยิ่ง การทำให้เข้าใจผิดนี้สามารถเห็นได้ที่ใด? นั่นสามารถเห็นได้ในข้อเท็จจริงที่ว่า พวกเขามีทักษะโดยเฉพาะในการจับความเข้าใจจิตวิทยาของผู้อื่น คำพูดของพวกเขาฟังดูน่ายินดีและถูกต้อง พวกเขาชี้แจงทฤษฎีที่ลุ่มลึกและพูดสิ่งทั้งหลายที่ถูกต้อง สิ่งที่ผู้อื่นพบว่ายอมรับได้จากจุดยืนของภาวะอารมณ์ มโนธรรมและเหตุผล และอุดมการณ์ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าควรหยั่งรู้ นั่นคือ สิ่งที่ฟังดูน่ายินดีเหล่านั้นทั้งหมดซึ่งพวกเขาพูด โดยส่วนตัวแล้วพวกเขาไม่ให้เกียรติเลย ตัวอย่างเช่น สมมติว่าพวกเขาบอกเจ้าถึงวิธีที่จะเป็นบุคคลที่ซื่อสัตย์ วิธีที่จะอธิษฐานเมื่อเจ้าเผชิญหน้ากับปัญหา หรือวิธีที่จะปล่อยให้พระเจ้าทรงเข้าควบคุมในชีวิตของเจ้า—ลองดูสิว่าพวกเขาทำสิ่งใดเมื่อพวกเขาเป็นผู้ที่เผชิญหน้ากับปัญหา พวกเขาพึ่งพาแนวคิดของพวกเขาเอง การคิดของพวกเขาเอง และพวกเขาก็พึ่งพาความสามารถของพวกเขาเอง โดยบีบเค้นสมองของพวกเขา ทำสิ่งนานาสารพัน พวกเขาลองพยายามทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นไปได้เพื่อทำให้ผู้คนอื่นๆ ทำการปรนนิบัติให้พวกเขา เพื่อดูแลกิจธุระของพวกเขาเอง สิ่งที่พวกเขาไม่ทำก็คืออธิษฐานต่อพระเจ้า อีกทั้งพวกเขายังปรนนิบัติแต่ปากต่อวิธีที่ผู้คนควรยอมรับและนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาของพวกเขาเอง สิ่งแรกที่สุดที่พวกเขาทำก็คือมองหาทางออก พวกเขาไม่ยอมรับการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—สิ่งที่ผู้คนเห็นก็คือ พวกเขาไม่นบนอบในการกระทำของพวกเขาแต่แค่ลองพยายามที่จะหาทางออกให้กับตัวเอง นี่คือด้านที่ชั่วของศัตรูของพระคริสต์ ซึ่งอยู่เบื้องหลังแง่มุมที่ทำให้เข้าใจผิดของพวกเขา ในงานของพวกเขา บางครั้งพวกเขาทำงานหนักจนดึกดื่นหรือแม้กระทั่งงดเว้นอาหารและการนอนหลับ แต่กระนั้น เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับการจัดการเตรียมการซึ่งทำโดยพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่นำการนั้นมาดำเนินการหรือนำการนั้นไปสู่การปฏิบัติ และพวกเขาก็ไม่ยอมรับความจริง อีกพฤติกรรมที่พวกเขาเปิดเผยก็คือ เมื่อพี่น้องชายหญิงแสดงความคิดเห็นที่พวกเขาไม่เห็นพ้องด้วย พวกเขาก็บอกปัดความคิดเห็นนั้นในหนทางที่อ้อมค้อมอย่างยิ่ง โดยพูดวกไปวนมา นั่นทำให้เจ้ารู้สึกเหมือนว่าพวกเขากำลังรับแนวคิดของเจ้าไว้อย่างจริงจังมาก พวกเขาแบ่งปันการสามัคคีธรรมและเสวนาถึงแนวคิดนั้นกับทุกคน แต่เมื่อพิจารณาทุกๆ อย่างแล้ว เจ้ายังคงจำเป็นที่จะต้องทำตามที่พวกเขาพูด พวกเขาจะทำทุกอย่างเพื่อจะปฏิเสธแนวคิดของผู้คนอื่นๆ เพื่อจะทำให้ผู้อื่นเห็นด้วยกับพวกเขาและทำตามที่พวกเขาพูด นี่เป็นการแสวงหาความจริงหลักธรรมกระนั้นหรือ? อะไรคือหลักธรรมที่พวกเขากำลังนำไปสู่การปฏิบัติ? นั่นคือการทำให้ทุกคนฟังและนบนอบต่อพวกเขา และว่าการฟังผู้คนอื่นๆ ไม่อาจดีเท่ากับการฟังพวกเขาได้เลย ว่าแนวคิดของพวกเขาดีที่สุด สูงส่งที่สุด และตัวพวกเขาเองคือความจริงและสิ่งที่พวกเขาพูดถูกต้องอย่างสิ้นเชิง การนี้ไม่ชั่วหรอกหรือ? คุณลักษณะเฉพาะอย่างที่สามของความชั่วของศัตรูของพระคริสต์ก็คือ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเป็นพยานให้ตัวเอง—โดยเป็นพยานให้คุณความดีของพวกเขาเอง ราคาที่พวกเขาได้จ่าย และบางสิ่งที่พวกเขาทำได้ดีจากภายนอกผิวเผินที่ทุกคนสามารถมองเห็นได้ หรือบางสิ่งที่สามารถนำผลประโยชน์บางอย่างมาให้ผู้อื่นร่วมกับพวกเขาได้—ทุกครั้งที่พวกเขาพูดสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเสร็จแล้ว พวกเขาก็จบด้วยการพูดบางสิ่งซึ่งเป็นเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณโดยเฉพาะ อย่างเช่น “คำขอบคุณจงมีแด่พระเจ้า การนี้ล้วนแต่กระทำไปโดยพระองค์” เป็นการทำให้เจ้าเห็นว่าพวกเขามีความสามารถยิ่งนัก แต่ยังคงมีความสามารถที่จะเป็นพยานให้พระเจ้าได้ เมื่อในข้อเท็จจริงนั้นพวกเขาก็แค่เป็นพยานให้ตัวเองและทำเชิงอรรถให้พระเจ้า พวกเขายังไม่ได้เป็นพยานให้พระเจ้าเลยแม้แต่น้อย แต่กำลังใช้การนี้เป็นโอกาสเหมาะที่จะเป็นพยานให้ตัวเองแต่ผู้เดียว การนี้ไม่ใช่เล่ห์กลฉลาดแกมโกงในฝ่ายของศัตรูของพระคริสต์หรอกหรือ? การนี้ไม่ชั่วหรอกหรือ? ด้วยสามสิ่งนี้เป็นหลักพื้นฐาน ศัตรูของพระคริสต์ย่อมถูกหยั่งรู้ได้โดยง่าย

มีคุณลักษณะเฉพาะหลักของศัตรูของพระคริสต์อีกอย่าง ซึ่งยังเป็นหนึ่งในการแสดงออกเบื้องต้นถึงอุปนิสัยและแก่นแท้ชั่วของพวกเขาด้วยเช่นกัน ไม่ว่าพวกเขากำลังฟังคำเทศนาและการสามัคคีธรรม หรือมีส่วนร่วมในการชุมนุมหรือไม่—ไม่ว่าพี่น้องชายหญิงคนอื่นๆ จะสามัคคีธรรมอย่างไรว่าด้วยความรู้ของพวกเขาเกี่ยวกับตัวพวกเขาเอง ว่าด้วยการยอมรับการถูกพิพากษา ถูกตีสอน ถูกจัดการ และถูกตัดแต่ง ว่าด้วยการปฏิบัติหน้าที่อย่างถูกต้องเหมาะสม ว่าด้วยการยืนบนจุดที่สมควรแก่สิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และว่าด้วยการปล่อยวางการถวิลหาของพวกเขาที่มีต่อพระพร อะไรคือท่าทีของศัตรูของพระคริสต์ต่อการนี้? ไม่สำคัญว่าผู้อื่นสามัคคีธรรมอย่างไรหรือมีผู้คนกี่คนแบ่งปันการสามัคคีธรรมของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงสิ่งจูงใจของพวกเขาที่จะไล่ตามเสาะหาสถานะและพระพรเลย นี่คือสาเหตุที่ แต่ละครั้งที่พวกเขาได้ทำงานมาช่วงเวลาหนึ่ง พวกเขาตรวจนับสิ่งที่พวกเขาได้ทำ ว่าพวกเขามีส่วนร่วมแบ่งปันสิ่งใดให้พระนิเวศของพระเจ้า และว่าพวกเขาได้รับมือกับเรื่องใดบ้างเพื่อพี่น้องชายหญิง พวกเขาทำการคำนวณอย่างแอบๆ ซ่อนๆ อยู่เสมอ โดยตรวจนับสิ่งทั้งหลายในใจของพวกเขา และพยายามต่อรองกับพระเจ้า เหตุใดเล่าพวกเขาจึงจะต่อรองในเรื่องสิ่งเหล่านี้? นั่นเป็นเพราะ ลึกลงไปภายในหัวใจของพวกเขา จุดมุ่งหมายของพวกเขาในการไล่ตามเสาะหาของพวกเขาและในความเชื่อของพวกเขาตั้งแต่แรกเริ่มคือการไล่ตามพระพรเสมอมา ไม่สำคัญว่าพวกเขาฟังคำเทศนากี่ปีหรือพวกเขากินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากเพียงใด พวกเขาจะไม่มีวันปล่อยวางความพึงปรารถนาและสิ่งจูงใจของพวกเขาที่จะรับพระพร หากเจ้าขอให้พวกเขาเป็นสิ่งมีชีวิตทรงสร้างที่รับผิดชอบต่อหน้าที่และยอมรับกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พวกเขาก็จะพูดว่า “นั่นไม่ใช่เส้นทางที่ถูกต้อง นั่นไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรไล่ตามเสาะหา สิ่งที่ฉันตามหาก็คือ เมื่อฉันได้ต่อสู้แล้ว เมื่อฉันได้ทุ่มเทความพยายามที่จำเป็นแล้วและได้ทนทุกข์จากความยากลำบากที่จำเป็นแล้ว ทันทีที่ฉันได้ทำทุกสิ่งทุกอย่างตามมาตรฐานของพระเจ้าแล้ว พระเจ้าจะทรงมอบบำเหน็จแบบใดให้ฉัน? ฉันจะเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ได้รับการทรงอารักขาหรือไม่? ฉันจะมีตำแหน่งประเภทใดในราชอาณาจักรของพระเจ้า? บั้นปลายสุดท้ายของฉันจะเป็นอย่างไร?” ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมอย่างไร เจ้าไม่สามารถปัดเป่าสิ่งจูงใจและการถวิลหานี้ที่พวกเขาเก็บงำได้เลย พวกเขาคือบุคคลประเภทเดียวกันกับเปาโล ไม่มีอุปนิสัยอันดุดันประเภทเฉพาะหนึ่งซึ่งเก็บงำอยู่ภายในความชั่วประเภทนี้หรอกหรือ?

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (2)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ท่าทีอันเป็นแม่แบบของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อการจัดการและการตัดแต่งคือไม่ยอมอย่างเอาเป็นเอาตายที่จะยอมรับการนั้นแบบเห็นด้วยหรือแบบเสียมิได้ ทั้งนี้ ไม่สำคัญว่าพวกเขาได้ทำอันตรายแก่พี่น้องชายหญิงและพระนิเวศของพระเจ้าไปแล้วมากเพียงใด พวกเขาไม่รู้สึกสำนึกผิดเลยแม้แต่น้อยหรือรู้สึกว่าพวกเขาติดค้างอะไร จากมุมมองนี้ พวกศัตรูของพระคริสต์มีสภาวะความเป็นมนุษย์หรือไม่? (ไม่มี) พวกเขาเป็นเหตุให้เกิดอันตรายดังกล่าวต่อชีวิตของพี่น้องชายหญิงและผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าทุกแง่มุม—ใครๆ ก็สามารถมองเห็นการนี้ได้ และทุกคนที่มองเห็นการนี้ก็คงจะพูดว่าเป็นกรณีเช่นนั้นเอง—แต่กระนั้น พวกศัตรูของพระคริสต์ก็ไม่ยอมรับหรือยอมรับรู้ข้อเท็จจริงนี้ พวกเขาเหนียวแน่นอยู่กับความคิดความเชื่อและการกระทำของตนเองอย่างดื้อดึง และไม่ยอมรับว่าพวกเขาทำข้อผิดพลาดในเรื่องนี้ ว่าพวกเขาต้องรับผิดชอบ นี่ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่าพวกเขาชิงชังความจริงหรอกหรือ? เช่นนั้นคือความชิงชังของพวกศัตรูของพระคริสต์ที่มีต่อความจริง เช่นนั้นคือหนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อเรื่องเหล่านี้ นี่ไม่ใช่การถือเรื่องผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า ของคริสตจักร ของพี่น้องชายหญิงเป็นจริงเป็นจังใช่หรือไม่? หากพวกเขายอมรับรู้ว่าพวกเขาได้ทำอันตรายต่อผลประโยชน์ของพี่น้องชายหญิงและพระนิเวศของพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะจำเป็นที่จะต้องยอมรับความรับผิดชอบ และในเวลาเดียวกัน สถานะและเกียรติยศของพวกเขาย่อมจะมีความเสี่ยงอย่างยิ่ง—ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ยอมอย่างถวายหัวที่จะยอมรับรู้การนั้น การนั้นไม่สามารถยอมรับรู้ได้อย่างสิ้นเชิง และต่อให้พวกเขายอมรับการนี้ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาก็จะยังคงไม่ทำเช่นนั้นภายนอก ไม่ว่าการไม่ยอมรับของพวกเขาเป็นการจงใจหรือไม่ สรุปสั้นๆ ก็คือ ในด้านหนึ่งนั้น สิ่งทั้งหลายดังกล่าวบ่งชี้อย่างชัดเจนถึงแก่นแท้ของความชิงชังความจริงและความเป็นอริต่อความจริงของพวกศัตรูของพระคริสต์ ในอีกด้านหนึ่ง สิ่งเหล่านั้นแสดงให้เห็นว่าพวกศัตรูของพระคริสต์หวงแหนผลประโยชน์ของตนเองราวสมบัติล้ำค่ามากเพียงใด ในขณะที่มีท่าทีแห่งการเหยียดหยามและการไม่ยอมรับความรับผิดชอบต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า และของคริสตจักร พวกเขาก็ไม่มีสภาวะความเป็นมนุษย์ใดเลย การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบของพวกศัตรูของพระคริสต์สาธิตแสดงถึงประเด็นปัญหาเหล่านี้หรือไม่? (สาธิตแสดง) ในด้านหนึ่งนั้น การบ่ายเบี่ยงความรับผิดชอบเป็นตัวแทนท่าทีแห่งความเป็นอริที่พวกเขามีต่อความจริง ในอีกด้านหนึ่ง นั่นแสดงให้เห็นถึงการขาดพร่องสภาวะความเป็นมนุษย์ของพวกเขา ไม่สำคัญว่าผลประโยชน์ของผู้คนอื่นๆ ได้รับอันตรายเพราะพวกเขามากเพียงใด พวกเขาไม่รู้สึกถึงการโทษตัวเองเลยและอาจจะไม่เดือดร้อนอะไรเลยจากการนี้ก็เป็นได้ นี่คือสิ่งทรงสร้างแบบไหนกัน? ต่อให้พวกเขาเพียงแค่ยอมรับสภาพเล็กน้อยเท่านั้น โดยพูดว่า “ฉันมีส่วนเกี่ยวข้องกับการนี้ แต่นั่นไม่ใช่ความผิดของฉันทั้งหมด” นี่ก็อาจยังคงพิจารณาได้ว่าเป็นการมีสภาวะความเป็นมนุษย์อยู่บ้าง การมีมโนธรรมอยู่บ้าง เป็นเส้นฐานด้านศีลธรรมอย่างหนึ่ง—แต่พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่แม้แต่จะมีสภาวะความเป็นมนุษย์นั้นแม้แต่น้อย ดังนั้นแล้ว พวกเจ้าจะพูดว่าพวกเขาคืออะไร? (มาร) แก่นแท้ของผู้คนเช่นนั้นคือมาร พวกเขาไม่เห็นอันตรายมหาศาลที่พวกเขาได้ทำต่อผลประโยชน์แห่งพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาไม่เดือดร้อนเลยแม้แต่น้อยในหัวใจของพวกเขา อีกทั้งพวกเขาไม่ตำหนิตัวเอง นับประสาอะไรที่จะรู้สึกเป็นหนี้ พวกเขาเป็นแม้แต่ผู้คนหรือไม่? แน่นอนที่สุดว่า นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรพบเห็นในผู้คนปกติ นี่คือมาร ต่อให้เจ้าไม่ได้ขอให้พวกเขายอมรับความรับผิดชอบต่อสิ่งที่พวกเขาได้ทำ แต่เพียงแค่ขอให้พวกเขายอมรับความผิดพลาดของตนเท่านั้น พวกเขาก็ยังคงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ พวกเขาก็ยังคงไม่อาจยอมรับรู้การนี้ได้ พวกเขาคิดว่า “หากฉันยอมรับการนี้ นี่ไม่เป็นอย่างเดียวกับการพูดว่าฉันผิดหรอกหรือ? ฉันอาจเป็นใครบางคนที่ทำผิดได้หรือ? ฉันจะถูกต้องและยิ่งใหญ่เสมอ การที่จะขอให้ฉันยอมรับรู้ความผิดพลาด นั่นไม่ใช่การลดเกียรติบุคลิกลักษณะของฉันหรอกหรือ? ฉันไม่อาจทำสิ่งใดผิดได้เป็นอันขาด ต่อให้เรื่องนี้อาจจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับฉัน ฉันก็ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดเรื่องนี้ อีกทั้งหลักๆ แล้วฉันก็ไม่ได้รับผิดชอบต่อเรื่องนี้ ไปหาใครก็ตามที่คุณต้องการเถิด แต่อย่ามาหาฉันเลย ไม่ว่าในกรณีใดฉันไม่สามารถรับความรับผิดชอบต่อการนี้ได้ ฉันไม่สามารถยอมรับความผิดพลาดนี้ได้” พวกเขาไม่อาจทำได้หากเจ้าขอให้พวกเขายอมรับรู้ความผิดพลาดของพวกเขาด้วยคำพูดเพียงเท่านั้น นั่นคงจะเป็นเหมือนการเรียกร้องเอาความตายของพวกเขา—ราวกับว่า หากพวกเขาจะยอมรับความผิดพลาดของพวกเขา พวกเขาก็คงจะถูกกล่าวโทษและไปลงนรก และถูกผลักพรวดลงไปในบึงไฟและกำมะถัน กล่าวโดยสรุป ไม่สำคัญว่าผู้คนอื่นๆ พูดหรือสามัคคีธรรมสิ่งใด ต่อให้พวกศัตรูของพระคริสต์บังคับตัวเองให้เงียบไว้และไม่โต้เถียงภายนอก ลึกลงไปแล้วพวกเขากำลังแข่งขัน ย้อนกลับ ต้านทาน พวกเขาต้านทานจนถึงระดับใดนะหรือ? มีพวกศัตรูของพระคริสต์บางคนที่ถูกจัดการเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้เพราะพวกเขาได้ทำบางสิ่งที่ผิด ทั้งนี้ เมื่อการนั้นถูกนำขึ้นมาพูดคุยหนึ่งทศวรรษถัดมา พวกเขาก็ยังคงไม่ยอมรับว่านั่นเป็นความผิดของตนเองหรือแบกรับความรับผิดชอบของตนเอง ยี่สิบปีถัดมา เมื่อการนั้นถูกนำขึ้นมาพูดคุยอีก พวกเขาก็ยังคงพยายามปกป้องตัวเอง สามสิบปีถัดมา เมื่อการนั้นถูกนำขึ้นมาพูดคุยอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาก็ยังคงไม่หันไปจากครรลองของตนเอง กล่าวคือ พวกเขายังพยายามที่จะให้เหตุผลว่าตัวเองชอบธรรมและแก้ต่างให้ตัวเองอยู่ต่อไป ที่จะปกป้องตัวเอง หลังจากสามสิบปี พวกเขาก็ยังคงไม่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพื่อยอมรับข้อเท็จจริงนี้ เพื่อยอมรับรู้ความผิดพลาดของตน พวกเขายังคงไม่เสาะแสวงความจริงที่จะนำไปปฏิบัติและหลักธรรมซึ่งควรได้รับการติดตามในเรื่องนี้ หัวใจของพวกเขายังคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง กล่าวคือ พวกเขารู้สึกว่าพี่น้องชายหญิงได้กระทำผิดต่อพวกเขา และว่าพระเจ้าไม่เข้าพระทัยพวกเขา พวกเขาคิดว่าพระนิเวศของพระเจ้าควรรู้สึกเสียใจต่อพวกเขา ว่าพระนิเวศของพระเจ้าได้ทำให้สิ่งทั้งหลายยากลำบากสำหรับพวกเขา ตั้งใจสร้างปัญหาให้กับพวกเขา ทำให้พวกเขาแปรไปเป็นแพะรับบาป ผู้คนเช่นนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่? หัวใจของพวกเขาเต็มไปด้วยความเป็นอริ การต้านทาน และความไม่ลงรอยต่อสิ่งที่เป็นบวก พวกเขาเชื่อว่า การที่ผู้อื่นจะจัดการกับพวกเขาและตัดแต่งพวกเขาด้วยการนี้ เป็นการทำลายบุคลิกลักษณะของพวกเขา ว่านั่นทำให้เกิดความอัปยศต่อเกียรติยศของพวกเขา และสร้างความเสียหายสูงสุดต่อสถานะของพวกเขา พวกเขาไม่เคยมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเนื่องจากเรื่องนี้ เพื่อที่จะอธิษฐานและแสวงหาหรือระลึกได้ถึงความผิดพลาดทั้งหลายของพวกเขา อีกทั้งพวกเขาไม่เคยมีท่าทีแห่งการกลับใจใหม่และการยอมรับรู้ถึงความผิดพลาดของพวกเขา หรือมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่อยอมรับข้อเท็จจริงนี้เลย—และหากพวกเขาจะมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐานเกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาก็คงจะทำเช่นนั้นโดยขัดต่อเจตจำนงของพวกเขาและด้วยความคับข้องใจ ซึ่งพวกเขาจะแสดงออกต่อพระเจ้าเพื่อที่พระองค์จะได้ทรงจัดการแก้ไขความคับข้องใจเหล่านั้นให้ถูกต้อง พวกเขาต้องการให้พระเจ้าทรงให้ความกระจ่างกับสิ่งที่ได้เกิดขึ้น ให้ทรงพิพากษาว่าใครทำถูกต้องและใครกันแน่ทำผิดกันแน่ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ เพราะเรื่องนี้ พวกเขาถึงขั้นกังขาหรือไม่ยอมรับความชอบธรรมของพระเจ้า พวกเขากังขาและไม่ยอมรับข้อเท็จจริงที่ว่า ความจริงและพระเจ้าครองราชย์สูงสุดในพระนิเวศของพระเจ้าและในคริสตจักร นี่คือผลลัพธ์สุดท้ายเมื่อพวกศัตรูของพระคริสต์ถูกจัดการและตัดแต่ง พวกเขาก็แค่ไม่ยอมรับความจริงเอาเสียเลย

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (3)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ไม่สำคัญว่ารูปการณ์แวดล้อมของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ศัตรูของพระคริสต์รู้สึกอยู่เสมอว่า บุคคลธรรมดาคนนี้ซึ่งเป็นเนื้อหนังที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าเกินความจำเป็นสำหรับพวกเขา เป็นอุปสรรคกีดขวางอย่างหนึ่งต่อการที่พวกเขาจะรู้จักพระเจ้า พวกเขาคิดกับตัวเองว่า “ทันทีที่มนุษย์มาติดต่อกับพระคริสต์ พระองค์ทรงฉีกหน้าพวกเรากับการที่ไม่มีนัยสำคัญยิ่งนักและเสื่อมทรามยิ่งนักเมื่อเปรียบเทียบกัน ตราบเท่าที่พวกเราไม่มาติดต่อกับพระคริสต์ พวกเราบริสุทธิ์ยิ่งนัก แต่ทันทีที่พวกเรามาติดต่อกับพระคริสต์ พวกเราก็รู้สึกว่าตัวเองขาดพร่องยิ่งนัก ก่อนที่จะพบกับพระคริสต์ พวกเราเข้าใจมากมายหลายสิ่งที่ดีๆ และวุฒิภาวะของพวกเราก็ดีเยี่ยม พระคริสต์องค์นี้เป็นความเดือดร้อนมากเกินไปจริงๆ” เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเขาจึงเชื่อว่า เพียงแค่อ่าน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เมื่อพวกเขามีเวลาอยู่ในมือ ก็ย่อมจะเป็นการดีที่สุด ไม่ว่าพวกเขาจะนำวิถีทางใดมาใช้ หรือสถานการณ์ของพวกเขาจะเป็นอย่างไร การสำแดงหลักของศัตรูของพระคริสต์ก็คือ พวกเขาลองพยายามที่จะปฏิเสธข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าและข้อเท็จจริงที่ว่าพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระคริสต์คือความจริง นั่นราวกับเป็นการปฏิเสธแก่นแท้ของพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และข้อเท็จจริงที่ว่าพระวจนะจากพระโอษฐ์ของพระคริสต์คือความจริงนั้นให้ความหวังที่จะได้รับความรอดแก่พวกเขา ในธรรมชาติที่มีมาแต่กำเนิดของพวกเขา ศัตรูของพระคริสต์และเนื้อหนังที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้านั้น โดยพื้นฐานเบื้องต้นแล้ว เข้ากันไม่ได้ดุจไฟกับน้ำ และไม่อาจปรับให้เข้ากันได้เลย สิ่งที่ศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้เชื่อก็คือ “ตราบเท่าที่พระคริสต์ทรงดำรงอยู่ต่อไป ย่อมจะไม่มีความหวังอันใดเลยที่วันของฉันจะมาถึง และฉันย่อมจะอยู่ในอันตรายจากการถูกกล่าวโทษและกำจัดทิ้ง จากการถูกทำลายและลงโทษ แต่ตราบเท่าที่พระคริสต์องค์นี้ไม่เปล่งถ้อยดำรัสหรือทรงพระราชกิจของพระองค์และผู้คนไม่เชิดชูบูชาพระองค์ จนถึงจุดที่ลืมพระองค์และเก็บซุกพระองค์ไปไว้ด้านหลังจิตใจของพวกเขา เมื่อนั้นย่อมจะมีโอกาสสำหรับฉัน” ธรรมชาติและแก่นแท้ของศัตรูของพระคริสต์ก็คือ พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเกลียดและชิงชังพระคริสต์ พวกเขาเปรียบเทียบตัวเองกับพระคริสต์ในเรื่องขนาดของความสามารถพิเศษของพวกเขาและระดับทักษะของพวกเขา และแก่งแย่งชิงดีกับพระองค์เพื่อจะดูว่าคำพูดของใครทรงพลังอำนาจมากกว่ากันและใครมีความสามารถมากกว่ากัน ในการทำสิ่งเดียวกันกับพระคริสต์ พวกเขาลองพยายามที่จะแสดงให้ผู้คนเห็นว่า แม้จะเหมือนกันกับมนุษย์ พระคริสต์ก็ไม่ทรงมีแม้แต่ความสามารถพิเศษหรือการเรียนรู้ของมนุษย์ธรรมดาเสียด้วยซ้ำ พวกศัตรูของพระคริสต์ตั้งตนต้านพระคริสต์และแข่งขันกับพระองค์ด้วยประการทั้งปวง พวกเขาลองพยายามด้วยประการทั้งปวงที่จะปฏิเสธข้อเท็จจริงที่ว่า พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้า ร่างจำแลงแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า และการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของความจริง พวกเขากรำสมองในการค้นหาหนทางที่จะหยุดยั้งพระคริสต์ไม่ให้ทรงมีอิทธิพลควบคุมท่ามกลางพี่น้องชายหญิง เพื่อกันมิให้พระวจนะของพระองค์เกิดดอกผลท่ามกลางพวกเขา และยิ่งไปกว่านั้น เพื่อกันมิให้สิ่งที่พระคริสต์ทรงทำ พระวจนะที่พระองค์ตรัส และข้อเรียกร้องที่พระองค์ทรงทำต่อผู้คนและความคาดหวังที่พระองค์ทรงมีต่อพวกเขาเป็นจริงขึ้นท่ามกลางพวกเขา นั่นราวกับว่า ด้วยการที่พระคริสต์ทรงสถิตอยู่ด้วย ศัตรูของพระคริสต์เหล่านี้จะถูกปัดทิ้งและจะกลายเป็นผู้คนที่มีบางอย่างเหมือนกันกลุ่มนั้นภายในคริสตจักรซึ่งถูกกล่าวโทษ ละทิ้ง และวางไว้ในมุมมืด จากการสำแดงทุกประเภท สามารถเห็นได้ว่าศัตรูของพระคริสต์มีแก่นแท้อันไม่เป็นมิตรกับพระคริสต์อย่างที่สุดจนถึงขั้นที่พวกเขาไม่อาจปรับให้เข้ากันได้เลย ศัตรูของพระคริสต์เกิดมาด้วยความอยากที่จะแยกตัวเองจากพระคริสต์และยืนต้านพระองค์ ที่จะทำให้พระคริสต์ทรงปราชัยและซัดโทษใส่พระองค์ ที่จะทำให้พระราชกิจที่พระคริสต์ทรงทำยุติการดำรงอยู่ กลายเป็นไม่อาจธำรงคงไว้ได้ และไร้ความสามารถที่จะมาสู่การให้ดอกผลท่ามกลางผู้ที่พระเจ้าทรงเลือกสรร ไม่สำคัญว่าพระคริสต์กำลังทรงพระราชกิจใด และพระองค์กำลังทรงพระราชกิจอยู่แห่งหนใด พวกเขาปรารถนาที่จะเห็นพระราชกิจนั้นพังทลายอย่างถึงที่สุดและปราศจากดอกผล แต่เมื่อไม่มีสิ่งใดเลยจากการนี้เป็นไปตามที่พวกเขาจะปรารถนา ในหัวใจของพวกเขาก็มีความมืดมิดและความเศร้าหมอง พวกเขารู้สึกว่าเหล่านี้คือเวลาอันมืดมิดและวันของพวกเขาจะไม่มีวันมาถึง พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาได้ถูกปัดทิ้งไปแล้ว การสำแดงเหล่านี้ของศัตรูของพระคริสต์แสดงให้เห็นหรือไม่ว่า แก่นแท้แห่งการต่อต้านและความเป็นศัตรูต่อพระเจ้าของพวกเขาคือบางสิ่งที่สั่งสมมา? (ไม่) ในกรณีนั้น นั่นเป็นมาโดยธรรมชาติ เพราะฉะนั้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนซึ่งเป็นศัตรูของพระคริสต์จะยอมรับความจริง ที่จะทนยอมรับพระคริสต์ เมื่อมองจากภายนอก ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้พูดหรือทำอะไรเลย และพวกเขาก็สามารถช่วยเท่าที่จะทำได้และยอมลงทุนลำบากในลักษณะที่ติดดินได้เช่นกัน แต่ทันทีที่พวกเขาได้โอกาส ทันทีที่เวลานั้นสุกงอม ฉากเหตุการณ์ของความเข้ากันไม่ได้โดยพื้นฐานของศัตรูของพระคริสต์กับพระคริสต์ก็จะเริ่มปรากฏ และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสงครามที่ศัตรูของพระคริสต์ทำกับพระเจ้า และความแตกแยกกับพระเจ้าของพวกเขาก็จะกลายเป็นมองเห็นได้ตรงๆ สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้เกิดขึ้นก่อนแล้วในสถานที่ทั้งหลายที่มีศัตรูของพระคริสต์อยู่ และได้กลายเป็นมีจำนวนมากมายเป็นพิเศษในระหว่างหลายปีมานี้ของพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ผู้คนมากมายได้รับประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้ไปแล้วโดยตรง

ตัดตอนมาจาก “พวกเขารังเกียจความจริง ล่วงละเมิดหลักธรรมอย่างโจ่งแจ้ง และไม่คำนึงถึงการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (4)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

การที่พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า โดยหลักแล้วเป็นเพราะพวกเขาก็ปรารถนาที่จะเป็นพระเจ้าด้วยเช่นกัน คำพูดของเปาโลเป็นคำพูดที่โปรดปรานเฉพาะของพวกเขา กล่าวคือ “สำหรับฉันแล้วการดำรงชีวิตอยู่คือพระคริสต์ สำหรับฉันแล้วการดำรงชีวิตอยู่คือพระเจ้า ด้วยชีวิตแห่งพระเจ้าฉันคือพระเจ้า” พวกเขาเชื่อว่า หากทรรศนะนี้เป็นจริง พวกเขาก็มีความหวังในการกลายเป็นพระเจ้า ในการครองราชย์เป็นกษัตริย์ และในการใช้การควบคุมเหนือผู้คน หากทรรศนะนี้ไม่เป็นจริง เช่นนั้นแล้วความหวังของพวกเขาในการครองราชย์เป็นกษัตริย์และการกลายเป็นพระเจ้าก็พังทลายลง สรุปสั้นๆ ก็คือ ซาตานต้องการเสมอที่จะอยู่ในสภาวะที่มีโอกาสเท่าเทียมกันกับพระเจ้า—และพวกศัตรูของพระคริสต์ก็เช่นกัน กล่าวคือ พวกเขาก็ครองแก่นแท้นี้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ในบรรดาผู้ที่ติดตามพระเจ้า มีผู้คนที่ยกย่องพระเจ้าและให้การเป็นพยานต่อพระองค์เป็นนิตย์ เป็นพยานต่อพระราชกิจของพระองค์และต่อผลที่การพิพากษาและการตีสอนของพระวจนะของพระองค์มีในมนุษย์ พวกเขาสรรเสริญพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงทำเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด และพวกเขายังสรรเสริญราคาที่พระเจ้าทรงจ่ายด้วยเช่นกัน พวกศัตรูของพระคริสต์ยังปรารถนาที่จะชื่นชมทั้งหมดนี้ด้วยเช่นกันหรือไม่ หรือพวกเขาไม่ปรารถนา? พวกเขาปรารถนาที่จะชื่นชมการสนับสนุน การยกยอ การยกย่อง—แม้กระทั่งการสรรเสริญจากผู้คน พวกเขาคิดหาแนวคิดที่น่าละอายอะไรอื่นได้บ้าง? พวกเขาต้องการให้ผู้คนเชื่อในพวกเขา พึ่งพาพวกเขาในทุกสรรพสิ่ง การที่ผู้คนจะพึ่งพาพระเจ้าก็ไม่เป็นไรเช่นกัน—แต่หากการพึ่งพาพวกศัตรูของพระคริสต์ของพวกเขาเป็นจริงมากขึ้นไปอีก จริงแท้มากขึ้นไปอีก ในเวลาเดียวกันกับที่พวกเขาพึ่งพาพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกศัตรูของพระคริสต์ย่อมจะพอใจเหลือเกิน หากเจ้ายังรวมความสัมฤทธิ์ผลซึ่งสมควรได้รับการยกย่องทั้งหมดของพวกศัตรูของพระคริสต์เข้าไว้ด้วยกัน และขับร้องการสรรเสริญของพวกเขาท่ามกลางพี่น้องชายหญิงของเจ้า โดยออกอากาศทุกสิ่งทุกอย่างที่พวกเขาทำไปอย่างกว้างไกล ในเวลาเดียวกันกับที่เจ้าสรรเสริญพระเจ้าและนับพระคุณที่พระเจ้าได้ทรงมอบให้เจ้า เช่นนั้นแล้วในหัวใจของพวกเขา พวกเขาย่อมจะปลาบปลื้มอย่างน่าอัศจรรย์ และพวกเขาย่อมจะรู้สึกพอใจ ด้วยเหตุนี้ หากพูดจากทัศนคติเกี่ยวกับธรรมชาติและแก่นแท้ของพวกศัตรูของพระคริสต์ เมื่อเจ้าพูดว่าพระเจ้าทรงครองสิทธิอำนาจ ว่าพระองค์ทรงชอบธรรม และว่าพระองค์ทรงสามารถช่วยผู้คนให้รอดได้ เมื่อเจ้าพูดว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงครองแก่นแท้เช่นนั้น ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงสามารถทำพระราชกิจประเภทนี้ได้ และไม่มีผู้ใดสามารถยืนหยัดแทนพระองค์หรือเป็นตัวแทนพระองค์ในการทำสิ่งเหล่านี้ได้ อีกทั้งไม่มีผู้ใดสามารถครองแก่นแท้นี้และทำสิ่งเหล่านี้ได้ กล่าวคือ เมื่อเจ้าพูดการนี้ พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับคำพูดเหล่านี้ในหัวใจของพวกเขา และไม่ยอมรับรู้คำพูดเหล่านี้ เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมรับคำพูดเหล่านี้? เพราะพวกเขามีความทะเยอทะยาน—นั่นคือด้านหนึ่งของประเด็นปัญหานี้ อีกด้านก็คือพวกเขาไม่เชื่อ อีกทั้งพวกเขาไม่ยอมรับรู้เนื้อหนังที่ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ว่าเป็นพระเจ้า เมื่อใดก็ตามที่ใครบางคนพูดว่าพระเจ้าทรงเอกลักษณ์ ว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงชอบธรรม พวกเขาใช้ข้อยกเว้นในหัวใจของพวกเขาและจะต้านทานการนั้นภายใน โดยพูดว่า “ผิดแล้ว—ฉันก็ชอบธรรมเช่นกัน!” เมื่อเจ้าพูดว่ามีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงบริสุทธิ์ พวกเขาก็จะพูดว่า “ผิดแล้ว—ฉันก็บริสุทธิ์เช่นกัน!” เปาโลคือตัวอย่างของการนี้ กล่าวคือ เมื่อผู้คนเผยแผ่พระวจนะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า โดยพูดว่าองค์พระเยซูคริสต์เจ้าได้ทรงมอบพระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์เพื่อมวลมนุษย์ ว่าพระองค์ได้ทรงรับใช้ในฐานะเครื่องบูชาลบล้างบาป และได้ทรงช่วยมวลมนุษย์ทั้งปวงให้รอด และได้ทรงไถ่มวลมนุษย์ทั้งปวงจากบาป—เปาโลรู้สึกอย่างไรเมื่อได้ยินการนี้? เขาได้ยอมรับรู้หรือไม่ว่าทั้งหมดนี้คือพระราชกิจของพระเจ้า? เขาได้ยอมรับรู้หรือไม่ว่า องค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสามารถทำทั้งหมดนี้ได้คือพระคริสต์ และว่ามีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่ทรงสามารถทำทั้งหมดนั้นได้? แล้วเขาได้ยอมรับรู้หรือไม่ว่า มีเพียงองค์หนึ่งเดียวผู้ทรงสามารถทำทั้งหมดนี้ได้เท่านั้นที่ทรงสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้? เขาไม่ได้ยอมรับรู้ เขาพูดว่า “หากพระเยซูทรงถูกตรึงกางเขนได้ เช่นนั้นแล้วผู้คนก็ถูกตรึงกางเขนได้เช่นกัน! หากพระองค์ทรงมอบพระโลหิตอันล้ำค่าของพระองค์ได้ เช่นนั้นแล้วผู้คนก็สามารถทำอย่างนั้นได้เช่นกัน! ซึ่งนอกไปจากนั้นแล้ว ฉันก็สามารถประกาศหนทางได้เช่นกัน และฉันมีความรู้มากกว่าพระองค์ และฉันสามารถสู้ทนความทุกข์ได้! หากท่านพูดว่าพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ เช่นนั้นแล้วฉันไม่ควรได้รับการเรียกขานว่าพระคริสต์ด้วยหรอกหรือ? หากท่านยกย่องพระนามอันบริสุทธิ์ของพระองค์ เช่นนั้นแล้วฉันไม่ควรได้สิทธิที่สมควรได้รับของฉันด้วยหรอกหรือ? หากพระองค์ทรงเหมาะที่จะได้รับการเรียกขานว่าพระคริสต์ หากพระองค์ทรงสามารถเป็นตัวแทนพระเจ้าได้ และหากพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพวกเราไม่เป็นเช่นนั้นด้วยหรอกหรือ? พวกเราที่มีความสามารถทนทุกข์และจ่ายราคาได้ และผู้ที่สามารถตรากตรำและทำงานเพื่อพระเจ้าได้—พวกเราไม่สามารถกลายเป็นพระคริสต์ได้ด้วยหรอกหรือ? พวกเราไม่สามารถได้รับการสรรเสริญจากพระเจ้าและได้รับการเรียกขานว่าพระคริสต์ได้ด้วยหรอกหรือ? การนี้แตกต่างจากพระคริสต์อย่างไรบ้าง?” สรุปสั้นๆ ก็คือ พวกเขาได้ล้มเหลวที่จะจับความเข้าใจความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้า และในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย พวกเขาไม่เข้าใจว่าความทรงเอกลักษณ์ของพระเจ้าคือสิ่งใด พวกเขาเชื่อว่าการเป็นพระคริสต์หรือการเป็นพระเจ้าคือบางสิ่งซึ่งคนเราทุ่มเทความพยายามมากโดยใช้จุดแข็งในความสามารถพิเศษและความสามารถ ก็เหมือนกับที่คนเราได้รับตำแหน่งสำคัญโดยผ่านทางหยาดเหงื่อและการตรากตรำ เจ้าไม่ได้รับการเรียกขานว่าพระคริสต์โดยการมีแก่นแท้ของพระคริสต์ การนั้นมาสู่บุคคลจากหยาดเหงื่อและการตรากตรำของเขาเอง และจากความสามารถของเขาเอง ผู้ใดก็ตามที่มีความสามารถพิเศษมากกว่าและมีความสามารถมากกว่า คือผู้ที่จะได้เป็นเจ้าหน้าที่ตำแหน่งใหญ่โตและมีอำนาจเด็ดขาดสุดท้าย นี่คือตรรกะของพวกเขา พวกศัตรูของพระคริสต์ไม่ยอมรับรู้พระวจนะของพระเจ้าว่าคือความจริง แก่นแท้และพระอุปนิสัยของพระเจ้าที่ถูกพูดถึงในพระวจนะของพระเจ้าไม่อาจจับใจความได้สำหรับพวกเขา พวกเขาเป็นคนธรรมดา มือสมัครเล่น ไม่รู้อะไรเลย ดังนั้นการพูดคุยของพวกเขาจึงประกอบด้วยคำพูดของมือสมัครเล่นทั้งสิ้น เป็นคำพูดที่ปราศจากความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ หากพวกเขาได้ทำงานมาเป็นเวลาสองสามปีแล้ว พวกเขาก็คิดว่าพวกเขามีความสามารถที่จะทนทุกข์และจ่ายราคาได้แล้ว ว่าพวกเขาสามารถพูดเรื่องไร้สาระได้มากมายขณะที่ประกาศ ว่าพวกเขาได้เรียนรู้วิธีแสดงบทบาทของคนหน้าซื่อใจคด และสามารถล่อลวงผู้อื่นได้ และได้รับการเห็นด้วยจากบางคนแล้ว—และดังนั้น โดยปกติแล้วพวกเขาจึงเชื่อว่าพวกเขามีความสามารถที่จะกลายเป็นพระคริสต์ ที่จะกลายเป็นพระเจ้าได้

ตัดตอนมาจาก “พวกเขารังเกียจความจริง ล่วงละเมิดหลักธรรมอย่างโจ่งแจ้ง และไม่คำนึงถึงการจัดการเตรียมการของพระนิเวศของพระเจ้า (1)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เหตุที่องค์พระเยซูเจ้าทรงสาปแช่งพวกฟาริสี และสิ่งที่เป็นแก่นแท้ของพวกฟาริสี

ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง “เวลานั้นพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ออกจากกรุงเยรูซาเล็ม มาทูลถามพระเยซูว่า...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger