ในชีวิตจริงมีกจะพบเจอในบางเรื่องที่ไม่พึ่งประสงค์เรา ในบางครั้งทำให้ตัวเองรู้สึกทุกข์ทรมานและยากลำบาก ทุกครั้งที่พบเจอเรื่องราวเหล่านี้จิตใจมักจะอ่อนแอ ไม่เข้าใจว่าทำไมพระเจ้าจึงต้องให้ฉันพบเจอกับเรื่องที่ทุกข์ทรมานเช่นนี้ พวกเราควรเผชิญกับความทุกข์เหล่านี้อย่างไร?
พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง
ชีวิตที่พระผู้สร้างจัดการเตรียมการให้ผู้คนเป็นชีวิตแห่งความยากลำบาก หรือเป็นชีวิตที่มีความสุขและไร้กังวล? (ชีวิตแห่งความยากลำบาก) ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตแห่งความยากลำบาก พร้อมกับความลำบากยากเย็นมากเกินไปและความเจ็บปวดมากเกินไป อะไรคือพระประสงค์ของพระผู้สร้างในการจัดการเตรียมการเหล่านี้ และอะไรคือนัยสำคัญของการจัดการเตรียมการเหล่านี้? ในแง่หนึ่ง การจัดการเตรียมการเช่นนี้หมายที่จะเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ผ่านประสบการณ์กับและรู้จักอธิปไตย การจัดการเตรียมการ และสิทธิอำนาจของพระเจ้า ในอีกแง่หนึ่ง พระประสงค์เบื้องต้นของพระองค์คือเพื่อให้ผู้คนได้ผ่านประสบการณ์ว่าจริงๆ แล้วชีวิตคืออะไร และจากการนั้น ตระหนักว่าโชคชะตาของมนุษย์ถูกควบคุมโดยพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ได้ถูกตัดสินใจโดยบุคคลใด หรือเปลี่ยนแปลงไปโดยสืบเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในเจตจำนงเชิงอัตวิสัยของผู้คน ไม่ว่าพระผู้สร้างทรงทำอะไร และไม่ว่าจะเป็นชีวิตหรือชะตากรรมชนิดใดที่พระองค์ได้ทรงจัดการเตรียมการไว้ให้ผู้คน พระองค์ก็ทรงทำให้พวกเขาคิดทบทวนชีวิตและสิ่งที่โชคชะตาของมนุษย์เป็นจริงๆ และขณะที่พวกเขาคิดทบทวนสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด พระองค์ก็ทรงทำให้พวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เมื่อพระเจ้าทรงแสดงความจริงและตรัสบอกผู้คนว่าทั้งหมดนี้คืออะไร พระองค์ก็ทรงทำให้ผู้คนมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ ยอมรับสิ่งที่พระเจ้าตรัส ผ่านประสบการณ์กับสิ่งที่พระเจ้าตรัส เข้าใจว่าจริงๆ แล้วอะไรคือสัมพันธภาพระหว่างทุกสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับทุกสิ่งที่ผู้คนผ่านประสบการณ์ด้วยในชีวิตจริงของพวกเขา พระองค์ทรงให้ผู้คนตรวจสอบยืนยันความสัมพันธ์กับชีวิตจริง ความถูกต้องแม่นยำ และคุณสมบัติความเป็นจริงของความจริงเหล่านี้ ซึ่งหลังจากนั้นมนุษย์ก็ได้รับสิ่งเหล่านั้นไว้ และยอมรับรู้ว่าเขาถูกควบคุมในพระหัตถ์ของพระผู้สร้าง และว่าโชคชะตาของเขาถูกปกครองและจัดการเตรียมการโดยพระเจ้า ทันทีที่มนุษย์ได้เข้าใจทั้งหมดนี้แล้ว เขาก็จะไม่มีแผนการที่ไม่สัมพันธ์กับชีวิตจริงใดๆ สำหรับชีวิตของเขาอีกต่อไป และเขาจะไม่วางแผนที่จะขัดแย้งต่อความทรงปรารถนาของพระผู้สร้าง อีกทั้งสิ่งที่พระองค์ได้ทรงบัญญัติและจัดการเตรียมการไว้ แต่เขากลับจะมีการประเมินและความเข้าใจที่ถูกต้องแม่นยำขึ้นเรื่อยๆ หรือการจับใจความและแผนการ ว่าชีวิตของเขาควรใช้อย่างไรและถนนที่เขาควรใช้เสียมากกว่า
ตัดตอนมาจาก “โดยการแก้ไขมโนคติที่หลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงสามารถเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการที่เชื่อในพระเจ้า (2)” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์
ไม่มีผู้ใดใช้ทั้งชีวิตของพวกเขาไปโดยไม่มีความทุกข์ สำหรับผู้คนบางคนนั่นเกี่ยวกับครอบครัว สำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับงาน สำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับการสมรส และสำหรับบางคนนั่นเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บทางกายภาพ ทุกคนทนทุกข์ บางคนพูดว่า “เหตุใดผู้คนจึงต้องทนทุกข์? สิ่งนั้นคงจะยอดเยี่ยมเพียงใดที่จะดำรงทั้งชีวิตของพวกเราอย่างเปี่ยมสันติสุขและมีความสุข พวกเราไม่ทนทุกข์ไม่ได้หรือ?” ไม่ได้—ทุกคนต้องทนทุกข์ ความทุกข์ทำให้ทุกบุคคลได้รับประสบการณ์กับความรู้สึกมากมายมหาศาลของชีวิตทางกายภาพ ไม่ว่าความรู้สึกเหล่านี้จะเป็นเชิงบวก เชิงลบ คล่องแคล่ว หรือนิ่งเฉย ความทุกข์ให้ความรู้สึกและความซึ้งคุณค่าที่แตกต่างกันแก่เจ้า ซึ่งเป็นประสบการณ์ชีวิตทั้งหมดสำหรับเจ้า หากเจ้าสามารถแสวงหาความจริงและแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าจากสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเข้าไปใกล้ชิดเป้าหมายที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้ามากขึ้นตลอด นั่นคือแง่มุมหนึ่ง และนั่นก็เป็นไปเพื่อที่จะทำให้ผู้คนได้รับประสบการณ์เพิ่มขึ้น อีกแง่มุมหนึ่งคือความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบให้มนุษย์ ความรับผิดชอบอันใด? ความรับผิดชอบของการก้าวผ่านความทุกข์นี้ เจ้าต้องทนความทุกข์นี้ หากเจ้าสามารถทนได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือคำพยาน เมื่อเผชิญหน้ากับโรคภัยไข้เจ็บ ผู้คนบางคนกลัวว่าผู้อื่นจะล่วงรู้ พวกเขาคิดว่ามันเป็นบางสิ่งที่น่าละอาย ทั้งๆ ที่ในข้อเท็จจริง นี่ไม่ใช่สิ่งที่น่าละอาย ในฐานะบุคคลปกติ หากท่ามกลางโรคภัยไข้เจ็บ เจ้าสามารถยอมรับความทุกข์ประเภทต่างๆ ที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการไว้ให้เจ้า และยังคงสามารถปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าตามปกติได้ สามารถทำให้ภารกิจที่พระเจ้าทรงมอบให้เจ้าสำเร็จสมบูรณ์ตามปกติได้ เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือคำพยาน และนั่นเป็นบางสิ่งที่ทำให้ซาตานละอายและพ่ายแพ้ และดังนั้น ความทุกข์ใดๆ ควรถูกยอมรับและนบนอบโดยทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้างและทุกบุคคล นี่คือวิธีที่เจ้าควรเข้าใจสิ่งนั้น การนี้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และนั่นเป็นเจตนารมณ์ของพระเจ้า นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการสำหรับทุกสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง การที่พระองค์ทรงวางเจ้าในสถานการณ์และสภาพเงื่อนไขเหล่านี้เทียบเท่ากับการมอบความรับผิดชอบ พันธะ และภารกิจให้เจ้า และดังนั้นเจ้าจึงควรยอมรับสิ่งเหล่านี้ นี่ไม่ใช่ความจริงหรือ? ตราบเท่าที่สิ่งนั้นมาจากพระเจ้า ตราบเท่าที่พระเจ้าทรงทำข้อเรียกร้องเช่นนี้ต่อเจ้า เช่นนั้นแล้วสิ่งนั้นก็คือความจริง เหตุใดจึงพูดว่านั่นคือความจริง? นี่เป็นเพราะ หากเจ้ายอมรับพระวจนะเหล่านี้ในฐานะความจริง เช่นนั้นแล้วเมื่อเจ้าเผชิญประเด็นปัญหา พระวจนะเหล่านี้ก็จะสามารถแก้ไขมโนคติที่หลงผิดและความเป็นกบฏของเจ้า พระวจนะเหล่านี้จะเปิดโอกาสให้เจ้าผ่านประเด็นปัญหานี้ไปอย่างราบรื่น และพระวจนะเหล่านี้จะเปิดโอกาสให้เจ้าเป็นคำพยาน และไม่คัดค้านน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือกบฏต่อพระเจ้า หากเจ้าสามารถนบนอบต่อสภาพเงื่อนไขและสถานการณ์ซึ่งในนั้นพระเจ้าทรงวางเจ้าไว้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะเข้าใจความจริง และหากเจ้าสามารถเป็นพยานเช่นนั้นได้แล้วไซร้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะนำพาความละอายมาสู่ซาตาน
ตัดตอนมาจาก “โดยการแก้ไขมโนคติที่หลงผิดของคนเราเท่านั้น คนเราจึงสามารถเข้าสู่ร่องครรลองที่ถูกต้องแห่งการที่เชื่อในพระเจ้า (1)” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์
ในการเชื่อในพระเจ้าของพวกเขา สิ่งที่ผู้คนแสวงหาก็คือการได้มาซึ่งพระพรสำหรับอนาคต นี่คือเป้าหมายของพวกเขาในความเชื่อของพวกเขา ผู้คนทั้งหมดมีเจตนาและความหวังนี้ แต่ความเสื่อมทรามในธรรมชาติของพวกเขาต้องได้รับการแก้ไขโดยผ่านทางการทดสอบทั้งหลาย ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้าไม่ได้รับการทำให้บริสุทธิ์ ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าต้องได้รับการถลุง—นี่คือการจัดการเตรียมการของพระเจ้า พระเจ้าทรงสร้างสภาพแวดล้อมหนึ่งให้กับเจ้า อันเป็นการบังคับให้เจ้าได้รับการถลุงที่นั่นเพื่อที่เจ้าจะสามารถรู้ความเสื่อมทรามของตัวเจ้าเอง ในท้ายที่สุด เจ้าก็ไปถึงจุดที่เจ้าเลือกที่จะตายมากกว่าและล้มเลิกกลอุบายและความอยากทั้งหลายของเจ้า และนบนอบต่ออธิปไตยและการจัดการเตรียมการของพระเจ้า เพราะฉะนั้น หากผู้คนไม่มีกระบวนการถลุงอยู่เป็นเวลาหลายปี หากพวกเขาไม่สู้ทนความทุกข์ในปริมาณหนึ่ง พวกเขาก็จะไม่มีความสามารถที่จะขจัดพันธนาการแห่งความเสื่อมทรามของเนื้อหนังในความคิดของพวกเขาและในหัวใจของพวกเขาออกไปจากตัวพวกเขาได้ ในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้ายังตกอยู่ภายใต้พันธนาการของซาตาน และในแง่มุมใดก็ตามที่เจ้ายังมีความอยากได้อยากมีของตัวเจ้าเองและข้อเรียกร้องทั้งหลายของตัวเจ้าเอง ในแง่มุมเหล่านี้เองที่เจ้าควรทนทุกข์ เฉพาะโดยผ่านทางความทุกข์เท่านั้นที่จะสามารถเรียนรู้บทเรียนทั้งหลายได้ ซึ่งก็หมายถึงการมีความสามารถที่จะได้รับความจริง และเข้าใจน้ำพระทัยพระเจ้า ในข้อเท็จจริงนั้น ความจริงมากมายได้รับความเข้าใจโดยผ่านทางการได้รับประสบการณ์การทดสอบอันเจ็บปวดทั้งหลาย ไม่มีใครสามารถจับใจความในน้ำพระทัยของพระเจ้า ระลึกรู้ความทรงพระมหิทธิฤทธิ์และพระปรีชาญาณของพระเจ้า หรือซาบซึ้งในพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้าได้เมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ง่ายสบายและชูใจ หรือเมื่อรูปการณ์แวดล้อมเป็นใจ นั่นคงจะเป็นไปไม่ได้เลย!
ตัดตอนมาจาก “คนเราควรทำเช่นไรให้พระเจ้าพึงพอพระทัย ท่ามกลางการทดสอบทั้งหลาย” ใน บันทึกปาฐกถาของพระคริสต์
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ