ทางที่เลือกโดยไม่เสียใจ

วันที่ 31 เดือน 10 ปี 2024

โดย มาร์ธา, ประเทศสเปน

ฉันกับคนรักพบกันระหว่างทำงานต่างประเทศ  เราทั้งคู่เชื่อในองค์พระเยซูเจ้าและไปคริสตจักรด้วยกันบ่อยๆ  เราอยู่ด้วยกันมาสามปี และวางแผนจะแต่งงานกัน  ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2000 ตอนที่ฉันกลับไปเยี่ยมแม่ที่ประเทศจีน เพื่อนบ้านเป็นพยานยืนยันกับฉันเรื่องพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ โดยพูดว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาประสูติเป็นมนุษย์ และได้ทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ รวมทั้งช่วยผู้คนให้รอดจากพันธนาการของบาป เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ได้  ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มากมาย และเห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเปิดเผยความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการหกพันปีของพระเจ้าเพื่อช่วยมนุษยชนให้รอด เรื่องราวเบื้องหลังของพระราชกิจสามระยะของพระเจ้า ความล้ำลึกของการประสูติเป็นมนุษย์ของพระเจ้า และยังทรงเปิดเผยด้วยว่าซาตานทำให้มนุษย์เสื่อมทรามอย่างไร พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้ายเพื่อสรุปจบยุคอย่างไร และอื่นๆ  ความจริงและความล้ำลึกเหล่านี้เป็นสิ่งที่ฉันไม่เคยได้ยินเลยตลอดการเชื่อทางศาสนาหลายปี  ไม่มีคนเด่นคนดังหรือบุคคลยิ่งใหญ่คนไหนสามารถแสดงสิ่งเหล่านี้ได้  นี่เป็นการลุล่วงอย่างครบบริบูรณ์ของพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล เพราะว่าพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง แต่พระองค์จะตรัสสิ่งใดก็ตาม ที่พระองค์ทรงได้ยิน และพระองค์จะทรงแจ้งแก่พวกท่านถึงสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น(ยอห์น 16:12-13)  ฉันแน่ใจว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงและเป็นพระสุรเสียงของพระเจ้า และแน่ใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา  ฉันตื่นเต้นมาก และต้องการบอกข่าวดีกับคนรักโดยเร็วที่สุด  จะสมบูรณ์แบบทีเดียวหากเราทั้งคู่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายและเข้าสู่ราชอาณาจักรด้วยกันในท้ายที่สุด  แต่แล้วฉันก็จำได้ว่าตอนที่เราอยู่ต่างประเทศ ศิษยาภิบาลฌอนพูดบ่อยเรื่องให้หลีกเลี่ยง “ฟ้าแลบจากทิศตะวันออก”  เขาพูดว่าพวกเราต้องระมัดระวังเมื่อเรากลับไปที่ประเทศจีน และห้ามติดต่อกับผู้คนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเด็ดขาด  เขายังไปเยี่ยมสมาชิกคริสตจักรตามเมืองต่างๆ ในประเทศจีนบ่อยๆ ด้วย โดยพูดว่ามีพวกนอกรีตในประเทศจีน และพูดให้สมาชิกคริสตจักรเหล่าระมัดระวัง  คนรักของฉันเลื่อมใสฌอนมากและฟังสิ่งที่เขาพูด  หากฉันบอกเขาตรงๆ ว่าฉันได้ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย เขาจะบอกฌอนไหม?  แต่ฉันยังรู้ด้วยว่าคนรักของฉันตั้งตารอการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้ามาตลอด ฉันจึงอยากบอกเขาโดยเร็วจริงๆ  ฉันคิดว่าหากฉันสามัคคีธรรมกับเขาอย่างชัดเจน เขาก็ควรจะสามารถยอมรับเรื่องนั้น

คืนหนึ่ง ฉันโทรบอกเขาว่า “พวกเราทั้งคู่ตั้งตารอการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า แล้วคุณคิดว่าองค์พระเยซูเจ้าจะเสด็จกลับมาอย่างไรคะ?”  ผิดคาด ทันทีที่ฉันพูดจบ คนรักของฉันพูดด้วยความโกรธว่า “ทำไมจู่ๆ มาถามแบบนี้?  พระคัมภีร์กล่าวชัดเจนว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาบนเมฆ แล้วจะมีความสงสัยได้อย่างไร?  คุณไปคุยกับคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกที่บ้านหรือเปล่า?”  ฉันประหลาดใจมากที่เขาตอบกลับอย่างรุนแรงมากกับคำถามแค่นี้  ฉันพูดว่า “เราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี และเราทั้งคู่ไม่ได้เฝ้ารอที่จะต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าและได้รับการพาเข้าไปในราชอาณาจักรแห่งสวรรค์หรอกหรือ?  แล้วองค์พระเยซูเจ้าทรงเสด็จมาอย่างไรล่ะ?  คำถามนี้ไม่ควรค่าที่จะเก็บมาคิดหรือไง?”  คนรักของฉันยิ่งโกรธมากขึ้นไปอีกและพูดว่า “ฌอนบอกพวกเรามากี่ครั้งแล้วว่า พวกคนที่ประกาศการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าน่ะพูดคำเท็จและหลอกลวงผู้คน?  เขาย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกว่าพวกเราไม่ควรติดต่อผู้คนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออก  ทำไมคุณถึงไม่ฟัง?  ปกติการเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าของคุณก็แข็งแกร่ง แต่พอเราแยกกันแค่เดือนกว่าๆ เท่านั้น คุณก็ไปติดต่อกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเสียแล้ว!  จำไว้นะ เราทั้งคู่โหยหาการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า แต่ต่อให้พระองค์เสด็จกลับมา มันก็จะไม่เป็นเหมือนสิ่งที่ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกอ้าง ว่าพระองค์จะทรงกลับมาในเนื้อหนัง”  ไม่ว่าหลังจากนั้นฉันพูดอะไรไป เขาก็ไม่ยอมฟัง  สุดท้ายเราก็วางสายกันไปอย่างไม่มีความสุข

ฉันไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมคนรักจึงตอบกลับแบบนั้น และนั่นทำให้ฉันเสียใจมาก  เขาไม่ได้เฝ้ารอการเสด็จกลับมาขององค์พระเยซูเจ้าหรอกหรือ?  ทำไมเขาจึงต่อต้านแค่การหารือว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอย่างไร?  คืนนั้น ฉันนอนไม่หลับอยู่บนเตียง ฉันจึงลุกขึ้นมาอ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ฉันได้เห็นสองบทตอนความว่า “ที่ใดก็ตามที่พระเจ้าทรงปรากฏ ความจริงก็จะถูกแสดงที่นั่น และพระสุรเสียงของพระเจ้าก็จะอยู่ที่นั่น  เฉพาะบรรดาผู้ที่สามารถยอมรับความจริงเท่านั้นที่จะสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และเฉพาะผู้คนเช่นนี้เท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะประจักษ์ในการทรงปรากฏของพระเจ้า(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 1: การทรงปรากฏของพระเจ้าได้นำมาซึ่งยุคใหม่)  “พระคริสต์ของยุคสุดท้ายทรงนำมาซึ่งชีวิต และนำมาซึ่งหนทางแห่งความจริงที่ถาวรและเป็นนิรันดร์  ความจริงนี้คือเส้นทางที่มนุษย์ได้รับชีวิต และเป็นเส้นทางเดียวเท่านั้นที่มนุษย์จะได้รู้จักพระเจ้าและได้รับการรับรองจากพระเจ้า  หากเจ้าไม่แสวงหาทางแห่งชีวิตที่พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายทรงจัดเตรียมให้ เช่นนั้นแล้วเจ้าจะไม่มีทางได้รับการรับรองจากพระเยซู และจะไม่มีทางมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่จะเข้าสู่ประตูของราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เพราะเจ้านั้นเป็นทั้งหุ่นเชิดและนักโทษของประวัติศาสตร์  พวกที่ถูกควบคุมโดยข้อบังคับทั้งหลาย โดยคำพูด และถูกประวัติศาสตร์ล่ามโซ่ไว้จะไม่มีทางได้รับชีวิตหรือได้รับหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์  นี่เป็นเพราะทั้งหมดที่พวกเขามีนั้นคือน้ำขุ่นซึ่งได้ถูกเก็บกักมาเป็นเวลาหลายพันปีแทนที่จะเป็นน้ำแห่งชีวิตซึ่งไหลมาจากพระบัลลังก์(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระคริสต์แห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นที่สามารถประทานหนทางแห่งชีวิตนิรันดร์แก่มนุษย์ได้)  ฉันไตร่ตรองพระวจนะของพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก และรู้สึกว่าพระวจนะเหล่านี้ดีเหลือเกินและสัมพันธ์กับชีวิตจริงเหลือเกิน!  ในยุคสุดท้ายนั้น องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาเพื่อแสดงความจริงที่จะช่วยผู้คนให้รอด  มีแต่ผู้ที่โหยหาความจริงและเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเท่านั้นที่จะเห็นการทรงปรากฏของพระเจ้าและถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า  พวกคนที่เฝ้ารอองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนเมฆอย่างเบาปัญญา แต่ไม่แสวงหาความจริงหรือเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าจะพลาดโอกาสที่จะได้รับการยกชูขึ้นตามที่การเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสนอให้ และจะไม่มีวันสามารถถวายการต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้  ตอนนี้เอง ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าองค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “แกะของเราย่อมฟังเสียงของเรา เรารู้จักแกะเหล่านั้น และแกะนั้นก็ตามเรา(ยอห์น 10:27) และทรงเผยพระวจนะไว้ในวิวรณ์ว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าใครได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาเขาและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา(วิวรณ์ 3:20)  จริงที่ว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในการถวายการต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือการเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า  แกะของพระเจ้าสามารถฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าและเดินตามย่างพระบาทของพระองค์  ฉันได้ตระหนักว่าคนรักของฉันไม่ยอมแสวงหาและสืบค้นหนทางที่แท้จริงก็เพราะเขายังไม่ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  หากเขาเป็นแกะของพระเจ้าและเป็นคนที่แสวงหาความจริงอย่างจริงใจ เช่นนั้นฉันก็ควรเอาพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้เขาดู  หากเขารับรู้ได้ว่าพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็นความจริงและพระสุรเสียงของพระเจ้า เขาก็คงจะสามารถยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าได้ และเราก็คงจะสามารถเดินตามย่างพระบาทของพระเจ้าไปด้วยกันได้  ดังนั้น ฉันจึงใช้เวลาหลายคืนคัดลอกพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางส่วนและส่งพระวจนะเหล่านั้นไปให้เขา  จากนั้นฉันก็เฝ้ารอให้เขาโทรมาสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายกับฉันทุกวัน  ไม่กี่วันต่อมา โทรศัพท์ที่บ้านก็ดังขึ้น และฉันก็มีความสุขมาก  ฉันคิดว่าคนรักของฉันโทรมา แต่กลับเป็นฌอน  เขาพูดว่า “แฟนของคุณบอกผมว่าหลังจากคุณกลับไปที่บ้านเกิด คุณพบกับคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เป็นความจริงหรือเปล่า?”  ฉันพูดว่า “ฉันกำลังแสวงหาและสืบค้น  ฉันคิดว่าการเสด็จมาขององค์พระเยซูเจ้าเป็นเรื่องสำคัญมากและเป็นสิ่งที่พวกเราควรแสวงหาและสืบค้นอย่างจริงจัง”  ฌอนพูดว่า “ผมจะไปบ้านเกิดของคุณเร็วๆ นี้เพื่อดูว่าคุณได้ติดต่อกับคนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกจริงหรือเปล่า  ผมเป็นศิษยาภิบาลของคุณ ดังนั้นผมจึงต้องรับผิดชอบชีวิตของคุณ”

ฉันไม่คิดว่าฌอนจะมาจริงๆ เพราะเราอยู่ไกลกันมาก  แต่ผิดคาดที่ไม่นานเขาก็มาจริงๆ  ฉันกับพี่น้องชายหญิงอีกหลายคนอยากใช้โอกาสนี้เพื่อเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย แต่เมื่อเราเจอฌอน เขาก็ถามฉันว่าฉันยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกหรือยัง และพูดอย่างโอหังว่า “ผมติดต่อกับฟ้าแลบจากทิศตะวันออกมาหลายครั้งแล้ว  พูดตามตรง ก่อนผมมาพบคุณ ผมไปบ้านของพี่น้องหญิงในตะวันออกเฉียงเหนือ  พี่ชายของเธอเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกและอยากเป็นพยานยืนยันกับผมเรื่องข่าวประเสริฐของพวกเขา  ผมศึกษาเทววิทยามา คุ้นเคยกับพระคัมภีร์ และผมเคยติดต่อกับศิษยาภิบาลที่น่าเชื่อถือมากมายในต่างประเทศ แต่เขาก็ยังคิดว่าจะหลอกผมและเอาชนะใจผมได้?  ไร้สาระน่าขัน”  พี่น้องชายหญิงของฉันพยายามเกลี้ยกล่อมเขาว่า “พี่น้องชายหญิงมากมายได้ประกาศข่าวประเสริฐกับคุณและเป็นพยานยืนยันว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว  หากคุณต่อต้านและกล่าวโทษโดยไม่แสวงหาและสืบค้น คุณกำลังพยายามถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่อย่างจริงใจหรือ?  องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘คนที่ยากจนด้านจิตวิญญาณก็เป็นสุข เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์เป็นของเขาทั้งหลาย(มัทธิว 5:3)  พวกเราอยู่ในยุคสุดท้าย องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว  เมื่อพวกเราได้ยินผู้คนเป็นพยานยืนยันว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วและทรงแสดงความจริงมากมาย พวกเราก็ควรแสวงหาด้วยหัวใจที่เปิดกว้าง เพื่อให้พวกเราสามารถได้ยินพระสุรเสียงขององค์พระผู้เป็นเจ้าและเห็นการทรงปรากฏของพระองค์!  หากพวกเราไม่แสวงหาหรือสืบค้น แต่กลับหลับหูหลับตาปฏิเสธและต่อต้าน  ย่อมเป็นการง่ายดายเหลือเกินจริงๆ ที่จะเดินไปตามย่างก้าวของพวกฟาริสี  พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้มีพระปัญญา พระดำริของพระองค์เกินกว่าความคิดของมนุษย์ และพระราชกิจของพระเจ้าก็เป็นความล้ำลึกที่พวกเราซึ่งเป็นมนุษย์ไม่สามารถหยั่งถึง  พวกเราอยากเสวนากับคุณถึงวิธีที่จะต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระเยซูเจ้า”  แต่ฌอนไม่ฟังสักนิด  เขาพูดว่า “หากคุณต้องการคุยกับผมเรื่องฟ้าแลบจากทิศตะวันออก ก็อย่าพยายามเลย เพราะผมจะไม่เสวนากับคุณหรอก”  พี่น้องชายหญิงเห็นว่าเขาขัดขืนมากและไม่มีความตั้งใจที่จะแสวงหา ดังนั้นพวกเขาจึงเลิกพยายามคุยกับเขา  ตอนนี้เอง ฌอนได้รับโทรศัพท์แล้วพูดว่าผู้เชื่อบางคนที่คริสตจักรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้ยอมรับฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และเขาต้องการไปที่นั่นเพื่อหยุดผู้เชื่อเหล่านั้น  เขาขอให้ฉันรีบซื้อตั๋วเครื่องบินให้เขา  ฉันพูดว่า “ศิษยาภิบาลฌอนคะ ฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเป็นพยานยืนยันว่าองค์พระเยซูเจ้าได้ทรงกลับมาเพื่อแสดงความจริงเพื่อทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาในยุคสุดท้าย  คุณไม่ยอมแสวงหา สืบค้น และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า และยิ่งกว่านั้น คุณต้องการขัดขวางและหวงห้ามไม่ให้ผู้คนแสวงหาหนทางที่แท้จริงและเงี่ยหูฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า  นี่สอดคล้องกับน้ำพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าหรือคะ?”  เขาจ้องฉันถมึงแล้วพูดว่า “ผมจะไม่ยอมให้ผู้คนจากฟ้าแลบจากทิศตะวันออกเข้ามาในคริสตจักรเพื่อขโมยแกะหรอก  ผมตั้งใจจะปกป้องทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า”  เมื่อดูการแสดงออกอันโอหังของฌอน ฉันก็ไม่อยากเชื่อเลยว่านี่คือศิษยาภิบาลที่ฉันเคยรู้จัก  ฉันพบกับเขาเมื่อสี่ปีก่อน และสำหรับฉัน เขาเป็นคนถ่อมตนมากที่ห่วงใยเหล่าผู้เชื่ออย่างยิ่งมาตลอด  ฉันคิดเสมอมาว่าเขาเป็นศิษยาภิบาลที่ดีและเคร่งศรัทธา แต่การมองเห็นพฤติกรรมของเขาและสิ่งที่เขาเปิดเผยวันนี้เตือนใจให้ฉันนึกถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าที่ว่า “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม(มัทธิว 23:13)  ฌอนยืนบนแท่นพิธีประกาศแก่ผู้คนทุกวัน โดยบอกพวกเราให้ตื่นตัวและเฝ้าระวังการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อองค์พระเยซูเจ้าเสด็จกลับมาจริงๆ เขาไม่เพียงไม่แสวงหา สืบค้น หรือถวายการต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เขากลับกล่าวโทษ ต่อต้าน และพยายามทุกวิถีทางที่จะขัดขวางและทำให้เหล่าผู้เชื่อหยุดชะงักในยามที่พวกเขาแสวงหาและสืบค้น  ภายใต้ธงของการปกป้องทางขององค์พระผู้เป็นเจ้าและคุ้มครองฝูงแกะ เขาธำรงการควบคุมเหนือผู้คนอย่างแน่นหนา  เขาเป็นเหมือนกับพวกฟาริสีในสมัยของคนพวกนั้นไม่มีผิด ผู้รับใช้ของความชั่วที่ต้องการกันไม่ให้ผู้คนเข้าสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์!

เมื่อคิดว่ายังมีพี่น้องชายหญิงอีกมากมายในคริสตจักรซึ่งไม่มีวิจารณญาณในตัวฌอน ที่ถูกเขาผูกมัดและหลอกลวง และที่ล้มเหลวในการสืบค้นพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย ฉันติดต่อพี่น้องชายหญิงที่ฉันรู้จักและเป็นพยานยืนยันพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพวกเขา  เมื่อฌอนรู้เข้า เขาก็โทรมาข่มขู่ฉันว่า “หากคุณยืนกรานจะเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออกและมาที่คริสตจักรเพื่อขโมยแกะ พวกเราทั้งหมดจะปฏิเสธคุณ และพี่น้องชายหญิงทุกคนที่รู้จักคุณจะไม่ต้อนรับคุณอีก”  หลังจากนั้น เขายังส่งจุลสารหลายฉบับที่ส่งเสริมการคว่ำบาตรคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาให้ฉันด้วย ซึ่งทั้งหมดบรรจุไปด้วยถ้อยคำต่อต้านและหมิ่นประมาทพระเจ้า  หลังจากเรื่องนี้ ฉันยิ่งเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของฌอนชัดเจนขึ้นอีก  เขาเป็นสิ่งขัดขวางและสิ่งสะดุดที่กันไม่ให้ผู้คนสืบค้นหนทางที่แท้จริง  ฉันไม่อยากคุยกับเขาอีกต่อไป ฉันจึงเลิกรับโทรศัพท์เขา  เมื่อเขาเห็นว่าฉันยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และประกาศข่าวประเสริฐกับผู้คนที่เขาเป็นผู้เลี้ยง เขาจึงไปที่บ้านของพี่น้องชายหญิงที่รู้จักฉันในเจ้อเจียง เซี่ยงไฮ้  และที่อื่นๆ และบอกพวกเขาไม่ให้ติดต่อฉันหรือฟังสิ่งที่ฉันประกาศ  หลังจากกลับไปต่างประเทศ เขาก็ปิดกั้นไม่ให้ฉันเข้าคริสตจักร  เขาห้ามไม่ให้ใครรับโทรศัพท์ฉันหรือติดต่อฉัน และพูดว่าใครก็ตามที่ติดต่อสัมพันธ์กับฉันจะถูกขับไล่

วันหนึ่ง ฉันได้รับจดหมายจากคนรักพูดว่า “ฌอนพูดที่คริสตจักรว่าคุณเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก และคุณถูกหลอกลวงอย่างสิ้นเชิง  นับแต่นี้ไป เราไม่ใช่พี่น้องกันอีกต่อไป และไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างเรา  ผมจะไม่รับโทรศัพท์ของคุณหรือเขียนจดหมายหาคุณอีก  หากคุณอยากกลับมา ทุกคนจะยินดีต้อนรับคุณ และเราก็สานความสัมพันธ์กันต่อไปได้ แต่หากคุณยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราก็เลิกกัน”  หลังจากอ่านจดหมาย ฉันรู้สึกเสียใจมาก ฉันจึงโทรหาเขา แต่เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ผมยุ่งอยู่ ตอนนี้ไม่มีเวลาคุยเรื่องนี้”  ฉันถามเขาว่า “เราจะเลิกกันอย่างนี้จริงๆ หรือ?”  เขาพูดว่า “หากคุณเลิกเชื่อในฟ้าแลบจากทิศตะวันออก เราก็ดำเนินความสัมพันธ์แบบตอนนี้ต่อไปได้  ผมจะขอป้าช่วยให้คุณได้มาต่างประเทศ  ป้าทำธุรกิจอยู่ที่นี่ ดังนั้นคุณมาอยู่ที่นี่ได้  พวกเราสามารถมีอนาคตที่มีความสุขมาก  แต่หากคุณยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ งั้นเราก็ต้องเลิกกัน  ลองเอาไปคิดดูดีๆ นะ”  มันแย่มากที่เห็นคนรักของฉันไร้หัวใจแบบนี้  เมื่อก่อน เรามีความสุขด้วยกันอย่างมาก และเขาก็ดูแลฉันอย่างดี  ฉันไม่คาดคิดว่าเขาจะอุทิศตนให้ศิษยาภิบาลคนนี้มาก  แค่เพราะฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขาถึงกับต้องตัดเยื่อใยกับฉัน โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ของเราตลอดสองสามปีที่ผ่านมา  ครอบครัวของฉันรู้ว่าฉันขัดแย้งกับคนรัก และพวกเขาทุกคนก็เกลี้ยกล่อมให้ฉันพิจารณาดูใหม่ว่า “แฟนของเธอมีงานที่ดีและครอบครัวที่ดี  หากพวกเธอเลิกกัน  พูดยากนะ ว่าเธอจะเจอคู่ที่ดีแบบนี้ในอนาคตหรือเปล่า  เธอก็แก่ตัวลงทุกวัน และการหาคู่ชีวิตก็ไม่ใช่เรื่องง่าย  หากเธอไม่มีครอบครัว ชีวิตในอนาคตเธอจะทำอย่างไร?”  ครอบครัวของคนรักของฉันยังโทรมาเกลี้ยกล่อมให้ฉันเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ว่า “พวกเธอไม่ใช่หนุ่มสาวแล้วนะ  คิดถึงเรื่องแต่งงานได้แล้ว  ไม่ใช่เรื่องดีหรือหากพวกเธอทั้งคู่เชื่อในองค์พระเยซูเจ้า?  เมื่อเธอแต่งงานเธอจะมีความสุขมาก  ทำไมถึงยืนกรานที่จะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ล่ะ?”  เมื่อเผชิญความกดดันจากครอบครัวทั้งสองฝั่ง ฉันไม่รู้ว่าจะตัดสินใจอย่างไร  หากฉันเลือกกลับไปคริสตจักรเดิมและแต่งงานกับคนรัก เขาก็อาจสามารถจัดเตรียมชีวิตที่ดีในทางวัตถุแก่ฉันได้ และพวกเราก็ลงหลักปักฐานในต่างประเทศได้ด้วย  มันเป็นสิ่งที่หลายคนใฝ่ฝัน แต่ฉันจะสูญเสียความรอดของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเนื่องจากการนี้ ซึ่งฉันก็จะเสียใจไปตลอดชีวิต!  ในยุคสุดท้าย พระเจ้าเสด็จมาประสูติเป็นมนุษย์เป็นครั้งที่สองเพื่อทรงแสดงความจริง ชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยมวลมนุษย์ให้รอดอย่างถ้วนทั่ว และสร้างผู้ชนะขึ้นมากลุ่มหนึ่ง  นี่เป็นโอกาสเหมาะครั้งเดียวในชีวิต และฉันไม่อาจยอมให้ตนเองพลาดโอกาสนี้!  แต่หากฉันเลือกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การแต่งงานของฉันจะเป็นอย่างไร?  ฉันมาถึงวัยที่จะแต่งงานแล้ว และการแต่งงานก็เป็นเหตุการณ์สำคัญในชีวิต  ระหว่างช่วงเวลานั้น ฉันกินไม่ได้และนอนก็หลับไม่สนิท และทุกข์ทรมานมาก  เมื่อฉันเห็นผู้คนมากมายในวัยเดียวกับฉันได้แต่งงานมีครอบครัวแต่ฉันกลับยังอยู่คนเดียว ฉันก็รู้สึกขัดแย้งมาก และไม่รู้ว่าจะเลือกอย่างไร  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีกในเรื่องนี้ ขอให้พระองค์ทรงนำฉันและให้ฉันรู้ว่าจะเลือกเส้นทางข้างหน้าอย่างไร  เมื่อพี่น้องชายหญิงรู้ถึงสถานการณ์ของฉัน พวกเขาทุกคนก็ช่วยเหลือและสามัคคีธรรมกับฉัน แต่ฉันก็ยังปล่อยมือจากคนรักของฉันไม่ได้  ฉันโกรธที่เขาเลิกกับฉัน  เขาไม่คุยกับฉันด้วยซ้ำ  เขากลายเป็นคนใจดำและเย็นชา  เมื่อศิษยาภิบาลพูดว่าฉันถูกหลอก คนรักของฉันก็เชื่อหมดใจ  เมื่อศิษยาภิบาลขอให้เขาปฏิเสธฉัน เขาก็เลิกกับฉัน ไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ของเราตลอดสองสามปีที่ผ่านมาสักนิด  ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากขึ้นเท่าไร ฉันก็ยิ่งรู้สึกทุกข์ใจมากขึ้นเท่านั้น

คืนหนึ่ง ฉันนอนพลิกตัวไปมาอยู่บนเตียง  ฉันไม่อาจหลับลงได้ จึงลุกขึ้นมาฟังบทเพลงสรรเสริญจากพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “ผู้คนควรเสาะแสวงที่จะใช้ชีวิตไปตามชีวิตที่เปี่ยมความหมาย”:

1  มนุษย์ต้องไล่ตามเสาะหาที่จะดำเนินชีวิตซึ่งมีความหมาย และไม่ควรพึงพอใจกับรูปการณ์แวดล้อม ณ ปัจจุบันของเขา  ในการดำเนินชีวิตตามภาพลักษณ์ของเปโตร เขาต้องครองความรู้และประสบการณ์ของเปโตร  มนุษย์ต้องไล่ตามเสาะหาสิ่งทั้งหลายที่สูงส่งกว่าและลุ่มลึกกว่า  เขาต้องไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้าที่บริสุทธิ์ขึ้นและลึกซึ้งขึ้น และเสาะหาชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย  นี่เท่านั้นที่เป็นชีวิต กล่าวคือ เมื่อนั้นเท่านั้นที่มนุษย์จะเป็นดั่งเปโตร…

2  สำหรับทุกคนซึ่งทะเยอทะยานที่จะรักพระเจ้านั้น ไม่มีความจริงที่ไม่อาจได้มา และไม่มีความยุติธรรมที่พวกเขาไม่อาจตั้งมั่นเพื่อมันได้  เจ้าควรใช้ชีวิตของเจ้าอย่างไรหรือ?  เจ้าควรรักพระเจ้าและใช้ความรักนี้สนองเจตนารมณ์ของพระองค์อย่างไร?  ไม่มีเรื่องใดในชีวิตเจ้าที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านี้อีกแล้ว  เหนือสิ่งอื่นใด เจ้าต้องมีความทะเยอทะยานและความมานะบากบั่น และไม่ควรเป็นดั่งพวกที่ใจเสาะ พวกที่ปวกเปียกอ่อนแอ  เจ้าต้องเรียนรู้วิธีที่จะได้รับประสบการณ์กับชีวิตซึ่งเปี่ยมความหมายและได้รับประสบการณ์กับความจริงอันเปี่ยมความหมาย และไม่ควรปฏิบัติต่อตัวเจ้าเองอย่างขอไปทีแบบนั้น  เมื่อเจ้าไม่ตระหนักถึงมัน ชีวิตเจ้าก็จะผ่านเจ้าไปโดยเจ้าไม่ทันไหวตัว หลังจากนั้น เจ้าจะมีโอกาสที่จะได้รักพระเจ้าอีกครั้งหรือ?  มนุษย์สามารถรักพระเจ้าได้หรือ หลังจากที่เขาได้ตายไปแล้ว?  เจ้าจักต้องมีความทะเยอทะยานและมโนธรรมดุจดังเปโตร ชีวิตเจ้าจะต้องเปี่ยมความหมาย  และเจ้าต้องไม่เล่นเกมกับตัวเจ้าเอง  ในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง และในฐานะบุคคลซึ่งเสาะหาพระเจ้า เจ้าต้องสามารถพิจารณาอย่างรอบคอบว่าเจ้าควรปฏิบัติต่อชีวิตของเจ้าอย่างไร เจ้าควรถวายตัวเจ้าเองต่อพระเจ้าอย่างไร เจ้าควรมีความเชื่อที่เปี่ยมความหมายยิ่งขึ้นในพระเจ้าอย่างไร และด้วยความที่เจ้ารักพระเจ้า เจ้าควรรักพระองค์ในหนทางที่บริสุทธิ์มากขึ้น สวยงามมากขึ้น และดีงามมากขึ้นอย่างไร

—พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา

ฉันฟังเพลงนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า  โดยผ่านทางการฟัง ฉันได้เห็นว่า ตลอดชีวิตของเปโตร เขาติดตามการไล่ตามเสาะหาของเขาที่มีต่อความรักพระเจ้าและทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และใช้ชีวิตที่มีความหมายและมีคุณค่า และฉันก็ตื้นตันใจมาก  จากพระวจนะและพระราชกิจขององค์พระเยซูเจ้า เปโตรระลึกรู้ว่าองค์พระเยซูเจ้าคือพระคริสต์ บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์  เขาประกาศและทำงานให้องค์พระเยซูเจ้าและถูกศาสนายิวข่มเหง แต่เขาก็ติดตามพระองค์อย่างแน่วแน่  วันนี้ พระเจ้าได้ทรงเสด็จมาประสูติเป็นมนุษย์ด้วยพระองค์เองท่ามกลางพวกเราเพื่อทรงแสดงพระวจนะเพื่อทรงพระราชกิจและช่วยผู้คนให้รอด  ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้า ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และตกลงใจว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเป็นการเสด็จมาครั้งที่สองขององค์พระเยซูเจ้า  แต่เมื่อถึงเวลาเลือกระหว่างพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับชีวิตแต่งงานของฉัน ฉันก็ลังเลใจ  ฉันไม่อยากสูญเสียการแต่งงานนี้และโอกาสใช้ชีวิตที่ดีในต่างแดนกับคนรักของฉัน  ฉันได้เห็นว่า ถึงแม้ฉันได้เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี แต่สิ่งที่ฉันไล่ตามเสาะหากลับไม่ใช่ความจริงและชีวิตจากพระเจ้า อีกทั้งสิ่งที่ฉันไล่ตามเสาะหาก็ไม่ใช่การรักพระเจ้า ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และไม่ใช่การใช้ชีวิตที่เปี่ยมความหมายและคุ้มค่า  แต่สิ่งที่ฉันไล่ตามเสาะหาคือชีวิตแห่งความชื่นชมยินดีทางวัตถุและความชูใจทางกาย  ฉันใคร่ครวญพระวจนะของพระเจ้า “มนุษย์สามารถรักพระเจ้าได้หรือ หลังจากที่เขาได้ตายไปแล้ว?”  ฉันถามตัวเองว่า “หากฉันไม่ใช้เวลาของตนเองบนโลกไล่ตามเสาะหาการรักพระเจ้า การทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัย และการใช้ชีวิตที่มีความหมายและคุ้มค่า เช่นนั้นต่อให้ฉันได้การแต่งงานและความชูใจทางเนื้อหนังตามที่ฉันต้องการ นั่นเพื่ออะไรหรือ?  การที่พระเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้ายเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอดโดยครบบริบูรณ์นั้นเป็นโอกาสเหมาะครั้งเดียวในชีวิต  หากฉันพลาดไป ฉันจะรู้สึกเสียใจไปตลอดชีวิต!  หากฉันพลาดโอกาสแห่งความรอดที่พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเสนอให้ เพื่อที่จะชื่นชมยินดีกับชีวิตที่สบาย  มันจะไม่เป็นความโง่เขลาหรอกหรือ?  หากฉันล้มเลิกหนทางที่แท้จริงและเลือกการแต่งงาน จริงหรือที่ฉันจะได้รับชีวิตซึ่งมีความสุขที่ฉันต้องการ?”  ฉันนึกถึงพี่น้องหญิงคนหนึ่งที่ฉันเคยติดต่อสัมพันธ์ด้วย  เธอกับสามีแต่งงานกันด้วยความช่วยเหลือของฌอน  หลังจากแต่งงานกัน ทั้งสองก็ไปทำงานในเมืองใหญ่และซื้อบ้านหลังหนึ่ง  ภาวะทางวัตถุของพวกเขาดีมาก และฉันก็อิจฉาพวกเขา  แต่พอฉันไปเยี่ยมเธอ เธอบอกฉันว่า แม้ว่าทั้งเธอกับสามีจะเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าและมีชีวิตที่ดีในทาง พวกเขาก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  พวกเขาทะเลาะกันเรื่องปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ในบ้านบ่อยครั้ง บางครั้งก็แย่มากจนทั้งสองคนไม่ต้องการพูดคุยกัน  ต่อมาสามีของเธอก็เลือกไปทำงานในอีกเมืองหนึ่ง ทิ้งเธอไว้ที่บ้านคนเดียวกับลูกวัยสองขวบ และชีวิตของเธอก็เป็นทุกข์และเปลี่ยวเหงามาก  ฉันคิดถึงประสบการณ์ของเธอ จากนั้นก็พิจารณาถึงคู่อื่นๆ รอบตัวฉัน ซึ่งมักจะทะเลาะและขู่ว่าจะหย่ากัน  เมื่อมองดูข้อเท็จจริงเหล่านี้ ฉันก็เห็นชัดเจนขึ้นว่าเมื่อเราเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้าและติดตามพระองค์ เราเพียงแค่ได้รับการไถ่โดยองค์พระเยซูเจ้า  บาปของเราได้รับการยกโทษให้ แต่รากเหง้าแห่งบาปของเรานั้นไม่ได้รับการแก้ไขและเราก็ไม่เป็นอิสระจากพันธนาการและการควบคุมของบาป  ผู้คนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันไปตามอุปนิสัยเสื่อมทรามของพวกเขา และไม่มีความรักที่จริงแท้ ดังนั้นไม่สำคัญว่าพวกเราได้รับประสบการณ์กับความชื่นชมยินดีทางเนื้อหนังมากแค่ไหน ชีวิตของพวกเราก็ยังว่างเปล่าและเจ็บปวด  เมื่อคิดแบบนี้ ฉันก็ตระหนักว่าฉันควรระมัดระวังอย่างมากกับทางเลือกที่ฉันเผชิญอยู่ตอนนี้  ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า ขอให้พระองค์ทรงนำและทรงให้ความรู้แจ้งแก่ฉันเพื่อที่ฉันจะได้ตัดสินใจอย่างถูกต้องตามน้ำพระทัยของพระองค์

ต่อมา ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บทตอนหนึ่งและเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ปัจจุบันนี้ บรรดาผู้ที่แสวงหาและบรรดาผู้ที่ไม่แสวงหาคือผู้คนสองประเภทที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง  ผู้ซึ่งบั้นปลายของพวกเขาแตกต่างกันมากเช่นกัน  บรรดาผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความรู้แห่งความจริงและปฏิบัติความจริงคือผู้ซึ่งพระเจ้าจะทรงนำความรอดมาให้  ส่วนบรรดาผู้ที่ไม่รู้จักหนทางที่แท้จริงคือพวกปีศาจและศัตรู พวกเขาคือลูกหลานของหัวหน้าทูตสวรรค์ และจะเป็นเป้าหมายแห่งการทำลายล้าง  แม้แต่พวกที่เชื่ออย่างเคร่งครัดในพระเจ้าที่คลุมเครือ—พวกเขาไม่ใช่ปีศาจด้วยหรอกหรือ?  ผู้คนที่มีจิตสำนึกที่ดีแต่ไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริงคือพวกปีศาจ กล่าวคือ แก่นแท้ของพวกเขาคือแก่นแท้แห่งการต้านทานพระเจ้า  บรรดาผู้ที่ไม่ยอมรับหนทางที่แท้จริงคือพวกที่ต้านทานพระเจ้า และแม้ว่าผู้คนเช่นนี้จะสู้ทนความยากลำบากมากมาย แต่พวกเขาก็จะยังคงถูกทำลายล้าง… ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์คือผู้เป็นเยี่ยงปีศาจ และมิหนำซ้ำ ยังจะถูกทำลาย  บรรดาผู้ที่มีความเชื่อแต่ไม่ได้ปฏิบัติความจริง บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์ และบรรดาผู้ที่ไม่เชื่อในการดำรงอยู่ของพระเจ้าก็จะเป็นวัตถุแห่งการทำลายล้างด้วยเช่นกัน  บรรดาผู้ที่จะได้รับอนุญาตให้คงเหลืออยู่ทั้งหมดนั้นคือผู้คนซึ่งได้ก้าวผ่านความทุกข์แห่งกระบวนการถลุงและได้ตั้งมั่น เหล่านี้คือผู้คนที่ได้สู้ทนการทดสอบอย่างแท้จริง  ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระเจ้าคือศัตรู กล่าวคือ ผู้ใดที่ไม่ตระหนักถึงพระเจ้าผู้ประสูติเป็นมนุษย์—ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในหรือภายนอกกระแสนี้หรือไม่ก็ตาม—คือศัตรูของพระคริสต์!  ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?  พวกเขามิใช่ผู้คนเหล่านั้นที่เป็นกบฏต่อพระเจ้าหรอกหรือ?(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน)  ฉันเข้าใจจากพระวจนะของพระเจ้าว่าสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในยุคสุดท้ายคือพระราชกิจแห่งการแยกแต่ละสิ่งตามชนิดของพวกมัน  พระองค์ทรงแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยผ่านทางเนื้อหนังที่ประสูติเป็นมนุษย์ แยกข้าวละมานออกจากข้าวดี และผู้เชื่อที่แท้จริงออกจากผู้เชื่อเทียมเท็จ ซึ่งก็คือ ผู้ที่ไล่ตามเสาะหาความจริงและผู้ที่ไม่  พวกที่อ้างว่าเชื่อในพระเจ้าผ่านคำพูดแต่ไม่แสวงหาความจริงหรือถวิลหาการทรงปรากฏของพระเจ้า ผู้ไม่เชื่อที่แสวงหาแค่เพียงพระคุณและขอขนมปังมากินให้อิ่มท้องตัวเอง และพวกศัตรูของพระคริสต์ที่เกลียดชังความจริงและต่อต้านพระเจ้า คนเหล่านี้ทั้งหมดจะถูกเปิดเผย และพวกเขาจะถูกกำจัดออกไปและถูกลงโทษในท้ายที่สุด  แม้ว่าภายนอกนั้น คนรักของฉันดูมีสภาวะความเป็นมนุษย์ที่ดี ซื่อสัตย์และไว้วางใจได้ และดูแลฉันอย่างดี แต่ทันทีที่ฉันบอกเขาว่าพระเจ้าทรงกลับมาแล้วในการประสูติเป็นมนุษย์ครั้งที่สอง ไม่เพียงเขาไม่ยอมแสวงหาความจริงสักนิดเท่านั้น แต่เขายังหลับหูหลับตาทำตามศิษยาภิบาลในการเป็นอุปสรรคและขัดขวางไม่ให้ฉันยอมรับพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า โดยไปไกลถึงขึ้นเอาการแต่งงานของเรามาขู่เพื่อบังคับให้ฉันล้มเลิกหนทางที่แท้จริงอีกด้วย  แม้ว่าเขาเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า เขาก็เพียงยึดมั่นในพระนามขององค์พระเยซูเจ้าเท่านั้น  เขาไม่ยอมรับความจริงที่องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงกลับมาทรงแสดง และเขาต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์  ฉันเห็นว่าแก่นแท้ของเขาคือการเกลียดชังความจริงและต่อต้านพระเจ้า เห็นว่าเขาเป็นผู้ไม่เชื่อที่ถูกเปิดเผยโดยพระวจนะของพระเจ้า และเห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่เชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง รักความจริง และยอมรับความจริง  เมื่อเผชิญความจริง ธรรมชาติเยี่ยงซาตานแห่งการต่อต้านพระเจ้าของเขาได้ถูกเปิดโปงอย่างถ้วนทั่ว  เขาไม่อาจเข้าใจพระสุรเสียงของพระเจ้าและไม่ใช่แกะของพระเจ้า  หากฉันเลือกแต่งงานกับคนแบบนี้ ฉันก็จะไม่ได้รับพระพรจากพระเจ้า และชีวิตแต่งงานของพวกเราก็จะไม่มีความสุข  จากพระวจนะของพระเจ้า ฉันเข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า  ฉันรู้สึกถึงสำนึกแห่งการปลดเปลื้อง และฉันรู้ว่าจะเลือกอะไร  หลังจากนั้น ฉันจึงโทรหาคนรักแล้วพูดว่า “ฉันตัดสินใจแล้ว  ฉันเลือกติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป  หากคุณอยากเลิกกัน ฉันก็เคารพทางเลือกของคุณ  นับจากนี้ไปเราแยกทางกัน”  เขาพูดอย่างผิดหวังว่า “คิดใหม่ไม่ได้หรือ?  อายุของพวกเราก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้ว และการแต่งงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต  หากคุณล้มเลิกการแต่งงานของพวกเรา คุณจะเสียใจภายหลังนะ”  ฉันเห็นได้อย่างชัดเจนแล้วถึงแก่นแท้ของเขาที่เกลียดชังความจริงและต่อต้านพระเจ้า ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ฉันก็ไม่เปลี่ยนใจ  ฉันพูดว่า “พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ได้ชี้เส้นทางในชีวิตให้แก่ฉันแล้ว และฉันตั้งใจจะเดินบนเส้นทางนั้นอย่างเด็ดเดี่ยว  ฉันจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด”  หลังจากฉันพูดจบ ฉันก็วางสาย และรู้สึกสบายใจและปลดเปลื้องอย่างลึกซึ้ง

เป็นการชี้นำของพระวจนะของพระเจ้าที่เปิดโอกาสให้ฉันรู้ว่าจะเลือกเส้นทางไหนในชีวิต และยังเปิดโอกาสให้ฉันมองเห็นโฉมหน้าแบบหน้าซื่อใจคดอย่างแท้จริงของพวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส  พวกเขาร้องว่าพวกเราควรจับตาเฝ้ารอการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่เมื่อพระเจ้าทรงปรากฏในร่างมนุษย์เพื่อทรงงานในยุคสุดท้าย พวกเขาก็ไม่แสวงหาและสืบค้น  แต่พวกเขากลับกล่าวโทษและต่อต้านอย่างบ้าคลั่ง และพยายามทุกวิถีทางเพื่อกันบรรดาผู้เชื่อไม่ให้สืบค้นหนทางที่แท้จริงและเก็บพวกเขาไว้ภายใต้การควบคุม และบังคับให้ผู้เชื่อติดตามพวกเขาในการต่อต้านและกล่าวโทษการเสด็จมาของพระเจ้า  พวกเขาเป็นทาสรับใช้แห่งความชั่วและศัตรูของพระคริสต์ซึ่งถูกเปิดเผยโดยพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และพวกเขาเป็นปีศาจที่กลืนกินดวงจิตของผู้คน!  เพราะคนรักของฉันเคารพนับถือศิษยาภิบาลคนนี้มากเกินไป เขาจึงไม่แสวงหาความจริงเลย เขาติดตามศิษยาภิบาลในการกล่าวโทษและต่อต้านพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และเขากลายเป็นคนที่เชื่อในพระเจ้าแต่ต่อต้านพระเจ้า  ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงช่วยฉันให้รอด เปิดโอกาสให้ฉันหยั่งรู้พวกศิษยาภิบาลและผู้อาวุโส ปฏิเสธพวกเขา และไม่ถูกพวกเขาหลอกลวงอีกต่อไป  การที่ฉันสามารถได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและต้อนรับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าคือความกรุณาและความปรานีอันยิ่งใหญ่ที่พระเจ้าทรงมีให้ฉัน  ฉันขอบคุณพระเจ้าจากก้นบึ้งของหัวใจ และตัดสินใจที่จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จนถึงปลายทาง  ต่อมา ฉันปฏิบัติหน้าที่ในคริสตจักร ประกาศข่าวประเสริฐและสละตนเองเพื่อพระเจ้าอย่างสุดความสามารถ  ฉันขอบคุณพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สำหรับการชี้ทางฉันให้เลือกสิ่งที่ถูกต้อง

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

ถูกกดขี่โดยครอบครัวของฉัน: ประสบการณ์การเรียนรู้

โดย อู๋ เหวิน, แคนาดา ตอนที่ฉันเริ่มเชื่อใหม่ๆ สามีก็ไม่ได้กีดกัน และฉัน แบ่งปันข่าวประเสริฐกับเขาด้วย แต่เขามุ่งเน้นที่การหาเงิน...

ทางเลือกของบาทหลวงคาทอลิก

โดย เว่ยมัว, ประเทศจีนพ่อแม่เลี้ยงผมมาในศาสนจักรคาทอลิก พอโตขึ้นผมก็ได้เป็นบาทหลวง ต่อมา วัดนั้นก็เริ่มเงียบเหงาลงเรื่อยๆ...

ติดต่อเราผ่าน Messenger