สิ่งที่เป็นการอธิษฐานแห่งพิธีทางศาสนา และเหตุที่ไม่มีสิ่งใดมาจากการนั้นเลย

วันที่ 20 เดือน 11 ปี 2021

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง

ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติไม่ได้จำกัดแค่การปฏิบัติสิ่งทั้งหลาย อย่างเช่นการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การมีส่วนร่วมในชีวิตของคริสตจักร และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวพันถึงการใช้ชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ใหม่และสว่างไสวด้วย สิ่งที่สำคัญไม่ใช่ว่าเจ้าปฏิบัติอย่างไร แต่เป็นดอกผลที่มาจากการปฏิบัติของเจ้า ผู้คนส่วนใหญ่เชื่อว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติจำเป็นต้องเกี่ยวพันกับการอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ การกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้า หรือการไตร่ตรองเกี่ยวกับพระวจนะของพระองค์ ไม่ว่าการปฏิบัติเช่นนั้นจริงๆ แล้วจะมีผลลัพธ์ใดๆ หรือนำไปสู่ความเข้าใจที่แท้จริงหรือไม่ก็ตาม ผู้คนเหล่านี้มุ่งเน้นที่การปฏิบัติตามขั้นตอนที่ผิวเผิน โดยไม่มีความคิดใดๆ ถึงผลลัพธ์ของพวกมัน พวกเขาคือผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ในพิธีกรรมของศาสนา ไม่ใช่ผู้คนที่ใช้ชีวิตอยู่ภายในคริสตจักร และนับประสาอะไรที่พวกเขาจะเป็นประชากรของราชอาณาจักร การอธิษฐาน การร้องเพลงสรรเสริญ และการกินและดื่มพระวจนะของพระเจ้าของพวกเขาทั้งหมดเป็นเพียงการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ที่ทำไปเพราะความจำต้องทำและเพื่อให้ตามสมัยนิยมได้ทัน ไม่ใช่ทำเพราะความเต็มใจหรือทำจากหัวใจ ไม่ว่าผู้คนเหล่านี้จะอธิษฐานหรือร้องเพลงมากเพียงใดก็ตาม ความพยายามของพวกเขาจะไม่ผลิดอกออกผล เพราะสิ่งที่พวกเขาปฏิบัติเป็นเพียงกฎเกณฑ์และพิธีกรรมของศาสนา พวกเขาไม่ได้ปฏิบัติตามพระวจนะของพระเจ้าจริงๆ พวกเขามุ่งเน้นแค่การเอะอะโวยวายว่าพวกเขาปฏิบัติอย่างไรเท่านั้น และพวกเขาปฏิบัติต่อพระวจนะของพระเจ้าเหมือนเป็นกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติตาม ผู้คนเช่นนั้นไม่ได้กำลังนำพระวจนะของพระเจ้ามาปฏิบัติ พวกเขาเพียงกำลังสนองความต้องการของเนื้อหนัง และปฏิบัติเพื่อให้คนอื่นมองเห็น กฎเกณฑ์และพิธีกรรมทางศาสนาเหล่านี้ต่างมีต้นกำเนิดจากมนุษย์ และสิ่งเหล่านี้ไม่ได้มาจากพระเจ้า พระเจ้าไม่ทรงปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ อีกทั้งพระองค์ยังไม่ทรงต้องอยู่ภายใต้กฎหมายใดๆ แต่พระองค์ทรงกระทำสิ่งใหม่ๆ ทุกวัน และสำเร็จลุล่วงพระราชกิจภาคปฏิบัติ เช่นเดียวกับผู้คนในคริสตจักรหลักการพึ่งตนเองสามด้านที่จำกัดตัวเองแค่การปฏิบัติ เช่น การเข้าร่วมนมัสการตอนเช้าทุกวัน การถวายคำอธิษฐานตอนเย็นและการอธิษฐานขอบคุณก่อนมื้ออาหาร และการขอบคุณในทุกสรรพสิ่ง—ไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติมากเพียงใดและไม่ว่าพวกเขาจะปฏิบัติยาวนานเพียงใดก็ตาม พวกเขาจะไม่มีพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เมื่อผู้คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางกฎเกณฑ์และมีหัวใจที่ยึดติดกับวิธีการปฏิบัติ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงสามารถปฏิบัติพระราชกิจได้ เพราะหัวใจของพวกเขาถูกกฎเกณฑ์และมโนคติอันหลงผิดของมนุษย์จับจองอยู่ ดังนั้น พระเจ้าจึงทรงไร้ความสามารถที่จะเข้ามาแทรกแซงและปฏิบัติพระราชกิจกับพวกเขาได้ และพวกเขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยอยู่ภายใต้การควบคุมของกฎหมายเท่านั้น ผู้คนเช่นนั้นไม่สามารถรับคำสรรเสริญจากพระเจ้าได้ตลอดกาล

ตัดตอนมาจาก “เกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ปกติ” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

พวกเจ้าเคยพูดถึงสภาวะฝ่ายวิญญาณและเรื่องฝ่ายวิญญาณของเจ้า ในขณะที่ละเลยการปฏิบัติหลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตจริง และละเลยการเข้าสู่การปฏิบัติเหล่านี้เสมอ เจ้าขีดเขียนทุกวัน เจ้ารับฟังทุกวัน และเจ้าอ่านทุกวัน เจ้ายังอธิษฐานแม้ในขณะที่เจ้าทำอาหารว่า “โอ้ พระเจ้า! ขอพระองค์ทรงมาเป็นชีวิตของข้าพระองค์ภายในตัวข้าพระองค์ ไม่ว่าวันนี้จะดำเนินไปอย่างไร ขอพระองค์ทรงอวยพรให้แก่ข้าพระองค์และให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ ไม่ว่าพระองค์จะทรงให้ความรู้แจ้งแก่ข้าพระองค์ในสิ่งใดก็ตามเกี่ยวกับวันนี้ ขอทรงโปรดยอมให้ข้าพระองค์เข้าใจสิ่งนั้นในเวลานี้ เพื่อให้พระวจนะของพระองค์อาจทำหน้าที่เป็นดั่งชีวิตของข้าพระองค์” นอกจากนี้ เจ้ายังอธิษฐานในขณะที่เจ้ากินอาหารมื้อเย็นว่า “โอ้ พระเจ้า! พระองค์ประทานอาหารมื้อนี้ให้แก่เรา ขอพระองค์ทรงอวยพรแก่เรา อาเมน! ขอให้เราใช้ชีวิตเคียงข้างพระองค์ ขอพระองค์ทรงอยู่เคียงข้างเรา อาเมน!” หลังจากที่เจ้ากินอาหารมื้อเย็นของเจ้าเสร็จและกำลังล้างจาน เจ้าก็เริ่มพูดพร่ำว่า “โอ้พระเจ้า ข้าคือถ้วยชามนี้ เราได้ถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม และเป็นเหมือนเพียงถ้วยที่ถูกใช้งานแล้วและต้องได้รับการชำระให้สะอาดด้วยน้ำ พระองค์ทรงเป็นน้ำ และพระวจนะของพระองค์คือน้ำที่มีชีวิตที่จัดเตรียมไว้เพื่อชีวิตของข้าพระองค์” ก่อนที่เจ้าจะรู้ตัว ก็ถึงเวลาเข้านอน และเจ้าก็เริ่มพูดพร่ำอีกครั้งว่า “โอ้ พระเจ้า! พระองค์ทรงอวยพรแก่ข้าพระองค์และนำทางข้าพระองค์ผ่านวันนี้ ข้าพระองค์สำนึกพระคุณต่อพระองค์อย่างแท้จริง…” เจ้าใช้เวลาในหนึ่งวันของเจ้าในลักษณะนี้ และจากนั้นเจ้าก็เข้าสู่ห้วงการหลับใหล ผู้คนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตเช่นนี้ทุกวัน และแม้กระทั่งตอนนี้พวกเขาก็ละเลยการเข้าสู่ที่แท้จริง และมุ่งความคิดแต่กับการปรนนิบัติแต่ปากในการอธิษฐานของตนเท่านั้น นี่คือชีวิตก่อนหน้านี้ของพวกเขา—ชีวิตเก่าๆ ของพวกเขา และส่วนใหญ่เป็นเช่นนี้ พวกเขาไม่มีการฝึกฝนจริงเลย และพวกเขาผ่านการเปลี่ยนสภาพจริงๆ มาน้อยมาก พวกเขาเพียงทำการปรนนิบัติแต่ปากในการอธิษฐานของพวกเขาเท่านั้น เข้าใกล้ชิดพระเจ้ายิ่งขึ้นด้วยคำพูดของพวกเขาเพียงอย่างเดียว แต่ขาดความลึกซึ้งในความเข้าใจของพวกเขา พวกเรามาดูตัวอย่างที่ง่ายที่สุดกัน—การจัดบ้านของเจ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อย เจ้าเห็นว่าบ้านของเจ้ารกไม่เป็นระเบียบ ดังนั้นเจ้าจึงนั่งลงตรงนั้นและอธิษฐานว่า “โอ้ พระเจ้า! ขอพระองค์ทรงทอดพระเนตรความเสื่อมทรามที่ซาตานได้ทำแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ก็สกปรกพอๆ กับบ้านหลังนี้ โอ้ พระเจ้า! ข้าพระองค์สรรเสริญและขอขอบคุณพระองค์อย่างแท้จริง หากไม่มีความรอดและความรู้แจ้งของพระองค์ ข้าพระองค์คงมิได้ตระหนักข้อเท็จจริงนี้” เจ้าแค่นั่งลงตรงนั้นและพูดพร่ำ อธิษฐานเป็นเวลานาน แล้วหลังจากนั้นเจ้าก็ทำเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เสมือนว่าเจ้าเป็นหญิงแก่ที่พร่ำเพ้อ เจ้าผ่านชีวิตฝ่ายวิญญาณของเจ้าในหนทางนี้ โดยไม่มีการเข้าสู่ความเป็นจริงที่แท้จริงใดๆ เลย และมีการปฏิบัติอย่างผิวเผินมากจนเกินไป! การเข้าสู่การฝึกฝนจริงเกี่ยวข้องกับชีวิตจริงของผู้คน และความยากลำบากในการปฏิบัติของพวกเขา—นี่คือหนทางเดียวที่พวกเขาจะเปลี่ยนแปลง หากปราศจากชีวิตจริง ผู้คนจะไม่สามารถถูกเปลี่ยนสภาพได้ การปรนนิบัติแต่ปากในการอธิษฐานมีประโยชน์อันใด? หากไม่เข้าใจถึงธรรมชาติของมนุษย์แล้ว ทุกอย่างก็เป็นการเสียเวลาเปล่า และหากปราศจากเส้นทางสำหรับการปฏิบัติแล้ว ทุกอย่างก็จะเป็นการพยายามไปโดยสูญเปล่า!

ตัดตอนมาจาก “การเสวนาเรื่องชีวิตคริสตจักรและชีวิตจริง” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

ผู้คนมากมายอธิษฐานอย่างไม่รู้จบ “เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” แม้ว่าคำอธิษฐานอาจจะอยู่บนริมฝีปากของพวกเขาเสมอ แต่พวกเขากลับไม่มีชีวิตอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าจริงๆ นี่เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่ผู้คนแบบนั้นสามารถใช้เพื่อดำรงสภาพเงื่อนไขของพวกเขาเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาไม่สามารถใช้หัวใจของพวกเขาในการมีส่วนร่วมกับพระเจ้าตลอดเวลาได้อย่างเต็มที่ และพวกเขาก็ไม่สามารถมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยหนทางแห่งการได้รับประสบการณ์ ไม่ว่าจะโดยผ่านทางการไตร่ตรอง การใคร่ครวญเงียบๆ หรือการใช้จิตใจของพวกเขาในการมีส่วนร่วมกับพระเจ้าภายในหัวใจของพวกเขา ด้วยการใส่ใจในพระภาระของพระเจ้า พวกเขาเพียงถวายคำอธิษฐานแด่พระเจ้าในสวรรค์ด้วยปากของพวกเขา หัวใจของผู้คนส่วนมากสูญสิ้นพระเจ้า และพระเจ้าทรงอยู่ ณ ที่นั้นก็ต่อเมื่อพวกเขาเข้าไปใกล้พระองค์ เวลาส่วนใหญ่แล้ว พระเจ้าไม่ได้ทรงอยู่ ณ ที่นั้นเลย นี่ไม่ใช่การสำแดงการไม่มีพระเจ้าในหัวใจของคนเราหรอกหรือ? หากพวกเขามีพระเจ้าในหัวใจของพวกเขาจริงๆ พวกเขาจะสามารถทำสิ่งทั้งหลายที่พวกโจรและพวกสัตว์ร้ายทำได้หรือ? หากบุคคลคนหนึ่งเคารพพระเจ้าจริงๆ พวกเขาจะนำหัวใจที่แท้จริงของพวกเขาเข้าสู่การติดต่อกับพระเจ้า และความคิดกับแนวคิดของพวกเขาจะถูกพระวจนะของพระเจ้าครองไว้เสมอ พวกเขาจะไม่ทำความผิดพลาดทั้งในวาทะและการกระทำ และจะไม่ทำสิ่งใดก็ตามที่ต่อต้านพระเจ้าอย่างเห็นได้ชัด เช่นนี้คือมาตรฐานสำหรับการเป็นผู้เชื่อ

ตัดตอนมาจาก “ว่าด้วยประสบการณ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์

ผู้คนส่วนใหญ่อธิษฐานอย่างไรเมื่อรับประสบการณ์กับการพิพากษาและการตีสอนจากพระวจนะของพระเจ้า ได้รับการตัดแต่งและจัดการโดยพระวจนะของพระเจ้า และระลึกได้ถึงอุปนิสัยที่เสื่อมทรามของพวกเขาเอง? พวกเขาล้วนเป็นประเภทเดียวกันหมด คือกล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทนทุกข์ โอ้พระเจ้า ข้าพระองค์กำลังทนทุกข์เช่นนั้น” คำพูดเหล่านั้นไม่ทำให้เจ้ารู้สึกขยะแขยงหรอกหรือ? เมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เจ้าไม่ได้จำเป็นต้องการอย่างแท้จริงที่จะให้พระองค์ให้ความรู้แจ้งแก่เจ้าด้วยสิ่งอื่นสักเล็กน้อยหรอกหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องการความเชื่อและความเข้มแข็ง หรือต้องการให้พระเจ้าทรงเป็นหลักสำคัญของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ทรงให้ความรู้แจ้งและทรงนำเจ้า เพื่อที่เจ้าอาจเดินบนเส้นทางต่อไปข้างหน้าได้เป็นอย่างดีหรอกหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องการการบ่มวินัยและการสั่งสอนของพระองค์หรอกหรือ? เจ้าไม่จำเป็นต้องการการทรงนำของพระองค์หรอกหรือ? เจ้าจำเป็นต้องการเพียงแค่ให้พระองค์ทรงบรรเทาความทุกข์ของเจ้าไปจากเจ้าเท่านั้นหรือ? ผู้คนโรยราหมดสภาพจริงๆ ภายใน และอยู่ในภาวะที่น่าเวทนาเช่นนั้น การไม่รู้วิธีที่จะอธิษฐานอาจจะดูเหมือนเป็นประเด็นปัญหาเล็กๆ แต่อันที่จริงนั้น เมื่อเจ้าเจาะลึกประเด็นปัญหาเล็กๆ นี้และชำแหละแก่นสารสำคัญของมัน เจ้าจะเห็นว่าประเด็นปัญหานี้ไม่เล็กเลย นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้า ในฐานะที่เป็นบุคคลหนึ่ง ไม่ครองชีวิตจำพวกใดให้พูดถึงเลย และในชีวิตแบบที่เจ้ามีจริงๆ นั้น เจ้ามีปฏิสัมพันธ์กับพระเจ้านานๆ ครั้งมาก ระหว่างเจ้ากับพระเจ้านั้น เจ้าแค่ไม่ได้สถาปนาสัมพันธภาพจำพวกที่ควรจะดำรงอยู่ระหว่างพระเจ้ากับบรรดาผู้ติดตามของพระองค์ หรือระหว่างวัตถุเป้าหมายแห่งการทรงสร้างกับพระผู้สร้างของวัตถุเป้าหมายเหล่านั้นเลย เมื่อเผชิญหน้ากับปัญหาหนึ่ง เจ้าทำการตัดสินบนพื้นฐานของสมมุติฐาน มโนคติอันหลงผิด ความคิด ความรู้ พรสวรรค์และความสามารถพิเศษ และอุปนิสัยอันเสื่อมทรามภายในตัวของเจ้าเอง เจ้าไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับพระเจ้า ดังนั้น เมื่อเจ้ามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระองค์ เจ้าจึงไม่เคยมีสิ่งใดที่จะกล่าวกับพระองค์เลย นี่คือสภาวะที่น่าเศร้าของผู้คนที่เชื่อในพระเจ้า! นี่ช่างเป็นภาวะที่น่าเวทนายิ่งนัก! ผู้คนอับเฉาและด้านชาอยู่ภายใน พวกเขาไม่รู้สึกอันใดเมื่อกล่าวถึงสิ่งเหล่านี้ อีกทั้งพวกเขาไม่มีความเข้าใจอันใดเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้ เมื่อพวกเขามาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาไม่มีสิ่งใดจะกล่าว ไม่สำคัญว่าเจ้าจะพบว่าตัวเจ้าเองอยู่ในสถานการณ์จำพวกใด ไม่สำคัญว่าเจ้าจะเผชิญหน้ากับเคราะห์หามยามร้ายใด และไม่สำคัญว่าเจ้าจะเผชิญกับความยากลำบากใด หากเจ้าพูดไม่ออกเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า เช่นนั้นแล้ว ความเชื่อของเจ้าจะไม่สามารถถูกตั้งคำถามหรอกหรือ? นี่ไม่ใช่หน้าตาที่น่าเวทนาของผู้คนหรอกหรือ? หลังจากการที่เชื่อในพระเจ้ามาเป็นเวลาหลายปีมากแล้ว เจ้าก็ยังคงต้องเรียนรู้วิธีที่จะอธิษฐานใหม่อีก เจ้ายังคงไม่รู้วิธีที่จะอธิษฐาน และเมื่อใดก็ตามที่เจ้าเผชิญกับปัญหาหนึ่ง เจ้าแค่โห่ร้องเป็นพวกวลีที่ติดปาก และตั้งปณิธานหรือไม่ก็ร้องทุกข์ต่อพระเจ้าและส่งเสียงแสดงความคับข้องใจของเจ้า โดยกล่าวว่าเจ้ากำลังทนทุกข์เพียงใด หรือมิฉะนั้นก็หาเหตุผลและสร้างความชอบธรรมให้ตัวเจ้าเองในการสารภาพ ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พวกเจ้าเข้าสู่ความจริงได้อย่างเชื่องช้ายิ่งนัก

ตัดตอนมาจาก “พวกเขาทำหน้าที่ของพวกเขาเพียงเพื่อจะทำให้ตัวพวกเขาเองมีชื่อเสียงและป้อนให้กับผลประโยชน์และความทะเยอทะยานของพวกเขาเอง พวกเขาไม่เคยพิจารณาผลประโยชน์ของพระนิเวศของพระเจ้า และถึงขั้นขายผลประโยชน์เหล่านั้นออกจนหมดเพื่อแลกกับสง่าราศีส่วนบุคคล (9)” ใน การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์

ไม่มีสิ่งใดเลยที่พระเจ้าทรงดูหมิ่นมากไปกว่าการอธิษฐานทั้งหลายของพิธีทางศาสนา การอธิษฐานต่อพระเจ้านั้นได้รับการยอมรับก็ต่อเมื่อคำอธิษฐานเหล่านั้นจริงใจ หากเจ้าไม่มีสิ่งใดจริงใจที่จะกล่าว เช่นนั้นแล้วก็จงเงียบไว้ จงอย่ากล่าวคำพูดที่เป็นเท็จอยู่เสมอและหลับหูหลับตาสร้างคำปฏิญาณเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า โดยพยายามที่จะหลอกลวงพระองค์ พูดคุยเกี่ยวกับว่าเจ้ารักพระองค์มากเท่าใด เกี่ยวกับว่าเจ้าปรารถนาที่จะจงรักภักดีต่อพระองค์มากเท่าไร หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะสัมฤทธิ์ความอยากได้อยากมีทั้งหลายของเจ้า หากเจ้าขาดความแน่วแน่และวุฒิภาวะนี้ จงอย่าอธิษฐานเช่นนั้นเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าไม่ว่าภายใต้รูปการณ์แวดล้อมใดก็ตาม นั่นเป็นการเยาะหยัน การเยาะหยันหมายถึงการแกล้งใครบางคนให้ดูเป็นตัวตลก ทำเป็นเล่นกับพวกเขา เมื่อผู้คนอธิษฐานเฉพาะพระพักตร์พระเจ้าด้วยอุปนิสัยประเภทนี้ เช่นนั้นแล้ว อย่างน้อยนิดที่สุด นี่ก็คือการหลอกลวง อย่างเลวร้ายที่สุด หากเจ้าทำการนี้บ่อยครั้ง เช่นนั้นแล้วเจ้าก็เป็นพวกที่มีบุคลิกลักษณะอันน่าเหยียดหยามอย่างถึงที่สุด หากพระเจ้าจะต้องทรงกล่าวโทษเจ้า มันก็คงจะถูกเรียกว่าการหมิ่นประมาท! ผู้คนไม่มีความเคารพต่อพระเจ้า พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะเคารพพระองค์ หรือวิธีที่จะรักและทำให้พระองค์พึงพอพระทัย หากความจริงไม่ชัดเจนสำหรับพวกเขา หรืออุปนิสัยของพวกเขานั้นเสื่อมทราม พระเจ้าก็จะทรงปล่อยมันผ่านไป แต่พวกเขากลับนำพาบุคลิกลักษณะเช่นนั้นมาอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และปฏิบัติต่อพระเจ้าเฉกเช่นพวกผู้ไม่เชื่อปฏิบัติต่อผู้คนอื่นๆ ที่มากไปกว่านั้นคือ พวกเขาคุกเข่าอย่างเคร่งขรึมเฉพาะพระพักตร์พระองค์ในการอธิษฐาน โดยใช้คำพูดเหล่านี้ทดสอบและปะเหลาะพระเจ้า และเมื่อพวกเขาแล้วเสร็จ พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกตำหนิตัวเอง แต่พวกเขายังไม่มีสำนึกรับรู้ถึงความร้ายแรงของการกระทำของพวกเขาอีกด้วย ด้วยการที่เป็นกรณีนั้น พระเจ้าทรงสถิตอยู่กับพวกเขาอย่างนั้นหรือ? ใครบางคนที่ปราศจากการทรงสถิตของพระเจ้าอย่างถึงที่สุดสามารถได้รับการให้ความรู้แจ้งและการให้ความกระจ่างได้หรือ? (ไม่ พวกเขาไม่สามารถ) เช่นนั้นแล้วพวกเขาย่อมตกอยู่ในความเดือดร้อน พวกเจ้าได้อธิษฐานไปเช่นนั้นหลายคราวหรือไม่? เจ้าทำแบบนั้นบ่อยหรือไม่? เมื่อผู้คนใช้เวลากับโลกภายนอกนานเกินไป พวกเขาเหม็นคลุ้งไปด้วยกลิ่นสาบของสังคม ธรรมชาติที่เปรอะเปื้อนของพวกเขาพองขยายขึ้น และพวกเขากลายเป็นซ่านกำจายไปด้วยสารพัดพิษและสารพัดหนทางของการดำรงชีวิตเยี่ยงซาตาน นั่นก็คือ สิ่งที่ออกมาจากปากของพวกเขาคือคำพูดทั้งหลายที่เป็นความเท็จและเล่ห์ลวง พวกเขาพูดโดยปราศจากการคิด หรือไม่เช่นนั้นก็พูดคำพูดซึ่งไม่มีอะไรบรรจุอยู่เลยนอกจากแรงจูงใจและจุดมุ่งหมายทั้งหลายของตัวพวกเขาเองเสมอ และนานๆ ครั้งจึงจะมีแรงจูงใจที่ถูกต้องเหมาะสม เหล่านี้เป็นปัญหาที่ร้ายแรง เมื่อผู้คนใช้ปรัชญาและหนทางแห่งการดำรงชีวิตเยี่ยงซาตานเหล่านี้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า พวกเขาไม่ทำให้พระอุปนิสัยของพระเจ้าขุ่นเคืองหรอกหรือ? และอะไรจะเป็นผลสืบเรื่องของการนี้? จากภายนอกผิวเผิน คำอธิษฐานเหล่านี้คือความพยายามที่จะหลอกลวงและหลอกพระเจ้า และเข้ากันไม่ได้กับน้ำพระทัยและข้อพึงประสงค์ของพระองค์ หากพูดโดยพื้นฐานเบื้องต้นแล้ว การนี้เป็นเหตุมาจากธรรมชาติของมนุษย์ นั่นไม่ใช่การเปิดเผยความเสื่อมทรามชั่วครู่ชั่วยามบางอย่าง

ตัดตอนมาจาก “เฉพาะเมื่อเจ้ารู้จักตนเองเท่านั้น เจ้าจึงสามารถไล่ตามเสาะหาความจริงได้” ใน บันทึกการบรรยายของพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

วิธีที่คนเราสามารถสร้างสัมพันธภาพปกติกับพระเจ้าได้

พระวจนะของพระเจ้าที่เกี่ยวข้อง ในการเชื่อในพระเจ้า อย่างน้อยเจ้าต้องตัดสินใจแน่วแน่กับประเด็นเรื่องการมีสัมพันธภาพที่ปกติกับพระเจ้า...

ติดต่อเราผ่าน Messenger