สิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จหรือผู้เลี้ยงเทียมเท็จเป็น และวิธีที่จะสามารถระบุแยกแยะพวกเขาได้

วันที่ 07 เดือน 01 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

งานของผู้ทำงานที่มีคุณสมบัติสามารถนำผู้คนไปสู่หนทางที่ถูกต้อง และให้พวกเขาได้รับการเข้าสู่ความจริงที่ยิ่งใหญ่กว่า งานของเขาสามารถนำผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า นอกจากนี้ งานที่เขาทำสามารถแตกต่างออกไปตามแต่ละบุคคล และไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยกฎเกณฑ์ต่างๆ ซึ่งทำให้ผู้คนได้รับการหลุดพ้นและเสรีภาพ และความสามารถที่จะค่อยๆ เติบโตในชีวิต และที่จะมีการเข้าสู่ความจริงที่ลุ่มลึกยิ่งขึ้น ส่วนงานของผู้ทำงานที่ไม่มีคุณสมบัตินั้นไม่ถึงมาตรฐานที่ควรเป็นอย่างมาก งานของเขานั้นโง่เขลา เขาสามารถนำผู้คนมาสู่กฎเกณฑ์ต่างๆ ได้เท่านั้น และสิ่งที่เขาเรียกร้องจากผู้คนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปตามแต่ละบุคคล เขาไม่ได้ทำงานตามความจำเป็นจริงๆ ของผู้คน ในงานชนิดนี้มีกฎเกณฑ์ต่างๆ มากจนเกินไปและมีหลักทฤษฎีมากจนเกินไป และงานนี้ไม่สามารถนำผู้คนมาสู่ความเป็นจริงได้ อีกทั้งไม่สามารถนำผู้คนเข้าสู่การปฏิบัติปกติของการเติบโตในชีวิตได้ งานนี้สามารถทำได้แค่ให้ผู้คนยึดติดกับกฎเกณฑ์ไร้ค่าไม่กี่ข้อเท่านั้น การนำเช่นนั้นสามานำทางผู้คนให้หลงผิดไปเท่านั้นรถทำได้แค่นำทางผู้คนให้หลงผิดเท่านั้น เขานำทางเจ้าให้กลายเป็นเหมือนเขา เขาสามารถนำเจ้าไปสู่สิ่งที่เขามีและเป็น ในการที่ผู้ติดตามจะหยั่งรู้ได้ว่าผู้นำมีคุณสมบัติหรือไม่นั้น กุญแจสำคัญคือการดูที่เส้นทางที่พวกเขานำทางและผลลัพธ์ของการทำงานของเขา และมองเห็นว่าผู้ติดตามได้รับหลักการตามความจริงหรือไม่ และพวกเขาได้รับวิธีการปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับการแปลงสภาพของพวกเขาหรือไม่ เจ้าควรจำแนกความแตกต่างระหว่างงานที่แตกต่างกันของผู้คนชนิดที่แตกต่างกัน เจ้าไม่ควรเป็นผู้ติดตามที่โง่เขลา นี่ส่งผลกระทบต่อเรื่องการเข้าสู่ของผู้คน หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะจำแนกความแตกต่างว่าการเป็นผู้นำของบุคคลใดมีเส้นทางและของบุคคลใดไม่มี เจ้าจะถูกหลอกลวงได้โดยง่าย ทั้งหมดนี้มีผลโดยตรงต่อชีวิตของเจ้าเอง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

งานในจิตใจของมนุษย์นั้นง่ายเกินไปที่มนุษย์จะสัมฤทธิ์ ตัวอย่างเช่น ศิษยาภิบาลและผู้นำในโลกศาสนาอาศัยความสามารถพิเศษและตำแหน่งของพวกเขาในการทำงานของพวกเขา ผู้คนที่ติดตามพวกเขามาเป็นเวลานานจะติดเชื้อความสามารถพิเศษของพวกเขา และได้รับอิทธิพลจากบางส่วนของสิ่งที่พวกเขาเป็น พวกเขามุ่งเน้นอยู่กับความสามารถพิเศษ ความสามารถ และความรู้ของผู้คน และพวกเขาให้ความสนใจกับสิ่งเหนือธรรมชาติและหลักทฤษฎีที่ลุ่มลึกและไม่เป็นจริงมากมาย (แน่นอนว่าหลักทฤษฎีที่ลุ่มลึกเป็นสิ่งที่ไม่อาจบรรลุได้) พวกเขาไม่มุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยของผู้คน แต่มุ่งเน้นไปที่การฝึกผู้คนให้เทศนาและทำงาน พัฒนาความรู้ของผู้คน และคำสอนทางศาสนามากล้นของพวกเขา พวกเขาไม่มุ่งเน้นไปที่ว่าอุปนิสัยของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด หรือว่าผู้คนเข้าใจความจริงมากเพียงใด พวกเขาไม่สนใจที่จะไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเนื้อแท้ของผู้คน และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะพยายามที่จะรู้ถึงสภาวะที่ปกติและไม่ปกติของผู้คน พวกเขาไม่ตอบโต้มโนคติที่หลงผิดของผู้คน อีกทั้งพวกเขาไม่เผยมโนคติที่หลงผิดของพวกเขาเอง นับประสาอะไรที่พวกเขาจะตัดแต่งผู้คนเพื่อข้อบกพร่องหรือความเสื่อมทรามของพวกเขา ผู้คนส่วนใหญ่ที่ติดตามพวกเขาปรนนิบัติด้วยความสามารถพิเศษของพวกเขา และทั้งหมดที่พวกเขาปลดปล่อยออกมาคือมโนคติที่หลงผิดทางศาสนาและทฤษฎีทางเทววิทยา ซึ่งไม่สัมพันธ์กับความเป็นจริงและไร้ความสามารถที่จะให้ชีวิตกับผู้คนได้โดยสิ้นเชิง อันที่จริงแล้ว เนื้อแท้ของงานของพวกเขาคือการบ่มพรสวรรค์ เลี้ยงดูผู้คนที่ไม่มีสิ่งใดให้กลายเป็นบัณฑิตทางศาสนาที่มีพรสวรรค์ ซึ่งในภายหลังก็ไปทำงานและเป็นผู้นำต่อไป

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้าและงานของมนุษย์

ในฐานะผู้นำและคนทำงานในคริสตจักร หากเจ้าต้องการที่จะนำทางประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรเข้าไปสู่ความเป็นจริงแห่งความจริง และที่จะรับใช้ในฐานะพยานของพระเจ้า สำคัญที่สุดก็คือ เจ้าต้องมีความเข้าใจที่ลึกขึ้นเกี่ยวกับจุดมุ่งหมายของพระเจ้าในการช่วยผู้คนให้รอดและจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระองค์ เจ้าต้องเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าและข้อพึงประสงค์อันหลากหลายของพระองค์ที่มีต่อผู้คน เจ้าต้องมีความพยายามที่สัมพันธ์กับชีวิตจริง ฝึกฝนปฏิบัติให้มากเฉพาะเท่าที่เจ้าเข้าใจและสื่อสารเฉพาะสิ่งที่เจ้ารู้ จงอย่าอวดตัว อย่าฟุ้งเฟ้อ และอย่าให้ข้อคิดแบบขาดความรับผิดชอบ หากเจ้าพูดเกินจริง ผู้คนก็จะรังเกียจเจ้า และเจ้าจะรู้สึกถูกตำหนิหลังจากนั้น นี่ก็แค่เป็นการไม่เหมาะสมเกินไป เมื่อเจ้าจัดเตรียมความจริงแก่ผู้อื่น เจ้าไม่จำเป็นต้องจัดการพวกเขาและดุว่าพวกเขาเพื่อให้พวกเขาบรรลุความจริง หากตัวเจ้าเองไม่มีความจริงและเพียงจัดการและดุว่าผู้อื่นเท่านั้น พวกเขาก็จะเกรงกลัวเจ้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาเข้าใจความจริง ในงานด้านการบริหารบางอย่าง ไม่เป็นไรเลยที่เจ้าจะจัดการและตัดแต่งผู้อื่นและบ่มวินัยพวกเขาจนถึงระดับเฉพาะหนึ่ง แต่ถ้าหากเจ้าไม่สามารถจัดเตรียมความจริงและรู้เพียงวิธีที่จะยกตนข่มท่านและก่นด่าผู้อื่น ความเสื่อมทรามและความอัปลักษณ์ของเจ้าก็จะถูกเปิดเผย ด้วยการเคลื่อนผ่านของกาลเวลา ในขณะที่ผู้คนไม่มีความสามารถที่จะได้มาซึ่งการจัดเตรียมแห่งชีวิตหรือสิ่งทั้งหลายที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงจากเจ้า พวกเขาจะมารังเกียจเจ้าและรู้สึกขยะแขยงเจ้า พวกที่ขาดพร่องวิจารณญาณจะเรียนรู้สิ่งทั้งหลายที่เป็นลบจากเจ้า พวกเขาจะเรียนรู้ที่จะจัดการและตัดแต่งผู้อื่น เรียนรู้ที่จะเกิดโมโหขึ้นมา และเรียนรู้ที่จะคุมอารมณ์ของพวกเขาไม่อยู่ นั่นไม่ได้เทียบเท่ากับการนำทางผู้อื่นขึ้นไปบนเส้นทางของเปาโล ขึ้นไปสู่เส้นทางที่ตรงไปยังความพินาศหรอกหรือ? นั่นไม่ใช่การทำชั่วหรอกหรือ? งานของเจ้าควรมุ่งเน้นที่การสื่อสารความจริงและการจัดเตรียมชีวิตให้ผู้อื่น หากทั้งหมดที่เจ้าทำคือจัดการและอบรมสั่งสอนผู้อื่นไปอย่างมืดบอด แล้วพวกเขาจะมีวันเข้าใจความจริงได้อย่างไรเล่า? เมื่อเวลาผ่านไป ผู้คนจะเห็นว่าจริงๆ แล้วเจ้าเป็นใคร และพวกเขาก็จะทอดทิ้งเจ้า เจ้าสามารถคาดหวังที่จะนำพาผู้อื่นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าในหนทางนี้ได้อย่างไรกัน? นี่เป็นการทำงานได้อย่างไรกัน? เจ้าจะสูญเสียทุกคนไป หากเจ้ายังคงทำงานในหนทางนี้ต่อไป งานอะไรหรือที่เจ้าหวังจะทำให้สำเร็จลุล่วงไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม? ผู้นำบางคนไม่สามารถสื่อสารความจริงเพื่อที่จะแก้ไขปัญหา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขาก็แค่จัดการกับผู้อื่นไปอย่างมืดบอดและโบกโบยพลังอำนาจของพวกเขาเพื่อให้ผู้อื่นมาเกรงกลัวพวกเขาและเชื่อฟังพวกเขา—ผู้คนเช่นนั้นเป็นพวกผู้นำเท็จและพวกศัตรูของพระคริสต์ พวกเหล่านั้นที่มีอุปนิสัยซึ่งยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไม่สามารถปฏิบัติงานของคริสตจักรได้ และไร้ความสามารถที่จะรับใช้พระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “มีเพียงบรรดาผู้ที่มีความจริงความเป็นจริงเท่านั้นที่สามารถนำทางได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ลับหลังเรานั้น ผู้คนมากมายละโมบในพระพรที่เกี่ยวกับสถานภาพ พวกเขาตะกละตะกลามกินอาหาร พวกเขารักที่จะนอนและมอบทุกความเอาใจใส่ให้กับเนื้อหนัง กลัวอยู่เสมอว่าจะไม่มีทางออกสำหรับเนื้อหนัง พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่อันถูกต้องเหมาะสมของตนในคริสตจักร แต่กลับเอาเปรียบคริสตจักรหรือไม่ พวกเขาก็จะตักเตือนบรรดาพี่น้องชายหญิงด้วยวจนะของเรา ตั้งตัวเองเป็นนายเหนือผู้อื่นจากตำแหน่งตามสิทธิอำนาจ ผู้คนเหล่านี้เอาแต่พูดว่าพวกเขากำลังทำตามน้ำพระทัยพระเจ้าและพูดเสมอว่าพวกเขาเป็นคนสนิทของพระเจ้า—เรื่องนี้ไม่ไร้สาระหรอกหรือ? หากเจ้ามีเจตนาที่เหมาะสม แต่ไม่สามารถรับใช้โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยพระเจ้าได้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็โง่เขลา แต่หากเจตนาของเจ้านั้นไม่ถูก และเจ้ายังคงพูดว่าเจ้ารับใช้พระเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นใครบางคนที่ต่อต้านพระเจ้า และเจ้าสมควรที่จะถูกพระเจ้าลงโทษ! เราไม่มีความเห็นใจให้กับผู้คนเช่นนั้น! ในพระนิเวศของพระเจ้า พวกเขาเอาเปรียบ ละโมบในสิ่งชูใจของเนื้อหนังอยู่ตลอดเวลา และไม่คำนึงต่อความสนใจของพระเจ้า พวกเขาแสวงหาสิ่งที่ดีสำหรับตนเสมอ และพวกเขาไม่ใส่ใจในน้ำพระทัยพระเจ้าเลย พวกเขาไม่ยอมรับการพินิจพิเคราะห์ของพระวิญญาณของพระเจ้าในทุกสิ่งที่พวกเขาทำ พวกเขากำลังหลอกใช้และหลอกลวงบรรดาพี่น้องชายหญิงของตนเสมอ และกำลังตีสองหน้า ดังสุนัขจิ้งจอกในไร่องุ่นที่ขโมยองุ่นและเหยียบย่ำไปทั่วไร่องุ่นเสมอ ผู้คนเช่นนั้นจะเป็นคนสนิทของพระเจ้าได้หรือ? เจ้าเหมาะสมที่จะได้รับพระพรของพระเจ้าหรือ? เจ้าไม่ได้รับภาระสำหรับชีวิตของเจ้าและคริสตจักร เจ้าเหมาะสมที่จะได้รับพระบัญชาของพระเจ้าอย่างนั้นหรือ? ใครหรือจะกล้าไว้วางใจคนบางคนที่เป็นอย่างเจ้า? เมื่อเจ้ารับใช้เยี่ยงนี้ พระเจ้าจะทรงกล้าไว้วางใจเจ้ากับกิจอันยิ่งใหญ่กว่านี้หรือ? นี่จะไม่ทำให้เกิดความล่าช้าต่อพระราชกิจหรอกหรือ?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, วิธีรับใช้โดยกลมเกลียวไปกับน้ำพระทัยพระเจ้า

หากคนที่ทำหน้าที่ผู้นำ ครองความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและขีดความสามารถที่จะเข้าใจความจริง เช่นนั้นแล้ว ไม่เพียงแต่ตัวพวกเขาเองจะสามารถเข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระองค์ได้เท่านั้น พวกเขายังมีความสามารถที่จะแนะ ที่จะนำ และช่วยผู้ที่พวกเขานำทางให้เข้าใจพระวจนะของพระเจ้าและเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้าด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ขีดความสามารถเช่นนี้นี่เองคือสิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จขาดพร่อง พวกเขาไม่เข้าใจพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาไม่รู้ว่าพระวจนะของพระเจ้าอ้างอิงถึงสภาวะใด สภาวะใดที่พวกเขาจะแสดงให้เห็นว่าเป็นสภาวะให้ผู้คนใช้เปิดเผยอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตน หรือเป็นสภาวะที่ให้กำเนิดการต่อต้านพระเจ้าและความคับข้องใจในพระเจ้า หรือแรงจูงใจของมนุษย์ และอื่นๆ พวกเขาไม่สามารถใช้พระวจนะของพระเจ้าประเมินวัดสิ่งทั้งหลาย และเพียงแค่จับใจความคำพูด กฎเกณฑ์ และวลีติดปากไม่กี่อย่างในพระวจนะของพระองค์ได้ในระดับที่ผิวเผินเท่านั้น เมื่อสามัคคีธรรมกับผู้อื่น พวกเขาจดจำพระวจนะของพระเจ้ามาบทตอนหนึ่ง แล้วก็อธิบายความหมายในระดับที่ผิวเผินของพระวจนะเหล่านั้น ความเข้าใจ ความรู้ และการยอมรับพระวจนะของพระเจ้าของบรรดาผู้นำเทียมเท็จมีจำกัดอยู่เพียงนี้เท่านั้น พวกเขาขาดพร่องความสามารถที่จะเข้าใจพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาเพียงเข้าใจการใช้คำและความลึกซึ้งของความหมายของพระวจนะเหล่านี้ในระดับที่เป็นที่ประจักษ์กันโดยทั่วไปตามตัวอักษรเท่านั้น—และผลที่ตามมาคือ พวกเขาคิดว่าพวกเขาได้เข้าใจและจับใจความพระวจนะของพระองค์แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงใช้ความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระเจ้าเพื่อตักเตือนและ “ช่วยเหลือ” ผู้อื่นในชีวิตประจำวันด้วยเช่นกัน โดยเชื่อว่าในการทำเช่นนี้ พวกเขากำลังทำงานของพวกเขา ว่าพวกเขากำลังนำผู้คนในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและในการเข้าสู่ความเป็นจริงแห่งพระวจนะของพระเจ้า บรรดาผู้นำเทียมเท็จสามัคคีธรรมถึงพระวจนะของพระเจ้ากับผู้อื่นอยู่บ่อยๆ และสื่อพระวจนะของพระเจ้ากับพวกเขาในหนทางที่หลากหลาย โดยบอกพวกเขาให้กินและดื่มพระวจนะบทตอนนี้ของพระเจ้าเมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหาบางอย่าง และพระวจนะของพระเจ้าบทตอนนั้นเมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหาอีกอย่าง เมื่อการเข้าใจผิดเกี่ยวกับพระเจ้าเกิดขึ้นในหมู่ผู้คน พวกเขาก็พูดว่า “ดูสิ พระวจนะของพระเจ้าเกี่ยวกับการนี้ชัดเจนและเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์แบบ คุณยังคงเข้าใจพระเจ้าผิดได้อย่างไรกัน? พระวจนะของพระเจ้าไม่ได้ขอให้พวกเรายึดปฏิบัติตามสิ่งนี้ๆ หรอกหรือ และพระวจนะไม่ได้ขอให้พวกเราปฏิบัติตามบุคคลนี้ๆ หรอกหรือ?” พวกเขาสอนวิธีเข้าใจและเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้าให้แก่ผู้คนในลักษณะนี้ ภายใต้การนำของพวกเขา ผู้คนมากมายกลายเป็นสามารถท่องพระวจนะของพระเจ้าได้ และมีความสามารถที่จะหวนคิดถึงพระวจนะบางอย่างของพระเจ้าเมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา แต่ไม่ว่าพวกเขาจะอ่านและท่องมากเพียงใด พวกเขาก็ยังคงไม่รู้เท่าทันว่าพระวจนะของพระเจ้าอ้างอิงถึงสิ่งใด เมื่อพวกเขาถูกความทุกข์ยากรุมเร้าอย่างจริงแท้ หรือมีความกังขาบางอย่าง พระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขารู้จักและจำได้จึงไม่สามารถแก้ไขความลำบากยากเย็นของพวกเขา การนี้แสดงให้เห็นปัญหาอย่างหนึ่ง กล่าวคือ พระวจนะของพระเจ้าที่พวกเขาเข้าใจเป็นเพียงคำสอนเท่านั้น ไม่ใช่สิ่งใดเลยนอกจากกฎเกณฑ์ประเภทหนึ่ง พระวจนะที่พวกเขาเข้าใจไม่ใช่ความเป็นจริง และไม่ใช่ความจริง ด้วยเหตุนี้ การนำผู้คนของบรรดาผู้นำเทียมเท็จในการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าและในการเข้าสู่ความเป็นจริงของพระวจนะของพระเจ้า จึงจำกัดอยู่แค่การสอนความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระองค์ให้แก่พวกเขา การนำเช่นนี้ไม่สามารถเปิดโอกาสให้พวกเขาสัมฤทธิ์ความรู้แจ้งจากพระวจะของพระองค์ได้ และไม่สามารถทำให้พวกเขารู้ได้ว่ามีอุปนิสัยอันเสื่อมทรามแบบใดอยู่ภายในตัวพวกเขา ไม่สามารถทำให้รู้จักอุปนิสัยและแก่นแท้ซึ่งถูกเปิดเผยในตัวผู้คนในแต่ละครั้งที่บางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา และวิธีที่อุปนิสัยและแก่นแท้เหล่านั้นสามารถได้รับการแก้ไขโดยใช้พระวจนะของพระเจ้า และรู้ว่าสภาวะของผู้คนเป็นเช่นไรในแต่ละครั้งที่บางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเขา และวิธีที่สภาวะเช่นนั้นสามารถได้รับการแก้ไขได้ และพระวจนะใดของพระเจ้าที่พูดเกี่ยวกับการนี้ พระวจนะของพระองค์พึงประสงค์สิ่งใด หลักธรรมคือสิ่งใด และความจริงคือสิ่งใดในที่นั้น—พวกเขาไม่เข้าใจการนี้เลย ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือเตือนสติผู้คนว่า “จงกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้ามากขึ้น พระวจนะของพระเจ้าบรรจุความจริงเอาไว้ และหากคุณฟังพระวจนะของพระองค์มากขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปคุณจะเข้าใจความจริง ส่วนที่สำคัญของพระวจนะของพระเจ้าก็คือส่วนที่คุณไม่เข้าใจนั่นเอง ดังนั้นคุณควรอธิษฐานมากขึ้น ตรวจค้นมากขึ้น ฟังมากขึ้น และใคร่ครวญมากขึ้น” ผู้นำเทียมเท็จย่อมกล่าวคำเตือนสติเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ในแต่ละครั้งที่ปัญหาประเภทหนึ่งเกิดขึ้น พวกเขาจะพูดสิ่งเดียวกัน และหลังจากนั้นผู้คนก็ยังคงไม่ระลึกรู้แก่นแท้ของปัญหานั้น และยังคงไม่รู้วิธีปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาเพียงแค่ยึดปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และความหมายตามตัวอักษรของพระวจนะของพระองค์ แต่เมื่อมาถึงเรื่องของความจริงหลักธรรมแห่งการปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าและความเป็นจริงซึ่งความจริงเรียกร้อง พวกเขาไม่เข้าใจ

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (1)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

บรรดาผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถจับความเข้าใจแก่นแท้ของสภาวะและการสำแดงอันหลากหลายที่แสดงให้เห็นในผู้คนต่างประเภทกันในสถานการณ์ที่แตกต่างกันได้เลย อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาซึ่งเกิดจากการนี้เป็นอันขาด เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริง พวกเขาจึงระบุแยกแยะผู้คนไม่ถูกต้องและแปรพักตร์ เที่ยวมองผู้ที่อ่อนแอชั่วขณะหรือคิดลบเป็นครั้งคราวว่าเป็นคนหักหลัง เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ของตนอย่างไม่จริงใจ และเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ ขณะเดียวกันผู้ปราศจากความเชื่อซึ่งเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เพียงผิวเผิน สามารถทำงานเล็กน้อยที่เรียบง่ายได้ และสามารถที่จะมานะพยายามได้เล็กน้อยเหล่านั้น กลับเป็นผู้ที่พวกเขาให้การสนับสนุนอันยิ่งใหญ่และพยายามที่จะรักษาไว้ในคริสตจักร นี่ไม่ใช่การแปรพักตร์หรอกหรือ? และการที่ผู้นำเทียมเท็จแปรพักตร์เกิดขึ้นอย่างไร? พวกเขาขาดพร่องพลังอำนาจที่จะจับใจความพระวจนะของพระเจ้าและไม่เข้าใจความจริง ดังนั้นเมื่อสิ่งต่างๆ บังเกิดกับพวกเขา พวกเขาก็นำเอาความจริงส่วนที่เล็กน้อยและตื้นเขินอย่างที่สุดซึ่งพวกเขาเข้าใจนั้นมาใช้ และขณะที่พวกเขาพยายามนำความจริงส่วนนั้นมาใช้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งหมดที่พวกเขาทำในท้ายที่สุดก็คือก่อให้เกิดการหยุดชะงักและการรบกวน หลายครั้งหลายคราว พวกเขาไม่เพียงไม่แก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้คนในการเข้าสู่ชีวิตเท่านั้น แต่ยังล้มเหลวที่จะยกผู้คนขึ้นจากความอ่อนแอไปสู่เรี่ยวแรงด้วย และกลับเป็นเหตุให้บางคนที่ได้ครองความเชื่อที่แท้จริงและความเชื่อมั่นที่จะสละเพื่อพระเจ้า กลายเป็นอ่อนแอและตีความพระองค์ผิดแทน ในขณะที่ผู้ปราศจากความเชื่อซึ่งไม่มีความปรารถนาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในพระนิเวศของพระเจ้านั้น เข้าใจพระนิเวศของพระเจ้าผิดว่ากำลังฉวยโอกาสจากพวกเขาและบีบบังคับให้พวกเขาทำการปรนนิบัติ ราวกับว่าไม่มีผู้ใดเลยที่มีความสามารถพิเศษในพระนิเวศของพระเจ้า และเป็นไปไม่ได้ที่จะค้นพบผู้ที่เหมาะสม เช่นนั้นคือผลข้างเคียงจากงานของบรรดาผู้นำเทียมเท็จ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างไร? การนี้เกิดขึ้นเพราะพวกเขาไม่สามารถจับใจความความจริง และจำได้เพียงพระวจนะและวลีที่เงียบขรึมเท่านั้น ตัวพวกเขาเองไม่มีประสบการณ์ ความรู้ หรือความซึ้งคุณค่าที่แท้จริงเกี่ยวกับความจริง และในท้ายที่สุดแล้ว เมื่อพวกเขาเผชิญปัญหา พวกเขาย่อมมีความสามารถเพียงแค่พูดตามพระวจนะไม่กี่คำ กล่าวคือ “จงรักพระเจ้า ซื่อสัตย์ เชื่อฟัง และนบนอบเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับเจ้า จงทำตัวดีในการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า เจ้าต้องมีความจงรักภักดี เจ้าต้องปล่อยวางเนื้อหนัง เจ้าต้องสละตัวเจ้าเองเพื่อพระเจ้า!” พวกเขาใช้วลีติดปากที่ว่างเปล่าเช่นนั้นเพื่อทำให้ชีวิตของพวกเขาเองมั่งคั่งยิ่งขึ้น—โดยหวังที่จะมีอิทธิพลเหนือผู้อื่นไปด้วย แต่การนี้มีผลอันใดเล่า? ไม่มีสิ่งใดถูกเปลี่ยนแปลงเลย ด้วยเหตุนี้ บรรดาผู้นำเทียมเท็จจึงไม่สามารถประสบความสำเร็จเมื่อมาถึงเรื่องของการแก้ไขความลำบากยากเย็นของผู้คนในการเข้าสู่ชีวิต พวกเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหานับไม่ถ้วนที่ผู้คนเผชิญได้

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (1)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

พวกผู้นำเทียมเท็จพูดอยู่บ่อยครั้งถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งดูภายนอกแล้วเหมือนถูกต้อง เพื่อที่จะทำให้ผู้คนงุนงงสับสนและชักนำพวกเขาไปในทางที่ผิด ซึ่งผลที่ตามมาก็คือเกิดผลกระทบด้านลบต่อการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนเหล่านั้น นี่ยังนำไปสู่ผลสืบเนื่องบางอย่างที่ไม่ควรเกิดขึ้นเลยด้วยเช่นกัน สิ่งที่เรียกกันว่าภาษิตและการใช้คำฝ่ายจิตวิญญาณของพวกผู้นำเทียมเท็จ อาจเรียกได้ว่าเป็นความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติ โดยผิวเผินแล้วสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ฟังดูเหมือนมีอะไรผิดไปเลย แต่อันที่จริงสิ่งเหล่านั้นกลับทำหน้าที่เป็นอุปสรรคกีดขวาง การหยุดชะงัก และความงุนงงสับสนในการเข้าสู่ชีวิตของผู้คนและบนเส้นทางที่พวกเขาเดิน สิ่งเหล่านั้นถึงกับเป็นเหตุให้ผู้คนบางคนพัฒนาความเข้าใจผิดในพระเจ้า และก่อรูปความกังขาและการต้านทานพระวจนะของพระเจ้า เหล่านี้คือผลที่คำพูดของผู้นำเทียมเท็จมีต่อผู้คน พวกผู้นำเทียมเท็จใช้ความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเช่นนั้นนำผู้อื่น เพื่อที่ ณ เวลาที่ผู้คนเหล่านี้กำลังติดตามพระเจ้า พวกเขาก็ทำให้เกิดมโนคติอันหลงผิด การแก้ต่าง และความกังขาเกี่ยวกับพระองค์อยู่เป็นนิตย์ ดังนั้น ภายใต้ความงุนงงสับสนและอิทธิพลของพวกผู้นำเทียมเท็จ ศาสนาใหม่ก็ก่อตัวขึ้น ศาสนาใหม่จำพวกนี้เป็นเหมือนกับศาสนาคริสต์เมื่อ 2,000 ปีที่แล้วซึ่งเพียงแค่ค้ำจุนคำพูดของมนุษย์และคำสอนของมนุษย์เท่านั้น อาทิ คำสอนของเปาโลหรือสาวกอื่นบางคน โดยไม่มีการปฏิบัติตามทางแห่งพระเจ้า สิ่งที่ผู้นำเทียมเท็จทำนั้นเป็นการทำให้เข้าใจผิด และพวกเขายืนขวางทางผู้คนที่ใช้เส้นทางปกติและถูกต้องเหมาะสมของการไล่ตามเสาะหาความจริง พวกเขากระชากผู้คนออกจากร่องครรลองที่ถูกต้องของการไล่ตามเสาะหาความจริง และให้ไปอยู่บนเส้นทางฝ่ายจิตวิญญาณเทียม พวกเขาพาผู้คนเข้ามาอยู่ในความเชื่อในรูปแบบของศาสนา เมื่อผู้คนงุนงงสับสน ถูกนำทาง และถูกนำโดยผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาก็คิดหาทฤษฎี ภาษิต การกระทำ หรือมุมมองซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับความจริงเลยอยู่เป็นนิตย์ แม้ว่าสิ่งเหล่านี้จะดูเหมือนถูกต้องทั้งสิ้น แต่สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ลงรอยกับความจริงอย่างที่สุด และไม่เกี่ยวข้องกับความจริงอย่างที่สุด แต่ภายใต้การนำของพวกผู้นำเทียมเท็จ ทุกคนรับเอาสิ่งเหล่านี้ว่าเป็นความจริง และพวกเขาทุกคนเชื่ออย่างผิดๆ ว่าสิ่งเหล่านี้จริงๆ แล้วคือความจริง พวกเขาคิดว่าตราบเท่าที่ใครบางคนพูดดีและมีการเชื่อในหัวใจของพวกเขาและยืนยันความเชื่อด้วยปากของพวกเขา บุคคลนั้นย่อมได้รับความจริงแล้ว เมื่อถูกความคิดและทรรศนะเหล่านี้ทำให้เข้าใจผิด ผู้คนไม่เพียงกลายเป็นไม่สามารถเข้าสู่ความจริงความเป็นจริง หรือเข้าสู่พระวจนะของพระเจ้า หรือนำพระวจนะมาปฏิบัติ หรือใช้ชีวิตภายในพระวจนะของพระองค์ได้เท่านั้น แต่กลับลงเอยด้วยการอยู่ห่างจากพระวจนะของพระเจ้าออกไปยิ่งขึ้นทุกทีแทน พวกเขาดูเหมือนว่ากำลังทำทุกสิ่งทุกอย่างตามพระวจนะของพระเจ้า แต่สิ่งที่เรียกกันว่าพระวจนะของพระเจ้านี้ไม่มีความสัมพันธ์แต่อย่างใดเลยกับข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าและน้ำพระทัยของพระองค์ สิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับความจริงหลักธรรมเลย เช่นนั้นแล้ว สิ่งเหล่านี้เกี่ยวข้องกับสิ่งใดเล่า? เกี่ยวข้องกับคำสอนของผู้นำเทียมเท็จ เจตนาของผู้นำเทียมเท็จ และความอยากได้อยากมีและความเข้าใจส่วนบุคคลของผู้นำเทียมเท็จเหล่านั้นเอง หนทางในการนำทางของพวกเขาพาผู้คนจำนวนมากขึ้นเข้ามาสู่พิธีกรรมทางศาสนาและกฎเกณฑ์ที่เข้มงวด มาสู่ตัวอักษรตามคำสอนเท่านั้น มาสู่ความรู้และปรัชญา ถึงแม้ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่พาผู้อื่นมาอยู่ต่อหน้าพวกเขาเองหรือต่อหน้าซาตาน ซึ่งตรงกันข้ามกับพวกศัตรูของพระคริสต์ แต่หัวใจของผู้คนก็กลายเป็นถูกความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้ควบคุมเช่นเดียวกัน เมื่อผู้คนซึ่งถูกความเห็นนอกรีตและเหตุผลวิบัติเหล่านี้กลืนกิน พากันเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพวกเขาได้รับชีวิตไว้แล้ว พวกเขาก็กลายเป็นศัตรูที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้กับความจริง กับพระวจนะของพระเจ้า และกับสิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (2)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

พวกผู้นำเทียมเท็จไม่สามัคคีธรรมเกี่ยวกับความจริงหลักธรรมเลย อีกทั้งพวกเขาไม่มีวันแสวงหาความจริงหลักธรรม พวกเขาไม่เข้าใจ แต่กระนั้นพวกเขาก็เสแสร้งว่าเข้าใจ ไม่จับใจความ แต่เสแสร้งว่าจับใจความ พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติงานของการเป็นผู้นำได้อย่างเป็นที่ประจักษ์ พวกเขาไม่จับความเข้าใจในเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ พวกเขาเพียงแค่เข้าใจความจริงอย่างผิวเผินเท่านั้น และพวกเขาไม่สามารถบรรลุความเข้าใจระดับสูงของความจริงหลักธรรมได้—แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังคงเสแสร้งว่าเข้าใจ พวกเขาเสแสร้งว่าจับใจความ บ่อยครั้งเวลาที่พวกเขาทำงาน พวกเขานำทางอย่างมืดบอดหรือไม่ก็เพียงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ พวกเขาปรากฏให้เห็นภายนอกว่ามีธุระยุ่ง แต่ทว่าพวกเขาไม่มีผลงานอันใดเลยที่ควรค่าแก่การพูดถึง เนื่องจากผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจความจริงหลักธรรม และเพียงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์และพึ่งพามโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการอยู่บ่อยๆ การนี้จึงนำไปสู่ความก้าวหน้าซึ่งไม่น่าพึงพอใจ และผลลัพธ์ที่ไม่มีนัยสำคัญในงานหลากหลายโครงการที่พวกเขารับผิดชอบอยู่ ผู้คนส่วนใหญ่ภายใต้การนำของพวกเขาไม่เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือความจริงหลักธรรมที่งานนั้นควรที่จะต้องเจริญรอยตาม สิ่งเดียวที่ผู้คนส่วนใหญ่ภายใต้การนำของพวกเขาเข้าใจก็คือ “พวกเราต้องใส่ใจน้ำพระทัยของพระเจ้า” “พวกเราต้องสัตย์ซื่อในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเรา” “พวกเราต้องรู้วิธีอธิษฐานเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเรา” “พวกเราต้องแสวงหาความจริงหลักธรรมเมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับพวกเรา” ผู้คนโห่ร้อง บทสวดอธิษฐานและคำสอนเหล่านี้บ่อยครั้ง แต่พวกเขาไม่มีความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงหลักธรรมแม้แต่น้อย ผู้คนมากมายอธิษฐานเมื่อเผชิญกับเหตุการณ์บางอย่าง และพยายามที่จะสัตย์ซื่อในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา—แต่พวกเขาต้องทำสิ่งใดเล่าเพื่อที่จะสัตย์ซื่อจริงๆ? พวกเขาต้องอธิษฐานอย่างไรเพื่อที่จะเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้าจริงๆ? เมื่อพวกเขาเผชิญประเด็นปัญหา พวกเขาต้องตรวจค้นอย่างไรจึงจะสัมฤทธิ์ความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงหลักธรรม? เมื่อเผชิญหน้ากับคำถามดังกล่าว พวกเขาไม่มีคำตอบเลย พวกเขาถามผู้นำ และผู้นำก็พูดว่า “เมื่อบางสิ่งเกิดขึ้นกับคุณ จงใช้เวลาให้มากขึ้นในการอ่านพระวจนะของพระเจ้า อธิษฐานให้มากขึ้น สามัคคีธรรมให้มากขึ้น และใช้อินเทอร์เน็ตเพื่อศึกษาวิจัย” พวกเขาพูดว่า “ดังนั้นแล้ว อะไรคือหลักธรรมในการนี้?” “จงหาดูทางออนไลน์ แล้วคุณจะได้พบ พระวจนะของพระเจ้าไม่กล่าวอะไรในเรื่องของงานอาชีพ และฉันก็ไม่เข้าใจเรื่องเหล่านั้นเช่นกัน หากพวกคุณปรารถนาที่จะเข้าใจ จงหาดูทางออนไลน์—อย่าถามฉัน ฉันนำทางพวกคุณในการเข้าใจความจริง ไม่ใช่ในเรื่องของงานอาชีพ” เช่นนั้นคือคำพูดแบบหลบหลีกที่ผู้นำเทียมเท็จใช้ แล้วผลลัพธ์เป็นเช่นไร? แม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่มีความปรารถนาอันแรงกล้าที่ลุกโชนในการปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา แต่พวกเขาไม่รู้วิธีปฏิบัติตนภายในหลักธรรม และพวกเขาไม่รู้วิธีปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างถูกต้องเหมาะสมภายในหลักธรรม ด้วยเหตุนี้ เมื่อตัดสินจากผลลัพธ์ของงานหลากหลายโครงการซึ่งดำเนินการโดยพวกผู้นำเทียมเท็จ ผู้คนส่วนใหญ่พึ่งพาความเชี่ยวชาญ ความรู้ทางวิชาการ และทักษะที่เรียนรู้มาก่อนหน้านั้นในการปฏิบัติงานของพวกเขา ผู้คนเหล่านี้ไม่รู้ว่าข้อพึงประสงค์จำเพาะของพระเจ้าคือสิ่งใด ไม่รู้สิ่งที่พวกเขาต้องทำเพื่อสัมฤทธิ์คำพยานต่อพระเจ้า สิ่งที่พวกเขาต้องทำเพื่อเอื้ออำนวยให้แก่งานแห่งการให้การเป็นพยานต่อพระเจ้า วิธีดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากขึ้น วิธีดึงดูดความสนใจให้มากขึ้น สิ่งที่พวกเขาต้องทำเพื่อทำให้งานอาชีพแต่ละงานยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น เป็นแบบอย่างได้มากขึ้น พิถีพิถันมากขึ้น เพื่อที่งานนั้นอาจบันดาลใจให้เกิดความเลื่อมใสและไม่นำความอับอายมาสู่พระเจ้า เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้? คำตอบนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับงานของพวกผู้นำเทียมเท็จ เหตุผลโดยตรงก็คือว่า ตัวผู้นำเทียมเท็จเองไม่รู้ว่าความจริงหลักธรรมคือสิ่งใด พวกเขาไม่รู้ว่าหลักธรรมที่ผู้คนควรเข้าใจและติดตามคือสิ่งใด ตัวพวกเขาเองไม่รู้เท่าทันในสิ่งทั้งหลายดังกล่าว อีกทั้งพวกเขาไม่เคยนำทางผู้คนในการตรวจค้นพระวจนะทั้งหลายของพระเจ้า และไม่เคยแสวงหาโดยตรงจากเบื้องบนเลย การนี้นำไปสู่สถานการณ์ที่จำเป็นต้องทำงานหลากหลายรายการซ้ำอีกครั้ง นี่ไม่เพียงทำให้ทรัพยากรที่เป็นเงินทองและวัตถุต้องสูญเปล่าเท่านั้น แต่ยังผลาญพลังงานและเวลาของมนุษย์ไปอย่างมหาศาลด้วยเช่นกัน สถานการณ์ประเภทนี้และผลที่เกิดจากงานเช่นนั้นเกี่ยวข้องโดยตรงกับงานของพวกผู้นำเทียมเท็จ และมีสัมพันธภาพโดยตรงกับหนทางที่พวกผู้นำเทียมเท็จทำงานและกับภาวะการเป็นผู้นำของพวกเขา ถึงแม้จะไม่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าพวกผู้นำเทียมเท็จมีพฤติกรรมที่ไม่อาจควบคุมได้ แต่เป็นการสมควรที่จะกล่าวว่าในหลายกรณีแล้ว งานที่พวกเขาทำนั้นสวนทางกับหลักธรรมและมาตรฐานที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ ถึงขั้นเกิดกรณีที่ว่า เพราะพวกเขาไม่เข้าใจความจริงหลักธรรม และไร้ความสามารถที่จะสามัคคีธรรมถึงความจริงหลักธรรมให้แก่ผู้อื่นได้อย่างชัดเจน แต่กลับรับเอาวิธีเข้าหาแบบไม่แทรกแซงมาใช้ โดยให้อิสระแก่ผู้คนในการทำอย่างที่พวกเขาจะทำ การนี้จึงค่อยๆ นำไปสู่การที่ผู้คนมากมายไม่สามารถทำให้งานเสร็จสมบูรณ์ตามมาตรฐานที่กำหนดไว้ได้เมื่อถึงเวลาปฏิบัติหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานอาชีพ ซ้ำยังนำไปสู่การที่ผู้คนหลากหลายทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ ทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำได้ดี และคิดว่าพวกเขาอาจทำสิ่งทั้งหลายด้วยวิธีใดก็ได้ที่พวกเขาเห็นสมควร เช่นนั้นคือสถานการณ์และสภาวะที่เกิดขึ้นในงาน กระนั้นก็ไม่มีสิ่งใดที่ผู้นำเทียมเท็จสามารถแก้ไขได้เลย ในด้านหนึ่ง พวกเขาไร้พลังอำนาจ และในอีกด้านหนึ่ง เนื่องจากความไม่รู้เท่าทัน ความไร้สมรรถภาพ การขาดพร่องความเข้าใจฝ่ายจิตวิญญาณ และความเป็นจิตวิญญาณเทียมเท็จของผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ พวกเขาจึงชักนำให้ผู้คนคิดในทางที่ผิดว่าการปฏิบัติตนในหนทางนี้ถูกต้องแล้ว ว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีเพียงความรู้สึกอันแรงกล้าเท่านั้น ว่าในพระนิเวศของพระเจ้า ไม่ว่าใครก็สามารถใช้จุดแข็งของพวกเขาในหนทางใดก็ตามที่พวกเขาปรารถนา ตราบเท่าที่จุดมุ่งหมายคือการให้คำพยานต่อพระเจ้าและปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา เช่นนั้นคือท่าทีและวิธีเข้าหาของผู้นำเทียมเท็จในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความจริงหลักธรรม ซึ่งต้องได้รับการทำความเข้าใจสำหรับหน้าที่อันหลากหลาย และเช่นนั้นคือหนทางที่พวกเขาทำงาน

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (3)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

พวกผู้นำเทียมเท็จไม่หาข้อมูลให้ตัวพวกเขาเองหรือคอยติดตามสถานการณ์ตามจริงของบรรดาหัวหน้ากลุ่มงานเลย อีกทั้งพวกเขายังไม่หาข้อมูลให้ตัวเอง ไม่คอยติดตาม และไม่พยายามจับความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ของการเข้าสู่ชีวิตของบรรดาหัวหน้ากลุ่มงานและเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบงานสำคัญ รวมทั้งท่าทีที่ผู้คนเหล่านี้มีต่องานและหน้าที่ และท่าทีสารพัดต่อพระเจ้าและการเชื่อในพระเจ้า พวกผู้นำเทียมเท็จไม่หาความรู้ให้ตัวเองเกี่ยวกับการแปลงสภาพของพวกเขา ความก้าวหน้าของพวกเขา หรือประเด็นปัญหาสารพันซึ่งอุบัติขึ้นในระหว่างงานของพวกเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์อันหลากหลายที่เกิดขึ้น ขัดจังหวะ ขัดขวาง และมีอิทธิพลต่องานของพวกเขาในแต่ละช่วงเวลาและช่วงระยะของงาน หากพวกเขาไม่สามารถเข้าใจสิ่งทั้งหลายดังกล่าว เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที—และหากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขสิ่งเหล่านั้นได้อย่างทันท่วงที เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมจะไม่สามารถแก้ไขเยียวยาอิทธิพลด้านลบและความเสียหายที่หัวหน้างานทั้งหลายทำให้เกิดขึ้นกับงานนั้นได้อย่างทันท่วงที ด้วยเหตุนี้ เมื่อมองในแง่มุมนี้ พวกผู้นำเทียมเท็จจึงยังไม่ได้ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขา การไม่ลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาก็คือการละทิ้งหน้าที่ พวกเขาไม่ได้ดำเนินบทบาทของพวกเขาให้เสร็จสิ้นในการกำกับดูแลผู้อื่น ในการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับผู้คนเหล่านั้น โดยจับความเข้าใจสถานการณ์ของพวกเขาและสอดส่องพวกเขาอย่างเต็มที่ พระเจ้าทรงมีฤทธานุภาพที่จะมองเข้าไปในหัวใจของมนุษย์ แต่มนุษย์ไม่มี ด้วยเหตุนี้ มนุษย์จึงต้องทำงานหนักขึ้น เขาต้องไม่เกียจคร้าน และเขาต้องทำงานให้เสร็จสมบูรณ์อย่างทันท่วงที เป็นที่ชัดเจนว่าความล้มเหลวของผู้นำเทียมเท็จในการลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาเมื่อปฏิบัติงานนี้ เป็นการละทิ้งหน้าที่อันร้ายแรง และเป็นการละทิ้งหน้าที่ซึ่งนำไปสู่การที่หัวหน้างานบางคนแสดง ปัญหาสารพัดออกมาให้เห็น และยังคงอยู่ในตำแหน่งของพวกเขาทั้งๆ ที่ไร้สมรรถภาพ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วย่อมนำไปสู่ความล่าช้าซ้ำแล้วซ้ำเล่าในงานของพวกเขา รวมทั้งการที่ประเด็นปัญหาทุกลักษณะที่ยืดเยื้อและยังคงไม่ได้รับการแก้ไข เหล่านี้คือปัญหาซึ่งเป็นผลมาจากการที่พวกผู้นำเทียมเท็จไม่คอยติดตามและหาข้อมูลให้ตัวเองเกี่ยวกับหัวหน้างานทั้งหลาย มีประเด็นปัญหาในเรื่องที่ว่าหัวหน้างานอาจกำลังมีการปล่อยปละละเลยหรือไม่ และพวกเขากำลังทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่ ในส่วนของประเด็นปัญหาเหล่านี้ เพราะพวกผู้นำเทียมเท็จไม่ดำเนินการตรวจตราให้เสร็จสิ้น ไม่หาข้อมูลให้ตัวพวกเขาเองบ่อยๆ ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้นภายใต้การดูแลของพวกเขา และไม่มีการจับความเข้าใจที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับสถานการณ์นั้น ผู้นำเทียมเท็จไม่มีเบาะแสเลยว่าหัวหน้างานทั้งหลายทำงานดีเพียงใด พวกเขากำลังมีความก้าวหน้าอันใด และพวกเขาทำงานที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือแค่โห่ร้องบทสวดอธิษฐานและใช้ปรากฏการณ์ผิวเผินบางอย่างในการรับมือเบื้องบนอย่างสุกเอาเผากิน เมื่อถูกถามเกี่ยวกับงานของหัวหน้างานคนหนึ่งคนใด และว่าพวกเขากำลังทำงานใดอยู่โดยเฉพาะ พวกเขาก็ตอบว่า “ฉันไม่รู้—ไม่ว่าในกรณีใด พวกเขาไม่เคยได้เอ่ยถึงอะไรอื่นเลยเวลาที่ฉันพูดคุยเรื่องงานกับพวกเขา” นี่คือขอบเขตความรู้ของผู้นำเทียมเท็จ พวกเขาเชื่ออย่างผิดๆ ว่า หากหัวหน้างานไม่ได้ปัดความรับผิดชอบของพวกเขา และพร้อมให้เรียกหาอยู่เป็นนิตย์ เช่นนั้นแล้ว นี่ย่อมเป็นการสาธิตที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ไม่มีสิ่งใดเลยเกี่ยวกับพวกเขาที่เป็นปัญหา นี่คือวิธีที่ผู้นำเทียมเท็จทำงาน นี่คือข้อบ่งชี้ถึงความเทียมเท็จหรือไม่? พวกเขาล้มเหลวหรือไม่ในการลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขา? นี่คือการละทิ้งหน้าที่อันร้ายแรง

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (3)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ลักษณะหลักของงานของผู้นำเทียมเท็จก็คือว่า หลังจากร้องตะโกนคำโฆษณาของพวกเขา หลังจากออกคำสั่งของพวกเขา พวกเขาก็เพียงล้างมือจากเรื่องนั้น พวกเขาไม่มีคำถามเกี่ยวกับพัฒนาการที่ตามมาของโครงการ พวกเขาไม่ถามว่ามีปัญหา ความผิดปกติ หรือความลำบากยากเย็นอันใดเกิดขึ้นหรือไม่ พวกเขาคำนึงถึงโครงการนั้นว่าเสร็จสิ้นแล้วทันทีที่พวกเขาส่งมอบโครงการให้ ในข้อเท็จจริงแล้ว การติดตามความคืบหน้าของโครงการคือบางสิ่งที่บรรดาผู้นำสามารถทำได้ ต่อให้เจ้าเป็นมือใหม่โดยสิ้นเชิงในเรื่องเหล่านี้—ต่อให้เจ้าขาดพร่องความรู้เกี่ยวกับโครงการนั้น—เจ้าก็สามารถดำเนินงานดังกล่าวให้เสร็จสิ้นได้ จงค้นหาใครบางคนที่มีความรู้ ผู้ซึ่งเข้าใจงานดังกล่าว มาตรวจดูสถานการณ์และให้คำแนะนำ จากคำแนะนำของพวกเขา เจ้าจะสามารถระบุหลักธรรมอันเหมาะสม และด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะสามารถติดตามงานนั้นได้ ไม่ว่าเจ้าจะมีความคุ้นเคยหรือความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับประเภทของงานที่กล่าวถึงหรือไม่ อย่างน้อยที่สุดเจ้าต้องกำกับดูแลงานนั้น ติดตามงานนั้น ทำการสอบสวนและไต่ถามเพื่อให้ตัวเจ้าเองมีความรู้เกี่ยวกับความคืบหน้าของงาน เจ้าต้องธำรงไว้ซึ่งการจับความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องเหล่านั้น นี่คือความรับผิดชอบของเจ้า เป็นบทบาทที่เจ้าต้องแสดง การไม่ติดตามงาน—การล้างมือจากงานนั้น—คือการกระทำของพวกผู้นำเทียมเท็จ การไม่กระทำการอันเฉพาะเจาะจงเพื่อติดตามงานรายการเฉพาะเจาะจง—การไม่มีความเข้าใจอันใดและไม่มีการจับความเข้าใจในความคืบหน้าของงานรายการเฉพาะเจาะจง เหล่านี้—ยังเป็นการสำแดงถึงผู้นำเทียมเท็จด้วยเช่นกัน

เพราะผู้นำเทียมเท็จไม่เข้าใจสถานะของความคืบหน้าของงาน การนี้จึงนำไปสู่ความล่าช้าซ้ำๆ บ่อยครั้ง ในงานบางอย่าง เพราะผู้คนไม่มีการจับความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับหลักธรรม และที่มากกว่านั้นคือไม่มีใครเหมาะสมที่จะกำกับดูแลงานนั้น ผู้ที่กำลังดำเนินงานอยู่จึงอยู่ในสภาวะของการคิดลบ ความนิ่งเฉย และการรอคอยอยู่เนืองนิจ ซึ่งส่งผลต่อความคืบหน้าของงานอย่างรุนแรง หากผู้นำลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาตั้งแต่แรก—หากพวกเขาได้เข้าควบคุมดูแล ผลักดันงานไปข้างหน้า เร่งคนทำงานให้ติดตามมาด้วยกัน และหาใครบางคนที่เข้าใจประเภทของงานที่เกี่ยวข้องมาให้คำแนะนำ เช่นนั้นแล้วงานย่อมจะคืบหน้าไปอย่างรวดเร็วกว่าที่เป็น แทนที่จะประสบกับความล่าช้าซ้ำๆ เช่นนี้เองการเข้าใจและจับความเข้าใจในสถานการณ์ตามจริงของงานจึงสำคัญยิ่งสำหรับผู้นำทั้งหลาย แน่นอนว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่บรรดาผู้นำจะต้องเข้าใจและจับความเข้าใจว่างานนั้นกำลังก้าวหน้าไปอย่างไร—ด้วยเหตุที่ความคืบหน้าสัมพันธ์กับประสิทธิภาพของงานและผลลัพธ์ที่งานนี้มุ่งหมายที่จะสัมฤทธิ์ หากผู้นำขาดพร่องแม้กระทั่งการจับความเข้าใจว่างานกำลังก้าวหน้าไปอย่างไร เช่นนั้นแล้วย่อมสามารถพูดได้ว่าส่วนใหญ่แล้ว งานนั้นจะพัฒนาไปอย่างช้าๆ และเอื่อยเฉื่อย ผู้คนส่วนใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา จะทำงานอย่างช้าๆ และอย่างนิ่งเฉยหากไม่มีใครบางคนอยู่ด้วย ใครบางคนที่มีสำนึกในภาระและมีความสามารถบางอย่างในงานประเภทนั้น ใครบางคนที่จะกระตุ้นพวกเขา จัดเตรียมการควบคุมดูแลและคำแนะนำ กรณีเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นด้วยในยามที่ไม่มีคำวิพากษ์วิจารณ์ การบ่มวินัย การตัดแต่ง หรือการถูกจัดการ เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดที่บรรดาผู้นำและคนทำงาน จะต้องธำรงไว้ซึ่งการจับความเข้าใจและความเข้าใจที่เป็นปัจจุบัน เกี่ยวกับความคืบหน้าของงานของพวกเขา ด้วยเหตุที่ผู้คนนั้นเกียจคร้าน และหากปราศจากการนำ การกระตุ้น และการติดตามผลโดยบรรดาผู้นำ หากปราศจากผู้นำที่ครองความเข้าใจที่เป็นปัจจุบันเกี่ยวกับความคืบหน้าของงาน ผู้คนก็หมิ่นเหม่ที่จะย่อหย่อน เกียจคร้าน และทำอย่างสุกเอาเผากิน—หากนี่คือวิธีเข้าหาที่พวกเขามีต่องานของพวกเขา ความคืบหน้าและประสิทธิผลย่อมจะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง เมื่อพิจารณารูปการณ์แวดล้อมเหล่านี้ บรรดาผู้นำและคนทำงานควรติดตามงานทุกๆ รายการและมีข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์ของเจ้าหน้าที่และงานอย่างทันท่วงที แน่นอนว่าพวกผู้นำเทียมเท็จย่อมสะเพร่าและไม่แยแสในงานนี้ พวกเขาไม่สามารถรับผิดชอบการใดได้ และดังนั้น ไม่ว่าจะในด้านสถานะปัจจุบันหรือความคืบหน้าของงาน พวกผู้นำเทียมเท็จ “ชื่นชมดอกไม้จากหลังม้าที่กำลังควบ” อยู่เสมอ พวกเขาสะเพร่าและไม่แยแส ทั้งยังสุกเอาเผากิน พวกเขาใช้คำพูดที่สูงส่งเกินตัวและว่างเปล่า ประกาศคำสอน และทำไปอย่างพอเป็นพิธี โดยทั่วไปแล้ว นี่คือหนทางที่พวกผู้นำเทียมเท็จทำงาน เมื่อเปรียบเทียบพวกเขากับพวกศัตรูของพระคริสต์ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ทำสิ่งใดที่ชั่วอย่างเห็นได้ชัด และไม่ชั่วร้ายโดยจงใจ แต่ท่าทีที่พวกเขามีต่องานไม่แซงหน้าแม้กระทั่งความชั่วหรอกหรือ? แม้ว่างานของพวกเขาไม่สามารถนิยามได้ว่าชั่วโดยธรรมชาติ แต่ก็เป็นการยุติธรรมที่จะพูดว่าจากมุมมองของความมีประสิทธิภาพ ธรรมชาติของงานของพวกเขาคือความสะเพร่าและความสุกเอาเผากิน การขาดพร่องสำนึกในภาระ พวกเขาไม่มีความจงรักภักดีต่องานของพวกเขาเลย

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (4)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในด้านของสถานการณ์ปัจจุบันและความคืบหน้าของงานของพวกเขา พวกผู้นำเทียมเท็จไม่ไปยังสถานที่ทำงานเลย ในการที่จะหาข้อมูลและติดตามสถานการณ์ตามจริงในพื้นที่ทำงานจริง หรือพยายามที่จะจับความเข้าใจรายละเอียดจำเพาะทั้งหลายอย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อที่พวกเขาอาจจะระบุแยกแยะและแก้ไขประเด็นปัญหาทั้งหลายได้ทันที และแก้ไขความพลั้งเผลอและความผิดปกติทั้งหลายซึ่งอาจจะเกิดขึ้นในงานไปแล้วให้ถูกต้อง สิ่งเดียวที่พวกเขาทำในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาตามจริงของงานก็คือการร้องตะโกนคำโฆษณาและทำงานไปอย่างพอเป็นพิธี ในโครงการทั้งหมด ไม่สามารถพบเห็นการสามัคคีธรรมของพวกเขาเกี่ยวกับงานในสถานที่ทำงานเลย ไม่มีใครเห็นพวกเขาพยายามแก้ไขปัญหาจำเพาะหรือแสดงความสามารถในการระบุแยกแยะประเด็นปัญหาหรือความผิดปกติในงานเลย นับประสาอะไรที่จะจัดการแก้ไข ทำให้ถูกต้อง หรือเยียวยาประเด็นปัญหา ความผิดปกติ และความพลั้งเผลอซึ่งอาจจะเกิดขึ้นไปแล้วในงานอย่างทันท่วงที เช่นนั้นคือประเด็นปัญหานานาประเภทที่เกิดขึ้นในงานของพวกผู้นำเทียมเท็จ แม้ว่าผู้นำเทียมเท็จไม่ได้จงใจก้าวก่ายหรือทำให้หยุดชะงัก แม้ว่าพวกเขาไม่ได้พยายามที่จะสร้างราชอาณาจักรของพวกเขาเอง แม้ว่าพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตนดั่งเช่นเผด็จการอย่างเปิดเผย หรือแสดงการกระทำหรือพฤติกรรมบางอย่างซึ่งเชื่อมโยงกับศัตรูของพระคริสต์ และแม้ว่าพวกเขาไม่สามารถถูกจัดให้เป็นพวกศัตรูของพระคริสต์ได้ กระนั้นก็ตาม สภาวะความเป็นมนุษย์และการกระทำอันหลากหลายของพวกผู้นำเทียมเท็จก็นำมาซึ่งความเดือดร้อนและอุปสรรคมากมายในงานของพวกเขา ซึ่งส่งผลกระทบต่อความคืบหน้า ประสิทธิภาพ และประสิทธิผล ปัญหาอันไม่มีวันจบสิ้นคือลักษณะอันสม่ำเสมออย่างหนึ่งในงานของผู้นำเทียมเท็จ เป็นปัญหาซึ่งไม่มีวันแก้ไขได้ ไม่ว่าพวกเขาจะทำงานประเภทใด บทบาทของผู้นำเทียมเท็จก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการแสดง การร้องตะโกนคำโฆษณา และประกาศคำสอน พวกเขาเป็นเหมือนลำโพงประกาศสาธารณะตามหมู่บ้านของประเทศจีน ซึ่งกระจายเสียงไปยังผองชน แต่ไม่ใช่อะไรมากไปกว่านั้น นี่เป็นงานชนิดเดียวเท่านั้นที่พวกเขาสามารถทำได้ ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ไม่รู้เท่าทันโดยสิ้นเชิงว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของพวกเขากำลังทำอะไรอยู่ พวกเขากำลังทำสิ่งนั้นได้ดีเพียงใด และไม่รู้เท่าทันคำถามอื่นๆ ทำนองนั้นอีกมากมายซึ่งสัมพันธ์กับรายละเอียดเฉพาะทั้งหลาย พวกเขาไม่มีความพึงปรารถนาอันใดที่จะค้นหาสิ่งเหล่านี้ให้พบ มีส่วนร่วมในสิ่งเหล่านี้ พาตัวพวกเขาเองเข้าไปเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับผู้คนรากหญ้า ขุดคุ้ยลึกเข้าไปในสิ่งซึ่งกำลังเกิดขึ้นจริงในพื้นที่ปฏิบัติงาน เพื่อที่จะค้นหาเพิ่มเติมและจับความเข้าใจในความคืบหน้าอันใด และพัฒนาการอันใด ของงานแต่ละชิ้น และดังนั้น ถึงแม้ว่าผู้คนในหมวดของผู้นำเทียมเท็จไม่พยายามที่จะสถาปนาราชอาณาจักรของพวกเขาเอง หรือจงใจก้าวก่ายและขัดจังหวะในระหว่างที่พวกเขาเป็นผู้นำ กระนั้นก็ตาม จากมุมมองที่เป็นรูปธรรม พวกเขาเป็นเหตุให้งานและความคืบหน้าของงานมีความล่าช้า พวกเขาไร้ความสามารถที่จะปฏิบัติตามบทบาทหน้าที่ซึ่งผู้นำควรปฏิบัติ พวกเขาไม่สามารถจงรักภักดีหรือรับผิดชอบ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถนำแนวทางและแรงกระตุ้นมาสู่งานที่พวกเขาควรจะต้องรับผิดชอบ เพื่อให้งานนั้นเดินหน้าไปอย่างราบรื่น ณ ทุกช่วงระยะ เช่นนั้นแล้ว เป็นการยุติธรรมหรือไม่ที่จะกล่าวว่าพวกที่อยู่ในหมวดของผู้นำเทียมเท็จ ไม่มีความจงรักภักดีหรือสำนึกในภาระเลย? ไม่ว่าพวกเขาจะจงใจบ่ายเบี่ยงงานของพวกเขา หรือไม่สามารถทำงานนั้นได้อย่างจริงแท้ก็ตาม เมื่อพิจารณาทุกๆ อย่างแล้ว พวกเขาส่งผลกระทบต่องานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในทางลบ พวกเขาเป็นเหตุให้เกิดความล่าช้าและกีดกันมิให้งานนั้นเป็นไปตามครรลอง พวกเขากีดกันทางแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างงาน และพวกเขากลายเป็นอุปสรรคกีดขวางพัฒนาการอันราบรื่นของงาน ดังนั้นแล้ว ผู้คนที่เกี่ยวข้องกับงานย่อมไม่เข้าใจความจริงหลักธรรมเช่นกัน และการนี้ก็ย่อมเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขในระหว่างช่วงเวลาที่ผู้นำเทียมเท็จเป็นผู้รับผิดชอบงานนั้นด้วย

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (4)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ในขณะที่ดำเนินงานหลากหลายรายการ อันที่จริงแล้วมีประเด็นปัญหา ความผิดปกติ และความพลั้งเผลอมากมายที่ผู้นำเทียมเท็จต้องแก้ไข ทำให้ถูกต้อง และเยียวยา—แต่เพราะพวกเขาไม่มีสำนึกในภาระ เพราะพวกเขาเพียงสามารถแสดงบทบาทของเจ้าหน้าที่รัฐบาลเท่านั้น และไม่ลงมือทำงานจริง ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาเป็นเหตุให้เกิดความยุ่งเหยิงอันวิบัติ จนกระทั่งบางกลุ่มถึงขั้นสูญเสียเอกภาพ และสมาชิกกลุ่มก็บ่อนทำลายกันและกัน กลายเป็นสงสัยและระแวงกันและกัน และถึงขั้นกลายเป็นระแวงพระนิเวศของพระเจ้า เมื่อผู้นำเทียมเท็จเผชิญหน้าสถานการณ์นี้ พวกเขาไม่ดำเนินงานจำเพาะอันใดให้เสร็จสิ้น งานของพวกเขายังคงอยู่ในสภาวะอัมพาต และการที่งานของพวกเขาติดหล่มอยู่ในสภาวะกึ่งล่มสลายนี้ก็ไม่ได้ทำให้ผู้นำเทียมเท็จเจ็บปวดแม้แต่น้อย พวกเขาไม่สามารถปลุกเร้าตัวพวกเขาเองให้ทำงานจริงแท้อันใดได้ และแทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับคอยให้เบื้องบนส่งคำสั่งลงมาบอกให้พวกเขาทำสิ่งใดและไม่ทำสิ่งใด ราวกับว่างานของพวกเขากระทำไปเพื่อเบื้องบนเท่านั้น—และหากเบื้องบนไม่สื่อข้อพึงประสงค์จำเพาะอันใด ไม่ให้คำสั่งหรือคำอบรมจำเพาะอันใด เช่นนั้นแล้ว พวกเขาย่อมไม่ทำสิ่งใดแม้ในยามที่พวกเขาเห็นบางสิ่งที่จำเป็นต้องทำ หรือหากเบื้องบนจัดเตรียมเพียงแค่หลักธรรมเท่านั้น เช่นนั้นแล้ว พวกเขาก็ยิ่งมีข้อแก้ตัวที่ดีขึ้นไปอีกที่จะไม่กระทำการใด ผู้นำเทียมเท็จคืออะไรเล่า? โดยสรุป พวกเขาไม่ทำงานจำเพาะอันใด พวกเขาไม่มีส่วนในงานอันใด พวกเขาไม่สามารถระบุแยกแยะหรือแก้ไขปัญหาอันใด พวกเขาไร้ความสามารถที่จะให้คำแนะนำ ความช่วยเหลือ และการจัดเตรียมที่ถูกต้องสำหรับงานต่างๆ เพื่อที่จะกำหนดมาตรฐานสำหรับทิศทางและหลักธรรมของงาน และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะสามารถมีข้อเรียกร้องจำเพาะในเชิงรุก และนำเสนอแผนจำเพาะสำหรับดำเนินงานใดๆ ให้เป็นผล ทั้งหมดที่พวกเขาทำคือเข้าร่วมการชุมนุม ร้องตะโกนคำโฆษณา และเตร็ดเตร่อย่างไร้จุดมุ่งหมาย งานซึ่งพระนิเวศของพระเจ้าบัญชาแก่พวกเขาและความรับผิดชอบซึ่งพวกเขาควรที่จะต้องทำให้ลุล่วงนั้น พวกเขาไม่ปฏิบัติ อีกทั้งพวกเขาไม่สามารถปฏิบัติได้ นี่คือผู้นำเทียมเท็จ

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (4)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ภายในวงงานซึ่งพวกผู้นำเทียมเท็จรับผิดชอบ ผู้คนไม่กี่คนที่ไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างแท้จริงและเหมาะกับการส่งเสริมและการบ่มเพาะนั้นถูกบีบคั้นอยู่เนืองนิจ ผู้คนเหล่านี้บางคนเผยแผ่ข่าวประเสริฐ และพวกเขาบางคนถูกจัดการเตรียมการให้ทำอาหาร ในความจริงนั้น พวกเขาสามารถทำงานได้ แม้ว่าพวกเขาอาจไม่แสดงการนั้นให้เห็น—กระนั้นผู้นำเทียมเท็จก็หูหนวกตาบอดต่อการนี้ และทั้งไม่เข้าร่วมและไม่ทำการสอบถามผู้คนเหล่านั้น ในขณะเดียวกัน ผู้คนเหล่านั้นที่มีความสามารถพิเศษอยู่เล็กน้อย พวกที่ชอบยกยอ พวกที่ชอบที่จะปรากฏตัวในที่สาธารณะ คนที่พูดได้ลื่นไหล และพวกที่ปรารถนาตำแหน่งเจ้าหน้าที่และสถานะ ถูกนำขึ้นไปอยู่ในลำดับขั้นที่สูงขึ้น จนถึงขอบข่ายที่พวกที่ได้รับใช้ในสังคมในฐานะหัวหน้าหมู่บ้านและเลขานุการ และพวกที่เป็นผู้บริหารองค์กร และพวกที่ศึกษาการบริหารธุรกิจ ล้วนแต่ได้รับตำแหน่งที่มีความสำคัญ ไม่สำคัญเลยว่าผู้คนเหล่านี้เป็นผู้เชื่อที่แท้จริงหรือไม่ หรือว่าพวกเขาไล่ตามเสาะหาความจริงหรือไม่—ไม่ว่าที่ใดที่พวกผู้นำเทียมเท็จรับผิดชอบต่องาน พวกเขาได้รับการส่งเสริมและได้รับมอบตำแหน่งที่มีความสำคัญโดดเด่น นี่ไม่ใช่เหมือนกันไม่มีผิดกับในสังคมหรอกหรือ? ภายใต้ช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งของพวกผู้นำเทียมเท็จ บรรดาผู้ที่ทำงานหนักเหล่านั้นซึ่งสามารถสู้ทนความทุกข์ได้อย่างแท้จริง ผู้ซึ่งมีสำนึกแห่งความชอบธรรม ผู้ซึ่งรักสิ่งที่เป็นบวก และผู้ซึ่งในความจริงนั้นควรได้รับการส่งเสริมและบ่มเพาะ แต่ก็ไม่—พวกเขาแทบจะไม่มีโอกาสที่จะฝึกฝนเลย ในขณะที่พวกที่มีขีดความสามารถด้อยและสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ชั่ว ผู้ซึ่งกระหายร้อนรนที่จะดำเนินการ ชอบที่จะอวดตัวและไม่มีความสามารถพิเศษจริงแต่อย่างใดเลย ถือครองการงานที่สำคัญๆ และตำแหน่งด้านการควบคุมดูแลในพระนิเวศของพระเจ้า การนี้นำไปสู่การที่งานมากมายแห่งพระนิเวศของพระเจ้าล่าช้าและไม่สามารถก้าวหน้าไปได้อย่างราบรื่นและด้วยประสิทธิภาพที่พระนิเวศของพระเจ้าพึงประสงค์ และไปสู่การที่งานนั้นไม่ได้ถูกทำไปตามหลักธรรม และไปสู่ความล้มเหลวในการนำข้อพึงประสงค์แห่งพระนิเวศของพระเจ้ามาดำเนินการ นี่คือผลสืบเนื่องที่ตามมาและผลกระทบซึ่งเกิดขึ้นจากการจ้างงานผู้คนอย่างไม่ถูกต้องเหมาะสมของพวกผู้นำเทียมเท็จ

พวกผู้นำเทียมเท็จมีขีดความสามารถที่ด้อย มีดวงตาและหัวใจที่มืดบอด และพวกเขาไม่เข้าใจความจริงหลักธรรม ซึ่งการนี้เองนั้นเป็นปัญหาสาหัสมาก แต่พวกเขาก็ยังคงมีปัญหาอีกปัญหาหนึ่งที่ร้ายแรงกว่า ซึ่งก็คือว่า เมื่อพวกเขาได้เข้าใจและเชี่ยวชาญตัวอักษรและคำพูดไม่กี่คำเกี่ยวกับคำสอนแล้ว และสามารถโห่ร้องคำขวัญสองสามคำออกมาได้ พวกเขาก็คิดว่าพวกเขาเข้าใจความจริงหลักธรรม งานใดก็ตามที่พวกเขาทำและใครก็ตามที่พวกเขาเลือกจ้าง พวกเขาไม่แสวงหาและไม่รอบคอบตั้งใจ และพวกเขาไม่สามัคคีธรรมกับผู้อื่น และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะมองดูการจัดการเตรียมการงานและหลักธรรมแห่งพระนิเวศของพระเจ้าโดยละเอียด พวกเขาค่อนข้างมีความมั่นใจ โดยเชื่อว่าสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาคิดคือสิ่งที่ควรทำ และว่าสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาเชื่อมีความถูกต้องแม่นยำ ว่าทั้งหมดนั้นสอดคล้องกับหลักธรรม พวกเขายังเชื่ออย่างผิดๆ อีกด้วยว่า เมื่อได้ทำงานมาหลายปีแล้ว พวกเขามีประสบการณ์เพียงพอในการรับใช้ในฐานะผู้นำในพระนิเวศของพระเจ้า ว่าพวกเขารู้วิธีที่งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าดำเนินการและพัฒนา และว่าทั้งหมดนี้อยู่ภายในหัวใจของพวกเขา พวกเขาประเมินวัดงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าและทำงานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าโดยวิถีทางของประสบการณ์ของพวกเขาและมโนคติอันหลงผิดและการจินตนาการของพวกเขาเอง ซึ่งเป็นเหตุให้งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้าในระหว่างช่วงระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งของพวกเขาเป็นปัญหายุ่งเหยิง อยู่ในความอลหม่าน และไม่มีความเป็นระเบียบเรียบร้อย หากภายในกลุ่มงานหนึ่งมีผู้คนที่มีสมรรถภาพไม่กี่คน ซึ่งเป็นผู้คนที่สามารถทนทุกข์และยอมลงทุนลำบากและปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี เช่นนั้นแล้วงานที่พวกเขาทำอาจยังถูกดำเนินการต่อไปด้วยดี แต่นี่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับผู้นำเทียมเท็จเลย และตรงที่ซึ่งไม่มีผู้คนดังกล่าว ผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถเป็นประโยชน์ได้เลยแม้แต่น้อยในงานที่กำลังทำอยู่ เหตุผลหนึ่งก็คือ ผู้นำเทียมเท็จจะไม่เลือกผู้คนที่เหมาะสมกับงาน ผู้ที่จะคอยดูให้งานนั้นเดินเร็วขึ้นและก้าวหน้าไปและปรับปรุงดีขึ้น อีกเหตุผลก็คือ ตรงที่ซึ่งมีสมาชิกที่เป็นจุดอ่อนในงาน พวกผู้นำเทียมเท็จก็ไม่มีส่วนร่วมในเชิงบวกและในเชิงรุก หรือจัดเตรียมการฝึกสอนในรายละเอียดที่เฉพาะเจาะจงของงานนั้น ตัวอย่างเช่น สมมติว่าสำหรับงานบางรุ่น ผู้คนหลายคนที่ทำงานนั้นเป็นผู้เชื่อใหม่ที่ไม่มีรากฐานมากนัก ผู้ซึ่งไม่เข้าใจความจริงดี ไม่คุ้นเคยมากนักกับกิจนั้น และยังไม่ได้จับความเข้าใจหลักธรรมแห่งงานอย่างแท้จริง ผู้นำเทียมเท็จซึ่งหูหนวกตาบอดไม่สามารถมองเห็นปัญหาเหล่านี้ได้ พวกเขาเชื่อว่าตราบเท่าที่ใครบางคนกำลังทำงานอยู่ ไม่สำคัญเลยว่างานนั้นทำไปอย่างดีหรือไม่ดี พวกเขาไม่รู้ว่าบรรดาสมาชิกทั้งหมดที่เป็นจุดอ่อนในงานควรได้รับการสอบถามในภายหลัง ได้รับการสังเกตการณ์ให้บ่อยครั้ง ได้รับการสนับสนุนให้บ่อยครั้ง และอาจถึงขั้นจำเป็นที่พวกเขาต้องทำการควบคุมดูแลและการมีส่วนร่วมด้วยตัวเอง คำปรึกษาส่วนตัวของพวกเขาเกี่ยวกับงาน และการสนับสนุนที่สม่ำเสมอของพวกเขา จนกว่าผู้คนเหล่านั้นจะได้เข้าใจความจริงและเริ่มเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องเหมาะสมแล้ว ด้วยหัวหน้างานที่เหมาะสมเท่านั้นพวกเขาจึงจะสามารถหยุดกลัดกลุ้มได้ กระนั้นก็ตาม พวกผู้นำเทียมเท็จก็ไม่ทำงานในหนทางนี้ พวกเขาไม่มองว่านี่เป็นงานของพวกเขาที่จะต้องทำ ดังนั้นแล้ว ในขอบเขตงานของพวกเขา พวกเขาจึงปฏิบัติต่องานทั้งหมดและผู้คนทั้งหมดในแบบเดียวกันไม่มีผิด บ่อยครั้งมากกว่าเดิมที่พวกเขาไม่ไปตรงที่ซึ่งมีห่วงข้อที่อ่อนแอในงานหรือตรงที่ซึ่งไม่มีใครที่เหมาะสมควบคุมดูแล อีกทั้งพวกเขาไม่จัดเตรียมคำปรึกษาหรือมีส่วนร่วมด้วยตัวเองในกิจเฉพาะเจาะจงที่จะต้องทำ และตรงที่ซึ่งใครบางคนที่เหมาะสมและมีความสามารถที่จะเข้ารับภาระหน้าที่ของงานกำลังควบคุมดูแลอยู่ พวกเขาไม่ไปสืบค้นหรือจัดเตรียมคำแนะนำในงาน อีกทั้งพวกเขาไม่มีส่วนร่วมในรายละเอียดของงานด้วยตัวเอง และแน่นอนว่าพวกเขาไม่พยายามเอาอย่างจุดแข็งของหัวหน้างาน ณ ที่นั้น สรุปสั้นๆ ก็คือ พวกผู้นำเทียมเท็จไม่ทำรายละเอียดเฉพาะเจาะจงของงาน พวกเขาเชื่อว่าไม่สำคัญว่างานนั้นจะเป็นอย่างไร ตราบเท่าที่มีบุคคลากรอยู่ และหัวหน้างานได้ถูกเลือกแล้ว เช่นนั้นแล้วทุกสิ่งทุกอย่างย่อมหรูเลิศดีแล้ว พวกเขาเชื่อว่าไม่มีอะไรที่พวกเขาต้องทำอีกเลย ณ ที่นั้น และว่านั่นไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขาอีกเลย ว่าทั้งหมดที่พวกเขาจำเป็นที่จะต้องทำคือเรียกชุมนุมชนมาพร้อมหน้ากันเป็นบางครั้งบางคราวและโทรศัพท์หาหากเกิดประเด็นปัญหาขึ้น แม้แต่ขณะที่พวกผู้นำเทียมเท็จทำงานในหนทางนี้ พวกเขาก็คิดว่าพวกเขาทำงานได้ดีและค่อนข้างพึงพอใจกับตัวเอง โดยคิดว่า “ไม่มีปัญหาอันใดกับโครงการงานอันใดเลย บุคคลากรล้วนแต่ถูกจัดการเตรียมการอย่างประณีต และหัวหน้างานก็มีอยู่แล้ว ฉันมาทำงานนี้ได้ดีมากเช่นนี้ มีความสามารถพิเศษมากเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?” นี่ไม่ไร้ยางอายหรอกหรือ? พวกเขามีดวงตาและหัวใจที่มืดบอดมากเสียจนกระทั่งพวกเขาไม่สามารถมองเห็นกิจอันใดที่จะต้องทำ และไม่สามารถพบเจอปัญหาอันใด ในบางแห่งนั้น งานค่อยๆ ชะลอตัวหยุดลง แต่ทว่าตรงจุดนั้นเองที่พวกเขาพอใจ คิดว่าพี่น้องชายหญิงจากที่แห่งนั้นล้วนแต่เยาว์วัยและเป็นสมาชิกใหม่สดๆ ร้อนๆ ว่าพวกเขาจะปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความกระฉับกระเฉงเร่าร้อน และว่าพวกเขาจะสามารถทำงานได้ดีอย่างแน่นอน เมื่อในข้อเท็จจริงนั้น ผู้คนหนุ่มสาวเหล่านั้นไม่เข้าใจอะไรเลยและไม่สามารถทำอะไรได้ มีพวกที่รู้นิดหน่อยเกี่ยวกับกิจบางอย่าง แต่สิ่งที่พวกเขาทำนั้น ไม่มีสิ่งใดเลยที่ปรากฏว่าแปรไปตามที่ควรเป็น ไม่มีสิ่งใดเลยที่พวกเขาทำที่เป็นไปตามหลักธรรม และทั้งหมดนั้นพึงต้องมีการแก้ไขและการทำงานใหม่ไม่รู้จักจบ มีข้อตำหนิเหวอะหวะเช่นนั้นในงาน และมีหลายสิ่งเหลือเกินที่บุคคลากรเหล่านี้ไม่เข้าใจ และมีหลักธรรมมากมายเหลือเกินที่จำเป็นต้องมีการสามัคคีธรรมกับพวกเขา หลายเรื่องเหลือเกินที่พวกเขาจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำ ปัญหามากมายเหลือเกินที่จำเป็นต้องแก้ไข…และผู้นำเทียมเท็จไม่สามารถมองเห็นอะไรหรือพบเจอปัญหาใดได้เลย แต่กลับคิดว่าตัวเองกำลังไปได้ด้วยดี เช่นนั้นแล้ว ความคิดของพวกเขาตลอดทั้งวันอยู่ตรงไหนกันเล่า? ในฐานะผู้ดำรงตำแหน่งเจ้าหน้าที่ พวกเขาคิดวิธีที่พวกเขาอาจจะได้ชื่นชมความผาสุกแห่งสถานะ ผู้นำเทียมเท็จเป็นสิ่งของที่ไร้หัวใจ

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (5)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

เมื่อบรรดาผู้นำและคนทำงานเป็นประธานดูแลงาน พวกเขาต้องระบุแยกแยะและแก้ไขปัญหาซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างงานนี้อย่างทันท่วงที พวกเขาต้องสามัคคีธรรม เสวนา และถกประเด็นปัญหาซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างงาน เมื่อการสามัคคีธรรม การเสวนา และการถกประเด็นเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำๆ เหล่านี้ ล้มเหลวที่จะก่อให้เกิดผลลัพธ์อันใด หรือเมื่อไม่มีผู้ใดสามารถพูดด้วยความชัดเจนว่าครรลองแห่งการกระทำที่ถูกต้องคืออะไร แต่กลับทำสิ่งทั้งหลายที่ชัดเจนน้อยกว่าแทน เช่นนั้นแล้ว ณ เวลาเช่นนั้นผู้นำและคนทำงานควรเข้าเริ่มความรับผิดชอบของพวกเขา และแนะนำทางแก้ปัญหาและวิธีเข้าหาสำหรับการแก้ไขปัญหาอย่างทันท่วงที และยังควรสังเกตการณ์อย่างทันท่วงที หาความรู้ให้ตัวพวกเขาเอง และประเมินว่าสิ่งทั้งหลายกำลังพัฒนาขึ้นอย่างไร หลังจากที่ระบุแยกแยะประเด็นปัญหาซึ่งไม่สามารถถกประเด็นกันได้อย่างเป็นผล และซึ่งไม่สามารถนำพาไปสู่ข้อสรุปปิดตัวอันใดได้ พวกเขาก็ไม่ควรเสียเวลาในการที่จะรายงานประเด็นปัญหานั้นและปรึกษากับเบื้องบนเรื่องประเด็นปัญหานั้นในทันที พวกเขาไม่ควรรอหรือสร้างความพยายามที่ไม่มีหลักธรรมอันใดเพื่อยุติประเด็นปัญหานั้น นับประสาอะไรที่จะชะลอประเด็นปัญหานั้นหรือเพิกเฉยประเด็นปัญหานั้น นี่คือวิธีที่บรรดาผู้นำและคนทำงานในปัจจุบันทำงานหรือไม่? พวกเขาควรติดตามผล จับตาดู และลงประตักกระตุ้นงานไปพร้อมกันอย่างทันท่วงที ในขณะที่ระบุแยกแยะข้อท้วงติงและปัญหาเล็กน้อยทุกลักษณะ เมื่อพวกเขาค้นพบปัญหาใหญ่ บรรดาผู้นำและคนทำงานควรอยู่ ณ ที่นั้นตรงหน้างาน ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำและการจับความเข้าใจโดยละเอียดถึงเรื่องราวทั้งหมด วิธีที่เรื่องราวนั้นได้พัฒนาขึ้น ผู้คนหลากหลายชนิดที่เกี่ยวข้อง และทรรศนะที่ผู้คนต่างชนิดกันมีเกี่ยวกับปัญหานั้น ดังนั้น พวกเขาต้องมีส่วนร่วมในการสามัคคีธรรมและเสวนาและแม้กระทั่งถกประเด็นเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้เช่นกัน—พวกเขาต้องมีส่วนร่วม การมีส่วนร่วมสำคัญมาก การมีส่วนร่วมช่วยเจ้าประเมินและแก้ไขปัญหาซึ่งเกิดขึ้นในงาน หากเจ้าเพียงแค่ฟังเท่านั้นและไม่มีส่วนร่วม หากเจ้าเฝ้าดูจากเส้นข้างสนามเสมอ หากเจ้าเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ภายนอกเสมอ และรู้สึกว่าไม่มีปัญหาใดเลยในบรรดาปัญหาเหล่านั้นซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างงานที่เกี่ยวข้องกับเจ้า และเจ้าก็ไม่มีทรรศนะหรือท่าทีอันใดต่อปัญหาเหล่านั้น เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นผู้นำเทียมเท็จอย่างชัดเจน

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (7)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ผู้นำเทียมเท็จประเภทที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณเทียมเชื่อว่าการทำงานหมายถึงการประกาศคำพูดและคำสอน การทวนซ้ำบทสวดอธิษฐาน การแสร้งทำท่าพอเป็นพิธี การประกาศวลีจากพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะลงมือทำงานจริงๆ หรือรู้ว่า หน้าที่ของบรรดาผู้นำและคนทำงานนั้นแท้จริงแล้วคือสิ่งใด อีกทั้งไม่รู้เหตุผลที่พระนิเวศของพระเจ้าเลือกแต่ละปัจเจกบุคคลให้เป็นผู้นำหรือคนทำงาน ไม่รู้ว่าปัญหาซึ่งหมายที่จะให้แก้ไขคือปัญหาใด ด้วยเหตุนี้ ไม่สำคัญว่าเจ้าสามัคคีธรรมอย่างไรเกี่ยวกับวิธีที่พวกเขาควรพุ่งไปเริ่มงานของพวกเขา จัดการงานนั้นได้อยู่หมัด ระบุแยกแยะปัญหาทั้งหลายภายในงานนั้น และอื่นๆ พวกเขาไม่รับการสามัคคีธรรมนี้ไว้เลย อีกทั้งพวกเขายังไม่เข้าใจอะไรเลยในสิ่งที่พวกเขาได้ยิน พวกเขาไม่สามารถปฏิบัติตามสิ่งที่พระนิเวศของพระเจ้าขอต่อบรรดาผู้นำและคนทำงาน และพวกเขาจะไม่มีวันสัมฤทธิ์การนั้น พวกเขาล้มเหลวที่จะระบุแยกแยะปัญหาทุกลักษณะที่เกี่ยวข้องกับงาน—ประเด็นปัญหาด้านบุคคลากร คำถามเกี่ยวกับหลักธรรม ประเด็นปัญหาด้านเทคโนโลยีหรือวิชาชีพ และดังนั้น ภายใต้ภาวะความเป็นผู้นำของผู้คนที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณเทียมเช่นนั้น จึงมีกระแสอันสม่ำเสมอเกี่ยวกับประเด็นปัญหาด้านบุคคลากรและปัญหาอื่นๆ เกี่ยวกับงาน ประเด็นปัญหาด้านเทคโนโลยีหรือวิชาชีพก็มีมาเรื่อย กองสุมขึ้นไปเรื่อยเช่นกัน และยิ่งประเด็นปัญหาเหล่านี้กองสุมกันมากขึ้นเท่าใด ก็ยิ่งเกิดปัญหามากขึ้นเท่านั้น ภายในวงเขตของความรับผิดชอบของผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้ เรื่องเกี่ยวกับบุคคลากรและงานกลายเป็นอลหม่านมากขึ้นทุกที และผลการปฏิบัติงานและประสิทธิภาพของงานก็ลดลงทุกที เท่าที่ดูในเรื่องของการบริหารจัดการผู้คน บรรดาผู้ที่พอมีทักษะอยู่บ้างและเป็นคนที่พูดจาลื่นไหลได้รับอนุญาตให้เข้าควบคุม—พวกเขาได้สมดั่งใจของพวกเขาเอง และพวกเขามีความสามารถที่จะควบคุมงาน และควบคุมผู้คน คนเลวไม่ถูกตีขอบ ไม่ถูกควบคุมเหนี่ยวรั้งหรือชำระล้าง และบางคนซึ่งปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาอย่างสัตย์ซื่อก็ถูกรบกวนมากเสียจนกระทั่งพวกเขากลายเป็นคิดลบและอ่อนแอ ไม่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาหรือกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาสูญเสียความเชื่อในหน้าที่ของพวกเขา สูญเสียความเชื่อในพระเจ้า และสูญเสียความเชื่อในการไล่ตามเสาะหาความจริง บรรดาผู้ที่ครองทักษะเฉพาะบางอย่าง ผู้ที่ชำนาญทางด้านเทคโนโลยี ไม่ถูกนำไปใช้งานอย่างถูกต้องเหมาะสม เส้นแบ่งระหว่างผู้ที่เป็นบุคคลที่ดีกับผู้ที่เป็นบุคคลที่แย่นั้นพร่ามัว ผู้ที่ครองขีดความสามารถกับผู้ที่ไม่ครองขีดความสามารถ ผู้ที่ควรได้รับการบ่มเพาะกับผู้ที่ไม่ควรได้รับการบ่มเพาะ—มีแต่ความอลหม่านไปทั้งสิ้น อย่างไรก็ตาม ผู้นำเทียมเท็จที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณเทียมก็หูหนวกตาบอดต่อการนี้อย่างที่สุด พวกเขาไม่สามารถมองเห็นการนี้ได้ เมื่อมาถึงเรื่องของประเด็นปัญหาด้านบุคคลากร ไม่สำคัญว่าพระนิเวศของพระเจ้าสามัคคีธรรมและเน้นสิ่งใดเกี่ยวกับหลักธรรมที่จะต้องปฏิบัติตามเกี่ยวกับผู้ที่จะต้องชำระล้าง ผู้ที่จะต้องขับไล่ ผู้ที่จะต้องควบคุม และผู้ที่จะต้องส่งเสริม ผู้นำที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณเทียมไม่จับใจความ ไม่เข้าใจสิ่งที่พวกเขาได้ยิน พวกเขาติดอยู่กับทัศนคติฝ่ายจิตวิญญาณเทียมของพวกเขาเองอย่างไม่ต้องสงสัยเลย ผู้นำเทียมเท็จเหล่านี้คิดว่าด้วยคำอธิบายและการติวเข้มของพวกเขาเอง แต่ละบุคคลมีบทบาทที่จะต้องแสดง ไม่มีความสับสนไม่เป็นระเบียบเลย ทุกคนกำลังทำได้ดี พวกเขาล้วนแต่มีความเชื่อ และล้วนแต่เต็มใจที่จะปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา พวกเขาเชื่อว่าไม่มีใครเลยที่เกรงกลัวไม่ว่าจะคุกตารางหรือความเสี่ยงอันตราย เพราะทั้งหมดมีความทรหดอดทนที่จะทนทุกข์ และไม่มีใครเลยเต็มใจที่จะเป็นยูดาส ผู้นำเหล่านี้คิดว่าทุกสิ่งทุกอย่างกำลังดำเนินไปอย่างเยี่ยมยอด ไม่สำคัญว่าอาจเกิดปัญหาสาหัสอันใดขึ้นหรือผู้คนที่ชั่วคนใดอาจปรากฏตัว ไม่สำคัญว่าปัญหานั้นจะชัดแจ้งแยงตาเพียงใด พวกเขาก็มองไม่เห็นปัญหานั้น ต่อให้พวกเขามองเห็น พวกเขาก็ไม่รู้ว่านั่นคือปัญหา และต่อให้พวกเขารู้ว่านั่นคือปัญหา พวกเขาก็ไม่รู้วิธีแก้ปัญหานั้น ในทำนองเดียวกัน พวกผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณเทียมยิ่งหูหนวกตาบอดมากขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำต่อปัญหานับไม่ถ้วนเหล่านั้น ซึ่งผุดขึ้นมาปุบปับในระหว่างงานซึ่งไม่ลงรอยกับหลักธรรม พวกเขาพูดว่า “ฉันได้สื่อหลักธรรมของงานที่ฉันควรที่จะสื่อไปแล้ว ฉันได้เตือนสติพวกเขาครั้งแล้วครั้งเล่า และถึงขั้นที่ได้ให้ผู้คนจดหลักธรรมเหล่านั้นเอาไว้ด้วยซ้ำ” กระนั้นก็ตาม การที่พวกเขาได้สื่อทั้งหมดนี้ไปยังบุคคลที่ถูกต้องหรือไม่ การที่ประเด็นซึ่งพวกเขาได้สื่อนั้นถูกต้องอยู่ในแนวเดียวกันกับหลักธรรม อยู่ในแนวเดียวกันกับพระวจนะของพระเจ้า และสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่นั้น—พวกเขาไม่รู้การนี้เลย สำหรับเรื่องของคำสอนคำเล็กๆ ที่พวกเขาได้ประกาศไป ผู้คนประเภทใดหรือสามารถพึงพอใจกับการแยกย่อยคำสอนนั้น? พวกที่โง่เขลาและไม่รู้เท่าทัน คนที่ไร้การศึกษา คนเซ่อ คนปัญญาอ่อน คนโง่ ผู้คนเหล่านี้ถูกทิ้งให้ปนเปยุ่งเหยิง พวกเขาเชื่อว่านั่นล้วนแต่เป็นพระวจนะของพระเจ้า และว่าไม่มีพระวจนะใดเลยที่อาจผิดได้ มีเพียงผู้คนเช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถเต็มอิ่มได้โดยคำสอนนี้ ผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณเทียมไม่สามารถระบุแยกแยะปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างงาน พวกเขาหูหนวกตาบอดต่อปัญหาเหล่านั้น และแน่นอนว่า พวกเขายิ่งหูหนวกตาบอดมากขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำต่อสิ่งทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีหรือความเชี่ยวชาญ—สิ่งเหล่านี้ยิ่งอยู่เลยพ้นพวกเขามากขึ้นไปอีกเสียด้วยซ้ำ

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (8)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

อะไรคือคุณลักษณะเฉพาะหลักของผู้นำเทียมเท็จที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณเทียม? พวกเขาเป็นเลิศในการประกาศ แต่สิ่งที่พวกเขาประกาศไม่ใช่หนทางที่แท้จริง และนั่นไม่ใช่หนทางที่พระเจ้าทรงประกาศ นั่นไม่ใช่หนทางแห่งความจริง แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับเป็นแค่คำสอนตามตัวอักษร พวกเขาเก่งในการประกาศคำสอนตามตัวอักษร เก่งในการทุ่มเททำงานหนักให้กับเพียงแค่คำพูดและข้อความจากพระวจนะของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นการท่องพระวจนะเหล่านั้นหรือไตร่ตรองพระวจนะเหล่านั้น กล่าวโดยสรุปก็คือ พวกเขาขะมักเขม้นและพากเพียรบากบั่นเป็นพิเศษเมื่อมาถึงเรื่องของการประกาศคำสอน ภายนอกนั้น สิ่งใดก็ตามที่พวกเขาทำปรากฏเหมือนว่าเกี่ยวข้องกับความจริง พวกเขาไม่ดูเหมือนว่าจะทำให้หยุดชะงักหรือแทรกแซง ประพฤติตนอย่างไม่เหมาะสม หรือพูดหรือทำสิ่งที่ผิด แต่กระนั้น พวกเขาก็ไม่สามารถเข้ารับภาระงานอันใดซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือลุล่วงความรับผิดชอบได้เลยแม้แต่น้อย ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็นำไปสู่การที่พวกเขาไร้ความสามารถที่จะระบุแยกแยะปัญหาอันใดกับงานได้ พวกเขาทำงานเหมือนคนตาบอด พวกเขาหูหนวกตาบอด พวกเขาไม่สามารถมองเห็นปัญหาได้ ไม่สามารถระบุแยกแยะปัญหาได้ และดังนั้นแล้วพวกเขาสามารถที่จะรายงานปัญหาและกระทำการแสวงหาได้อย่างทันท่วงทีหรือ? ไม่ได้อย่างแน่นอน ปัญหาของผู้นำเทียมเท็จที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณเทียมเป็นปัญหาร้ายแรงหรือไม่? ผู้คนเช่นนั้นน่าชิงชังหรือไม่ พวกเขาน่าขยะแขยงหรือไม่? (พวกเขาน่าขยะแขยง) พวกเขาเชื่อว่าตัวเองมีกลเม็ดเด็ดพรายบางอย่าง มีความสามารถที่จะประกาศคำสอนบางส่วนและท่องพระวจนะของพระเจ้าได้หลายวจนะ ว่าพวกเขาสามารถสรุปแง่มุมทั้งหมดของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อผู้คนได้อย่างถ้วนทั่วและถูกต้อง—แต่พวกเขาไม่สามารถทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้ พระวจนะและคำสอนที่พวกเขาเตรียมไว้พร้อมสรรพ เข้าใจ และรู้นั้น ไม่สามารถช่วยให้พวกเขาปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาในฐานะผู้นำหรือคนทำงานได้ นับประสาอะไรที่จะช่วยให้พวกเขาค้นพบและจัดการแก้ไขประเด็นปัญหาที่พวกเขาเผชิญในงาน ผู้นำหรือคนทำงานประเภทนี้มีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งนี้หรือไม่? ชัดเจนเลยว่าไม่มี พวกเจ้าควรเลือกตั้งผู้นำเทียมเท็จที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณเทียมผู้ซึ่งไม่มีคุณสมบัติเหมาะสมหรือไม่? (ไม่ควร) ถ้าอย่างนั้นแล้วพวกเจ้าได้เคยเลือกตั้งผู้นำเช่นนั้นหรือไม่? (เคย) เราคาดว่าพวกเจ้าได้เคยเลือกตั้งมาแล้วไม่น้อย ใครก็ตามที่ได้เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปี ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้ามามากมาย ได้ฟังคำเทศนามากมาย มีประสบการณ์มากมายในงานและการประกาศ ย่อมสามารถประกาศได้หลายชั่วโมง—เจ้าคิดว่าบุคคลประเภทนี้จำเป็นที่จะต้องมีความสามารถในงาน แล้วผลลัพธ์ล่ะ? หลังจากที่เลือกตั้งพวกเขาขึ้นมาแล้ว เจ้าก็ค้นพบปัญหาที่ร้ายแรงประการหนึ่ง กล่าวคือ พวกเขาไม่สามารถเจอตัวได้เลย ประตูของพวกเขาปิดอยู่เสมอ พวกเขาได้ถอยห่างไปจากพี่น้องชายหญิงแล้ว อย่างไรก็ตาม ผู้อื่นคิดกับตัวเองว่า “เขาได้เป็นผู้เชื่อตลอดหลายปีมานี้ เขาเข้าใจความจริงและเขาก็มีรากฐาน เขาควรมีวุฒิภาวะและมีความสามารถที่จะแก้ไขปัญหาได้—แล้วเหตุใดเขาจึงปิดตัวเองอยู่เสมอเล่า? นี่แสดงให้เห็นว่าเขามีภาระอันใหญ่หลวง! นับตั้งแต่ที่ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้นำ เขาได้กลายเป็นเงียบขรึม เขาพูดจาต่างไป และเขาไม่เหมือนพวกเราที่เหลืออีกต่อไป นี่คือเหตุผลที่ส่วนใหญ่แล้วจะไม่เห็นเขา” นั่นคือสิ่งที่พวกเจ้าเชื่อหรือ? พวกเจ้าจะเลือกตั้งผู้นำเทียมเท็จประเภทนี้อีกหรือ? (ไม่) เหตุใดจึงไม่? อะไรหรือที่พวกเจ้าจะพูดว่าเป็นผลสืบเนื่องที่ตามมาจากการเลือกคนตาบอดเป็นผู้นำทางของพวกเจ้า? คนตาบอดสามารถนำทางเจ้าไปอยู่บนเส้นทางที่ดีได้หรือ? เขาตาบอด ถ้าอย่างนั้นแล้วเขาจะสามารถนำเจ้าได้อย่างไรเล่า? ไม่ว่าเขาจะไปที่ใดและไม่ว่าเขาจะทำงานใด เขาจำเป็นต้องมีใครคนอื่นที่จะนำเขา ตัวเขาเองไม่มีทิศทางหรือเป้าหมายเลย และเขาประกาศคำสอนที่เขาเข้าใจเพียงเพื่อจะให้ผู้อื่นได้ยินเท่านั้น—นั่นไม่มีผลกระทบหรือคุณค่าที่เป็นจริงอันใดเลย หากเจ้าเคารพเขาด้วยเหตุที่มีความสามารถที่จะประกาศคำพูดและคำสอน เจ้าเป็นบุคคลประเภทใดหรือ? เจ้าหูหนวกตาบอด โง่เขลา และเซ่อ เจ้าปีติยินดีที่เผชิญกับคนตาบอดและเจ้าก็ขอให้เขานำทาง เช่นนั้นแล้วเจ้าไม่ตาบอดด้วยหรอกหรือ? เจ้ามีดวงตาไว้เพื่ออะไรเล่า? มีสำนวนภาษิตหนึ่งท่ามกลางผู้ไม่เชื่อ นั่นคือเตี้ยอุ้มค่อม การเลือกตั้งผู้ที่เป็นฝ่ายจิตวิญญาณเทียมเป็นผู้นำก็คือ การที่คนตัวเตี้ยอุ้มคนหลังค่อมนั่นเอง

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (8)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

หากเหล่าศัตรูของพระคริสต์ได้รับอนุญาตให้วิ่งพล่านในคริสตจักร ได้รับอิสระอย่างเต็มที่ที่จะร่ำร้องคำขวัญและข้อโต้แย้งใดก็ตามที่พวกเขาปรารถนา เพื่อที่จะควบคุม ข่มขู่ หลอกลวง หรือทำให้บรรดาพี่น้องชายหญิงเข้าใจผิด และบรรดาผู้นำไม่ทำสิ่งใดเลย โดยไม่มีการหยั่งรู้และไม่สามารถที่จะเปิดโปงเหล่าศัตรูของพระคริสต์ได้อย่างทันท่วงที และให้พวกเขาอยู่ภายใต้การควบคุม โดยนำพาบรรดาพี่น้องชายหญิงให้ถูกเหล่าศัตรูพระคริสต์บงการและรบกวนตามใจ เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำของคริสตจักรนี้ย่อมเป็นขยะ หากเหล่าศัตรูของพระคริสต์และคนชั่วในคริสตจักรถูกบรรดาพี่น้องชายหญิงเดียดฉันท์และชิงชัง หากพวกเขาถูกล่ามโซ่ตรวนอยู่ภายในคริสตจักร และทุกคนมีการหยั่งรู้เหนือพวกเขา จนกระทั่งวาทะและคำขวัญที่ว่างเปล่าของพวกเขา ซึ่งหลอกลวงและทำให้บรรดาพี่น้องชายหญิงเข้าใจผิดใช้ไม่ได้ผลในคริสตจักร และวาทะและคำขวัญเหล่านั้นอยู่ภายใต้การควบคุม ปิดตาย เช่นนั้นแล้วบรรดาผู้นำของคริสตจักรนี้ก็ย่อมทำได้ตามมาตรฐาน พวกเขาย่อมเป็นบรรดาผู้นำซึ่งครองความจริงความเป็นจริง หากคริสตจักรหนึ่งถูกศัตรูของพระคริสต์ทำให้หยุดชะงัก และหลังจากที่ถูกบรรดาพี่น้องชายหญิงระบุแยกแยะและบอกปัด ศัตรูของพระคริสต์ผู้นั้นก็แก้แค้นโดยการกดขี่และทารุณกรรมบรรดาพี่น้องชายหญิง และบรรดาผู้นำก็ไม่ทำสิ่งใดเลย เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำของคริสตจักรนี้ก็ย่อมเป็นขยะ และควรถูกกำจัดทิ้ง ในฐานะบรรดาผู้นำของคริสตจักร หากพวกเขาไม่สามารถที่จะแก้ไขปัญหาโดยใช้ความจริง หากพวกเขาไม่สามารถระบุแยกแยะ ควบคุม และจำกัดความเอาแต่ใจของเหล่าศัตรูของพระคริสต์ในคริสตจักร ไร้ความสามารถที่จะอารักขาบรรดาพี่น้องชายหญิงและอารักขาพวกเขาเพื่อที่พวกเขาจะสามารถปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขาได้อย่างเป็นปกติ และไร้ความสามารถที่จะธำรงไว้ซึ่งการลงมือปฏิบัติงานของพระนิเวศของพระเจ้าอันเป็นปกติ เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำของคริสตจักรนี้ก็ย่อมเป็นขยะ และควรถูกกำจัดทิ้ง หากบรรดาผู้นำของคริสตจักรเกรงกลัวที่จะเข้าหาหรือยั่วยุศัตรูของพระคริสต์เพราะศัตรูของพระคริสต์ผู้นั้นดุดันและโหดร้าย และด้วยการนี้จึงเปิดโอกาสให้ศัตรูของพระคริสต์ผู้นั้นประพฤติตัวป่าเถื่อนในคริสตจักร กลายเป็นเผด็จการ ทำสิ่งใดก็ตามที่พวกเขาต้องการ และทำให้งานของพระนิเวศของพระเจ้าส่วนใหญ่เป็นอัมพาตและนำพางานนั้นส่วนใหญ่ไปสู่การยืนนิ่งอยู่กับที่ เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำของคริสตจักรนี้ก็ย่อมเป็นขยะ และควรถูกกำจัดทิ้ง หากเพราะความเกรงกลัวการลงทัณฑ์อันสาสม บรรดาผู้นำของคริสตจักรไม่มีความกล้าที่จะเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์เอาเสียเลย และไม่ลองพยายามเอาเสียเลยที่จะจำกัดบทบาทชั่วของศัตรูของพระคริสต์ผู้นั้น ด้วยการนั้นจึงเป็นเหตุให้เกิดการหยุดชะงักต่อชีวิตคริสตจักร และขัดขวางและสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อการเข้าไปสู่ชีวิตของบรรดาพี่น้องชายหญิง เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำของคริสตจักรนี้ก็ย่อมเป็นขยะ และควรถูกกำจัดทิ้ง

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (8)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

จะสามารถตัดสินได้อย่างไรว่า ผู้นำกำลังลุล่วงความรับผิดชอบของพวกเขาอยู่หรือไม่ ว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จหรือไม่? ที่เป็นพื้นฐานเบื้องต้นที่สุดคือการดูว่าพวกเขามีความสามารถที่จะทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงได้หรือไม่ ดูว่าพวกเขามีความสามารถนี้หรือไม่ ประการที่สอง ดูว่าอันที่จริงแล้วพวกเขาทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงนี้หรือไม่ ไม่ต้องไปใส่ใจคำพูดที่มาจากปากของพวกเขา ว่าพวกเขาเข้าใจความจริงดีเพียงใด ว่าพวกเขาครองขีดความสามารถ เชาว์ปัญญา พรสวรรค์ หรือความสามารถระดับเฉพาะหนึ่งหรือไม่ในยามที่พวกเขากำลังดำเนินกิจภายนอกหรืออะไรอื่น—ไม่ต้องไปใส่ใจทั้งหมดนั้น และจงดูเพียงว่าพวกเขาทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่เท่านั้น หากพวกเขาไม่ทำเช่นนั้น เช่นนั้นแล้วไม่สำคัญว่าพวกเขามีความสามารถเพียงใด พวกเขาย่อมเป็นผู้นำเทียมเท็จ ผู้คนบางคนพูดว่า “ใครเล่าใส่ใจว่าพวกเขาทำหรือไม่ทำ? พวกเขามีความสามารถที่ยิ่งใหญ่ และพวกเขาก็มีทักษะ เมื่อพวกเขาเริ่มทำงาน พวกเขาย่อมดีกว่าผู้คนส่วนใหญ่ ที่มากไปกว่านั้นก็คือ แม้ว่าพวกเขาไม่ทำงานจริง และใช้เวลามากมายไปกับการลอยชายไปเรื่อยเปื่อย แต่พวกเขาก็ไม่ได้ทำอะไรที่แย่เลย อีกทั้งพวกเขาไม่ได้กระทำความชั่ว ทั้งยังไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดการหยุดชะงักหรือการรบกวน พวกเขาไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดการสูญเสียหรือผลร้ายอันใดต่อพี่น้องชายหญิงหรือต่อคริสตจักร ถ้าอย่างนั้นแล้วพระองค์จะสามารถตรัสได้อย่างไรว่าพวกเขาเป็นผู้นำเทียมเท็จ?” จะอธิบายการนี้อย่างไร? บัดนี้ จงลืมไปเสียก่อนว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษเพียงใด ว่าขีดความสามารถของเจ้ายิ่งใหญ่เพียงใด หรือว่าเจ้าได้รับการศึกษาดีเพียงใด สิ่งที่สำคัญคือการที่เจ้าทำงานซึ่งสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่ และการที่เจ้าลุล่วงความรับผิดชอบของผู้นำหรือไม่ ในระหว่างเวลาของเจ้าในฐานะผู้นำ เจ้าได้มีส่วนร่วมในงานเฉพาะเจาะจงทุกชิ้นภายในวงเขตความรับผิดชอบของเจ้าหรือไม่ เจ้าได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นในระหว่างงานอย่างมีประสิทธิภาพกี่อย่าง มีผู้คนกี่คนได้มาเข้าใจความจริงหลักธรรมเพราะงานของเจ้า สภาวะผู้นำของเจ้า การนำของเจ้า งานแห่งพระนิเวศของพระเจ้ามากเพียงใดได้รุดหน้าและได้รับการผลักดันไปข้างหน้า? เหล่านี้คือสิ่งที่สำคัญ จงลืมไปเสียก่อนว่าเจ้าสามารถทวนซ้ำบทสวดอธิษฐานได้มากเพียงใด ว่าเจ้าได้เชี่ยวชาญในคำพูดและคำสอนมากเพียงใด จงลืมไปเสียก่อนว่าเจ้าใช้เวลากี่ชั่วโมงไปกับการตรากตรำในแต่ละวัน ว่าเจ้าเหนื่อยล้าเพียงใด และจงลืมไปเสียก่อนว่าเจ้าได้ใช้เวลาไปมากเพียงใดบนท้องถนน ว่าเจ้าได้ไปเยือนคริสตจักรมาแล้วกี่แห่ง ว่าเจ้าได้รับเอาความเสี่ยงมาแล้วกี่ครั้ง ว่าเจ้าได้พลาดมื้ออาหารไปแล้วกี่มื้อ—จงลืมทั้งหมดนี้ แล้วมองดูความสำเร็จลุล่วงของงานทั้งหมดซึ่งเจ้ารับผิดชอบเท่านั้น มีงานมากเพียงใดที่เจ้ารับผิดชอบอยู่ภายในวงเขตที่พระนิเวศของพระเจ้าพึงประสงค์ ซึ่งได้ถูกนำมาดำเนินการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นด้านทรัพยากรมนุษย์ ด้านการบริหาร หรือที่สัมพันธ์กับงานวิชาชีพ งานนั้นได้ถูกนำมาดำเนินการดีเพียงใด งานนั้นได้รับการติดตามผลดีเพียงใด มีความเผอเรอ ความเบี่ยงเบน ประเด็นปัญหา และความผิดพลาดที่เกี่ยวข้องกับหลักธรรมจำนวนมากเพียงใดที่เจ้าได้ช่วยในการแก้ไขให้ถูกต้องและเยียวยา เจ้าได้ช่วยแก้ไขปัญหาไปมากมายเพียงใด เจ้าได้แก้ไขปัญหาเหล่านั้นตามหลักธรรมและข้อพึงประสงค์แห่งพระนิเวศของพระเจ้าหรือไม่ และอื่นๆ—เหล่านี้ล้วนแต่เป็นเกณฑ์กำหนดซึ่งใช้ในการประเมินว่าผู้นำกำลังลุล่วงความรับผิดชอบทั้งหลายของพวกเขาหรือไม่

ตัดตอนมาจาก “การระบุแยกแยะผู้นำเทียมเท็จ (9)” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger