การหลุดพ้นจากความวิตกกังวลเรื่องอาการป่วย
แม่ของฉันเป็นมะเร็งและเสียชีวิตไปก่อนฉันแต่งงาน ส่วนพ่อของฉันพออายุได้ 57 ปีก็เป็นโรคความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดแตก จนท่านกลายเป็นอัมพฤกษ์ และป่วยติดเตียงอยู่ 15 ปี สุดท้ายก็จากไปอย่างทุกข์ทรมานแสนสาหัส ภาพที่ฉันเห็นพ่อนอนเจ็บปวดอยู่บนเตียงเกิดเป็นเงาดำมืดในใจฉัน ฉันเป็นความดันโลหิตสูงและมีอาการเจ็บหน้าอก บางครั้งฉันจะรู้สึกชาไปครึ่งศีรษะ และรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่มแทง ฉันยังมีปัญหาสุขภาพสารพัดรูปแบบ และต้องทานยาระยะยาว ฉันตระหนักว่าฉันมีอาการแบบเดียวกับพ่อ และกังวลอยู่ตลอดว่า “ตอนนี้ฉันก็อายุมากขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเกิดฉันช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เหมือนพ่อล่ะ? แบบนั้นฉันจะใช้ชีวิตยังไง? ฉันจะทำหน้าที่และไล่ตามเสาะหาความจริงได้ยังไง? ถ้าฉันทำหน้าที่ไม่ได้ ฉันจะได้รับการช่วยให้รอดได้ยังไง?” ดังนั้นเวลาอาการกำเริบ ฉันก็จะถูกรบกวนจากความรู้สึกวิตกกังวล ครั้งหนึ่ง คริสตจักรต้องการคนมาเกื้อหนุนโดยด่วน ผู้นำระดับสูงมาคุยกับฉันว่าจะให้ไปช่วย แต่ฉันก็คิดว่า “คริสตจักรแห่งนั้นมีปัญหามากมาย ถ้าไปฉันก็จะต้องยุ่งยากมากและต้องทุ่มเทอย่างหนัก สุขภาพของฉันไม่ดีอยู่แล้ว นี่จะทำให้ฉันเหนื่อยมากขึ้นไปอีก อาการฉันจะแย่ลงเรื่อยๆ ไหม? เกิดฉันป่วยขึ้นมาจริงๆ จะทำยังไง?” ดังนั้นฉันจึงปฏิเสธข้อเสนอ สองสามเดือนต่อมา คริสตจักรนั้นต้องการคนช่วยจริงๆ ผู้นำระดับสูงมาคุยกับฉันเรื่องนี้อีกครั้ง ฉันรู้สึกผิดจริงๆ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้คำนึงถึงน้ำพระทัย เลยค่อนข้างหนักใจหลังจากนั้น ฉันไม่อาจปฏิเสธหน้าที่นั้นได้อีก จึงตอบตกลงที่จะไป
แต่ทันทีที่ไปถึงคริสตจักรนั้น ฉันก็เห็นว่างานของพวกเขาไม่สัมฤทธิ์ผลเลย และฉันก็รู้สึกกดดันมาก ถ้าฉันอยากให้ผลของงานดีขึ้นก็มีปัญหามากมายที่ต้องแก้ไข และนี่จะยากมาก จิตใจของฉันปั่นป่วนอยู่ตลอดเวลา ฉันเริ่มรู้สึกชาที่ศีรษะอีกครั้ง และรู้สึกไม่สบาย ราวกับว่ามีแมลงกำลังไต่อยู่ในสมอง ฉันนอนไม่หลับ และรู้สึกไร้พลังงานในระหว่างวัน ฉันรู้สึกอ่อนเปลี้ยไปหมดและไม่มีเรี่ยวมีแรงเลย ฉันค่อนข้างเป็นกังวล อาการของฉันจะแย่ลงเรื่อยๆ ไหม? ถ้าฉันเส้นเลือดอุดตันเหมือนที่พ่อเป็น ฉันจะล้มพับลงไปไหม? ถ้าเกิดฉันกลายเป็นผัก เป็นอัมพาต หรือถึงกับเสียชีวิต ฉันจะทำหน้าที่และได้รับความรอดได้ยังไง? ความกังวลเรื่องอาการป่วยรบกวนฉัน และถึงแม้ฉันรับผิดชอบงานข่าวประเสริฐ แต่ฉันก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับรายละเอียดของปัญหา ฉันแทบจะไม่กำกับดูแลรายละเอียดของงาน เพราะกลัวว่าถ้าฉันหมดเรี่ยวแรงไปฉันจะป่วยติดเตียงเอาได้ ฉันร้อนอกร้อนใจจริงๆ และอยากส่งงานข่าวประเสริฐที่วุ่นวายนี้ให้กับผู้นำที่ได้รับเลือกมาใหม่ เดิมทีงานข่าวประเสริฐของคริสตจักรแห่งนี้ก็ไม่ได้สัมฤทธิ์ผลมากนัก แถมฉันก็ยังไม่แก้ไขปัญหาโดยละเอียด นั่นแปลว่างานไม่ได้ดีขึ้นเลย ตอนนั้นฉันกังวลว่าอาการของฉันจะแย่ลงหรือไม่ ถ้าเกิดมันกำเริบขึ้นมาฉันก็จะเสียชีวิต ถ้าเสียชีวิต ฉันจะไม่สามารถทำหน้าที่และได้รับการช่วยให้รอดได้ แต่ฉันคิดว่าฉันอยู่ระหว่างทำหน้าที่ ดังนั้นพระเจ้าก็ควรคุ้มครองฉัน และฉันคงจะไม่เจ็บป่วยร้ายแรง ดังนั้น ฉันจึงรู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย แต่ความกังวลยังคงตามหลอกหลอนฉันเป็นพักๆ ยิ่งเวลาฉันเห็นพี่ชายที่ทำงานกับฉัน เขาอายุ 70 กว่าปีแล้วแต่ไม่มีปัญหาสุขภาพ ขณะที่ฉันอายุน้อยกว่าเขา แต่เจ็บออดๆ แอดๆ ฉันก็อดเสียใจไม่ได้ว่า “พี่คนนั้นสุขภาพดี และต้องทำหน้าที่ได้สบายมาก ทำไมฉันถึงสุขภาพไม่ดีนะ?” ฉันรู้สึกสิ้นหวังจริงๆ และค่อนข้างคิดลบในหน้าที่ ปลายเดือนธันวาคมปี 2022 ได้เกิดโรคระบาดขึ้น ฉันมีโรคประจำตัวเยอะอยู่แล้ว แล้วดันมาติดเชื้อโควิดอีก ฉันมีไข้ รู้สึกอ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว และไอเป็นเลือด ฉันเบื่ออาหาร และกินข้าวไม่ลงอยู่สองสัปดาห์ ตอนนั้นฉันรู้สึกแย่มาก ฉันคิดว่า “จบสิ้นแล้ว สุขภาพฉันพังหมดแล้วจริงๆ ถ้าฉันเสียชีวิต ฉันจะยังทำหน้าที่ได้ยังไง? คนบางคนเป็นโควิด ไออยู่สองสามวันก็หาย แต่ฉันไม่เคยหยุดทำหน้าที่ แถมยังมีไข้สูงตั้งหลายวัน และกินอะไรไม่ลงเลย ฉันป่วยหนักขนาดนี้ได้ยังไง?” ยิ่งคิดเรื่องนี้ฉันยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ และทุกข์ใจมาก ผ่านไปสักพักไข้ของฉันก็ลดลง แต่อีกสองคนที่ฉันทำงานด้วยเกิดติดเชื้อ และไม่มีใครอยู่ทำงานที่คริสตจักรเลย ฉันต้องแบกร่างกายที่อ่อนล้าของตัวเองมาชุมนุมอย่างไม่มีทางเลือก ฉันยุ่งหัวหมุนอยู่สองสามวันขณะที่ป่วย และการประสานงานหลายๆ งานก็ยากเพราะการระบาดใหญ่ ฉันเริ่มเอาใจออกห่าง และรู้สึกเหมือนว่างานพวกนี้ยากเกินไป สุขภาพของฉันแย่ลงเรื่อยๆ ไหนๆ ฉันก็ทำงานได้ไม่ดีนัก จึงคิดว่าฉันน่าจะกลับบ้านไปพักฟื้นเสียเลย บางทีฉันอาจจะดีขึ้นมาบ้างก็ได้ พอกลับถึงบ้านของเจ้าบ้าน จู่ๆ อาการเจ็บหน้าอกของฉันก็กำเริบขึ้นมา และฉันรู้สึกเหมือนว่าทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว ฉันคิดว่า “ถ้าฉันทำหน้าที่ผู้นำต่อไป สุขภาพของฉันก็จะรับไม่ไหว ฉันไม่ทำหน้าที่นี้ดีกว่า” ฉันรู้สึกหดหู่จริงๆ และนอนอยู่บนเตียง 2-3 วัน ฉันรู้สึกว่าถ้าอยากดีขึ้น ฉันก็ต้องทำด้วยตัวเอง และดูแลสุขภาพของตัวเองให้ดีกว่านี้ นั่นคือความเป็นจริง ฉันเขียนจดหมายถึงผู้นำ อธิบายสิ่งที่คิด พอส่งจดหมายเสร็จฉันก็กลับบ้านทันที ระหว่างทางกลับบ้าน ฉันก็อดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า “ฉันเป็นผู้เชื่อมาตลอด แต่สุขภาพของฉันกลับอยู่ในสภาวะนี้ และฉันก็ทำหน้าที่ให้ดีไม่ได้ สมมุติว่าคราวนี้ฉันถูกเปิดโปงหมดเปลือก ฉันยังจะได้รับการช่วยให้รอดอยู่ไหม?” พอกลับถึงบ้าน ฉันก็นอนลงบนเตียง รู้สึกว่างเปล่าอยู่ข้างใน และนอนไม่หลับ ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ฉันยังนึกถึงรายละเอียดทั้งหมดของงานข่าวประเสริฐที่ฉันดูแล ซึ่งต้องได้รับการจัดการเตรียมการ ถ้าฉันเอาแต่อยู่บ้านก็จะทำให้งานของคริสตจักรล่าช้าอย่างแน่นอน การทำแบบนั้นไม่เป็นไปตามน้ำพระทัย ฉันเพิ่งจะยกธงขาวและทรยศพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? ฉันเลยอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า! เหตุใดเมื่อเผชิญสถานการณ์นี้ ข้าพระองค์ถึงอ่อนแอนักและไม่เต็มใจที่จะทำหน้าที่? ข้าพระองค์รู้ว่าสิ่งนี้ไม่เป็นไปตามน้ำพระทัย แต่ข้าพระองค์ก็ไม่อาจทำต่อไปได้ ข้าพระองค์ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้ว ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์รู้สึกหลงทางและเจ็บปวดเหลือเกิน โปรดให้ความรู้แจ้งและทรงนำข้าพระองค์ โปรดประทานความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ข้าพระองค์ด้วยเถิด”
ฉันอ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งในการแสวงหา “ไม่ว่าเจ้าจะป่วยหรือเจ็บปวดอยู่ก็ตาม ตราบใดที่เจ้ายังมีลมหายใจเหลืออยู่สักห้วงหนึ่ง ตราบใดที่เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่ ตราบใดที่เจ้ายังสามารถพูดได้เดินได้ ตราบนั้นเจ้าย่อมมีกำลังวังชาที่จะปฏิบัติหน้าที่ของเจ้า และเจ้าก็ควรประพฤติตัวให้ดีขณะปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยสองเท้าที่ยืนหยัดมั่นคงอยู่กับพื้น เจ้าต้องไม่ทิ้งหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างหรือความรับผิดชอบที่พระผู้สร้างมอบหมายให้เจ้าทำ ตราบใดที่เจ้ายังไม่ตาย เจ้าก็ควรทำหน้าที่ของเจ้าให้เสร็จสิ้นและลุล่วงเป็นอย่างดี” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) ฉันยังได้ฟังบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะด้วย “มนุษย์ช่างยากที่จะช่วยให้รอด” “ไม่มีผู้ใดตั้งใจที่จะเดินบนเส้นทางแห่งการติดตามพระเจ้าไปตลอดชีวิตของตน ตั้งใจที่จะไล่ตามเสาะหาความจริงเพื่อให้ได้รับชีวิต เพื่อสัมฤทธิ์ความรู้เกี่ยวกับพระเจ้า และใช้ชีวิตอย่างมีความหมายเหมือนเปโตรในท้ายที่สุด ดังนั้นผู้คนจึงเดินหลงทางและละโมบความสุขสำราญทางเนื้อหนัง เมื่อพวกเขาเผชิญกับความเจ็บปวด พวกเขาจะมีแนวโน้มกลายเป็นพวกคิดลบและอ่อนแอ และไม่มีที่สำหรับพระเจ้าภายในหัวใจของพวกเขา พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ทรงพระราชกิจในตัวพวกเขา และบางคนจะอยากหันหลังกลับเสียด้วยซ้ำ ความพยายามทั้งหมดที่พวกเขาทุ่มเทในหลายปีของความเชื่อนั้นย่อมเสียเปล่าและนี่เป็นสิ่งที่อันตรายมาก! น่าเสียดายที่การทนทุกข์ทั้งหมดของพวกเขา คำเทศนาจำนวนนับไม่ถ้วนที่พวกเขาได้ฟัง และเวลาหลายปีที่พวกเขาใช้ติดตามพระเจ้า ล้วนสูญเปล่าทั้งสิ้น! เป็นเรื่องง่ายสำหรับผู้คนที่จะตกต่ำลง และเป็นเรื่องยากลำบากจริงๆ ที่จะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้อง และเลือกเส้นทางของเปโตร ผู้คนส่วนมากมีการคิดอ่านที่ไม่ชัดเจน พวกเขาไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าเส้นทางใดเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง และเส้นทางใดเป็นการเบี่ยงเบนมาจากเส้นทางนั้น ไม่ว่าพวกเขาได้ยินคำเทศนามากมายเพียงใด และไม่ว่าพวกเขาอ่านพระวจนะของพระเจ้ามากมายเพียงใด ต่อให้พวกเขารู้ว่าพระองค์คือพระเจ้า พวกเขาก็ยังไม่เชื่อในพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม พวกเขารู้ว่านี่คือหนทางที่ถูกต้อง แต่ไม่สามารถเดินไปบนเส้นทางนี้ได้ การช่วยผู้คนให้รอดนั้นลำบากยากเย็นเหลือเกิน!” (พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, การเลือกเส้นทางที่ถูกต้องคือส่วนที่สำคัญที่สุดของการเชื่อในพระเจ้า) การฟังบทสวดสรรเสริญนี้ทำฉันน้ำตาไหล พระวจนะดลใจฉันจริงๆ แถมยังชี้ให้ฉันเห็นเส้นทางปฏิบัติ ถึงแม้ฉันป่วย ตราบใดที่ฉันยังมีอีกหนึ่งลมหายใจ และตราบใดที่ฉันยังสามารถเดินเหินและพูดคุยได้ ฉันก็ไม่สามารถล้มเลิกหน้าที่ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้างได้ เมื่อคิดเรื่องความเจ็บป่วยของฉันให้มากขึ้น ฉันก็เห็นว่า มันไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นที่ทำให้ไปไหนมาไหนไม่ไหว ฉันแค่ค่อนข้างอ่อนแอ และจำเป็นต้องทุกข์ทนอีกหน่อยเพื่อทำหน้าที่ แต่ฉันกลับละทิ้งหน้าที่ของตัวเองแล้วกลับบ้าน ฉันเป็นผู้เชื่อมาหลายปีและได้ฟังพระวจนะมามากมาย ฉันต้องการล้มเลิกหน้าที่ของตัวเองจริงเหรอ? ช่างไร้จิตสำนึก! ฉันตระหนักว่า ฉันไม่อาจคิดลบต่อไปได้ ถ้าฉันล้มเลิกหน้าที่ของตัวเอง แบบนั้นจะไม่น่าอับอายในสายพระเนตรของพระเจ้าเหรอ? ไม่ว่าฉันจะดีขึ้นตอนไหน ตราบใดที่มีลมหายใจ ไม่ว่าหน้าที่ของฉันจะหนักหนาเพียงใด ฉันก็ต้องให้ความร่วมมืออย่างสุดความสามารถ พระวจนะมอบแรงจูงใจในหน้าที่ให้ฉัน แล้วทันใดนั้น ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาก ฉันรู้สึกว่าสภาวะของฉันฟื้นคืนมา และฉันก็กลับไปทำหน้าที่อีกครั้ง
หลังจากนั้น ฉันก็ได้อ่านพระวจนะอีกบทตอนหนึ่ง “จากนั้นยังมีคนที่สุขภาพไม่ดี มีสภาพร่างกายอ่อนแอและไร้กำลังวังชา ป่วยบ่อยด้วยโรคร้ายหรือโรคที่ไม่หนักหนาอะไร และถึงกับไม่สามารถทำเรื่องจำเป็นพื้นฐานในชีวิตประจำวันได้ ไม่สามารถใช้ชีวิตหรือทำอะไรอย่างคนปกติได้ ผู้คนเช่นนี้มักจะรู้สึกอึดอัดและไม่สบายเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตน บ้างก็มีร่างกายอ่อนแอ บ้างก็เจ็บป่วยจริงๆ และแน่นอนว่ามีบางคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคที่รู้จักกันดีไม่โรคใดก็โรคหนึ่ง เนื่องจากพวกเขามีความลำบากกายในทางที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงดังกล่าว ผู้คนเช่นนี้จึงมักจะจมจ่อมอยู่ในอารมณ์ที่เป็นลบ รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล พวกเขารู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลเรื่องอะไร? พวกเขากังวลว่าถ้าตัวเองยังปฏิบัติหน้าที่ของตนแบบนี้ต่อไป สละตนและวิ่งวุ่นเพื่อพระเจ้าอยู่แบบนี้ และรู้สึกเหนื่อยอย่างนี้อยู่เสมอ เช่นนั้นแล้วสุขภาพของพวกเขาจะแย่ลงเรื่อยๆ หรือไม่? เมื่อพวกเขาอายุเข้าสี่สิบหรือห้าสิบปี พวกเขาจะป่วยติดเตียงหรือไม่? ความกังวลเหล่านี้ฟังขึ้นหรือไม่? มีใครจะเสนอวิธีรับมือเรื่องนี้อย่างเป็นรูปธรรมบ้าง? ใครจะรับเรื่องนี้ไปตอบ? ใครจะตอบได้บ้าง? ผู้คนที่สุขภาพไม่ดีและมีร่างกายไม่แข็งแรงย่อมรู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลในเรื่องแบบนี้ ผู้คนที่มีโรคภัยย่อมจะคิดบ่อยครั้งว่า ‘ฉันมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ของฉันให้ดี แต่ฉันกลับเป็นโรคนี้ ฉันขอให้พระเจ้าคุ้มครองฉันจากภยันตราย และเพราะพระเจ้าทรงคุ้มครอง ฉันจึงไม่จำเป็นต้องกลัว แต่ถ้าฉันเหนื่อยอ่อนเวลาปฏิบัติหน้าที่ของตัวเอง อาการของฉันจะแย่ลงหรือไม่? ถ้าอาการแย่ลงจริงๆ ฉันจะทำอย่างไร? ถ้าฉันต้องเข้าผ่าตัดที่โรงพยาบาล ฉันก็ไม่มีเงินจ่าย แล้วถ้าฉันไม่ยืมเงินมาจ่ายค่ารักษา อาการของฉันจะยิ่งทรุดหนักหรือไม่? แล้วถ้าอาการไม่ดีจริงๆ ฉันจะตายไหม? การตายแบบนั้นมองว่าเป็นการตายตามปกติได้ไหม? ถ้าฉันตายไปจริงๆ พระเจ้าจะทรงจดจำหน้าที่ที่ฉันปฏิบัติมาตลอดหรือเปล่า? ฉันจะได้รับการพิจารณาว่าทำเรื่องที่ดีงามมาตลอดหรือเปล่า? ฉันจะได้รับความรอดหรือไม่?’ นอกจากนี้ยังมีบางคนที่รู้ว่าตนเองป่วย นั่นคือ พวกเขารู้ว่าตนเองเป็นโรคอย่างใดอย่างหนึ่งจริง เช่น โรคกระเพาะอาหาร โรคปวดหลังปวดขา โรคข้ออักเสบ โรครูมาติสซั่ม รวมทั้งโรคผิวหนัง โรคทางนรีเวช โรคตับ โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และอื่นๆ พวกเขาจึงคิดว่า ‘ถ้าฉันปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองต่อไป พระนิเวศของพระเจ้าจะออกค่ารักษาโรคที่ฉันเป็นไหม? ถ้าโรคของฉันเป็นหนักและส่งผลต่อการปฏิบัติหน้าที่ของฉัน พระเจ้าจะทรงรักษาฉันให้หายหรือไม่? คนอื่นหายจากโรคหลังจากที่เชื่อในพระเจ้า ดังนั้นฉันก็จะหายขาดด้วยหรือเปล่า? พระเจ้าจะทรงรักษาฉันเหมือนที่พระองค์ทรงแสดงความใจดีมีเมตตาต่อคนอื่นหรือไม่? ถ้าฉันปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความจงรักภักดี พระเจ้าก็ควรรักษาฉัน แต่ถ้าฉันเอาแต่อยากให้พระเจ้ารักษา แล้วพระองค์ไม่ทำ แบบนั้นฉันจะทำอย่างไร?’ เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาคิดเรื่องเหล่านี้ พวกเขาก็รู้สึกว่ามีความกระวนกระวายใจลึกๆ เกิดขึ้นในหัวใจของตน แม้พวกเขาจะไม่เคยหยุดปฏิบัติหน้าที่ของตน และพวกเขาก็ทำสิ่งที่ตนควรทำอยู่เสมอ แต่พวกเขาก็คิดเรื่องความเจ็บป่วย สุขภาพ อนาคต และความเป็นความตายของตนอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดพวกเขาก็สรุปออกมาเป็นความคิดฝันเฟื่องว่า ‘พระเจ้าจะรักษาฉัน พระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉันให้ปลอดภัย พระเจ้าจะไม่ทอดทิ้งฉัน และพระเจ้าจะไม่ทรงยืนเฉยและไม่ทำอะไรถ้าพระองค์ทรงเห็นว่าฉันป่วย’ ความคิดเช่นนี้ไม่มีพื้นฐานอะไรเลย และอาจพูดได้ด้วยซ้ำไปว่าเป็นมโนคติอันหลงผิดอย่างหนึ่ง ผู้คนไม่มีวันแก้ปัญหาในชีวิตจริงที่เกี่ยวข้องกับมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันทำนองนี้ และในหัวใจส่วนลึกสุดของพวกเขา พวกเขาก็รู้สึกทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวลอยู่รางๆ เกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บไข้ได้ป่วยของตน พวกเขาไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องเหล่านี้ หรือว่าจะมีใครรับผิดชอบตัวพวกเขาบ้างหรือไม่” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) หากพระเจ้าไม่ตรัสเช่นนี้ ฉันคงจะยังไม่รู้ว่า การกังวลเรื่องอาการป่วยอยู่ตลอดนั้นเป็นอารมณ์ทางลบ และฉันจะคิดว่านั่นเป็นธรรมแล้ว ในที่สุดตอนนี้ ฉันก็ตระหนักว่าฉันฝังตัวลึกอยู่ในอารมณ์คิดลบนี้ ด้วยความที่ฉันมีโรคประจำตัวเป็นความดันโลหิตสูงกับเจ็บหน้าอก อาการของฉันจึงกำเริบค่อนข้างบ่อย พอฉันทนทุกข์มากขึ้นในหน้าที่และเหนื่อยขึ้นอีกเล็กน้อย ฉันก็กังวลว่าอาการของฉันจะร้ายแรงขึ้นเรื่อยๆ ถ้าฉันเสียชีวิตไป ฉันจะสามารถทำหน้าที่ได้ยังไง? นั่นทำให้ฉันกลัวว่าตัวเองจะเสียโอกาสในความรอด พอสุขภาพของฉันไม่ได้แย่ขนาดนั้น ฉันก็ทำหน้าที่ต่อไปได้ ฉันรู้สึกเหมือนกำลังยอมลำบาก แล้วพระเจ้าจะทรงคุ้มครองฉัน แต่ทันทีที่อาการของฉันกำเริบ ความกลัดกลุ้มทั้งหลายนี้ก็ไหลบ่าท่วมท้น ฉันกังวลเรื่องอนาคตของตัวเอง และไม่รู้สึกถึงการปลดเปลื้องในการทำหน้าที่ ยิ่งฉันนึกถึงเนื้อหนัง ฉันก็ยิ่งกลัวตาย รวมถึงกลัวความยากลำบากและความเจ็บปวดที่เกิดจากสุขภาพที่ไม่ดี และพอฉันคิดย้อนไปถึงตอนที่พ่อป่วยติดเตียง ท่านเต็มไปด้วยความเจ็บปวดแสนสาหัสทุกวัน นอนมองกำแพงสีขาวอย่างหมดอาลัยตายอยาก ไม่มีความหวังใดในชีวิตเลย ฉันกลัวจะกลายเป็นแบบพ่อ นั่นคือสาเหตุที่ฉันนึกถึงเนื้อหนังอยู่ตลอดเวลาที่ทำหน้าที่ ฉันขี้ขลาด กลัวที่จะต้องทุ่มเททุกอย่าง ฉันไม่อยากทำงานหนักเพื่อเรียนรู้รายละเอียดของงานข่าวประเสริฐ ซึ่งหมายความว่างานไม่เคยคืบหน้าไปเลย พอมาเป็นโควิดและอาการแย่ลง ฉันก็ยิ่งกังวลหนักขึ้น ฉันไม่อยากทำหน้าที่อีกต่อไปแล้ว จึงล้มเลิกและกลับบ้านไปดื้อๆ ฉันเห็นว่าอารมณ์ในด้านลบกระทบต่อฉันมากแค่ไหน การใช้ชีวิตด้วยความวิตกกังวลทำให้ฉันกบฏต่อพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และชีวิตก็หดหู่และเจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จริงฉันรู้ว่าการเกิด แก่ เจ็บ และตายล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า อยู่นอกเหนือการควบคุมของฉัน และรู้ว่าฉันไม่มีทางเลี่ยงการเจ็บป่วยได้ ฉันควรเผชิญหน้ากับเรื่องนี้อย่างเหมาะสมและนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ไม่ว่ากังวลมากแค่ไหนฉันก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้ แต่ด้วยความที่ฉันเอาแต่คิดถึงความหวังข้างหน้าและการหาทางออก ฉันจึงอดไม่ได้ที่จะใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่วิตกกังวล ฉันสร้างความอึดอัดและความเจ็บปวดมากมายให้ตัวเองโดยไม่จำเป็น ฉันนี่โง่เขลาเหลือเกิน! พอตระหนักเรื่องนี้ได้ ฉันก็ไม่อยากใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะคิดลบแบบนั้นอีกต่อไป
หลังจากนั้น ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ว่า “เมื่อโรคภัยไข้เจ็บมาเยือน ผู้คนควรเดินไปตามเส้นทางแบบใด? พวกเขาควรเลือกอย่างไร? ผู้คนไม่ควรจมจ่อมอยู่ในความทุกข์ใจ ความกระวนกระวาย และความวิตกกังวล และไม่ควรใคร่ครวญความน่าจะเป็นและเส้นทางในอนาคตของตน ในทางตรงข้าม ยิ่งผู้คนตกอยู่ในห้วงเวลาแบบนี้ ในสถานการณ์และบริบทที่พิเศษเช่นนี้ และยิ่งพวกเขาตกอยู่ในความลำบากอย่างกะทันหันเช่นนี้ พวกเขาก็ยิ่งควรแสวงหาความจริงและไล่ตามเสาะหาความจริง เมื่อทำเช่นนี้เท่านั้น คำเทศนาที่เจ้าได้ฟังในเวลาที่ผ่านมาและความจริงที่เจ้าเข้าใจจึงจะไม่สูญเปล่าและให้ผล ยิ่งเจ้าตกอยู่ในความยุ่งยากเช่นนี้ เจ้าก็ยิ่งควรทิ้งความอยากได้อยากมีของเจ้าเองและนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระเจ้า จุดประสงค์ที่พระเจ้าทรงสร้างสถานการณ์เช่นนี้ขึ้นมาและจัดเตรียมภาวะเหล่านี้ให้เจ้านั้นไม่ใช่เพื่อที่จะทำให้เจ้าจมจ่อมอยู่ในภาวะอารมณ์ที่ทุกข์ใจ กระวนกระวาย และวิตกกังวล และไม่ใช่เพื่อให้เจ้าสามารถทดสอบพระเจ้าเพื่อดูว่าพระองค์จะทรงรักษาเจ้าให้หายขาดหรือไม่เวลาเจ็บป่วยขึ้นมา โดยใช้การนั้นหยั่งเชิงดูว่าความจริงของเรื่องเป็นเช่นไร พระเจ้าทรงสร้างสถานการณ์และภาวะพิเศษเหล่านี้ให้เจ้าก็เพื่อให้เจ้าสามารถเรียนรู้บทเรียนที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงในสถานการณ์และภาวะดังกล่าว ให้เจ้าบรรลุการเข้าสู่ความจริงและการนบนอบพระเจ้าได้มากขึ้น และเพื่อให้เจ้ารู้ชัดและถูกต้องยิ่งขึ้นว่าพระเจ้าทรงจัดวางเรียบเรียงผู้คน เหตุการณ์ และสิ่งทั้งปวงอย่างไร ชะตากรรมของมนุษย์อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า และไม่ว่าผู้คนจะรู้สึกได้หรือไม่ในเรื่องนี้ ไม่ว่าแท้จริงแล้วพวกเขาจะตระหนักรู้เรื่องนี้หรือไม่ พวกเขาก็ควรนบนอบและไม่ขัดขืน ไม่ปฏิเสธ และแน่นอนว่าไม่ทดสอบพระเจ้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ย่อมจะตาย และถ้าเจ้าขัดขืน ปฏิเสธ และทดสอบพระเจ้า เช่นนั้นแล้วก็ไม่ต้องพูดเลยว่าปลายทางของเจ้าจะเป็นเช่นใด ในทางกลับกัน ถ้าในสถานการณ์และภาวะแบบเดียวกันนั้น เจ้าสามารถแสวงหาว่าสิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระผู้สร้างอย่างไร แสวงหาว่าเจ้าพึงเรียนรู้บทเรียนใดและเจ้าต้องทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามข้อใดในสถานการณ์ต่างๆ ที่พระเจ้าทรงสร้างขึ้นมาให้เจ้า ทำความเข้าใจเจตนารมณ์ของพระเจ้าในสถานการณ์ดังกล่าว และเป็นคำพยานที่ดีเพื่อให้ทำได้ตามข้อกำหนดของพระเจ้า เช่นนั้นแล้วนี่ก็คือสิ่งที่เจ้าควรทำ เมื่อพระเจ้าทรงจัดแจงให้ใครบางคนเจ็บไข้ได้ป่วย ไม่ว่าจะหนักหรือเบา จุดประสงค์ของพระองค์ในการทำเช่นนี้ย่อมไม่ใช่การทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงตื้นลึกหนาบางของการไม่สบาย ว่าโรคภัยทำร้ายเจ้าอย่างไร ความเจ็บไข้ได้ป่วยสร้างความทุกข์ยากและความลำบากให้เจ้าอย่างไร และรู้ถึงความรู้สึกนานัปการที่โรคภัยไข้เจ็บจะก่อให้เจ้า—จุดประสงค์ของพระองค์ไม่ใช่เพื่อให้เจ้ารู้จักความเจ็บป่วยผ่านทางการไม่สบาย แต่จุดประสงค์ของพระองค์คือเพื่อให้เจ้าเรียนรู้บทเรียนจากอาการป่วย เรียนรู้วิธีที่จะรู้สึกถึงเจตนารมณ์ของพระเจ้า ทำความรู้จักอุปนิสัยอันเสื่อมทรามที่เจ้าเผยออกมาและท่าทีผิดๆ ที่เจ้าใช้กับพระเจ้าเวลาเจ้าไม่สบาย และเรียนรู้ว่าจะนบนอบอธิปไตยและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้าอย่างไร เพื่อให้เจ้าสัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้าได้อย่างแท้จริง และสามารถตั้งมั่นในคำพยานของเจ้า—แน่นอนว่านี่คือกุญแจสำคัญ พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะช่วยเจ้าให้รอดและชำระเจ้าให้สะอาดผ่านทางความเจ็บป่วย พระองค์ทรงปรารถนาที่จะชำระสิ่งใดในตัวเจ้าให้สะอาด? พระองค์ทรงปรารถนาที่จะชำระล้างความอยากและข้อเรียกร้องอันฟุ้งเฟ้อทั้งปวงที่เจ้ามีต่อพระเจ้า และถึงขั้นชำระล้างแผนการ การตัดสิน และกลอุบายต่างๆ ที่เจ้าสร้างขึ้นมาเพื่อการอยู่รอดและการดำรงชีวิตไม่ว่าจะแลกมาด้วยอะไรก็ตาม พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้เจ้าสร้างแผนการขึ้นมา พระองค์ไม่ได้ทรงขอให้เจ้าตัดสิน และไม่ได้ทรงเปิดโอกาสให้เจ้ามีความอยากได้อยากมีอันฟุ้งเฟ้อต่อพระองค์ พระองค์ทรงกำหนดเพียงว่าให้เจ้านบนอบพระองค์ และในการปฏิบัติและประสบการณ์แห่งการนบนอบของเจ้า ก็ให้รู้ท่าทีที่เจ้าเองมีต่อความเจ็บป่วย รู้ท่าทีที่เจ้ามีต่ออาการทางกายเหล่านี้ที่พระองค์ประทานแก่เจ้า ตลอดจนความปรารถนาส่วนตนของเจ้าเอง เมื่อเจ้ามารู้จักสิ่งเหล่านี้ เมื่อนั้นเจ้าย่อมจะรู้ซึ้งได้ว่าการที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมรูปการณ์ที่เจ็บไข้ได้ป่วยให้เจ้าหรือประทานอาการทางกายเหล่านี้แก่เจ้า เป็นผลดีต่อเจ้าเพียงใด และเจ้าย่อมจะรู้ซึ้งได้ว่าทั้งหมดนี้ช่วยเปลี่ยนอุปนิสัยของเจ้า ช่วยให้เจ้าได้รับความรอด และช่วยเกื้อกูลการเข้าสู่ชีวิตของเจ้ามากเพียงใด นั่นคือสาเหตุที่เมื่อโรคภัยมาเยือน เจ้าต้องไม่นึกสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่าเจ้าจะหลบลี้หรือหนีไปหรือปฏิเสธโรคภัยไข้เจ็บนั้นได้อย่างไร” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็เข้าใจน้ำพระทัยของพระเจ้า ในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ฉันไม่ควรจมปลักอยู่ในความวิตกกังวลที่เป็นอารมณ์คิดลบ และไม่ควรทดสอบว่า พระเจ้าจะทรงรักษาฉันไหม กลับกัน ฉันควรเรียนรู้ที่จะนบนอบต่อการจัดการเตรียมการของพระเจ้าในสภาพแวดล้อมที่ทรงจัดไว้ให้ การเจ็บป่วยไม่ได้หมายความว่าพระเจ้าทรงจงใจทำให้อะไรๆ ยากสำหรับฉัน พระองค์ทรงต้องการให้ฉันแสวงหาความจริงและเข้าใจว่าบทเรียนใดที่ฉันควรเรียนรู้ เมื่อนึกย้อนไปถึงตอนที่ฉันป่วย และเจอความเจ็บปวดทางกายบางอย่าง ฉันกังวลเกี่ยวกับถนนข้างหน้าและอนาคตของฉัน กลัวว่าฉันจะตาย และไม่อาจได้มาซึ่งความรอด ฉันรู้สึกเหมือนพระเจ้าทรงจัดวางสถานการณ์นั้นไว้เพื่อกำจัดฉันออกไป นั่นเป็นการเข้าใจพระเจ้าผิดอย่างร้ายแรงที่สุดของฉัน แต่ที่จริงนั่นไม่ใช่น้ำพระทัยของพระเจ้าเลย พระองค์ทรงจัดวางสถานการณ์นั้นไว้เพื่อมอบประสบการณ์อันสัมพันธ์กับชีวิตจริงเรื่องการป่วยให้ฉัน เพื่อเปิดโปงความเสื่อมทรามและข้อบกพร่องในตัวฉัน และเพื่อแสดงให้ฉันเห็นว่า ถึงแม้ฉันอ้างว่าตัวเองเชื่อในพระเจ้า แต่ในใจฉันไม่ได้เชื่อว่าพระองค์ทรงปกครองทุกสิ่ง เรื่องนี้ยังทำให้ฉันได้เห็นว่าเมื่อฉันป่วย สิ่งเดียวที่ฉันนึกถึงคือเนื้อหนังของตัวเอง ฉันรู้ว่างานของคริสตจักรต้องการคนโดยด่วน แต่ฉันก็ยังปฏิเสธหน้าที่ตัวเอง แม้ว่าต่อมาฉันฝืนใจยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ทุ่มเทอย่างสุดจิตสุดใจยอมลำบากเพื่อหน้าที่นี้ พอฉันเป็นโควิดและอาการแย่ลง ฉันก็โต้เถียงกับพระเจ้าและต่อต้านพระองค์ สุดท้ายฉันก็ทอดทิ้งหน้าที่ของตัวเองและทรยศพระเจ้าจนทำให้งานของคริสตจักรเสียหาย ฉันเห็นว่าตลอดที่ผ่านมาในฐานะผู้เชื่อ ฉันไม่ได้มีความยำเกรงพระเจ้าแม้แต่น้อย และฉันก็มีท่าทีหมางเมินต่อหน้าที่ ในที่สุดฉันก็ตระหนักว่า ต่อให้ฉันมีสุขภาพร่างกายที่ดี ถ้าไม่แก้ไขอุปนิสัยอันเสื่อมทรามทั้งหมดในตัวฉัน ฉันจะยังต่อต้านและทรยศพระเจ้า และจะไม่ได้รับความเห็นชอบจากพระองค์ พระเจ้าทรงอนุญาตให้ฉันเจ็บป่วยเพื่อชำระสิ่งเจือปนในความเชื่อของฉันให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของฉัน แต่ฉันไม่เคยคำนึงถึงเจตนารมณ์ที่ตั้งใจจริงของพระเจ้า ฉันจมอยู่ในความวิตกและกังวลเกี่ยวกับการป่วยของตัวเองเสมอ และต่อต้านพระเจ้าที่ทรงจัดวางสถานการณ์นี้ นึกถึงแผนและการจัดเตรียมของตัวเองอยู่ตลอด ฉันถึงกับคิดว่าพระเจ้าทรงต้องการกำจัดฉันออกไปด้วยซ้ำ ฉันเป็นกบฏและขาดความเป็นมนุษย์และเหตุผลจริงๆ ฉันไม่สามารถเข้าหาการป่วยด้วยท่าทีแบบนั้นต่อไปได้ ฉันต้องแก้ไขท่าทีของตัวเองให้ถูกต้อง คิดทบทวนและตระหนักถึงอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของตัวเอง และไล่ตามเสาะหาความจริงระหว่างที่เจ็บป่วยอยู่นี้ นั่นคือสิ่งที่ฉันควรจะทำ
หลังจากนั้น ฉันก็ทบทวนตัวเองว่ารากเหง้าของความวิตกกังวลอย่างต่อเนื่องหลังจากฉันป่วยคืออะไร? ฉันได้อ่านสิ่งนี้ในพระวจนะ “ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้รักษาพวกเขาเท่านั้น ผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงเพื่อที่เราอาจจะได้ใช้ฤทธานุภาพของเราขับวิญญาณสกปรกออกจากร่างของพวกเขาเท่านั้น และผู้คนมากมายยิ่งนักเชื่อในเราเพียงแค่ว่าพวกเขาอาจจะได้รับสันติสุขและความชื่นบานยินดีจากเรา… เมื่อเรามอบความทุกข์จากนรกให้มนุษย์และเอาพรของสวรรค์กลับคืน ความละอายของมนุษย์ก็เปลี่ยนเป็นความโกรธ เมื่อมนุษย์ได้ขอให้เรารักษาเขา แต่เราไม่ได้ให้ความสนใจและรู้สึกชิงชังเขา มนุษย์ได้ออกห่างจากเราเพื่อแสวงหาวิธีการของยาและวิทยาคมอันชั่วร้ายแทน เมื่อเราได้เอาทุกอย่างที่มนุษย์เรียกร้องจากเรากลับไป ทุกคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ เราจึงบอกว่ามนุษย์มีความเชื่อในเราเพราะเราให้พระคุณมากเกินไป และสิ่งที่พวกเขาจะได้รับก็มีมากเกินไป” (พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เจ้ารู้อะไรบ้างเกี่ยวกับความเชื่อ?) พระเจ้าทรงเปิดโปงสภาวะของฉัน ทัศนะที่ฉันมีต่อความเชื่อคือสิ่งเดียวกับที่พระองค์ทรงอธิบายไม่ใช่เหรอ? ฉันมีความเชื่อแค่เพื่อพระพร และฉันพยายามทำข้อตกลงกับพระเจ้า เวลาที่ฉันไม่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรงในหน้าที่ ฉันก็คิดว่าตัวเองได้รับการเอาใจใส่และความคุ้มครองจากพระเจ้า และมีโอกาสในความรอด ฉันจึงเต็มใจที่จะทนทุกข์และยอมลำบากในหน้าที่ พอฉันล้มป่วยและไม่เห็นอาการของตัวเองดีขึ้น ฉันก็ไม่อาจทุ่มเทตัวเองให้หน้าที่และไม่ใส่ใจลงไปในงานข่าวประเสริฐด้วย ฉันคิดถึงแต่อนาคตและชะตากรรมของตัวเอง กังวลว่าฉันจะตายหรือไม่ และฉันจะได้รับการอวยพรหรือไม่ พอฉันป่วยหนักจากโควิดและไม่สบายไปสองสัปดาห์ ฉันก็พร่ำบ่นว่าพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉัน และถึงขั้นไม่อยากทำหน้าที่อีกต่อไป เมื่อฉันเห็นว่าความหวังที่ฉันมีต่อพระพรหายไป ธรรมชาติที่แท้จริงของฉันก็ถูกเปิดโปง ฉันหันหลังให้พระเจ้า ทอดทิ้งหน้าที่ และทรยศพระองค์ ฉันต่อต้านพระองค์ เป็นกบฏและแข็งขืนต่อพระองค์โดยสมบูรณ์ การโต้เถียงพระเจ้า การคิดลบและแข็งขืนนั้น สำนึกของความเป็นมนุษย์และเหตุผลของฉันหายไปไหน? พอนึกถึงเรื่องนี้ ฉันก็รู้สึกขอบคุณพระเจ้าอย่างแท้จริงที่ทรงจัดวางสถานการณ์นี้ให้กับฉัน แม้ว่าฉันทนทุกข์ทางเนื้อหนังเล็กน้อย ฉันก็ได้รับความเข้าใจบางอย่างเกี่ยวกับสิ่งเจือปนในความเชื่อ รวมถึงอุปนิสัยเยี่ยงซาตานของการที่ฉันต่อต้านพระเจ้า ฉันรู้สึกอยู่ในหัวใจว่าทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำในตัวฉันคือความรอด และทั้งหมดคือความรัก
ต่อมาฉันได้อ่านพระวจนะมากขึ้น และได้รับความเข้าใจเรื่องความตายลึกซึ้งยิ่งขึ้น พระวจนะของพระเจ้ากล่าวว่า “ไม่ว่าเจ้าจะเผชิญโรคภัยที่หนักหรือเบาก็ตาม ชั่วขณะที่ความเจ็บป่วยของเจ้าร้ายแรงขึ้นมาหรือเจ้ากำลังเผชิญหน้าความตาย จงจำไว้เพียงอย่างเดียวว่า อย่ากลัวความตาย ต่อให้เจ้าเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย ต่อให้โรคที่เจ้าเป็นมีอัตราการตายสูงมาก ก็จงอย่าได้เกรงกลัวความตาย ไม่ว่าความทุกข์ของเจ้าจะมากมายเพียงใด หากเจ้าเกรงกลัวความตาย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็จะไม่นบนอบ… ถ้าโรคภัยของเจ้าร้ายแรงจนเจ้าอาจตาย และอัตราการตายของโรคนั้นก็สูงไม่ว่าคนที่เป็นโรคจะอยู่ในวัยใดก็ตาม และช่วงเวลาตั้งแต่ผู้คนติดโรคจนถึงตอนที่พวกเขาตายก็สั้นมาก เจ้าควรคิดอยู่ในใจว่าอย่างไร? ‘ฉันต้องไม่กลัวความตาย ทุกคนย่อมตายในท้ายที่สุด อย่างไรก็ดี การนบนอบพระเจ้าคือสิ่งที่ผู้คนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ และฉันก็สามารถใช้โรคนี้มาฝึกฝนการนบนอบพระเจ้า ฉันควรมีการคิดอ่านและท่าทีที่นบนอบการจัดวางเรียบเรียงและการจัดแจงเตรียมการของพระเจ้า ฉันต้องไม่กลัวความตาย’ การตายนั้นง่าย ง่ายกว่าการมีชีวิตอยู่มากนัก เจ้าอาจเจ็บปวดสุดขีดก็ได้ แล้วเจ้าก็จะไม่รู้สึกอะไรอีก ทันทีที่ดวงตาของเจ้าปิดสนิท ลมหายใจของเจ้าขาดหาย ดวงจิตของเจ้าย่อมออกจากร่าง และชีวิตของเจ้าก็สิ้นสุด ความตายดำเนินไปเช่นนี้ ง่ายเช่นนี้ การไม่กลัวความตายคือท่าทีอย่างหนึ่งที่ควรนำมาใช้ นอกจากนี้เจ้าต้องไม่กังวลว่าโรคภัยของเจ้าจะแย่ลงหรือไม่ หรือเจ้าจะตายหรือไม่ถ้าไม่อาจหายขาดได้ หรืออีกนานไหมกว่าเจ้าจะตาย หรือพอถึงเวลาตาย เจ้าจะเจ็บปวดอย่างไร เจ้าต้องไม่วิตกกังวลในเรื่องเหล่านี้ นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรกังวลถึง นี่เป็นเพราะวันนั้นต้องมาถึง และต้องมาสักปี สักเดือน และสักวันหนึ่ง เจ้าไม่อาจซ่อนตัวจากมันได้และไม่สามารถหนีพ้น—นั่นคือชะตากรรมของเจ้า สิ่งที่เจ้าเรียกว่าชะตากรรมนั้นถูกพระเจ้าลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว และพระองค์ก็ทรงจัดเตรียมไว้แล้ว อายุขัยของเจ้า วัยและเวลาที่เจ้าตาย พระเจ้าก็ทรงกำหนดไว้แล้ว ดังนั้นเจ้าจะกังวลอะไร? เจ้าจะกังวลก็ได้ แต่นั่นก็จะไม่เปลี่ยนแปลงสิ่งใด เจ้าวิตกได้ แต่เจ้าก็จะไม่สามารถป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้น เจ้าจะวิตกกังวลเรื่องความตายก็ได้ แต่เจ้าก็หยุดยั้งไม่ให้วันนั้นมาถึงไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความกังวลของเจ้าจึงมากเกินควร และมีแต่จะทำให้โรคภัยของเจ้าเป็นภาระที่หนักอึ้งยิ่งขึ้น” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (3)) หลังจากอ่านพระวจนะ ฉันก็เข้าใจชัดเจนว่าความตายของทุกคนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้แล้ว และกังวลมากแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ เมื่อไรก็ตามที่ฉันเผชิญอาการป่วยหรือรู้สึกไม่สบาย ฉันก็กังวลว่าถ้าอาการเหล่านั้นแย่ลง ฉันอาจเสียชีวิตได้ ฉันไม่เข้าใจว่า เวลาตายของทุกคนเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกำหนดไว้นานแล้ว และไม่ได้เกิดขึ้นเพราะทำหน้าที่จนหมดแรง ฉันนึกถึงคุณป้าของฉัน สมัยสาวๆ ท่านอ่อนแอและป่วยกระเสาะกระแสะจนต้องเข้าออกโรงพยาบาลเสมอ เราทุกคนคิดว่าท่านคงอยู่บนโลกนี้ไม่นาน แต่น่าแปลกที่ตอนนี้พอท่านอายุมากขึ้น สุขภาพของท่านกลับดีขึ้นเรื่อยๆ ป้าอายุแปดสิบกว่าแล้ว และยังสามารถดูแลตัวเองได้ แต่สามีของท่านที่สุขภาพดีมาตลอดและแทบไม่เคยป่วยเลย จู่ๆ ก็เป็นมะเร็งตับจนเสียชีวิต ตัวอย่างจากชีวิตจริงเหล่านี้ทำให้ฉันเห็นว่า ชีวิตและความตายของเราอยู่ในกฎเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้า ฉันเจ็บป่วยค่อนข้างบ่อย ไม่ว่าอาการของฉันจะแย่ลงหรือไม่ ไม่ว่าฉันจะตายหรือไม่ เรื่องนี้ก็ไม่อาจแก้ไขได้ด้วยการกังวลไปกับมัน ทั้งหมดล้วนอยู่ในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า การที่เราจะตายหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับการเหนื่อยล้าจากหน้าที่ บางคนไม่ได้ทำหน้าที่ และดูแลสุขภาพ แต่ความตายก็ยังมาหาพวกเขาอยู่ดี ฉันเป็นผู้เชื่อที่ไม่เชื่อในกฎเกณฑ์ของพระเจ้า ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความวิตกกังวลกลัวว่าจะตายอยู่ตลอด ฉันไม่ได้มีความเชื่อที่แท้จริงในพระเจ้าเลย ความจริงก็คือทุกคนล้วนต้องตาย นี่คือกฎธรรมชาติ ความตายไม่ใช่สิ่งที่ต้องกลัว ชีวิตและความตายของเราเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงลิขิตไว้ล่วงหน้า และฉันก็ควรนบนอบต่อสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดการเตรียมการ ไม่ว่าความตายจะมาหาฉันเมื่อไร ฉันก็ควรเผชิญกับมันอย่างสงบใจ ฉันต้องสละตนในหน้าที่ และทุ่มเททั้งชีวิต และพยายามจากไปอย่างไม่เสียดายเมื่อถึงเวลาตาย ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะพอใจและมีสันติสุข ถ้าฉันใช้ชีวิตด้วยอารมณ์ที่เป็นลบของความวิตกกังวลตลอดเวลา วางแผนเพื่อเนื้อหนังของตัวเองเสมอ ไม่ทุ่มเทสุดตัวอย่างแท้จริงในหน้าที่ ฉันก็จะจากไปด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด และฉันจะทำให้งานของคริสตจักรหยุดชะงัก ไม่ว่าฉันสุขภาพดีแค่ไหนชีวิตของฉันก็จะไร้ความหมาย และไม่พ้นที่ฉันจะลงเอยด้วยการถูกพระเจ้าลงโทษ พอเข้าใจทั้งหมดนั้นแล้ว ฉันก็รู้สึกเป็นอิสระขึ้นมาก
ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะบทตอนหนึ่งที่ทำให้ฉันสะเทือนใจจริงๆ พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “คุณค่าของชีวิตคนอยู่ตรงไหน? เพื่อหลงระเริงไปกับความรื่นเริงทางเนื้อหนัง เช่น การกิน ดื่ม และหาความบันเทิงเท่านั้นหรือ? (ไม่ใช่) เช่นนั้นแล้ว คุณค่าของชีวิตคนอยู่ตรงไหน? ช่วยบอกความคิดอ่านของเจ้ามาเถิด (คือการลุล่วงหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง อย่างน้อยนี่ก็เป็นสิ่งที่คนคนหนึ่งควรสัมฤทธิ์ในชีวิตของตน) ถูกต้อง… ระหว่างที่เจ้ามีชีวิตอยู่ เจ้าต้องลุล่วงภารกิจของตน นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด พวกเราไม่ได้กำลังพูดถึงการเสร็จสิ้นภารกิจ หน้าที่ หรือความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ แต่อย่างน้อยที่สุดเจ้าก็ควรทำบางสิ่งให้สำเร็จลุล่วง ตัวอย่างเช่น ในคริสตจักรมีบางคนทุ่มเทความพยายามทั้งหมดให้กับงานเผยแผ่ข่าวประเสริฐ อุทิศกำลังวังชาทั้งชีวิตของตน จ่ายราคามากมาย และได้ผู้คนมามาก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นไม่ได้หมดไปอย่างสูญเปล่า มีคุณค่าและมีความชูใจ เมื่อเผชิญโรคภัยไข้เจ็บหรือความตาย เมื่อสรุปชีวิตทั้งหมดของตนออกมาและนึกย้อนไปถึงทุกสิ่งที่พวกเขาเคยทำไว้ เส้นทางที่เดินมา พวกเขาก็พบการปลอบประโลมในหัวใจของตน พวกเขาไม่รู้สึกถึงคำกล่าวหาหรือความเสียใจ บางคนทุ่มเทพยายามเต็มที่เวลานำคริสตจักรหรือรับผิดชอบงานด้านใดด้านหนึ่ง พวกเขาปลดปล่อยศักยภาพของตนออกมาอย่างเต็มที่ ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี ทุ่มเทกำลังวังชาทั้งปวงและจ่ายราคาให้กับงานที่ตนทำ ด้วยการให้น้ำ การเป็นผู้นำ การเกื้อกูลและเกื้อหนุนของพวกเขา พวกเขาจึงช่วยเหลือผู้คนมากมายที่ตกอยู่ในความอ่อนแอและความคิดลบของตนเองให้กลับมาแข็งแกร่งและตั้งมั่น ไม่ถอนตัว แต่กลับคืนสู่การสถิตของพระเจ้า และในที่สุดก็ถึงขั้นเป็นพยานให้พระองค์ ยิ่งไปกว่านั้น ระหว่างที่พวกเขาเป็นผู้นำ พวกเขายังทำงานสำคัญๆ มากมายให้สำเร็จลุล่วง เอาตัวคนชั่วออกไปไม่ใช่น้อย ปกป้องประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรไว้มากมาย และนำของสำคัญที่หายไปกลับคืนมาได้เป็นจำนวนมาก ความสำเร็จทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่พวกเขาเป็นผู้นำ เมื่อย้อนมองดูเส้นทางที่พวกเขาเดิน นึกถึงงานที่พวกเขาทำและราคาที่พวกเขาจ่ายตลอดเวลาหลายปี พวกเขาย่อมไม่รู้สึกเสียใจหรือมีข้อกล่าวหาใดๆ พวกเขาเชื่อว่าตนไม่ได้ทำสิ่งใดที่ควรแก่การเสียใจ และใช้ชีวิตอย่างสำนึกในคุณค่า มีความมั่นคงและความชูใจในหัวใจของพวกเขา นั่นเป็นเรื่องที่วิเศษจริงๆ! ผลลัพธ์ย่อมเป็นเช่นนี้มิใช่หรือ? (ใช่) ความรู้สึกที่มั่นคงและชูใจนี้ การไร้ซึ่งความเสียใจนี้ เป็นผลและรางวัลจากการไล่ตามเสาะหาสิ่งที่เป็นบวกและความจริง ขอพวกเราจงอย่าวางมาตรฐานให้ผู้คนสูงนัก พวกเรามาพิจารณาสถานการณ์ที่คนคนหนึ่งพบเจองานที่ตนควรทำหรืออยากทำในชีวิตของตนกันเถิด หลังจากที่ค้นพบที่ทางของตนแล้ว พวกเขาก็ตั้งมั่นในที่ของตน รักษาที่ทางของตนไว้ เพียรพยายามอย่างหนัก จ่ายราคา และอุทิศกำลังวังชาทั้งหมดของตนเพื่อที่จะสำเร็จเสร็จสิ้นสิ่งที่ตนควรทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อพวกเขามายืนเบื้องหน้าพระเจ้าในที่สุดเพื่อตอบคำถาม พวกเขาย่อมรู้สึกค่อนข้างพอใจ ไม่มีคำกล่าวหาหรือความเสียใจในหัวใจของตน พวกเขารู้สึกชูใจและรู้สึกว่าได้รางวัล รู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นมีคุณค่า นี่คือเป้าหมายที่สำคัญมิใช่หรือ? ไม่ว่าชีวิตนั้นจะอยู่ในขั้นใด จงบอกเราเถิดว่าชีวิตนั้นสัมพันธ์กับชีวิตจริงหรือไม่? (สัมพันธ์กับชีวิตจริง) เป็นชีวิตที่ชัดเจนหรือไม่? ชัดเจนพอ สัมพันธ์กับชีวิตจริงมากพอ และอยู่กับความเป็นจริงมากพอ ดังนั้น เพื่อที่จะใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่าและสัมฤทธิ์รางวัลเช่นนี้ในท้ายที่สุด เจ้าคิดว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่ร่างกายของคนคนหนึ่งจะทนทุกข์บ้างและจ่ายราคาบ้าง ต่อให้พวกเขาหมดแรงและป่วยกายก็ตาม? (คุ้มค่า) เมื่อคนคนหนึ่งมาที่โลกนี้ ย่อมไม่ใช่เพียงเพื่อความสุขสำราญทางเนื้อหนัง หรือเพียงเพื่อกิน ดื่ม และสนุกเท่านั้น คนเราไม่ควรใช้ชีวิตเพียงเพื่อสิ่งเหล่านั้น นั่นไม่ใช่คุณค่าของชีวิตมนุษย์ หรือเป็นเส้นทางที่ถูกต้อง คุณค่าของชีวิตมนุษย์และทางเดินที่ถูกต้องนั้นประกอบด้วยการทำสิ่งที่มีคุณค่าให้สำเร็จและทำงานที่มีคุณค่าสักหนึ่งหรือหลายอย่างให้เสร็จสมบูรณ์ นี่ไม่เรียกว่าอาชีพการงาน นี่เรียกว่าเส้นทางที่ถูกต้อง และยังเรียกว่ากิจที่ถูกต้องเหมาะสมอีกด้วย จงบอกเราเถิดว่าคุ้มค่าหรือไม่ที่คนคนหนึ่งจะจ่ายราคาเพื่อทำงานบางอย่างที่มีคุณค่าให้เสร็จสมบูรณ์ ใช้ชีวิตอย่างมีความหมายและมีคุณค่า ไล่ตามเสาะหาและเข้าถึงความจริง? หากว่าแท้จริงแล้วเจ้าอยากไล่ตามเสาะหาและเข้าใจความจริง ออกเดินไปบนเส้นทางชีวิตที่ถูกต้อง ลุล่วงหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี และดำรงชีวิตที่มีคุณค่าและความหมาย เช่นนั้นแล้วเจ้าก็ไม่ควรลังเลที่จะทุ่มกำลังวังชาทั้งหมดของเจ้า จ่ายราคา รวมทั้งให้เวลาทั้งหมดและชีวิตที่เหลือของเจ้า ถ้าเจ้ามีประสบการณ์กับโรคภัยบ้างในระหว่างนี้ ก็ย่อมจะไม่สำคัญ และจะไม่ทำให้เจ้าแหลกลาญ นี่ย่อมเหนือกว่าชีวิตที่สุขสบาย ไม่ต้องทำอะไร บำรุงเลี้ยงร่างกายจนอิ่มหนำและมีสุขภาพดี แล้วก็มีอายุยืนนานในท้ายที่สุดมากนักมิใช่หรือ? (ใช่) ตัวเลือกสองทางนี้อย่างไหนเอื้อต่อการดำรงชีวิตอย่างมีคุณค่ามากกว่ากัน? อย่างไหนสามารถชูใจผู้คนและทำให้พวกเขาไม่รู้สึกเสียใจเมื่อเผชิญหน้าความตายในท้ายที่สุด? (การใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย) การใช้ชีวิตอย่างมีความหมายย่อมหมายถึงการรู้สึกถึงผลลัพธ์และความชูใจอยู่ในหัวใจของเจ้า แล้วคนที่อิ่มหนำสำราญ ผิวพรรณเป็นสีชมพูตลอดเวลาจวบจนวาระสุดท้ายย่อมเป็นเช่นไร? พวกเขาไม่ไล่ตามเสาะหาชีวิตที่มีความหมาย ดังนั้นพวกเขาย่อมรู้สึกอย่างไรตอนตาย? (รู้สึกเหมือนพวกเขาใช้ชีวิตสูญเปล่า) สามคำนี้แหลมคมนัก—ใช้ชีวิตสูญเปล่า ‘การใช้ชีวิตสูญเปล่า’ หมายความว่าอย่างไร? (ทิ้งชีวิตของตนไปเปล่าๆ) การใช้ชีวิตสูญเปล่า ทิ้งชีวิตของตนไปเปล่าๆ—อะไรคือหลักการพื้นฐานของสองวลีนี้? (ในวาระสุดท้ายของชีวิต พวกเขาพบว่าตนไม่ได้อะไรไว้เลย) เช่นนั้นแล้วคนคนหนึ่งควรได้อะไรไว้? (พวกเขาควรได้มาซึ่งความจริงหรือทำสิ่งที่มีคุณค่าและมีความหมายในชีวิตนี้ให้สำเร็จลุล่วง พวกเขาควรทำสิ่งทั้งหลายที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างพึงทำนั้นให้ดี ถ้าพวกเขาทำทั้งหมดนั้นไม่ได้และเอาแต่ใช้ชีวิตเพื่อร่างกายของตน พวกเขาก็จะรู้สึกว่าชีวิตของตนนั้นสูญเปล่าและเสียของ)” (พระวจนะฯ เล่ม 6 ว่าด้วยการไล่ตามเสาะหาความจริง I, ควรไล่ตามเสาะหาความจริงอย่างไร (6)) การอ่านสิ่งนี้ในพระวจนะทำให้ฉันเข้าใจความหมายของชีวิตมนุษย์ ฉันนึกถึงตอนนี้ที่ฉันมีโอกาสได้ทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง และนั่นเป็นสิ่งที่ชอบธรรมที่สุดที่ควรทำ เหล่าผู้ไม่เชื่อไล่ตามอาหาร เครื่องดื่ม และความพึงพอใจ และแม้ว่าพวกเขามีความพอใจทางเนื้อหนังและไม่ได้ทนทุกข์มากนัก เมื่อความตายมาเยือน พวกเขาก็คิดไม่ออกว่าผู้คนมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร นั่นคือชีวิตที่ใช้ไปโดยเปล่าประโยชน์ ฉันสามารถได้รับการยกระดับโดยพระเจ้าและทำหน้าที่ผู้นำได้ในช่วงชีวิตนี้ ฉันจึงควรทุ่มเททุกอย่างเพื่อสิ่งนี้ และรับผิดชอบโครงการของคริสตจักรตามที่เบื้องบนพึงประสงค์ นำพี่น้องชายหญิงให้ไล่ตามเสาะหาความจริง และทำหน้าที่ของตนตามหลักธรรม และทำในส่วนของฉันเพื่อขยายข่าวประเสริฐแห่งราชอาณาจักร นี่คือสิ่งที่มีความหมายที่สุด แต่หากผู้คนใช้ชีวิตอยู่เพียงเพื่อเนื้อหนังของตนเอง พวกเขาก็เสียเวลาเปล่า และทั้งหมดล้วนไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เหมือนก่อนหน้านี้ที่ฉันล้มเลิกหน้าที่และกลับบ้านเพื่อที่ฉันจะได้ไม่ล้มพับไป ถึงแม้ฉันอยู่ที่บ้านและไม่ได้ทนทุกข์ทางกาย แถมไม่ต้องกังวลเรื่องงานของคริสตจักรมากนัก ฉันก็ไม่ได้แบกรับความรับผิดชอบที่ควรทำ และรู้สึกว่างเปล่าอยู่ภายใน ฉันเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและไม่มีสันติสุขหรือความปีติยินดีที่แท้จริงเลย ฉันเห็นว่าชีวิตที่อยู่เพื่อเนื้อหนังนั้นไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง แถมยังว่างเปล่าไม่ว่าฉันดูแลสุขภาพดีแค่ไหนก็ตาม ถึงแม้ฉันเหนื่อยเล็กน้อยและทนทุกข์อยู่บ้างจากการทำหน้าที่ ฉันก็สามารถได้รับความจริง อีกทั้งรู้สึกสงบและสันติสุข นั่นเป็นชีวิตเดียวที่มีความหมาย ฉันยังได้รับประสบการณ์ส่วนตัวผ่านเรื่องนี้ว่า การทำหน้าที่ของสิ่งมีชีวิตทรงสร้างเป็นหนทางเดียวที่เราจะได้ใช้ชีวิตอย่างลุล่วงและมีความหมาย และได้มีสันติสุขและความปิติยินดีที่แท้จริงในหัวใจ การทะนุถนอมเนื้อหนังมีแต่นำไปสู่ชีวิตที่ว่างเปล่าและทำลายโอกาสที่คนเราจะไล่ตามเสาะหาความจริงและได้รับการช่วยให้รอด เมื่อเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว ฉันก็ได้แรงจูงใจในการทำหน้าที่กลับคืนมา ฉันไม่ได้สัมฤทธิ์ผลอะไรเลยในงานข่าวประเสริฐ ฉันจึงต้องได้รับความเข้าใจที่สัมพันธ์กับชีวิตจริงของสถานการณ์นี้ แสวงหาหลักธรรมเพื่อแก้ไขปัญหา ทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ พยายามปรับปรุงผลของงานให้ดีขึ้น แบบนั้นฉันถึงจะไม่อับอายหรือเสียใจในการทำหน้าที่ เมื่อฉันเข้าไปมีส่วนในงานข่าวประเสริฐและเจอความยากลำบาก บางครั้งฉันก็จะกังวลว่าจะทำให้ตัวเองเหนื่อยหรือแย่ลงจากการเข้าไปแก้ปัญหา แต่ฉันก็รู้สึกว่าฉันไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ในสภาวะที่วิตกกังวลต่อไปได้ ฉันจึงอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ไม่ว่าอาการป่วยของข้าพระองค์แย่ลงหรือไม่ ข้าพระองค์ก็ไม่ต้องการทำตัวกบฏต่อพระองค์เหมือนที่เคยแล้ว ไม่ว่าข้าพระองค์มีชีวิตอยู่หรือตายก็ล้วนอยู่ในพระหัตถ์ และข้าพระองค์ก็ต้องการนบนอบต่อการจัดวางเรียบเรียงและการจัดการเตรียมการของพระองค์” พออธิษฐานเสร็จ ฉันก็เลิกกังวล ฉันสามัคคีธรรมกับพี่น้องชายหญิงบางคนเพื่อแก้ไขปัญหาในงานข่าวประเสริฐ ทุกคนแสวงหาหลักธรรมร่วมกัน หารือถึงความเห็น และเราก็พบเส้นทางสำหรับหน้าที่ของพวกเรา งานข่าวประเสริฐเกิดความคืบหน้า และเราก็เข้าใจหลักธรรมบางประการชัดเจนมากขึ้น
เดือนมีนาคมปี 2023 คริสตจักรจัดการเลือกตั้งผู้นำระดับสูง และสุดท้ายฉันก็ได้รับเลือก ฉันรู้ว่าฉันจะมีภาระยิ่งใหญ่ขึ้นในหน้าที่นี้ และฉันยังคงคิดถึงสุขภาพของตัวเอง แต่ฉันไม่ต้องการเอาใจใส่เนื้อหนังอีกต่อไป ฉันอยากถนอมโอกาสที่ได้ทำหน้าที่นี้ไว้จริงๆ เวลาทำหน้าที่ ฉันก็สามารถปรับเปลี่ยนสุขภาพได้ตามที่จำเป็น ได้พักผ่อนบ้างยามที่รู้สึกไม่สบาย และหาเวลาออกกำลังกายบ้าง การทำหน้าที่แบบนั้นทำให้ฉันไม่เหนื่อยจนเกินไป และฉันก็ไม่ถูกอาการป่วยฉุดรั้ง เวลาผ่านไป ฉันก็ไม่เกิดอาการชาที่ศีรษะมากแล้ว ตอนนี้ฉันคิดว่า ฉันต้องหวงแหนเวลาที่เหลืออยู่เอาไว้ และคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือวิธีทำหน้าที่ของฉันให้ดี ฉันขอบคุณพระเจ้าที่ทรงจัดวางสถานการณ์นี้ไว้ให้ฉันได้เรียนรู้บทเรียน ฉันไม่มัวกังวลเรื่องการเจ็บป่วยอีกต่อไป
ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ