ฉันได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของศิษยาภิบาลแล้ว
ผมจำได้ว่า สมัยที่มาเป็นคริสเตียนแรกๆ ศิษยาภิบาลเฉินที่คริสตจักรและภรรยาของเขาชื่นชมผมมากๆ พวกเขาให้ผมเป็นหัวหน้าทีมสรรเสริญ และเป็นครูที่โรงเรียนสอนศาสนาวันอาทิตย์ อีกทั้งมักจะเป็นห่วงเป็นใยผมเสมอ เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมมีปัญหาหรือรู้สึกอ่อนแออยู่บ้าง พวกเขาก็จะอธิษฐานให้ผม พวกเขาเป็นห่วงเป็นใยคนอื่นๆ ในคริสตจักรด้วยครับ เมื่อไหร่ก็ตามที่มีคนรู้สึกแย่หรืออ่อนแอ ทั้งคู่ก็จะสามัคคีธรรมตามพระคัมภีร์เพื่อช่วยแบ่งเบาพวกเขา ผมรู้สึกว่าทั้งคู่เปี่ยมไปด้วยความรักจริงๆ เลยครับ และพวกเราก็โชคดีที่มีพวกเขา ลึกๆ ในหัวใจ ผมรู้สึกเสมอว่าพวกเขาเป็นเหมือนพ่อแม่ทางจิตวิญญาณในความเชื่อของผมเลยครับ
ต่อมาในปี 2018 ผมได้พบกับพี่น้องชายหญิงบางคนจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทางออนไลน์ หลังจากได้ฟังคำพยานของพวกเขา ผมก็พบว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว ทรงจุติเป็นมนุษย์ในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระองค์ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดในยุคสุดท้าย ทำให้คำเผยพระวจนะใน 1 เปโตร บทที่ 4 ข้อที่ 17 ลุล่วง ซึ่งกล่าวว่า “เพราะถึงเวลาแล้ว ที่การพิพากษาจะเริ่มต้นที่ครอบครัวของพระเจ้า” ผมตื่นเต้นมาก ผมกับครอบครัวก็เลยตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายร่วมกัน ผ่านการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เราทุกคนก็แน่ใจว่า พระวจนะนั้นคือพระสุรเสียงของพระเจ้า และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา เรายอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้ายกันทุกคนเลยครับ หลังจากนั้น ผมก็นึกถึงศิษยาภิบาลเฉินขึ้นมา เขามักจะบอกให้เราเฝ้าดูการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าไว้ ผมเลยคิดว่า เขาจะต้องมีความสุขมากแน่ที่ได้ยินว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ผมตัดสินใจเอาข่าวดีนี้ไปบอกเขาครับ
ครั้งหนึ่งระหว่างการชุมนุม ศิษยาภิบาลเฉินได้พูดว่า “เราอยู่ในยุคสุดท้าย และองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาได้ทุกเมื่อ เราต้องอธิษฐานและคอยเฝ้าดูไว้” ผมตื่นเต้นมากที่ได้ยินเขาพูดเรื่องนี้ ผมเลยพูดแทรกไปทันทีว่า “ช่วงนี้ผมได้พบพี่น้องชายหญิงบางคนทางออนไลน์ ที่เป็นพยานว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ผมได้ไปเข้าร่วมการชุมนุมกับพวกเขา ซึ่งมันให้ความรู้แจ้งมากๆ เลยครับ” สิ่งที่เขาตอบกลับมาคือ “การชุมนุมทางออนไลน์นั้นยอดเยี่ยมและช่วยให้เราเข้าใจพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ดีขึ้นด้วย” แล้วเขาก็แค่เทศนาต่อครับ ผมมีความสุขมาก พลางคิดว่า “อาจารย์เฉินเป็นผู้แสวงหาความจริงจริงๆ เลยนะ ฉันต้องแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้ายกับเขาทันที” น่าแปลกใจที่ไม่กี่วันต่อมา ศิษยาภิบาลเฉินกับภรรยาก็มาที่บ้านของผม วินาทีที่พวกเขาเข้ามาในบ้าน ศิษยาภิบาลเฉินก็ถามผมด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “คุณพูดถึงการชุมนุมออนไลน์ คุณไปเข้าร่วมกับคริสตจักรอื่นมาเหรอ” พอเห็นว่าเขาดูไม่พอใจขนาดไหน มันก็ทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย ผมยังไม่ทันจะตอบอะไร แม่ของผมก็พูดอย่างมีความสุขว่า “ใช่ค่ะอาจารย์ พวกเราได้กำลังตรวจสอบคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กันอยู่ เราถึงได้พบว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว พระองค์ทรงกำลังแสดงความจริงมากมาย และทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า” ศิษยาภิบาลเฉินตอบกลับมาอย่างเคร่งเครียดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วงั้นเหรอ? เป็นไปไม่ได้หรอก! พระคัมภีร์เผยพระวจนะอย่างชัดเจนว่า ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7) องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาบนก้อนเมฆในยุคสุดท้ายให้ทุกคนได้เห็น ถ้าพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ทำไมพวกเราถึงไม่เห็นพระองค์ล่ะ” แม่ของผมตอบไปว่า “ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่หลายข้อ นอกจากที่ว่าพระองค์เสด็จมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆแล้ว ก็ยังมีหลายข้อที่บอกว่าพระองค์จะเสด็จมาอย่างลับๆ อย่างในวิวรณ์บทที่ 16 ข้อที่ 15 บอกว่า ‘นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย’ ในวิวรณ์บทที่ 3 ข้อที่ 3 บอกว่า ‘เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย’ และในมัทธิวบทที่ 25 ข้อที่ 6 บอกว่า ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า “เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด”’ การบอกว่าพระองค์ทรงมาเหมือนอย่างขโมย แปลว่าพระองค์ทรงกลับมาอย่างเงียบๆ โดยที่ไม่มีใครรู้ ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเพียงแต่เสด็จมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ แล้วทุกคนได้เห็นพระองค์ แบบนั้นจะเหมือนอย่างขโมยได้ยังไง แล้วใครจะต้องร้องว่าเจ้าบ่าวมาแล้วล่ะคะ” ศิษยาภิบาลเฉินก็พูดด้วยความฉุนเฉียวว่า “การที่คุณอ้างว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอย่างลับๆ มันไม่สวนทางกับคำเผยพระวจนะที่บอกว่าพระองค์เสด็จมาบนก้อนเมฆเหรอ? คำกล่าวนี้ไม่สอดคล้องกับพระคัมภีร์ เรายังไม่ได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาบนก้อนเมฆเลย ซึ่งนั่นก็พิสูจน์แล้วว่าพระองค์ทรงยังไม่กลับมา เราจะไม่เชื่อเรื่องนั้นหรอก!”
ดูเหมือนว่าเขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ ผมเลยพูดว่า “อาจารย์เฉินครับ คำเผยพระวจนะที่ว่าพระองค์เสด็จมาในร่างมนุษย์อย่างลับๆ และพระองค์เสด็จมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ ที่จริงมันไม่สวนทางกันเลยนะครับ การทรงกลับมาของพระองค์นั้นเกิดขึ้นในสองช่วงระยะ ระยะแรก พระองค์จะเสด็จมาอย่างลับๆ ในร่างมนุษย์ ทรงแสดงความจริงเพื่อพิพากษาและชำระมวลมนุษย์ให้สะอาด รวมถึงทรงสร้างกลุ่มของผู้ชนะก่อนความวิบัติ เมื่อการนั้นเสร็จสิ้น พระราชกิจอย่างลับๆ ของพระองค์ก็จะสิ้นสุดลง แล้วพระองค์จะทรงส่งความวิบัติมา ทรงประทานบำเหน็จคนดีและลงโทษคนชั่ว พระองค์จะทรงทำลายศัตรูทั้งหมดของพระเจ้า ทุกคนที่เป็นของซาตาน พระองค์จะทรงปรากฏอย่างเปิดเผยต่อประชาชาติและกลุ่มชนทั้งมวล หลังจากมหาวิบัติผ่านพ้นแล้วเท่านั้น คนที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าและตรวจสอบพระราชกิจของพระองค์ระหว่างที่พระองค์ทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ที่นี่ ล้วนพากันมาเฉพาะพระบัลลังก์ของพระเจ้า ยอมรับการพิพากษาในยุคสุดท้ายของพระองค์ และความเสื่อมทรามของพวกเขาก็ได้รับการชำระให้สะอาด ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะถูกพาเข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้า พวกเขาคือหญิงพรหมจารีมีปัญญาที่พระคัมภีร์ได้เผยพระวจนะไว้ ส่วนคนที่ไม่รับฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าในขณะที่พระองค์กำลังทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ที่นี่ รวมถึงคนที่ถึงขั้นกล่าวโทษและปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์นั้น ก็คือหญิงพรหมจารีโง่ พวกเขาเป็นผู้ปราศจากความเชื่อ เป็นศัตรูของพระคริสต์ และผู้ประพฤติชั่วที่ถูกเปิดโปงผ่านพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระเจ้า เมื่อพระเจ้าเสด็จมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ พวกเขาจะได้เห็นว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ที่พวกเขาต่อต้านนั้น แท้จริงแล้วคือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา แต่มันก็สายเกินกว่าจะเสียใจแล้ว พวกเขาจะถูกความวิบัติซัดพาไป และถูกลงโทษขณะร่ำไห้คร่ำครวญ นี่จะทำให้สิ่งที่องค์พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสไว้ลุล่วง ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ (วิวรณ์ 1:7) นี่คือการทำให้คำเผยพระวจนะเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาอย่างลับๆ และเสด็จมาอย่างเปิดเผยลุล่วงไปทั้งคู่” จากนั้น แม่ของผมก็พูดอย่างจริงจังว่า “อาจารย์ เขาพูดถูกนะคะ พระคัมภีร์กล่าวถึงบุตรมนุษย์ที่เสด็จมาอยู่หลายหน อย่างเช่น ‘เพราะว่าฟ้าแลบจากทิศตะวันออกส่องไปจนถึงทิศตะวันตกอย่างไร การเสด็จมาของบุตรมนุษย์ก็จะเป็นอย่างนั้น’ (มัทธิว 24:27) ‘เพราะว่าบุตรมนุษย์ ในวันของพระองค์นั้นจะเหมือนอย่างฟ้าแลบ เมื่อแลบออกจากฟ้าข้างหนึ่ง ก็ส่องสว่างไปถึงฟ้าอีกข้างหนึ่ง แต่ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ (ลูกา 17:24-25) ‘บุตรมนุษย์’ ก็หมายถึงพระเจ้าผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ เช่นเดียวกับองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงเป็นบุตรมนุษย์ พระองค์ประสูติจากมนุษย์และทรงครองความเป็นมนุษย์ที่ปกติ ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในรูปสัณฐานพระวิญญาณ พระองค์ก็คงไม่ถูกเรียกว่าบุตรมนุษย์ และถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาในฐานะพระเจ้าที่เป็นพระวิญญาณ ใครจะกล้าปฏิเสธหรือต่อต้านพระองค์คะ แล้วพระองค์จะทรง ‘ก่อนหน้านั้นจำเป็นที่บุตรมนุษย์จะต้องทนทุกข์หลายอย่าง และคนในยุคนี้จะไม่ยอมรับท่าน’ ได้ยังไง? องค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้วในฐานะพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ผู้ทรงจุติเป็นมนุษย์ คุณควรลองดูพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หน่อยนะคะ” ขณะที่แม่ผมพูด เธอก็หยิบหนังสือพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เล่มหนึ่งออกมาให้ศิษยาภิบาล เขาไม่ใช่แค่ปฏิเสธที่จะดู แต่ยังตบหนังสือด้วยความโกรธ และตะคอกว่า “นี่ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าแน่นอน พระวจนะของพระเจ้าทั้งหมดอยู่ในพระคัมภีร์ และไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากนั้น!”
ผมเสียขวัญไปเลยที่เห็นศิษยาภิบาลเฉินแสดงท่าที่ไม่ใช่ตัวเขาสักนิด แถมหน้าเขาก็ถึงกับแดงก่ำด้วยความโกรธ เขามักจะเป็นคนใจดีอยู่เสมอ—แต่จู่ๆ ก็กลับดูเหมือนเป็นคนละคนไปเลย ผมเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีขึ้นมาเล็กน้อย ก็เลยรีบอธิษฐานต่อพระเจ้าเงียบๆ วอนขอให้พระองค์ทรงมอบความเชื่อและทรงนำผมให้สามัคคีธรรมต่อได้ มันทำให้ผมสงบลงไปพอสมควรเลยครับ ผมพูดกับเขาไปอย่างสุภาพมากๆ ว่า “อาจารย์เฉินครับ ที่คุณอ้างว่าพระวจนะทั้งหมดของพระเจ้าอยู่ในพระคัมภีร์เท่านั้นไม่มีที่อื่น มันไม่มีรากฐานจากในพระคัมภีร์เลยนะครับ มันไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงเลย ในข่าวประเสริฐของยอห์นนั้นกล่าวว่า ‘พระเยซูยังทรงทำสิ่งอื่นๆ อีกมากมาย ถ้าจะเขียนให้หมดทุกสิ่ง ข้าพเจ้าคิดว่าแม้ที่ทั้งโลกไม่พอใส่หนังสือที่จะเขียนนั้น’ (ยอห์น 21:25) องค์พระเยซูเจ้าตรัสอะไรไว้มากมาย ตลอดสามปีครึ่งที่พระองค์ทรงพระราชกิจและทรงประกาศบนแผ่นดินโลก แต่สิ่งที่ถูกบันทึกไว้ในพระกิตติคุณทั้งสี่ ใช้เวลากล่าวแค่ไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นเอง นี่แสดงว่า ไม่มีทางที่พระวจนะทั้งหมดขององค์พระเยซูเจ้าได้ถูกบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ อีกอย่าง มีอีกหลายสิ่งที่ผู้รวบรวมพระคัมภีร์ไม่ได้รวมเข้าไปด้วย คำเผยพระวจนะของผู้เผยพระวจนะบางท่านจึงไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ นั่นรวมถึงพระวจนะบางประการของพระเจ้า ซึ่งได้รับการถ่ายทอดจากผู้เผยพระวจนะนามเอสรา ก็ไม่ได้ถูกรวมอยู่ในพระคัมภีร์ นั่นหมายความว่า คำกล่าวที่ว่าไม่มีพระวจนะใดของพระเจ้าอยู่นอกคัมภีร์ ก็ไม่เป็นความจริง!”
แม่ของผมยังพูดอย่างจริงจังด้วยว่า “ไม่ใช่แค่พระวจนะบางส่วนของพระเจ้าอยู่นอกพระคัมภีร์นะคะ แต่รวมถึงพระวจนะของพระเจ้าในยุคสุดท้ายด้วย! องค์พระเยซูเจ้าทรงเผยพระวจนะไว้ว่า ‘เรายังมีอีกหลายสิ่งที่จะบอกกับพวกท่าน แต่ตอนนี้ท่านยังรับไม่ไหว เมื่อพระวิญญาณแห่งความจริงเสด็จมาแล้ว พระองค์จะนำพวกท่านไปสู่ความจริงทั้งมวล’ (ยอห์น 16:12-13) แถมยังมีการเผยพระวจนะในวิวรณ์อยู่หลายครั้งด้วยว่า ‘ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความที่พระวิญญาณตรัสกับคริสตจักรทั้งหลาย’ (วิวรณ์บทที่ 2, 3) มันยังกล่าวถึงพระเมษโปดกทรงเปิดหนังสือม้วนด้วย ทั้งหมดนี้คือคำเผยพระวจนะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงดำรัสพระวจนะเพิ่มเติมเมื่อพระองค์ทรงกลับมา ถ้าวจนะของพระเจ้าไม่สามารถอยู่นอกพระคัมภีร์ได้ คำเผยพระวจนะเหล่านี้จะลุล่วงได้ยังไง? พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กำลังทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงซึ่งชำระมวลมนุษย์ให้สะอาดและช่วยพวกเขาให้รอดโดยสมบูรณ์ พระองค์ทรงเปิดเผยถึงข้อล้ำลึกทั้งปวงแห่งแผนการบริหารจัดการของพระเจ้า ทรงตีแผ่และพิพากษาความจริงแห่งความเสื่อมทราม รวมถึงรากเหง้าแห่งการต่อต้านพระเจ้าของมนุษย์ พระองค์ได้ประทานเส้นทางแห่งการกลับใจที่แท้จริงและการเข้าสู่ราชอาณาจักรให้เรา สิ่งที่ได้รับการเผยพระวจนะเอาไว้ในวิวรณ์เรื่องที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ ตรัสต่อคริสตจักรทั้งหลาย รวมถึงการที่พระเมษโปดกทรงเปิดหนังสือม้วนนั้นอ้างอิงถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระวจนะใหม่เหล่านี้จะถูกบันทึกไว้ล่วงหน้าในพระคัมภีร์ได้ยังไง คำกล่าวอ้างที่ว่าพระวจนะของพระเจ้าไม่ปรากฏอยู่นอกพระคัมภีร์ มันไม่ทำตามอำเภอใจไปหน่อยเหรอ? พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งการทรงสร้าง และเป็นน้ำพุแห่งน้ำดำรงชีวิตที่ไหลรินอยู่เสมอ แต่พระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าที่ถูกบันทึกในพระคัมภีร์นั้นมีจำกัดมาก เราไม่สามารถจำกัดพระเจ้าไว้ในขอบเขตของพระคัมภีร์ตามมโนคติที่หลงผิดของเราได้ นั่นจะเป็นการปฏิเสธความจริง ปฏิเสธพระราชกิจและพระวจนะของพระเจ้าพระองค์เอง!”
คำพูดนี้ทำให้ศิษยาภิบาลเฉินโกรธจัดแต่ก็หักล้างไม่ได้เลย ได้แต่พูดว่า “การไม่อนุญาตให้พวกคุณสอบสวนในสิ่งนี้ก็เพื่อตัวคุณเอง พวกคุณยังขาดวุฒิภาวะในชีวิตและจะถูกชักนำให้เข้าใจผิดได้ ไปสารภาพและกลับใจต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเดี๋ยวนี้!” ผมรีบตอบกลับไปว่า “อาจารย์เฉิน เราได้ข้อสรุปว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ก็โดยผ่านทางการแสวงหาจริงจังและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้มากเท่านั้นเอง คุณยังไม่ได้อ่านพระวจนะของพระองค์ จึงเป็นเรื่องปกติที่มีข้อสงสัยและมีมโนคติที่หลงผิดอยู่บ้าง องค์พระเยซูเจ้าตรัสไว้ว่า ‘จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน’ (มัทธิว 7:7) ตราบเท่าที่คุณเต็มใจที่จะแสวงหาและอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ความสับสนทั้งหมดของคุณก็จะถูกปัดเป่าออกไปได้” ทันทีที่ผมพูดจบ ภรรยาของเขาก็ขอข้อมูลติดต่อพี่น้องชายหญิงจากคริสตจักรนั้นไป และบอกว่าเธอจะตรวจสอบดูภายหลัง ผมเชื่อว่าเธอจะทำอย่างที่พูด ก็เลยให้ไป พอได้แล้วพวกเขาก็ปึงปังออกไปเลย
หลังจากทั้งคู่จากไปแล้ว ผมก็รู้สึกว้าวุ่นใจอยู่สักพักเลยครับ ผมมักจะคิดว่าพวกเขาเป็นคนดีและถ่อมใจ พวกเขามักจะบอกให้เราเฝ้าดูการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเอาไว้ แต่พอได้ยินข่าวว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว พวกเขากลับไม่สนใจเลย พวกเขาเอาแต่ยึดติดอยู่กับคำในพระคัมภีร์อย่างหัวชนฝา ทำไมพวกเขาถึงไม่ปฏิบัติในสิ่งที่ตัวเองประกาศล่ะครับ? ผมรู้สึกผิดหวังและเสียใจมากครับ แต่ก็หวังว่าพวกเขาจะตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้าย ผมกล่าวคำอธิษฐานให้พวกเขาอย่างเงียบๆ ผมยังส่งลิงก์ภาพยนตร์ข่าวประเสริฐเรื่อง การเผยความล้ำลึกเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ไปให้พวกเขาด้วย หวังว่ามันทำให้พวกเขาปล่อยมือจากมโนคติที่หลงผิดของตัวเองและค้นดูพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และต้อนรับองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เร็วๆ ผมเต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่สิ่งคาดไม่ถึงจริงๆ ก็เกิดขึ้น พวกเขาส่งข่าวลือทุกชนิดที่ใส่ร้ายคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์มาให้ผม เพื่อกันให้ผมอยู่ห่างจากที่นั่น พอเห็นว่าผมไม่สะทกสะท้าน พวกเขาก็ส่งข้อความไปคุกคามสมาชิกของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขายังเข้าไปในเฟซบุ๊ก และเขียนข่าวลือมากมายใส่ร้ายและโจมตีคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ เพื่อชักนำให้คนเข้าใจผิด และกันไม่ให้พวกเขาสอบสวนหนทางที่แท้จริง และพวกเขาก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น พวกเขาไปตามบ้านเพื่อเตือนพี่น้องชายหญิงไม่ให้มายุ่งเกี่ยวกับผม ตัดสินและพูดเรื่องไม่ดีถึงผม มีหลายคนที่เข้าใจผิดและตีตัวออกห่างจากผม บางคนส่งข้อความมากล่าวหาผม และบางคนก็ปฏิเสธที่จะพูดกับผมเวลาเราบังเอิญเจอกัน บางคนถึงขั้นไม่ยอมเปิดประตูให้เวลาที่ผมไปเยี่ยมเยียนพวกเขา นี่คือเรื่องที่น่าเศร้ามากๆ สำหรับผม เมื่อก่อนผมเคยสนิทสนมกับพี่น้องชายหญิงพวกนี้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับหลบหน้าและเดียดฉันท์ผมเพราะไปหลงคารมโกหกของศิษยาภิบาล ผมแทบไม่อยากเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของศิษยาภิบาลที่ครั้งหนึ่งผมเคยนับถือมาก ผมทนทุกข์และรู้สึกข้างในใจอ่อนแอเหลือเกิน ผมคิดอะไรไม่ออกเลย ผมไม่ได้ทำอะไรผิด แค่เพียงยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้ายเท่านั้นเอง ทำไมศิษยาภิบาลต้องทำกับผมแบบนั้น?
พอพี่สาวจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทราบเรื่อง เธอก็เสนอว่าจะช่วยและให้การสนับสนุนผม รวมถึงอ่านพระวจนะของพระเจ้าบทตอนหนึ่งให้ผมฟังครับ “ในทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำภายในผู้คนนั้น ภายนอกแล้วดูเหมือนว่าจะเป็นการปฏิสัมพันธ์ทั้งหลายระหว่างผู้คน ราวกับว่ากำเนิดมาจากการจัดการเตรียมการของมนุษย์หรือจากการแทรกแซงของมนุษย์ แต่หลังฉากนั้น ทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจ และทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น คือเดิมพันที่ซาตานได้วางไว้เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า และพึงต้องให้ผู้คนตั้งมั่นในคำพยานของพวกเขาต่อพระเจ้า เพื่อเป็นตัวอย่าง จงดูเมื่อโยบถูกทดสอบ กล่าวคือ หลังฉากนั้น ซาตานกำลังวางเดิมพันกับพระเจ้า และสิ่งที่ได้เกิดขึ้นกับโยบนั้นคือความประพฤติของพวกมนุษย์และการแทรกแซงของพวกมนุษย์ เบื้องหลังทุกๆ ขั้นตอนของพระราชกิจที่พระเจ้าทรงกระทำในตัวพวกเจ้าคือเดิมพันของซาตานกับพระเจ้า—เบื้องหลังมันทั้งหมดคือการสู้รบ” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, การรักพระเจ้าเท่านั้นคือการเชื่อในพระเจ้าอย่างแท้จริง) จากนั้นผมเลยเข้าใจ ว่าที่ศิษยาภิบาลทำตัววุ่นวายและที่สมาชิกคนอื่นๆ ในคริสตจักรตีตัวออกห่างจากผม ทั้งหมดล้วนเป็นการทดลองของซาตาน ซาตานต้องการให้ผมล้มเลิกหนทางที่แท้จริงและทรยศพระเจ้า รวมถึงเสียความรอดแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์ไป ซาตานนี่น่ารังเกียจจริงๆ! ผมคิดว่า “ในเมื่อฉันมั่นใจแล้วว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมา ไม่ว่าฉันอาจจะเผชิญกับความยากลำบากอะไร ฉันก็ต้องติดตามพระองค์อย่างแน่วแน่ไปจนถึงตอนจบ”
จากนั้น พี่สาวคนนี้ก็ได้แบ่งปันสามัคคีธรรมว่า “พระเจ้าทรงใช้สถานการณ์เหล่านี้เพื่อสอนให้เรามีปัญญาแยกแยะในตัวผู้อื่น วิธีการที่มนุษย์เข้าหาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าแสดงให้เห็นถึง ทัศนคติที่พวกเขามีต่อความจริงและต่อพระเจ้า และเปิดเผยถึงเนื้อแท้ของพวกเขา” แล้วเธอก็ได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าอีกบทตอนหนึ่งให้ฟัง “พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอหรือไม่ว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซู? พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ธาตุแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่? พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงของชีวิต และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้เท่าทันเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร? พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์ และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยได้ร่วมเคียงกับพระเมสสิยาห์ พวกเขาทำผิดพลาดที่ยึดติดกับเพียงแค่พระนามของพระเมสสิยาห์ ในขณะที่ต่อต้านเนื้อแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยธาตุแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง หลักการของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์ การเชื่อนี้ไม่ได้โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) หลังจากนั้น เธอได้แบ่งปันสามัคคีธรรมเพิ่มเติมตามพระวจนะเหล่านี้จากพระเจ้า และได้ให้ความสว่างเกี่ยวกับพฤติกรรมของพวกนักบวช ผมมักจะคิดว่า ในเมื่อพวกเขารู้พระคัมภีร์อย่างดี ทำงานหนักเพื่อรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามาหลายปี เปี่ยมความรักต่อผู้คน และมักจะบอกให้เราเฝ้าดูการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ นั่นแปลว่าพวกเขารักความจริงและปรารถนาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ความเป็นจริงได้แสดงให้ผมเห็นแล้ว ว่ามันไม่ได้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย ภายนอกที่ดูถ่อมใจและเปี่ยมความรักของพวกเขานั้น เป็นแค่ฉากหน้าที่ใช้หลอกลวงและตบตาผู้คน และพวกเขาไม่ได้ต่างอะไรจากพวกฟาริสีหน้าซื่อใจคดเลย พวกฟาริสีก็ดูเคร่งศาสนาเหมือนกัน พวกเขาสาธยายองค์พระคัมภีร์ธรรมศาลาทุกวี่วัน พวกเขาอธิษฐานบนท้องถนนเพื่อที่คนอื่นจะได้เห็นว่าพวกเขาทำ พวกเขาทุกคนล้วนรอคอยให้พระเมสสิยาห์เสด็จมา แต่พอองค์พระเยซูเจ้าทรงปรากฏ และพระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริง อีกทั้งทรงแสดงหมายสำคัญและการอัศจรรย์ ซึ่งชัดเจนว่าทั้งหมดล้วนมาจากพระเจ้า พวกฟาริสีก็ไม่ได้อยากจะรู้เรื่องนั้น พวกเขาค้ำจุนธรรมบัญญัติตามบทคัมภีร์อย่างหัวชนฝา และใช้พระวจนะขององค์พระคัมภีร์กล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้า พวกเขาช่วยกันตรึงกางเขนองค์พระเยซูเจ้าแล้วก็ถูกพระเจ้าลงโทษ ศิษยาภิบาลของผมเป็นแบบเดียวกันเลยครับ เขาดูเหมือนรับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างถ่อมใจและเฝ้ารอการทรงกลับมาของพระองค์ แต่ถึงจะรู้อยู่เต็มอกว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงกำลังแสดงความจริงและทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษา เขาก็ยังไม่ยอมสอบสวนมันอยู่ดี เขาเอาแต่ยึดติดอยู่กับมโนคติที่หลงผิดของตัวเองและถ้อยคำตามตัวอักษรในพระคัมภีร์ ต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจใหม่ของพระเจ้า เขาบอกว่าถ้าพระองค์ไม่เสด็จมาบนก้อนเมฆ พระองค์ก็ไม่ใช่องค์พระเยซูเจ้า และอะไรที่ไม่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ก็ไม่สามารถเป็นพระราชกิจของพระเจ้าไปได้ และอีกมากมาย เขาทำทุกวิถีทางเพื่อกีดกันคนอื่นๆ จากการสอบสวนหนทางที่แท้จริง เขากับภรรยาไม่ได้ปรารถนาการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริงเลย แต่กลับเป็นพวกฟาริสียุคใหม่ที่ดูหมิ่นความจริงและดูหมิ่นการทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า มันทำให้ผมนึกถึงที่องค์พระเยซูเจ้าทรงกล่าวโทษพวกฟาริสีว่า “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าพวกเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพที่ฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและทุกอย่างที่โสโครก พวกเจ้าก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความหน้าซื่อใจคดและความอธรรม” (มัทธิว 23:27-28) พอเข้าใจทั้งหมดนี้ ผมก็มีปัญญาแยกแยะการกระทำของพวกนักบวชขึ้นมาบ้าง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากนั้น มันทำให้ผมเห็นถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้อย่างชัดเจนเลยครับ
บ่ายวันหนึ่ง ผู้อาวุโสหวังและพี่น้องหญิงสองคนจากคริสตจักรเดิมของผมได้แวะมาหาที่บ้าน และเอาแต่จ้องผมอย่างเย็นชาโดยไม่พูดอะไรเลย จากนั้นผู้อาวุโสหวังก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา กดเบอร์แล้วยื่นโทรศัพท์มาให้ผม พอรับมา ผมก็ได้ยินศิษยาภิบาลเฉินพูดเรื่องเน่าเหม็นทุกชนิดอย่างโกรธเกรี้ยว แล้วเขาก็เตือนผมว่า “คุณห้ามติดต่อกับสมาชิกในคริสตจักรของเรา และห้ามเผยแผ่ข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในคริสตจักรของเราด้วย อย่ามาขโมยแกะของผม!” ผมโกรธมาก และบอกเขาไปว่า “ทำไมผมถึงไม่ควรแบ่งปันข่าวอันแสนวิเศษเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าล่ะครับ ทำไมคุณถึงพยายามหยุดยั้งผู้คนจากการแสวงหาหนทางที่แท้จริง พวกเขาเป็นแกะของพระเจ้านะครับ ทำไมคุณไม่ปล่อยให้พวกเขาได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้าล่ะ?” หลังจากวางสาย ผู้อาวุโสหวังและอีกสองคนได้พูดกับผมแล้วจากไป หลังจากนั้นศิษยาภิบาลยังคงก่อกวนครอบครัวของเรา และถึงกับป้ายสีพวกเราอย่างเปิดเผยในคริสตจักร ครอบครัวของผมกลายเป็นคนอ่อนแอและคิดลบ ไม่สามารถทนต่อการคุกคามนั้นได้ ความประพฤติชั่วของศิษยาภิบาลทำให้ผมโกรธมาก ผมได้อ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เพิ่มเติม “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า) พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทำให้ผมเข้าใจตัวตนที่แท้จริงของพวกนักบวชและการต่อต้านพระเจ้าของพวกเขากระจ่างขึ้นมาก พวกเขาทำเหมือนกำลังปกป้องคนของพระเจ้า ด้วยการไม่ยอมให้เราแบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้า แต่ข้อเท็จจริงก็คือ พวกเขากลัวทุกคนจะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และจะไม่มีใครฟังพวกเขาอีกต่อไป แล้วพวกเขาก็จะสูญเสียสถานะของตัวเอง นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อกีดกันผู้เชื่อจากการสอบสวนหนทางที่แท้จริง มันทำให้ผมนึกถึงพระวจนะขององค์พระเยซูเจ้าขึ้นมา “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (มัทธิว 23:13) “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า” (มัทธิว 23:15) ไม่ใช่แค่พวกนักบวชปฏิเสธที่จะแสวงหาหนทางที่แท้จริงด้วยตัวเอง แต่พวกเขายังทำทุกอย่างเพื่อป้ายสีและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์แห่งยุคสุดท้าย รวมถึงชักนำผู้เชื่อให้เข้าใจผิด หลายคนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงก็หลงกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตามพวกเขา พวกเขาไม่ได้กำลังทำให้คนเหล่านั้นเป็นบุตรแห่งนรกเหมือนตัวเอง จะได้ถูกลงโทษไปด้วยกันเหรอครับ? พวกเขามุ่งร้ายจนถึงแก่นจริงๆ พวกนักบวชในโลกศาสนาเกลียดชังความจริง พวกเขาต่อต้านและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าแห่งยุคสุดท้าย และขังแกะของพระเจ้าไว้ในคอกของตัวเองอย่างน่าไม่อาย ต่อสู้กับพระเจ้า เพื่อประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรร พวกเขาเป็นเหมือนพวกฟาริสีที่ถูกองค์พระเยซูเจ้าสาปแช่งเมื่อสองพันปีก่อนไม่มีผิด พวกเขาคือผู้รับใช้ชั่ว เป็นศัตรูของพระคริสต์ที่พระเจ้าทรงเปิดโปงในพระราชกิจแห่งยุคสุดท้ายของพระองค์! ผมได้เห็นอย่างครบถ้วนชัดเจน ถึงธรรมชาติเยี่ยงปีศาจที่ต่อต้านพระเจ้าของพวกเขา รวมถึงการเกลียดชังความจริงของพวกเขา ผมตัดสินใจที่จะติดตามพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ไปอย่างมั่นใจ ไม่ว่าพวกเขาจะพยายามขัดขวางขนาดไหนก็ตาม! ทุกคนในครอบครัวของผมก็ได้รับปัญญาแยกแยะ จากการอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และไม่รู้สึกถูกพวกเขาจองจำอีกต่อไปแล้วครับ
พอคิดย้อนไปถึงตอนที่พวกเขาเอาแต่คุกคามและพูดจาว่าร้ายผม ถึงแม้ผมจะทุกข์ทนอยู่บ้าง มันก็ทำให้ผมมีปัญญาแยกแยะเรื่องนักบวช ผมได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของพวกเขา—ว่าพวกเขาเกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้า ผมไม่มีวันที่จะถูกพวกเขาจองจำและชักนำให้หลงผิดเลยครับ! ผมยังได้เรียนรู้ด้วยว่า ในการต่อสู้ทางจิตวิญญาณกับพวกฟาริสีและศัตรูของพระคริสต์ ถ้าเราอธิษฐานและพึ่งพาพระเจ้า พระองค์ก็จะทรงใช้พระวจนะทรงนำให้เราเข้าใจความจริงและมีชัยเหนือการทดลองของซาตาน ความเชื่อของผมเติบโตขึ้นเพราะประสบการณ์นั้นครับ ขอบคุณพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์!
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ