วิธีที่คนเราสามารถเข้าสู่การอธิษฐานที่แท้จริงได้

วันที่ 26 เดือน 10 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ขณะอธิษฐาน เจ้าต้องมีหัวใจที่เงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และเจ้าต้องมีหัวใจที่จริงใจ เจ้ากำลังเข้าสนิทและอธิษฐานกับพระเจ้าอย่างแท้จริง—เจ้าต้องไม่พยายามป้อยอพระเจ้าโดยใช้คำพูดที่ฟังเสนาะหู การอธิษฐานควรเพ่งศูนย์กลางไปยังสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะทำให้สำเร็จลุล่วงในขณะนี้ จงขอให้พระเจ้าทรงมอบการรู้แจ้งและความกระจ่างที่มากกว่าเดิม จงนำสภาวะที่แท้จริงของเจ้าและปัญหาของเจ้าเข้าสู่การสถิตของพระองค์ในยามที่เจ้าอธิษฐาน รวมถึงปณิธานที่เจ้าได้ตั้งไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า การอธิษฐานไม่ได้เป็นเรื่องของการปฏิบัติไปตามขั้นตอน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับการแสวงหาพระเจ้าด้วยหัวใจที่จริงใจ จงขอให้พระเจ้าปกป้องหัวใจของเจ้า เพื่อที่หัวใจของเจ้าอาจเงียบสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ได้บ่อยครั้ง เพื่อว่าในสภาพแวดล้อมที่พระองค์ทรงวางเจ้าไว้ เจ้าจะได้รู้จักตนเอง ดูหมิ่นตนเองและละทิ้งตนเอง ส่งผลให้เจ้าได้มีความสัมพันธ์ที่ปกติกับพระเจ้าและกลายเป็นผู้ที่รักพระเจ้าอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน

ขั้นต่ำสุดที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมนุษย์คือมนุษย์มีความสามารถที่จะเปิดใจของเขาต่อพระองค์ได้ หากมนุษย์มอบหัวใจที่แท้จริงของเขาให้พระเจ้าและกล่าวในสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเขาอย่างแท้จริงแล้ว พระเจ้าก็เต็มพระทัยที่จะทรงพระราชกิจในตัวเขา สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงปรารถนามิใช่หัวใจที่บิดเบี้ยวของมนุษย์ แต่เป็นหัวใจที่บริสุทธิ์และซื่อตรง หากมนุษย์ไม่พูดจากใจของเขาต่อพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระเจ้าจะไม่ทรงขับเคลื่อนหัวใจของเขาหรือทรงพระราชกิจในตัวเขา ดังนั้น สิ่งสำคัญที่สุดของการอธิษฐานคือการทูลต่อพระเจ้าจากหัวใจของเจ้า บอกพระองค์ถึงข้อบกพร่องหรืออุปนิสัยดื้อรั้นของเจ้า เปิดเผยตัวตนของเจ้าอย่างหมดเปลือกเฉพาะพระพักตร์พระองค์ เช่นนี้เท่านั้น พระเจ้าจึงจะทรงสนใจในการอธิษฐานของเจ้า มิเช่นนั้นแล้ว พระองค์ก็จะทรงซ่อนเร้นพระพักตร์ของพระองค์จากเจ้า เกณฑ์กำหนดต่ำสุดสำหรับการอธิษฐานคือเจ้าพึงต้องมีความสามารถที่จะนิ่งสงบหัวใจของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และหัวใจเจ้าต้องไม่ออกห่างจากพระเจ้า อาจเป็นไปได้ว่าในระยะนี้ เจ้าไม่ได้รับความเข้าใจเชิงลึกที่ใหม่ขึ้นหรือสูงขึ้น แต่เจ้าจำต้องใช้การอธิษฐานเพื่อรักษาสถานภาพที่เป็นอยู่—เจ้าต้องไม่ถอยหลัง นี่เป็นสิ่งเล็กน้อยที่สุดที่เจ้าต้องสัมฤทธิ์ หากเจ้าไม่สามารถสัมฤทธิ์แม้แต่สิ่งนี้ได้ เช่นนั้นแล้วก็ย่อมพิสูจน์ว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าไม่ได้อยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้อง ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือเจ้าจะไร้ความสามารถที่จะยึดมั่นในนิมิตที่เจ้าเคยมีมาแต่ต้น เจ้าจะสูญเสียความเชื่อในพระเจ้า และปณิธานของเจ้าจะจางหายไปตามลำดับ สัญญาณหนึ่งซึ่งบ่งบอกว่าเจ้าได้เข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณแล้วหรือไม่ก็คือ ได้เห็นว่าการอธิษฐานของเจ้านั้นอยู่ในร่องครรลองที่ถูกต้องหรือไม่ ผู้คนทุกคนต้องเข้าสู่ความเป็นจริงนี้ พวกเขาทุกคนต้องทำงานในการฝึกฝนตนเองอย่างมีสติในการอธิษฐาน ไม่รอคอยอย่างนิ่งเฉย แต่ตั้งสติแสวงหาการได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เช่นนี้เท่านั้น พวกเขาจึงจะเป็นผู้คนที่แสวงหาพระเจ้าอย่างแท้จริง

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน

การอธิษฐานไม่ใช่กรณีของการทำไปอย่างพอเป็นพิธี การทำตามขั้นตอน หรือการท่องพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น กล่าวคือการอธิษฐานไม่ใช่การกล่าวถ้อยคำเฉพาะบางคำเยี่ยงนกแก้วนกขุนทอง และไม่ไช่การเลียนแบบผู้อื่น ในการอธิษฐานนั้น คนเราต้องเข้าถึงสภาวะที่เราสามารถมอบหัวใจให้พระเจ้าได้ โดยวางหัวใจของเราอย่างเปิดกว้างเพื่อให้พระเจ้าทรงขับเคลื่อนได้ หากจะให้การอธิษฐานนั้นมีประสิทธิผลแล้ว การอธิษฐานจะต้องอยู่บนพื้นฐานของการอ่านพระวจนะของพระเจ้า โดยการอธิษฐานจากภายในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น เราจึงจะสามารถได้รับการรู้แจ้งและการได้รับความกระจ่างมากขึ้น การสำแดงต่างๆ ของการอธิษฐานที่แท้จริงคือ การมีหัวใจซึ่งโหยหาสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงขอ และยิ่งไปกว่านั้น ความปรารถนาต่างๆ ที่จะสำเร็จลุล่วงในสิ่งที่พระองค์ทรงเรียกร้อง การรังเกียจสิ่งที่พระเจ้าทรงรังเกียจ และจากนั้น ด้วยการก่อร่างขึ้นต่อไปบนฐานรากนี้ ก็จะมีการได้รับความเข้าใจ และการมีความรู้และความกระจ่างแจ้งบางอย่างเกี่ยวกับความจริงที่พระเจ้าทรงอธิบายโดยละเอียด เมื่อมีปณิธานมุ่งมั่น มีความเชื่อ มีความรู้ และมีเส้นทางของการปฏิบัติตามหลังการอธิษฐาน เมื่อนั้นเท่านั้นจึงจะสามารถเรียกได้ว่าเป็นการอธิษฐานที่แท้จริง และการอธิษฐานประเภทนี้เท่านั้นที่สามารถส่งประสิทธิผล แต่การอธิษฐานจะต้องตั้งอยู่บนความชื่นชมยินดีในพระวจนะของพระเจ้า จะต้องถูกสถาปนาบนฐานรากแห่งการเข้าสนิทกับพระเจ้าในพระวจนะของพระองค์ และหัวใจต้องมีความสามารถที่จะแสวงหาพระเจ้าและกลายเป็นนิ่งสงบเฉพาะพระพักตร์พระองค์ การอธิษฐานแบบนี้ได้เข้าสู่ระยะของการเข้าสนิทกับพระเจ้าอย่างแท้จริงแล้ว

ความรู้พื้นฐานที่สุดเกี่ยวกับการอธิษฐานคือ:

1. อย่ากล่าวอะไรก็ตามที่แวบเข้ามาในใจโดยอย่างมืดบอด จะต้องมีภาระหนึ่งอยู่ในหัวใจของเจ้า นั่นก็คือ เจ้าต้องมีวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งเมื่อเจ้าอธิษฐาน

2. คำอธิษฐานต้องบรรจุไปด้วยพระวจนะของพระเจ้า ต้องมีรากฐานอยู่บนพระวจนะของพระเจ้า

3. ขณะกำลังอธิษฐาน อย่ารื้อฟื้นปัญหาเดิมๆ ราวกับเป็นเรื่องใหม่ คำอธิษฐานของเจ้าควรสัมพันธ์กับพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า และเมื่อเจ้าอธิษฐาน จงบอกพระเจ้าถึงความคิดส่วนลึกที่สุดของเจ้า

4. การอธิษฐานเป็นกลุ่มต้องวนเวียนอยู่รอบๆ ศูนย์กลางหนึ่ง ซึ่งจำเป็นต้องเป็นพระราชกิจปัจจุบันของพระวิญญาณบริสุทธิ์

5. ทุกคนต้องเรียนรู้การอธิษฐานทูลขอ นี่เป็นวิธีหนึ่งซึ่งแสดงการคำนึงถึงน้ำพระทัยของพระเจ้าด้วยเช่นกัน

ชีวิตแห่งการอธิษฐานของแต่ละคนตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจในนัยสำคัญของการอธิษฐานและความรู้พื้นฐานของการอธิษฐาน ในชีวิตประจำวัน จงอธิษฐานบ่อยๆ เพื่อข้อบกพร่องของเจ้าเอง จงอธิษฐานเพื่อให้บังเกิดการเปลี่ยนแปลงในอุปนิสัยในชีวิตของเจ้าและจงอธิษฐานบนพื้นฐานของความรู้ในพระวจนะของพระเจ้า แต่ละบุคคลควรกำหนดชีวิตแห่งการอธิษฐานของพวกเขาเอง พวกเขาควรอธิษฐานเพื่อให้ได้รู้จักพระวจนะของพระเจ้า และพวกเขาควรอธิษฐานเพื่อแสวงหาความรู้เกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า จงแผ่วางรูปการณ์แวดล้อมส่วนตัวทั้งหลายของเจ้าเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และจงเป็นจริงโดยไม่ต้องวุ่นวายกังวลกับวิธีที่เจ้าอธิษฐาน และประเด็นสำคัญคือเพื่อที่จะบรรลุความเข้าใจที่แท้จริง และเพื่อที่จะได้รับประสบการณ์จริงจากพระวจนะของพระเจ้า บุคคลที่ไล่ตามเสาะหาเพื่อเข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณต้องมีความสามารถที่จะอธิษฐานได้ในหลากหลายวิธี การอธิษฐานเงียบ โดยครุ่นคิดถึงพระวจนะของพระเจ้า ทำความรู้จักกับพระราชกิจของพระเจ้า—เหล่านี้คือตัวอย่างทั้งหมดของการงานที่มีจุดประสงค์ของสามัคคีธรรมฝ่ายวิญญาณเพื่อประโยชน์ต่อการสัมฤทธิ์การเข้าสู่ชีวิตฝ่ายวิญญาณปกติ ซึ่งจะปรับปรุงให้สภาวะต่างๆ ของคนเราเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าดียิ่งขึ้นตลอดเวลา และผลักดันให้คนเราสร้างความก้าวหน้าในชีวิตมากยิ่งขึ้นเสมอ กล่าวสั้นๆ ก็คือ ทุกสิ่งที่เจ้ากระทำไม่ว่าจะเป็นการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรืออธิษฐานอย่างเงียบๆ หรือป่าวประกาศเสียงดัง เป็นไปเพื่อให้เจ้ามีความสามารถที่จะมองเห็นพระวจนะของพระเจ้า พระราชกิจของพระองค์ และสิ่งที่พระองค์ทรงปรารถนาที่จะสัมฤทธิ์ในตัวเจ้าได้อย่างชัดเจน ที่สำคัญกว่านั้นก็คือ ทุกสิ่งที่เจ้าทำไปนั้นได้ถูกทำไปเพื่อที่จะไปให้ถึงมาตรฐานต่างๆ ที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์ และเพื่อเชิดชูชีวิตของเจ้าขึ้นไปสู่ความสูงระดับใหม่

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน

และเจ้าแสวงหาการได้รับการสัมผัสโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างไร? สิ่งสำคัญยิ่งยวดคือการมีชีวิตอยู่ในพระวจนะปัจจุบันของพระเจ้า และการอธิษฐานบนรากฐานของข้อพึงประสงค์ของพระเจ้า เมื่อได้อธิษฐานด้วยวิธีนี้ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสัมผัสเจ้าได้อย่างแน่นอน หากเจ้าไม่ได้แสวงหาหลักสำคัญในรากฐานของพระวจนะที่พระเจ้าตรัสในวันนี้ เช่นนั้นแล้วการนี้ก็จะไร้ผล เจ้าควรอธิษฐานและกล่าวว่า “โอ้พระเจ้า! ข้าพระองค์ต่อต้านพระองค์ และข้าพระองค์เป็นหนี้พระองค์อย่างมาก ข้าพระองค์ไม่เชื่อฟังอย่างมากและไม่เคยมีความสามารถที่จะทำให้พระองค์สมดังพระทัยได้เลย โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์ปรารถนาให้พระองค์ช่วยข้าพระองค์ให้รอด ข้าพระองค์ปรารถนาจะให้การปรนนิบัติพระองค์จวบจนวาระสุดท้าย ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะตายเพื่อพระองค์ พระองค์ทรงพิพากษาข้าพระองค์และตีสอนข้าพระองค์ และข้าพระองค์ไม่มีการพร่ำบ่นใดๆ ข้าพระองค์ต่อต้านพระองค์และข้าพระองค์สมควรตาย เพื่อที่ผู้คนทั้งมวลจะได้เห็นพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ในการตายของข้าพระองค์” เมื่อเจ้าอธิษฐานภายในหัวใจด้วยวิธีนี้ พระเจ้าจะทรงรับฟังเจ้า และจะทรงนำเจ้า หากเจ้าไม่อธิษฐานบนรากฐานของพระวจนะของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในวันนี้ เช่นนั้นแล้วจะไม่มีความเป็นไปได้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะสัมผัสเจ้า หากเจ้าอธิษฐานตามน้ำพระทัยของพระเจ้า และตามสิ่งที่พระเจ้าทรงปรารถนาจะทำในวันนี้ เจ้าจะทูลว่า “โอ้พระเจ้า! ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะยอมรับพระบัญชาของพระองค์และสัตย์ซื่อต่อพระบัญชาของพระองค์ และข้าพระองค์เต็มใจที่จะอุทิศทั้งชีวิตของข้าพระองค์เพื่อพระสิริของพระองค์ เพื่อให้ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์ทำสามารถไปถึงซึ่งมาตรฐานของประชากรของพระเจ้าได้ ขอให้หัวใจของข้าพระองค์ได้รับการสัมผัสจากพระองค์ ข้าพระองค์ปรารถนาให้พระวิญญาณของพระองค์ประทานความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ เพื่อทำให้ทุกสิ่งที่ข้าพระองค์ทำนำมาซึ่งความอับอายต่อซาตาน ว่าข้าพระองค์ได้รับการรับไว้จากพระองค์ในท้ายที่สุด” หากเจ้าอธิษฐานด้วยวิธีนี้ ด้วยวิธีที่มีศูนย์กลางอยู่ที่น้ำพระทัยของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์ย่อมจะทรงพระราชกิจในตัวเจ้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่สำคัญเลยว่าการอธิษฐานของเจ้าจะมีถ้อยคำมากเพียงใด—กุญแจสำคัญคือเจ้าจับความเข้าใจในน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือไม่ พวกเจ้าทั้งหมดอาจเคยมีประสบการณ์ดังต่อไปนี้มาแล้ว กล่าวคือ บางครั้ง ในขณะที่อธิษฐานในการชุมนุม พลังของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็มาถึงจุดสูงสุด ทำให้พละกำลังของทุกคนผุดขึ้น ผู้คนบางส่วนร้องไห้อย่างขมขื่นและหลั่งน้ำตาร่ำไห้ขณะอธิษฐาน ครอบงำด้วยความสำนึกผิดต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า และผู้คนบางส่วนแสดงให้เห็นถึงความแน่วแน่ของพวกเขา และให้คำสาบาน นั่นคือผลที่จะสัมฤทธิ์ด้วยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ในวันนี้ เป็นสิ่งสำคัญยิ่งยวดที่ผู้คนทั้งปวงเทหัวใจของพวกเขาลงในพระวจนะของพระเจ้าอย่างครบบริบูรณ์ อย่ามุ่งเน้นที่พระวจนะที่ได้ตรัสมาก่อนหน้านี้ หากเจ้ายังคงยึดมั่นในสิ่งที่มีมาก่อนหน้านี้ เช่นนั้นแล้วพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจภายในตัวเจ้า เจ้าเห็นหรือไม่ว่านี่สำคัญเพียงใด?

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, รู้จักพระราชกิจใหม่ล่าสุดของพระเจ้าและติดตามรอยพระบาทของพระองค์

เมื่อเจ้าเริ่มอธิษฐาน อย่าทำเกินความสามารถของตนเองและหวังว่าจะสัมฤทธิ์ทุกสิ่งพร้อมกันในคราวเดียว เจ้าไม่สามารถทำการเรียกร้องที่ฟุ้งเฟ้อโดยคาดหมายว่าทันทีที่เจ้าเปิดปากของเจ้าว่าเจ้าจะได้รับการขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ หรือว่าเจ้าจะได้รับความรู้แจ้งและความกระจ่าง หรือว่าพระเจ้าจะทรงโปรยปรายพระคุณลงบนตัวเจ้า นั่นจะไม่เกิดขึ้น พระเจ้าไม่ทรงแสดงสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ พระเจ้าทรงยอมรับการอธิษฐานของผู้คนในเวลาของพระองค์เอง และบางครั้ง พระองค์ทรงทดสอบความเชื่อของเจ้าเพื่อดูว่าเจ้าจงรักภักดีเฉพาะพระพักตร์พระองค์หรือไม่ ยามเจ้าอธิษฐาน เจ้าต้องมีความเชื่อ ความมานะบากบั่นและปณิธาน ตอนที่เพิ่งเริ่มการฝึกฝน ผู้คนส่วนใหญ่ถอดใจ ก็เพราะพวกเขาพลาดการถูกขับเคลื่อนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แบบนี้ใช้ไม่ได้! เจ้าต้องมานะบากบั่น เจ้าต้องมุ่งเน้นไปที่ความรู้สึกถึงการขับเคลื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์และไปที่การแสวงหาและการท่องสำรวจ บางครั้ง เส้นทางแห่งการปฏิบัติของเจ้าไม่ถูกต้อง และบางครา แรงจูงใจและมโนคติอันหลงผิดส่วนตัวทั้งหลายของเจ้าไม่สามารถยึดมั่นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้ และดังนั้น พระวิญญาณของพระเจ้าจึงไม่สามารถขับเคลื่อนเจ้าได้ ในเวลาอื่นๆ พระเจ้าก็จะทรงมองว่าเจ้าจงรักภักดีหรือไม่ กล่าวสั้นๆ ก็คือในการฝึกฝน เจ้าควรยอมจ่ายในราคาที่สูงขึ้น หากเจ้าค้นพบว่าเจ้ากำลังไม่ตรงลู่ตรงทางบนเส้นทางของการปฏิบัติของเจ้า เจ้าก็สามารถเปลี่ยนวิธีการอธิษฐานของเจ้าได้ ตราบที่เจ้าเสาะแสวงด้วยหัวใจที่จริงใจและโหยหาที่จะได้รับ ตราบนั้นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะนำเจ้าเข้าสู่ความเป็นจริงนี้อย่างแน่นอน บางคราวเจ้าอธิษฐานด้วยหัวใจที่จริงใจ แต่กลับไม่รู้สึกเสมือนว่าเจ้าได้ถูกขับเคลื่อนโดยเฉพาะ ในคราวต่างๆ ที่เป็นเช่นนี้ เจ้าต้องพึ่งพาในความเชื่อ ไว้วางใจว่าพระเจ้าจะทรงสอดส่องดูแลการอธิษฐานของเจ้า เจ้าต้องมีความมานะบากบั่นในการอธิษฐานของเจ้า

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ว่าด้วยกิจวัตรของการอธิษฐาน

เราได้ค้นพบปัญหาหนึ่งที่ผู้คนทั้งหมดมีร่วมกัน นั่นก็คือ เมื่อบางสิ่งบางอย่างเกิดขึ้นกับพวกเขา พวกเขามาอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แต่สำหรับพวกเขาแล้ว คำอธิษฐานคือสิ่งหนึ่ง และเรื่องในขณะนั้นคืออีกสิ่งหนึ่ง พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาไม่ควรกล่าวถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับพวกเขาในคำอธิษฐาน พวกเขาไม่ค่อยอธิษฐานอย่างจริงแท้ และมีบางคนที่ไม่แม้แต่จะรู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร แท้ที่จริงแล้ว การจะอธิษฐานคือการพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าเป็นหลัก ราวกับว่าเจ้ากำลังกล่าวอย่างที่เจ้าทำตามปกติ อย่างไรก็ตาม มีผู้คนที่ลืมสถานะของตนเองทันทีที่พวกเขาเริ่มอธิษฐาน พวกเขายืนกรานว่าพระเจ้าประทานบางสิ่งบางอย่างให้พวกเขา โดยไม่ใส่ใจว่านั่นสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์หรือไม่ และผลลัพธ์ก็คือ คำอธิษฐานของพวกเขาก็อับเฉาในการอธิษฐาน เมื่อเจ้าอธิษฐาน สิ่งใดก็ตามที่เจ้ากำลังขอในหัวใจของเจ้า สิ่งใดก็ตามที่เจ้าถวิลหา หรือบางที อาจจะมีประเด็นปัญหาที่เจ้าปรารถนาจะกล่าวถึง แต่เจ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจเชิงลึกในการนั้น และเจ้ากำลังทูลขอให้พระเจ้าทรงมอบปัญญาหรือเรี่ยวแรงกำลังให้แก่เจ้า หรือให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า—คำร้องขอของเจ้าเป็นสิ่งใดก็ตาม เจ้าต้องมีสำนึกรับรู้ในการถ่ายทอดคำนั้นออกมา หากเจ้าไม่มีสำนึกรับรู้ และคุกเข่าลงกล่าวว่า “พระเจ้า โปรดมอบเรี่ยวแรงกำลังแก่ข้าพระองค์ โปรดให้ข้าพระองค์มองเห็นธรรมชาติของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ทูลขอให้พระองค์ทรงพระราชกิจ ข้าพระองค์ทูลขอพระองค์เพื่อการนี้และการนั้น ข้าพระองค์ทูลขอให้พระองค์ทรงทำให้ข้าพระองค์เป็นเช่นนั้นเช่นนี้…” การ “ทูลขอ” นั้นของเจ้ามีคุณสมบัติเชิงขู่กรรโชก นั่นคือความพยายามที่จะสร้างความกดดันต่อพระเจ้า ที่จะบังคับให้พระองค์ทรงทำสิ่งที่เจ้าต้องการ—ผู้ซึ่งเจ้าได้กำหนดเงื่อนไขของพระองค์ไว้ล่วงหน้าแต่ฝ่ายเดียวแล้ว ไม่น้อยไปกว่านั้น ดังที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทอดพระเนตรนั้น คำอธิษฐานเช่นนั้นสามารถส่งผลใด เมื่อเจ้าได้ตั้งเงื่อนไขและกำหนดสิ่งที่เจ้าต้องการจะทำไปเรียบร้อยแล้ว? คนเราควรอธิษฐานด้วยหัวใจที่แสวงหาและนบนอบ ตัวอย่างเช่น เมื่อบางสิ่งบางอย่างได้บังเกิดขึ้นกับเจ้า และเจ้าไม่แน่ใจว่าจะรับมือกับการนั้นอย่างไร เจ้าอาจจะกล่าวว่า “พระเจ้า! ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าจะทำอะไรเกี่ยวกับการนี้ ข้าพระองค์ปรารถนาที่จะทำให้พระองค์พึงพอพระทัยในเรื่องนี้ และปรารถนาที่จะแสวงหาน้ำพระทัยของพระองค์ ขอให้น้ำพระทัยของพระองค์เสร็จสมด้วยเถิด ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงที่จะทำดังเช่นที่พระองค์จะทำ ไม่ใช่ดังที่ข้าพระองค์จะทำ พระองค์ทรงรู้ว่าที่มนุษย์ทั้งหมดจะทำนั้นตรงกันข้ามกับของพระองค์ และต้านทานพระองค์ และไม่สอดคล้องกับความจริง ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ ทรงมอบการทรงนำแก่ข้าพระองค์ในเรื่องนี้ และอย่าทรงปล่อยให้ข้าพระองค์ล่วงเกินพระองค์…” นั่นคือท่วงทำนองที่ถูกต้องเหมาะสมสำหรับคำอธิษฐาน หากเจ้ากล่าวแค่ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ช่วยเหลือข้าพระองค์ นำทางข้าพระองค์ ตกแต่งข้าพระองค์ด้วยสภาพแวดล้อมที่ถูกต้องและผู้คนที่ถูกต้อง และปล่อยให้ข้าพระองค์ทำงานของข้าพระองค์อย่างดี…” เช่นนั้นแล้ว หลังจากคำอธิษฐานของเจ้า เจ้าก็จะยังคงไม่ได้จับความเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า เพราะเจ้าจะขอให้พระเจ้ากระทำไปตามเจตจำนงของเจ้าเองอยู่ตลอดเวลา

บัดนี้เจ้าต้องตรวจสอบดูว่า คำพูดที่เจ้าใช้ในคำอธิษฐานนั้นมีสำนึกรับรู้หรือไม่ หากคำอธิษฐานของเจ้าไม่มีสำนึกรับรู้ ไม่สำคัญว่านี่เป็นเพราะความโง่เขลาของเจ้าหรือโดยการออกแบบ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงงานกับเจ้า เพราะฉะนั้น เมื่อเจ้าอธิษฐาน เจ้าต้องกล่าวอย่างมีสำนึกรับรู้ ในท่วงทำนองที่เหมาะสม จงพูดเช่นนี้ว่า “พระเจ้า! พระองค์ทรงรู้ถึงจุดอ่อนของข้าพระองค์และความเป็นกบฏของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอเพียงให้พระองค์ทรงมอบเรี่ยวแรงกำลังแก่ข้าพระองค์และช่วยเหลือข้าพระองค์ให้สู้ทนรูปการณ์แวดล้อมของข้าพระองค์ แต่โดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระองค์เท่านั้น นี่คือทั้งหมดที่ข้าพระองค์ขอ ข้าพระองค์ไม่รู้ว่าน้ำพระทัยของพระองค์คืออะไร แต่ขอให้น้ำพระทัยของพระองค์เสร็จสมทั้งหมดด้วยเช่นกัน ต่อให้ข้าพระองค์ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำงานปรนนิบัติ หรือเพื่อเป็นตัวประกอบเสริมความเด่น ข้าพระองค์ก็จะทำเช่นนั้นด้วยความเต็มใจ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงมอบเรี่ยวแรงกำลังและปัญญาแก่ข้าพระองค์ และปล่อยให้ข้าพระองค์ทำให้พระองค์พึงพอพระทัยในเรื่องนี้ ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระองค์…” หลังจากคำอธิษฐานเช่นนั้น หัวใจของเจ้าจะรู้สึกสบายใจ หากทั้งหมดที่เจ้าทำคือขออยู่เป็นนิจ เช่นนั้นแล้ว ไม่สำคัญว่าเจ้าจะพูดมากเพียงใด ทั้งหมดนั้นจะเป็นคำพูดที่ไร้ค่าไม่จริงใจ พระเจ้าจะไม่ทรงพระราชกิจเพื่อตอบสนองคำขอของเจ้า เพราะเจ้าจะได้กำหนดสิ่งที่เจ้าต้องการไปล่วงหน้าแล้ว เมื่อเจ้าคุกเข่าอธิษฐาน จงกล่าวดังนี้ว่า “พระเจ้า! พระองค์ทรงรู้ถึงจุดอ่อนของมนุษย์ และพระองค์ทรงรู้สภาวะของมนุษย์ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ในเรื่องนี้ ขอให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด ข้าพระองค์ปรารถนาเพียงที่จะนบนอบต่อทุกสิ่งที่พระองค์ทรงจัดการเตรียมการ หัวใจของข้าพระองค์เต็มใจที่จะเชื่อฟังพระองค์…” จงอธิษฐานดังนั้น และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงขับเคลื่อนเจ้า หากหนทางที่เจ้าอธิษฐานไม่ถูกต้อง คำอธิษฐานของเจ้าก็จะจืดชืด และพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็จะไม่ทรงขับเคลื่อนเจ้า จงอย่าพร่ำเพ้อ โดยพูดอยู่ฝ่ายเดียว—การทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งใดนอกจากสะเพร่าและสุกเอาเผากิน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงพระราชกิจหรือหากเจ้าสะเพร่าและสุกเอาเผากิน? เมื่อคนเรามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาต้องถูกต้องและเหมาะสม ด้วยท่าทีที่มีศรัทธาแรงกล้า เหมือนเหล่าปุโรหิตในยุคธรรมบัญญัติ ผู้ที่ล้วนคุกเข่าลงเมื่อพวกเขาถวายเครื่องบูชา นั่นไม่ใช่สิ่งเรียบง่ายที่จะอธิษฐาน จะใช้การได้อย่างไรสำหรับบุคคลที่มาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าโดยแยกเขี้ยวและกางเล็บ หรืออธิษฐานอย่างเฉื่อยชา ห่อตัวอยู่ในผ้าห่ม โดยเชื่อว่าพระเจ้าทรงสามารถได้ยินพวกเขา? นั่นไม่ใช่ความยำเกรง! จุดประสงค์ของเราในการพูดคุยนี้ไม่ใช่เพื่อเรียกร้องให้ผู้คนยึดมั่นกับกฎเกณฑ์เฉพาะบางอย่าง อย่างน้อยที่สุดที่คนเราสามารถทำได้คือการเอนเอียงหัวใจของพวกเขาไปทางพระเจ้า และมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ด้วยท่าทีที่มีศรัทธาแรงกล้า

ตัดตอนมาจาก “นัยสำคัญของการอธิษฐานและการปฏิบัติของการอธิษฐาน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

คำอธิษฐานของพวกเจ้าขาดเหตุผลบ่อยครั้งมากเกินไป พวกเจ้าอธิษฐานด้วยท่วงทำนองต่อไปนี้เสมอ กล่าวคือ “โอ้พระเจ้า! ในเมื่อพระองค์ได้ปล่อยให้ข้าพระองค์ปฏิบัติหน้าที่นี้ พระองค์ก็ต้องทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ข้าพระองค์ทำถูกต้องเหมาะสมเพื่อที่พระราชกิจของพระองค์จะได้ไม่ถูกขัดจังหวะ และผลประโยชน์แห่งครอบครัวของพระเจ้าจะได้ไม่ทนทุกข์กับความสูญเสียใดๆ พระองค์ต้องปกป้องคุ้มครองข้าพระองค์…” คำอธิษฐานเช่นนั้นไม่สมเหตุสมผลมากเกินไปมิใช่หรือ? พระเจ้าจะทรงพระราชกิจกับเจ้าหรือหากเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์และอธิษฐานในหนทางเช่นนั้น? เราจะรับฟังหรือหากเจ้ามาอยู่ต่อหน้าเราและพูดในหนทางเช่นนั้น? เราจะขับไล่เจ้าออกพ้นประตูไป! เจ้าไม่ใช่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระวิญญาณแบบเดียวกันกับเมื่อเจ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์พระคริสต์หรอกหรือ? เมื่อคนเรามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเพื่ออธิษฐาน พวกเขาต้องให้การคำนึงถึงวิธีที่พวกเขาอาจจะทำเช่นนั้นอย่างมีสำนึกรับรู้ และถึงวิธีที่พวกเขาอาจจะปรับสภาวะภายในของพวกเขาเพื่อสัมฤทธิ์ความยำเกรงและมีความสามารถในการนบนอบ เมื่อได้ทำเช่นนั้นแล้ว เมื่อนั้นก็ไม่เป็นไรเลยสำหรับเจ้าที่จะทำการอธิษฐานต่อไป เจ้าจะรู้สึกถึงการทรงสถิตของพระเจ้า หลายต่อหลายครั้งที่ผู้คนคุกเข่าลงในการอธิษฐาน พวกเขาหลับตาลง และพวกเขานึกคำพูดไม่ออกเว้นแต่ “โอ้พระเจ้า! โอ้พระเจ้า!” เหตุใดพวกเจ้าจึงโห่ร้องเช่นนั้นเป็นเวลานานอย่างไร้คำพูด? สภาวะของเจ้าไม่ถูกต้อง พวกเจ้าทำเช่นนี้อยู่เรื่อยหรือไม่? บัดนี้พวกเจ้ารู้ว่าพวกเจ้าสามารถทำอะไรได้และพวกเจ้าสามารถทำการนั้นได้ถึงวงเขตใด และเจ้าได้ใช้มาตรการของพวกเจ้าเอง แต่มีหลายครั้งเมื่อพวกเจ้าจะอยู่ในสภาวะที่ผิดปกติ บางครั้ง ถึงแม้ว่าสภาวะของเจ้าอาจได้ปรับไปแล้ว เจ้าอาจไม่รู้ว่าการนี้ได้เกิดขึ้นอย่างไร และบ่อยครั้งที่เจ้านึกคำพูดใดไม่ออกในคำอธิษฐาน เจ้าอาจถึงขั้นให้เหตุผลการนี้กับการขาดพร่องการศึกษา คนเราต้องได้รับการศึกษาดีเพื่ออธิษฐานกระนั้นหรือ? คำอธิษฐานไม่ใช่เรียงความ—แค่พูดอย่างจริงใจ ด้วยเหตุผลของบุคคลปกติ จงดูที่คำอธิษฐานของพระเยซู (ถึงแม้ว่าคำอธิษฐานของพระองค์จะไม่ถูกกล่าวถึงในที่นี้เพื่อทำให้ผู้คนเข้าถือตำแหน่งหรือสถานะของพระองค์ก็ตาม) กล่าวคือ ในสวนเกทเสมนี พระองค์ได้อธิษฐานว่า “ถ้าเป็นได้…” นั่นคือ “หากสามารถทำได้” คำนี้ถูกกล่าวถึงในการหารือ พระองค์มิได้ตรัสว่า “ข้าพระองค์เว้าวอนต่อพระองค์” พระองค์อธิษฐานด้วยพระทัยที่นบนอบและในสภาวะที่นบนอบว่า “ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39) พระองค์ยังคงอธิษฐานเช่นนี้เป็นครั้งที่สอง และครั้งที่สามพระองค์อธิษฐานว่า “ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” เมื่อได้จับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าพระบิดาแล้ว พระองค์ตรัสว่า “ก็ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” พระองค์มีความสามารถที่จะนบนอบอย่างครบบริบูรณ์โดยไม่มีการสร้างตัวเลือกส่วนพระองค์ใดๆ เลย พระองค์ทรงขอว่าถ้าเป็นไปได้ให้พระเจ้าทรงเลื่อนถ้วยนี้พ้นไปจากพระองค์ นั่นหมายความว่าอย่างไร? พระองค์ได้ทรงอธิษฐานในหนทางนั้นเพราะพระองค์ดำริถึงความทุกข์ใหญ่หลวงแห่งการหลั่งเลือดบนกางเขนจนถึงลมปราณสุดท้ายขณะสิ้นพระชนม์ของพระองค์—และนี่กล่าวถึงเรื่องของความตาย—และเพราะพระองค์ยังไม่ได้จับความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าพระบิดาอย่างครบบริบูรณ์ หากว่าพระองค์ทรงสามารถที่จะอธิษฐานเช่นนั้นแม้จะมีความคิดถึงความทุกข์เช่นนั้น พระองค์ก็ทรงนบนอบอย่างยิ่งโดยแท้ ลักษณะของพระองค์ในการอธิษฐานนั้นปกติ พระองค์มิได้ทรงเสนอสภาวะเงื่อนไขใดในคำอธิษฐานของพระองค์ อีกทั้งพระองค์มิได้ตรัสว่าถ้วยนั้นต้องถูกเลื่อนพ้นไป ตรงกันข้าม จุดประสงค์ของพระองค์คือเพื่อแสวงหาน้ำพระทัยของพระเจ้าในสถานการณ์ที่พระองค์ไม่ทรงจับใจความ ครั้งแรกที่พระองค์ทรงอธิษฐาน พระองค์ไม่เข้าพระทัย และพระองค์ตรัสว่า “ถ้าเป็นได้…แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” พระองค์ทรงอธิษฐานต่อพระเจ้าในสภาวะแห่งการนบนอบ ครั้งที่สอง พระองค์ทรงอธิษฐานในลักษณะเดียวกัน รวมแล้ว พระองค์ทรงอธิษฐานสามครั้ง (แน่นอนว่า การอธิษฐานสามครั้งนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่สามวัน) และในการอธิษฐานครั้งสุดท้ายของพระองค์นั้น พระองค์ได้มาเข้าพระทัยน้ำพระทัยของพระเจ้าโดยบริบูรณ์ ซึ่งหลังจากนั้นพระองค์ก็มิได้ทรงเว้าวอนขอสิ่งใดอีกต่อไป ในการอธิษฐานสองครั้งแรกของพระองค์นั้น พระองค์เพียงแค่ทรงแสวงหา และพระองค์ได้แสวงหาในสภาวะแห่งการนบนอบ อย่างไรก็ตาม ผู้คนเพียงแค่ไม่ได้อธิษฐานเช่นนั้น ในคำอธิษฐานของพวกเขานั้น ผู้คนกล่าวว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงทำการนี้และการนั้น และข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงนำข้าพระองค์ในการนี้และการนั้น และข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงทำให้สภาพเงื่อนไขพร้อมไว้สำหรับข้าพระองค์…” บางทีพระองค์อาจจะมิได้ทรงตระเตรียมสภาพเงื่อนไขที่เหมาะสมไว้ให้เจ้าและจะทรงปล่อยให้เจ้าทนทุกข์กับความยากลำบาก ช่างเป็นการไม่สมเหตุสมผลสำหรับผู้คนที่จะอธิษฐานอยู่เสมอโดยกล่าวว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงทำการตระเตรียมให้แก่ข้าพระองค์และมอบเรี่ยวแรงกำลังให้แก่ข้าพระองค์” เจ้าต้องมีเหตุผลเมื่อเจ้าอธิษฐาน และเจ้าต้องทำเช่นนั้นภายใต้ที่ตั้งที่ว่าเจ้ากำลังนบนอบ จงอย่าตั้งเงื่อนไขก่อนที่เจ้าจะอธิษฐาน เจ้าจะตั้งเงื่อนไขอยู่แล้วก่อนที่เจ้าจะเริ่มต้นอธิษฐานด้วยซ้ำ โดยคิดว่า ฉันต้องเว้าวอนพระเจ้าและให้พระองค์ทรงทำเช่นนั้นเช่นนี้ การอธิษฐานในหนทางนี้ช่างไม่สมเหตุสมผล บ่อยครั้งที่พระเจ้าไม่ทรงรับฟังคำอธิษฐานของผู้คนเลย ดังนั้นเมื่อผู้คนอธิษฐาน พวกเขาจึงไม่รู้สึกถึงสิ่งใดเลย

ตัดตอนมาจาก “นัยสำคัญของการอธิษฐานและการปฏิบัติของการอธิษฐาน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

การอธิษฐานและการแสวงหาในการทรงสถิตของพระเจ้าไม่ใช่เรื่องของการบังคับขู่เข็ญพระเจ้าให้ทรงทำสิ่งนี้หรือสิ่งนั้น อะไรคือการอธิษฐานที่มีเหตุผล? อะไรคือการอธิษฐานที่ไม่มีเหตุผล? เจ้าจะรู้สิ่งเหล่านี้จากประสบการณ์หลังผ่านไปสักพัก ตัวอย่างเช่น หลังจากที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าอาจรู้สึกว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ทรงทำสิ่งที่เจ้าได้อธิษฐานไว้ อีกทั้งไม่ทรงนำเจ้าตามที่เจ้าได้อธิษฐานไว้ ครั้งถัดไปที่เจ้าอธิษฐาน เจ้าจะอธิษฐานอย่างแตกต่างออกไป เจ้าจะไม่พยายามบังคับขู่เข็ญพระเจ้าดังที่เจ้าได้ลองพยายามทำครั้งที่แล้ว และไม่ทำการร้องขอต่อพระองค์บนพื้นฐานของความปรารถนาของเจ้าเอง เจ้าจะพูดว่า “โอ พระเจ้า! ทุกสิ่งทุกอย่างทำไปตามน้ำพระทัยของพระองค์” ตราบเท่าที่เจ้ามุ่งเน้นไปที่วิธีเข้าหานี้ เช่นนั้นแล้ว หลังจากช่วงเวลาของการคลำสะเปะสะปะ เจ้าจะรู้ว่าการไม่มีเหตุผลหมายความว่าอย่างไร ยังมีสภาวะซึ่งเจ้ารู้สึกในจิตวิญญาณของเจ้าอีกเช่นกันว่า เมื่อเจ้าอธิษฐานตามความปรารถนาของเจ้าเอง คำอธิษฐานของเจ้ากลายเป็นน่าเบื่อ และในไม่ช้าเจ้าก็พบว่าตัวเองไม่มีสิ่งใดจะพูดเลย ยิ่งเจ้าพูดมากขึ้นเท่าใด วาทะของเจ้าก็ยิ่งน่าอึดอัดใจมากขึ้นเท่านั้น นี่พิสูจน์ว่าเมื่อเจ้าอธิษฐานเช่นนี้ เจ้ากำลังติดตามเนื้อหนังอย่างครบบริบูรณ์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจหรือทรงนำเจ้าในหนทางนั้น นี่ก็เช่นกัน เป็นเรื่องของการสำรวจค้นหาและเรื่องของประสบการณ์ แม้ว่าเราได้เสร็จสิ้นการพูดคุยกับเจ้าเกี่ยวกับการนั้นแล้ว เจ้าก็มีแววว่าจะเผชิญสถานการณ์พิเศษบางอย่างในประสบการณ์ของเจ้า คำอธิษฐานโดยหลักแล้วเป็นเรื่องเกี่ยวกับการพูดอย่างซื่อสัตย์ “โอ พระเจ้า! พระเจ้าทรงรู้ความเสื่อมทรามของมนุษย์ วันนี้ข้าพระองค์ได้ทำอีกสิ่งหนึ่งที่ไม่มีเหตุผล ข้าพระองค์ได้เก็บงำเจตนาหนึ่ง—ข้าพระองค์เป็นบุคคลที่เต็มไปด้วยเล่ห์ลวง ข้าพระองค์ไม่ได้กระทำการตามน้ำพระทัยของพระองค์หรือความจริง ข้าพระองค์ได้กระทำการตามที่ข้าพระองค์มีเจตจำนงและลองพยายามที่จะให้เหตุผลว่าตัวข้าพระองค์เองชอบธรรม บัดนี้ข้าพระองค์ระลึกได้ถึงความเสื่อมทรามของข้าพระองค์ ข้าพระองค์ขอให้พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์มากขึ้นและทรงเปิดโอกาสให้ข้าพระองค์เข้าใจความจริง นำความจริงไปสู่การปฏิบัติ และสลัดทิ้งความเสื่อมทรามเหล่านี้” จงพูดในหนทางนี้ จงอธิบายตามข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องทั้งหลายตามข้อเท็จจริง ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ได้อธิษฐานอย่างแท้จริงในเวลาส่วนมาก พวกเขาแค่คิดย้อนไปถึงอดีต ด้วยความรู้อันน้อยนิดในความนึกคิดของพวกเขาและความเต็มใจที่จะกลับใจ ถึงกระนั้นพวกเขาก็ยังไม่ได้ทั้งครุ่นคิดหรือหยั่งรู้ถึงความจริงเลย การที่จะครุ่นคิดถึงพระวจนะของพระเจ้าและแสวงหาความจริงในขณะที่อธิษฐานอยู่นั้นล้ำลึกมากกว่าแค่ความทรงจำหรือความรู้มากนัก การปลุกเร้าที่มาเยือนเจ้าโดยพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์และความรู้แจ้งและความกระจ่างที่พระราชกิจของพระองค์จัดหาให้เจ้าโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้านั้นนำทางเจ้าสู่ความรู้ที่แท้จริงและการกลับใจใหม่ที่แท้จริง สิ่งเหล่านั้นล้ำลึกมากกว่าความคิดและความรู้ของมนุษย์มาก นี่คือบางสิ่งบางอย่างที่เจ้าต้องรู้ให้ดี หากเจ้าเข้าร่วมในการคิดและการตรวจสอบที่ผิวเผินและส่งเดชเท่านั้น เจ้าก็ไม่มีเส้นทางที่เหมาะสมที่จะใช้เพื่อปฏิบัติ และเจ้ามีความก้าวหน้าไปสู่ความจริงเล็กน้อย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงไม่มีความสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง

ตัดตอนมาจาก “นัยสำคัญของการอธิษฐานและการปฏิบัติของการอธิษฐาน” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ผู้คนสามารถธำรงสัมพันธภาพกับพระเจ้าได้อย่างไร? และพวกเขาควรพึ่งพาสิ่งใดเพื่อทำการนี้? พวกเขาควรพึ่งพาการวิงวอนพระเจ้า การอธิษฐานต่อพระเจ้า และการสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าในหัวใจของพวกเขา ด้วยสัมพันธภาพเช่นนี้ ผู้คนดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าอยู่เสมอ และผู้คนเช่นนั้นย่อมเปี่ยมสันติสุขเป็นอย่างมาก ผู้คนบางคนใช้เวลาทั้งหมดของพวกเขาในการกระทำภายนอกโดยทำให้ตัวพวกเขาเองติดธุระกับกิจภายนอก หลังจากหนึ่งหรือสองวันโดยที่ไม่มีชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณ พวกเขาไม่รู้สึกอะไรเลย หลังจากสามหรือห้าวัน หรือหนึ่งหรือสองเดือน พวกเขายังคงไม่รู้สึกอะไรเลย พวกเขาไม่ได้อธิษฐาน ทำการวิงวอน หรือจัดให้มีการเข้าสนิทฝ่ายจิตวิญญาณ การวิงวอนคือเวลาที่บางสิ่งเกิดขึ้นแก่เจ้า และเจ้าขอให้พระเจ้าทรงช่วยเจ้า ทรงนำเจ้า ทรงจัดเตรียมเพื่อเจ้า ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า และทรงเปิดโอกาสให้เจ้าเข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ และรู้ว่าจะต้องทำสิ่งใดโดยอยู่ในแนวเดียวกับความจริง วงเขตของการอธิษฐานนั้นกว้างกว่า กล่าวคือ บางครั้งเจ้าพูดคำพูดในหัวใจของเจ้า โดยพูดกับพระเจ้าถึงความลำบากยากเย็นหรือความเป็นลบและความอ่อนแอของเจ้า ดังนั้น เจ้าจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าด้วยเช่นกันเมื่อเจ้าเป็นกบฏ หรือมิฉะนั้น เจ้าก็พูดกับพระองค์ถึงสิ่งทั้งหลายซึ่งเกิดขึ้นกับเจ้าแต่ละวัน ว่าสิ่งเหล่านั้นชัดเจนสำหรับเจ้าหรือไม่ นี่คือการอธิษฐาน วงเขตของการอธิษฐานโดยพื้นฐานแล้วคือการพูดคุยและการเปิดกว้างต่อพระเจ้า บางครั้งการนั้นก็ทำไปในเวลาปกติ บางครั้งก็ไม่ เจ้าสามารถอธิษฐานเมื่อใดก็ตามและที่ใดก็ตามที่เจ้าปรารถนา การเข้าสนิทฝ่ายจิตวิญญาณไม่ใช่เป็นทางการเกินไป บางครั้งนั่นเป็นเพราะเจ้ามีปัญหา บางครั้งก็ไม่ บางครั้งการนั้นเกี่ยวข้องกับคำพูด บางครั้งก็ไม่ เมื่อเจ้ามีปัญหา เจ้าพูดถึงปัญหานั้นกับพระเจ้าและอธิษฐาน เมื่อเจ้าไม่มีปัญหา เจ้าคิดถึงวิธีที่พระเจ้าทรงรักผู้คน วิธีที่พระองค์ทรงกังวลสนใจเกี่ยวกับผู้คน วิธีที่พระองค์ทรงว่ากล่าวผู้คน เจ้าอาจเข้าสนิทกับพระเจ้าในเวลาใดหรือสถานที่ใดก็ตาม นี่คือสิ่งที่เป็นการเข้าสนิทฝ่ายจิตวิญญาณ บางครั้ง เมื่อเจ้าออกไปข้างนอกและเจ้าคิดถึงบางสิ่งซึ่งทำให้เจ้าหัวเสีย เจ้าไม่จำเป็นที่จะต้องคุกเข่าหรือหลับตา เจ้าก็แค่จำเป็นที่จะต้องพูดกับพระเจ้าในใจว่า “โอ พระเจ้า ได้โปรดทรงนำข้าพระองค์ในการนี้เถิด ข้าพระองค์อ่อนแอ ข้าพระองค์ไม่สามารถเอาชนะการนั้นได้” หัวใจของเจ้าได้รับการดล เจ้าพูดแต่เพียงคำพูดเรียบง่ายไม่กี่คำ และพระเจ้าก็ทรงรู้ บางครั้งเจ้าคิดถึงบ้านและพูดว่า “โอ พระเจ้า! ข้าพระองค์คิดถึงบ้านจริงๆ…” เจ้าไม่พูดว่าเจ้าคิดถึงใครเป็นพิเศษ เจ้าก็แค่รู้สึกแย่ และพูดถึงการนี้กับพระเจ้า ปัญหาทั้งหลายนั้นสามารถแก้ไขได้เมื่อเจ้าอธิษฐานต่อพระเจ้าและพูดสิ่งที่อยู่ในหัวใจของเจ้าเท่านั้น การพูดคุยกับผู้คนอื่นๆ สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหลายได้หรือ? ก็คงพอได้อยู่ หากเจ้าเผชิญกับใครบางคนที่เข้าใจความจริง แต่หากพวกเขาไม่เข้าใจ—หากเจ้าเผชิญกับใครคนหนึ่งที่คิดลบและอ่อนแอ—เจ้าอาจสามารถส่งผลต่อพวกเขา หากเจ้าพูดกับพระเจ้า พระเจ้าจะทรงชูใจเจ้า และดลใจเจ้า หากเจ้ามีความสามารถที่จะอ่านพระวจนะของพระเจ้าอย่างสงบนิ่งเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะมีความสามารถที่จะเข้าใจความจริงและแก้ไขปัญหาได้ พระวจนะของพระเจ้าจะเปิดโอกาสให้เจ้าพบเจอหนทางที่จะฝ่าพ้นไป ที่จะผ่านอุปสรรคขวางกั้นเล็กน้อยนี้ไปได้ อุปสรรคขวางกั้นนี้จะไม่ทำให้เจ้าสะดุดล้ม การนั้นจะไม่เหนี่ยวรั้งเจ้า อีกทั้งการนั้นจะไม่ส่งผลต่อการที่เจ้าปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า มีบางเวลาที่จู่ๆ เจ้าก็รู้สึกจิตตกเล็กน้อยหรือไม่สบายใจอยู่ภายใน ในเวลาเช่นนั้น จงอย่าลังเลที่จะอธิษฐานต่อพระเจ้า อาจเป็นว่าเจ้าไม่ทำการวิงวอนต่อพระเจ้า อาจไม่มีสิ่งใดเลยที่เจ้าปรารถนาให้พระเจ้าทรงทำหรือทรงนำมาให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า—เจ้าก็แค่พูดกับพระเจ้าและเปิดใจกับพระองค์ไม่ว่าเจ้าจะอยู่ที่ใด ณ เวลาใดก็ตาม สิ่งใดหรือที่เจ้าต้องรู้สึกอยู่ตลอดเวลา? สิ่งนั้นก็คือ “พระเจ้าทรงอยู่กับฉันเสมอ พระองค์ไม่เคยได้ทรงทิ้งฉันเลย ฉันรู้สึกได้ถึงการนั้น ไม่สำคัญว่าฉันจะอยู่ที่ไหนหรือว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่—ฉันอาจกำลังพักอยู่ หรืออยู่ในการชุมนุม หรือกำลังปฏิบัติหน้าที่ของฉันอยู่—ในหัวใจของฉันนั้น ฉันรู้ว่าพระเจ้าทรงจูงมือฉัน ว่าพระองค์ไม่เคยทรงทิ้งฉันเลย” บางครั้ง เมื่อหวนคิดถึงว่าเจ้าได้ผ่านแต่ละวันไปอย่างไรในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา เจ้ารู้สึกว่าวุฒิภาวะของเจ้าได้เติบโตขึ้น ว่าพระเจ้าได้ทรงนำเจ้า ว่าความรักของพระเจ้าได้อารักขาเจ้ามาโดยตลอด เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ เจ้าอธิษฐานในหัวใจของเจ้า โดยถวายคำขอบคุณแด่พระเจ้าว่า “โอ พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบคุณพระองค์! ข้าพระองค์อ่อนแอและบอบบางยิ่งนัก เสื่อมทรามอย่างถลำลึกยิ่งนัก หากปราศจากพระองค์ทรงนำข้าพระองค์เช่นนี้ ข้าพระองค์คงจะไม่ได้มาถึงวันนี้โดยการพึ่งพาตัวข้าพระองค์เอง” นี่ไม่ใช่การเข้าสนิทฝ่ายจิตวิญญาณหรอกหรือ? หากผู้คนสามารถเข้าสนิทในหนทางนี้ให้บ่อย พวกเขาจะไม่มีมากมายที่จะพูดกับพระเจ้าหรือ? พวกเขาคงจะไปได้ไม่กี่วันหากไม่มีอะไรจะพูดกับพระเจ้า เมื่อเจ้าไม่มีอะไรที่จะพูดกับพระเจ้าเลย พระเจ้าย่อมทรงหายไปจากหัวใจของเจ้า หากพระเจ้าทรงอยู่ในหัวใจของเจ้า และเจ้ามีความเชื่อในพระเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมจะมีความสามารถที่จะพูดถึงทุกสิ่งทุกอย่างในหัวใจของเจ้ากับพระองค์ ซึ่งรวมถึงสิ่งทั้งหลายที่เจ้าจะพูดถึงกับคนไว้ใจของเจ้า ในข้อเท็จจริงนั้น พระเจ้าทรงเป็นคนไว้ใจที่ใกล้ชิดที่สุดของเจ้า หากเจ้าปฏิบัติต่อพระเจ้าในฐานะคนไว้ใจที่ใกล้ชิดที่สุดของเจ้า ในฐานะครอบครัวของเจ้าผู้ซึ่งเจ้าพึ่งพิงมากที่สุด พึ่งพามากที่สุด ไว้วางใจมากที่สุด เชื่อใจมากที่สุด ผู้ซึ่งเจ้าใกล้ชิดที่สุด เช่นนั้นแล้ว ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าจะไม่มีอะไรพูดกับพระเจ้าเลย หากเจ้ามีบางสิ่งที่จะพูดกับพระเจ้าเสมอ เจ้าจะไม่ดำรงชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอหรอกหรือ? หากเจ้าสามารถดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าเสมอ เช่นนั้นแล้ว ณ ทุกชั่วขณะ เจ้าย่อมจะสำนึกได้ถึงวิธีที่พระเจ้าทรงนำเจ้า วิธีที่พระเจ้าทรงดูแลเอาพระทัยใส่และทรงอารักขาเจ้า วิธีที่พระองค์ทรงนำพาสันติสุขและความชื่นบานมาสู่เจ้า วิธีที่พระเจ้าทรงอวยพรเจ้า วิธีที่พระองค์ทรงให้ความรู้แจ้งแก่เจ้า และวิธีที่พระองค์ทรงว่ากล่าวเจ้า ทรงบ่มวินัยเจ้า ทรงสั่งสอนเจ้า และทรงพิพากษาและทรงตัดสินเจ้า ทั้งหมดนี้จะชัดเจนและประจักษ์แจ้งแก่เจ้าในหัวใจของเจ้า เจ้าจะไม่แค่จับแพะชนแกะให้รอดไปในแต่ละวัน โดยไม่รู้อะไรเลย พูดเพียงว่าเจ้าเชื่อในพระเจ้า ปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าและเข้าร่วมในการชุมนุมเฉพาะเพื่อเห็นแก่ภาพลักษณ์ อ่านพระวจนะของพระเจ้า และอธิษฐานเป็นประจำทุกวัน เพียงแค่ทำไปอย่างขอไปทีเท่านั้น—ทั้งหลายของเจ้านั้นจะไม่เป็นเพียงพิธีกรรมทางศาสนาภายนอกประเภทนี้ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ในหัวใจของเจ้า เจ้าจะมองไปยังพระเจ้าและอธิษฐานต่อพระเจ้าทุกชั่วขณะ เจ้าจะเข้าสนิทกับพระเจ้าตลอดเวลา และเจ้าจะมีความสามารถที่จะนบนอบต่อพระเจ้า และดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า

ตัดตอนมาจาก “หากเจ้าไม่สามารถดำรงชีวิตเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าได้เสมอ เจ้าย่อมเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger