โฉมหน้าที่แท้จริงของ “พ่อแม่ทางจิตวิญญาณ” ของฉัน
หลังจากที่ฉันยอมรับในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายได้ไม่นาน ฉันก็ได้ดูหนังเรื่อง ความล้ำลึกของความเลื่อมใสในศาสนา: เรื่องราวที่ติดตามมา ทางเว็บไซต์ของคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสบางคนในหนังไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และทำทุกทางเพื่อหยุดยั้งผู้เชื่อไม่ให้แสวงหาหนทางที่แท้จริง เรื่องนี้กวนใจฉันมากค่ะ เพราะฉันคิดว่าศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสเป็นผู้นำเคร่งศาสนาที่รับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขามักสอนให้เรามองหาองค์พระผู้เป็นเจ้าและอดทนรอ จะได้ไม่พลาดการเสด็จมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าพวกเขาพบว่าองค์พระเยซูเจ้าทรงกลับมาแล้ว พวกเขาก็ควรยอมรับพระองค์ด้วยความปีติสิ ทำไมพวกเขาถึงหยุดยั้งเราล่ะ ฉันนึกถึงศิษยาภิบาลจินที่เป็นผู้นำคริสตจักรเก่าของฉันเลยค่ะ เขาเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณที่ห่วงใยผู้อื่นและปรารถนาการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ถ้าเขารู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้วจริงๆ เขาคงมีความสุขมากและต้องยอมรับทันทีแน่ๆ ฉันตัดสินใจเตรียมความจริงเพื่อที่จะได้แบ่งปันข่าวประเสริฐนี้กับเขา แต่เรื่องกลับไม่เป็นอย่างที่ฉันคิด และโครงเรื่องของหนังที่ฉายอยู่ตรงหน้า คราวนี้เป็นเรื่องจริงเลยค่ะ
วันหนึ่ง ศิษยาภิบาลจินมาหาฉันที่แผงผลไม้ของเรา และถามฉันตรงนั้นว่า “เธอเคยไปที่คริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บ้างรึเปล่า” จากนั้นเขาก็พูดเรื่องเลวร้ายที่ไม่จริงเกี่ยวกับคริสตจักร บอกว่า “คริสตจักรนั่นบอกว่าพระเจ้าทรงกลับมาแล้วในร่างมนุษย์ มันเป็นไปไม่ได้!” ฉันประหลาดใจและผิดหวังมากที่ได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฉันคิดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสอนไม่ให้เราตัดสินผู้อื่น คุณไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคริสตจักรนั้น และไม่ได้ตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย คุณจะด่วนกล่าวโทษได้ยังไง” แต่แล้วฉันก็คิดกับตัวเองว่า “สงสัยเขายังไม่ได้ฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์สินะ เขาเลยไม่รู้ว่ามันเป็นความจริง ถ้าเขารู้ว่าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับมา ที่นำความจริงทั้งปวงซึ่งชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอดมาสู่เรา ฉันว่าเขาต้องยอมรับแน่นอน” ฉันเลยพูดกับศิษยาภิบาลจินไปว่า “อาจารย์คะ คุณบอกว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงไม่สามารถกลับมาในร่างมนุษย์ได้อีก เรื่องนี้อ้างอิงจากพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้ารึเปล่าคะ พระองค์เคยตรัสแบบนั้นในพระคัมภีร์เหรอ”
เขาตอบคำถามของฉันด้วยความมั่นใจว่า “ที่จริงก็มีกล่าวไว้ในข่าวประเสริฐของมัทธิวนะ ‘เมื่อนั้นหมายสำคัญแห่งบุตรมนุษย์จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้า มนุษย์ทุกชาติทั่วโลกจะทุกข์โศก แล้วจะเห็น บุตรมนุษย์เสด็จมาบนเมฆในท้องฟ้า ทรงฤทธานุภาพและทรงพระรัศมีอย่างยิ่ง’ (มัทธิว 24:30) ในพระรัศมียิ่งใหญ่ องค์พระผู้เป็นเจ้าจะเสด็จมาอีกครั้ง โดยทรงกลับมาบนก้อนเมฆ เพื่อให้ทุกคนได้เห็น ทั้งโลกศาสนาต่างเข้าใจข้อเท็จจริงนี้ดี คริสเตียนทุกคนกำลังเฝ้ารอพระองค์เสด็จมาบนก้อนเมฆ แล้วพระองค์จะทรงกลับมาในร่างมนุษย์ได้ยังไง” ฉันอดทนฟังเขาพูดจนจบแล้วจึงพูดไปว่า “อาจารย์คะ ในพระคัมภีร์มีคำเผยพระวจนะมากมายเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า การยึดติดกับข้อใดข้อหนึ่งมันดูใจแคบและไม่ถูกต้องนะคะ ใช่ค่ะ คำเผยพระวจนะเรื่ององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนก้อนเมฆก็มีอยู่ แต่ก็ยังมีอีกหลายตอนที่พูดถึงการเสด็จมาอย่างลับๆ ของพระองค์เหมือนกัน อย่างเช่น ‘เพราะถ้าเจ้าไม่ตื่นขึ้น เราจะมาเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าชั่วโมงไหน’ (วิวรณ์ 3:3) ‘นี่แน่ะ เรากำลังมาเหมือนอย่างขโมย’ (วิวรณ์ 16:15) ‘เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องว่า เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’ (มัทธิว 25:6) ข้อเหล่านี้เผยพระวจนะว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาราวกับโจร ทรงกลับมาอย่างลับๆ ตอนกลางคืน มีคนรู้แค่ไม่กี่คน ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆ ทุกคนจะไม่เห็นพระองค์หมดเหรอคะ แบบนั้นก็ไม่จำเป็น ต้องร้องหาหรือให้คำพยานสิคะ ถ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาอย่างเปิดเผยบนก้อนเมฆอย่างที่เราเชื่อก่อนหน้านี้จริงๆ คุณจะอธิบายคำเผยพระวจนะเรื่องการเสด็จมาอย่างลับๆ ของพระองค์ว่ายังไงคะ องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสัตย์ซื่อ และพระวจนะของพระองค์ก็ไม่เคยว่างเปล่า สิ่งที่พระองค์ตรัสจะเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้น เราจึงพูดได้อย่างมั่นใจว่าการทรงกลับมาของพระองค์จะเกิดขึ้นในสองระยะ ระยะแรกพระองค์จะเสด็จมาอย่างลับๆ แล้วจึงเปิดเผยพระองค์ต่อมนุษยชาติทั้งปวง เมื่อนานมาแล้ว พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจอย่างลับๆ ในหมู่มนุษย์ พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พระคริสต์ในยุคสุดท้าย พระองค์ทรงพระราชกิจแห่งการพิพากษาโดยเริ่มที่พระนิเวศของพระเจ้า ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงทั้งปวงที่ชำระมนุษย์ให้สะอาดและช่วยมนุษย์ให้รอด และจะทรงจัดตั้งกลุ่มผู้ชนะขึ้น เมื่อพระราชกิจลับของพระเจ้าเสร็จสิ้นลง พระองค์จะทรงปลดปล่อยความวิบัติมากมาย ให้รางวัลคนดี และลงโทษคนชั่วทุกคน บนก้อนเมฆ พระองค์จะทรงกลับมาและทรงปรากฏต่อมนุษย์ทุกคนอย่างเปิดเผย ในตอนนั้นเอง ทุกคนที่ต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะถูกความวิบัติกวาดล้าง จะร่ำไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในที่สุดนี่ก็เป็นจริงตามวิวรณ์บทที่ 1 ข้อ 7 ซึ่งกล่าวว่า ‘นี่แน่ะ พระองค์จะเสด็จมาพร้อมกับหมู่เมฆ และนัยน์ตาทุกดวงจะเห็นพระองค์ แม้แต่คนทั้งหลายที่แทงพระองค์ และมนุษย์ทุกเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะคร่ำครวญเพราะพระองค์’ คนที่จำได้ว่า พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระสุรเสียงที่แท้จริงของพระเจ้า หันหาพระองค์และยอมรับการพิพากษาของพระเจ้า อีกทั้งได้รับการชำระให้สะอาด พระเจ้าจะทรงคุ้มครองเขาจากความวิบัติ และจะได้เข้าสู่ราชอาณาจักรของพระเจ้าโดยชอบธรรม พระราชกิจลับของพระเจ้าคือพระราชกิจเพื่อช่วยมนุษยชาติให้รอด เมื่อพระองค์ทรงปรากฏต่อมนุษย์อย่างเปิดเผย มันก็จะสายไปแล้วที่จะยอมรับพระองค์ นั่นจะเป็นตอนที่คนชั่วร้ายจะถูกลงโทษ ฉันเข้าใจทั้งหมดนี้จากการอ่านและยอมรับพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ค่ะ ฉันตระหนักได้ว่า พระเจ้าเท่านั้นที่สามารถเปิดเผยความจริงและความลึกลับนี้ได้ และพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือองค์พระเยซูเจ้าที่ทรงกลับมาค่ะ” ฉันเลยบอกศิษยาภิบาลจินไป ว่าฉันอธิษฐานว่าเขาจะตรวจสอบพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้าย
เขาก็แค่มองฉันอย่างไม่พอใจแล้วพูดว่า “เธอไม่ได้รู้เรื่องพระคัมภีร์มากขนาดนั้น แต่เธอมาเทศนาฉันงั้นเหรอ สิ่งที่เธอรู้เกี่ยวกับพระคัมภีร์ฉันก็เป็นคนสอนไม่ใช่เหรอ” การที่เขาพูดใส่ฉันแบบนั้นมันน่าผิดหวังมากค่ะ นี่ใช่อาจารย์จินที่ฉันรู้จักรึเปล่า เขามักจะดูเป็นคนถ่อมตัวเสมอ อย่างน้อยก็สำหรับฉัน เขามักบอกพวกเราทุกคน ให้เป็นอย่างหญิงพรหมจารีมีปัญญาและเตรียมตัวรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระองค์ทรงกลับมา แต่ตอนนี้เขากลับไม่ได้มองหาการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเลย แถมยังหัวเราะเยาะด้วยซ้ำ ฉันแค่ไม่เข้าใจและอยากช่วยเขาจริงๆ ค่ะ ฉันเลยพูดไปว่า “คุณรู้เรื่องพระคัมภีร์เยอะกว่าฉันมาก ดังนั้นคุณก็ควรมีหัวใจที่นอบน้อมและมองหาการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า คุณควรตรวจสอบดูนะคะ! พวกฟาริสีทุกคนต่างก็รู้พระคัมภีร์อยู่ในหัวใจ และคิดว่ารู้จักพระเจ้าแล้ว เช่นเดียวกับที่รู้พระคัมภีร์ แต่พอองค์พระเยซูเจ้าเสด็จมาทรงพระราชกิจ พวกเขากลับไม่ตรวจสอบ พวกเขายึดติดอยู่กับพระคัมภีร์อย่างเดียว คิดว่าองค์หนึ่งเดียวที่เรียกว่า ‘พระเมสสิยาห์’ เท่านั้นที่เป็นพระเจ้าได้ และผู้ที่ปลดปล่อยพวกเขาจากชาวโรมันได้เท่านั้นที่เป็นพระเจ้าได้ พวกเขากล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าเพราะมโนคติที่หลงผิด แล้วท้ายที่สุดก็ตรึงพระองค์บนกางเขน พวกเขาทำให้พระเจ้าทรงขุ่นเคืองและถูกพระเจ้าทรงลงโทษ คุณคิดว่า ถ้าใครรู้เรื่องพระคัมภีร์มากๆ แปลว่าเขาคนนั้นรู้จักพระเจ้า และจะไม่ต่อต้านองค์พระผู้เป็นเจ้าเหรอคะ เราต้องเรียนรู้จากพวกฟาริสีกับความผิดพลาดของพวกเขา และไม่ด่วนกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคสุดท้ายนะคะ เราต้องเปิดใจและพยายามฟังพระสุรเสียงของพระเจ้าเสมอ ตอนนั้นเท่านั้นที่เราจะรับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าได้อย่างแท้จริง!” พอเห็นว่าฉันไม่ฟังสิ่งที่เขาแนะนำ เขาเลยพูดอย่างขมขื่นว่า “เพราะว่าหลายปีในฐานะผู้เชื่อ เธอเคร่งมาตลอด ฉันจะอธิษฐานให้เธอ ออกมาจากคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ซะ!” แล้วเขาก็ตบเท้าเดินจากไปอย่างโกรธเกรี้ยว
หลังจากเขาไปแล้ว ฉันก็คิดว่า “ทำไมเขาถึงไม่จริงจังกับการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้านะ เขามักบอกเราให้แสวงหาด้วยหัวใจที่นอบน้อมอยู่เสมอ แล้วทำไมเขาถึงมีนิสัยผิดแปลกไปแบบนี้” ฉันรู้สึกมาตลอดว่าศิษยาภิบาลจินเป็นเหมือนพ่อแม่ในการเชื่อของฉัน ฉันถามเขาได้ทุกเรื่อง และเขาก็มักตอบอย่างใจเย็น ยกข้อพระคัมภีร์มาประกอบเสมอ เขามักถามว่าครอบครัวฉันเป็นยังไงบ้าง สบายดีไหม และอธิษฐานให้เราเวลาที่เรามีปัญหา เขาเชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้ามาตลอด ทำงานและทุ่มเทตัวเองเต็มที่ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เพื่อการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าเหรอ ฉันจะรอไปก่อน สิ่งเดียวที่ฉันต้องทำคือคุยกับเขาเรื่องพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายอีกที
สองวันต่อมา ศิษยาภิบาลจินมาที่แผงผลไม้ของเราอีกครั้ง ฉันคิดว่าเขาไปดูพระคัมภีร์มาแล้วแน่นอน และเข้าใจแล้วว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาและทรงพระราชกิจยังไง แต่ไม่ใช่เลย ฉันประหลาดใจมากที่เขาพูดว่า “มัคนายกลี่ พระคัมภีร์กล่าวไว้ว่า ‘ชาวกาลิลีเอ๋ย ทำไมพวกท่านถึงยืนจ้องมองฟ้าสวรรค์? พระเยซูองค์นี้ที่ทรงรับไปจากท่านทั้งหลายขึ้นไปยังสวรรค์นั้น จะเสด็จมาอีกในลักษณะเดียวกับที่ท่านทั้งหลายได้เห็นพระองค์เสด็จไปยังสวรรค์นั้น’ (กิจการ 1:11) นี่มันชัดเจนและกระจ่างมากเลยนะ องค์พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสู่สวรรค์บนเมฆขาวในร่างของมนุษย์ชาวยิว ดังนั้น พระองค์ก็จะทรงกลับมาบนเมฆขาวในร่างของมนุษย์ชาวยิว เธอถูกหลอกแล้ว เธอต้องหันกลับมาซะ” เขากำลังยึดอยู่กับแนวคิดที่ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จกลับมาหาเราบนก้อนเมฆ พิพากษาและกล่าวโทษพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันไม่เข้าใจเลย และคิดว่า “ในพระคัมภีร์ก็มีคำเผยพระวจนะเรื่องการทรงกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ตั้งเยอะ ทำไมเขาถึงไม่ตรวจสอบเลย” ตอนนั้นเอง ฉันก็นึกถึงพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ขึ้นมาบทตอนหนึ่ง ฉันเลยอ่านให้เขาฟัง “เราบอกพวกเจ้าเลยว่า พวกที่เชื่อในพระเจ้าเนื่องจากหมายสำคัญทั้งหลาย เป็นหมวดหมู่ที่จะถูกทำลายอย่างแน่นอน พวกที่ไม่สามารถรับพระวจนะของพระเยซูผู้ทรงกลับมาสู่เนื้อหนังได้นั้นคือผู้สืบสันดานของนรก คือพงศ์พันธุ์ของหัวหน้าทูตสวรรค์ คือหมวดหมู่ที่จะต้องอยู่ภายใต้การทำลายล้างชั่วนิรันดร์กาลอย่างแน่นอน ผู้คนมากมายอาจไม่ใส่ใจในสิ่งที่เราพูด แต่เรายังอยากบอกทุกคนที่ได้ชื่อว่านักบุญผู้ติดตามพระเยซูว่า เมื่อพวกเจ้ามองเห็นพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์บนเมฆขาวด้วยตาของพวกเจ้าเองแล้ว นี่จะเป็นการปรากฏต่อสาธารณะของดวงอาทิตย์แห่งความชอบธรรม บางทีนั่นอาจเป็นเวลาแห่งความตื่นเต้นอย่างใหญ่หลวงสำหรับเจ้า ทว่าเจ้าควรรู้ว่าเวลาที่เจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์ยังเป็นเวลาที่เจ้าจะลงสู่นรกเพื่อรับการลงโทษด้วยเช่นกัน นั่นจะเป็นเวลาที่แผนการบริหารจัดการของพระเจ้ามาถึงบทอวสาน และนั่นจะเป็นเวลาที่พระเจ้าทรงปูนบำเหน็จรางวัลแก่คนดีและลงโทษคนชั่ว เพราะการพิพากษาของพระเจ้าจะสิ้นสุดลงก่อนที่มนุษย์จะมองเห็นหมายสำคัญทั้งหลาย ในเวลาที่มีเพียงการแสดงออกของความจริงเท่านั้น บรรดาผู้ที่ยอมรับความจริงและไม่แสวงหาหมายสำคัญ และดังนั้นจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้ว จะได้หวนคืนมาอยู่หน้าบัลลังก์ของพระเจ้า และเข้าสู่อ้อมกอดของพระผู้สร้าง มีเพียงบรรดาผู้ที่ยืนกรานในการเชื่อว่า ‘พระเยซูผู้ไม่ได้ประทับมาบนเมฆขาวทรงเป็นพระคริสต์เทียมเท็จ’ เท่านั้นที่จะต้องอยู่ภายใต้การลงโทษชั่วนิรันดร์กาล เพราะพวกเขาเชื่อในพระเยซูผู้ทรงจัดแสดงหมายสำคัญเท่านั้น แต่ไม่ยอมรับพระเยซูผู้ทรงป่าวประกาศการพิพากษาที่รุนแรงและปลดปล่อยหนทางที่แท้จริงและชีวิต และดังนั้น จึงเป็นได้เพียงว่าพระเยซูทรงจัดการกับพวกเขาเมื่อพระองค์ทรงกลับมาบนเมฆขาวอย่างเปิดเผย พวกเขาดื้อรั้นเกินไป มั่นใจในตัวเองเกินไป โอหังเกินไป พวกคนเสื่อมเช่นนั้นจะสามารถได้รับการปูนบำเหน็จรางวัลจากพระเยซูได้อย่างไร?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) เขาโกรธมากและพูดกับฉันว่า “พระคัมภีร์ชัดเจนมาก ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงกลับมาหาเรายังไง ทำไมเธอยังต้องอ่านหนังสือเล่มอื่นอยู่ล่ะ ถ้าพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์คือพระเจ้าเที่ยงแท้หนึ่งเดียว ทำไมผู้นำทางศาสนาทุกคนถึงกล่าวโทษพระองค์ เธอต้องกลับหลังหันเดี๋ยวนี้! ฉันขอให้มัคนายกเพี่ยวสามีของเธอช่วยพูดให้แล้ว แต่เธอก็หัวแข็งเหลือเกิน” หลังจากเขาพูดทั้งหมดนี้ ฉันก็ได้ตอบไปว่า “อาจารย์คะ คุณเคยอ่านหนังสือ พระวจนะทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ไหม ในหนังสือเล่มนี้ คือพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ในยุคแห่งราชอาณาจักร พระวจนะที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้เป็นความจริงทั้งหมด คุณต้องอ่านดูนะคะ อย่าเอาแต่กล่าวโทษ…” แต่เขาก็ตัดบทฉัน แล้วพูดคำเหล่านี้ใส่ฉัน “ฉันเคยอ่านเมื่อนานมาแล้ว นี่ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้า และเธอก็ไม่ควรไปอ่าน” พอได้ยินทุกอย่างที่เขาพูด ฉันก็รู้สึกรังเกียจมากเลยค่ะ เขาช่างหยาบคายเหลือเกิน! มันไร้สาระจริงๆ! พระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์เท่านั้นที่เป็นความจริง มันเปี่ยมมหิทธิฤทธิ์และสิทธิอำนาจ เขาไม่เข้าใจเลย เขาไม่ใช่หนึ่งในแกะของพระเจ้า จากนั้นเขาก็พูดใส่ฉันด้วยความโกรธว่า “ถ้าเธอยังเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป เวลาเกิดเรื่องยากลำบากก็อย่ามาโทษฉันแล้วกัน ฉันจะไปบอกทางคริสตจักรว่าเธอเชื่อเรื่องนอกศาสนา และฉันจะขับไล่เธอซะ เธอจะถูกเกลียดชัง เป็นพวกนอกคอกตลอดไป”
ฉันอึ้งไปเลยค่ะ แล้วก็คิดว่า “คุณตีความความจริงผิดเพี้ยนไปหมด! ฉันได้รับเสด็จองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พูดออกมาได้ยังไงว่าฉันเชื่อเรื่องนอกศาสนา ไม่ใช่แค่คุณไม่ยอมรับพระราชกิจของพระเจ้า แต่คุณยังดูหมิ่นและขับไล่ฉันอีก นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนที่เชื่อมานานควรทำหรอกค่ะ!” ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น สามีตะคอกใส่ฉันว่า “อาจารย์จินบอกว่า ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์จะถูกขับไล่ออกจากคริสตจักรตลอดไป คุณไม่กลัวว่ามันจะเกิดขึ้นกับตัวเองเหรอ ถ้าถูกพี่น้องชายหญิงปฏิเสธ เราจะทำยังไง บางคนก็รู้เรื่องความเชื่อใหม่ของคุณแล้ว และเมินใส่เวลาที่พวกเขาเดินผ่านแผงของเรา คุณไปที่คริสตจักรนั่นอีกไม่ได้แล้วนะ!” ฉันรู้เลยว่าศิษยาภิบาลจินนั่นเองที่มาบอกสามีให้ช่วยหยุดฉัน ฉันไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะขู่ขับไล่คนอื่น เพื่อห้ามไม่ให้พวกเขาสอบสวนหนทางที่แท้จริง มันช่างร้ายกาจและชั่วร้ายเหลือเกิน! ฉันเคยคิดเสมอว่าเขาเป็นคนถ่อมตัวและเป็นที่รักใคร่ ตลอดหลายปีที่เขารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้ามา แต่ทั้งหมดนั้นเป็นฉากหน้าเพื่อตบตาคน ฉันนึกถึงหมอสอนศาสนาในหนังเรื่องนั้น ที่ทำตัวเคร่งศาสนาในหมู่ผู้เชื่อ แต่แอบไปข่มขู่พวกเขาทุกคน และพยายามหยุดยั้งไม่ให้พวกเขาสอบสวนหนทางที่แท้จริง ศิษยาภิบาลจินกำลังทำแบบเดียวกับหมอสอนศาสนาในหนังเป๊ะเลย เขาทำให้ฉันรู้สึกรังเกียจมาก ความทรงจำดีๆ ระหว่างฉันกับเขาถูกทำลายไปในพริบตา พอเห็นว่าฉันไม่สนใจ เขาก็จากไปด้วยความผิดหวัง
แต่ในช่วงสองสัปดาห์หลังจากนั้น เขาก็แวะมาหาฉันที่แผงอยู่สองสามครั้ง พยายามที่จะโน้มน้าวให้ฉันล้มเลิกความเชื่อ และทรยศต่อพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ แล้วในวันหนึ่ง เขาก็บุกมาที่แผงของเราด้วยความโมโหจนควันออกหู และถึงกับไม่เรียกฉันว่ามัคนายก แต่กลับโพล่งในสิ่งทำให้ฉันประหลาดใจว่า “เธอจะเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์หรือพาลูกทั้งสองคนไปเข้าร่วมไม่ได้นะ! ครอบครัวสามีของเธอก็เป็นผู้เชื่อที่เคร่งกันทั้งนั้น ปู่ย่าของเด็กสองคนนั้นก็เคร่งมากทั้งคู่ ฉันปล่อยให้เธอคนเดียวทำลายครอบครัวนั้นไม่ได้!” คำกล่าวหาของเขาทำให้ฉันโกรธมาก การเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของฉันแปลว่าฉันจะถูกรับขึ้นไปเฉพาะพระบัลลังก์ของพระเจ้า นี่คือเรื่องน่าอัศจรรย์ แล้วเขาจะมากล่าวหากันแย่ๆ แบบนั้นได้ยังไง ที่ฉันโกรธยิ่งกว่าเดิมก็คือ เขาไม่ได้ห้ามฉันอย่างเดียว แต่พยายามควบคุมสิทธิ์ในการเชื่อของลูกๆ ฉันด้วย เขาหยุดยั้งคนอื่นไม่ให้แสวงหาหนทางที่แท้จริงได้ยังไง ฉันเลยพูดออกไปตรงๆ อย่างหนักแน่นด้วยความกล้าหาญว่า “แกะของพระเจ้าได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ และคุณก็หยุดยั้งคนอื่นไม่ให้เชื่อในพระเจ้าไม่ได้ค่ะ ลูกๆ ของฉันอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์และจดจำพระสุรเสียงของพระเจ้าได้ นั่นคือการทรงนำของพระเจ้า! เมื่อก่อน ตอนที่ฉันสอบสวนนิกายอื่น ลูกๆ ของฉันไม่อยากไปเลย ตอนนี้พวกเขาอยากเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขามีอิสระที่จะเชื่อในพระองค์ และฉันก็จะไม่ห้ามด้วย คุณมีสิทธิ์อะไรมาพยายามพรากอิสระนั้นไปจากพวกเขา” เขาหยุด และพูดไม่ออกไปชั่วขณะ จากนั้นก็สาปแช่งฉันด้วยความโกรธและตบเท้าเดินจากไป ฉันตกใจกับสิ่งที่ศิษยาภิบาลจินทำมากค่ะ เขามักจะสนับสนุนฉันและอธิษฐานให้ครอบครัวของฉันเสมอ ทำไมเขาโหดร้ายได้ขนาดนี้ เขาลงโทษ เหยียดหยาม และสาปแช่งฉัน แค่เพราะฉันยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายน่ะเหรอ ฉันยิ่งกว่าสับสนอีกค่ะ
หลังจากนั้นสักพัก ฉันได้แบ่งปันข่าวประเสริฐของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์กับพี่สาวสองคนจากคริสตจักรเก่าของฉัน พวกเธอดีใจที่ได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และเราก็คุยกันตลอด แต่ไม่นาน ศิษยาภิบาลจินก็รู้เรื่องที่พวกเธอฟังพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ฉันไม่รู้ว่าเขาไปขู่พวกเธอยังไง หรือว่าเขาทำอะไร แต่พวกเธอเลิกคุยกับฉันและเริ่มหลบหน้าฉัน ฉันผิดหวังและโกรธมากๆ ค่ะ แล้วสิ่งที่องค์พระเยซูเจ้าพูดกับพวกฟาริสีก็ผุดขึ้นมาในความคิด “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด! พวกเจ้าปิดประตูแผ่นดินสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่เข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ไม่ยอม” (มัทธิว 23:13) “วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าไปทั่วทั้งทางบกและทางทะเล เพื่อจะได้สักคนหนึ่งเข้าจารีต แต่เมื่อได้แล้ว ก็ทำให้เขาตกนรกยิ่งกว่าพวกเจ้าเองถึงสองเท่า” (มัทธิว 23:15) ศิษยาภิบาลจินปฏิเสธที่จะยอมรับพระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้าย และทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งไม่ให้คนอื่นยอมรับค่ะ เขาใช้การข่มขู่ทุกรูปแบบกับพี่น้องชายหญิง เขาไม่ได้กำลังเป็นเหมือนพวกฟาริสีเมื่อหลายปีก่อนนั้นเหรอคะ เขาหันหลังให้ราชอาณาจักรของพระเจ้า แถมยังพยายามหยุดยั้งคนอื่น เขาฉุดคนอื่นให้ตกนรกไปกับตัวเอง นี่คือเรื่องชั่วร้ายและพระเจ้าก็จะลงโทษเขา!
ต่อมา ฉันอยู่ที่การชุมนุม และได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้พี่น้องชายหญิงฟัง พี่สาวลี่เลยอ่านพระวจนะของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์บางส่วนให้ฟัง “พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ต้นตอหรือไม่ว่าทำไมพวกฟาริสีจึงต่อต้านพระเยซู? พวกเจ้าปรารถนาที่จะรู้ธาตุแท้ของพวกฟาริสีหรือไม่? พวกเขาเต็มไปด้วยความเพ้อฝันเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์ ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ พวกเขาเชื่อเพียงว่าพระเมสสิยาห์จะเสด็จมา ทว่าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริงของชีวิต และดังนั้น แม้กระทั่งวันนี้พวกเขาก็ยังคงรอคอยพระเมสสิยาห์ เพราะพวกเขาไม่มีความรู้เกี่ยวกับหนทางแห่งชีวิต และไม่รู้ว่าหนทางแห่งความจริงคืออะไร พวกเจ้าพูดว่า ผู้คนที่โง่เขลา ดื้อรั้น และไม่รู้เท่าทันเช่นนั้นได้รับพรของพระเจ้าได้อย่างไร? พวกเขาจะสามารถมองเห็นพระเมสสิยาห์ได้อย่างไร? พวกเขาต่อต้านพระเยซูเพราะพวกเขาไม่รู้ทิศทางของพระราชกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพราะพวกเขาไม่รู้หนทางแห่งความจริงที่พระเยซูตรัส และยิ่งไปกว่านั้น เพราะพวกเขาไม่เข้าใจพระเมสสิยาห์ และเนื่องจากพวกเขาไม่เคยพบเห็นพระเมสสิยาห์และไม่เคยได้ร่วมเคียงกับพระเมสสิยาห์ พวกเขาทำผิดพลาดที่ยึดติดกับเพียงแค่พระนามของพระเมสสิยาห์ ในขณะที่ต่อต้านเนื้อแท้ของพระเมสสิยาห์ในทุกวิถีทางที่เป็นไปได้ โดยธาตุแท้แล้ว พวกฟาริสีเหล่านี้ดื้อรั้น โอหัง และไม่เชื่อฟังความจริง หลักการของความเชื่อที่พวกเขามีในพระเจ้าคือ ไม่สำคัญว่าการประกาศของพระองค์จะลุ่มลึกเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าสิทธิอำนาจของพระองค์จะสูงส่งเพียงใดก็ตาม พระองค์ไม่ใช่พระคริสต์หากพระองค์ไม่ได้รับการขนานพระนามว่าพระเมสสิยาห์ การเชื่อนี้ไม่ได้โง่เขลาและไร้สาระน่าขันหรอกหรือ?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ในเวลาที่เจ้าได้เห็นกายจิตวิญญาณของพระเยซู พระเจ้าจะได้ทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดินโลกขึ้นใหม่แล้ว) “มีบรรดาผู้ที่อ่านพระคัมภีร์ในคริสตจักรอันอลังการและสวดท่องพระคัมภีร์ตลอดทั้งวัน แต่กระนั้นก็ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่เข้าใจจุดประสงค์ของพระราชกิจของพระเจ้า ไม่มีใครสักคนท่ามกลางพวกเขาที่สามารถรู้จักพระเจ้า นับประสาอะไรที่คนหนึ่งคนใดท่ามกลางพวกเขาจะสามารถปฏิบัติโดยสอดคล้องกับน้ำพระทัยของพระเจ้า พวกเขาทั้งหมดเป็นคนถ่อยไร้ค่า และแต่ละคนยืนค้ำหัวสั่งสอนพระเจ้า พวกเขาตั้งใจต่อต้านพระเจ้าแม้ขณะที่พวกเขาถือธงประจำของพระองค์ พวกเขาอ้างความเชื่อในพระเจ้า แต่ยังคงกินเนื้อหนังและดื่มโลหิตของมนุษย์ ผู้คนเช่นนั้นทั้งหมดคือเหล่ามารที่กลืนกินดวงจิตของมนุษย์ เหล่าปีศาจผู้เป็นหัวหน้าที่จงใจขวางทางผู้ที่พยายามก้าวลงบนเส้นทางที่ถูกต้อง และคือเครื่องสะดุดทั้งหลายที่คอยขัดแข้งขัดขาผู้ที่แสวงหาพระเจ้า พวกเขาอาจดูมี ‘องค์ประกอบอันเพียบพร้อม’ แต่ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า คนเหล่านั้นมิใช่สิ่งอื่นใดนอกเสียจากศัตรูของพระคริสต์ที่นำผู้คนให้ยืนต้านพระเจ้า? ผู้ติดตามของพวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่า พวกเขาคือมารที่มีชีวิตซึ่งทุ่มเทอุทิศเพื่อการกลืนกินดวงจิตของมนุษย์?” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ผู้คนทั้งหมดที่ไม่รู้จักพระเจ้าคือผู้คนที่ต่อต้านพระเจ้า)
แล้วเธอก็ได้แบ่งปันกับเราว่า “พระวจนะของพระเจ้าอธิบายชัดเจน ถึงรากเหง้าของการที่พวกฟาริสีและนักบวช ต่อต้านพระเจ้า หลักๆ เป็นเพราะพวกเขาดื้อด้านและโอหังมากเกินไป พวกเขาไม่เกรงกลัวพระเจ้าเลย และพวกเขาเกลียดความจริงยิ่งกว่าอะไรทั้งปวง ในยุคขององค์พระเยซูเจ้า พวกฟาริสี มักจะเทศนาตามพระคัมภีร์ในธรรมศาลา และดูเคร่งศาสนามาก แต่เมื่อองค์พระผู้เป็นเจ้าเสด็จมาเพื่อทรงพระราชกิจของพระองค์ แม้พวกเขาจะรู้ว่าพระวจนะของพระองค์เปี่ยมไปด้วยสิทธิอำนาจและฤทธานุภาพ แต่พวกเขาก็ยังปฏิเสธที่จะสนใจ พวกเขารู้สึกโดนคุกคามและกลัวว่าผู้เชื่อของพวกเขาจะติดตามองค์พระเยซูเจ้า ทำให้พวกเขาสูญเสียความมั่งคั่งและสถานะไป พวกเขาเลยสร้างข่าวลือและเตรียมคำพยานเทียมเท็จ ทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อกล่าวโทษองค์พระเยซูเจ้า พวกเขาทำทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งผู้คนไม่ให้ไปติดตามพระองค์ และในที่สุดก็ตรึงกางเขนพระองค์ ก่อบาปที่ชั่วร้ายเลวทราม จากการที่พวกเขาปฏิบัติต่อองค์พระเยซูเจ้า และความจริงเองก็ดี รวมถึงการที่พวกเขาต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อควบคุมหัวใจและความคิดของผู้คน มันก็ชัดเจนว่าพวกฟาริสีไม่ได้รับใช้พระเจ้า พวกเขาเป็นศัตรูของพระคริสต์ผู้เกลียดทั้งความจริงและพระเจ้าต่างหาก ศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสที่ประกาศอยู่ในโลกศาสนาตอนนี้ ต่างก็รู้พระคัมภีร์ค่อนข้างดี พวกเขาสามารถประกาศพระคัมภีร์และทฤษฎีต่างๆ ทางศาสนาของพวกเขาได้ อีกทั้งพวกเขาก็ดูถ่อมตัวและเคร่งศาสนา แต่ตอนนี้พระเจ้าทรงบังเกิดเป็นมนุษย์เพื่อทรงพระราชกิจแล้ว พวกเขาก็รู้ว่าคริสตจักรแห่งพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ให้คำพยานมาตลอดหลายปีว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาแล้ว ว่าพระองค์ทรงแสดงให้เห็นถึงความจริงและทรงทำการพิพากษา แต่พวกเขาก็ปฏิเสธที่จะตรวจสอบ รวมถึงต่อต้านและกล่าวโทษพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ พวกเขายึดติดอยู่กับถ้อยคำในพระคัมภีร์และแนวคิดผิดๆ มากมายของตัวเอง พวกเขาคิดว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับมาบนก้อนเมฆได้เท่านั้น พวกเขาพูดเรื่องนอกศาสนาไปต่างๆ นานา แถมยังโกหกและวางกับดักผู้ที่เชื่อ กีดกันพวกเขาออกจากหนทางที่แท้จริง พวกเขายึดเหนี่ยวแกะของพระเจ้าเอาไว้แน่นและต่อสู้กับพระเจ้าเพื่อฝูงแกะนั้น พวกเขากำลังทำแบบที่พวกฟาริสีทำเมื่อหลายปีก่อนเลย พวกเขาเกลียดพระราชกิจทั้งหมดของพระเจ้า เกลียดความจริง และต่อต้านพระคริสต์ในยุคสุดท้าย พวกเขาคือผู้รับใช้ที่ชั่วร้าย และเป็นศัตรูของพระคริสต์ที่ถูกเปิดโปงโดยพระราชกิจของพระเจ้า”
พอได้ยินเธอแบ่งปันการสามัคคีธรรมนี้ก็ทำให้ฉันรู้สึกกระจ่างขึ้นค่ะ พระราชกิจของพระเจ้านั้นฉลาดมาก! พระราชกิจของพระเจ้าในยุคสุดท้ายเปิดโปงพวกฟาริสีและความหน้าซื่อใจคดของพวกเขา ศิษยาภิบาลกับผู้อาวุโสพวกนี้ พวกผู้รับใช้เทียมเท็จพวกนี้ มีแต่ต่อต้านพระเจ้า พวกเขาคือศัตรูของพระคริสต์ที่ปฏิเสธและต่อต้านพระคริสต์ เป็นปีศาจที่ต้องการกลืนกินวิญญาณของเรา! การถูกศิษยาภิบาลจินหลอกลวง ทำให้เมื่อก่อนฉันไม่เคยเห็นถึงการเสแสร้งจอมปลอมของเขาเลย ฉันมักจะคิดว่าเขารับใช้องค์พระผู้เป็นเจ้า เขาคือผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ นั่นคือเหตุผลที่ฉันเห็นเขาเป็นพ่อแม่ทางจิตวิญญาณของฉัน ตอนที่ฉันเห็นศิษยาภิบาลและผู้อาวุโสในหนังเรื่องนั้น ทำทุกทางเพื่อกีดกันผู้คนออกจากหนทางที่แท้จริง ฉันก็ยังใช้ความเชื่อแบบผิดๆ ของตัวเอง คิดว่าศิษยาภิบาลจินนั้นต่างออกไป พอฉันยอมรับในพระราชกิจของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ และศิษยาภิบาลจินก็พยายามจะหยุดยั้งฉันในทุกทาง สุดท้ายฉันก็ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงเยี่ยงคนหน้าซื่อใจคดของเขา และตระหนักได้ว่า เขาคือศัตรูของพระคริสต์ ผู้ซึ่งเกลียดความจริงและต่อต้านพระเจ้าค่ะ ในที่สุดฉันก็เป็นอิสระจากพันธนาการของพวกฟาริสีและศัตรูของพระคริสต์แห่งโลกศาสนาแล้วค่ะ ฉันได้กลับไปหาพระเจ้าและร่วมพิธีเสกสมรสของพระเมษโปดก
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ