เส้นทางสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้ราบรื่นเสมอไป
ผมเกิดมาในครอบครัวคริสเตียน และได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าตามพ่อแม่ แถมยังไปงานนัดพบ และเข้าร่วมกิจกรรมทั้งหลายของคริสตจักรอยู่บ่อยๆ วันหนึ่งในเดือนมีนาคมปี 2020 ผมได้พบพี่น้องหญิงคนหนึ่งในเฟซบุ๊ก เราคุยกันเรื่องการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และผมก็รู้สึกว่า สิ่งที่พี่คนนี้พูดเป็นเรื่องใหม่มากๆ อย่างเช่น เธอถามว่าผมรู้เกณฑ์ในการเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ไหม หัวข้อนี้กระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของผมทันที ผมคิดว่า “ผมเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามานาน แต่ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ไม่เคยพูดคุยเรื่องเกณฑ์ในการเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์เลย ผมยังไม่เคยคิดด้วยว่า การเชื่อแบบที่ทำอยู่ จะทำให้เราเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้ไหม” นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินหัวข้อนี้ และผมก็อยากรู้คำตอบ ต่อมา การเข้านัดพบและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรง ก็ทำให้ผมเข้าใจว่า หลังถูกซาตานทำให้เสื่อมทราม เราก็มีธรรมชาติอันเปี่ยมบาป และทำบาปอยู่บ่อยครั้ง ถ้ากำจัดธรรมชาติเปี่ยมบาปนี้ไม่ได้ ก็ไม่อาจรอดพ้นจากบาปได้ พวกที่โสมมและเสื่อมทราม ย่อมไม่เหมาะจะเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ เพราะพระเจ้าทรงชอบธรรมและบริสุทธิ์ ถ้าคนไม่บริสุทธิ์ ก็จะไม่เห็นพระเจ้า เธอยังบอกผมด้วยว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อแสดงความจริง ทรงงานพิพากษาและชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ พระองค์ทรงงานนี้เพื่อกำจัดธรรมชาติอันเปี่ยมบาป และช่วยเราให้รอดจากบาปโดยสมบูรณ์ มีแค่การยอมรับงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า และถูกชำระให้บริสุทธิ์ ที่เราจะกับการเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์” และเธอ ก็อ่านพระวจนของพระองค์ให้ผมฟังสองบทตอน “เจ้ารู้เพียงว่าพระเยซูจะเสด็จลงมาในระหว่างยุคสุดท้าย แต่พระองค์จะเสด็จลงมาอย่างไรกันแน่เล่า? คนบาปเช่นพวกเจ้า ผู้ซึ่งเพิ่งได้รับการไถ่บาป และไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลง หรือได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมโดยพระเจ้า เจ้าสามารถเป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้าได้หรือ? สำหรับเจ้า เจ้าผู้ซึ่งยังคงเป็นตัวตนเก่าของเจ้า เป็นความจริงที่ว่าเจ้าได้รับการช่วยให้รอดโดยพระเยซู และที่ว่าเจ้าไม่ได้ถูกนับว่าเป็นคนบาปเพราะความรอดของพระเจ้า แต่นี่ไม่ได้พิสูจน์ว่าเจ้าไม่ได้มีบาป และไม่ได้ไม่บริสุทธิ์ เจ้าสามารถเป็นผู้เปี่ยมบริสุทธิ์ได้อย่างไรหากเจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง? ภายใน เจ้าถูกรุมเร้าด้วยความไม่บริสุทธิ์ เห็นแก่ตัวและใจร้าย กระนั้นเจ้าก็ยังคงปรารถนาที่จะลงมาพร้อมกับพระเยซู—เจ้าคงจะไม่โชคดีขนาดนั้น! เจ้าได้พลาดไปขั้นตอนหนึ่งในการเชื่อในพระเจ้าของเจ้าแล้ว นั่นคือ เจ้าเพียงได้รับการไถ่บาปเท่านั้น แต่เจ้ายังไม่ได้ถูกเปลี่ยนแปลง เพื่อที่เจ้าจะได้เป็นที่ถูกพระทัยของพระเจ้า พระเจ้าต้องทรงพระราชกิจแห่งการเปลี่ยนแปลงและการชำระล้างเจ้าให้สะอาดด้วยพระองค์เอง มิฉะนั้น เจ้าผู้ซึ่งได้รับการไถ่บาปเท่านั้น ก็จะไม่สามารถบรรลุการชำระให้บริสุทธิ์ได้ ด้วยวิธีนี้เจ้าจะไม่มีคุณสมบัติที่จะแบ่งปันในพรดีๆ ของพระเจ้า เพราะเจ้าได้พลาดขั้นตอนหนึ่งในพระราชกิจของพระเจ้าในการบริหารจัดการมนุษย์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสำคัญแห่งการเปลี่ยนแปลงและการทำให้มีความเพียบพร้อม ดังนั้นเจ้า คนบาปที่เพิ่งได้รับการไถ่บาป จึงไม่สามารถรับมรดกของพระเจ้ามาเป็นมรดกของเจ้าโดยตรงได้” (“ว่าด้วยเรื่องชื่อและอัตลักษณ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “แม้ว่าพระเยซูได้ทรงพระราชกิจมากมายท่ามกลางมนุษย์ แต่พระองค์เพียงแค่ทรงเสร็จสิ้นการไถ่บาปของมวลมนุษย์ทั้งปวงเท่านั้นและทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้ทรงปลดเปลื้องมนุษย์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดของเขา การช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากอิทธิพลของซาตานอย่างครบถ้วนไม่เพียงจำเป็นต้องให้พระเยซูทรงกลายเป็นเครื่องบูชาลบล้างบาปและแบกรับบาปต่างๆ นานาของมนุษย์เท่านั้น แต่ยังพึงต้องให้พระเจ้าทรงพระราชกิจยิ่งใหญ่กว่าเดิมขึ้นไปอีกเพื่อปลดเปลื้องมนุษย์โดยสมบูรณ์จากอุปนิสัยอันเสื่อมทรามเยี่ยงซาตานของเขา และดังนั้น ในเมื่อมนุษย์ได้รับการยกโทษบาปของเขาแล้ว พระเจ้าก็ได้ทรงกลับสู่เนื้อหนังเพื่อนำทางมนุษย์เข้าสู่ยุคใหม่และได้เริ่มพระราชกิจแห่งการตีสอนและการพิพากษา พระราชกิจนี้ได้พามนุษย์เข้าสู่อาณาจักรที่สูงส่งขึ้น บรรดาผู้ที่นบนอบภายใต้อำนาจครอบครองของพระองค์ทั้งหมดจะได้ชื่นชมกับความจริงที่สูงส่งขึ้นและได้รับพรที่ยิ่งใหญ่ขึ้น พวกเขาจะมีชีวิตอยู่ในความสว่างอย่างแท้จริง และพวกเขาจะได้รับความจริง หนทางและชีวิต” (คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ตอนนั้น ผมใคร่ครวญพระวจนะ และนึกถึงการกระทำของตัวเอง กับของพี่น้องชายหญิง ผมต้องยอมรับว่า เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า และทำเรื่องดีมาบ้าง เรามีจิตใจดี ไม่ทุบตี หรือดุด่าใคร แต่เรายังพูดโกหก และทำบาปได้อยู่บ่อยครั้ง เราโอหัง และดูถูกคนอื่น อิจฉาและเกลียดคนอื่น แถมยังแข่งกับพวกเขาเพื่อชื่อเสียงและผลประโยชน์ เราต่างใช้ชีวิตแบบติดอยู่ในวัฏจักร แห่งการทำบาปและสารภาพบาป แถมยังดิ้นรนอยู่กับบาปตลอด พอได้อ่านพระวจนะ ผมถึงเข้าใจว่า นี่เป็นเพราะ ธรรมชาติเปี่ยมบาปในตัวเรายังไม่ถูกกำจัดไป จากพระวจนะ ผมยังพบทางรอดพ้นจากบาป และได้รับการช่วยให้รอดจากพระเจ้า นั่นคือเราต้องยอมรับงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เมื่อสะอาดจากความเสื่อมทราม เราถึงจะเหมาะที่จะได้เข้าสู่ราชอาณาจักร ผมคิดว่าพระวจนะของพระองค์ ดีและสัมพันธ์กับชีวิตจริงมาก มันทำให้ใจผมสว่าง และทำให้ผมเข้าใจความจริงบางอย่างที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน จากนั้น ผมก็อ่านเพราะวจนะของพระองค์อย่างแข็งขัน กระตือรือร้นเข้าร่วมนัดพบทางออนไลน์ สามัคคีธรรมความรู้และความเข้าใจพระวจนะกับผู้อื่น ทุกครั้งที่นัดพบ ผมพบว่ามันคุ้มค่าและเพลิดเพลินมาก ผ่านไปสักระยะ ผมก็เข้าใจความจริงและความล้ำลึกมากมาย ที่ไม่เคยเข้าใจตอนเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า อย่างเช่น การทรงปรากฏในรูปมนุษย์คืออะไร วิธีแยกแยะพระคริสต์แท้จริงและเทียมเท็จ ความล้ำลึกแห่งพระนามของพระเจ้า จุดประสงค์ของแผนการบริหารจัดการ ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามอย่างไร พระเจ้าทรงงานเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดทีละขั้นตอนอย่างไร ราชอาณาจักรเป็นจริงบนโลกได้อย่างไร และอื่นๆ ส่วนคำถามที่เมื่อก่อนผมไม่เคยเข้าใจตอนอ่านพระคัมภีร์ ผมก็ได้คำตอบในพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมตระหนักว่า ความล้ำลึกเหล่านี้มีแค่พระเจ้าพระองค์เองที่เปิดเผยได้ ผมเลยมั่นใจว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เป็นความจริงและเป็นเสียงของพระเจ้า และพระองค์ก็คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ตอนนั้น ผมรู้สึกตื่นเต้นมาก ผมเอาข่าวดีเรื่องการทรงกลับมาไปบอกเพื่อนหลายคน และบอกให้พวกเขา สืบค้นงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์
แต่หลังจากนั้นไม่นาน คริสตจักรคริสเตียนที่มีอำนาจสูงสุดในพื้นที่ นั่นคือคริสตจักบัพติศมาทางตอนเหนือสุดของอินเดีย ได้เริ่มเผยแพร่เอกสารในหมู่ผู้เชื่อ โดยศิษยาภิบาลศาสนา กุเนื้อหาขึ้นมาเพื่อกล่าวโทษคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในเอกสารเหล่านี้ พรรคคอมมิวนิสต์จีนได้ทำการใส่ร้ายป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และบอกว่า คริสตจักรประกาศว่าพระเจ้าทรงกลับมาปรากฏในรูปมนุษย์เพศหญิง ซึ่งเป็นเรื่องที่ขัดต่อพระคัมภีร์ พวกเขาขอให้ผู้เชื่อทุกคน ไม่ร่วมชุมนุมกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เนื้อหาเหล่านี้ถูกเผยแพร่ทางโทรทัศน์ในอินเดียด้วย ทันทีที่เปิดโทรทัศน์หรือคอมพิวเตอร์และดูข่าว คุณก็จะเห็นการชวนเชื่อเชิงลบประเภทนี้ ไม่นานมันก็แพร่ไปทั่วประเทศ พอเห็นเหล่าศิษยาภิบาลและผู้นำ บิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างโจ่งแจ้ง เผยแพร่ความเข้าใจผิด ว่าร้ายและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมก็ทั้งโกรธและเสียใจมาก หลายคนที่สืบค้นงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้ากับผม ก็โดนหลอกจนถอนตัวออกไปจากกลุ่ม บางคนถึงกับพยายามโน้มน้าวผม ว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนกล่าวโทษคริสตจักรแห่งนี้ และจะเชื่อไม่ได้ ผมรู้สึกผิดหวังที่เห็นพวกเขายอมทิ้งหนทางที่แท้จริง ผมคิดว่า พรรคคอมมิวนิสจีนเป็นระบอบอเทวนิยม มันไม่เชื่อในพระเจ้าเลย แถมยังข่มเหงการเชื่อทางศาสนาอยู่ตลอด ทำไมคนพวกนี้ถึงเลือกที่จะเชื่อพรรคการเมืองที่ไม่เชื่อในพระเจ้า แทนที่จะฟังเสียง หรือสืบค้นงานของพระองค์ล่ะ? ในวินาทีนั้นเอง เพื่อนคนหนึ่งที่บ้านเกิดของผม ก็เห็นข้อความที่ผมโพสต์ไว้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว และอาณาจักรแห่งพระคริสต์ก็มายังโลกแล้ว” เขาถามว่าผมได้เข้านัดพบกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไหม ผมตอบว่า “ไป” เขาบอกว่า ผมจะเชื่อในสิ่งนี้ไม่ได้ แถมยังส่งความเห็นและความเข้าใจผิดที่ให้ร้ายทางคริสตจักรมาให้ผม และบอกว่า “ศิษยาภิบาลเตือนเราไม่ให้ติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การทรงกลับมาในยุคสุดท้ายขององค์พระผู้เป็นเจ้า ไม่มีทางปรากฏในรูปมนุษย์ เราเลยเข้าร่วมการนัดพบกับคริสตจักรนี้ไม่ได้” ตอนที่เพื่อนคุณพูดแบบนั้น มันกระทบกับคุณไหมครับ? ไม่ค่อยหรอกครับ เพราะตอนนั้น พี่น้องชายหญิงที่คริสตจักร ได้สามัคคีธรรมความจริงเรื่องการทรงปรากฏในรูปมนุษย์กับผมแล้ว พวกเขาบอกว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาในยุคสุดท้ายในรูปมนุษย์ ซึ่งพระเจ้าทรงวางแผนไว้นานแล้ว และสิ่งนี้ก็พิสูจน์ได้จากคำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้า องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น” (มัทธิว 24:27) “เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน” (ลูกา 17:24-25) “เพราะเหตุนี้พวกท่านจงเตรียมพร้อม เพราะในเวลาที่ท่านไม่คิดไม่ฝันนั้น บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” (มัทธิว 24:44) มีคำองค์พระเยซูเจ้ากล่าวถึงหลายครั้งในคำเผยพระวจนะ “การเสด็จมาของบุตรมนุษย์” “บุตรมนุษย์จะเสด็จมา” และ “บุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์” ตรงนี้ “บุตรมนุษย์” หมายถึง การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้เสด็จมาในยุคสุดท้าย และแสดงความจริงมากมาย พระองค์คือการเสด็จมาของบุตรมนุษย์ เป็นการทรงปรากฏของพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง การสามัคคีธรรมกับเหล่าพี่น้อง ทำให้ผมรู้ด้วยว่า มีเพียงพระเจ้าที่เป็นความจริง หนทาง และชีวิต ถ้าบุคคลหนึ่งแสดงความจริง และพระวจนะของพระเจ้าได้ รวมถึงทำงานพิพากษาในยุคสุดท้ายได้ มนุษย์คนนี้ ก็ต้องเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ไม่ว่าการทรงปรากฏจะดูธรรมดาเพียงใด ไม่ว่าจะทรงมีสถานะหรือสิทธิอำนาจหรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุด คือพระวจนะและงานของพระองค์ นี่คือวิธีพิสูจน์อัตลักษณ์และสถานะของพระองค์ได้ดีที่สุด พอคิดแบบนีั ผมก็เล่าสิ่งที่ได้เข้าใจให้เพื่อนคนนี้ฟัง และบอกเขาไปว่า “พระเจ้าทรงเป็นพระผู้สร้าง ทรงทำได้ทุกสิ่งตามพระประสงค์ สิ่งที่มนุษย์ควรทำคือแสวงหา ไม่ใช่ตัดสินและกำหนดพระเจ้า การนัดพบของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ช่วยให้ฉันเข้าใจความจริงมากมาย ดังนั้น ผมจะไม่เลิกไปงานนัดพบ เมื่อเชื่อในพระเจ้า เราควรเงี่ยหูฟังพระสุรเสียง ไม่ใช่ติดตามผู้คนอย่างมืดบอด พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘เราจำเป็นต้องเชื่อฟังพระเจ้ามากกว่าเชื่อฟังมนุษย์’ (กิจการ 5:29)” พอเพื่อนได้ยินแบบนี้ เขาก็พูดกับผมอย่างจริงจังมากว่า “ถ้านายยังเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป พอกลับไปบ้านเกิด นายจะถูกสภาสูงสุดสอบสวน ศิษยาภิบาลจะไม่ปล่อยให้เชื่อ แถมจะโดนคนในหมู่บ้านปฏิเสธ ได้คิดถึงเรื่องพวกนี้บ้างไหม?” ผมบอกว่า “การถูกผู้คนปฏิเสธไม่ใช่เรื่องน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัวคือการตามย่างพระบาทไม่ทัน และถูกพระเจ้าละทิ้ง เคยคิดไหมว่า ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า และเราไม่ยอมรับ เราจะร่วงลงสู่ความวิบัติ ร่ำไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน? การทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมไม่แสวงหาและสืบค้นดูล่ะ?” ตอนนั้น เขาก็ยังปฏิเสธคำแนะนำผมครับ
ต่อมา เพื่อนผมได้บอกพ่อแม่ผมเรื่องที่ผมเชื่อ ตลอดทั้งสัปดาห์หลังจากนั้น พ่อแม่ก็โทรมาต่อว่าผมทุกวัน บอกว่า “ศิษยาภิบาลบอกให้เราห้ามลูกไปร่วมนัดพบกับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ลูกต้องเลิกไปงานนัดพบ และออกมาจากที่นั่นซะ!” ผมบอกพวกท่านว่า “คริสตจักรนี้ไม่ใช่อย่างที่ศิษยาภิบาลพูด การไปร่วมนัดพบกับพวกเขา สอนความจริงมากมายที่ผมไม่เคยเข้าใจมาก่อน นี่คือหนทางที่แท้จริง และผมไม่ได้พลัดหลงไป” ผมอยากเป็นพยานยืนยันเรื่องงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แก่พ่อแม่ แต่พวกท่านถูกข่าวลือหลอกลวงอย่างหนัก จนไม่ยอมให้ผมพูดอะไร ต่อมา ผมต้องกลับจากมหาลัยไปบ้านเพราะโรคระบาด ตอนที่พ่อแม่เห็นผมเข้านัดพบทางออนไลน์บ่อยๆ พวกท่านก็พยายามห้ามผม แถมเพื่อนบ้านก็พูดถึงผม ว่าผมบ้าไปแล้วหรือเปล่า ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และไม่สนใจศิษยาภิบาล บางคนถึงกับพูดว่าผมถูกปีศาจสิงสู่ พอได้ยินแบบนี้ พ่อแม่ผมก็ยิ่งโกรธ พอพวกท่านกลับถึงบ้าน ก็มาด่าผมว่า “รู้ไหมว่าคนในหมู่บ้านพูดถึงแกกันยังไง? แกจะไม่สนใจสิ่งที่เราพูด และยังไปงานนัดพบนั่นใช่ไหม?” ผมบอกว่า “ใช่ ผมจะยังเข้าร่วมการนัดพบ” พ่อแม่ผมโกรธมาก และยิ่งพยายามห้ามผมมากกว่าเดิม พวกท่านมักจะเข้ามาขัดระหว่างการนัดพบ จนผมไม่ได้เข้าร่วมอย่างสงบ จำได้ว่าครั้งหนึ่ง ผมกำลังอธิษฐานหลังการนัดพบ พอลืมตาขึ้นมา จู่ๆ ก็เห็นพ่อก็มายืนข้างๆ ผมเลยตกใจมาก แล้วท่าน ก็ตะคอกผมด้วยความโกรธว่า “ปิดอินเทอร์เน็ตแล้วเลิกนัดพบเดี๋ยวนี้!” ผมบอกพวกท่านไปว่า “องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แล้วจริงๆ เพื่อทรงงานพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศ ถ้าเราไม่ตามย่างพระบาทให้ทัน และไม่ยอมรับงานพิพากษา และถ้าเราไม่พ้นจากบาป เราก็เข้าราชอาณาจักรไม่ได้ สุดท้ายเราจะตกลงสู่ความวิบัติและโดนลงโทษ” แต่พ่อแม่ไม่ฟังสิ่งที่ผมบอกพวกท่านเลย แถมยังพูดพร่ำถึงมโนคติอันหลงผิดและสิ่งที่ศิษยาภิบาลประกาศ บอกว่า พระเจ้าไม่มีทางทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพศหญิง ผมนึกถึง พระวจนะบทตอนหนึ่งของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่พี่น้องจากคริสตจักรอ่านให้ฟัง “พระราชกิจแต่ละช่วงระยะที่พระเจ้าทรงปฏิบัติมีนัยสำคัญในทางปฏิบัติของมันเอง ย้อนกลับไป เมื่อพระเยซูเสด็จมา พระองค์เสด็จมาในรูปแบบของชาย และเมื่อพระเจ้าเสด็จมาครั้งนี้ รูปแบบของพระองค์ทรงเป็นหญิง จากสิ่งนี้ เจ้าสามารถมองเห็นได้ว่าสรรพสิ่งที่ทรงสร้างของพระเจ้าทั้งที่เป็นชายและหญิงสามารถเป็นประโยชน์ในพระราชกิจของพระองค์ได้ และกับพระองค์แล้วนั้น ไม่มีความแตกต่างกันในด้านเพศ เมื่อพระวิญญาณของพระองค์เสด็จมา พระองค์สามารถใช้มนุษย์ใดๆ ก็ได้ตามที่พระองค์พอพระทัย และมนุษย์ผู้นั้นสามารถเป็นตัวแทนพระองค์ได้ ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็สามารถแสดงถึงพระเจ้าได้ตราบเท่าที่มนุษย์ผู้นั้นเป็นมนุษย์ที่พระเจ้าทรงจุติมา หากพระเยซูทรงปรากฏเป็นผู้หญิงเมื่อพระองค์เสด็จมา กล่าวคือ หากพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงปฏิสนธิในครรภ์เป็นทารกหญิง และไม่ใช่เด็กชาย พระราชกิจในช่วงระยะนั้นจะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม หากเป็นกรณีนั้น พระราชกิจในช่วงระยะปัจจุบันก็จะต้องทำให้เสร็จสมบูรณ์ด้วยชายแทน แต่พระราชกิจก็จะยังเสร็จสิ้นสมบูรณ์ทั้งหมดเหมือนเช่นเดิม พระราชกิจที่ทรงกระทำในแต่ละช่วงระยะมีนัยสำคัญของช่วงระยะนั้น ทั้งสองระยะจะไม่มีการกระทำซ้ำ และทั้งสองระยะไม่มีความขัดแย้งกัน” (“การปรากฏในรูปมนุษย์สองหนทำให้นัยสำคัญของการปรากฏในรูปมนุษย์ครบบริบูรณ์” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมจำได้ว่า พวกเขาสามัคคีธรรมว่า การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้า คือยามที่พระวิญญาณนุ่งห่มเนื้อหนังและกลายมาเป็นมนุษย์ธรรมดา ดังนั้น ไม่ว่าจะทรงเป็นชายหรือหญิง พระองค์ก็คือพระเจ้า และทรงแสดงความจริง และทรงงานของพระเจ้าได้ องค์พระเยซูทรงเป็นชาย พระองค์โดนตรึงกางเขนเพื่อมนุษยชาติ และแบกรับบาปของผู้คน ทำให้งานไถ่มนุษยชาติเสร็จสิ้น ในยุคสุดท้าย พระเจ้าเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์เพศหญิง และทรงแสดงความจริงทั้งปวงที่จำเป็น ต่อการช่วยผู้คนให้รอด บนรากฐานงานขององค์พระเยซูเจ้า รวมถึงทรงงาน ชำระผู้คนให้บริสุทธิ์ ดังนั้น ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงปรากฏในรูปมนุษย์เพศชายหรือหญิง ความจริงที่่ทรงแสดงและงานที่ทรงทำ ก็คืองานแห่งพระวิญญาณของพระเจ้า ที่ล้วนไถ่และช่วยมนุษยชาติให้รอดได้ ยิ่งกว่านั้น หากพระเจ้าทรงงานในยุคสุดท้ายด้วยการเสด็จมาปรากฏในรูปมนุษย์เพศหญิง ผู้คนก็จะไม่จำกัดว่า พระเจ้าทรงเป็นชาย และไม่ทรงเป็นหญิง พอคิดเรื่องนี้ ผมก็สามัคคีธรรมกับพ่อแม่ว่า “พระเจ้าคือพระวิญญาณ และไม่มีการแบ่งแยกเพศ พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ทั้งหญิงและชายในรูปของพระองค์เอง ดังนั้น พระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ก็เป็นได้ทั้งชายและหญิงโดยธรรมชาติ การทรงปรากฏทางกายภาพไม่สำคัญเลย เรื่องสำคัญคือ พระองค์แสดงความจริงเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดได้ และทรงเป็นการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณ เป็นพระเจ้าพระองค์เอง” พ่อกับแม่แย้งคำพูดผมไม่ได้ จึงพูดว่า “แกบอกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา แต่เราไม่เชื่อ เราจะยอมรับก็ต่อเมื่อศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสยอมรับ ศิษยาภิบาลบอกว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นเพียงคนธรรมดา ที่เกิดในครอบครัวธรรมดา ไม่มีทางเป็นพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ไปได้” ผมตอบประเด็นที่พ่อกับแม่พูดไปว่า “ตอนองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน หัวหน้าปุโรหิต ธรรมาจารย์ และพวกฟาริสีแห่งศาสนายิว ก็จำไม่ได้ว่าพระองค์คือพระเจ้า เพราะการประสูติและการทรงปรากฏที่ธรรมดา พวกเขาบอกว่า ‘นี่คือบุตรของช่างไม้มิใช่หรือ? มารดาของเขาชื่อมารีย์มิใช่หรือ?’ ฟาริสีเหล่านี้มองแค่การทรงปรากฏขององค์พระเยซูเจ้า พวกเขาไม่ได้สืบค้นว่า พระวจนะและงานของพระองค์มาจากพระเจ้าไหม พวกเขาใช้อุปนิสัยโอหังของตนตัดสิน ว่าทรงเป็นคนธรรมดา ไม่ใช่พระเจ้า แถมยังให้ร้าย และกล่าวโทษพระองค์ด้วย ผู้เชื่อในศาสนายิว ต่างเทิดทูนและเชื่อฟังคนพวกนี้ และได้ติดตามพวกเขาในการตรึงกางเขนองค์พระผู้เป็นเจ้า สุดท้ายพวกเขาก็เสียความรอดของพระเจ้าไป และถูกลงโทษ ในวันนี้ก็เช่นกัน ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเหล่านี้ไม่สืบค้น ว่าคำที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดง ใช่ความจริงและเสียงของพระเจ้าหรือไม่ พวกเขาตัดสิน และกล่าวโทษพระองค์อย่างมืดบอด ว่าทรงเป็นคนธรรมดา และสงสัยในจุดกำเนิดและภูมิหลังของพระองค์ นี่เหมือนกับตอนที่ฟาริสีกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าเลยไม่ใช่หรือ?” พอถึงจุดนี้ ผมก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง ที่เหล่าพี่น้องเคยอ่านให้ฟังขึ้นมา “พระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองแก่นแท้ของพระเจ้า และพระองค์ผู้ซึ่งเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์จะทรงครองการแสดงออกของพระเจ้า ในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงก่อเกิดพระราชกิจที่พระองค์ตั้งพระทัยที่จะทำ และในเมื่อพระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์จะทรงแสดงออกถึงสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น และจะสามารถนำความจริงมาสู่มนุษย์ ประทานชีวิตให้เขาและชี้หนทางให้เขา เนื้อหนังที่ไม่มีแก่นแท้ของพระเจ้านั้นไม่ถือว่าเป็นพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์อย่างแน่นอน ในเรื่องนี้ไม่มีข้อสงสัยแต่อย่างใด หากมนุษย์ตั้งใจจะสืบค้นลงไปว่านั่นคือเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ เช่นนั้นแล้วเขาต้องยืนยันเรื่องนี้จากพระอุปนิสัยที่พระองค์ทรงแสดงออกและพระวจนะที่พระองค์ตรัส ซึ่งกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่จะยืนยันว่าเป็นเนื้อหนังจากการทรงจุติเป็นมนุษย์ของพระเจ้าหรือไม่ และเป็นหนทางที่แท้จริงหรือไม่นั้น คนเราต้องแยกแยะบนพื้นฐานของแก่นแท้ของพระองค์ และดังนั้น ในการกำหนดว่านั่นเป็นเนื้อหนังของพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์หรือไม่ กุญแจอยู่ในแก่นแท้ของพระองค์ (พระราชกิจของพระองค์ ถ้อยดำรัสของพระองค์ พระอุปนิสัยของพระองค์และแง่มุมอื่นๆ มากมาย) มากกว่ารูปปรากฏภายนอก หากมนุษย์พินิจพิเคราะห์เพียงแค่รูปปรากฏภายนอกของพระองค์ และส่งผลให้มองข้ามแก่นแท้ของพระองค์ นี่ก็แสดงว่ามนุษย์มืดบอดและไม่รู้เท่าทัน” (คำนำของ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) จากนั้น ผมก็พูดกับพ่อแม่ว่า “การจะกำหนดว่านี่ใช่การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ของพระเจ้าไหม ควรอ้างอิงจาก พระองค์แสดงความจริงและทรงงานเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอดได้หรือไม่ ไม่ใช่การทรงปรากฏของพระองค์ ลองคิดดูนะครับ เราเชื่อในองค์พระเยูเจ้า เพราะพระฉายาในรูปมนุษย์ของพระองค์หรือ? ไม่ใช่ เรายอมรับองค์พระเยซูเจ้า เพราะเราอ่านพระวจนะในพระคัมภีร์ และเห็นว่าพระวจนะนั้นเป็นความจริง งานของพระองค์ ไถ่เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งปวงได้ และเราได้เพลิดเพลินกับพระคุณมากมายของพระองค์ ตอนนั้นเราถึงได้เชื่อ วันนี้ที่ผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพราะเห็นว่าพระวจนะที่พระองค์แสดงนั้นเป็นความจริง เป็นสิ่งที่มีฤทธานุภาพและสิทธิอำนาจ และเป็นเสียงของพระเจ้า ตอนนั้นเองผมถึงได้เชื่อว่า พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ เป็นองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา” พอพูดเรื่องนี้ ผมก็แนะนำพวกท่านว่า “พ่อกับแม่ควรอ่านพระวจนะของพระองค์ด้วย อย่าหลับหูหลับตาฟังคำพูดของศิษยาภิบาล และเชื่อสิ่งที่เขาพูดไปเสียหมด ถ้าพวกเขาเดินทางผิด ต่อต้าน และกล่าวโทษพระเจ้า พ่อแม่จะตามพวกเขาไปต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าไหม?” พอได้ยินผมพูดแบบนี้ พวกท่านก็โกรธมาก และต่อว่าผมว่า “แกต้องดื้อด้านขนาดขัดกับทั้งโลกศาสนาเชียวหรือ? ถ้าแกกล้าต่อต้านศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ก็จะถูกคนในหมู่บ้านขับไล่ ถ้าโดนไล่จริงแกจะไปอยู่ที่ไหน? ถ้ามันเกิดขึ้น เราก็ช่วยอะไรแกไม่ได้นะ! หยุดพูดเรื่องพวกนี้สักที และอย่าเป็นพยานยืนยันเรื่องพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับคนอื่น ไว้ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสยอมรับ เราก็จะยอมรับ แต่ตอนนี้ อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย” ไม่ว่าผมจะสามัคคีธรรมยังไง พวกท่านก็ไม่ฟังเลย แถมยังตำหนิผมอย่างรุนแรง ว่า “เราเสียเงินไปมากมายเพื่อส่งแกเรียน จ่ายค่าเสื้อผ้า อาหาร แต่แกกลับไม่เชื่อฟัง ทำให้พ่อกับแม่ผิดหวัง” ตอนนั้น พี่ชายทั้งสองคนของผมก็เข้าข้างพ่อแม่ ในครอบครัว ไม่มีใครฟังคำแนะนำของผมเลย ผมพยายามบอกพวกท่านว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมาย และพยายามแบ่งปันสิ่งที่ผมได้กับพวกท่าน แต่ไม่ว่าจะพูดยังไง พวกท่านก็ยังไม่อยากรับฟัง เมื่อก่อน พ่อแม่และคนในหมู่บ้านปฏิบัติต่อผมดีมาก แต่ตอนนี้ แค่เพราะผมเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ท่าทีของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ผมกลายเป็นตัวร้าย และคนที่ถูกขับไล่ในสายตาพวกเขา ขนาดอยู่บ้าน ผมยังไม่รู้สึกถึงความเป็นห่วงจากครอบครัวเลย ผมรู้สึกอ้างว้างและทุกข์ใจ แต่ไม่ว่ายังไง ผมก็รู้ว่าผมยอมเลิกเข้าร่วมการนัดพบไม่ได้ เพราะถ้าผมไม่เข้านัดพบ และหาความจริงใส่ตัวไว้ ผมคงไม่มีทางยืนหยัดในสภาพแวดล้อมเช่นนั้นได้ ต่อมา เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น ผมต้องหลบจากพวกเขา และเข้าร่วมนัดพบอย่างลับๆ ผมพูดคุยและสามัคคีธรรมไม่ได้ ทำได้แค่สามัคคีธรรมกับพวกเขาทางตัวอักษร
ผมจำได้ว่าคืนหนึ่ง จู่ๆ ศิษยาภิบาลและเพื่อนร่วมงานก็มาที่บ้านผม เพื่อนบ้านและคนในหมู่บ้านบางคนก็มาดูด้วย ศิษยาภิบาลบอกว่า “ที่การนัดพบของคริสตจักรนั้น คุณคุยเรื่องอะไรกัน?” ผมบอกว่า “คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นพยานยืนยันว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ทรงเป็นพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ที่ทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย เราพูดคุยกันด้วยว่า คนประเภทไหนที่เข้าราชอาณาจักรสวรรค์ได้ จะไล่ตามอย่างไรเพื่อให้ได้รับความรอด และเรื่องอื่นๆ” ศิษยาภิบาลพูดว่า “งั้นบอกที ว่าคนแบบไหนที่เข้าราชอาณาจักรสวรรค์ได้” น้ำเสียงของเขาดูเหยียดหยามมาก ผมตอบไปว่า “พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ไม่ใช่ทุกคนที่เรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ จะได้เข้าในแผ่นดินสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระทัยพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์จึงจะเข้าได้’ (มัทธิว 7:21) ‘เพราะฉะนั้นเจ้าจึงต้องบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์’ (เลวีนิติ 11:45) จากข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ เราได้เห็นว่า ถ้าอยากเข้าราชอาณาจักรสวรรค์ เราต้องเป็นอิสระจากบาป และสะอาดจากอุปนิสัยเสื่อมทราม และกลายเป็นคนที่ทำตามน้ำพระทัย ตอนนี้ทุกคนยังใช้ชีวิตอยู่ในบาป เราโกหกและทำบาปบ่อยครั้ง และไม่อาจปฏิบัติพระวจนะได้ จึงไม่อาจเข้าราชอาณาจักรสวรรค์ได้” ผมยังบอกเขาว่า “ผมเคยสับสนว่า ทำไมเราถึงติดอยู่ในวัฏจักรของการทำบาป สารภาพบาป และทำบาปอีก ทำไมเราถึงหนีพันธนาการแห่งบาปไม่พ้น? มีเพียงการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่ทำให้ผมเข้าใจ ว่าเมื่อเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า บาปของเราได้รับการอภัย แต่ธรรมชาติอันเปี่ยมบาปและรากเหง้าแห่งบาปของเรายังไม่ถูกกำจัดไป เราถึงยังโกหก และทำบาปอยู่บ่อยครั้ง พระคัมภีร์กล่าวว่า ‘ถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย’ (ฮีบรู 12:14) องค์พระผู้เป็นเจ้านั้นบริสุทธิ์ ดังนั้น ถ้าเรายังทำบาปและต่อต้านพระเจ้า เราก็ไม่อาจเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ ตอนนี้องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว เพื่อทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริงทั้งปวง ที่ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ และช่วยพวกเขาให้รอด สิ่งนี้ ทำให้คำเผยพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าลุล่วง ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงแสดงความจริงมากมาย ไม่ใช่แค่ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า แต่ทรงเผยถึงรากเหง้าที่เป็นต้นเหตุของบาปมนุษย์ด้วย ทรงพิพากษาและเปิดเผยธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของผู้คน อย่างเช่น ความโอหัง ความหลอกลวง ความชั่ว และอื่นๆ รวมถึงเปิดเผยการปนเปื้อนทั้งหลายในการเชื่อ และมุมมองผิดๆ ในการเชื่อ แค่เพื่อให้ได้เข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ของเรา คนที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่างประสบกับการพิพากษาแห่งพระวจนะ แล้วค่อยๆ มาตระหนักถึงความจริงแห่งความเสื่อมทราม และแก่นแท้ของธรรมชาติของพวกเขาเอง จนได้กลับใจจริง และอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขาก็ถูกชำระให้บริสุทธิ์ นี่คือผลสัมฤทธิ์ของพระวจนะในยุคราชอาณาจักร ถ้าเราอยากเข้าราชอาณาจักรสวรรค์ เราต้องยอมรับงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เมื่อความเสื่อมทรามของเราถูกชำระให้สะอาดแล้ว เราถึงจะเหมาะแก่การเข้าสู่ราชอาณาจักร” พอผมพูดจบ ศิษยาภิบาลก็พูดว่า “ผมรู้ว่าคุณโหยหาที่จะไล่ตามความจริง แต่คุณอายุยังน้อย คุณไม่เข้าใจพระคัมภีร์ เลยถูกหลอกได้ง่าย เลิกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดีกว่า สารภาพบาปกับองค์พระผู้เป็นเจ้า กลับใจ และเลิกเข้าร่วมนัดพบซะ” ต่อมา พอศิษยาภิบาลเห็นว่าผมไม่สนใจ เขาก็พูดว่า “คุณเป็นแกะ กล้าดียังไงที่ไม่เชื่อฟังผม? คุณต้องกลับใจเดี๋ยวนี้ ถอนตัวจากคริสตจักรนั่น และเลิกอธิษฐานในชื่อของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซะ” ผมบอกเขาว่า “ผมจะไม่เลิกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” เขาโกรธมาก และเตือนผมว่า “สภาสูงสุดของคริสตจักร มอบหมายให้ผมมา ‘ดูแล’ คุณ ถ้าไม่หยุดตามที่ผมบอก คุณจะถูกนำตัวไปสอบสวนต่อหน้าสภาสูงสุด รู้ไว้เลยว่า ถ้ามันเกิดขึ้น อย่าว่าแต่เรื่องกระทบการเรียน คุณจะมีชื่อเสียงแย่ๆ ในคริสตจักรด้วย อนาคตคุณอาจจะหางานไม่ได้ด้วยซ้ำ ทำไมถึงหาเรื่องใส่ตัวล่ะ? คุณควรมุ่งเน้นเรื่องการเรียนของตัวเองนะ!” ตอนนั้น พอศิษยาภิบาลพูดแบบนี้ ผมก็รู้สึกกดดันมาก เพราะรู้ว่าถ้าเกิดถูกสภาสูงสุดสอบสวน พวกเขาคงไม่ปล่อยผมไว้แน่ ถ้าผมไม่เลิกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ในอนาคตถ้าผมอยากได้ใบรับรอง ผู้ใหญ่บ้านคงไม่ลงนามให้ และผมอาจจะหางานไม่ได้ด้วยซ้ำ พ่อแม่ส่งผมไปเรียนมหาลัย เพื่อให้ผมหางานดีๆ ทำได้เมื่อเรียนจบ ถ้าผมหางานทำไม่ได้ พ่อแม่คงยิ่งห้ามผมจากการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แน่ อีกอย่าง ผมเพิ่งเริ่มเชื่อ และยังเข้าใจความจริงน้อยมาก ถ้าผมถูกนำตัวไปสอบสวน และเผชิญหน้ากับกลุ่มคนที่โจมตีผม ผมจะต้านทานไหวได้ยังไง? ถ้าผมยืนกรานที่จะเชื่อต่อไป พวกเขาจะไล่ผมออกจากมหาลัยไหม? พวกเขาจะขอให้ผู้เชื่อทุกคนปฏิเสธผมไหม? พอคิดเรื่องนี้ ผมก็กังวลมาก จึงอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ และขอให้พระองค์ทรงนำ ทั้งยังบอกพระองค์ว่าผมอยากตั้งมั่นในคำพยาน
หลังอธิษฐาน ผมได้อ่านพระวจนะอีกสองบทตอน “พวกเจ้าต้องตื่นและรอคอยอยู่เสมอ และเจ้าต้องอธิษฐานต่อหน้าเราให้มากขึ้น เจ้าต้องระลึกรู้ถึงแผนร้ายสารพัด และกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของซาตาน ระลึกรู้ถึงจิตวิญญาณทั้งหลาย รู้จักผู้คน และมีความสามารถที่จะหยั่งรู้ในผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งหลายทุกประเภท” (“บทที่ 17” ของ ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “ซาตานนั้นมีอยู่เสมอ คอยกลืนกินความรู้เกี่ยวกับเราในหัวใจของผู้คน ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันของมันและเกร็งกรงเล็บของมันในการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายก่อนตาย พวกเจ้าปรารถนาที่จะตกเป็นเหยื่อของกลอุบายอันเจ้าเล่ห์ของมันในครั้งนี้หรือ? พวกเจ้าปรารถนาที่จะทำให้ชีวิตของพวกเจ้าย่อยยับในยามที่งานของเราเสร็จสมบูรณ์ในที่สุดละหรือ?” (“บทที่ 6” ของ พระวจนะของพระเจ้าถึงทั้งจักรวาล ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) ผมได้เข้าใจจากพระวจนะ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับผม เป็นอุบายของซาตาน ซาตานอยากก่อกวน และขัดขวางผมจากการติดตามพระเจ้า ถึงผมจะมีวุฒิภาวะน้อย และเข้าใจความจริงน้อยนิด ผมก็เต็มใจที่จะพึ่งพาพระเจ้า เพื่อยืนหยัดและหมิ่นเกียรติซาตาน ผมเลย บอกพวกเขาไปว่า “ผมจะไม่เลิกไปร่วมนัดพบ และจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป” พ่อแม่โกรธมาก ที่ผมไม่ยอมฟังศิษยาภิบาล พ่อจ้องผมและตะโกนว่า “กล้าปฏิเสธหรือ? ก่อนอาจารย์จะกลับไป แกต้องสัญญาว่าจะเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” ศิษยาภิบาลขู่ผมอีกว่า ถ้าผมไม่หยุดเข้าร่วมนัดพบในหนึ่งสัปดาห์ เขาจะนำตัวผมไปให้สภาสูงสุดสอบสวน แต่ว่า ผมไม่รู้สึกเสียใจเลย เพราะผมรู้ดีมาก ว่าทางเลือกของผมนั้นถูกต้อง ก่อนยอมรับงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมเชื่อในพระเจ้า แต่ไม่เข้าใจข้อประสงค์ในการเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ บางครั้ง ผมก็เต็มไปด้วยความคิดเพ้อฝัน และบางครั้ง ผมก็สับสนมาก เพราะผมทำบาปบ่อย และไม่รู้ว่าจะเข้าราชอาณาจักรได้ไหม ในที่สุดตอนนี้ผมก็เข้าใจ มีแค่งานพิพากษาของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่แก้ไขธรรมชาติอันเปี่ยมบาปของเราได้ และเมื่อนั้น เราถึงจะถูกช่วยให้รอดจากบาป ได้รับความรอด และได้เข้าสู่ราชอาณาจักร มีเพียงพระวจนะของพระองค์ ที่ทำให้ผมเห็นโลกอันแสนชั่วแห่งนี้ได้ชัดเจน และได้เข้าใจว่า ซาตานใช้หลักปรัชญาทางโลก ทำให้มวลมนุษย์เสื่อมทรามยังไง ถ้าผมไม่ได้อ่านพระวจนะ ผมคงติดตามหลักปรัชญาทางโลกเยี่ยงซาตานไปทั้งชีวิต ผมคงไม่รู้เลยว่า จะรอดพ้นจากความเสื่อมทรามของซาตานได้ยังไง ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาจะขัดขวางผมยังไง ผมก็ไม่มีวันล้มเลิกการติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อมา เมื่อศิษยาภิบาลเห็นว่าผมไม่มีความตั้งใจที่จะล้มเลิก เขาจึงปึงปังออกไป พ่อแม่ของผมเองก็โกรธมาก ที่ผมปฏิเสธศิษยาภิบาล เลยพูดกับผมอย่างฉุนเฉียวว่า “แกกล้าบอกปัดศิษยาภิบาล และทำสิ่งที่คริสตจักรห้าม ตามประเพณีแล้ว แกต้องถูกขับไล่ไปจากหมู่บ้าน ถ้าคนในหมู่บ้านปฏิเสธแก อนาคตถ้าแกอยากได้หนังสือรับรอง ผู้ใหญ่บ้านก็จะไม่ลงนามให้ แกก็จะหางานไม่ได้ด้วย ได้คิดถึงผลลัพธ์พวกนี้บ้างไหม? ถึงตอนนั้นแกจะไปอยู่ที่ไหน? แกเป็นแค่นักศึกษา ที่อยู่ก็ไม่มี จะทำงานก็ไม่ได้ แกจะมีชีวิตรอดได้ยังไง?” แถมพ่อยังบอกอีกว่า ท่านรู้สึกละอายใจที่มีลูกชายแบบผม บอกว่าผมทำให้พวกเขาอับอายมาก และผมจะไม่ใช่ลูกชายท่านอีก ตั้งแต่เกิดมา นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินพ่อด่าแบบนี้ ท่านถึงกับบอกว่าผมไม่ใช่ลูกของท่านแล้ว ไม่อยากเชื่อเลยว่า พ่อแม่ของผมจะพูดอะไรแบบนั้น ผมเสียใจมาก จนพูดอะไรไม่ออก พ่อของผมก็ได้พูดต่อไปว่า “ฉันขอบอกแกอีกที ถ้าเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป ก็คืนเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ฉันใช้เลี้ยงแกมาซะ” ตอนนั้น ผมรู้สึกอับอายและเสียใจมาก เมื่อก่อนพ่อแม่เคยปฏิบัติกับผมอย่างดี ในบรรดาลูกสิบคน พ่อแม่รักผม และคาดหวังในตัวผมที่สุด พวกท่านไม่เคยพูดจาที่ดูใจร้ายแบบนั้นเลย แต่ตอนนี้ ท่าทีของพวกท่านกลับเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมคิดถึงความใจดีของพ่อแม่ และไม่อยากมีปัญหากับพวกท่าน ผมรู้สึกอ่อนแอมาก และไม่รู้ว่าจะทำยังไงดี ผมเลยอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำในการเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมนี้ ต่อมา ผมก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งขึ้นมา “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!” (“ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พระวจนะเป็นแรงบันดาลใจให้ผม ผมได้เข้าใจว่า ผมควรทนทุกข์เพื่อความจริง แม้ว่าผมจะถูกครอบครัวต่อต้าน ถูกศิษยาภิบาลขัดขวาง และถูกคนในหมู่บ้านตัดสิน จนผมรู้สึกทรมาน และอ่อนแออยู่บ้าง ไม่ว่าพวกเขาจะพูดยังไง ผมก็ล้มเลิกการติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ การอ่านพระวจนะและเข้าร่วมนัดพบ ทำให้ผมเข้าใจความจริงมากมาย และหมายมั่นอยู่ในใจแล้วว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา คือพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย ผมจึงเลิกไปนัดพบไม่ได้ ผมรู้ว่าถ้าผมเลิกเข้าร่วมงานนัดพบ อะไรๆ ก็คงจะคลายลง ครอบครัวคงไม่ต่อต้านผมอีกต่อไป และคงปฏิบัติกับผมดีเหมือนเดิม และคงไม่มีใครหัวเราะเยาะผมอีก แต่ผมจะเสียโอกาสได้รับความจริง และถูกพระเจ้าช่วยให้รอดไป ผมบอกตัวเองว่า ผมจะยอมทิ้งความจริงไม่ได้ และผมจะทรยศพระเจ้า เพราะครอบครัวไม่เห็นด้วยไม่ได้ พระวจนะคือความจริง มีเพียงพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ที่บอกเราได้ว่าซาตานทำให้มนุษยชาติเสื่อมทรามยังไง และมีเพียงพระองค์ ที่ชี้ให้เราเห็นทางรอดพ้นจากบาป และถูกช่วยให้รอดโดยพระเจ้า การที่วันนี้ผมทนทุกข์เพื่อความจริงได้ เป็นเรื่องที่คุ้มค่า ผมเลยตั้งใจแน่วแน่ว่า จะไม่ทนทุกข์กับการบีบคั้นของครอบครัวอีกต่อไป ต่อให้พวกเขาจะไม่จ่ายค่าเทอมให้ผม ต่อให้ผมจะถูกไล่ออกจากหมู่บ้าน และมีชีวิตยากลำบาก ผมก็จะไม่ล้มเลิกการเชื่อในพระเจ้า และการไล่ตามความจริง
แต่ว่า ในสัปดาห์ต่อมา ศิษยาภิบาลได้ให้เพื่อนร่วมงานสองคนมาที่บ้านของเราทุกคืน พวกเขาพูดพร่ำเรื่องเดิมๆ ทุกวัน เพื่อให้ผมเลิกเข้าร่วมนัดพบ แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพูดยังไง ผมก็ยังไปนัดพบเหมือนเดิม ในช่วงนั้น ผมมักจะอธิษฐานถึงพระเจ้า ขอพระองค์ทรงสงบใจผม และทรงกันการก่อกวนนี้ให้ผม ต่อมา ลุงของผมกลัวว่า ถ้าคนรู้กันทั่วเกินไป ครอบครัวของเราก็จะโดนเยาะเย้ย ท่านเลยไปหารือกลยุทธ์ใหม่กับศิษยาภิบาล พวกเขาพาผมไปหานักเทววิทยา ซึ่งเป็นหมอด้านเทววิทยา และคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ หลังจากที่เจอกัน นักเทววิทยาคนนี้ก็ซักถามผม บอกว่า “ทำไมถึงเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ล่ะ? คุณรู้ไหมว่า พระองค์เป็นเพียงคนธรรมดา? ทำไมคุณควรเชื่อในมนุษย์คนหนึ่งล่ะ?” ผมบอกเขาว่า “พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ถึงจะทรงดูเป็นมนุษย์ธรรมดา แต่พระองค์มี และทรงเป็นการปรากฏในรูปมนุษย์ของพระวิญญาณพระเจ้า พระองค์ไม่ได้มีเพียงความเป็นมนุษย์ปกติ แต่ทรงมีเทวสภาพอันสมบูรณ์ เช่นเดียวกับองค์พระเยซูเจ้า ถึงจะดูเป็นคนธรรมดา แต่แท้จริงแล้วทรงเป็นการทรงปรากฏของบุตรมนุษย์ เป็นพระเจ้าพระองค์เอง พระองค์แสดงความจริง และทรงงานแห่งการไถ่ และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาในยุคสุดท้าย และแสดงความจริงมากมาย เช่นแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้า ความล้ำลึกของการทรงปรากฏในรูปมนุษย์ และการทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระเจ้า เพื่อชำระผู้คนให้บริสุทธิ์และช่วยพวกเขาให้รอด พระองค์ทรงเผยถึงความล้ำลึกอันหลากหลายของความจริง และทรงเผยถึงรากเหง้าของเหตุที่ผู้คนทำบาปด้วย คุณคิดว่าคนธรรมดาจะแสดงความจริงได้มากมายอย่างนี้หรือ? บนโลกนี้ ไม่มีคนดังหรือผู้ยิ่งใหญ่คนไหนที่แสดงความจริงเหล่านี้ได้ มีเพียงพระเจ้าพระองค์เอง ที่แสดงความจริงเหล่านัันได้ ไม่มีใครทำได้ นอกจากพระเจ้า ความจริงทั้งปวงที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดง เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ว่า พระองค์คือพระเจ้าพระองค์เองผู้ทรงปรากฏในรูปมนุษย์” หลังจากผมพูดเรื่องพวกนี้ไป นักเทววิทยา ก็ขัดจังหวะผมขึ้นมาว่า “คุณพูดแบบนั้นไม่ถูกต้อง พระวจนะล้วนอยู่ในพระคัมภีร์ และไม่มีพระวจนะใหม่นอกพระคัมภีร์ ส่วนพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จึงไม่อาจเป็นพระวจนะใหม่ของพระเจ้าได้” ผมค้านสิ่งที่เขาพูดว่า “เรื่องนี้คุณมีรากฐานทางพระคัมภีร์ไหม? มีข้อพิสูจน์ในพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าไหม? องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) พระคัมภีร์เผยพระวจนะว่า พระเมษโปดกแห่งยุคสุดท้ายจะทรงเปิดม้วนหนังสือ ทั้งหมดแสดงว่า พระเจ้าจะตรัสเมื่อทรงกลับมาในยุคสุดท้าย ถ้าเป็นอย่างที่คุณบอก ว่าพระเจ้าไม่ตรัสพระวจนะใหม่นอกพระคัมภีร์ นั่นจะไม่เป็นการปฏิเสธ พระวจนะและงานทั้งปวง ขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ทรงกลับมาหรือ?” ตอนนั้น เขาไม่ฟังผมเลยครับ เขาพูดสิ่งที่ กล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และพร่ำขอให้ผมเลิกฟังฟ้าแลบจากทิศตะวันออก จากนั้น เขาก็เริ่มโอ้อวดว่ามีวุฒิด้านเทววิทยาที่สูงส่งแค่ไหน ทนทุกข์เพื่อประกาศเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าแค่ไหน และอื่นๆ เขายังบอกด้วยว่า ผมเด็กเกินกว่าจะเข้าใจพระคัมภีร์ และควรฟังเขา และบอกให้ผมเลิกนัดพบกับคนจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ลุงของผมก็เข้ามาเสริมว่า “เราไม่ควรเชื่อในสิ่งที่แวดวงศาสนากล่าวโทษ” แถมบอกว่า “นักเทววิทยาคนนี้ เป็นที่รู้จักดีเรื่องความรู้ทางพระคัมภีร์ แกโชคดีที่มีโอกาสได้พูดคุยกับเขา ฉันหวังว่าแกจะฟังเขา และเลิกไปนัดพบเสียที” ผมบอกทั้งคู่ไปว่า “ผมเคยสับสนเรื่องการใช้ชีวิตในบาป ผมหาเหตุผลไม่ได้ว่า ทำไมผู้คนถึงไม่อาจกำจัดบาป จนได้มาอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมถึงเข้าใจว่า ทั้งหมดเป็นเพราะธรรมชาติอันเปี่ยมบาปในตัวเรา ถ้าธรรมชาติอันเปี่ยมบาปไม่ถูกกำจัดไป เราก็จะไม่มีวันเป็นอิสระจากพันธนาการแห่งบาป” ผมยังเป็นพยานยืนยัน เรื่องความจริงแห่งการทรงปรากฏในรูปมนุษย์แก่พวกเขาด้วย หลังจากผมพูดเรื่องนั้นไป นักเทววิทยา ก็บอกว่าสิ่งที่ผมแบ่งปันให้แรงบันดาลใจกับเขา มันเป็นสิ่งที่ดีมาก และหวังว่าจะมีโอกาสได้พูดคุยกับผมอีก แต่เขายังยืนกรานว่า ผมไม่ควรยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมได้เห็นว่า ถึงคนๆ นี้จะคุ้นเคยกับพระคัมภีร์ มีความรู้ทางเทววิทยามาก แถมยังมีชื่อเสียงที่ดี แต่ที่จริงเขายังอ่อนด้อยทางจิตวิญญาณ และไม่เข้าใจความจริงเลย แถมยังโอหังมาก ไม่ยอมรับความจริง และไม่สนใจจะสืบค้นงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้า เหมือนกับพวกฟาริสี ที่ต่อต้านองค์พระเยซูเจ้า เขาเอาแต่กล่าวโทษงานในยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การพูดคุยวันนั้น ไม่ได้ทำให้ผมเปลี่ยนความแน่วแน่ที่จะติดตามพระองค์ มันกลับทำให้ผมมีปัญญาแยกแยะ เรื่องศิษยาภิบาลและนักเทววิทยาในโลกศาสนา ผมเลิกเคารพ และนับถือพวกเขา การเข้าร่วมนัดพบ และอ่านพระวจนะในช่วงนี้ ทำให้ผมแยกแยะความเข้าใจผิดเหล่านี้ในโลกศาสนาได้ด้วย นี่ยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือความจริง และพระองค์ทรงเป็นการสำแดงแห่งพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว ต่อมาที่การนัดพบ ผมได้คุยกับเหล่าพี่น้อง ถึงสถานการณ์ที่เจออยู่ พวกเขาได้แบ่งปันพระวจนะบางส่วนกับผม ที่ทำให้ผมได้มีปัญญาแยกแยะ เรื่องผู้เลี้ยงเทียมเท็จและศัตรูของพระคริสต์ ในการสู้รบทางจิตวิญญาณนี้ องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (มัทธิว 23:13) “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า” (มัทธิว 23:15) หลังอ่านพระวจนะ และฟังสามัคคีธรรมของพวกเขา หัวใจผมก็สว่างขึ้นมาก ผมได้เห็นว่า ศิษยาภิบาลและผู้นำในโลกศาสนาพวกนี้ เป็นเหมือนพวกฟาริสีที่องค์พระเยซูเจ้าทรงกล่าวโทษ พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษงานแห่งยุคสุดท้าย และทำทุกทางเพื่อกีดกันผู้คนจากการฟังเสียงของพระเจ้าและต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเป็นเครื่องสะดุดในการเข้าสู่ราชอาณาจักรของผู้คน พวกเขาชั่วร้ายมาก ยิ่งกว่าการที่ตัวเองไม่เข้าไป คือพวกเขาห้ามคนอื่นไม่ให้ทำด้วย พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (“ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) “จงมองไปที่บรรดาผู้นำของแต่ละนิกาย—พวกเขาล้วนโอหังและมองตนเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ และการตีความพระคริสตธรรมคัมภีร์ของพวกเขาขาดบริบทและถูกชี้นำโดยมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันของพวกเขาเอง พวกเขาล้วนพึ่งพาพรสวรรค์และความคงแก่เรียนในการทำงานของพวกเขา หากพวกเขาไม่สามารถประกาศได้เลย ผู้คนจะติดตามพวกเขากระนั้นหรือ? จะว่าไปแล้ว พวกเขาก็พอมีความรู้อยู่บ้าง และสามารถประกาศคำสอนบางอย่างได้ หรือพวกเขารู้วิธีที่จะเอาชนะผู้อื่น และใช้ประโยชน์จากชั้นเชิงบางอย่าง พวกเขาใช้สิ่งเหล่านี้เพื่อหลอกลวงและพาผู้คนมาอยู่เบื้องหน้าพวกเขาเอง ผู้คนเหล่านี้เชื่อพระเจ้าก็เพียงในนาม แต่ในความเป็นจริงพวกเขาติดตามบรรดาผู้นำของพวกเขา เมื่อพวกเขาเผชิญหน้ากับใครบางคนที่กำลังประกาศหนทางที่แท้จริง พวกเขาบางคนก็จะกล่าวว่า ‘พวกเราต้องปรึกษาผู้นำของพวกเราเกี่ยวกับความเชื่อของพวกเรา’ จงดูเถิดว่าผู้คนยังคงต้องการความยินยอมและความเห็นชอบจากผู้อื่นอย่างไรแม้ในยามที่พวกเขาเชื่อในพระเจ้าและยอมรับหนทางที่แท้จริง—นี่มิใช่ปัญหาหรอกหรือ? เช่นนั้นแล้ว บรรดาผู้นำเหล่านั้นได้กลายเป็นสิ่งใดไปแล้วกันเล่า? พวกเขามิได้กลายเป็นพวกฟาริสี พวกผู้เลี้ยงเทียมเท็จ พวกศัตรูของพระคริสต์ และเครื่องสะดุดต่อการยอมรับหนทางที่แท้จริงของผู้คนไปแล้วกระนั้นหรือ? ผู้คนเช่นนี้เป็นจำพวกเดียวกันกับเปาโล” (“มีเพียงการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้นที่เป็นการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง” ใน บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย) พระเจ้าทรงเปิดเผยแก่นแท้ที่เกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้าของผู้นำทางศาสนาไว้ชัดเจน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงปรากฏและแสดงความจริงมากมาย แต่พวกเขาไม่แสวงหาเลย แทนที่จะฟังพระสุรเสียง พวกเขาเลือกฟังพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่ไม่เชื่อในพระเจ้า กล่าวโทษงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เผยแพร่คำเท็จเพื่อหลอกลวงผู้เชื่อ และห้ามไม่ให้เราฟังเสียงของพระเจ้าและต้อนรับพระองค์ มันทำลายโอกาสในการถูกช่วยให้รอด และเข้าสู่ราชอาณาจักรสวรรค์ของเรา ถึงศิษยาภิบาลและผู้นำเหล่านี้ มักจะอธิบายพระคัมภีร์ให้ผู้คนในคริสตจักรฟังอยู่บ่อยๆ พวกเขาก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องพระเจ้า และงานของพระองค์เลยสักนิด แถมยังไม่ยำเกรงพระเจ้าเลย พวกเขามีแก่นแท้เหมือนกับของพวกฟาริสี พวกเขาล้วนเป็นศัตรูของพระคริสต์ ที่เกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้า แล้วผมก็นึกขึ้นได้ ถึงการที่ผู้เชื่อในศาสนายิว บูชาผู้นำทางศาสนาอย่างมืดบอด ผลคือพวกเขาต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าตามพวกฟาริสี และเสียความรอดของพระเจ้าไป พ่อแม่ของผมก็บูชาศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ถึงพวกท่านจะเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี แต่ก็ไม่มีที่สำหรับพระเจ้าในหัวใจ พวกท่านไม่เข้าใจความจริง และขาดปัญญาแยกแยะ พวกท่านคิดว่า คนที่เชื่อฟังศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส คือการเชื่อฟังและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้า พ่อแม่ของผมฟังทุกอย่างที่พวกเขาพูด แต่ในเรื่องสำคัญอย่างการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า พวกท่านกลับไร้ซึ่งปัญญาแยกแยะ และหลับหูหลับตาฟังศิษยาภิบาล แต่พอผมเป็นพยานยืนยันเรื่องพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็กลับไม่ฟังเลย แถมยังพูดสิ่งที่ศิษยาภิบาลและนักเทววิทยากล่าวโทษพระองค์ซ้ำๆ ถึงกับบอกว่า “ต่อให้นี่เป็นหนทางที่แท้จริง ถ้าศิษยาภิบาลไม่ยอมรับ เราก็จะไม่ยอมรับ” ผมเห็นว่า พ่อกับแม่น่าสงสารเหลือเกิน พวกท่านเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ายังไงกัน? ท่านแค่เชื่อในศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสไม่ใช่หรือ? ผมบอกพ่อกับแม่ไปว่า “ถ้าพ่อแม่เกิดในยุคพระคุณ ตอนที่องค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏเพื่อทรงงาน พ่อกับแม่คงเป็นเหมือนผู้เชื่อในศาสนายิวเมื่อก่อน คงต่อต้านและกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้าตามพวกฟาริสี เพราะพ่อกับแม่ฟังแต่ศิษยาภิบาล ถ้าพวกเขากล่าวโทษว่าสิ่งใดเป็นเท็จ พ่อแม่ก็จะพูดแบบนั้น แต่กลับไม่สืบค้นหนทางที่แท้จริงเลย และไม่แสวงหาที่จะฟังเสียงของพระเจ้า นี่ไม่เหมือนกับพวกที่ติดตามฟาริสี และต่อต้านองค์พระเยซูเจ้าหรือครับ? ทำแบบนี้จะได้ผลลัพธ์ที่ดีหรือ?” ผมพอมีแยกแยะเรื่องพ่อแม่ได้บ้าง และไม่ถูกอารมณ์ของตัวเองบีบคั้นอีกต่อไป ผมจึงตั้งใจแน่วแน่ ที่จะยืนหยัดเป็นพยานเพื่อพระเจ้า
ระหว่างช่วงนั้น พ่อแม่จะคอยจับตาดูผมทุกฝีก้าว เวลาอยู่บ้าน ผมจะเข้าร่วมการนัดพบอย่างสงบไม่ได้เลย ตอนนั้น ตอนนั้น ผมต้องแอบมานัดพบตรงที่โล่งในป่าบริเวณชายขอบหมู่บ้านในตอนกลางคืน แถวนั้นยุงเยอะ แถมแมลงก็แยะ ผมถูกยุงกัดหนักมาก และไม่อาจหาที่นั่งสบายๆ ได้ บางครั้งดึกมากแล้ว ผมก็ยังนั่งอยู่ในป่า เพื่อกันไม่ให้พ่อแม่รู้ว่าผมออกมานัดพบ ผมต้องแอบย่องกลับเข้าไปนอนตรงหลังบ้าน แล้วตอนเช้า ก็ต้องรีบตื่นก่อน เพื่อให้พ่อแม่คิดว่า ตอนกลางคืนผมนอนหลับดี ช่วงกลางวัน ปกติผมต้องออกไปไร่เพื่อช่วยพ่อแม่ พอทำไปได้สักพัก ผมก็จะเหนื่อยและง่วงนอน มันเป็นอะไรที่เหนื่อยสุดๆ เลยครับ ผมเริ่มรู้สึกอ่อนแอเล็กน้อย และไม่รู้ว่าช่วงเวลาเหล่านี้จะจบลงเมื่อไหร่ บางครั้ง ผมก็ถึงกับคิดว่า ถ้าผมยอมฟังพ่อแม่และเลิกไปนัดพบ ผมก็คงไม่ต้องทนทุกข์มากนัก คงไม่โดนเพื่อนบ้านหัวเราะเยาะ และคงไม่กระทบกับการหางานของผม พอนึกถึงเรื่องพวกนี้ ผมก็หวั่นไหวอยู่บ้าง แต่ผมก็คิดว่า การนัดพบทุกครั้ง ทำให้ผมเข้าใจความจริงบางอย่าง และเป็นความจริงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมอึกอักที่จะยอมล้มเลิก ระหว่างช่วงนั้น มีบทเพลงสรรเสริญพระวจนะที่ให้กำลังใจผมมาก เป็นเพลงที่ผมฟังหลายครั้งทีเดียว “ความเชื่อและความรักอย่างถึงที่สุดเป็นสิ่งที่พวกเราพึงต้องมีในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้าย พวกเราอาจจะสะดุดจากความเลินเล่อแม้เพียงเล็กน้อยที่สุด ด้วยว่าช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจแตกต่างไปจากช่วงระยะก่อนหน้านี้ทั้งหมด กล่าวคือ สิ่งที่พระเจ้าทำกำลังทำให้มีความเพียบพร้อมก็คือความเชื่อของมวลมนุษย์ ซึ่งทั้งมองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำคือทรงแปลงพระวจนะเป็นความเชื่อ เป็นความรักและเป็นชีวิต ผู้คนต้องไปให้ถึงจุดที่พวกเขาได้ทนฝ่ากระบวนการถลุงนับหลายร้อย ครั้ง และครองความเชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่าของโยบ พวกเขาต้องทนฝ่าความทุกข์อันเหลือเชื่อ และการทรมานทุกลักษณะโดยไม่เคยจากพระเจ้าไปเลย เมื่อพวกเขาเชื่อฟังตราบจนสิ้นชีพ และมีความเชื่อยิ่งใหญ่ในพระเจ้า เช่นนั้นแล้วช่วงระยะนี้แห่งพระราชกิจของพระเจ้าก็จะครบบริบูรณ์” (“สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้มีความเพียบพร้อมนั้นก็คือความเชื่อ” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) บทเพลงนี้ทำให้ผมเข้าใจว่า เวลาเจอปัญหา เนื้อหนังของผมย่อมอ่อนแอและทุกข์ใจได้ แต่นั่นคือเวลาที่ผมควรเรียนรู้จะละทิ้งเนื้อหนัง ถ้าติดตามเนื้อหนังของตนเอง ผมคงทำให้พระเจ้าพอพระทัยไม่ได้ และคงเสียความเชื่อในพระเจ้าไปด้วย ผมรู้ดีมากๆ ว่า ทุกการนัดพบเป็นประโยชน์สำหรับชีวิตผม และความจริงที่ได้รับ ก็เป็นสมบัติล้ำค่า ถึงการนัดพบตอนดึกในป่า จะแสนเหนื่อยกายและยากลำบาก แต่ก็เป็นการทดสอบสำหรับผมด้วย เพื่อดูว่าผมทนทุกข์เพื่อความจริง และมีความเชื่อที่แท้จริงไหม พ่อแม่อยากให้ผมไล่ตามชื่อเสียงและโชคลาภในโลก และหางานที่ดีทำ เพื่อให้ครอบครัวมีชีวิตที่ดี และทำให้พวกท่านภูมิใจ นี่คือสิ่งที่พวกท่านต้องการ และเป็นสิ่งที่พวกท่านคาดหวัง แต่ถ้าผมฟังพ่อแม่ และเลิกไปงานนัดพบ ถึงจะไม่ต้องทนทุกข์กับเรื่องพวกนี้ ผมก็คงไม่ได้รับความจริง ผมคงเป็นอย่างที่เคยเป็น มัวแต่ห่วงที่จะหาความบันเทิงใส่ตัวและไล่ตามเนื้อหนัง ซึ่งเป็นเรื่องไร้ค่า การที่ผมยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า และเพลิดเพลินกับการจัดหาความจริงมากมาย คือพระพรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับผม ความทุกข์ที่ผมสู้ทนนั้นช่างไร้ค่า เมื่อเทียบกับการเข้าใจความจริง และทุกสิ่งล้วนเปี่ยมความหมาย เมื่อคิดอย่างนี้ ผมก็เต็มใจจะปล่อยวางความพอใจทางเนื้อหนัง และไม่สนว่าครอบครัวจะพูดถึงผมยังไง ผมหวังแค่จะพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเอาชนะความยากลำบากเหล่านี้ได้
ต่อมา การอ่านพระวจนะก็ทำให้สภาวะของผมก็ค่อยๆ ดีขึ้น ผมยังค่อยๆ เข้าใจด้วยว่า มีเพียงสภาพแวดล้อมที่ยากลำบากแบบนี้ ที่ทำให้เราแสวงหาน้ำพระทัยมากขึ้น และมีความเชื่อแท้จริงในพระเจ้า และผมก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้ามากกับเรื่องนี้! จากนั้น ผมก็ยังไปงานนัดพบในป่าเหมือนเดิม แต่ครั้งหนึ่ง ตอนที่ผมกำลังนัดพบ ก็มีใครไม่รู้มาเจอเข้า แล้วเอาไปบอกพ่อแม่ของผม ตอนมื้อเช้าของวันรุ่งขึ้นแม่ก็ พูดกับผมว่า “แม่นึกว่าหลังเจอนักเทววิทยา แกจะเลิกเข้าร่วมการนัดพบไปแล้ว แม่ไม่รู้เลยว่า แกไปนัดพบในป่าตอนกลางคืน แกไม่กลัวบ้างหรือไง?” ขณะที่พูด แม่ก็เริ่มร้องไห้ นั่นเป็นครั้งแรกเลย ที่ผมเห็นแม่ร้องไห้ต่อหน้า ผมไม่รู้จะพูดอะไร แล้วน้ำตาก็พลันเอ่อขึ้นมา ผมรู้ว่า ผมล้มเลิกการติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากทำให้พ่อแม่เสียใจ มันเหมือนกับ นี่คือการสู้รบพิเศษ ต่อมา ผมก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “พระเจ้าทรงพระราชกิจของพระองค์ พระเจ้าทรงดูแลบุคคลหนึ่ง ทรงเฝ้ามองบุคคลผู้นี้ และตลอดเวลานั้นซาตานก็ตามติดพระองค์ทุกย่างก้าว ผู้ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงโปรด ซาตานก็เฝ้าดูด้วย โดยสะกดรอยตามมาข้างหลัง หากพระเจ้าทรงต้องประสงค์บุคคลนี้ ซาตานก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของมันเพื่อขัดขวางพระเจ้า ใช้ลูกเล่นชั่วร้ายต่างๆ นานาเพื่อทดลองพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้พระราชกิจที่พระเจ้าทรงทำหยุดชะงักและอับปางลง ทั้งหมดก็เพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นของมัน วัตถุประสงค์นี้คืออะไรหรือ? มันไม่ต้องการให้พระเจ้าได้รับผู้ใดสักคน มันต้องการทุกคนที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์นั้นเพื่อตัวมันเอง มันต้องการที่จะยึดครองพวกเขา ควบคุมพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเคารพบูชามัน เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับมันในการกระทำความชั่ว นี่ไม่ใช่แรงจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามของซาตานหรอกหรือ?…ในการทำสงครามกับพระเจ้า และในการสะกดรอยตามมาข้างหลังพระองค์นั้น วัตถุประสงค์ของซาตานคือเพื่อรื้อทำลายพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ เพื่อยึดครองและควบคุมบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ เพื่อทำให้บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับนั้นดับสิ้นไปโดยสิ้นเชิง หากพวกเขาไม่ถูกทำให้ดับสิ้นไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมาเป็นสิ่งครอบครองของซาตาน เพื่อให้มันใช้งาน—นี่คือวัตถุประสงค์ของมัน” (“พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4” ใน พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์) พอใคร่ครวญพระวจนะ ผมก็ได้เข้าใจ พระเจ้าทรงงานเพื่อช่วยผู้คนให้รอด ส่วนซาตานก็พยายามสุดกำลังเพื่อขัดขวางพระเจ้า และหยุดยั้งผู้คนจากการติดตามพระเจ้า และยอมรับความรอดของพระองค์ ผมนึกถึงตอนที่ภรรยาทดลองโยบ ให้เขาละทิ้งพระเจ้า นี่คือกลยุทธ์ของซาตาน ระหว่างช่วงนี้ เพื่อนผมเข้ามาก่อกวน แถมศิษยาภิบาลและครอบครัวก็ขัดขวาง และขู่ผมให้ผมเลิกเชื่อในพระเจ้า ทั้งหมดนี้ คือการทดลองของซาตาน ครอบครัวบอกว่า กลัวผมจะถูกไล่ออกจากหมู่บ้านและไม่มีที่ไป แม่ก็บอกว่าท่านเป็นห่วงผม คำพวกนี้ฟังดูเหมือนท่านมีความกังวล แต่ที่จริงแล้ว ซาตานใช้ครอบครัวมาหยุดยั้งผมจากการติดตามพระเจ้า ซาตานอยากบังคับให้ผมล้มเลิก ให้ผมยังติดตามศิษยาภิบาล อยู่ในศาสนา และเสียความรอดของพระเจ้า ผมไม่อาจหลงกลของซาตานได้ครับ จากนั้น ผมก็ยังเข้าร่วมนัดพบ และอ่านพระวจนะต่อไป ผมรู้ว่าในอนาคตที่จะมาถึง ผมอาจจะยังเผชิญกับการทดลองทั้งหลายของซาตาน และอาจประสบกับความพ่ายแพ้มากมาย แต่ผมรู้อยู่ในใจว่า พระวจนะเป็นความจริง การที่ผมอ่านพระวจนะ ได้ประสบกับงานของพระเจ้า และได้รับความจริงนั้น เป็นสิ่งที่มีความหมายกับผมมาก ไม่ว่าผมจะทนทุกข์มากแค่ไหนมันก็คุ้มค่า!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ