“การถูกกักขัง” โดยพ่อของฉันเอง
หน้าร้อนปี 2020 ค่ะ ตอนนั้น ฉันกับน้องสาวชื่ออัลบีน่า บังเอิญเจอวิดีโอชื่อ การตื่นรู้จากฝัน ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ บอกว่า องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พวกเราเกิดสงสัยใคร่รู้ เลยโหลดแอปของคริสตจักรมา และติดต่อกับพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรนั้น พวกเขาเป็นพยานว่าพระเจ้า ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงความจริงไว้ พระองค์ทรงงานพิพากษา และสร้างกลุ่มผู้ชนะขึ้นแล้ว ฉันตื่นเต้นมาก และนำพระวจนะมากมายมาอ่าน ฉันเห็นว่าพระวจนะเปี่ยมสิทธิอำนาจ ฤทธานุภาพ และล้วนเป็นความจริง ฉันตระหนักว่า ไม่มีใครแสดงคำพูดแบบนั้นได้ นี่คือเสียงของพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา! ฉันกับน้องเกิดแรงบันดาลใจ และยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายอย่างเปี่ยมสุข พวกเรามักจะชุมนุมทางออนไลน์กับเหล่าพี่น้อง และสามัคคีธรรมพระวจนะ
แต่น่าแปลก พอพ่อเห็นเราเข้าชุมนุมทางออนไลน์กับคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ไม่อธิษฐานกับรูปเคารพ ท่านก็บอกว่า เรากำลังนมัสการพระเจ้าองค์อื่น และทรยศองค์พระเยซูเจ้า ท่านคิดผิดที่พูดแบบนี้ การอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้ฉันรู้ว่า นี่คือพระเจ้าองค์เดียวกับองค์พระเยซูเจ้า มีพระวิญญาณเดียวกัน ทั้งคู่เป็นตัวแทนของพระเจ้า ที่ทรงงานคนละยุค ในยุคพระคุณ พระเจ้าทรงใช้ชื่อพระเยซู เพื่อทรงงานแห่งการไถ่ ตอนนี้ พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์ในยุคสุดท้าย และใช้พระนามใหม่เพื่อทรงงานพิพากษา องค์พระเยซูเจ้า ทรงกลับมาในนามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ การเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จึงไม่ใช่การทรยศองค์พระเยซูเจ้า ฉันกำลังต้อนรับการทรงกลับมา และติดตามย่างพระบาทของพระเจ้า แต่พ่อไม่ได้อ่านพระวจนะ และไม่รู้ถึงงานของพระเจ้า เลยไม่รู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ฉันพยายามอธิบาย แต่ท่านไม่เปิดโอกาสให้พูด แถมยังยึดทรรศนะของตัวเอง เป็นหนัก ถึงขั้นตวาดฉัน พ่อบอกว่าถ้าจับได้ว่าเราอ่านพระวจนะอีก ท่านจะตีเรา ถึงจะต้องทุบเราให้ตายและติดคุก ท่านก็จะทำ เพื่อไม่ให้เราเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันตกใจมากที่ ได้ยินพ่อพูดแบบนั้น ฉันไม่เคยคิดว่า พ่อจะพูดจาแรงแบบนั้น แค่เพื่อกีดกันไม่ให้เราเชื่อ วันนั้น พ่อไล่เราสองพี่น้องออกจากบ้าน เราเลยต้องนั่งอยู่นอกบ้านในชุดนอนตั้งหลายชั่วโมง ตอนนั้น ฉันรู้สึกผิดหวังจริงๆ เลยอธิษฐานว่า “พระเจ้า ลูกรู้สึกอ่อนแอเล็กน้อย แต่ลูกรู้ว่า ต้อเข้มแข็งและสู้ทนเรื่องทั้งหมดนี้ ไม่ว่าจะถูกพ่อขัดขวางยังไง ลูกก็จะเชื่อในพระองค์ต่อไป โปรดมอบความเชื่อ และความเข้มแข็งลูกด้วย” ตอนนั้นเอง ฉันก็นึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “เจ้าต้องมีความกล้าหาญของเราภายในตัวเจ้า และเจ้าต้องมีหลักการยามที่เจ้าเผชิญหน้ากับบรรดาญาติที่ไม่เชื่อ อย่างไรก็ตาม เพื่อเห็นแก่เรา เจ้าต้องไม่ยอมแพ้ต่ออำนาจมืดใดๆ เช่นกัน จงวางใจในสติปัญญาของเราที่จะเดินไปตามหนทางที่เพียบพร้อม จงอย่ายอมให้แผนประทุษกรรมใดๆ ของซาตานเริ่มมีผล จงใช้ความพยายามทั้งหมดของเจ้าไปในการวางหัวใจของเจ้าต่อหน้าเรา และเราจะปลอบประโลมเจ้า และนำสันติและความสุขมาให้เจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 10) พระวจนะทำให้ฉันอุ่นใจ และช่วยเรียกสติฉัน จากพระวจนะ ฉันเห็นว่า ถึงพ่อจะกีดกันยังไง ท่านก็ยังอยู่ในพระหัตถ์ ฉันไม่ควรกลัวพ่อ ฉันควรอธิษฐานให้พระเจ้าประทานความกล้าหาญและสติปัญญา ให้ฉันก้าวผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ หลังจากวันนั้น ถึงพ่อจะว่าและขู่ฉันบ่อยๆ ห้ามไม่ให้ฉันติดต่อกับเหล่าพี่น้อง และมักจะคอยตรวจโทรศัพท์ฉันด้วย ฉันก็ยังเลี่ยงการจับตาของพ่ออย่างเต็มที่ และมักจะซ่อนตัวในห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ ห้องใต้ดิน และสวน เพื่อจะได้คุยกับพี่น้องชายหญิง
ไม่นาน เราเริ่มฝึกให้น้ำผู้มาใหม่ และแอบทำหน้าที่ แต่ผู้มาใหม่ที่ต้องให้น้ำก็ค่อยๆ เติบโต ฉันเลยสามัคคีธรรมและชุมนุมกับพวกเขาในห้องตัวเองทุกวัน ทำให้พ่อสงสัยว่าฉันกลับไปชุมนุมอีก และยิ่งจับตาดูมากขึ้น ไม่ใช่แค่ตรวจโทรศัพท์ แต่เวลาฉันอยู่ในห้องคนเดียว ท่านก็แอบเข้ามาดูว่าฉันกำลังทำอะไร พ่อยังติดกล้องวงจรปิดในบ้าน ถึงกับให้น้องชายจับตาดูฉัน แลกกับของขวัญ บางครั้ง ฉันก็จำเป็นต้องลบทุกอย่างที่เกี่ยวกับคริสตจักรและหน้าที่ออกจากโทรศัพท์ และออกจากกลุ่มแช็ตชั่วคราว แต่สุดท้ายพ่อก็จับได้ว่าฉันยังปฏิบัติความเชื่อ วันนั้น ท่านดื่มเหล้าอีก และเริ่มตะคอกฉัน ถึงกับพูดจาหมิ่นประมาทพระเจ้า ฉันทนไม่ไหวอีกต่อไป เลยพูดออกไปว่า “หนูเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้ ในองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงแสดงความจริงมากมายเพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ให้เป็นอิสระจากบาปและความวิบัติ นี่เป็นโอกาสเดียวที่หนูจะรอด ดังนั้นหนูต้องเชื่อ ถ้าพ่อยังพยายามห้ามไม่ให้หนูเชื่อ หนูคงไม่มีทางเลือก นอกจากออกไปอยู่ที่อื่น” ท่านไม่ได้พูดอะไรค่ะ ท่านแทบไม่พูด เรื่องความเชื่อของฉัน และเลิกพยายามปรามฉันไปพักหนึ่ง ฉันคิดว่าเรื่องทั้งหมดนี้ผ่านไปแล้ว และไม่เคยคิดว่า ทั้งหมดเป็นแค่ความสงบก่อนพายุ วันหนึ่ง ฉันกำลังจะเริ่มชุมนุม น้องสาวก็วิ่งเข้ามาในห้อง บอกว่าพ่ออยากดูโทรศัพท์ฉัน แต่ฉันไม่ได้ให้ เพราะรู้ว่าพ่ออาจจะพังทิ้ง โทรศัพท์เป็นทางเดียวที่ฉันจะติดต่อกับคริสตจักรได้ และเป็นทางเดียว ในการอ่านพระวจนะ ฉันเลย รีบติดต่อพี่น้องหญิงคนหนึ่งของคริสตจักร เล่าเรื่องที่บ้านให้เธอฟัง และมอบหมายให้เธอ ดูแลผู้มาใหม่ที่ฉันให้น้ำ จากนั้น ฉันก็เอาโทรศัพท์ไปซ่อน
วันนั้น พ่อฉันเชิญคุณลุงมาที่บ้าน ให้ท่านช่วยห้ามเรา ไม่ให้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันไม่รู้เลยว่า พวกท่านจะห้ามปรามเราด้วยวิธีไหน แล้วตอนนั้น พระวจนะบางส่วนก็ผุดขึ้นในความคิด “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังทั้งหมดนั้นคือการสู้รบ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) “เมื่อพระเจ้าทรงพระราชกิจ ดูแลบุคคลผู้หนึ่ง และทรงเฝ้ามองบุคคลผู้นี้ และเมื่อพระองค์ทรงโปรดปรานและให้ความเห็นชอบในตัวบุคคลผู้นี้ ซาตานย่อมตามไปอย่างใกล้ชิด พยายามจะหลอกและทำร้ายบุคคลดังกล่าว หากพระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้บุคคลผู้นี้เอาไว้ ซาตานก็จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในอำนาจของมันเพื่อขัดขวางพระเจ้า ใช้ลูกเล่นชั่วร้ายต่างๆ นานาเพื่อทดลองพระราชกิจของพระเจ้า ทำให้พระราชกิจหยุดชะงักและลดทอนพระราชกิจ เพื่อที่จะสัมฤทธิ์วัตถุประสงค์ที่ซ่อนเร้นของมัน วัตถุประสงค์นี้คืออะไร? มันไม่ต้องการให้พระเจ้าได้รับผู้ใดสักคน มันต้องการช่วงชิงผู้ที่พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้ไว้มาครอบครองเสียเอง มันต้องการที่จะควบคุมพวกเขา กำกับดูแลพวกเขาเพื่อให้พวกเขาเคารพบูชามัน เพื่อให้พวกเขาเข้าร่วมกับมันในการกระทำความชั่วและต้านทานพระเจ้า นี่ไม่ใช่แรงจูงใจที่ชั่วร้ายเลวทรามของซาตานหรอกหรือ?…ในการทำสงครามกับพระเจ้า และในการสะกดรอยตามมาข้างหลังพระองค์นั้น วัตถุประสงค์ของซาตานคือเพื่อรื้อทำลายพระราชกิจทั้งหมดที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะทำ เพื่อยึดครองและควบคุมบรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับ เพื่อทำให้บรรดาผู้ที่พระเจ้าทรงต้องประสงค์ที่จะได้รับนั้นดับสิ้นไปโดยสิ้นเชิง หากพวกเขาไม่ถูกทำให้ดับสิ้นไป เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็จะมาเป็นสิ่งครอบครองของซาตาน เพื่อให้มันใช้งาน—นี่คือวัตถุประสงค์ของมัน” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 4) จากพระวจนะ ฉันตระหนักว่า การถูกครอบครัวห้ามปรามเรื่องความเชื่อ เป็นการทดสอบ และการขัดขวางของซาตาน ซาตานไม่อยากให้ฉันติดตาม และถูกพระเจ้าช่วยให้รอด เลยใช้ครอบครัวมาโจมตี บังคับให้ฉันปฏิเสธ และทรยศพระเจ้า นี่คือกลลวงของซาตาน ฉันนึกถึงโยบ ที่ถูกซาตานโจมตี ตอนที่โดนทดสอบ ทรัพย์สินทั้งหมดของเขาถูกทำลาย ลูกๆ ล้มตาย และเนื้อตัวเขาก็มีแต่แผลพุพอง แม้จะทุกข์หนักขนาดนั้น โยบก็ยังเป็นพยานแก่พระเจ้า และเหยียดหยามซาตานได้ ฉันรู้ว่า ฉันควรเอาอย่างโยบ ไม่ว่าพ่อกับลุงจะห้ามปรามและขัดขวางฉันยังไง ฉันก็ต้องยืนกรานในความเชื่อ ตั้งมั่น และเหยียดหยามซาตาน
ทันทีที่เข้ามาในห้องเรา ลุงก็เริ่มรบเร้าให้เราเลิกเชื่อ บอกว่า “แกทิ้งองค์พระเยซูเจ้า และไม่ไปคริสตจักร นี่คือการทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้า!” ฉันตอบว่า “ทั้งสองพระองค์คือพระเจ้าองค์เดียวกัน พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แสดงพระวจนะนับล้าน เผยความจริงและความล้ำลึกนับไม่ถ้วน อย่างความล้ำลึกของแผนการบริหารจัดการหกพันปี เรื่องราวภายในการทรงงานทั้งสามระยะ และความล้ำลึกแห่งพระนาม พระองค์ยังเผยถึงรากเหง้าแห่งความเปี่ยมบาป และความเป็นจริงแห่งความเสื่อมทรามเพราะซาตานของมนุษย์ ทรงแสดงให้เราเห็นเส้นทางสู่ความรอด ผู้คนมากมายทั่วโลก ต่างรับรู้พระวจนะ ว่าเป็นความจริง และเป็นเสียงของพระเจ้า และต้อนรับการทรงกลับมา ลุงจะบอกว่าการเชื่อของเรา ทรยศองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ยังไง? ตอนองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน คนมากมายทิ้งพระวิหารไปติดตามพระองค์ ลุงจะบอกว่า พวกเขาทรยศพระยาห์เวห์พระเจ้าเหรอ? คนที่ไม่ได้ยินเสียง และไม่ติดตามพระเจ้า ตอนที่คนอื่นเป็นพยานเรื่องการทรงกลับมาต่างหาก ที่ทรยศพระองค์จริงๆ” พอได้ยินแบบนี้ ลุงของฉันก็โกรธมาก บอกว่า “ดูมันสิ! มันไม่ใส่ใจสิ่งที่ฉันพูดสักนิด แถมพยายามสอนฉันแทนด้วยซ้ำ จะเปลี่ยนความเชื่อฉัน และพยายามดึงฉันเข้าคริสตจักรนั่น!” แล้วป้าสะใภ้ฉันก็พยายามโน้มน้าวฉัน ท่านใช้น้ำเสียงเย้ยหยัน เสนอว่าฉันควรไปแต่งงานเหมือนคนอื่น ไปมีชีวิตครอบครัวและงานที่มั่นคง แทนที่จะทุ่มเวลาให้ความเชื่อ เปลี่ยนความเชื่อคนอื่น ฉันสวนกลับว่า “ตั้งแต่มาเป็นผู้เชื่อ หนูอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เยอะมาก ได้รับความเข้าใจเชิงลึกในหลายเรื่อง ได้รู้ความหมายของชีวิต และสิ่งที่มีความหมายที่สุดที่ควรไล่ตามในชีวิต หลายปีมานี้ พอมีโรคระบาด สงคราม และกันดารอาหารมากขึ้น ความเพลิดเพลินและสุขสบายทางเนื้อหนัง รับรองความปลอดภัย หรือปกป้องเราจากภัยพิบัติได้จริงเหรอ? มีแค่การยอมรับงานของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ได้รับความจริงและละทิ้งบาป ที่พระเจ้าจะคุ้มครองเรา ให้พ้นภัยพิบัติ และเข้าสู่ราชอาณาจักรได้ นี่คือถนนสายเดียวสู่ความรอด” ไม่ได้พูดอะไรค่ะ พอเห็นฉันไม่โอนอ่อน พวกเขาก็โทรเรียกปู่ และลุงอีกคนหนึ่ง มารุมฉัน ฉันนึกถึง พี่น้องชาวจีน ที่ยืนหยัดได้เมื่อเผชิญกับการข่มเหงและอันตราย ฉันอยากเป็นพยานให้พระเจ้า และเหยียดหยามซาตานอย่างพวกเขา เลยอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า! ลูกไม่รู้ว่าปู่กับคนอื่นๆ จะพูดหรือทำยังไงกับลูก โปรดมอบความเชื่อและความเข้มแข็งให้ลูกด้วย” ทันทีที่มาถึง ปู่ก็เริ่มโวยฉันกับน้องสาว และถึงกับถือเข็มขัดขู่เราว่า “ถ้าแกสองคนไม่เลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ก็ไม่ต้องมาเป็นหลานของฉันอีก!” พอฟังแล้วฉันก็คิดในใจว่า ฉันจะไม่มีวันเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ต่อให้ทั้งครอบครัวจะทอดทิ้งฉันก็ตาม องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า “ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ด้วย” (มัทธิว 10:33) การถูกผู้คนทอดทิ้งไม่น่ากลัว เพราะเราอยู่ได้โดยไม่ต้องมีเพื่อนมนุษย์ แต่ถ้าเราถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ทั้งหมดก็จบกัน ดังนั้น ไม่ว่าพวกเขาขัดขวางยังไง ฉันก็จะไม่ปฏิเสธพระเจ้า ฉันพูดอย่างแน่วแน่ว่า “หนูรู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าเที่ยงแท้ ไม่ว่าปู่จะพูดยังไง หนูจะไม่มีวันเลิกเชื่อ ในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์” น้องสาวก็บอกด้วยว่า เธอจะไม่ละทิ้งความเชื่อนี้ ทุกคนตกใจมากกับสิ่งที่เราสองคนพูด ลุงของฉันเลยโกรธจัด เขาคว้าโทรศัพท์ไป และซักไซ้ฉันว่า “แกใช้มือถือเครื่องนี้โทรหาใครทุกวัน? พวกมันเป็นใคร? ชื่อแซ่อะไร? เอาเบอร์พวกมันมาให้ฉัน! ฉันจะเอาเรื่องพวกมันไปแจ้งตำรวจ!” แล้วเขาก็บอกให้ฉันปลดล็อกโทรศัพท์ พอฉันไม่ขยับ ลุงก็ยิ่งโกรธและพูดว่า “ดูท่าจะหมดหวังกับแกแล้ว แกไม่ฟังสิ่งที่เราพูดเลย เราน่าจะส่งแกไปรักษากับจิตแพทย์ดู” ในมุมพวกเขา ความเชื่อ เป็นเพียงแค่ความเชื่อทางศาสนา และพวกเขาคิดว่า คนที่พลีอุทิศหรือสละตนเพื่อพระเจ้า ไม่ปกติ ต่อมา คนอื่นๆ ในครอบครัวก็ผลัดกันมาตำหนิและต่อว่าฉัน แต่ฉันกับน้องสาวไม่หวั่นไหว เรายังเถียงกลับด้วยซ้ำ สุดท้ายพวกเขาก็หมดความอดทน และกลับบ้านไป
พวกเขาไม่หยุดแค่นั้นค่ะ สองวันต่อมา พ่อของฉันเปิดวิดีโอหลายอัน ที่ทำให้คริสตจักรเสื่อมเสียให้ฉันดู ฉันว่ามันล่วงเกินมาก เพราะฉันรู้ว่านั่นเป็นเรื่องเท็จ และเป็นการให้ร้ายคริสตจักร ฉันอาจเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาไม่นาน แต่ฉันก็อ่านพระวจนะ และเข้าใจความจริงอยู่บ้าง ฉันรู้ว่าเราต้องเลือกทางไหน ถึงจะเป็นคนบริสุทธิ์ที่พ้นจากบาป และรู้ว่าการไล่ตามอะไร มีความหมายที่สุดในชีวิต ฉันเริ่มมองสิ่งต่างๆ ตามพระวจนะ และเกิดวิจารณญาณแยกแยะดีชั่ว ฉันได้พัฒนาขึ้นแล้วในบางเรื่อง และความเชื่อนี้ ก็เป็นประโยชน์กับฉันมาก ฉันรู้สึกถึงสันติสุขและการเติมเต็มภายใน และมั่นใจว่านี่คือหนทางแท้จริง คือเส้นทางที่พระเจ้าทรงนำให้เราเดิน ฉันเลย พูดกับพ่อว่า “พ่อไม่ได้สืบค้นงานแห่งยุคสุดท้าย แถมเชื่อข่าวลือและความเข้าใจผิดทุกอย่างในเน็ต ทั้งหมดนั้นเป็นคำโกหกของมารร้าย หนูเชื่อในพระเจ้าเที่ยงแท้…” แต่พอฉันพูดแบบนี้ พ่อก็ขัดขึ้นมาทันที และเริ่มต่อว่าฉันอีก จากนั้น ลุงก็เข้ามาและเริ่มกดดันฉันว่า “คีอันนา แกเป็นครอบครัวเรา เราทุกคนรักแกมาก เราทำแบบนี้ก็เพื่อตัวแกเอง แล้วแกจะมาขอบคุณเราทีหลัง ออกจากคริสตจักรนี้ให้เร็วที่สุดเถอะ” คำพูดของลุงทำให้ฉันนึกถึง ซาตานที่ใช้ภรรยาของโยบมาโจมตีเขา ภรรยาของโยบพูดว่า “เธอยังจะยึดมั่นในความซื่อสัตย์อยู่อีกหรือ? จงแช่งพระเจ้าและตายเสียเถอะ” (โยบ 2:9) แต่โยบไม่คล้อยตามเธอ เขากลับตำหนิเธอที่ “พูดจาเหมือนหญิงโง่” ตอนนี้ ฉันเองก็ถูกครอบครัวขู่เข็ญและขัดขวาง พวกเขาบอกว่าทำเพื่อฉัน แต่ที่จริงคือเพื่อบังคับให้ฉันทิ้งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันเบื่อคำโกหกและหลอกลวงของพวกเขา เลยเอาแต่นั่งเงียบๆ ไม่สนใจพวกเขา ฉันมีเรื่องมากมายที่อยากพูดกับพวกเขา แต่ฉันรู้ว่า พวกเขาจะไม่ฟังฉัน พอเห็นฉันไม่ยอมทำตามที่ต้องการ พ่อก็คว้าเข็มขัดมาหวดเข้าที่หน้าและมือฉันหลายครั้ง จนมือของฉันเจ็บแสบ และน้ำตาก็ไหลนองหน้า สุดท้าย พวกเขาก็ยึดโทรศัพท์ของฉันกับน้องไป เราเลยไม่สามารถติดต่อกับคริสตจักรได้ จากนั้น พ่อก็จับตาดูเราต่อไป และห้ามไม่ให้เราอ่านพระวจนะ ท่านตามฉันไปทุกที่ จนฉันไม่ได้อยู่ตามลำพัง และถึงกับเฝ้าดูสีหน้าของฉัน ถ้าฉันดูเหมือนคิดอะไรอยู่ พ่อจะตะโกนมาว่า “อย่านึกถึงพระเจ้าองค์นั้นที่แกเชื่อเชียวนะ!” ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่เชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) “ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือผู้เป็นเยี่ยงปีศาจ และมิหนำซ้ำ ยังจะถูกทำลาย…ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใชพวกผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) พระเจ้าทรงเปิดโปงเนื้อแท้ของผู้ไม่เชื่อ ฉันเคยคิดว่า ไม่มีใครสนิทได้เท่าครอบครัว แต่พอถูกพวกเขากดขี่และขัดขวางบ่อยเข้า และเมื่อเปรียบกับพระวจนะ ฉันก็ได้เห็นโฉมหน้าของพวกเขาในที่สุด ถึงพวกเขาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พอเจอเรื่องที่เหลือเชื่ออย่างการทรงกลับมา พวกเขากลับไม่อยากแสวงหาเลย พวกเขาไม่ฟังเสียงของพระเจ้า และไม่ต้อนรับพระองค์ ถึงกับทำทุกทางเพื่อขวางเราจากการยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พูดทุกอย่างที่ตัดสินและกล่าวโทษพระองค์ พวกเขาคือคนที่เกลียด และต่อต้านพระเจ้า ถ้าเป็นศัตรูของพระเจ้า พวกเขาก็เป็นศัตรูของฉันด้วย ฉันไม่ใช่คนแบบพวกเขาค่ะ
ถึงจะมีวิจารณญาณเรื่องครอบครัวขึ้นบ้าง ฉันก็ยังถูกพวกเขาจับตาดูตลอด เข้าชุมนุมไม่ได้ คุยเรื่องทางฝ่ายวิญญาณกับน้องสาวแบบส่วนตัวไม่ได้ ดังนั้นพอนานไป ฉันเลยเริ่มอ่อนแอ ตอนนั้น ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่ง “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก! เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ? ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับบททดสอบอันขมขื่น หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของบททดสอบย่อมจะผิดแผกกัน การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา? เจ้าพวกเด็กโง่เอย! เจ้าเอาแต่คิดว่าคำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำนับเป็นพรจากเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา พวกคนที่ร่วมแบ่งปันความขมขื่นของเราจะได้ร่วมแบ่งปันความหวานชื่นของเราอย่างแน่นอน นั่นคือคำสัญญาของเราและพรของเราแก่พวกเจ้า” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41) พระวจนะ ทำให้ฉันอุ่นใจ รู้สึกว่าพระเจ้าอยู่ใกล้ฉันมากทีเดียว พระเจ้าทรงเข้าใจสิ่งที่ฉันกำลังคิดและเผชิญ และทรงใช้พระวจนะมาชูใจ และหนุนใจฉัน ฉันรู้ว่าเหตุผลที่การเข้าสู่ราชอาณาจักรนั้นแสนลำบาก และหนทางที่แท้จริงถูกข่มเหงและปฏิเสธอยู่เสมอ เป็นเพราะซาตานปกครองโลกนี้ และมันไม่ยอมให้พระเจ้าเสด็จมา เพื่อแสดงความจริงและช่วยมนุษย์ให้รอด และยิ่งไม่ยอมให้คนติดตามและเชื่อในพระเจ้า ผลก็คือ ผู้คนที่เชื่อถูกข่มเหง ในยุคพระคุณ คนมากมายถูกข่มเหง และถึงกับพลีชีพเพราะเชื่อในองค์พระเยซูเจ้า ตอนนี้พระเจ้าทรงปรากฏในรูปมนุษย์อีกครั้ง เพื่อช่วยมนุษย์ให้รอด ที่เมืองจีน หลายคนที่ในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนจับกุม ข่มเหง ทุบตี และทรมาน แต่พวกเขาก็ยังแน่วแน่ในการเชื่อ และเป็นพยานแก่พระเจ้า การที่ ฉันถูกครอบครัวข่มเหงเพราะเชื่อในพระเจ้า นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ฉันได้เป็นพยานแก่พระเจ้าต่อหน้าซาตาน ฉันเจอความยากลำบากอยู่บ้าง แต่นี่ก็มีเจตนารมณ์อันดีของพระเจ้า ฉันขาดความเชื่อ และมองอุบายของซาตานไม่ออก พระเจ้าจึงทรงงานผ่านการขัดขวางและข่มเหงจากครอบครัว เพื่อสอนให้ฉันพึ่งพาพระองค์ และแสวงหาความจริงเพื่อให้เกิดวิจารณญาณ สถานการณ์นี้ ช่วยให้ฉันเข้าใจความจริง มีวุฒิภาวะมากขึ้น พอรู้ถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ฉันก็ยิ่งโล่งใจ และเครียดน้อยลง และตัดสินใจพึ่งพาพระเจ้าในประสบการณ์นี้ ตราบใดที่ พระเจ้าทรงอยู่เคียงข้าง ใครจะกดขี่หรือขัดขวางฉันก็ไม่สำคัญ
ในช่วงนั้น ครอบครัวก็ยังคอยจับตาดูและคอยห้ามเรา เราไม่สามารถอ่านพระวจนะได้ และฉันก็รู้สึกแย่มาก จนอยากจะหนีไปให้พ้น เพราะฉันมองว่า การหนีไป เป็นทางออกเดียว ถ้าไปจากบ้านนี้ ฉันจะปฏิบัติความเชื่อได้ตามปกติ แต่ช่องทางการหนีก็ถูกปิดกั้นจนหมด พ่อของฉันอยู่บ้านตลอด และฉันไม่รู้ว่าจะเลี่ยงท่านยังไง คนอื่นในครอบครัว ก็จับตาดูฉันเหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นคือฉันไม่มีเงิน และไม่รู้ว่าจะไปไหนได้ ฉันกังวลว่าถ้าหนีไป พ่อจะโทรแจ้งตำรวจเรื่องพี่น้องชายหญิง ฉันหดหู่มาก ร้องไห้ตลอด และไม่อยากให้ใครเห็นฉันแบบนั้น ในช่วงเวลานั้น ฉันอยู่ในความหวาดกลัวตลอด เวลาอธิษฐานในห้อง ฉันก็กังวลเสมอว่าพ่อจะโผล่พรวดเข้ามา กลัวท่านพังประตู และตะคอกใส่ฉัน ที่กังวลยิ่งกว่า คือกลัวพ่อตีและว่าฉันกับน้อง ฉันไม่รู้เลยว่า จะถูกข่มเหงอย่างนี้อีกนานแค่ไหน พอคิดถึงพี่น้องชายหญิง ที่ต่างชุมนุมและทำหน้าที่ได้ตามปกติ ขณะที่ฉันขาดโอกาสนั้น ฉันก็อิจฉาพวกเขา เลยอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “พระเจ้า การเชื่ออยู่ที่บ้าน ลำบากยากเย็นมากสำหรับลูก ลูกอยากไปจากที่นี่ จะได้ชุมนุมและทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ ได้โปรดเปิดทางให้ลูกที”
วันหนึ่ง ในที่สุดฉันก็เลี่ยงทุกคนในบ้านมาได้ และเห็นพระวจนะสองบทตอนในโทรศัพท์ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “ในขณะกำลังก้าวผ่านบททดสอบ เป็นปกติที่ผู้คนย่อมอ่อนแอ หรือมีความเป็นลบภายในตัวพวกเขา หรือขาดพร่องความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระเจ้าหรือเส้นทางของพวกเขาสำหรับการฝึกฝนปฏิบัติ แต่ไม่ว่าในกรณีใด เจ้าต้องมีความเชื่อในพระราชกิจของพระเจ้า และไม่ปฏิเสธพระเจ้า เช่นเดียวกับโยบ แม้ว่าโยบอ่อนแอและสาปแช่งวันเกิดของเขาเอง เขาก็ไม่ได้ปฏิเสธว่าพระยาห์เวห์ได้ทรงมอบทุกสรรพสิ่งในชีวิตมนุษย์ และพระยาห์เวห์ทรงเป็นองค์หนึ่งเดียวที่จะนำทุกสิ่งนั้นไปอีกด้วย ไม่สำคัญว่าเขาได้ถูกทดสอบอย่างไร เขาก็ได้ธำรงรักษาการเชื่อนี้ไว้ ในประสบการณ์ของเจ้า ไม่สำคัญว่าเจ้าก้าวผ่านกระบวนการถลุงอะไรโดยผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงพึงประสงค์จากมวลมนุษย์ โดยสังเขปแล้ว คือความเชื่อของพวกเขาและความรักของพวกเขาต่อพระองค์ สิ่งที่พระองค์ทรงทำให้มีความเพียบพร้อมโดยการทรงพระราชกิจในหนทางนี้คือความเชื่อ ความรักและความทะเยอทะยานของผู้คน พระเจ้าทรงพระราชกิจแห่งการทำให้มีความเพียบพร้อมกับผู้คน และพวกเขาไม่สามารถมองเห็นมันได้ ไม่สามารถรู้สึกถึงมันได้ ภายใต้รูปการณ์แวดล้อมเช่นนี้ เจ้าพึงต้องมีความเชื่อ ผู้คนพึงต้องมีความเชื่อเมื่อบางสิ่งไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และเจ้าพึงต้องมีความเชื่อเมื่อเจ้าไม่สามารถปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเองได้ เมื่อเจ้าไม่มีความกระจ่างแจ้งเกี่ยวกับพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่เจ้าพึงต้องมีคือการมีความเชื่อและการมีทีท่าที่หนักแน่นและยืนหยัดเป็นพยาน เมื่อโยบได้มาถึงจุดนี้ พระเจ้าได้ทรงปรากฏต่อเขาและตรัสกับเขา นั่นคือเฉพาะจากภายในความเชื่อของเจ้าเท่านั้นนั่นเองที่เจ้าจะมีความสามารถมองเห็นพระเจ้าได้ และเมื่อเจ้ามีความเชื่อ พระเจ้าก็จะทรงทำให้เจ้ามีความเพียบพร้อม หากปราศจากความเชื่อ พระองค์จะไม่สามารถทำการนี้ได้” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) “หากหลายสิ่งเกิดขึ้นแก่เจ้าโดยไม่คาดฝันซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้า แต่ถึงกระนั้นเจ้าก็ยังมีความสามารถที่จะวางพวกมันลงและได้รับความรู้เกี่ยวกับการกระทำของพระเจ้าจากสิ่งเหล่านี้ และหากเจ้าเปิดเผยหัวใจแห่งความรักสำหรับพระเจ้าของเจ้าท่ามกลางกระบวนการถลุง เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือการยืนหยัดเป็นพยาน หากบ้านของเจ้าเปี่ยมสันติสุข เจ้าชื่นชมสิ่งชูใจทั้งหลายของเนื้อหนัง ไม่มีผู้ใดกำลังข่มเหงเจ้า และพี่น้องชายหญิงของเจ้าในคริสตจักรเชื่อฟังเจ้า เจ้าจะสามารถแสดงหัวใจแห่งความรักพระเจ้าของเจ้าได้หรือไม่? สถานการณ์นี้สามารถถลุงเจ้าได้ไหม? โดยผ่านทางกระบวนการถลุงเท่านั้นนั่นเองความรักพระเจ้าของเจ้าจึงสามารถถูกแสดงให้เห็นได้ และโดยผ่านทางสิ่งทั้งหลายที่กำลังเกิดขึ้นซึ่งไม่อยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของเจ้าเท่านั้นนั่นเอง เจ้าจึงสามารถได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมได้ ด้วยการปรนนิบัติของสิ่งที่ตรงกันข้ามและเป็นลบมากมาย และโดยการนำการสำแดงทุกจำพวกของซาตานมาใช้—การกระทำของมัน การกล่าวหาของมัน การรบกวนและการหลอกลวงของมัน—พระเจ้าทรงแสดงให้เจ้าเห็นใบหน้าอันน่าขยะแขยงของซาตานอย่างชัดเจน และด้วยประการฉะนั้นจึงทำให้เจ้าสามารถดูซาตานออกได้อย่างสมบูรณ์ เพื่อที่เจ้าอาจเกลียดชังซาตานและละทิ้งมัน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, บรรดาผู้ที่จะได้รับการทำให้มีความเพียบพร้อมต้องก้าวผ่านกระบวนการถลุง) การอ่านพระวจนะ ทำให้ฉันเข้าใจพระเจตนารมณ์ได้ชัดเจน และเห็นว่าในความเชื่อ เราต้องก้าวผ่านบททดสอบและการถลุง ผ่านการถลุงเหล่านี้ เราถึงจะมีความเชื่อแท้จริงในพระเจ้าได้ อย่างเรื่องของโยบ พอเขาก้าวผ่านบททดสอบและตั้งมั่นในคำพยาน ความเชื่อในพระเจ้าของเขาก็เพิ่มพูน และซาตานก็หลีกไปอย่างอับอาย ฉันรู้ว่าควรเอาโยบเป็นแบบอย่าง และตั้งมั่นผ่านบททดสอบนี้ แต่ฉันแสดงออกว่าขาดความเชื่อจริงๆ เวลาชุมนุมตามปกติในสภาพแวดล้อม ที่สงบปลอดภัย ความเชื่อของฉันก็แข็งแกร่ง และฉันถึงกับพูดว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันจะไม่มีวันโทษพระเจ้า” แต่พอฉันถูกครอบครัวกดขี่ และถูกขังไว้ในบ้านอย่างไร้อิสรภาพ ฉันก็เริ่มคิดลบและอ่อนแอ ฉันไม่ได้ทิ้งความเชื่อในพระเจ้า แต่ก็พร่ำบ่นเสมอ และอยากเลี่ยงความลำบาก แสวงหาชีวิตที่สุขสบาย และการนมัสการที่ผ่อนคลาย เห็นได้ชัดว่า ธรรมชาติของฉันทรยศพระเจ้า ฉันนึกถึงความแน่วแน่ของโยบ เมื่อซาตานทดสอบและโจมตีเขา เขาไม่เคยพร่ำบ่นพระเจ้าเลย ไม่เคยเรียกร้องอะไรที่ไม่สมเหตุสมผลจากพระองค์ ไม่เคยตั้งคำถาม ว่าทำไมพระเจ้าอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเกิดขึ้น โยบนบนอบและเคารพพระเจ้า แต่ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น ฉันตระหนักว่า พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์นี้ทดสอบฉัน และทำให้ความเชื่อของฉันเพียบพร้อม ถ้าฉันอยากเชื่ออย่างสบายอารมณ์เสมอ อยากเลี่ยงสถานการณ์ที่ทรงสร้างให้ และไม่เรียนรู้อะไร สุดท้ายฉันจะไม่ได้อะไรเลย ฉันนึกขึ้นได้ว่า ถึงตลอดมาฉันจะทุกข์อยู่บ้าง พระเจ้าก็ทรงนำฉันอยู่ข้างๆ เสมอ เมื่อฉันอ่อนแอ พระวจนะก็ชุบชูใจ และหนุนใจฉัน แล้วฉันจะพร่ำบ่นพระเจ้าได้ยังไง? ฉันขาดมโนธรรมเหลือเกิน ฉันเคยอิจฉาพี่น้องชายหญิงที่ไม่ถูกครอบครัวกดขี่ แต่พอมาคิดดูแล้ว สุดท้ายใครได้มากกว่ากัน? คนที่อยู่สบายอย่างสง่างาม หรือคนที่มีประสบการณ์กับการกดขี่และความยากลำบาก? คำตอบก็ชัดเจนอยู่แล้ว ทุกสิ่งล้วนอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ และภายใต้การทรงจัดวางเรียบเรียง และพระเจ้าไม่ทรงงานที่ไร้ความหมาย มีแค่พระเจ้าที่รู้ว่าสถานการณ์ไหนจะดีต่อความก้าวหน้าในชีวิตของฉันที่สุด ส่วนฉันไม่รู้ ฉันจึงควรนบนอบและแสวงหา
ไม่นานนัก พ่อของฉันก็ได้งาน และเริ่มออกจากบ้านบ่อย ในระหว่างนั้น ฉันกับน้องสาวชุมนุมและสามัคคีธรรมพระวจนะได้อย่างปลอดภัย ส่วนเรื่องกล้องวงจรปิดที่พ่อติดเอาไว้ ไม่ใช่แค่ไม่สร้างปัญหา แต่ที่จริง ยังช่วยปกป้องเราด้วย เพราะทุกครั้งที่พ่อกลับมา เราก็จะเห็นผ่านกล้องว่าท่านกลับมา และเลิกชุมนุมกัน พอท่านออกไปอีก เราก็สามัคคีธรรมกันต่อ เวลาพ่ออยู่บ้าน เราจะเข้าชุมนุมไม่ได้ เราเลยขอพ่อออกไปซื้อของที่ร้านค้า แล้วถือโอกาสนั้น สามัคคีธรรมกันที่สวนข้างนอก ปี 2022 ผู้นำคริสตจักร มอบหมายให้ฉันให้น้ำผู้มาใหม่ต่อ ต่อมา ฉันก็ได้เป็นหัวหน้างาน ถึงจะถูกพ่อห้ามและขัดขวาง ฉันก็ทำหน้าที่ต่อไป
ฉันทั้งได้สัมผัสพระวจนะ ได้เห็นถึงพระมหิทธิฤทธิ์ พระปัญญา และได้เชื่อในพระเจ้า ฉันได้เรียนรู้ที่จะพึ่งพาพระองค์ ฝึกกินดื่มพระวจนะ ด้วยตัวเองเพื่อแก้ไขปัญหาของฉัน ฉันยัง เกิดวิจารณญาณเรื่องคนในครอบครัวที่ไม่เชื่อ และได้เรียนรู้วิธีรับมือพวกเขา ฉันคงไม่มีวันได้รู้เรื่องพวกนี้ ตอนที่อยู่อย่างสบายใจ งานของพระเจ้าช่างวิเศษ และเป็นจริง ฉันขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จากก้นบึ้งของหัวใจค่ะ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ