ก่อนการเสด็จมาถึงขององค์พระเยซูเจ้า บ่อยครั้งที่พวกฟาริสีกล่าวอธิบายองค์พระคัมภีร์ในธรรมศาลาและอธิษฐานต่อหน้าผู้คน พวกเขาปรากฏให้เห็นว่าเคร่งศรัทธามาก และในสายตาผู้คน ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่ได้ทำสิ่งใดที่ล่วงละเมิดองค์พระคัมภีร์ ดังนั้นแล้ว ทำไมหรือพวกฟาริสีจึงถูกองค์พระเยซูเจ้าสาปแช่ง? พวกเขาได้เยาะเย้ยท้าทายพระเจ้าในหนทางใด ทำไมพวกเขาจึงยั่วยุพระพิโรธของพระเจ้า?
ข้อพระคัมภีร์สำหรับอ้างอิง
“เพราะเหตุใดท่านทั้งหลายจึงละเมิดพระบัญญัติของพระเจ้า เพราะคำสอนสืบทอดของท่าน? เพราะว่าพระเจ้าทรงบัญญัติไว้ว่า ‘จงให้เกียรติบิดามารดาของตน’ และ ‘ใครประณามบิดามารดาจะต้องมีโทษถึงตาย’ แต่พวกท่านกลับสอนว่า ‘ใครกล่าวกับบิดามารดาว่า “สิ่งใดของข้าพเจ้าซึ่งอาจเป็นประโยชน์ต่อท่าน สิ่งนั้นเป็นของที่ถวายแด่พระเจ้าแล้ว” คนนั้นก็ไม่ต้องให้เกียรติบิดาของตน’อย่างนั้นแหละ พวกท่านทำให้พระวจนะของพระเจ้าเป็นโมฆะไป เพราะคำสอนสืบทอดของท่าน พวกหน้าซื่อใจคด อิสยาห์พยากรณ์ถึงท่านทั้งหลายถูกแล้วว่า ‘ชนชาตินี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของพวกเขาห่างไกลจากเรา พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอนว่าเป็นพระดำรัสสอน’” (มัทธิว 15:3-9)
“วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม [วิบัติแก่พวกเจ้าพวกธรรมาจารย์ และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าริบเอาบ้านของหญิงม่าย และแสร้งอธิษฐานเสียยืดยาว เพราะฉะนั้นพวกเจ้าจะต้องมีโทษมากยิ่งขึ้น]
วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า
วิบัติแก่พวกเจ้า คนนำทางที่ตาบอด พวกเจ้าสอนว่า ‘ใครที่จะสาบานโดยอ้างพระวิหาร คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ใครสาบานโดยอ้างทองคำของพระวิหาร คนนั้นจะต้องทำตามคำสาบาน’ โอ เจ้าพวกคนโง่เขลาและตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่า ทองคำหรือพระวิหารที่ทำให้ทองคำนั้นศักดิ์สิทธิ์? และพวกเจ้ายังสอนว่า ‘ใครจะสาบานโดยอ้างแท่นบูชา คำสาบานนั้นไม่ผูกมัด แต่ใครสาบานโดยอ้างเครื่องถวายบนแท่นบูชา คนนั้นต้องทำตามคำสาบาน’ เจ้าพวกคนตาบอด สิ่งไหนจะสำคัญกว่ากัน เครื่องถวาย หรือแท่นบูชาที่ทำให้เครื่องถวายนั้นศักดิ์สิทธิ์? เพราะฉะนั้นใครที่สาบานโดยอ้างแท่นบูชา ก็สาบานโดยอ้างแท่นบูชาและสิ่งสารพัดซึ่งอยู่บนแท่นบูชานั้นด้วย ใครสาบานโดยอ้างพระวิหาร ก็สาบานโดยอ้างพระวิหารและพระองค์ผู้สถิตในพระวิหารนั้นด้วย ใครสาบานโดยอ้างสวรรค์ ก็สาบานโดยอ้างพระที่นั่งของพระเจ้า และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งนั้นด้วย
วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าถวายทศางค์ที่เป็นสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า แต่เรื่องที่สำคัญกว่าในธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตาและความเชื่อนั้นพวกเจ้ากลับละเลย การถวายทศางค์นั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยเรื่องที่สำคัญนั้นด้วย โอ เจ้าพวกคนนำทางตาบอด เจ้ากรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป
วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย
วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและทุกอย่างที่โสโครก พวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความอธรรม
วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าก่อสร้างอุโมงค์ฝังศพของบรรดาผู้เผยพระวจนะ และตกแต่งอุโมงค์ฝังศพของคนชอบธรรมทั้งหลาย แล้วกล่าวว่า ‘ถ้าเราอยู่ในสมัยของบรรพบุรุษ เราจะไม่มีส่วนร่วมกับพวกเขา ในการทำให้โลหิตของผู้เผยพระวจนะทั้งหลายตก’ ถ้าเป็นเช่นนั้นเจ้าก็เป็นพยานปรักปรำตนเองว่า พวกเจ้าเป็นบุตรของพวกที่ฆ่าผู้เผยพระวจนะเหล่านั้น เจ้าก็จงทำอย่างที่บรรพบุรุษทำนั้นให้ครบถ้วนเถิด เจ้าพวกงู พวกชาติงูร้าย เจ้าจะพ้นโทษนรกได้อย่างไร? เพราะเหตุนี้ เราจึงใช้บรรดาผู้เผยพระวจนะ บรรดานักปราชญ์ และธรรมาจารย์ทั้งหลายไปหาพวกเจ้า เจ้าทั้งหลายก็จะฆ่าเสียบ้าง ตรึงเสียที่กางเขนบ้าง เฆี่ยนตีในธรรมศาลาของพวกเจ้าบ้าง ข่มเหงไล่ออกจากเมืองนี้ไปเมืองโน้นบ้าง เพื่อจะให้โลหิตของคนชอบธรรมทั้งหมดที่ตกในแผ่นดินโลกนั้นตกบนตัวพวกเจ้า ตั้งแต่โลหิตของอาเบลคนชอบธรรม จนถึงโลหิตของเศคาริยาห์บุตรเบเรคียาห์ที่เจ้าฆ่าเสียในที่ระหว่างพระวิหารกับแท่นบูชานั้น เราบอกความจริงกับพวกเจ้าว่า สิ่งทั้งหมดนี้จะตกกับคนในยุคนี้” (มัทธิว 23:13-36)
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซูหรือไม่? พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ธาตุแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่? พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาชีวิตความจริง และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้เท่าทันเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร? พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์ และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยได้ร่วมเคียงกับพระเมสสิยาห์ พวกเขาทำผิดพลาดที่ยึดติดกับเพียงแค่พระนามของพระเมสสิยาห์ ในขณะที่ต่อต้านเนื้อแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยธาตุแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง หลักการของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ทรงใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์ การเชื่อนี้ไม่ได้โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว
มนุษย์ได้ถูกทำให้เสื่อมทรามและมีชีวิตในกับดักของซาตาน ผู้คนทั้งหมดมีชีวิตในเนื้อหนัง มีชีวิตในความอยากได้อยากมีที่เห็นแก่ตัวและไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในหมู่พวกเขาที่เข้ากันได้กับเรา มีพวกที่บอกว่าพวกเขาเข้ากันได้กับเรา แต่ผู้คนเช่นนี้ทั้งหมดนมัสการรูปเคารพที่คลุมเครือ แม้ว่าพวกเขาจะยอมรับว่านามของเราบริสุทธิ์ แต่พวกเขาก็ย่ำไปในเส้นทางที่ไปตรงกันข้ามกับเรา และคำพูดของพวกเขาเต็มไปด้วยความโอหังและความมั่นใจในตนเอง นี่เป็นเพราะว่าโดยรากลึกแล้ว พวกเขาทั้งหมดต่อต้านเราและเข้ากันไม่ได้กับเรา ทุกวันพวกเขาแสวงหาร่องรอยต่างๆ ของเราในพระคัมภีร์และใช้การสุ่มค้นหาบทตอนที่ “เหมาะสม” ซึ่งพวกเขาอ่านอย่างไม่รู้จบและท่องจำเหมือนคัมภีร์ทั้งหลาย พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะเข้ากันได้กับเราหรืออะไรคือความหมายของการต่อต้านเรา พวกเขาแค่อ่านคัมภีร์ทั้งหลายไปอย่างมืดบอด ภายในพระคัมภีร์นั้น พวกเขากักขังพระเจ้าผู้คลุมเครือซึ่งพวกเขาไม่เคยเห็นและไม่สามารถมองเห็นได้ และนำมันออกไปชมดูในเวลาว่างของพวกเขา พวกเขาเชื่อในการดำรงอยู่ของเราภายในขอบเขตของพระคัมภีร์เท่านั้นและพวกเขาถือว่าเราเทียบเท่าพระคัมภีร์ กล่าวคือไม่มีพระคัมภีร์ไม่มีเราและไม่มีเราไม่มีพระคัมภีร์ พวกเขาไม่ใส่ใจต่อการดำรงอยู่หรือการกระทำของเรา แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับอุทิศการให้ความสนใจอย่างที่สุดและเป็นพิเศษให้กับทุกๆ คำในคัมภีร์ ผู้คนอีกมากมายกว่านั้นถึงกับเชื่อว่าเราไม่ควรทำสิ่งใดก็ตามที่เราปรารถนาจะทำเว้นแต่จะถูกบอกไว้ล่วงหน้าโดยคัมภีร์ พวกเขาให้ความสำคัญกับคัมภีร์มากเกินไป อาจกล่าวได้ว่าพวกเขาเห็นความสำคัญของวจนะและการแสดงออกต่างๆ มากเกินไปจนถึงขอบข่ายที่พวกเขาจะใช้ข้อพระคัมภีร์จากพระคัมภีร์มาวัดทุกคำที่เราพูดและเพื่อกล่าวโทษเรา สิ่งที่พวกเขาแสวงหาไม่ใช่หนทางแห่งการเข้ากันได้กับเราหรือหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริง แต่เป็นหนทางแห่งการเข้ากันได้กับวจนะของพระคัมภีร์และพวกเขาเชื่อว่าสิ่งใดที่ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ไม่ใช่งานของเราโดยไม่มีข้อยกเว้น ผู้คนเช่นนี้ไม่ใช่พงศ์พันธุ์ผู้เคร่งครัดต่อหน้าที่ของพวกฟาริสีหรอกหรือ? พวกฟาริสีชาวยิวใช้ธรรมบัญญัติของโมเสสกล่าวโทษพระเยซู พวกเขาไม่ได้แสวงหาความเข้ากันได้กับพระเยซูในเวลานั้น แต่ทำตามธรรมบัญญัติอย่างขยันขันแข็งตามตัวอักษร จนถึงขอบข่ายที่—หลังจากได้ตั้งข้อหาพระองค์ว่าไม่ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติในพันธสัญญาเดิมและไม่ใช่พระเมสสิยาห์—พวกเขาก็ได้ตอกตรึงพระเยซูผู้ไร้ความผิดเข้ากับกางเขนในท้ายที่สุด อะไรหรือคือแก่นแท้ของพวกเขา? มิใช่การที่พวกเขาไม่ได้แสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับความจริงหรอกหรือ? พวกเขาหมกมุ่นกับทุกๆ คำในคัมภีร์ในขณะที่ไม่ใส่ใจทั้งต่อเจตจำนงของเราและต่อขั้นตอนและวิธีการทำงานของเรา พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่แสวงหาความจริง แต่เป็นผู้คนที่เกาะติดอย่างตายตัวอยู่กับวจนะ พวกเขาไม่ใช่ผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า แต่เป็นผู้คนที่เชื่อในพระคัมภีร์ โดยแก่นแท้แล้ว พวกเขาคือสุนัขเฝ้าพระคัมภีร์ เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์นานาของพระคัมภีร์ เพื่อค้ำจุนความทรงเกียรติของพระคัมภีร์และเพื่อปกป้องเกียรติภูมิของพระคัมภีร์ พวกเขาถึงกับตอกตรึงพระเยซูผู้ทรงเปี่ยมปรานีไว้กับกางเขน พวกเขาทำสิ่งนี้ก็แค่เพื่อประโยชน์แห่งการป้องกันพระคัมภีร์เท่านั้นและเพื่อประโยชน์แห่งการธำรงสถานะของทุกๆ คำในพระคัมภีร์ไว้ในหัวใจของผู้คน ดังนั้นพวกเขาจึงพอใจที่จะเลือกละทิ้งอนาคตของพวกเขาและเครื่องบูชาลบล้างบาปเพื่อกล่าวโทษพระเยซูผู้ไม่ทรงปฏิบัติตามคำสอนของคัมภีร์จนถึงแก่ความตาย พวกเขาทั้งหมดไม่ได้เป็นข้ารับใช้ของทุกๆ คำในคัมภีร์หรอกหรือ?
—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้าควรแสวงหาหนทางแห่งการเข้ากันได้กับพระคริสต์
การตัดสินพระเยซูของพวกฟาริสี
มาระโก 3:21-22 เมื่อญาติพี่น้องของพระองค์ได้ยินเหตุการณ์นี้ ก็ออกไปรั้งพระองค์ไว้ เพราะพวกเขาบอกว่าพระองค์เสียสติแล้ว ส่วนพวกธรรมาจารย์ที่ลงมาจากกรุงเยรูซาเล็มกล่าวว่า “คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น”
พระเยซูทรงประณามพวกฟาริสี
มัทธิว 12:31-32 เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้ ถ้าใครกล่าวร้ายบุตรมนุษย์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นได้ แต่ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า
…………
ในพระคัมภีร์ การตีราคาพระเยซูพระองค์เองของพวกฟาริสีและสิ่งต่างๆ ที่พระองค์ทรงทำนั้นได้แก่ “…พวกเขาบอกว่าพระองค์เสียสติแล้ว… ‘คนนี้ถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิง ที่เขาขับผีได้ก็เพราะเขาใช้อำนาจของนายผีนั้น’” (มาระโก 3:21-22) การตัดสินองค์พระเยซูเจ้าของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีไม่ใช่การที่พวกเขาแค่เอาอย่างคำพูดของผู้คนอื่นๆ และไม่ใช่การอนุมานที่ไม่มีพื้นฐานที่มา—มันเป็นข้อสรุปที่พวกเขามีเกี่ยวกับองค์พระเยซูเจ้าจากสิ่งที่พวกเขามองเห็นและได้ยินเกี่ยวกับการกระทำของพระองค์ ถึงแม้ว่าข้อสรุปของพวกเขาจะมีขึ้นอย่างโอ้อวดในนามของความยุติธรรมและปรากฏต่อผู้คนเสมือนว่ามันมีพื้นฐานมาจากข้อเท็จจริง แต่ความโอหังที่พวกเขาใช้ตัดสินองค์พระเยซูเจ้านั้นก็ยากจะเก็บไว้แม้สำหรับพวกเขา พลังงานที่คลุ้มคลั่งของความเกลียดชังที่พวกเขามีต่อองค์พระเยซูเจ้าได้เปิดโปงความมักใหญ่ใฝ่สูงอันขาดการยับยั้งชั่งใจของพวกเขาเองและโฉมหน้าเยี่ยงซาตานชั่วของพวกเขา อีกทั้งธรรมชาติที่มุ่งร้ายของพวกเขาที่พวกเขาใช้ต้านทานพระเจ้า สิ่งเหล่านี้ที่พวกเขาพูดในการตัดสินองค์พระเยซูเจ้าของพวกเขาได้รับการขับเคลื่อนจากความมักใหญ่ใฝ่สูงอันขาดการยับยั้งชั่งใจ ความอิจฉาริษยา และธรรมชาติที่น่าเกลียดและมุ่งร้ายของความเป็นปรปักษ์ที่มีต่อพระเจ้าและความจริงของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ตรวจสอบแหล่งที่มาของการกระทำขององค์พระเยซูเจ้า อีกทั้งพวกเขาไม่ได้ตรวจสอบเนื้อแท้ของสิ่งที่พระองค์ตรัสหรือทำ แทนที่จะทำเช่นนั้น พวกเขาที่อยู่ในสภาวะของการปลุกปั่นที่บ้าคลั่ง กลับโจมตีและทำให้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงทำนั้นเสื่อมเสียด้วยความมุ่งร้ายโดยตั้งใจและอย่างมืดบอด พวกเขายังถึงกับตั้งใจทำให้พระวิญญาณของพระเจ้า นั่นคือ พระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นพระวิญญาณของพระเจ้าเสื่อมเสียด้วย นี่คือความหมายที่พวกเขาตั้งใจเมื่อพวกเขาพูดว่า “พระองค์เสียสติแล้ว” “ผีเบเอลเซบูล” และ “นายผีนั้น” กล่าวได้ว่าพวกเขาพูดว่าพระวิญญาณของพระเจ้าถูกผีเบเอลเซบูลเข้าสิงและเป็นนายผี พวกเขาอธิบายลักษณะพระราชกิจของพระวิญญาณซึ่งจุติมาเป็นมนุษย์ของพระเจ้า ที่ทรงสวมพระองค์เองในเนื้อหนังว่าเป็นความบ้า พวกเขาไม่เพียงแต่หมิ่นประมาทพระวิญญาณของพระเจ้าว่าเป็นผีเบเอลเซบูลและเป็นนายผี แต่ยังกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้า และกล่าวโทษและหมิ่นประมาทองค์พระเยซูคริสต์เจ้าอีกด้วย เนื้อแท้ของการต้านทานและการหมิ่นประมาทพระเจ้าของพวกเขาเหมือนกับเนื้อแท้ของการต้านทานและการหมิ่นประมาทพระเจ้าที่ซาตานและปีศาจให้ทั้งหมด พวกเขาไม่เพียงแต่เป็นตัวแทนมนุษย์ที่เสื่อมทรามเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาเป็นรูปจำแลงของซาตาน พวกเขาคือช่องทางของซาตานท่ามกลางมวลมนุษย์ และพวกเขาเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดและขี้ข้าของซาตาน เนื้อแท้ของการหมิ่นประมาทของพวกเขาและการทำให้องค์พระเยซูคริสต์เจ้าเสื่อมเสียคือการที่พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนกับพระเจ้าเพื่อให้ได้รับสถานะ การแข่งขันกับพระเจ้าของพวกเขา และการทดสอบพระเจ้าอย่างไม่รู้จบของพวกเขา เนื้อแท้ของการต้านทานพระเจ้าของพวกเขา และท่าทีการเป็นปรปักษ์ต่อพระองค์ของพวกเขา อีกทั้งคำพูดของพวกเขาและความคิดของพวกเขาต่างหมิ่นประมาทและทำให้พระวิญญาณของพระเจ้ากริ้วโดยตรง ด้วยเหตุนี้พระเจ้าจึงทรงกำหนดการพิพากษาที่เหมาะสมโดยมีพื้นฐานมาจากสิ่งที่พวกเขาพูดและทำ และพระเจ้าทรงกำหนดว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นบาปแห่งการหมิ่นประมาทต่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ บาปนี้ไม่อาจให้อภัยได้ทั้งในโลกนี้และโลกที่กำลังจะมาถึง ดังที่ได้รับการสนับสนุนในบทตอนดังต่อไปนี้ของพระคัมภีร์: “คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้” และ “ถ้าใครกล่าวร้ายพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะโปรดอภัยให้คนนั้นไม่ได้ ทั้งยุคนี้ยุคหน้า”
—พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 3
ในประเทศอิสราเอลนั้น “ฟาริสี” เคยเป็นชื่อตำแหน่งจำพวกหนึ่ง เหตุใดตอนนี้จึงเป็นการตีตราแทนเล่า? นี่เป็นเพราะพวกฟาริสีได้กลายเป็นตัวแทนของบุคคลชนิดหนึ่ง สิ่งใดคือคุณลักษณะเฉพาะของบุคคลชนิดนี้? พวกเขาสวดท่องคำขวัญ พวกเขามีทักษะในการเสแสร้ง ในการประดับตบแต่ง ในการซ่อนเร้นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา และพวกเขาตบตาด้วยการทำเป็นมีความสูงศักดิ์ยิ่งใหญ่ ความบริสุทธิ์และความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่ ความเป็นธรรมและเกียรติยิ่งใหญ่ ผลก็คือพวกเขาไม่ปฏิบัติความจริงแม้แต่น้อย พวกเขาปฏิบัติตนอย่างไรนะหรือ? พวกเขาก็อ่านบทคัมภีร์ พวกเขาประกาศ พวกเขาสอนผู้อื่นให้ทำดี ไม่ทำชั่ว ไม่ต้านทานพระเจ้า และพวกเขาก็ประพฤติตนดีต่อหน้าผู้อื่น แต่ทว่า เมื่อผู้อื่นหันหลังให้ พวกเขาก็ขโมยของถวาย องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสว่าพวกเขา “กรองลูกน้ำออกแต่กลืนตัวอูฐเข้าไป” นี่หมายความว่าพฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาดูดีที่ผิวภายนอก—พวกเขาสวดท่องคำขวัญอย่างโอ้อวด พวกเขาพูดถึงทฤษฎีที่สูงส่ง และคำพูดของพวกเขาฟังดูน่ายินดี แต่ทว่าความประพฤติของพวกเขาเป็นความรกรุงรังที่ไร้ระเบียบ ซึ่งต้านทานพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง พฤติกรรมและรูปลักษณ์ภายนอกของพวกเขาล้วนเป็นการเสแสร้ง ล้วนเป็นการฉ้อฉล ในหัวใจของพวกเขา พวกเขาไม่มีความรักแม้แต่น้อยสำหรับความจริงหรือสำหรับสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขารังเกียจความจริง รังเกียจทั้งหมดที่มาจากพระเจ้า และรังเกียจสิ่งทั้งหลายที่เป็นบวก พวกเขารักสิ่งใดหรือ? พวกเขารักความเป็นธรรมและความชอบธรรมหรือไม่? (ไม่) พวกเจ้าสามารถบอกได้อย่างไรว่าพวกเขาไม่รักสิ่งเหล่านี้? (องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยแผ่ข่าวประเสริฐเรื่องราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ที่พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่ยอมที่จะยอมรับเท่านั้น แต่ยังกล่าวโทษอีกด้วย) หากไม่มีการกล่าวโทษของพวกเขา เจ้าจะมีความสามารถที่จะบอกได้หรือไม่? ก่อนที่องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ สิ่งใดหรือที่อาจได้บอกเจ้าว่าพวกเขาไม่ได้รักความเป็นธรรมและความชอบธรรม? เจ้าจะไม่มีความสามารถที่จะบอกได้กระนั้นหรือ? พฤติกรรมทั้งหมดของพวกเขาเป็นการเสแสร้ง และพวกเขาใช้การเสแสร้งมีพฤติกรรมดีนี้เพื่อหลอกล่อความไว้วางใจจากผู้อื่น นี่ไม่ใช่ความหน้าซื่อใจคดและการเล่ห์ลวงหรือ? นักหลอกลวงเช่นนั้นสามารถรักความจริงได้หรือ? สิ่งใดคือจุดประสงค์ที่ซ่อนเร้นของพฤติกรรมดีนี้ของพวกเขา? ส่วนหนึ่งของจุดประสงค์ของพวกเขาคือเพื่อที่จะเล่นไม่ซื่อกับผู้อื่น อีกส่วนหนึ่งคือการหลอกลวงผู้อื่น ชนะใจพวกเขา และได้รับการสักการะบูชาจากพวกเขา และได้รับบำเหน็จรางวัลในที่สุด เทคนิคของพวกเขาต้องฉลาดเพียงใดจึงจะทำให้การต้มตุ๋นขนาดใหญ่เช่นนั้นสำเร็จได้? เช่นนั้นแล้ว ผู้คนเช่นนี้รักความยุติธรรมและความชอบธรรมหรือ? ไม่อย่างแน่นอน พวกเขารักสถานะ พวกเขารักชื่อเสียงและโชคลาภ และพวกเขาปรารถนาที่จะได้รับบำเหน็จรางวัล พวกเขาไม่นำพระวจนะแห่งคำสอนทั้งหลายของพระเจ้าสำหรับผู้คนไปสู่การปฏิบัติแต่อย่างใดเลย พวกเขาไม่นำพระวจนะเหล่านั้นมาทำให้เป็นชีวิตจริงเลยแม้แต่น้อย พวกเขาเพียงแค่ใช้การประดับตบแต่งและการปลอมแปลงตนเพื่อใช้เล่ห์กลกับผู้คนและชนะใจพวกเขา เพื่อพยุงสถานะและภาพพจน์ของพวกเขาเอง ครั้นสิ่งเหล่านี้มั่นคงแล้ว พวกเขาก็ใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อจัดหาเงินทุนและแหล่งรายได้ การนี้ไม่น่าเหยียดหยามหรือ? สามารถมองเห็นได้ในพฤติกรรมเหล่านี้ทั้งหมดของพวกเขาว่าแก่นแท้ของพวกเขาคือการไม่รักความจริง เนื่องจากพวกเขาไม่เคยนำความจริงไปปฏิบัติ สิ่งใดคือเครื่องหมายแสดงว่าพวกเขาไม่นำความจริงไปปฏิบัติ? นี่เป็นเครื่องหมายที่ใหญ่ที่สุด กล่าวคือ องค์พระเยซูเจ้าได้เสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ตรัสนั้นถูกต้อง ทุกสิ่งทุกอย่างที่พระองค์ได้ตรัสคือความจริง พวกเขาได้ปฏิบัติต่อการนั้นอย่างไรหรือ? (พวกเขาไม่ยอมรับการนั้น) พวกเขาไม่ยอมรับพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าเพราะพวกเขาเชื่อว่าพระวจนะเหล่านั้นผิด หรือพวกเขาไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านั้น ทั้งที่รู้ว่าพระวจนะเหล่านั้นถูกต้องหรือไม่? (พวกเขาไม่ยอมรับพระวจนะเหล่านั้นทั้งๆ ที่รู้ว่าพระวจนะเหล่านั้นถูกต้อง) และสิ่งใดเล่าจะสามารถทำให้เกิดการนี้ได้? พวกเขาไม่รักความจริง และพวกเขาชิงชังสิ่งต่างทั้งหลายที่เป็นบวก ทั้งหมดที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสถูกต้อง ไม่มีความผิดอันใด และทั้งที่พวกเขาไม่สามารถพบความผิดอันใดในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่จะใช้ต่อต้านพระองค์ แต่พวกเขาก็กล่าวโทษพระองค์ และแล้วพวกเขาก็สมคบคิดกันพูดว่า “ให้พระองค์ถูกตรึงกางเขน เป็นพระองค์หรือไม่ก็พวกเรา” ในหนทางนี้ พวกเขาตั้งตนเป็นคู่ต่อสู้กับองค์พระเยซูเจ้า แม้ว่าพวกเขาไม่ได้เชื่อว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พระองค์ก็ทรงเป็นบุคคลที่ดีซึ่งไม่ได้ทรงฝ่าฝืนทั้งกฎทั้งหลายตามกฎหมายและธรรมบัญญัติของพระยาห์เวห์[ก] เหตุใดเล่าพวกเขาจึงกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า? เหตุใดเล่าพวกเขาจึงปฏิบัติต่อองค์พระเยซูเจ้าเยี่ยงนั้น? สามารถมองเห็นได้ว่าผู้คนเหล่านี้เลวและมุ่งร้ายเพียงใด—พวกเขาชั่วอย่างสุดขั้ว! โฉมหน้าชั่วที่พวกฟาริสีเปิดโปงให้เห็นไม่สามารถแตกต่างจากการพรางตัวด้วยความใจดีมีเมตตามากไปกว่านี้แล้ว มีหลายคนที่ไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าอันไหนคือโฉมหน้าที่แท้จริงของพวกเขาและอันไหนคือความเทียมเท็จ ถึงกระนั้นการทรงปรากฎและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้าก็ได้เปิดเผยพวกเขาทั้งหมด พวกฟาริสีปลอมตัวดีเพียงใด พวกเขาดูเหมือนใจดีเพียงใดที่ภายนอก—หากข้อเท็จจริงเหล่านี้ไม่ได้ถูกเปิดเผย ก็คงจะไม่มีใครมีความสามารถที่จะมองเห็นพวกเขาในสิ่งที่พวกเขาเป็น
ตัดตอนมาจาก “ส่วนสำคัญที่สุดของการที่เชื่อในพระเจ้าคือการนำความจริงไปปฏิบัติ” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย
สิ่งใดคือการสำแดงที่สำคัญที่สุดของความหน้าซื่อใจคดของพวกฟาริสี? พวกเขาเพียงได้ตั้งใจอ่านข้อพระคัมภีร์เท่านั้น และไม่ได้แสวงหาความจริง เมื่อพวกเขาได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาก็ไม่ได้อธิษฐานหรือแสวงหา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น พวกเขากลับได้ศึกษาพระวจนะของพระเจ้า พวกเขาได้ศึกษาสิ่งที่พระเจ้าตรัสและทรงทำ และจึงได้แปรสภาพพระวจนะของพระองค์ไปเป็นทฤษฎีประเภทหนึ่ง ไปเป็นหลักคำสอนที่พวกเขาได้สอนให้ผู้อื่น นี่คือสิ่งที่การตั้งใจอ่านพระวจนะของพระเจ้าเป็น ดังนั้นแล้วเหตุใดพวกเขาจึงได้ทำการนั้น? สิ่งใดคือสิ่งที่พวกเขาตั้งใจอ่าน? ในสายตาของพวกเขา เหล่านี้ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า เหล่านี้ไม่ใช่การแสดงออกของพระเจ้า นับประสาอะไรที่พระวจนะเหล่านี้จะใช่ความจริง แต่กลับเป็นการศึกษาวิจัยรูปแบบหนึ่งเสียมากกว่า ในสายตาของพวกเขา การศึกษาวิจัยเช่นนี้ควรได้รับการส่งต่อ ควรได้รับการเผยแพร่ และการนี้เท่านั้นจึงจะได้เป็นการเผยแพร่หนทางของพระเจ้าและข่าวประเสริฐ นี่คือสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “การประกาศ” และคำเทศนาที่พวกเขาได้ประกาศก็คือเทววิทยา
…พวกฟาริสีได้ปฏิบัติต่อเทววิทยาและทฤษฎีที่พวกเขาช่ำชองในฐานะความรู้ประเภทหนึ่ง เป็นเครื่องมือสำหรับกล่าวโทษผู้คนและประเมินวัดว่าผู้คนถูกหรือผิด พวกเขาถึงกับได้ใช้เครื่องมือนี้กับองค์พระเยซูเจ้า—นั่นคือวิธีที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงถูกกล่าวโทษ การประเมินค่าผู้คนของพวกเขา และหนทางที่พวกเขาปฏิบัติต่อผู้คน ไม่เคยได้อยู่บนพื้นฐานของธาตุแท้ของพวกเขา หรือบนพื้นฐานของการที่ว่าสิ่งที่พวกเขาได้พูดไปถูกหรือผิด นับประสาอะไรกับพื้นฐานของแหล่งที่มาและต้นกำเนิดของคำพูดของพวกเขา พวกเขาเพียงแค่ได้กล่าวโทษและประเมินวัดผู้คนบนพื้นฐานของคำพูดและหลักคำสอนที่ไม่ยอมอ่อนข้อซึ่งพวกเขาช่ำชอง และดังนั้น ถึงแม้ว่าพวกฟาริสีเหล่านี้รู้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าทรงทำไม่ได้เป็นความบาป และไม่ได้ฝ่าฝืนกฎหมาย แต่พวกเขาก็ยังคงกล่าวโทษพระองค์ เพราะสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัสดูเหมือนจะไม่ลงรอยกับความรู้และการศึกษาวิจัยที่พวกเขาช่ำชอง และทฤษฎีทางเทววิทยาที่พวกเขาได้ขยายความไว้ และพวกฟาริสีเพียงแค่ไม่ยอมคลายกำมือจากคำและวลีเหล่านี้ พวกเขาได้เกาะติดความรู้นี้ และจะไม่ปล่อยมือ ในท้ายที่สุดบทอวสานที่เป็นไปได้หนึ่งเดียวคือสิ่งใด? พวกเขาจะไม่ยอมรับรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระเมสสิยาห์ที่จะเสด็จมา หรือไม่ยอมรับรู้ว่ามีความจริงในสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ตรัส นับประสาอะไรที่จะยอมรับรู้ว่าสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าได้ทรงทำนั้นสอดคล้องกับความจริง พวกเขาได้พบข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลบางอย่างเพื่อกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า—แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว ในหัวใจพวกเขา พวกเขาได้รู้หรือไม่ว่าความบาปเหล่านี้ที่พวกเขาใช้กล่าวโทษพระองค์ใช้ได้หรือไม่? พวกเขารู้ ดังนั้นแล้ว เหตุใดพวกเขาจึงยังคงกล่าวโทษพระองค์เช่นนี้? (พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะเชื่อว่าพระเจ้าผู้ทรงสูงส่งและทรงฤทธิ์ในจิตใจของพวกเขาจะสามารถเป็นองค์พระเยซูเจ้า เป็นพระฉายาของบุตรมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่งนี้) พวกเขาไม่ได้ต้องการที่จะยอมรับข้อเท็จจริงนี้ และสิ่งใดคือลักษณะที่แท้จริงของการปฏิเสธของพวกเขาที่จะยอมรับการนี้เล่า? ได้มีบางสิ่งเกี่ยวกับการพยายามใช้เหตุผลกับพระเจ้าในการนี้หรือไม่? สิ่งที่พวกเขาหมายถึงก็คือ “พระเจ้าจะสามารถทำการนั้นได้หรือ? หากพระเจ้าได้ทรงจุติมาเป็นมนุษย์ พระองค์ก็ต้องทรงกำเนิดจากเชื้อสายที่โด่งดังอย่างแน่นอน ที่มากกว่านั้นก็คือพระองค์ทรงต้องยอมรับการสอนสั่งของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี เรียนรู้ความรู้นี้ และอ่านข้อพระคัมภีร์มากๆ เพียงหลังจากพระองค์ทรงครองความรู้นี้แล้วเท่านั้น พระองค์จึงจะสามารถรับตำแหน่งของ ‘การจุติเป็นมนุษย์’ ได้” พวกเขาเชื่อว่า ประการแรก พระองค์ไม่ทรงมีคุณสมบัติเช่นนั้น ดังนั้นแล้ว พระองค์จึงไม่ทรงเป็นพระเจ้า ประการที่สอง หากปราศจากความรู้นี้ พระองค์ก็จะไม่สามารถทรงพระราชกิจของพระเจ้าได้ นับประสาอะไรที่พระองค์จะสามารถเป็นพระเจ้าได้ ประการที่สาม พระองค์ไม่สามารถทรงพระราชกิจนอกพระวิหารได้—ตอนนี้พระองค์ไม่ทรงอยู่ในพระวิหาร พระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางพวกคนบาปเสมอ ดังนั้นแล้วพระราชกิจที่พระองค์ทรงทำจึงอยู่เหนือโพ้นวงเขตแห่งพระราชกิจของพระเจ้า พื้นฐานของการกล่าวโทษของพวกเขามาจากที่ใด? จากข้อพระคัมภีร์ จากจิตใจของมนุษย์ และจากการศึกษาด้านเทววิทยาที่พวกเขาได้รับ เพราะพวกเขาพองโตด้วยมโนคติที่หลงผิด จินตนาการ และความรู้ พวกเขาจึงเชื่อว่าความรู้นี้ถูกต้อง เป็นความจริง เป็นพื้นฐาน และไม่มีวันที่พระเจ้าจะสามารถฝ่าฝืนสิ่งเหล่านี้ได้ พวกเขาได้แสวงหาความจริงหรือไม่? พวกเขาไม่ได้แสวงหา สิ่งที่พวกเขาได้แสวงหาคือมโนคติที่หลงผิดและจินตนาการของพวกเขาเอง และประสบการณ์ของพวกเขาเอง และพวกเขาได้พยายามใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อนิยามพระเจ้าและกำหนดพิจารณาว่าพระองค์ทรงถูกหรือผิด สิ่งใดคือบทอวสานท้ายสุดของการนี้? พวกเขาได้กล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าและตอกตรึงพระองค์กับกางเขน
ตัดตอนมาจาก “พวกเขาชั่ว เคลือบแฝง และเต็มไปด้วยเล่ห์ลวง (ภาคที่สาม)” ใน การเปิดโปงศัตรูของพระคริสต์
เชิงอรรถ:
ก. ข้อความต้นฉบับไม่มีคำว่า “ของพระยาห์เวห์”
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ