ใครมอบอิสรภาพให้ฉัน
ตอนแรกที่ตัดสินใจมาเชื่อ สามีฉันบอกว่า การมีความเชื่อนั้นยอดเยี่ยม บางครั้งเขาก็ไปร่วมชุมนุมกับฉันด้วย แล้ววันที่ 28 พฤษภาคมปี 2014 พรรคคอมมิวนิสต์ ก็กุข่าวเรื่องคดีจ้าวหยวนใส่ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทั้งทีวี วิทยุ และหนังสือพิมพ์ มีข่าวลือพวกนี้อยู่เต็มไปหมด มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายมาก พี่น้องชายหญิงหลายคนถูกตำรวจจับ บ่ายวันหนึ่ง ฉันกลับมาจากการชุมนุม สามีฉันพูดด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายว่า “กลับมาแล้วเหรอ! คุณถูกรายงานเรื่องเชื่อในพระเจ้าน่ะ!” หัวใจฉันหล่นวูบลงทันที และถามเขาว่า “คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง” เขาเบาเสียงลง แล้วพูดว่า “เช้าวันนี้ หัวหน้าแผนกของผม กับคณะกรรมการสอบวินัยเรียกผมเข้าพบ ด้วยเรื่องเกี่ยวกับศาสนาของคุณล้วนๆ พวกเขาบอกว่า คณะกรรมการกลางกำหนดให้คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เป็น ‘ลัทธิ’ มานานแล้ว ตอนนี้กำลังปราบปรามกันจริงๆ ทั่วทั้งประเทศ กำลังมีการค้นหาผู้เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ตามโรงงานและธุรกิจในเมือง รวมถึงบ้านคน ใครที่เป็นผู้เชื่อ จะถูกขับไล่ แถมบอกว่า ไม่อนุญาตให้สมาชิกพรรคมีศาสนา และถ้าเจอว่าเชื่อ จะถูกไล่ออกจากราชการ ลูกจะไม่ได้เข้ามหาวิทยาลัย โรงเรียนทหาร หรือรับราชการ” เขาบอกว่าคุณจ้าว เพื่อนร่วมงานของเขาเป็นผู้เชื่อ ไม่ใช่แค่เธอถูกไล่ออก แต่สามียังถูกเตะออกจากราชการด้วย ขนาดตอนสอบเข้ามหาวิทยาลัยลูกชายพวกเขาได้คะแนนดีมาก แต่ทางนั้นก็ไม่รับเข้าเรียน สามีฉันบอกว่า ถ้ายังเชื่อต่อไป มันจะทำร้ายเราทั้งครอบครัว แล้วเขาก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะพูดอย่างจริงจังมากๆ ว่า “ผมคิดเรื่องนี้มานานแล้ว การเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไม่ดีต่อเราเลย ผมเลยตัดสินใจเลิกเชื่อ เพราะเห็นแก่ครอบครัว ถ้าคุณยังเชื่อต่อไป ก็ปฏิบัติอยู่แค่ที่บ้าน อย่าปฏิบัตินอกบ้าน ถ้าคุณถูกรายงานเรื่องเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์อีก ทั้งครอบครัวเราจะเดือดร้อนไปกับคุณด้วย” บอกตามตรงว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมายมากค่ะ ทีแรกฉันก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ฉันค่อนข้างกังวลใจจริงๆ ฉันคิดว่า ทีท่าของเขาในเรื่องนี้ คือเป็นคำขาดจากเขา และเพราะกลัวคำขู่จากพรรค เขาเลยไม่กล้าเชื่ออีกต่อไป เขาไม่อยากให้ฉันเชื่อ หรือทำหน้าที่ต่อไปแล้วด้วย แต่ฉันไม่เชื่อในพระเจ้าไม่ได้ ฉันแน่ใจ ว่านี่คือหนทางที่แท้จริง พระเจ้าปรากฏและทรงงาน แสดงความจริงเพื่อชำระและช่วยมนุษย์ ฉันก็ต้องเชื่ออย่างแน่นอน แต่ฉันก็คิดว่า มีคนเอาไปแจ้งตำรวจแล้ว แถมสามีก็ไม่สนับสนุน ถ้ายังทำหน้าที่ต่อไป ฉันต้องเผชิญกับอุปสรรคแน่ เกิดถูกจับขึ้นมา ครอบครัวคงติดร่างแหไปด้วย ฉันคิดว่าจะเลิกไปชุมนุมและทำหน้าที่ จะปฏิบัติอยู่แค่ที่บ้าน แบบนั้น น่าจะปลอดภัยกับเรามากกว่า บางทีมันอาจจะช่วยครอบครัวของฉันไว้ได้ แต่ความคิดนั้น ทำให้ฉันรู้สึกผิดมากเหลือเกิน ผู้เชื่อใหม่บางคน หลงเชื่อข่าวลือและคำโกหกที่เผยแพร่โดยพรรคคอมมิวนิสต์ เราต้องสามัคคีธรรมตามความจริง เพื่อช่วยและสนับสนุนพวกเขา ถ้าไม่ออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันจะไม่เป็นพวกทหารหนีทัพเหรอ นั่นไม่สอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า ฉันไม่อาจเพิกเฉยต่อมโนธรรมได้ แล้วฉันก็นึกขึ้นได้ ว่าสิ่งต่างๆ ไม่ได้ง่ายอย่างที่ฉันเคยคิดเลยจริงๆ ฉันจะผลีผลามไม่ได้ ฉันไปคุยกับพี่หลี่ที่เป็นผู้นำ เพื่อแสวงหา
ฉันคิดไปมาอยู่หลายตลบตลอดทาง สามีฉันเคยพูดว่า “ความเชื่อเป็นเรื่องดี” แถมยังสนับสนุนฉันให้ทำหน้าที่ แต่จู่ๆ เขาก็ยอมฟังหัวหน้าและเลิกเชื่อไป แถมยังไม่อยากให้ฉันเชื่อด้วย เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ปุบปับมาก หลังจากคิดอยู่หลายตลบ ฉันก็ตระหนักว่า เขากลัวจะกระทบกับชีวิตและตำแหน่งของเขา มันเป็นการเอาตัวรอด เรื่องที่เกิดขึ้น ทำฉันไม่สบายใจจริงๆ และคิดว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ การเชื่อและนมัสการพระเจ้าย่อมเป็นเรื่องถูกต้องและธรรมชาติ ทำไมทางพรรคไม่ปล่อยให้ผู้คนมีความเชื่อล่ะ ทำไมความเชื่อถึงสร้างปัญหาต่ออนาคตของทั้งครอบครัวได้ รัฐธรรมนูญแห่งชาติ รับประกันเสรีภาพทางการเชื่อของทุกคนไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมพรรคถึงปราบปรามเหล่าผู้เชื่ออย่างบ้าคลั่งล่ะ” ฉันรู้สึก สับสนไปหมดเลยค่ะ พี่หลี่ให้ฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่ง “ในสังคมมืดเช่นสังคมแห่งนี้ ที่ซึ่งพวกปีศาจไร้ความปรานีและไร้มนุษยธรรม ราชาแห่งพวกมารที่ฆ่าผู้คนโดยไม่แสดงความรู้สึกใดจะสามารถทนยอมรับการดำรงอยู่ของพระเจ้าผู้ทรงดีงาม ทรงเมตตาและยังทรงบริสุทธิ์อีกด้วยได้อย่างไร? มันจะสามารถปรบมือและแซ่ซ้องการเสด็จมาถึงของพระเจ้าได้อย่างไร? ข้ารับใช้พวกนี้! พวกมันตอบแทนความเมตตาด้วยความเกลียดชัง พวกมันได้ดูถูกเหยียดหยามพระเจ้ามานานแล้ว พวกมันหยามเหยียดพระเจ้า พวกมันป่าเถื่อนสุดขีด พวกมันไม่มีการคำนึงถึงพระเจ้าแม้แต่น้อย พวกมันจี้ปล้นและช่วงชิง พวกมันได้สูญเสียมโนธรรมทั้งหมด พวกมันต่อต้านมโนธรรมทั้งหมด และพวกมันทดลองผู้บริสุทธิ์ใจให้เข้าสู่ความสิ้นสำนึกรับรู้ เหล่าบรรพบุรุษแต่โบราณกาลหรือ? บรรดาผู้นำผู้เป็นที่รักหรือ? พวกเขาทั้งหมดต่อต้านพระเจ้า! การก้าวก่ายของพวกเขาได้ทำให้ทุกอย่างภายใต้ฟ้าสวรรค์อยู่ในสภาวะแห่งความมืดและความวุ่นวาย! เสรีภาพทางศาสนาหรือ? สิทธิและผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมายของพลเมืองทั้งหลายหรือ? สิ่งเหล่านั้นทั้งหมดเป็นเพทุบายเพื่อปิดบังบาป!…เหตุใดจึงสร้างอุปสรรคที่ไม่อาจเจาะผ่านเข้าไปได้เช่นนั้นให้กับพระราชกิจของพระเจ้า? เหตุใดจึงใช้เพทุบายต่างๆ นานาเพื่อหลอกลวงคนของพระเจ้า? ไหนเล่าอิสรภาพที่แท้จริงและสิทธิ์กับผลประโยชน์อันชอบด้วยกฎหมาย? ไหนเล่าความเป็นธรรม? ไหนเล่าความชูใจ? ไหนเล่าความอบอุ่น? เหตุใดจึงใช้กลอุบายที่หลอกลวงเพื่อล่อหลอกประชากรของพระเจ้า? เหตุใดจึงใช้กำลังบังคับเพื่อปราบปรามการเสด็จมาของพระเจ้า? เหตุใดจึงไม่ยอมให้พระเจ้าทรงท่องไปอย่างอิสระบนแผ่นดินโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น? เหตุใดจึงไล่ล่าพระเจ้าจนกระทั่งพระองค์ไม่มีที่ใดให้พักพระเศียร? ไหนเล่าความอบอุ่นท่ามกลางมนุษย์ทั้งหลาย? ไหนเล่าการต้อนรับท่ามกลางผู้คน? เหตุใดจึงก่อให้เกิดการโหยหาที่ท้อแท้สิ้นหวังในพระเจ้าเช่นนั้น? เหตุใดจึงทำให้พระเจ้าทรงร้องเรียกครั้งแล้วครั้งเล่า? เหตุใดจึงบังคับให้พระเจ้าทรงกังวลถึงพระบุตรผู้เป็นที่รักของพระองค์? ในสังคมมืดนี้ เหตุใดพวกสุนัขเฝ้าบ้านที่อยู่ในสภาพน่าสงสารของมันจึงไม่ยอมให้พระเจ้าเสด็จไปมาอย่างอิสระท่ามกลางโลกที่พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้น?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, งานและการเข้าสู่ (8)) หลังอ่านพระวจนะ พี่หลี่ก็สามัคคีธรรมว่า “พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เสด็จมาในยุคสุดท้าย เพื่อทรงแสดงความจริง เพื่อชำระมวลมนุษย์ให้บริสุทธิ์และช่วยให้รอด ผู้เชื่อแท้จริงหลายคน ได้ยินพระสุรเสียงและยอมรับพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แต่ทางพรรคกลัวว่าผู้คนจะได้รับความเชื่อและบอกปัดมัน เลยใช้ทุกกลยุทธ์เพื่อกล่าวโทษและหมิ่นประมาทคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ จับกุมและข่มเหงชาวคริสเตียนอย่างบ้าคลั่ง แถมลากคนทุกรุ่นในครอบครัวเข้ามาเอี่ยว พวกเขากุข่าวลือเพื่อหมิ่นประมาทและใส่ร้ายคริสตจักร เพื่อหลอกผู้คนให้มายืนต่อต้านพระเจ้ากับพวกเขา เพื่อบรรลุจุดมุ่งหมายอันป่าเถื่อน ของการรักษาการปกครองแบบเผด็จการไว้ พรรคนี้ คือกลุ่มปีศาจชั่ว ที่เกลียดชังและต่อต้านพระเจ้า พวกเขาอ้างกับต่างชาติว่าสนับสนุนเสรีภาพทางศาสนา แต่นั่นก็แค่คำโกหกไว้ตบตาชาวโลก ส่วนคดีจ้าวหยวน 28 พฤษภาคม ก็เป็นการสร้างคดีเท็จ เพื่อกล่าวโทษและป้ายสีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ กลยุทธ์ของพวกเขา คือการกำจัดผู้ไม่เห็นด้วย แต่ไม่ว่าจะป่าเถื่อนแค่ไหน พรรคก็เป็นเป้าแห่งการปรนนิบัติในพระหัตถ์ พระเจ้าทรงอนุญาตให้พรรคทำแบบนี้ เพื่อให้คุณได้รับปัญญาแยกแยะเรื่องพวกเขา คุณจะได้เห็นถึงแก่นแท้ที่ชั่ว และไม่หลงเชื่อพวกเขาอีกต่อไป ท้ายที่สุด คุณจะบอกปัดซาตาน และหันเข้าหาพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์ นี่คือความรอดของพระเจ้า!” คำอธิบายของพี่หลี่ ช่วยให้ฉันเข้าใจแก่นแท้แสนชั่วของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่เกลียดพระเจ้าและความจริง มันใช้อนาคตของสามีและลูกมาข่มขู่ฉัน เพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้า ฉันไม่มีวันต่อรองกับซาตานค่ะ! ไม่ว่าทางพรรคจะกดขี่ หรือสามีจะขัดขวางฉันยังไง ฉันก็ต้องมีความเชื่อและติดตามพระเจ้า และทำหน้าที่
ฉันสามัคคีธรรมคืนนั้นค่ะ แต่เขาไม่ยอมฟังเลย ถึงกับพูดว่า “ผมทำงานอยู่ในระบบนี้มาหลายปี เห็นพรรคคอมมิวนิสต์จีน กุคดีเท็จที่ไม่เป็นธรรมนับครั้งไม่ถ้วน ผมจะไม่รู้ดีกว่าคุณหรือไง แต่จีน เป็นประเทศเผด็จการ และเป็นบ้านเกิดของเรา คุณต้องทำตามนโยบายของพรรคคอมมิวนิสต์ ไม่อย่างนั้น ก็จะถูกลงโทษ ไม้ซีกไปงัดกับไม้ซุงไม่ได้หรอก ผมเคยคิดว่า ความเชื่อของคุณเป็นเรื่องดี เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนมาอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้อง ผมไม่เคยนึกเลยว่ามันจะถูกพรรคคว่ำบาตร จนทำให้คนเสียหน้าที่การงาน ถูกจับ ติดคุก หรือถึงขั้นทุบตีจนตาย ผลของมันร้ายแรงเกินไป ถ้าคุณดึงดันที่จะเชื่อ มันจะไม่ใช่แค่คุณถูกจับ ผมเองก็จะรักษางานไว้ไม่ได้ แล้วเราจะกินอะไรกัน จะดื่มอะไรกัน ลูกของเราจะไม่มีวันได้เข้ามหาวิทยาลัย รับราชการ หรือเข้าโรงเรียนทหาร คุณจะทำลายอนาคตทั้งหมดของลูก เพื่อเห็นแก่พระเจ้าของคุณจริงๆ เหรอ” การได้ยินเขาพูดเรื่องพวกนี้มันน่าโมโหจริงๆ และขณะเดียวกัน ก็ทุกข์ใจมากเหลือเกิน ถ้าฉันปฏิบัติความเชื่อต่อไป ตัวฉันเองคงถูกเลิกจ้าง งานของสามีก็คงไม่ปลอดภัย และลูกชายของเราก็จะไม่มีวันได้เข้ามหาวิทยาลัย ชีวิตครอบครัวของเรา รวมถึงอนาคตของสามีและลูกชาย ก็คงเดือดร้อนกันไปหมด มันคงจะทำลายครอบครัวของเรา และทั้งหมดก็คงเป็นความผิดของฉัน หลังจากนั้นฉันจะสู้หน้าพวกเขาได้ยังไง คืนวันนั้น ฉันนอนพลิกตัวไปมาบนเตียง หลับไม่ลงแม้แต่วินาทีเดียว ตอนนั้น ฉันอธิษฐานขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าเงียบๆ ขอให้พระองค์ทรงนำ ทรงเฝ้าดูหัวใจ และแสดงให้ฉันเห็นหนทาง
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม สิ่งใดและทุกสรรพสิ่ง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง สร้างขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงเป็นประธานเหนือทุกสรรพสิ่ง” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์) หลังอ่านพระวจนะนี้ ฉันก็รู้สึกถึงการเปิดกว้างครั้งใหญ่ในตัว ฉันรู้ว่า พระเจ้าทรงปกครองทุกสรรพสิ่ง หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ล้วนอยู่ในเงื้อมพระหัตถ์ รวมถึงชะตากรรมและอนาคตของสามีและลูกชายฉัน สามีฉันจะเสียหน้าที่การงาน หรือลูกชายจะได้เข้ามหาวิทยาลัยหรือไม่ พระเจ้าทรงเป็นผู้ชี้ขาดไม่ใช่เหรอ เรื่องนั้นไม่มีมนุษย์คนไหนจัดแจงได้ อีกอย่าง การมีความเชื่อคือการอยู่บนเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต และฉันก็ไม่เคยทำผิดกฎหมายเลยสักครั้ง ถ้าครอบครัวถูกลากเข้ามาเอี่ยวกับเรื่องทั้งหมด ก็เป็นฝีมือของพรรคคอมมิวนิสต์ มันคงเป็นเพราะความชั่วของพรรคเอง พอฉันเข้าใจเรื่องนี้แล้ว ฉันก็อธิษฐานต่อพระเจ้า วางอนาคตของสามีและลูกชายไว้ในพระหัตถ์ หลังอธิษฐาน ฉันก็รู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย จากนั้น ฉันก็พูดกับสามีด้วยความสงบว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ การเชื่อและนมัสการพระองค์เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ฉันไม่อาจเลิกเชื่อเพื่อรักษาครอบครัวได้ นั่นคงเป็นการทรยศพระเจ้า ฉันไม่อาจต่อต้าน หรือทำร้ายพระองค์ได้ คุณไม่เชื่ออีกต่อไปเพราะกลัวพรรค กลัวจะเสียหน้าที่การงาน นั่นเป็นทางเลือกของคุณ แต่ฉันมั่นใจว่า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และฉันก็เพลิดเพลินกับพระคุณ และการจัดเตรียมความจริงของพระองค์มาก ฉันไม่อาจเนรคุณและหันหลังให้พระองค์ได้ อีกอย่าง พระเจ้าทรงปกครองชะตากรรมของมวลมนุษย์ และทุกสิ่งอยู่ในพระหัตถ์ ไม่ว่าฉันจะถูกขับไล่ หรือคุณจะถูกไล่ออกไหม ไม่ว่าลูกชายของเราจะได้เข้ามหาวิทยาลัยไหม ทุกอย่างล้วนอยู่ในพระหัตถ์ ไม่มีมนุษย์คนไหนมีสิทธิ์ขาดทั้งนั้น” สามีไม่พอใจที่เห็นว่าฉันไม่ยอมทำตามที่เขาต้องการ เลยขึ้นเสียงใส่ฉันว่า “ผมไม่สนว่าคุณจะว่ายังไง คุณออกไปชุมนุมไม่ได้ ปฏิบัติความเชื่ออยู่ที่บ้านซะ” ฉันตอบไปว่า “เราจะเชื่อโดยไม่ออกไปชุมนุมได้ยังไง มีทางไหนที่จะได้รับความจริงอีก การเชื่อแค่ในนาม คือการเป็นผู้ไม่เชื่อ คุณมีสิทธิ์จัดการทุกอย่างในครอบครัวของเรา แต่ถ้าเป็นเรื่องความเชื่อ ฉันทำอย่างที่คุณพูดไม่ได้” พอเห็นว่าฉันแน่วแน่แค่ไหน เขาก็ตึงตัง ปิดประตูดังปังด้วยความโกรธ และจากไป
เย็นวันนั้นพอฉันกลับจากการชุมนุม ก็มีคนอยู่เต็มห้องนั่งเล่นของเราเลย พ่อของฉันที่อายุแปดสิบกว่าก็อยู่ด้วย คุณลุง พี่เขย พี่สาวและน้องชาย ต่างจ้องมาที่ฉันกันหมด พอพ่อเห็นฉัน ท่านก็โกรธมาก มือข้างหนึ่งเท้ากับม้านั่ง ส่วนอีกข้างชี้นิ้วมาที่ฉันแล้วพูดว่า “แกออกไปชุมนุมมาใช่ไหม แกทำแบบนั้นไปได้ยังไง ทางพรรคกำลังตามจับคริสเตียนอย่างบ้าคลั่ง! แกไม่กลัวถูกจับเหรอ เกิดถูกจับขึ้นมา จะเกิดอะไรขึ้นกับลูกชายแก ทุกคนจะอยู่ต่อไปยังไง ตั้งแต่พรุ่งนี้แกห้ามออกจากบ้าน! ฉันจะมาเฝ้าแกเอง!” ลุงของฉันดูท้อใจมาก ตอนที่ท่านถอนหายใจแล้วพูดว่า “ตอนนี้การปราบปรามชาวคริสเตียนในจีนร้ายแรงมากนะ การเชื่อต่อไปมันจะดีกับแกยังไง ถ้าแกถูกจับ ทุกคนในครอบครัวก็จะติดร่างแหไปด้วย แกทำสิ่งที่ถูกต้องเพื่อครอบครัวไม่ได้เหรอ” พี่ชายของฉันตาเบิกโพลง แล้วพูดว่า “ทางพรรคอยากกวาดล้างคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้สิ้นซาก ที่ทำงานของฉันกำลังจับตาดูความเคลื่อนไหวของพนักงานและผู้ต้องสงสัยทุกคน แกกล้าออกไปข้างนอกในช่วงเวลาแบบนี้ได้ยังไง ไม่กลัวเหรอ ไม่กลัวถูกจับหรือไง นับแต่พรุ่งนี้ไปฉันจะไม่ไปทำงาน ฉันจะอยู่ที่นี่คอยจับตาดูแก” แล้วพี่เขยก็เสริมว่า “เวลาจะทำอะไร เธอมักจะคำนึงถึงครอบครัวของเราเป็นอันดับแรก พี่นับถือเธอมาก พี่ชื่นชมความละเอียดรอบคอบของเธอมาตลอด แต่ตอนนี้เธอเหมือนเป็นอีกคนไปแล้ว ทำไมเธอไม่ฟังพวกเราเลย ถ้าไม่คิดถึงตัวเอง อย่างน้อยก็คิดถึงพวกเราบ้างเถอะ! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ มันจะกระทบกับเราทุกคนในห้องนี้ เราปล่อยให้เธอทำลายทั้งครอบครัวไม่ได้ ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป พี่จะขับรถตามเธอไปทุกที่เลย” พวกเขาพูดวกไปวนมา อย่างกับหนึ่งในการประณามสาธารณะตอนปฏิวัติวัฒนธรรม พอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ฉันเลยพูดไปอย่างเคร่งเครียดว่า “ถ้าเป็นเรื่องอื่น หนูจะฟังที่ทุกคนพูด แต่เรื่องความเชื่อหนูมีบรรทัดฐานของตัวเอง และทำอย่างที่ขอไม่ได้ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อช่วยมวลมนุษย์ให้รอด นี่คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิต คนไม่มีความเชื่อผู้ไม่ยอมรับความจริง จะลงเอยด้วยการตกลงสู่ความวิบัติครั้งใหญ่ในยุคสุดท้าย หนูแบ่งปันข่าวประเสริฐ และทุกคนก็รู้ว่าความเชื่อเป็นเรื่องดี แล้วทำไมถึงไม่เชื่อ กลับทำตามพรรค และพยายามให้หนูทรยศพระเจ้าล่ะ ทั้งหมดนี้เพื่อประโยชน์ของตัวหนูเองจริงๆ เหรอ ทุกคนแยกดีชั่ว แยกถูกผิดไม่ได้ด้วยซ้ำ เอาแต่ทำตามพรรคคอมมิวนิสต์จีนและต่อต้านพระเจ้า ถ้าไม่กลับใจ ก็จะตกนรกและถูกลงโทษไปพร้อมพวกนั้นนะคะ” ครอบครัวของฉันไม่ได้พูดอะไรอีก ทุกคนกลับไป ยกเว้นพ่อของฉัน ที่อยู่เพื่อจับตาดูฉันอย่างที่ให้คำมั่นไว้ เช้าวันรุ่งขึ้น ฉันกำลังจะปั่นจักรยานออกจากบ้าน พ่อก็มาดึงจักรยานฉันไว้ไม่ให้ออกไป พี่ชายก็เริ่มมาหาทุกวัน เพื่อดูให้แน่ใจว่าฉันไม่ได้ออกไปไหน เช้าวันหนึ่งตอนที่ฉันพยายามจะออกไป เขาคว้าม้านั่งขึ้นมาจะตีฉันเข้าที่หลัง แต่สุดท้ายเขาก็ฟาดลงกับพื้นด้วยความโกรธ จนเก้าอี้แตกเป็นสองส่วน พอเห็นครอบครัวทำตัวแบบนี้แล้ว มันน่าผิดหวังอย่างเหลือเชื่อเลย พวกเขาคือ “ผู้เป็นที่รัก” ประเภทไหน เราเคยเป็นครอบครัวใหญ่แสนสุขอย่างที่ควรจะเป็น แต่การกดขี่ของพรรคคอมมิวนิสต์ ผลักให้พวกเขาทำกับฉันเหมือนเป็นศัตรู หัวใจของฉันเริ่มอ่อนแอ พลางคิดว่า “เมื่อไหร่ช่วงเวลาที่เลวร้ายนี้จะจบลงสักที ถ้าฉันแค่เลิกออกไปชุมนุม พวกเขาก็จะไม่ทำกับฉันแบบนี้อีกต่อไป” จุดนั้นเองที่ฉันตระหนักได้ว่า ฉันหลงกลซาตานเข้าให้แล้ว ซาตานใช้ประโยชน์จากความเสน่หา เพื่อทำให้ฉันทรยศพระเจ้า ฉันรู้ว่าจะหลงกลมันไม่ได้ ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้า ขอพระองค์ทรงนำให้ฉันเข้าใจน้ำพระทัย เพื่อให้ยืนหยัดเป็นพยานแก่พระองค์ได้
ที่การชุมนุม ผู้นำเจอพระวจนะบทหนึ่งที่กล่าวถึงปัญหาของฉันเอาไว้ “เมื่อผู้คนยังไม่ได้รับการช่วยให้รอด ชีวิตของพวกเขามักถูกแทรกแซง และแม้กระทั่งถูกควบคุมโดยซาตาน กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ผู้คนที่ยังไม่ได้รับการช่วยให้รอดนั้นเป็นนักโทษของซาตาน พวกเขาไม่มีอิสรภาพ พวกเขายังไม่ถูกซาตานปล่อยตัว พวกเขาไม่มีคุณสมบัติหรือสิทธิ์ที่จะนมัสการพระเจ้า และพวกเขาถูกไล่ตามอย่างใกล้ชิดและถูกโจมตีอย่างชั่วช้าโดยซาตาน ผู้คนเช่นนั้นไม่มีความสุขให้พูดถึง พวกเขาไม่มีสิทธิ์ในการดำรงอยู่ตามปกติให้พูดถึง และยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาไม่มีศักดิ์ศรีให้พูดถึง มีเพียงเมื่อเจ้ายืนขึ้นและทำการสู้รบกับซาตาน โดยใช้ความเชื่อในพระเจ้า การเชื่อฟังและการยำเกรงพระเจ้าของเจ้าเป็นอาวุธเพื่อต่อสู้ในการสู้รบที่อาจเป็นหรือตายกับซาตาน จนกระทั่งเจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้อย่างเต็มที่และทำให้มันหันหนีและกลายเป็นตัวสั่นงันงกเมื่อใดก็ตามที่มันมองเห็นเจ้า เพื่อที่มันจะได้ละทิ้งการโจมตีและการกล่าวหาของมันที่มีต่อเจ้าโดยสิ้นเชิง—เมื่อนั้นเท่านั้นเจ้าจึงจะได้รับการช่วยให้รอดและกลายเป็นมีอิสระ หากเจ้ามุ่งมั่นที่จะตัดขาดกับซาตานอย่างเต็มที่ แต่ไม่มีพร้อมด้วยอาวุธที่จะช่วยให้เจ้าทำให้ซาตานพ่ายแพ้ เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะยังคงอยู่ในอันตราย ขณะที่เวลาผ่านไป เมื่อเจ้าถูกซาตานทรมานอย่างยิ่งจนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือในตัวเจ้าแม้แต่น้อย กระนั้นเจ้าก็ยังคงไม่สามารถเป็นคำพยานได้ ยังคงไม่ได้ปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระโดยบริบูรณ์จากการกล่าวหาและการโจมตีของซาตานที่มีต่อเจ้า เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะมีความหวังน้อยนิดในความรอด ในวาระสุดท้าย เมื่อการสรุปปิดตัวพระราชกิจของพระเจ้าได้รับการประกาศขึ้น เจ้าจะยังคงอยู่ในกำมือของซาตาน ไร้ความสามารถที่จะปล่อยตัวเจ้าเองให้เป็นอิสระ และด้วยเหตุนี้เจ้าจะไม่มีวันมีโอกาสหรือความหวัง เช่นนั้นแล้ว ความหมายก็คือว่า ผู้คนเช่นนั้นจะอยู่ในการเป็นเชลยของซาตานโดยบริบูรณ์” (พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระราชกิจของพระเจ้า พระอุปนิสัยของพระเจ้า และพระเจ้าพระองค์เอง 2) พอเธอสามัคคีธรรม ฉันก็เข้าใจว่า พรรคคอมมิวนิสต์จีนกำลังทำสุดความสามารถ ในการก่อกวนและขัดขวางงานของพระเจ้า ถึงกับใช้ข่าวลือมาตบตาครอบครัวฉัน เพื่อให้พวกเขายืนอยู่ข้างพรรค โจมตีและกดขี่ความเชื่อของฉัน มันอยากควบคุมและเปลี่ยนเส้นทางของฉัน ฉันจะได้ติดตามพระเจ้าไม่ได้ และลงเอยด้วยการถูกลงโทษในนรกไปพร้อมพวกเขา ถ้าฉันติดตามซาตาน เป็นกังวลเรื่องครอบครัว และล้มเลิกการปฏิบัติความเชื่อ ฉันคงหลงกลซาตาน ซาตานคงเอาตัวฉันไป และฉันคงเสียทุกโอกาสแห่งความรอด ข้อเท็จจริงที่ว่า ครอบครัวทำกับฉันเหมือนเป็นศัตรูเพราะฉันเชื่อในพระเจ้า แปลว่าพวกเขาคือผู้ติดตามของพญานาคใหญ่สีแดง และเป็นหุ่นเชิดของมัน ฉันปล่อยให้ซาตานชนะไม่ได้ ฉันจึงต้องพึ่งพิงพระเจ้า ยืนหยัดเป็นพยาน และเอาชนะซาตานให้ได้ หลังจากนั้น ครอบครัวก็ตัดสินใจว่าฉันน่ะกู่ไม่กลับแล้ว และคลายความตึงเครียดนั้นไป ส่วนฉันก็ทำหน้าที่ต่อไปค่ะ
ในเดือนสิงหาคมปี 2018 ฉันต้องไปทำหน้าที่ต่างเมืองค่ะ พอกลับถึงบ้าน สามีก็พูดกับฉันว่า “เสี่ยวยู่ คนที่คุณแบ่งปันข่าวประเสริฐด้วยคราวก่อน โดนหมายหัวเพราะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกตำรวจมาถามนั่นนี่ที่ทำงานผม หัวหน้าผมเลยถามว่าคุณเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวยู่หรือเปล่า ถามว่าผมรู้ไหมว่าเธออยู่ไหน สามีเสี่ยวยู่โทรมาถามผมเรื่องเธอทุกวัน บอกว่าเหตุผลที่พวกเขาต้องแตกแยก เพราะคุณไปประกาศข่าวประเสริฐ ผมกังวลเรื่องของคุณ จนนอนไม่หลับทั้งคืน ผมกลัวคุณถูกจับ แล้วจากนั้นจะเกิดขึ้นอะไรกับครอบครัวเราล่ะ เราจะอยู่กันยังไง” พอได้ยินคำพวกนี้ ฉันก็วิตกขึ้นมาเหมือนกัน แล้วเขา ก็น้ำตารื้น พลางพูดขึ้นมาว่า “คุณต้องเชื่อในพระเจ้าแน่ๆ ใช่ไหม เรื่องนั้นมันสำคัญกับคุณใช่ไหม วันนี้คุณต้องเลือกแล้ว คุณจะเลือกพระเจ้า หรือเลือกครอบครัวของเรา” ฉันหัวใจสลาย และตอนนั้นก็ทนไม่ได้ที่จะต้องเลือก ฝั่งหนึ่งคือสามีที่อยู่ด้วยกันมายี่สิบกว่าปี ส่วนอีกฝั่งก็คือพระเจ้า ผู้ทรงมอบชีวิตให้ฉัน ฉันพูดอะไรไม่ออกเลย ฉันจึงรีบอธิษฐานต่อพระเจ้า ให้ทรงคุ้มครองหัวใจของฉัน หลังอธิษฐาน ฉันก็พูดกับเขาว่า “ถ้าคุณกำลังบังคับฉันให้เลือกระหว่างสองสิ่ง ฉันเลือกพระเจ้าค่ะ” เขาตอบว่า “ในเมื่อคุณเลือกพระเจ้า เราก็จะหย่ากัน ถ้าคุณต้องการผม คุณต้องล้มเลิกความเชื่อ เราถึงจะมีชีวิตแสนสุขได้” ฉันเลยตอบไปว่า “พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ ดังนั้นมนุษย์ควรติดตามพระเจ้า ในเมื่อฉันเลือกความเชื่อแล้ว ฉันก็จะติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทาง คุณมีอิสระที่จะไม่เชื่อ และฉันก็จะไม่บังคับคุณ แต่การเลือกที่จะเชื่อ เป็นเสรีภาพของฉัน ส่วนเรื่องที่จะหย่า ฉันเคารพการตัดสินใจของคุณ” พอได้ยินแบบนี้ เขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับฉันอีก
ตอนที่ลูกชายของเรากลับบ้านช่วงวันหยุดฤดูหนาว เขาพูดกับฉันว่า “พ่อบอกว่าแม่ปฏิเสธจะล้มเลิกความเชื่อในพระเจ้า และนั่นคือเหตุผลที่พ่อกำลังจะหย่ากับแม่ ผมไม่อยากให้พ่อกับแม่หย่ากัน ผมอยากให้ครอบครัวของเราอยู่ด้วยกัน” พอได้ยินที่ลูกพูด ฉันแทบใจสลายเลยค่ะ ฉันคิดถึงการหย่าจริงๆ ขึ้นมา เราสามคนจะไม่ได้อยู่ด้วยกันอีกต่อไป ไม่มีครอบครัวแสนสุข มันคงเป็นเรื่องยากสำหรับลูกชายของฉัน ถ้าฉันปฏิบัติความเชื่อ ก็ไม่มีทางที่จะรักษาครอบครัวเอาไว้ได้ เรื่องนี้ทำให้ฉันทุกข์ใจมาก ต่อมา พระวจนะเหล่านี้ก็ผุดขึ้นมาในความคิด “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ…เมื่อพระเจ้าและซาตานทำการสู้รบในอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ เจ้าควรทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยอย่างไร และเจ้าควรตั้งมั่นในคำพยานของเจ้าต่อพระองค์อย่างไร? เจ้าควรรู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับเจ้าเป็นการทดสอบที่ยิ่งใหญ่และเป็นเวลาที่พระเจ้าจำเป็นต้องทรงให้เจ้าเป็นคำพยาน” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) พระวจนะของพระเจ้าทำให้ฉันตระหนักว่า ถึงจะดูเหมือนลูกชายกำลังร้องขอครอบครัวแสนสุขที่สมบูรณ์ แต่ที่จริงแล้ว ซาตานทดลองฉันอยู่ ซาตานเล่นกับความรู้สึกฉัน เพื่อให้ฉันทรยศพระเจ้า แต่พระเจ้าทรงใช้สิ่งนี้เพื่อทดสอบความเชื่อของฉัน ดูว่ามันจริงแท้แค่ไหน ดูว่าฉันยืนหยัดเป็นพยานอยู่ข้างพระเจ้าได้ไหม ในการแสวงหา ฉันได้อ่านอีกบทตอนที่ว่า “เจ้าต้องทนทุกข์กับความยากลำบากเพื่อความจริง เจ้าต้องมอบตัวเจ้าให้กับความจริง เจ้าต้องสู้ทนการดูหมิ่นเหยียดหยามเพื่อความจริง และเจ้าต้องก้าวผ่านความทุกข์มากขึ้นเพื่อที่จะได้รับความจริงมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เจ้าต้องไม่โยนความจริงทิ้งไปเพื่อเห็นแก่ชีวิตครอบครัวอันสงบสุข และเจ้าจะต้องไม่สูญสิ้นศักดิ์ศรีและความซื่อสัตย์สุจริตของชีวิตเพื่อเห็นแก่ความชื่นชมยินดีชั่วครู่ชั่วยาม เจ้าควรไล่ตามเสาะหาทั้งหมดที่ดีงามและงดงาม และเจ้าควรไล่ตามเสาะหาเส้นทางในชีวิตที่เปี่ยมความหมายมากขึ้น” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา) พระวจนะของพระเจ้า มอบความเข้มแข็งให้ฉัน ฉันรู้ว่าการทนทุกข์เพื่อความจริงนั้นมีความหมาย ถ้าฉันละทิ้งพระเจ้าเพราะความรู้สึกที่มีต่อครอบครัว ชีวิตฉันคงไร้ความหมาย ฉันคงมีชีวิตอยู่โดยไร้ศักดิ์ศรี ฉันนึกถึงการที่ พรรคใช้สามีและครอบครัวมาบีบให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ ฉันถึงกับอ่อนแออยู่บ้าง คิดเรื่องล้มเลิกในหน้าที่ รักษาครอบครัวไว้ และทำการประนีประนอมกับซาตาน แต่พระเจ้าทรงเป็นความเข้มแข็งอยู่ข้างฉันเสมอ ทรงให้ความรู้แจ้งด้วยพระวจนะ ทรงนำฉันไปสู่ความจริง ทรงช่วยฉันให้เห็นแก่นแท้ที่ต่อต้านพระเจ้าของพรรคคอมมิวนิสต์จีนอย่างทะลุปรุโปร่ง ฉันจะได้ไม่ถูกมันพาให้หลงผิดอีกต่อไป นี่คือความรักและความรอดของพระเจ้าค่ะ ฉันไม่อาจทรยศพระเจ้าเพราะอารมณ์ของตัวเอง แต่ต้องไล่ตามความจริง เพื่อใช้ชีวิตที่มีความหมาย ดังนั้น ฉันจึงพูดกับลูกชายว่า “พ่อของลูกอยากหย่า เพราะเขากลัวความเชื่อของแม่จะกระทบกับลูก แม่ไม่อยากให้ลูกเข้ามาเกี่ยว แต่การมีความเชื่อคือเส้นทางที่ถูกต้องในชีวิต แม่ล้มเลิกไม่ได้ แต่ลูกควรรู้ไว้ว่า คนที่ทำให้ครอบครัวของเราแตกแยกคือพรรคคอมมิวนิสต์จีน ไม่ใช่แม่” ลูกชายของฉันไม่ได้ตอบอะไร
สองสามวันต่อมา สามีก็ยื่นเอกสารการหย่ามาให้ ทุกอย่างที่เราสร้างด้วยกันมายี่สิบห้าปีมันจบลงแล้ว หัวใจฉันเจ็บปวดเหลือเกิน…ฉันจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์รู้ว่าพระองค์ทรงอนุญาตให้เรื่องนี้เกิดขึ้น โปรดทรงเฝ้าดูหัวใจ และมอบความเข้มแข็งให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด” ต่อมา ฉันก็นึกถึงพระวจนะที่ว่า “บรรดาผู้เชื่อกับบรรดาผู้ไม่เชื่อไม่สามารถเข้ากันได้ ตรงกันข้าม พวกเขาขัดแย้งซึ่งกันและกัน” “ผู้ใดที่ไม่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์คือผู้เป็นเยี่ยงปีศาจ และมิหนำซ้ำ ยังจะถูกทำลาย…ผู้ใดที่ไม่ยอมรับพระเจ้าคือศัตรู กล่าวคือ ผู้ใดที่ไม่ตระหนักถึงพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์—ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ภายในหรือภายนอกกระแสนี้หรือไม่ก็ตาม—คือศัตรูของพระคริสต์! ใครคือซาตาน ใครคือปีศาจ และใครคือศัตรูของพระเจ้าหากไม่ใช่บรรดาผู้ต้านทานซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าและมนุษย์จะเข้าสู่การหยุดพักด้วยกัน) สามีบีบบังคับฉันครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะกังวลว่าจะเสียหน้าที่การงาน เขาทำให้ลูกชายและครอบครัวหันมาต่อต้านฉัน เพื่อกีดกันฉันจากการเชื่อ พอโน้มน้าวฉันไม่สำเร็จ เขาก็อยากหย่ากับฉัน บังคับให้ฉันเลือก ระหว่างพระเจ้ากับครอบครัว เขาเลือกพรรคคอมมิวนิสต์จีนเพื่อคุ้มกันผลประโยชน์ส่วนตัว เขาอยู่บนเส้นทางแห่งการทำลาย ฉันเลือกติดตามพระเจ้า เลือกจะได้รับความจริง ซึ่งเป็นเส้นทางไปสู่ราชอาณาจักรแห่งสวรรค์ เราอยู่บนเส้นทางที่ต่างกัน การอยู่แบบนั้น เราไม่มีทางใช้ชีวิตแต่งงานที่มีความสุขได้ มองย้อนกลับไป การหย่าก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องและให้อิสระกับเราทั้งคู่ เขาไม่ต้องกังวลว่าจะเดือดร้อนเพราะฉันอีกต่อไป และฉันก็ได้จดจ่อกับหน้าที่ของตัวเอง ฉันเลยเซ็นเอกสารการหย่าไปค่ะ
ฉันทำหน้าที่ข่าวประเสริฐมาตลอด ถึงแม้เราจะยังถูกข่มเหงเพราะมีความเชื่อในประเทศจีน และเสี่ยงที่จะถูกจับหรือเสียชีวิตตลอดเวลา ฉันก็ไม่เคยเสียใจสักครั้งที่เลือกทางนี้ ฉัยจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐ ยืนหยัดเป็นพยานต่อไป และติดตามพระเจ้าไปจนถึงปลายทางค่ะ!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ