ฉันเป็นนักโทษในครอบครัวของตัวเอง
ฉันยอมรับงานแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้าในปี 2019 โดยการอ่านพระวจนะ ฉันเห็นการที่พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงเผยความจริงของงานสามระยะ การทรงปรากฏในรูปมนุษย์ ความหมายของงานพิพากษา ซาตานทำให้ผู้คนเสื่อมทรามยังไง พระเจ้าทรงช่วยผู้คนให้รอดยังไง และวิธีที่ผู้คนจะถูกชำระ และมีบั้นปลายที่งดงาม เหล่านี้มีสิทธิ์อำนาจ และฉันไม่เคยได้ยินมาก่อน รู้สึกใหม่และใช้ได้จริง อีกทั้ง จัดหาให้ฉัน ดับความกระหายฝ่ายวิญญาณของฉัน พระองค์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมาแน่ และฉันตื่นเต้นมาก ฉันไม่เคยคิดฝันว่าชาตินี้จะได้ต้อนรับองค์พระเยซูเจ้าที่กลับมา ช่างโชคดีเสียจริง จากนั้น ฉันก็ประกาศข่าวประเสริฐ ร่วมชุมนุม และทุกวันก็สมดังตั้งใจ และเพลิดเพลิน ตอนนั้นยังไม่ค่ะ แต่สองเดือนต่อมา น้องชายกับน้องสะใภ้รู้เรื่องการเชื่อในพระเจ้าของฉันเข้า น้องสะใภ้ของฉันเป็นคนจีน และทำงานในหน่วยงานรัฐบาล น้องชายของฉันก็เลยย้ายไปประเทศจีนกับเธอ เขาโทรมาต่อว่าฉันว่า “รัฐบาลจีนข่มเหง ผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ผมไม่ว่าที่พี่เชื่อองค์พระเยซูเจ้า แต่กับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ได้ พี่เชื่อในตัวบุคคล ไม่ใช่พระเจ้า” ทันทีที่ได้ยิน ฉันก็รู้เลยว่าน้องชายพูดถึงข่าวลือ เพราะในการแสวงหาและสืบค้นของฉัน ฉันเห็นวิดีโอมากมายเรื่องที่ผู้เชื่อในคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ถูกพรรคคอมมิวนิสต์จีนข่มเหง หนทางแท้จริงถูกข่มเหงมาแต่โบราณ กำลังบังคับของซาตานข่มเหงพระเจ้าเมื่อเสด็จมาทรงงาน เหมือนตอนที่องค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงงาน ผู้นำศาสนาและจักรวรรดิ์โรมันก็ต่อต้านและข่มเหงพระองค์ด้วยความร้อนใจ ฉันบอกน้องชายว่า “พี่เชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่บุคคล เมื่อพระเจ้าเสด็จมาทรงงานแห่งความรอด ทรงต้องปรากฏในรูปบุตรมนุษย์ ก่อนเราจะใกล้ชิดพระองค์ได้ ในเมื่อทรงกลายเป็นมนุษย์ ทรงต้องกำเนิดในครอบครัวหนึ่ง และใช้ชีวิตมนุษย์ปกติ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ดูเหมือนคนทั่วไป แต่พระองค์มีพระวิญญาณภายใน และแก่นแท้ของพระเจ้า พระองค์ได้ทรงแสดงความจริงมากมาย และทรงงานเพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอื่นทำได้ องค์พระเยซูเจ้าทรงดูเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่แก่นแท้พระองค์คือพระเจ้า และทรงแสดงความจริง และไถ่มนุษย์ได้ นี่เป็นสิ่งที่คนทั่วไปทำไม่ได้ พูดได้ไหมว่าองค์พระเยซูเจ้าเป็นแค่บุคคล? ไม่เข้าใจก็อย่าพูดดีกว่า บาปจากการหมิ่นพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ได้รับการอภัย พวกฟาริสีหมิ่นประมาทองค์พระเยซูเจ้าด้วยการพูดว่านายผี ช่วยพระองค์ขับผีออก สุดท้ายพระเจ้าก็ลงโทษและสาปแช่ง พวกเขา พี่ไม่บังคับให้เธอเชื่อ ดังนั้นอย่ามาห้ามพี่เชื่อพระเจ้า!” เขาไม่ฟังฉันเลยแม้แต่นิดเดียวค่ะ ยิ่งฉันโต้แย้ง เขาก็ยิ่งด่าว่า พอฉันเห็นว่าเขาถูกข่าวลือของพรรคหลอกลวง และหมิ่นพระเจ้า ฉันก็ผิดหวังในตัวเขา วันต่อมา น้องสะใภ้ก็โทรมาหว่านล้อมให้ฉันเลิกเชื่อ ขู่ให้ฉันกลัว “การเชื่อในพระเจ้าของพี่ผิดกฎหมายในจีน พี่อาจถูกยิงได้นะ ถ้าพี่เชื่อในจีน พี่คงถูกจับไปนานแล้ว รัฐบาลจีนจับกุมผู้เชื่อทุกคนที่เจอในคริสตจักรของพี่ ไม่มีใครหนีพ้น” คำพูดของเธอ เผยข้อเท็จจริงว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีน ต่อต้านพระเจ้าและข่มเหงคริสเตียนยังไง และฉันเข้าใจความลำบากของพี่น้องจีนที่เชื่อในพระเจ้า ตอนนั้น ฉันยังรู้สึกแปลกด้วย ฉันเชื่อองค์พระผู้เป็นเจ้ามาแปดปี แต่ครอบครัวไม่เคยก้าวก่ายฉัน แต่พอเชื่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำไมพวกเขามาข่มเหงฉัน แล้วกลายเป็นไม่แยแสฉันแบบนี้? ตอนนั้น ฉันนึกถึงสามัคคีธรรมที่เคยฟังว่า นี่เป็นมาแต่โบราณ และเมื่อพระเจ้าทรงงาน ซาตานก็จะเข้ามาก้าวก่าย ฉันเข้าใจว่าการข่มเหงนี้คือการก่อกวนของซาตาน ดังนั้นยิ่งถูกข่มเหง ฉันก็ยิ่งอยากติดตามพระองค์ และเลี่ยงอุบายของซาตาน
ต่อมา พี่น้องชายหญิงก็แบ่งปันพระวจนะว่า “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) ด้วยการอ่านพระวจนะ ฉันเข้าใจว่า นี่คือการสู้รบทางจิตวิญญาณ เมื่อพระเจ้าช่วยใครให้รอด ซาตานก็ก่อกวนและขัดขวางพวกเขา เต็มที่ และลากพวกเขาลงสู่นรกไปกับมัน สิ่งที่เกิดขึ้นวันนั้น ภายนอกคือน้องชายกับน้องสะใภ้กำลังขัดขวางฉัน แต่ที่จริงเป็นการก่อกวนของซาตาน ฉันเคยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกเขา และเดิมน้องชายก็ฟังฉัน แต่พอพวกเขาฟังข่าวลือต่างๆ ของพรรค พวกเขาก็เปลี่ยนไปเป็นคนละคน พวกเขาใช้อุบายทุกแบบเพื่อให้ฉันไปจากพระเจ้า พวกเขาพูดจนฉันกลัวจับใจ ฉันเชื่อในพระเจ้าในไทย และพวกเขาอยากควบคุมฉัน ถ้าฉันอยู่ในประเทศจีน พวกเขาคงส่งฉันเข้าคุกแล้ว ฉันเห็นว่าซาตานชั่วร้ายจริงๆ และฉันไม่ได้เดินบนทางเดียวกับพวกเขา ผิวเผินพวกเขาเป็นญาติ แต่วิญญาณพวกเราเทียบกันไม่ได้ เราไม่มีภาษาร่วมกัน ไม่ใช่คนแบบเดียวกัน และระหว่างเราไม่เหลือความรักที่เคยมีให้แก่กันและกันเลย ค่ำนั้น ฉันดูวิดีโอคำพยานเรื่องหนึ่ง เกี่ยวกับพี่น้องชายหญิงที่ถูกพรรคทรมาน ไม่ว่าเนื้อหนังพวกเขาทุกข์แค่ไหน ก็ติดตามพระเจ้าอย่างเด็ดเดี่ยว ผ่านการอธิษฐาน และการนำทางจากพระวจนะ พวกเขาก็เอาชนะความอ่อนแอของเนื้อหนังได้ บางคนถึงกับยอมสิ้นชีวิตเพื่อตั้งมั่นในคำพยาน ประสบการณ์ของพวกเขาดลใจฉัน แม้จะเจอความเจ็บปวด พวกเขาก็รักษาการเชื่อในพระเจ้าไว้ได้ และไม่โอนอ่อนให้ซาตาน การข่มเหงที่ฉันเจอเทียบกันไม่ได้เลย เรื่องนี้ ให้ความเชื่อแก่ฉันเพื่อเผชิญอะไรก็ตามที่อาจเกิดขึ้นต่อไปค่ะ
พอพวกเขาไม่สามารถโน้มน้าวฉันได้ พวกเขาก็ยุยงให้สามีมาห้ามฉัน บอกว่าถ้าฉันเชื่อ ฉันจะไม่ต้องการลูก หรือครอบครัว ศิษยาภิบาลก็แพร่คำให้ร้ายผิดๆ เพื่อหลอกลวงสามีฉัน บอกว่าฉันเชื่อในตัวบุคคล พอสามีฉันได้ฟัง เขาก็ต่อต้านฉันตามพวกเขา ถ้าเขาเห็นฉันเข้าร่วมการชุมนุมออนไลน์ หรือเช้าชมเว็บไซต์คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เขามักจะถอดสายเคเบิลเน็ตเวิร์กที่บ้าน แล้วก็ปิดประตู ไม่ให้ฉันเข้าห้อง เขาทำทุกอย่างเพื่อก่อกวนฉัน และขัดขวางไม่ให้ฉันเข้าร่วมชุมนุม หรืออ่านพระวจนะ ฉันรู้ว่านี่คือการแทรงแซงของซาตาน ฉันจึงอ่อนข้อไม่ได้ พอสามีขัดขวางฉันไม่ได้ ก็พูดว่า “ถ้าคุณเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ต่อไป เราจะไปหย่ากัน! คุณต้องออกไปจากบ้าน ตัดสินใจซะวันนี้เลย!” ฉันพูดว่า “ถ้าฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันคงหย่ากับคุณนานแล้ว ก่อนหน้านี้คุณไปมีผู้หญิงอื่น แต่ฉันก็ไม่ว่าอะไรเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า การเชื่อในพระเจ้าไม่ผิด แล้วทำไมคุณถึงมาห้ามฉัน? ถ้าคุณอยากหย่ากับฉันแล้วไล่ฉันไป ฉันก็ไม่มีทางเลือก ต่อให้ฉันต้องออกจากบ้านนี้ ฉันก็จะเชื่อในพระเจ้า!” ดังนั้น ฉันจึงเก็บเสื้อผ้าและไปบ้านเพื่อน ตอนนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป พอฉันคิดถึงลูกน้อย ฉันก็ลังเลที่จะออกมา แล้วก็ ฉันติดต่อพี่น้องชายหญิงเพื่อบอกถึงสภาวะของฉัน และมีพี่สาวส่งพระวจนะมาบทตอนหนึ่ง “ตลอดครรลองแห่งการทรงพระราชกิจของพระองค์ นับตั้งแต่ปฐมกาลเป็นต้นมา พระเจ้าได้ทรงกำหนดบททดสอบสำหรับทุกบุคคลไว้แล้ว—หรือเจ้าสามารถพูดได้ว่าทุกบุคคลที่ติดตามพระองค์—และการทดสอบเหล่านี้มาในขนาดอันหลากหลาย มีพวกที่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแห่งการถูกครอบครัวของพวกเขาปฏิเสธ พวกที่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแห่งสิ่งแวดล้อมอันทุกข์ยาก พวกที่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแห่งการถูกจับกุมและถูกทรมาน พวกที่ได้รับประสบการณ์กับการทดสอบแห่งการต้องเผชิญหน้ากับตัวเลือกทั้งหลาย และพวกที่ได้เผชิญหน้ากับการทดสอบแห่งเงินตราและสถานะ กล่าวโดยทั่วไปแล้ว พวกเจ้าแต่ละคนได้เผชิญหน้ากับการทดสอบทุกลักษณะแล้ว เหตุใดพระเจ้าจึงทรงพระราชกิจเช่นนี้? เหตุใดพระองค์ทรงปฏิบัติต่อทุกคนเยี่ยงนี้? ผลลัพธ์จำพวกใดที่พระองค์ทรงแสวงหา? นี่คือประเด็นที่เราปรารถนาที่จะสื่อสารกับพวกเจ้า นั่นคือ พระเจ้าทรงต้องประสงค์ดูว่าบุคคลผู้นี้เป็นชนิดที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่ สิ่งนี้หมายความว่าเมื่อพระเจ้ากำลังทรงให้การทดสอบแก่เจ้า และให้เจ้าเผชิญหน้ากับรูปการณ์แวดล้อมอย่างใดอย่างหนึ่ง เจตนารมณ์ของพระองค์คือเพื่อทดสอบว่าเจ้าเป็นบุคคลที่ยำเกรงพระองค์และหลบเลี่ยงความชั่วหรือไม่” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, วิธีรู้จักพระอุปนิสัยของพระเจ้าและผลลัพธ์ที่พระราชกิจของพระองค์จะสัมฤทธิ์) หลังอ่านพระวจนะ ฉันก็เข้าใจ การข่มเหงที่ฉันเผชิญจากครอบครัว ก็เป็นบททดสอบสำหรับฉัน เพื่อดูว่าฉันสนองพระเจ้าหรือซาตาน ฉันตระหนักว่าฉันต้องเลือกเอาสักทาง แต่ในหัวใจของฉันก็ยังมีความหวัง ฉันยังอยากให้สามีของฉันเปลี่ยนใจ แต่แล้วสามีกับน้องสาวของฉันก็หาฉันเจอ และผลัดกันพูดว่า “คุณต้องเลิกเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นะ ไม่เห็นหรือ? คุณไม่ต้องการลูกกับครอบครัวแล้วด้วยซ้ำ!” ฉันพูดด้วยความโกรธว่า “ฉันไม่เคยพูดว่าไม่ต้องการลูกหรือครอบครัวเลย คนต่างหากข่มเหงฉัน ห้ามฉันเชื่อในพระเจ้า และถึงกับขู่ว่าจะหย่า การนับถือศาสนาอย่างเสรีสักนิดนี่ขอมากไปหรือ?” พ่อของฉัน ก็โทรมาพูดกับฉันว่า “ไหนพระเจ้า? อย่าไปเชื่อเลย กลับไปบ้านกับสามีแล้วใช้ชีวิตที่ดีเถอะ!” นี่ทำให้ฉันโกรธ จึงโต้แย้งพวกเขาว่า “การเชื่อในพระเจ้าไม่ผิด ทำไมทุกคนถึงพยายามควบคุมหนู?” พอพ่อเห็นว่าฉันหนักแน่นเขาก็ บอกสามีฉันทางโทรศัพท์ให้มัดและตีฉัน พูดว่าพ่อรับผิดเองถ้าฉันตาย เขาเปล่าตีฉัน แต่ก็ยึดบัตรเครดิตของฉันไป จากนั้นก็ทำลายมือถือกับคอมพิวเตอร์ของฉัน จากนั้น สามีกับน้องสาวก็บังคับฉันขึ้นรถ แล้วพาฉันกลับบ้าน ตลอดทาง พวกเขานั่งประกบฉันเอาไว้ และโหดร้ายกับฉันทั้งคู่ นี่ทำให้ฉันเข้าใจว่าพี่น้องชายหญิงชาวจีนรู้สึกยังไงตอนถูกตำรวจจับ ฉันไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นครอบครัวของฉันเลย และไม่เหลือความหวังอะไรในตัวพวกเขาอีกต่อไป ฉันไม่รู้ว่าครอบครัวของฉันจะข่มเหงฉันยังไงต่อไป ฉันจึงอธิษฐานในหัวใจอย่างเงียบๆ ขอให้พระเจ้าทรงนำฉันให้เลือกทางที่ถูกต้อง พอถึงคืนนั้น ฉันก็รู้สึกเศร้ามาก ส่วนใหญ่แล้วเวลานี้ ฉันจะประกาศข่าวประเสริฐอยู่ แต่ตอนนี้ฉันทำอะไรไม่ได้เลย ตั้งแต่ครอบครัวรู้ว่าฉันเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขาก็รวมหัวกันข่มเหงฉัน เพราะน้องสะใภ้ของฉันทำงานให้รัฐบาลจีนและมีเงิน ครอบครัวของฉันจึงเชื่อฟังเธอ และเธอยุยงให้พวกเขาใช้ทุกวิถีทางเพื่อข่มเหงฉัน พวกเขายอมให้ฉันตายดีกว่าให้ฉันเชื่อในพระเจ้า ถึงจุดนี้ ฉันก็เห็นโฉมหน้าแท้จริงที่ต่อต้านพระเจ้าของพวกเขาชัดเจน พวกเขาไม่ใช่อะไรเลยนอกจากมาร ศัตรูของพระเจ้า ฉันยังนึกถึงการที่โยบเผชิญบททดสอบอันเจ็บปวด แต่เขาก็ไม่ตำหนิพระเจ้า แต่กลับอธิษฐานเงียบๆ เฉพาะพระพัตกร์และแสวงหาน้ำพระทัย ฉันจึงควรพึ่งพาพระเจ้าเพื่อตั้งมั่นเช่นกัน และไม่ยอมอ่อนข้อให้ซาตาน ไม่ว่าจะเจอกับอะไร
วันต่อมา สามีและพ่อของฉันพาฉันกลับไปบ้านพ่อแม่ แม่กับพี่สะใภ้กลัวฉันจะหนี ดังนั้นทันที่เจอฉัน ก็ยึดบัตรประจำตัวฉัน พวกเขาไม่เคยปล่อยให้ฉันอยู่ตามลำพัง เวลาฉัน ไปใช้ห้องน้ำ แม่ก็จะยืนเฝ้าด้านนอก ถึงกับให้หลานสาวนอนกับฉันเพื่อเฝ้าดูฉันเอาไว้ ถ้าคืนไหนฉันเปิดไฟ แม่ก็จะเคาะประตูทันทีเพื่อดูว่า ฉันทำอะไรอยู่ และให้ฉันปิดไฟนอน ที่ฉันยิ่งทนไม่ได้ก็คือ ตอนตีสามตีสี่ แม่ฉันจะทำเสียง ตะโกน เคาะประตู มันทำให้ฉันหงุดหงิดมากค่ะ ตอนกลางวัน พวกเขายิ่งคอยดูฉัน ฉันถูกห้ามคุยกับคนอื่น ไม่แม้แต่กับผู้หญิงคนที่อยู่บ้านข้างๆ และเพื่อนบ้านก็มองฉันราวกับว่าพวกเขาไม่รู้จักฉัน ทุกวัน ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากทำตามที่ครอบครัวบอก พวกเขาทำเหมือนฉันเป็นนักโทษ และเฝ้าดูฉันทุกวัน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในคุกเลย ครอบครัวทำกับฉันแบบนี้ เพราะพวกเขาฟังข่าวลือของพรรคคอมมิวนิสต์จีนและน้องสะใภ้ของฉัน พวกเขาอยากให้ฉันตัดสัมพันธ์กับพี่น้องชายหญิง และค่อยๆ หมดความเชื่อในพระเจ้า ฉันรู้สึกเศร้าทุกวัน ฉันคิดถึงการเข้าร่วมชุมนุมกับพี่น้องชายหญิงของฉัน งานของพระเจ้ากำลังจะสิ้นสุดลง แต่ฉันไม่ได้ชุมนุม อ่านพระวจนะ หรือลุล่วงหน้า นี่ฉันจะถูกขับออกหรือเปล่า? นึกแล้วฉันก็กังวลมาก ฉันต้องการแค่หนีจากสิ่งแวดล้อมนี้ และเชื่อในพระเจ้าได้ ฉันซ่อนตัวในห้องน้ำและอธิษฐาน ขอให้พระเจ้าทรงเปิดทางให้ ต่อมา พ่อแม่ก็ขอให้ฉันทำงานในสวนส้มกับพี่ชายและภรรยาของเขา ที่จับตาดูฉันได้ พี่สะใภ้ไม่เข้มงวดเรื่องความเชื่อของฉัน ดังนั้นเวลาฉันทำงาน ฉันจึงใช้มือถือของเธอเพื่อฟังพระวจนะออนไลน์ ฉันขอบคุณพระเจ้าอย่างสุดซึ่งที่ทรงเปิดหนทางให้ฉัน
ฉันนึกถึงพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ดลใจฉันเป็นพิเศษ “เมื่อได้ก้าวผ่านการทดสอบสองครั้งเหล่านี้แล้ว ประสบการณ์ที่มั่งคั่งยิ่งกว่าก็ได้เกิดขึ้นในตัวโยบ และประสบการณ์นี้ได้ทำให้เขาเป็นผู้ใหญ่และช่ำชองมากยิ่งขึ้น มันทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น และมีความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ขึ้น และมันทำให้เขามั่นใจมากยิ่งขึ้นในความชอบธรรมและความมีคุณค่าของความซื่อสัตย์ที่เขาได้ยึดมั่น การที่พระยาห์เวห์พระเจ้าทรงทดสอบโยบได้มอบความเข้าใจและสำนึกรับรู้ที่ลึกซึ้งแก่เขาเกี่ยวกับความห่วงใยมนุษย์ของพระเจ้า และเปิดโอกาสให้เขาได้สำนึกรับรู้ถึงความมีค่าของความรักจากพระเจ้า ซึ่งจากจุดนี้การคิดคำนึงและความรักที่มีต่อพระเจ้าได้ถูกเพิ่มเข้าไปในความยำเกรงพระเจ้าของเขา การทดสอบของพระยาห์เวห์พระเจ้าไม่เพียงแค่ไม่ได้แปลกแยกโยบออกจากพระองค์ แต่ยังได้นำพาหัวใจเขาให้ใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เมื่อความเจ็บปวดทางเนื้อหนังที่โยบทนฝ่าได้ไปถึงจุดสูงสุดของมัน ความห่วงใยที่เขาได้รู้สึกจากพระยาห์เวห์พระเจ้าได้ทำให้เขาไม่มีทางเลือกใดนอกจากต้องสาปแช่งวันที่เขาเกิด การประพฤติเช่นนั้นไม่ได้ถูกวางแผนระยะยาว แต่เป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติถึงการคิดคำนึงและความรักต่อพระเจ้าจากภายในหัวใจของเขา มันเป็นการเปิดเผยตามธรรมชาติที่มาจากการพิจารณาและความรักของเขาที่มีต่อพระเจ้า กล่าวคือ เนื่องจากเขาเกลียดชังตัวเขาเอง และเขาไม่เต็มใจและไม่สามารถทนที่จะทรมานพระเจ้าได้ ด้วยเหตุนี้การคิดคำนึงและความรักของเขาจึงได้มาถึงจุดที่ไม่คำนึงถึงตนเอง ณ เวลานี้ โยบได้ยกระดับการรักใคร่บูชาที่ยืนหยัดมายาวนานและการโหยหาพระเจ้าและการเฝ้าเดี่ยวต่อพระเจ้าของเขาขึ้นถึงระดับของการพิจารณาและการรัก ในเวลาเดียวกัน เขายังได้ยกระดับความเชื่อและการเชื่อฟังพระเจ้าและการยำเกรงพระเจ้าของเขาขึ้นถึงระดับของการพิจารณาและการรัก เขาไม่ยอมให้ตัวเขาเองทำสิ่งใดที่อาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดอันตรายกับพระเจ้า เขาไม่อนุญาตให้ตัวเองมีการประพฤติใดๆ ที่จะทำให้พระเจ้าทรงเจ็บปวด และไม่ยอมให้ตัวเขาเองนำความโทมนัส ความคับข้องพระทัย หรือแม้กระทั่งความไม่มีสุขมาสู่พระเจ้าเพราะเหตุผลของเขาเอง ในสายพระเนตรของพระเจ้านั้น ถึงแม้ว่าโยบจะยังคงเป็นโยบคนเดิมเหมือนเมื่อก่อน แต่ความเชื่อ การเชื่อฟัง และความยำเกรงพระเจ้าของโยบนั้นได้นำพาความพึงพอพระทัยและความชื่นชมยินดีอันครบบริบูรณ์มาให้พระเจ้า ในเวลานั้น โยบได้บรรลุถึงความเพียบพร้อมที่พระเจ้าได้ทรงคาดหวังให้เขาบรรลุแล้ว เขาได้กลายเป็นใครบางคนที่มีค่าคู่ควรอย่างแท้จริงแก่การเรียกว่า ‘ดีพร้อมและเที่ยงธรรม’ ในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้ว” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) โยบเผชิญการทดลองและการโจมตีของซาตาน ลูกๆ และทรัพย์สิน ถูกริบเอาไปทั้งหมด เขามีตุ่มฝีปกคลุมทั่วตัว เจ็บปวดแทบเกินทน แต่เพราะเขายำเกรงพระเจ้า จึงไม่พูดหรือทำตามใจ แต่เขากลับมาเฉพาะพระพักตร์ก่อนเพื่ออธิษฐาน และแสวงหาน้ำพระทัย เขาตระหนักว่าพระทัยพระเจ้าอยู่กับเขาในความทุกข์นั้น และรู้สึกถึงความใส่พระทัยต่อผู้คน โยบไม่อาจทนปล่อยให้พระเจ้าทรงทุกข์ได้ เขาจึงเลือกสาปแช่งวันที่เขาเกิดมากกว่าโทษพระเจ้า สุดท้ายเขาก็ตั้งมัน และกล่าวถ้อยคำหลู่เกียรติซาตาน “พระยาห์เวห์ประทาน และพระยาห์เวห์ทรงเอาไปเสีย สาธุการแด่พระนามพระยาห์เวห์” (โยบ 1:21) ไม่ว่าเพื่อนๆ และภรรยาจะล้อเลียนโยบแค่ไหน โยบก็ยังรักษาความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้า และคำพยานของเขาทำให้ซาตานอับอาย และไม่อาจกล่าวหาเขาได้อีก ฉันตระหนักว่าในประสบการณ์ ฉันไม่พึ่งพาพระเจ้าเพื่อมองทะลุแผนร้ายของซาตาน หรือแสวงหาพระเจตนารมณ์อันดีในสภาพแวดล้อมนี้ ฉันกลับต่อต้าน พร่ำบ่น ปล่อยให้ซาตานเยาะเย้ย ขณะที่ฉันใคร่ครวญพระวจนะ ฉันอธิษฐานต่อพระเจ้า และความเชื่อก็เติบโตภายใน ไม่ว่าฉันจะเผชิญสภาพแวดล้อมอะไรต่อไป ฉันก็จะเลียนแบบโยบ ตั้งมันในคำพยาน และหลู่เกียรติซาตาน
ทุกวันฉันไปทำงานในสวนกับพี่ชายและพี่สะใภ้ การได้เห็นความรักระหว่างพวกเขา เข้าออกบ้านพร้อมกัน ฉันก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาพวกเขา ทำไมฉันถึงไม่สามารถมีชีวิตครอบครัวที่ปกติได้? พอคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกอยากประนีประนอม โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาทำมื้อค่ำ และฉันเห็นครอบครัวพี่มีความสุขพร้อมหน้า ในขณะที่ฉันลำพังตัวคนเดียว หัวใจฉันอ่อนแอ และฉันไม่อาจกลั้นน้ำตาเอาไว้ได้ ฉันตระหนักว่าฉันคำนึงถึงเนื้อหนัง คิดว่าพระเจ้าเสด็จมาในยุคสุดท้าย และแสดงความจริงเพื่อช่วยผู้คนให้รอด นี่เป็นเวลาสำคัญที่จะไล่ตามตามความจริง แต่สามีบังคับให้ฉันเลิกเชื่อในพระเจ้า เราไม่มีอะไรเหมือนกันเลย ตอนอยู่ด้วยกันก็ไม่มีความสุข พอคิดแบบนี้ ฉันก็ไม่รู้สึกเศร้าโศกมากเท่าเดิม ฉันยืมมือถือจากพี่สะใภ้ และฟังเพลงสรรเสริญอย่างเงียบๆ “เจ้าควรละทิ้งทั้งหมดเพื่อความจริง” เริ่มเล่น
1 เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม
2 เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น หากเจ้าดำเนินชีวิตที่ช่างหยาบช้าสามานย์เช่นนั้น และไม่เสาะหาวัตถุประสงค์ใดๆ เจ้าไม่ได้ทิ้งชีวิตไปอย่างสูญเปล่าหรอกหรือ? เจ้าสามารถได้รับอะไรบ้างจากชีวิตเช่นนั้น? เจ้าควรละทิ้งความชื่นชมยินดีทั้งหมดของเนื้อหนังเพื่อเห็นแก่ความจริงหนึ่งประการ และไม่ควรโยนความจริงทั้งหมดทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีเพียงเล็กน้อย ผู้คนเช่นนี้ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตหรือศักดิ์ศรีเลย การดำรงอยู่ของพวกเขาช่างปราศจากความหมาย!
—ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ
ขอบคุณพระเจ้า ที่ให้ฉันได้ฟังเพลงนี้ในชั่วขณะนี้ ฉันไม่อาจเลิกไล่ตามความจริงเพื่อให้เนื้อหนังสำราญเพียงเล็กน้อยได้ พระเจ้ากำลังทรงงานพิพากษาในยุคสุดท้าย เพื่อสิ้นสุดยุคนี้โดยสมบูรณ์ ถ้าเราไม่ได้รับความจริง เราจะเสียโอกาสถูกช่วยให้รอด และสุดท้ายจะร่วงสู่ความวิบัติและถูกทำลาย ครอบครัวแสนสุขจะมีความหมายอะไร? เป็นเรื่องชั่วคราวไม่ใช่หรือ? ไม่มีอะไรสูญเสียเท่าไม่ได้รับความจริงอีกแล้ว พอคิดแบบนี้ ฉันก็รู้สึกโล่งใจมาก ราวกับว่าฉันได้พบพระพักตร์ของพระเจ้า ฉันรู้สึกเบิกบานและมั่นคงในหัวใจ และไม่รู้สึกโดดเดี่ยวอีกแล้ว
หลังจากอยู่บ้านพ่อแม่นานสามสัปดาห์ วันหนึ่ง ฉันหนีออกมาตอนครอบครัวไม่ทันเห็น แล้วไปพักในโรงแรม แต่พี่ชายกับหลานชายของฉันก็มาเจอฉันอย่างรวดเร็ว และพาฉันกลับไป จากนั้น พ่อแม่ฉันก็ตามคนทั้งหมู่บ้านมาที่บ้านของเรา และขอให้พวกเขาช่วยเฝ้าดูฉัน และถ้าใครพบว่าฉันหนีออกไป ก็ให้จับฉันเอาไว้ สามีฉันมาพร้อมลูกชายวัยห้าขวบของเรา เพื่อขอให้ฉันเลิกเชื่อและกลับบ้านกับเขา ลูกชายไม่กล้าเข้าใกล้ฉัน พอฉันถามว่าทำไม เขาพูดว่า “พ่อบอกว่าแม่สติฟั่นเฟือน และอาจจะฆ่าผม” พอได้ยินฉันก็โกรธมาก ไม่อยากเชื่อว่าเขาจะสอนเรื่องแบบนี้กับเด็ก หลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของฉันกับลูกชายก็ไม่ปกติ ตอนนั้น ลูกจะกล้าคุยกับฉัน ก็เมื่อฉันซื้อลูกกวาดให้เขา ฉันรู้สึกเศร้าโศกมาก และอยากให้ครอบเลิกบังคับฉันเสียที แต่ฉันตระหนักว่านี่เป็นเรื่องที่ผิด พวกเขาล้วนเกลียดชังพระเจ้า และจะไม่มีวันเปลี่ยน สามียังพยายามโน้มน้าวฉัน และพ่อแม่ของฉันก็ยังคงขอให้ฉันเลิกเชื่อ ฉันพูดว่า “ฉันเลิกเชื่อในพระเจ้าไม่ได้หรอก” พอเขาเห็นว่าฉันยังคงแน่วแน่ สามีก็พาลูกของเรากลับบ้าน
เช้าวันหนึ่งในสัปดาห์ต่อมา พี่ชายฉันกลับมาจากนอกเมือง พร้อมเสื้อผ้าของฉันชุดหนึ่งในมือ เขาพูดว่า “รุ่งเช้าวันนี้พี่ไปหาหมอผีเพื่อชำระล้างเธอให้บริสุทธิ์” จากนั้น พ่อก็ออกมาจากห้อง แล้วสั่งให้ฉันรีบสวมชุดนั้นโดยที่พ่อพูดว่า “ถ้าลูกสวมชุดนี้ จะได้รับการรักษา” ฉันพูดว่า “ไม่สวมหรอก หนูไม่ได้ถูกผีสิง และไม่ได้ป่วยด้วย หนูเชื่อในพระเจ้าองค์หนึ่งเดียว” พอพ่อเห็นว่าฉันไม่ยอมรับ “การรักษา” ของพวกเขา ก็บังคับให้ฉันนั่งบนเก้าอี้ พ่อถือท่อนไม้หนาเท่าปลายแขนของฉัน ถลึงตาพูดว่า “ในเมื่อแก้ไม่เชื่อฟัง มาดูซิว่าฉันจะสอนบทเรียน ให้แกได้ไหมวันนี้! ฉันไม่เคยตีแกมาก่อนเลย แต่วันนี้ฉันจะให้แกเห็นว่าพอฉันตีจะเป็นยังไง และฉันจะตีแกจนถ้าไม่ตาย แกก็เลิกเชื่อในพระเจ้า!” ฉันไม่เคยเห็นพ่อของฉันโกรธมากขนาดนั้นมาก่อน ฉันกลัวว่าจะถูกตี และไม้ก็หนามาก จนมันอาจจะ ทำให้กระดูกของฉันหักก็ได้ ตอนที่พ่อบอกให้ฉันเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า ว่าไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ฉันจะยอมให้ซาตานไม่ได้ ฉันนึกถึงการที่ซาตานทดลองและโจมตีโยบซ้ำๆ และโยบก็ยังคงซื่อสัตย์ ตั้งมั่นในคำพยานของเขา และสุดท้ายซาตานก็อับอาย และปล่อยเขาไป แม้ว่าฉันจะด้อยกว่าโยบมากนัก ฉันก็รู้ว่า ซาตานกำลังโจมตีฉันเช่นกัน ทำลายความเชื่อในพระเจ้าของฉันทีละน้อย จนฉันท้อถอยและผิดหวังในพระเจ้า และทรยศพระองค์ ฉันจะหลงอุบายของซาตานไม่ได้ ดังนั้น ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าและสาบานว่า “พระเจ้า ต่อให้ข้าฯ ต้องตาย ก็จะไม่โอนอ่อนให้ซาตาน ข้าฯ จะไม่เลิกเชื่อ และจะตั้งมั่นในคำพยาน” หลังอธิษฐาน ฉันก็ไม่กลัวอีก และเดิมพันทุกอย่าง ตอนนั้น เพลงสรรเสริญท่อนหนึ่งผุดขึ้นมาในใจฉันอย่างชัดเจนว่า “ฉันต้องไม่ทอดทิ้งความพึงปรารถนาของฉันและความแน่วแน่ของฉัน การยอมแพ้ย่อมจะเทียบเท่ากับการประนีประนอมกับซาตาน เทียบเท่ากับการทำให้ตัวเองย่อยยับ และเทียบเท่ากับการทรยศพระเจ้า” (“ปณิธานที่จำเป็นในการไล่ตามเสาะหาความจริง” ใน ติดตามพระเมษโปดกและขับร้องบทเพลงใหม่ๆ) พระวจนะท่อนนี้ให้ความมั่นใจและความแข็งแกร่งแก่ฉัน ฉันจะไม่ประนีประนอมกับซาตาน ตอนนั้น พ่อถือท่อนไม้ตรงมาหา และกำลังจะตีฉัน พ่อดูเหมือนมารไม่มีผิดเลยค่ะ แต่ว่าฉันไม่กลัวเลยแม้แต่นิดเดียว ตอนนั้น สามีกับแม่ของฉันเพิ่งกลับมาจากในสวน แม่กระโดดเข้ามาขวางระหว่างฉันกับพ่อ แล้วหว่านล้อมให้ฉันเลิกเชื่อ ฉันพูดว่า “การเชื่อในพระเจ้าไม่ใช่โจรขโมย และหนูไม่ทำลายครอบครัวของคนอื่น หนูก็แค่ไปชุมนุม หนูทำผิดอะไรถึงทำให้พ่ออยากตีหนูจนตาย? พ่อยังเป็นครอบครัวหนูหรือเปล่า?” หลานชายฉันหยันฉันว่า “อา ดูคนที่มีรถมีเงินสิ อาเชื่อในพระเจ้า แต่พระเจ้าของอาให้อะไรอาบ้าง?” ฉันพูดว่า “ของพวกนั้นจะมีประโยชน์อะไร? สิ่งเหล่านี้จะช่วยผู้คนให้รอดในความวิบัติได้ไหม? พระเจ้าเท่านั้นที่ช่วยผู้คนให้รอดได้ ถ้าเธออยากไล่ตามสิ่งเหล่านั้น อาจะไม่ห้ามหรอก อาเชื่อในพระเจ้า แล้วทำไมมาก้าวก่ายเรื่องของอาล่ะ?” เขาพูดด้วยความโกรธว่า “ถ้าอาไม่เลิกเชื่อในพระเจ้า ก็โทษเราที่ไม่ปรานีอาไม่ได้นะ เราจะจับอาแขวนไว้สามวันสามคืน ดูซิว่าจะยังเชื่อไหม!” จากนั้นทั้งครอบครัวก็จับฉันแขวนไว้ ไม่ปล่อยให้ฉันลงจนกว่าฉันจะเลิกเชื่อในพระเจ้า ฉันเดือดดาลมาก นี่จะเป็นครอบครัวของฉันได้ยังไง? เป็นแค่มารทั้งนั้น ตอนนั้น ฉันรู้สึกกลัวอยู่เล็กน้อย จึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอให้พระองค์ทรงนำ จากนั้น สามีโน้มน้าวฉันว่า “ผมเชื่อในองค์พระเยซูเจ้าก็แค่นั้น ทำไมคุณถึงจริงจังนัก เลิกเชื่อเถอะ” ฉันพูดว่า “ถ้าไม่ยอมรับว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาช่วยคุณให้รอด ฉันก็ไม่บังคับคุณ ดังนั้นเลิกบังคับฉันเสียที ฉันจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!” หลังจากฉันประกาศอย่างหนักแน่นกับครอบครัว พวกเขาก็ตกอยู่ในความเงียบ และฉันรู้ว่าซาตานพ่ายแพ้แล้ว ฉันรู้สึกถึงความหวานชื่นในหัวใจที่ฉันไม่เคยรู้สึกมาก่อน และไม่คิดสิ่งอื่นใดนอกจากขอบคุณพระเจ้า!
จากนั้น ครอบครัวก็ยังกักตัวฉันไว้ที่บ้าน แต่ฉันไม่รู้สึกเศร้าโศกอีกแล้ว และพร้อมจะเชื่อฟังและเรียนรู้บทเรียนในสภาพแวดล้อมนี้ ปกติ เวลาพวกเขาไม่ทันสังเกต ฉันจะเอามือถือของพี่สะใภ้มาฟังพระวจนะประจำวันออนไลน์ ฉันอธิษฐานบ่อยๆ และเต็มใจจะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ฉันจะได้ออกไปเมื่อไหร่ขึ้นอยู่กับพระเจ้า และฉันเต็มใจรอ อย่างช้าๆ ครอบครัวก็จับตาดูฉันน้อยลง มีครั้งหนึ่ง ครอบครัวหนึ่งในหมู่บ้านจัดงานแต่งงาน และทั้งครอบครัวของฉันก็ไปร่วมงาน ฉันใช้โอกาสนั้นหนีออกมา จากนั้น ฉันติดต่อพี่น้องชายหญิง และออกจากบ้านเกิด ตอนนี้ ในที่สุดฉันก็เชื่อในพระเจ้าและทำหน้าที่ได้อย่างอิสระ ระหว่างช่วงนี้ ฉันประสบการข่มเหงจากครอบครัวของฉัน และแม้ว่าฉันจะเป็นทุกข์เล็กน้อย ฉันก็ได้รับมากมาย ฉันเห็นความชั่วของพรรคฯ และแก่นแท้ของครอบครัวฉันที่ต่อต้านพระเจ้าได้ชัดเจนมากขึ้น และฉันได้รับประสบการณ์ที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างและค้ำชูฉัน ทุกครั้งที่ฉันคิดลบและอ่อนแอ พระเจ้าทรงใช้พระวจนะเพื่อให้ความรู้แจ้ง ทรงนำ และประทานความกล้าหาญและปัญหาแก่ฉัน เพื่อให้ฉันมีความมั่นใจที่จะตั้งมั่น ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ