การคิดทบทวนของผู้ป่วยระยะสุดท้าย

วันที่ 06 เดือน 10 ปี 2024

โดย ไทที, ประเทศจีน

เดือนมิถุนายน ปี 2013 ประจำเดือนฉันมาสิบกว่าวัน อีกทั้งมีลิ่มเลือดก้อนใหญ่ออกมาด้วย ตอนนั้นฉันแค่ปวดท้องน้อยด้านขวาเบาๆ เป็นพักๆ จึงไม่ได้คิดอะไรมาก แต่ช่วงที่ฉันเป็นประจำเดือนในเดือนต่อมา ฉันเริ่มมีลิ่มเลือดออกมาเรื่อยๆ และเลือดก็ไหลมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย ฉันกลัวนิดหน่อยจึงไปตรวจที่โรงพยาบาล หมอให้ฉันกลับบ้านไปรอฟังผล แต่วันถัดมาฉันก็ยังเลือดไหลไม่หยุด ยาห้ามเลือดที่ดีที่สุดทำได้แค่ห้ามเลือดไว้ชั่วคราว แต่พอยาหมดฤทธิ์เลือดก็ไหลอีก ฉันกลัวมาก เหงื่อไหลท่วมตัวเพราะเสียเลือดมากเกินไป ตอนนั้นฉันอยู่บ้านคนเดียว ฉันคิดกับตัวเองว่า “ถ้าเกิดฉันเสียเลือดมากจนตายจะเป็นยังไง?” ฉันรีบโทรหาพี่สาว จากนั้นก็ทรุดลงบนเตียง ขยับตัวไม่ได้เลย พี่สาวฉันรีบโทรเรียกรถพยาบาลและรีบส่งฉันไปโรงพยาบาล ฉันหน้าซีดเพราะเสียเลือดหมดตัว ปากฉันกลายเป็นสีม่วง และหน้าก็ซีดราวกับศพ ฉันหนาวสั่นไปทั้งตัวและจำเป็นต้องได้รับการถ่ายเลือดอย่างเร่งด่วน แต่เลือดกลับหมดคลังของโรงพยาบาล และไม่มีมาเพิ่มจนกว่าจะถึงตีหนึ่ง ตอนที่ได้ยินว่าโรงพยาบาลไม่มีเลือดในคลังฉันก็กลัวมาก และคิดว่า “อีกตั้งแปดชั่วโมงกว่าจะตีหนึ่ง ฉันจะทนได้นานขนาดนั้นได้ยังไง? เลือดฉันออกจนเกือบหมดตัว ฉะนั้นในแปดชั่วโมงนี้ ฉันจะไม่ตายไปแล้วเหรอ? ฉันยังสาวอยู่เลย ถ้าฉันตาย ฉันจะไม่ได้เห็นท้องฟ้าสีคราม หรือวิวสวยๆ ของอาณาจักรอีก” ฉันกลัวมากจริงๆ และเรียกหาพระเจ้าไม่หยุดว่า “ข้าแต่พระเจ้า! โปรดช่วยข้าพระองค์ด้วย!” ตอนนั้นเอง ฉันก็นึกถึงพระวจนะประโยคหนึ่งที่ว่า “ตราบเท่าที่เจ้ายังคงมีลมหายใจ พระเจ้าจะไม่ทรงปล่อยให้เจ้าตาย(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 6)  พระวจนะมอบความเชื่อมากมายให้ฉัน ตราบใดที่ฉันยังมีหนึ่งลมหายใจ ฉันก็จะไม่ตายโดยปราศจากความยินยอมของพระเจ้า ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ว่า “พระเจ้า ข้าพระองค์ขอขอบคุณพระองค์ ยามที่ข้าพระองค์สิ้นหวังและหวาดกลัว มีเพียงพระวจนะของพระองค์ที่ชูใจข้าพระองค์ได้ ข้าพระองค์ยังมีหนึ่งลมหายใจ ตราบใดที่พระองค์ไม่ทรงปล่อยให้ข้าพระองค์ตาย ข้าพระองค์ก็จะมีชีวิตต่อไป ข้าพระองค์เชื่อสิ่งที่พระองค์ตรัส” พออธิษฐานจบ ฉันก็รู้สึกสงบขึ้นและกลัวน้อยลง สามีฉันไปถึงโรงพยาบาลประมาณหกโมงเย็น แต่พอได้ยินว่าเกิดอะไรขึ้น เขากลับไม่ปลอบใจฉันสักคำ เขาแค่มองฉัน พูดกับคนรอบตัวฉันสั้นๆ แล้วเดินออกไปเลย สามีข่มเหงฉันมาตั้งแต่ฉันเริ่มเชื่อในพระเจ้า คราวนี้พอฉันป่วย เขาเลยยิ่งไม่อยากยุ่งกับฉัน ฉันรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวังมาก ตอนนั้นฉันพูดหรือขยับตัวไม่ได้เลย แต่ตอนที่เห็นสามีเดินออกไปฉันกลับโล่งใจมากและน้ำตาไหลอาบแก้มไม่หยุด ฉันคิดว่าสามีจะอยู่ข้างๆ ยามที่ฉันป่วย ไม่เคยคิดเลยว่าเขาจะใจร้ายขนาดนี้ ตอนนั้นฉันเลยรู้ว่าฉันพึ่งสามีไม่ได้แล้ว พึ่งได้แต่พระเจ้าเท่านั้น ฉันได้แต่อธิษฐานถึงพระเจ้าเงียบๆ ไม่กล้าหันเหไปจากพระองค์สักวินาทีเดียว ฉันยังตริตรองถึงบทสวดสรรเสริญและพระวจนะที่เคยอ่านอีกด้วย บทสวดที่ส่งผลกับฉันลึกซึ้งที่สุดมีชื่อว่า “เปโตรยึดถือความเชื่อและความรักที่แท้จริง” ความว่า “พระเจ้า!  ชีวิตของข้าพระองค์ไม่มีค่าอะไรเลย และร่างกายของข้าพระองค์ก็ไม่มีค่าอะไรเลย  ข้าพระองค์มีความเชื่อหนึ่งเดียวเท่านั้นและความรักหนึ่งเดียวเท่านั้น ข้าพระองค์มีความเชื่อในพระองค์ในจิตใจของข้าพระองค์และความรักสำหรับพระองค์ในหัวใจของข้าพระองค์ ข้าพระองค์มีเพียงสองสิ่งนี้เท่านั้นที่จะมอบแด่พระองค์ และไม่มีอะไรอื่นอีกแล้ว(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, เปโตรได้มารู้จักพระเยซูได้อย่างไร)  ฉันขับร้องบทสวดสรรเสริญนี้กับตัวเองอยู่ในหัว และนึกว่าทำไมฉันจึงไม่ได้ถวายตัวแด่พระเจ้าด้วยความเชื่อของฉัน และไม่ได้เชื่อในพระองค์อย่างแท้จริง ฉันต้องการพึ่งพาครอบครัวอยู่เสมอ แต่ในช่วงที่เปราะบางที่สุดคนใกล้ตัวที่สุดกลับหมางเมินฉัน แต่เป็นพระเจ้าที่ทรงชูใจฉันผ่านพระวจนะ และมีเพียงพระองค์ที่ช่วยฉันให้รอดได้ ฉันอธิษฐานถึงพระเจ้าอยู่ในใจว่า “พระเจ้า มีเพียงพระองค์ที่ชูใจข้าพระองค์ ช่วยข้าพระองค์ให้รอด มอบความเชื่อและความแข็งแกร่งให้ข้าพระองค์ได้ ข้าพระองค์พร้อมมอบชีวิตและหัวใจแก่พระองค์แล้ว” ตอนที่ตริตรองถึงบทสวดสรรเสริญแห่งพระวจนะ ฉันก็รู้สึกสงบสุขอย่างแท้จริง อีกทั้งยังหยุดคิดเรื่องอาการป่วย และเลิกกลัวตายด้วย ความอบอุ่นค่อยๆ กลับคืนสู่ร่างกายฉัน ไม่ทันไรก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว เมื่อได้รับการถ่ายเลือด เช้าวันรุ่งขึ้นฉันก็รู้สึกดีขึ้นจนเหมือนเป็นคนใหม่ ตอนหมอที่เข้าเวรเห็นฉันนั่งอยู่บนเตียง เขาก็ตกใจและพูดว่า “เมื่อวานคุณยังแย่อยู่เลย ผมแปลกใจมากที่คุณหายในชั่วข้ามคืน!” พอได้ยินเขาพูดแบบนั้นฉันก็พลันขอบคุณพระเจ้าซ้ำๆ ถ้าไม่ได้การนำของพระวจนะ ฉันคงจะไม่มีทางรอดมาได้ ทั้งหมดเป็นเพราะการคุ้มครองแสนอัศจรรย์ของพระเจ้า หลังจากนั้นหมอก็ส่งฉันไปตรวจเพิ่มที่โรงพยาบาลในเมือง ฉันคิดในใจว่า เมื่อวานพระเจ้าทรงคุ้มครองฉันผ่านสถานการณ์อันตรายแบบนั้น ฉันเลยมั่นใจว่าหมอจะไม่เจอปัญหาร้ายแรง

วันถัดมา ครอบครัวพาฉันไปตรวจเพิ่มที่โรงพยาบาลใหญ่เพื่อจะพบว่าฉันถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย เนื้อร้ายมีขนาดใหญ่เท่าไข่เป็ดและไม่สามารถผ่าออกได้ ฉันจะไม่มีวันรอดจากการผ่าตัด ตอนที่ได้ยินหมอพูดว่า “มะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย” ฉันอึ้งจนพูดไม่ออก และทำอะไรไม่ถูกเลย ฉันได้แต่คิดในใจว่า “มะเร็งเหรอ? ฉันเป็นมะเร็งได้ยังไง? ผู้ไม่เชื่อบางคนหลังจากเป็นมะเร็งก็อยู่ได้แค่สองสามเดือน แล้วฉันจะรอดไหม?” ฉันรู้สึกเจ็บปวดและทุกข์ใจมากจนไม่อยากคุยกับใครทั้งนั้น ขณะที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ฉันก็เฝ้าคิดทบทวนถึงสิบกว่าปีที่ฉันเชื่อมา ตั้งแต่ยอมรับพระราชกิจยุคแห่งสุดท้ายของพระเจ้าฉันก็ถูกครอบครัวข่มเหง ถึงกับถูกผู้ไม่เชื่อเยาะเย้ยและว่าร้าย ตลอดหลายปีนี้ ไม่ว่าคริสตจักรมอบหมายหน้าที่อะไรฉันก็จะนบนอบเสมอ ไม่ว่ายากลำบากแค่ไหน ฉันก็จะพึ่งพาพระเจ้าให้ผ่านไปได้ ขนาดตอนที่ถูกจับ ถูกตัดสินโทษและส่งตัวเข้าคุก ฉันยังไม่เคยทรยศพระเจ้าสักครั้ง พอถูกปล่อยตัวออกมา ฉันก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐและหน้าที่ของฉันให้ลุล่วงต่อไป ฉันทนทุกข์มากมายและผ่านช่วงเวลายากๆ แบบนั้นมาแล้ว ตอนนี้ทำไมฉันถึงป่วยระยะสุดท้ายเสียได้? ทำไมพระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉัน? ความเชื่อในพระเจ้าของฉันมาถึงจุดจบแล้วเหรอ? ฉันแค่ไม่เข้าใจและรับไม่ได้ที่จะต้องตายแบบนั้น ฉันวิงวอนขอพระเจ้าด้วยน้ำตานองหน้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ไม่อยากตาย ข้าพระองค์จะไม่ได้เห็นวันแห่งพระสิริของพระองค์และวันที่พญานาคใหญ่สีแดงสูญสิ้น และจะไม่มีวันได้เห็นทิวทัศน์ที่งดงามของอาณาจักร พอคิดว่าจุดจบแบบไหนรออยู่ ข้าพระองค์ก็ตัวสั่น ข้าแต่พระเจ้า โปรดเสด็จมาช่วยเหลือและรักษาข้าพระองค์ด้วยเถิด!” แล้วตอนนั้นเอง ฉันก็นึกถึงตอนที่ฉันเสียเลือดมหาศาลและไม่มีใครคิดว่าฉันจะรอดชีวิต พระเจ้าทรงรักษาชีวิตฉัน และฉันก็เป็นพยานให้กิจการอันอัศจรรย์ของพระองค์ พอคิดแบบนั้น ฉันก็ต้องการเข้ารับการรักษาค่ะ

พอเห็นว่าอาการของฉันรุนแรงแค่ไหน หมอก็แนะนำให้ฉันทั้งฉายแสงและทำเคมีบำบัด เคมีบำบัดทำให้ฉันทั้งคลื่นไส้และเวียนหัว ฉันไม่สบายตัวอย่างมากและหน้าก็ร้อนไปหมด ระหว่างการฉายแสง ฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มแทงไปทั่วทั้งตัว การรักษาสองอย่างพร้อมกันมันเจ็บจนเกินทน ฉันเริ่มพร่ำบ่นและเข้าใจพระเจ้าผิดอีกครั้ง ถ้าผู้ไม่เชื่อที่ไร้การคุ้มครองจากพระเจ้าจะเป็นมะเร็งนั้นพอเข้าใจได้ แต่ฉันเชื่อในพระเจ้า แล้วฉันมาป่วยระยะสุดท้ายได้ยังไง? พระเจ้าไม่ทรงคุ้มครองฉัน! หอผู้ป่วยในโรงพยาบาลที่ฉันอยู่มีผู้ป่วยมะเร็งทุกประเภท ทุกสองสามวัน ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจะถูกเข็นออกไปจากห้อง ฉันรู้สึกเสียขวัญ และกังวลว่าถ้าอาการป่วยแย่ลง วันหนึ่งฉันก็จะเป็นคนที่ถูกเข็นออกไป ฉันไม่อยากติดอยู่กับผู้ป่วยมะเร็งคนอื่นตลอดทั้งวัน การฟังพวกเขาร้องโอดโอยวันแล้ววันเล่ามันทรมานมาก ทันทีที่รักษาเสร็จ ฉันก็ไปอ่านพระวจนะที่บ้านของพี่สาว ตอนที่ชุมนุมกัน ฉันจะแบ่งปันความเข้าใจในพระวจนะกับพี่อย่างแข็งขัน และจะคุยกับเธอถึงวิธีแก้ไขมโนคติอันหลงผิดของผู้มีศักยภาพในการรับข่าวประเสริฐ ฉันคิดในใจว่า “พอออกจากโรงพยาบาล ฉันจะเผยแผ่ข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของฉัน ถ้าฉันเข้าชุมนุมมากขึ้น กินดื่มพระวจนะมากขึ้น และเชื่อในพระเจ้า พระองค์จะทรงคุ้มครองฉันแน่” ระหว่างที่รักษาอยู่ ญาติของฉันก็มาเยี่ยม และแอบบอกสามีกับลูกๆ ของฉันว่าสามีของเธอเสียชีวิตเพราะมะเร็ง และมะเร็งที่ฉันเป็นก็รักษาไม่หาย เธอบอกว่าแทนที่จะเอาเงินมารักษาตัวในโรงพยาบาล ให้พาฉันไปเที่ยว อย่าเอาเงินของบ้านเรามาเสียเลย สามีของฉันเชื่อที่เธอแนะนำ และบอกว่าจะพาฉันไปเที่ยว เขาบอกว่าฉันอยากไปที่ไหนก็จะพาไป แต่สิ่งเดียวที่ฉันคิดคือ “พวกเขาอยากล้มเลิกการรักษาฉันแล้วเหรอ? ถ้าเป็นแบบนั้นฉันจะไม่ตายเหรอ? นี่คือจุดจบของฉันจริงๆ ใช่ไหม?” ฉันจมสู่ความปวดใจอีกครั้ง สองสามวันต่อมา สามีไม่ยอมจ่ายค่ารักษาให้ฉัน พี่สาวฉันบอกว่า “หมอบอกว่าเธออยู่ได้อีกแค่สองสามเดือน ฉะนั้นเลิกขอให้สามีจ่ายค่ารักษาให้เธอเถอะ ไม่มีอะไรรักษาเธอได้แล้ว ต้องพึ่งพาพระเจ้า มีเพียงพระองค์ที่ช่วยเธอให้รอดได้!” พอได้ยินแบบนี้ ฉันก็นอนนิ่งอยู่บนเตียง ไม่กล้าคิดว่าสิ่งที่เธอพูดจะเป็นจริง ฉันอยู่ได้อีกสองสามเดือนเองเหรอ? ฉันรู้สึกเสียใจที่สุด และน้ำตาก็ไหลนองหน้า หมอบอกว่าอาการของฉันรักษาไม่หายแล้ว ส่วนสามีกับลูกๆ ก็ถอดใจเรื่องการรักษา นอกจากรอความตายก็ทำอะไรไม่ได้แล้วงั้นเหรอ? ฉันเชื่อในพระเจ้ามาหลายปีและทนทุกข์มากมาย เพราะหวังว่าพระเจ้าจะทรงช่วยฉันให้รอดจากความตายและฉันจะได้เข้าอาณาจักร ฉันไม่เคยคิดเลยว่าจะลงเอยแบบนี้ ฉันรู้สึกสิ้นหวังอย่างเหลือเชื่อ และรู้สึกว่าฉันคงอยู่นอกเหนือการช่วยให้รอด หลังจากนั้นมาฉันก็ได้แต่อธิษฐานพอเป็นพิธี และกระตือรือร้นในอ่านการพระวจนะน้อยลง ฉันรู้สึกเหมือนฉันอาจตายได้ทุกเมื่อ อธิษฐานไปก็ไม่มีประโยชน์ ฉันรู้สึกคิดลบและมองโลกในแง่ร้ายอย่างมาก

วันหนึ่งตอนที่ฉันกลับมาหอพักผู้ป่วย ทันทีที่เปิดประตู ฉันก็เห็นผู้ป่วยมะเร็งนอนตายอยู่บนเตียงโดยมีผ้าขาวคลุมร่าง ฉันกลัวมากจึงวิ่งหนีไปห้องอื่น ผู้ป่วยรายนั้นเพิ่งเข้ามาเมื่อสองวันก่อนแต่กลับเสียชีวิตแล้ว ฉันหวั่นใจว่าอีกไม่นานฉันจะต้องเผชิญความตายเหมือนกัน ฉันจึงรีบอธิษฐานถึงพระเจ้าว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์หวาดกลัว คิดลบ และอ่อนแอเหลือเกิน ข้าพระองค์ไม่อยากตายอย่างผู้ไม่เชื่อ ได้โปรดคุ้มครองข้าพระองค์ ประทานความเชื่อและความแข็งแกร่ง และให้ข้าพระองค์เข้าใจน้ำพระทัยของพระองค์ด้วยเถิด” พออธิษฐานจบฉันก็นึกถึงบทสวดสรรเสริญจากพระวจนะชื่อว่า “ความเจ็บปวดจากบททดสอบคือพระพรจากพระเจ้า” ความว่า “จงอย่าท้อแท้ จงอย่าอ่อนแอ และเราจะทำให้สิ่งทั้งหลายชัดเจนแก่เจ้า  ถนนสู่ราชอาณาจักรมิได้ราบเรียบนัก ไม่มีอะไรเรียบง่ายเช่นนั้นหรอก!  เจ้าต้องการให้พรมาถึงเจ้าอย่างง่ายดายมิใช่หรือ?  ในวันนี้ ทุกคนจะต้องเผชิญกับบททดสอบอันขมขื่น  หากปราศจากการทดสอบเช่นนี้ หัวใจรักของพวกเจ้าที่มีต่อเราก็จะไม่เติบใหญ่แข็งแกร่งขึ้น และพวกเจ้าก็จะไม่มีรักแท้ต่อเรา  แม้ว่าการทดสอบเหล่านี้ก็แค่ประกอบด้วยรูปการณ์แวดล้อมเล็กน้อยทั้งหลายเท่านั้น แต่ทุกคนก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพียงแต่ว่าความลำบากยากเย็นของบททดสอบย่อมจะผิดแผกกัน  การทดสอบทั้งหลายคือพรจากเรา และมีพวกเจ้ามากน้อยแค่ไหนหรือที่เข้าเฝ้าเราบ่อยครั้งและคุกเข่าขอร้องพรจากเรา?  เจ้าเอาแต่คิดว่าคำพูดที่เป็นมงคลไม่กี่คำนับเป็นพรจากเราแล้ว ทว่ากลับไม่ตระหนักว่าความขมขื่นก็เป็นพรหนึ่งของเรา(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ถ้อยดำรัสของพระคริสต์ในปฐมกาล บทที่ 41)  พระวจนะชูใจและดลใจฉันมาก พระวจนะทำให้ฉันเห็นว่า ถนนเข้าสู่ราชอาณาจักรไม่ได้ราบรื่นและง่ายดาย คนเราต้องสู้ทนบททดสอบอันขมขื่น การเจ็บป่วยของฉันเป็นอีกบททดสอบและพรจากพระเจ้า ฉันจะเสียความเชื่อในพระเจ้าไม่ได้ แต่ต้องแสวงหาน้ำพระทัยในการป่วยครั้งนี้และไม่พร่ำบ่นเกี่ยวกับพระองค์ และฉันต้องตั้งมั่นในการเป็นพยานแด่พระเจ้า พอเข้าใจน้ำพระทัยฉันก็คิดลบน้อยลง และมีความเชื่อที่จะพึ่งพาพระเจ้าผ่านเรื่องนี้ พอเห็นว่าพระเจ้ายังไม่ปล่อยให้ฉันตาย เวลาว่างฉันก็อ่านพระวจนะมากขึ้น และชุมนุมกับพี่สาวคนนั้น

ที่บ้านพี่สาว ฉันมักจะอ่านพระวจนะที่ชื่อ “ประสบการณ์ของเปโตร: ความรู้ของเขาเกี่ยวกับการตีสอนและการพิพากษา”  โดยเฉพาะตอนหนึ่งที่ให้ความรู้ใหม่ต่อทรรศนะของฉันในเรื่องความเชื่อในพระเจ้า พระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ตรัสว่า “เจ้าหวังว่าความเชื่อของเจ้าในพระเจ้าจะไม่พ่วงเอาความท้าทายหรือความทุกข์ลำบากอันใด หรือความยากลำบากแม้เพียงน้อยนิดมาด้วย  เจ้าไล่ตามเสาะหาสิ่งเหล่านั้นซึ่งไร้ค่าเสมอ และเจ้าไม่ให้คุณค่ากับชีวิต แทนที่จะเป็นเช่นนั้นกลับให้ความคิดฟุ้งซ่านของตัวเจ้าเองมาก่อนความจริง  เจ้าช่างไร้ค่ายิ่งนัก!  เจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนสุกรตัวหนึ่ง—มีความแตกต่างอะไรเล่าระหว่างตัวเจ้า และพวกสุกรกับพวกสุนัข?  พวกที่ไม่ได้ไล่ตามเสาะหาความจริง แต่กลับรักเนื้อหนัง ไม่ใช่สัตว์ร้ายทั้งหมดหรอกหรือ?  พวกที่ตายไปแล้วและปราศจากจิตวิญญาณไม่ใช่ซากศพที่เดินได้หรอกหรือ?  วจนะมากมายเพียงใดแล้วที่ได้กล่าวไปท่ามกลางพวกเจ้า?  งานที่ได้ถูกกระทำไปท่ามกลางพวกเจ้ามีเพียงเล็กน้อยเท่านั้นอย่างนั้นหรือ?  เราได้จัดเตรียมไปมากเพียงใดแล้วท่ามกลางพวกเจ้า?  แล้วเหตุใดเจ้ายังไม่ได้รับมัน?  เจ้ามีอะไรให้ต้องร้องทุกข์หรือ?  นี่ไม่ใช่กรณีที่เจ้าไม่ได้รับสิ่งใดเลยเพราะเจ้าหลงรักเนื้อหนังมากเกินไปหรอกหรือ?  และนี่ไม่ใช่เพราะความคิดของเจ้านั้นฟุ้งซ่านเกินไปหรอกหรือ?  นี่ไม่ใช่เพราะเจ้าโง่เง่าเกินไปหรอกหรือ?  หากเจ้าไร้ความสามารถที่จะได้รับพรเหล่านี้ เจ้าสามารถติเตียนพระเจ้าเพราะการที่ไม่ทรงช่วยเจ้าให้รอดได้อย่างนั้นหรือ?  สิ่งที่เจ้าไล่ตามเสาะหาคือการที่จะสามารถได้รับสันติสุขภายหลังการเชื่อในพระเจ้า เพื่อลูกหลานของเจ้าจะได้ปลอดจากโรคภัยไข้เจ็บ เพื่อสามีของเจ้าจะมีงานที่ดี เพื่อบุตรชายของเจ้าจะได้เจอภรรยาที่ดี เพื่อบุตรสาวของเจ้าจะได้เจอสามีที่มีความประพฤติดีเหมาะสม เพื่อม้าและโคของเจ้าจะไถพรวนผืนดินได้ดี เพื่อปีที่มีสภาพอากาศที่ดีสำหรับพืชผลของเจ้า นี่คือสิ่งที่เจ้าแสวงหา  การไล่ตามเสาะหาของเจ้าก็เพียงเพื่อจะมีชีวิตในความสุขสบาย เพื่อที่จะไม่มีอุบัติภัยตกมาถึงครอบครัวของเจ้า เพื่อที่สายลมจะโชยผ่านเจ้า เพื่อที่ใบหน้าของเจ้าจะไม่สัมผัสกรวดทราย เพื่อที่พืชผลของครอบครัวเจ้าจะไม่ถูกน้ำท่วม ไม่ได้รับผลกระทบจากความวิบัติอันใด เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้า เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ในรังอันอุ่นสบาย  คนขี้ขลาดอย่างเจ้าผู้ซึ่งไล่ตามเสาะหาเนื้อหนังเสมอนั้น—เจ้ามีหัวใจ เจ้ามีจิตวิญญาณหรือไม่?  เจ้าไม่ใช่สัตว์ร้ายหรอกหรือ?  เราให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้าโดยไม่ได้ขออะไรกลับคืน กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าเป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในพระเจ้าหรือไม่?  เรามอบชีวิตมนุษย์ที่แท้จริงให้แก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ยังไม่ไล่ตามเสาะหา  เจ้าไม่ได้ต่างอะไรจากสุกรหรือสุนัขตัวหนึ่งหรอกหรือ?  พวกสุกรไม่เสาะหาชีวิตของมนุษย์ พวกมันไม่ไล่ตามเสาะหาการได้รับการชำระให้สะอาด และพวกมันไม่เข้าใจว่าชีวิตคืออะไร  ในแต่ละวัน หลังจากที่พวกมันกินกันจนอิ่มแปล้ มันก็แค่หลับไป  เราได้ให้หนทางที่แท้จริงแก่เจ้า กระนั้นเจ้าก็ไม่ได้รับมัน เจ้าเป็นคนมือเปล่า  เจ้าเต็มใจที่จะดำเนินต่อไปในชีวิตนี้ ชีวิตของสุกรตัวหนึ่งหรือไม่?  อะไรคือนัยสำคัญของการที่ผู้คนเช่นนั้นมีชีวิตอยู่?  ชีวิตของเจ้าช่างน่าเหยียดหยามและต่ำศักดิ์ เจ้ามีชีวิตอยู่ท่ามกลางความโสมมและความเสเพล และเจ้าไม่ได้ไล่ตามเสาะหาเป้าหมายใดเลย ชีวิตของเจ้าไม่ได้ต่ำศักดิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งทั้งหมดหรอกหรือ?  เจ้ากล้าดีที่จะมองพระเจ้าหรือ?  หากเจ้ามีประสบการณ์ในหนทางนี้ต่อไป เจ้าย่อมจะไม่ได้สิ่งใดเลยไม่ใช่หรือ?  หนทางที่แท้จริงได้ถูกมอบให้เจ้าไปแล้ว แต่การที่เจ้าจะสามารถรับไว้จนถึงที่สุดหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับการไล่ตามเสาะหาส่วนบุคคลของตัวเจ้าเอง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า)  ฉันได้อ่านบทตอนนี้ในพระวจนะด้วย “นอกเหนือไปจากผลประโยชน์ต่างๆ ที่สัมพันธ์ใกล้ชิดกับพวกเขาอย่างมากแล้ว พอจะสามารถมีเหตุผลอื่นใดหรือไม่ว่า เหตุใดผู้คนเหล่านี้ซึ่งไม่เคยเข้าใจพระเจ้าเลย จึงจะมอบให้พระองค์อย่างมากมาย?  พวกเราค้นพบปัญหาหนึ่งซึ่งไม่เคยถูกระบุมาก่อนหน้าอยู่ในการนี้ นั่นก็คือ สัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเจ้านั้นเป็นแค่สัมพันธภาพแห่งผลประโยชน์ของตนเองอย่างไม่มีอะไรปิดบัง  เป็นสัมพันธภาพระหว่างผู้รับกับผู้ให้พร  กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ คล้ายกับสัมพันธภาพระหว่างลูกจ้างกับนายจ้าง  ลูกจ้างทำงานเพียงเพื่อได้รับสินจ้างรางวัลที่นายจ้างมอบให้  ไม่มีเสน่หาใดเลยในสัมพันธภาพเช่นนี้ มีเพียงธุรกรรมแลกเปลี่ยนเท่านั้น  ไม่มีการให้ความรัก หรือการได้รับความรัก มีเพียงการแบ่งปันและความปรานี  ไม่มีความเข้าใจ มีเพียงความขัดเคืองคับข้องที่ถูกเก็บกดเอาไว้และความหลอกลวงเท่านั้น  ไม่มีความใกล้ชิดสนิทสนม มีเพียงช่องว่างทางความนึกคิดที่ไม่อาจก้าวข้ามไปได้เท่านั้น(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, ภาคผนวก 3: มนุษย์สามารถได้รับการช่วยให้รอดท่ามกลางการบริหารจัดการของพระเจ้าเท่านั้น)  พระวจนะอันว่าด้วยการพิพากษานั้นเหมือนดาบแหลมที่แทงเข้ามาในใจฉัน เหมือนพระเจ้ากำลังทรงพิพากษาฉันซึ่งหน้า ฉันเริ่มทบทวนตัวเองว่า หลังมาเป็นคริสเตียน ฉันเสาะแสวงที่จะได้รับพระคุณเสมอ คิดว่าตราบใดที่เชื่อในองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงคุ้มครองฉันให้ปลอดภัยและทรงคุ้มครองฉันจากอันตราย หลังจากยอมรับพระราชกิจยุคแห่งสุดท้ายของพระองค์ ถึงจะรู้ว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงรักษาความเจ็บป่วย ขับไล่ผี และแสดงปาฏิหาริย์เหมือนในยุคพระคุณ แต่ทรงให้ผู้คนไล่ตามความจริง ก้าวผ่านการพิพากษา การตีสอน บททดสอบ และกระบวนการถลุงเพื่อชำระอุปนิสัยอันเสื่อมทรามให้สะอาด ฉันก็ยังยึดติดกับความต้องการอันฟุ้งเฟ้อที่จะได้รับพระพร ฉันคิดว่าถ้าฉันไล่ตามความเชื่อของตนเองอย่างแข็งขัน ฉันย่อมจะมีภูมิคุ้มกันต่อโรคร้ายและความวิบัติทั้งปวง และต่อให้ฉันป่วยหนัก พระเจ้าก็จะทรงคุ้มครองฉันและไม่ปล่อยให้ฉันตาย ฉันมุ่งมั่นสละตน เพื่อให้ได้รับพระคุณและพระพร ไม่ว่าสามีข่มเหงและขัดขวางฉันยังไง หรือญาติๆ จะว่าร้ายและทอดทิ้งฉันยังไง ฉันก็ไม่ถูกพวกเขาบีบบังคับ ขนาดฉันถูกจับและติดคุก ฉันก็ยังไม่ทรยศพระเจ้า พอถูกปล่อยตัวออกมา ฉันก็ทำหน้าที่ให้ลุล่วงต่อ ฉันคิดว่าการไล่ตามแบบนั้นจะทำให้ฉันรอดและได้รับการคุ้มครอง โดยเฉพาะคราวนี้ ฉันคิดว่าฉันเหลือแค่ลมหายใจสุดท้าย พระเจ้าก็ทรงฉุดฉันกลับมาจากปากเหวแห่งความตาย ในยามที่ฉันร้องหาพระองค์อย่างสุดตัว ฉันเลยยิ่งมั่นใจขึ้นว่าไม่ว่าฉันต้องเผชิญกับความยากลำบากอะไร พระเจ้าก็จะทรงช่วยฉัน ตอนฉันตรวจเจอว่าเป็นมะเร็งและครอบครัวถอดใจกับการรักษา ฉันก็เห็นพระเจ้าเป็นความหวังสุดท้าย และคิดว่าถ้าฉันเข้าชุมนุมและอ่านพระวจนะต่อไป ถ้าฉันอธิษฐานมากขึ้นและพึ่งพาพระเจ้า และทำหน้าที่ให้ดีที่สุด พระเจ้าจะทรงเห็นว่าฉันมีความเชื่อและนบนอบ และอาจจะทรงคุ้มครองฉันและยอมให้ฉันมีชีวิตอยู่ ผ่านการเปิดเผยของพระวจนะ ฉันเห็นว่าถึงฉันจะละทิ้งบางอย่าง สละตนเอง และทำหน้าที่ของตนอย่างมุ่งมั่นได้ สิ่งที่ฉันไล่ตามก็ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่เพื่อละทิ้งอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉันและรับการชำระให้บริสุทธิ์ แต่ฉันกลับหวังจะเอาการสละตนและการยอมลำบากแลกกับพระคุณและพระพรของพระเจ้า หวังว่าพระเจ้าจะคุ้มครองฉันจากความตายในมหาวิบัติ และฉันจะไปถึงบั้นปลายอันแสนวิเศษ เมื่อพระเจ้าทรงคุ้มครองฉัน ฉันก็ขอบคุณและสรรเสริญพระองค์ไม่หยุด แต่พอฉันป่วยระยะสุดท้าย ฉันก็รู้สึกผิดหวัง ฉันประท้วงพระเจ้าเงียบๆ และถึงกับตำหนิพระองค์ว่าไม่ยุติธรรม ฉันเชื่อเพียงเพราะอยากได้ประโยชน์จากพระเจ้า และไม่เห็นว่าการไล่ตามความจริงสำคัญแค่ไหน เมื่อฉันเผชิญกับอาการป่วยที่คุกคามจุดจบและบั้นปลายของฉัน ฉันก็สูญเสียความเชื่อในพระเจ้า ฉันเลิกสนใจพระวจนะและการอธิษฐาน ถึงกับเข้าใจผิดและโทษพระเจ้า ฉันเห็นแล้วว่าฉันไม่มีความจริงใจหรือความรักที่แท้จริงต่อพระเจ้าเลยสักนิด ที่จริงแล้วฉันแค่หลอกใช้พระองค์ โกงพระองค์ และทำธุรกิจกับพระองค์ ฉันจะถือว่าตัวเองเป็นผู้เชื่อได้ยังไง? ถ้าฉันไล่ตามแบบนี้ต่อไป ต่อให้ฉันรอดชีวิต ฉันก็จะเป็นกบฏและต่อต้านพระเจ้า การใช้ชีวิตแบบนั้นจะไปมีคุณค่าอะไร? พอตระหนักได้ ฉันก็รู้สึกละอายใจและอับอายอย่างเหลือเชื่อ ฉันรู้สึกติดค้างพระเจ้าเหลือเกิน

ต่อมา ฉันได้อ่านพระวจนะตอนหนึ่ง ซึ่งทำให้ฉันได้เข้าใจลึกซึ้งยิ่งขึ้น พระเจ้าตรัสว่า “ไม่มีสิ่งใดลำบากยากเย็นในการรับมือมากไปกว่าข้อเรียกร้องทั้งหลายของผู้คนที่มีต่อพระเจ้าไม่หยุดหย่อน  ทันทีที่การกระทำของพระเจ้าไม่ตรงกับการคิดของเจ้า ไม่ทรงดำเนินการโดยสอดคล้องกับการคิดของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ย่อมมีแววว่าจะต้านทาน—ซึ่งเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นว่าในธรรมชาตินั้น เจ้าต้านทานพระเจ้า  การตระหนักรู้ปัญหานี้สามารถสัมฤทธิ์ได้โดยการทบทวนตัวเจ้าเองบ่อยๆ เท่านั้น และด้วยเหตุนั้นจึงมีความเข้าใจในความจริง และสามารถแก้ไขได้อย่างครบถ้วนโดยการไล่ตามเสาะหาความจริงเท่านั้น  ในยามที่ผู้คนไม่เข้าใจความจริง พวกเขาทำข้อเรียกร้องมากมายต่อพระเจ้า ในขณะที่ในยามที่พวกเขาเข้าใจความจริงอย่างแท้จริง พวกเขาไม่ทำข้อเรียกร้องเลย พวกเขารู้สึกเพียงแค่ว่า พวกเขายังไม่ได้ทำให้พระเจ้าพึงพอพระทัยมากพอ และไม่นบนอบพระเจ้ามากพอ  การที่ผู้คนทำข้อเรียกร้องทั้งหลายต่อพระเจ้าอยู่เสมอนั้นสะท้อนธรรมชาติอันเสื่อมทรามของพวกเขา  หากเจ้าไม่สามารถรู้จักตนเองและกลับใจในเรื่องนี้ได้อย่างแท้จริง เช่นนั้นแล้ว เจ้าย่อมเผชิญกับอันตรายและภัยที่ซ่อนอยู่บนเส้นทางการเชื่อในพระเจ้าของเจ้า  เจ้ามีความสามารถที่จะเอาชนะสิ่งธรรมดาสามัญ แต่เมื่อมีเรื่องสำคัญอย่างเช่น ชะตากรรม ความสำเร็จที่คาดว่าน่าจะเป็นไปได้ และบั้นปลายของเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง บางทีเจ้าอาจจะไม่สามารถที่จะเอาชนะสิ่งเหล่านั้นก็เป็นได้  ณ เวลานั้น หากเจ้ายังคงปราศจากความจริง ก็เป็นไปได้อย่างมากที่เจ้าอาจหันไปใช้หนทางเดิมๆ ของเจ้า และด้วยการนี้ย่อมจะกลายเป็นหนึ่งในพวกที่ถูกทำลาย  ผู้คนมากมายได้ติดตามและเชื่อในหนทางนั้นตลอดเวลา พวกเขาประพฤติตนดีในช่วงเวลาที่ติดตามพระเจ้า  แต่การนี้ไม่ได้เป็นตัวกำหนดสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  นี่เป็นเพราะเจ้าไม่เคยตระหนักถึงจุดตายของมนุษย์ หรือสิ่งทั้งหลายที่อยู่ภายในธรรมชาติของมนุษย์อันจะนำมาสู่การต่อต้านพระเจ้า และก่อนที่มันจะนำเจ้าไปสู่ความวิบัติ เจ้าก็ยังคงโฉดเขลาต่อสิ่งเหล่านี้  เนื่องจากปัญหาธรรมชาติของเจ้าที่ต่อต้านพระเจ้ายังไม่ถูกแก้ไข นั่นจึงเตรียมเจ้าให้พร้อมสำหรับความวิบัติ และเป็นไปได้ว่าเมื่อการเดินทางของเจ้าจบลงและพระราชกิจของพระเจ้าเสร็จสิ้นแล้ว เจ้าจะทำสิ่งที่ต่อต้านพระเจ้ามากที่สุดและกล่าวสิ่งที่หมิ่นประมาทพระองค์ และด้วยเหตุนี้เจ้าย่อมจะถูกกล่าวโทษและกำจัดออกไป(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ผู้คนสร้างข้อเรียกร้องต่อพระเจ้ามากเกินไป)  หลังอ่านพระวจนะฉันก็ตระหนักว่า นับตั้งแต่เริ่มป่วยฉันก็กลัวว่าจะตาย และปรารถนาอย่างแรงกล้าให้พระเจ้าทรงคุ้มครองฉันจากความตาย นั่นเป็นการเรียกร้องจากพระเจ้าไม่ใช่เหรอ? ฉันคิดอยู่เสมอว่า ในเมื่อฉันเชื่อในพระเจ้า พระองค์ก็ควรคุ้มครองฉันตลอดเวลา และไม่ควรทำกับฉันอย่างที่ทำกับผู้ไม่เชื่อ หลังจากถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ฉันก็เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงให้การคุ้มครองฉันเป็นพิเศษ ฉันจึงไม่สามารถนบนอบ ฉันใช้การเสียสละ การสละตน และความทุกข์ในคุกของตัวเองเป็นต้นทุนเพื่อโต้แย้งกับพระเจ้าถึงจุดประสงค์ของตัวเองและสร้างเงื่อนไข เรียกร้องให้พระเจ้าทรงรักษาฉันให้หายป่วย พอพระเจ้าไม่ทรงทำตามที่ฉันเรียกร้อง ฉันก็โต้แย้งกับพระองค์และต่อสู้ ฉันตระหนักแล้วว่าถึงจะเชื่อมาตั้งหลายปี ฉันก็ไม่ได้มีความเคารพต่อพระเจ้าเลย ฉันขาดสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลอย่างมาก ฉันนึกถึงเรื่องที่โยบเคารพพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วทั้งชีวิต เมื่อพระเจ้าทรงทดสอบเขาแล้วเขาสูญเสียทรัพย์สินทั้งหมด สูญเสียลูกๆ แถมร่างกายก็มีแต่ตุ่มหนอง เขาไม่เคยพร่ำบ่นพระเจ้าหรือเรียกร้องให้พระองค์รักษาเขาเลยสักครั้ง โยบมีความเป็นมนุษย์และมีเหตุผลอย่างเหลือเชื่อ สำหรับตัวฉัน พอเผชิญกับความตาย ฉันก็เต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและการเข้าใจผิด และเรียกร้องให้พระเจ้าทรงคุ้มครองชีวิตฉันโดยไร้เหตุผล ครั้งแรกที่ชีวิตของฉันตกอยู่ในอันตรายเพราะเสียเลือดมาก การคุ้มครองและการเอาใจใส่ของพระเจ้าก็ช่วยฉันไว้—พระองค์ประทานพระคุณให้ฉัน ทรงทำให้ฉันเห็นกิจการอันมหัศจรรย์ของพระองค์ ยิ่งกว่านั้นคือตลอดหลายปีที่ฉันเชื่อมา ฉันได้ชื่นชมการให้น้ำและการค้ำจุนจากพระวจนะ และได้เรียนรู้ความจริงและความล้ำลึกมากมาย พระเจ้าประทานให้มากกว่าที่ฉันร้องขอหรือคิดเอาไว้ แต่ฉันก็ยังไม่พอใจ พอถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็ง ฉันก็เรียกร้องอย่างไร้เหตุผลจากพระเจ้า ขอพระองค์ทรงอนุญาตให้ฉันมีชีวิตอยู่ต่อ ฉันรู้ตัวแล้วว่าฉันมีธรรมชาติที่โลภอย่างเหลือเชื่อ พระเจ้าคือพระผู้สร้าง แล้วคนที่ไม่ได้สลักสำคัญ เป็นกบฏ ต่อต้าน และเต็มไปด้วยความเสื่อมทรามอย่างฉันมีสิทธิ์อะไรไปเรียกร้องจากพระเจ้า? ฉันได้เห็นแล้วว่า ฉันไม่รู้จักตัวเองเลยด้วยซ้ำ ฉันโอหังโดยไร้เหตุผล และไม่มีความเคารพพระเจ้าแม้แต่น้อย เมื่อสิ่งที่พระเจ้าทรงทำไม่ตรงกับมโนคติอันหลงผิดของฉัน ฉันก็ฉุนเฉียว โต้แย้ง และประท้วง สิ่งที่ฉันเปิดเผยออกมาคืออุปนิสัยที่ชั่วร้าย และถ้าฉันไม่เปลี่ยนแปลงอุปนิสัยอันเสื่อมทราม ฉันจะล่วงเกินพระอุปนิสัยของพระเจ้าและตกสู่การลงโทษอันชอบธรรมของพระองค์ ฉันรู้สึกกลัวมาก และไม่กล้าเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลจากพระเจ้าอีก ฉันเลยอธิษฐานถึงพระองค์ว่า “ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ขอบคุณการพิพากษาและการตีสอนของพระองค์ที่ทำให้ข้าพระองค์ได้เห็นว่าตัวเองเป็นไร้เหตุผลเพียงใด ข้าแต่พระเจ้า! ข้าพระองค์ยินดีที่จะกลับใจ ไม่ว่าอาการของข้าพระองค์จะดีขึ้นหรือไม่ ข้าพระองค์ก็จะนบนอบการจัดวางเรียบเรียงของพระองค์” เมื่อคิดได้แบบนั้นแล้ว ฉันก็รู้สึกสงบขึ้นเล็กน้อย

ตอนที่นอนอยู่ในโรงพยาบาล ฉันแปลกใจว่า ทำไมพอป่วย ฉันถึงได้เรียกร้องอย่างไร้เหตุผลแบบนั้น หลังจากคิดทบทวนและแสวงหา ฉันก็ตระหนักว่า โดยหลักแล้วเป็นเพราะฉันไม่เข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า ต่อมา ฉันได้อ่านพระจนะบทตอนนี้ “ความชอบธรรมไม่ใช่ความเป็นธรรมหรือความมีเหตุผลแต่อย่างใด ความชอบธรรมไม่ใช่สมภาคนิยม หรือเรื่องของการจัดสรรสิ่งที่เจ้าสมควรได้รับให้แก่เจ้าโดยสอดคล้องกับการที่เจ้าได้ทำงานให้ครบบริบูรณ์ไปมากเท่าใด หรือการจ่ายให้เจ้าสำหรับงานใดก็ตามที่เจ้าได้ทำไป หรือการให้สิทธิอันควรแก่เจ้าไปตามความพยายามอันใดที่เจ้าสละ  นี่ไม่ใช่ความชอบธรรม  หากแต่เป็นเพียงการปฏิบัติที่เป็นธรรมและมีเหตุผล  มีน้อยคนนักที่สามารถรู้จักพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระเจ้า  สมมุติว่าพระเจ้าทรงกำจัดโยบทิ้งหลังจากที่โยบเป็นพยานเพื่อพระองค์ เช่นนั้นแล้ว การทำแบบนี้ชอบธรรมหรือไม่?  อันที่จริง การทำแบบนี้ชอบธรรม  เหตุใดจึงเรียกการทำแบบนี้ว่าความชอบธรรม?  มนุษย์มองความชอบธรรมอย่างไร?  หากบางสิ่งอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติอันหลงผิดของผู้คน เช่นนั้นก็ย่อมง่ายมากสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่า พระเจ้าทรงชอบธรรม อย่างไรก็ตาม หากพวกเขาไม่เห็นว่าสิ่งนั้นเป็นการอยู่ในแนวเดียวกับมโนคติที่หลงผิดของพวกเขา—หากนั่นเป็นบางสิ่งที่พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะจับใจความได้—เช่นนั้นแล้วก็ย่อมจะลำบากยากเย็นสำหรับพวกเขาที่จะกล่าวว่าพระเจ้าทรงชอบธรรม  เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น หากพระเจ้าได้ทรงทำลายโยบไป ผู้คนก็คงจะไม่ได้กล่าวว่าพระองค์ทรงชอบธรรม  ถึงกระนั้นก็ตาม อันที่จริงแล้วไม่ว่าผู้คนได้ถูกทำให้เสื่อมทรามหรือไม่ และไม่ว่าพวกเขาได้ถูกทำให้เสื่อมทรามอย่างลึกซึ้งหรือไม่ พระเจ้าจำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับพระองค์เองในตอนที่พระองค์ทรงทำลายพวกเขากระนั้นหรือ?  พระองค์ควรจำเป็นต้องอธิบายต่อผู้คนกระนั้นหรือ ว่าพระองค์ทรงทำดังนั้นไปบนพื้นฐานใด?  พระเจ้าต้องตรัสแจ้งผู้คนถึงกฎเกณฑ์ที่พระองค์ได้ทรงลิขิตไว้หรือ?  ไม่มีความจำเป็นเลย  ในพระเนตรของพระเจ้านั้น ใครบางคนที่เสื่อมทรามและมีโอกาสต่อต้านพระเจ้า เป็นคนที่ไม่มีค่าใด ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการพวกเขาอย่างไรย่อมจะเป็นการสมควร และทั้งหมดล้วนเป็นการจัดการเตรียมการของพระเจ้า  หากเจ้าไม่เป็นที่น่ายินดีในสายพระเนตรของพระเจ้า และหากพระองค์ตรัสว่า พระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ของเจ้าแล้วหลังจากคำพยานของเจ้า เพราะฉะนั้นพระองค์จึงทรงทำลายเจ้า นี่จะเป็นความชอบธรรมของพระองค์ด้วยหรือไม่?  นี่เป็นความชอบธรรม  เจ้าอาจจะไม่มีความสามารถที่จะระลึกได้ถึงการนี้ในตอนนี้จากข้อเท็จจริงทั้งหลาย แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจในคำสอน  พวกเจ้าจะว่าอย่างไร—การทำลายล้างซาตานของพระเจ้านั้นเป็นการแสดงออกถึงความชอบธรรมของพระองค์หรือไม่?  (ใช่)  จะเป็นอย่างไรหากพระองค์ทรงเปิดโอกาสให้ซาตานคงอยู่?  เจ้าไม่กล้าพูดใช่ไหม?  แก่นแท้ของพระเจ้านั้นชอบธรรม  แม้ว่าไม่ง่ายที่จะจับใจความสิ่งที่พระองค์ทรงทำ ทั้งหมดที่พระองค์ทรงทำล้วนชอบธรรม เป็นธรรมดาที่ผู้คนไม่เข้าใจ(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)  ฉันได้เห็นผ่านพระวจนะว่า ฉันเคยมองความชอบธรรมของพระเจ้าตามมโนคติอันหลงผิดและความคิดฝันยังไง ฉันคิดว่าฉันเป็นผู้เชื่อในพระเจ้า ยอมลำบากมามาก สละตนเอง ทนทุกข์จากการถูกจองจำโดยไม่ทรยศพระเจ้า และตั้งมั่นเป็นพยานแด่พระองค์ พระองค์ก็ควรคุ้มครองฉันจากการป่วยระยะสุดท้าย ส่วนผู้ไม่เชื่อที่พระเจ้าไม่ทรงคุ้มครอง ก็เป็นธรรมดาที่พวกเขาจะเป็นมะเร็ง ฉันเชื่อว่าแบบนี้คือความชอบธรรมของพระเจ้า พอพระเจ้าไม่ทรงทำตามที่ฉันคิด และฉันเกิดป่วยระยะสุดท้าย ฉันก็รู้สึกว่าการสละตนทั้งหมดของฉันไม่ได้รับการตอบแทน พระเจ้าทรงทำผิดต่อฉัน ฉันเลยเต็มไปด้วยคำพร่ำบ่นและเข้าใจพระเจ้าผิด ฉันเห็นว่าการเข้าใจความชอบธรรมของพระเจ้าของฉันไม่ต่างจากการเข้าใจเชิงแลกเปลี่ยนของผู้ไม่เชื่อเลย ฉันคิดว่าฉันควรได้ค่าตอบแทนจากงานทั้งหมด และไม่ยุติธรรมถ้าฉันไม่ได้รับสิ่งที่ติดค้างฉันไว้ พออ่านพระวจนะฉันก็ได้เรียนรู้ว่า แก่นแท้จริงๆ ของพระเจ้านั้นชอบธรรม ทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเกิดจากน้ำพระทัยและพระปัญญาของพระองค์ ฉันไม่อาจประเมินสถานการณ์ของตัวเองตามสิ่งที่เห็นเพียงผิวเผินและมโนคติอันหลงผิดได้ นั่นจะนำไปสู่ความผิดพลาด และฉันอาจจะตัดสินและต่อต้านพระเจ้า ฉันคิดว่าการล้มป่วยคือความวิบัติ แต่น้ำพระทัยอยู่เบื้องหลังความเจ็บป่วยนั้น ถ้าฉันไม่ได้ถูกเปิดโปงผ่านการป่วย ฉันก็จะไม่ตระหนักว่า ฉันขาดสภาวะความเป็นมนุษย์และเหตุผลแค่ไหน ฉันเริ่มโต้แย้งและประท้วงทันทีที่พระเจ้าไม่ทรงทำตามมโนคติอันหลงผิดของฉัน ฉันไม่ได้ทำตัวนบนอบและเคารพพระเจ้าเลย ประสบการณ์ในการป่วยนี้ทำให้ฉันเห็นวุฒิภาวะที่แท้จริงของตัวเองและปล่อยวางจากการเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลต่อพระเจ้า ขอบคุณพระเจ้า! พระองค์ทรงพระราชกิชอันอัศจรรย์และทรงปัญญาอย่างแท้จริง! เมื่อก่อนฉันไม่รู้จักพระเจ้า และฉันก็ตัดสินพระอุปนิสัยอันชอบธรรมของพระองค์ตามทรรศนะของตนเอง ฉันช่างมืดบอดและไม่รู้ความเรื่องพระเจ้าเลย! พระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแห่งสิ่งทรงสร้างทั้งปวง ส่วนฉันเป็นเพียงสิ่งทรงสร้างตัวจ้อย ถูกแล้วที่พระองค์ทรงปฏิบัติกับฉันตามที่เห็นว่าเหมาะ อีกอย่างฉันได้เห็นแล้วว่า ความเชื่อของฉันคือการแลกเปลี่ยนและการเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลต่อพระเจ้า ต่อให้ฉันตาย นี่ก็เป็นความชอบธรรมของพระเจ้าเช่นกัน ฉันไม่ควรพร่ำบ่นพระองค์ ไม่ว่าพระเจ้าทรงเลือกทางไหน ไม่ว่าฉันจะอยู่หรือตายก็เป็นเรื่องที่เหมาะสมทั้งนั้น ฉันต้องนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้า—นี่คือเหตุผลเดียวที่ฉันควรมี พอเข้าใจพระอุปนิสัยอันชอบธรรมบ้างแล้ว ฉันก็รู้สึกโล่งขึ้นมาก แถมเลิกพร่ำบ่นและเข้าใจพระเจ้าผิด ไม่ว่าพระเจ้าทรงปฏิบัติต่อฉันยังไง ฉันก็จะไม่บ่นและจะนบนอบให้ได้

ต่อมา ฉันได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติต่อความตายของตัวเองผ่านพระวจนะ และฉันก็ไม่กลัวตายอีกต่อไป พระวจนะบอกว่า “หากบุคคลหนึ่งได้อยู่ในโลกมาหลายสิบปีแล้ว ทว่ายังไม่เข้าใจว่าชีวิตมนุษย์มาจากไหน ทั้งยังไม่ระลึกรู้ว่าชะตากรรมของมนุษย์วางอยู่ในฝ่ามือของใคร เช่นนั้นแล้วก็ไม่น่าประหลาดใจเลยที่พวกเขาจะไม่สามารถเผชิญหน้ากับความตายได้อย่างสงบ  ในหลายสิบปีแห่งประสบการณ์ชีวิตมนุษย์ของพวกเขา บุคคลหนึ่งซึ่งได้รับความรู้เกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้างคือบุคคลที่มีความซาบซึ้งในความหมายและคุณค่าของชีวิตอย่างถูกต้อง  บุคคลเช่นนั้นมีความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับจุดประสงค์ของชีวิต พร้อมด้วยประสบการณ์และความเข้าใจที่แท้จริงเกี่ยวกับอธิปไตยของพระผู้สร้าง และที่เหนือล้ำไปกว่านั้นก็คือ สามารถที่จะนบนอบสิทธิอำนาจของพระผู้สร้าง  บุคคลเช่นนั้นเข้าใจความหมายของการที่พระผู้สร้างทรงสร้างมวลมนุษย์ขึ้นมา เข้าใจว่ามนุษย์ควรนมัสการพระผู้สร้าง ว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ครอบครองนั้นมาจากพระผู้สร้างและจะคืนกลับไปสู่พระองค์ในสักวันหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลในอนาคต  บุคคลประเภทนี้เข้าใจว่าพระผู้สร้างทรงจัดการเตรียมการกำเนิดของมนุษย์และทรงมีอธิปไตยเหนือความตายของมนุษย์ และว่าทั้งชีวิตและความตายได้ถูกสิทธิอำนาจของพระผู้สร้างลิขิตไว้ล่วงหน้าแล้ว  ดังนั้น เมื่อคนเราจับความเข้าใจได้อย่างแท้จริงในสิ่งเหล่านี้ คนเราจะสามารถเผชิญหน้าความตายได้อย่างสงบเป็นธรรมดา สามารถวางสิ่งครอบครองทางโลกทั้งหมดของคนเราลงอย่างสงบ ยอมรับและน้อมรับทุกสิ่งที่ตามมาอย่างมีความสุข และยินดีต้อนรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายซึ่งถูกจัดการเตรียมการโดยพระผู้สร้างอย่างที่มันเป็น แทนที่จะหวาดหวั่นกับมันและดิ้นรนขัดขืนมันอย่างมืดบอด  หากคนเรามองว่าชีวิตคือโอกาสที่จะได้รับประสบการณ์กับอธิปไตยของพระผู้สร้างและมารู้จักสิทธิอำนาจของพระองค์ หากคนเรามองชีวิตของตนว่าเป็นโอกาสอันหาได้ยากที่จะลุล่วงหน้าที่ของตนในฐานะมนุษย์ทรงสร้างและทำภารกิจของตนให้เสร็จสิ้น เช่นนั้นแล้ว คนเราก็จะมีทรรศนะที่ถูกต้องต่อชีวิตอย่างแน่นอน จะมีชีวิตที่ได้รับพรและการทรงนำจากพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะเดินในความสว่างแห่งพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะรู้จักอธิปไตยของพระผู้สร้างอย่างแน่นอน จะยอมสยบอยู่ใต้อำนาจครอบครองของพระองค์อย่างแน่นอน และจะกลายมาเป็นพยานให้กับกิจการอันอัศจรรย์เลิศเลอของพระองค์ พยานต่อสิทธิอำนาจของพระองค์อย่างแน่นอน คงไม่จำเป็นต้องพูดว่า บุคคลเช่นนั้นจะได้รับความรักและการยอมรับจากพระผู้สร้างอย่างแน่นอน และมีเพียงบุคคลเช่นนั้นเท่านั้นที่สามารถมีท่าทีที่สงบต่อความตาย และยินดีต้อนรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตด้วยความชื่นบาน  เห็นได้ชัดว่าบุคคลหนึ่งซึ่งมีท่าทีประเภทนี้กับความตายก็คือโยบ โยบอยู่ในสถานะที่ยอมรับหัวเลี้ยวหัวต่อสุดท้ายของชีวิตอย่างมีความสุข และได้นำการเดินทางแห่งชีวิตของเขาไปสู่บทสรุปที่ราบรื่น และทำภารกิจในชีวิตของเขาจนเสร็จสมบูรณ์ เขาได้กลับคืนไปอยู่เคียงข้างพระผู้สร้าง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  “โยบสามารถเผชิญความตายโดยปราศจากความทุกข์ใดๆ ก็เพราะเขาได้รู้ว่า ในการตายนั้น เขาจะได้กลับไปเคียงข้างพระผู้สร้าง  กิจต่างๆ ที่เขาได้เสาะแสวงทำและสิ่งต่างๆ ที่เขาได้รับมาในชีวิตนั่นเองที่ได้อำนวยให้เขาเผชิญกับความตายอย่างสงบ อำนวยให้เขาเผชิญกับความน่าจะเป็นของการที่พระผู้สร้างจะทรงนำชีวิตของเขาคืนไปได้อย่างสงบ และยิ่งไปกว่านั้น อำนวยให้เขาได้ยืนอย่างไร้มลทินและไร้กังวลเฉพาะพระพักตร์ของพระผู้สร้าง(พระวจนะฯ เล่ม 2 ว่าด้วยการรู้จักพระเจ้า, พระเจ้าพระองค์เอง พระผู้ทรงเอกลักษณ์ 3)  ผ่านการกินและดื่มพระวจนะ ฉันได้รู้ว่าชีวิตของฉันมาจากพระเจ้า พระเจ้าทรงกำหนดและจัดการเตรียมการเรื่องชีวิต ความตาย พร และความอับโชคของฉัน ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะไปเรียกร้องจากพระเจ้า ต่อให้พระเจ้าจะให้ฉันตาย เบื้องหลังเรื่องนี้ก็มีน้ำพระทัยอยู่ ฉันต้องเผชิญเรื่องนี้ในหนทางที่ถูกต้อง และนั่นจะเป็นเหตุผลที่สิ่งมีชีวิตทรงสร้างควรมี ฉันนึกถึงโยบ ผู้ที่เคารพพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่วตลอดชีวิต ไม่ว่าเผชิญสถานการณ์แบบไหนเขาก็ยอมรับกฏเกณฑ์และการจัดการเตรียมการของพระเจ้าได้ เขาไม่พร่ำบ่น ไม่เข้าใจพระเจ้าผิด และเขาก็ไม่ตัดสินหรือโต้แย้ง เขาสามารถนบนอบ และเผชิญความตายของเขาได้อย่างสงบ ฉันต้องเคารพพระเจ้า หลบเลี่ยงความชั่ว และนบนอบการจัดการเตรียมการของพระเจ้าให้ได้อย่างโยบ พระเจ้าประทานชีวิตให้กับฉัน ดังนั้นพระองค์ทรงเลือกจะเอาคืนไปเมื่อไหร่ฉันก็ต้องนบนอบ ส่วนจุดจบแบบไหนที่รอฉันอยู่ในชีวิตหลังความตาย พระเจ้าจะทรงตัดสินพระทัยจากทุกอย่างที่ฉันทำมาชีวิต พระเจ้ายังไม่ปล่อยให้ฉันตาย ฉะนั้นฉันก็ต้องใช้เวลาที่เหลืออยู่เพื่อกลับใจ เดินบนเส้นทางของการเคารพพระเจ้าและหลบเลี่ยงความชั่ว ไล่ตามความจริงและเปลี่ยนแปลงอุปนิสัย และทำหน้าที่ให้ลุล่วงอย่างสุดความสามารถ พอรู้แบบนี้แล้ว ฉันก็ยิ่งเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นและกลัวตายน้อยลง และยังรู้สึกใกล้ชิดกับพระเจ้ามากขึ้นด้วย

ในช่วงนั้น ขณะที่ฉันร่วมชุมนุมกับพี่สาวน้องสาว กินและดื่มพระวจนะ สภาวะของฉันก็ดีขึ้นเรื่อยๆ ฉันยังต้องทำเคมีบำบัดอีกสี่ครั้ง แต่ผลข้างเคียงหนักเกินไป เลยทำได้แค่ฉายแสงเท่านั้น แต่ฉันก็ไม่รู้สึกว่าการฉายแสงมันเจ็บเหมือนเมื่อก่อน ฉันรู้ว่าพระเจ้าคือผู้ชี้ขาดว่าฉันจะรอดชีวิตหรือไม่ ฉันเลยไม่กังวลเรื่องที่ตัวเองป่วย และใช้เวลาว่างไปกับการใคร่ครวญพระวจนะ และฟังบทสวดสรรเสริญ ผ่านไปสักระยะฉันก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนได้กลับมาเป็นคนเดิม ผู้ป่วยคนอื่นๆ ต่างบอกว่า ฉันดูสุขภาพดีมาก จนพวกเขาคิดว่าฉันคือพยาบาล หลังจากอยู่โรงพยาบาลมาสี่สิบวันฉันก็ได้กลับบ้าน ตอนที่ตรวจครั้งถัดมา หมอก็บอกว่าก้อนเนื้อตรงปากมดลูกฉันหายไปแล้ว พอได้ยินหมอบอกว่าก้อนเนื้อหายไปแล้วฉันแทบไม่เชื่อ และคิดว่าตัวเองหูฝาด ฉันถามหมอไปอีกครั้ง แล้วเขาก็ยืนยันว่ามันหายไปแล้วจริงๆ ฉันดีใจมากๆ เลย ไม่อยากจะเชื่อว่าก้อนเนื้อขนาดเท่าไข่เป็ดจะหายไปเฉยๆ ฉันนึกถึงพระวจนะที่ว่า “หัวใจและจิตวิญญาณของมนุษย์ถูกกุมไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ทุกอย่างในชีวิตของเขาอยู่ในสายพระเนตรของพระเจ้า  ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อเรื่องนี้หรือไม่ก็ตาม ทุกสิ่งและทุกอย่าง ไม่ว่าที่มีชีวิตอยู่หรือตายแล้วก็ตาม จะเคลื่อนย้าย เปลี่ยนแปลง เกิดขึ้นมาใหม่และปลาสนาการไปตาม พระดำริของพระเจ้า  นี่คือหนทางที่พระเจ้าทรงปกครองสรรพสิ่ง(พระวจนะฯ เล่ม 1 การทรงปรากฏและพระราชกิจของพระเจ้า, พระเจ้าทรงเป็นแหล่งกำเนิดชีวิตมนุษย์)  ที่จริงแล้ว สิ่งมีชีวิตและสรรพสิ่งทั้งหลายล้วนอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า ความเป็นและความตายของสรรพสิ่งล้วนอยู่ใต้อธิปไตยและการจัดการของพระเจ้า ทั้งหมดได้รับการจัดวางเรียบเรียงตามน้ำพระทัย ทุกคนบอกว่ายังไงฉันก็ไม่รอด แม้แต่หมอยังบอกว่าก้อนเนื้อใหญ่เกินจะผ่าตัดออกได้ ฉันเลยไม่เคยนึกฝันว่ามันจะหายไปจนไม่เหลือร่องรอย ทั้งหมดนี้คือกิจการอันมหัศจรรย์ของพระเจ้า! ฉันรู้สึกตื้นตันใจมาก และรู้สึกติดค้างพระเจ้าอยู่ในใจ ฉันเป็นกบฏและเสื่อมทรามอย่างมาก และยังเรียกร้องอย่างไร้เหตุผลจากพระเจ้า ฉันไม่คู่ควรจะได้รับการช่วยให้รอด แต่พระเจ้าก็ไม่ได้ทรงปฏิบัติต่อฉันตามความเป็นกบฏและความเสื่อมทรามของฉัน ฉันขอบคุณพระองค์มากๆ สำหรับความรอด พอได้กลับมาบ้าน ฉันก็เผยแผ่ข่าวประเสริฐและทำหน้าที่ของตัวเองให้ลุล่วงต่อไป และสุขภาพของฉันก็ค่อยๆ ฟื้นตัว

ต่อมา ฉันบังเอิญเจอพระวจนะอีกบทตอนที่ว่า “จุดจบหรือบั้นปลายของคนคนหนึ่งไม่ได้กำหนดตามเจตจำนงของพวกเขา หรือตามความเอนเอียงหรือความคิดฝันของพวกเขา  พระผู้สร้าง ซึ่งก็คือพระเจ้า ทรงมีอำนาจชี้ขาด  ผู้คนควรให้ความร่วมมือในเรื่องทั้งหลายดังกล่าวอย่างไร?  ผู้คนมีเส้นทางอยู่เพียงหนึ่งเดียวที่พวกเขาสามารถเลือกได้ นั่นคือ เฉพาะเมื่อพวกเขาแสวงหาความจริง เข้าใจความจริง เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า สัมฤทธิ์การนบนอบพระเจ้า และบรรลุความรอดเท่านั้น พวกเขาจึงจะมีจุดจบและบั้นปลายอันดีงามในท้ายที่สุด  หากผู้คนทำสิ่งที่ตรงกันข้าม ก็ไม่ยากที่จะจินตนาการถึงโอกาสในอนาคตและโชคชะตาของพวกเขา  ดังนั้นแล้ว ในเรื่องนี้ จงอย่ามุ่งเน้นสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสัญญากับมนุษย์ สิ่งที่พระเจ้าตรัสไว้เกี่ยวกับจุดจบของมวลมนุษย์ สิ่งที่พระเจ้าได้ทรงตระเตรียมสำหรับมวลมนุษย์  เหล่านี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า สิ่งเหล่านี้คือกิจธุระของพระเจ้า เจ้าไม่อาจฉกฉวยเอาสิ่งเหล่านี้ ร้องขอ หรือหาอะไรมาแลกเปลี่ยนได้  ในฐานะสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง เจ้าควรทำอะไรบ้าง?  เจ้าควรทำหน้าที่ของเจ้าของเจ้า ทำสิ่งที่เจ้าควรที่จะทำด้วยหัวใจ ความรู้สึกนึกคิด และเรี่ยวแรงทั้งหมดของเจ้า  ส่วนที่เหลือนั้น—สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จที่น่าจะเป็นไปได้ โชคชะตา และบั้นปลายในอนาคตของมนุษยชาติ—เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าสามารถตัดสินใจได้ สิ่งเหล่านี้อยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า สิ่งทั้งหมดนี้อยู่ภายใต้อธิปไตยของพระผู้สร้าง พระองค์ทรงจัดแจงเตรียมการไว้ และไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งมีชีวิตทรงสร้างใด  ผู้คนบางคนพูดว่า ‘เหตุใดหรือจึงบอกการนี้แก่พวกเรา หากนั่นไม่มีอะไรต้องมาเกี่ยวกับพวกเรา?’  แม้ว่านั่นไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเจ้า แต่นั่นเกี่ยวกับพระเจ้า  มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงรู้สิ่งเหล่านี้ มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถตรัสถึงสิ่งเหล่านี้ได้ และมีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทรงมีสิทธิ์ที่จะให้สัญญาสิ่งเหล่านี้กับมนุษยชาติ  และหากพระเจ้าทรงรู้สิ่งเหล่านี้ พระเจ้าไม่ควรตรัสถึงสิ่งเหล่านี้กระนั้นหรือ?  การที่ยังคงไล่ตามไขว่คว้าความสำเร็จที่น่าจะเป็นไปได้และโชคชะตาของเจ้าในเวลาที่เจ้าไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้คืออะไรนั้นเป็นความผิดพลาด  พระเจ้าไม่ได้ทรงขอให้เจ้าไล่ตามเสาะหาการนี้ พระองค์แค่ยอมให้เจ้ารู้ ถ้าเจ้าเชื่ออย่างผิดๆ ว่าพระเจ้าทรงตรัสบอกให้เจ้าใช้การนี้เป็นเป้าหมายในการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เช่นนั้นแล้ว เจ้าก็ไร้เหตุผลอย่างที่สุด และไม่มีความรู้สึกนึกคิดตามความเป็นมนุษย์ที่ปกติ  การตระหนักรู้ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงให้สัญญานั้นก็มากพอแล้ว  เจ้าต้องยอมรับรู้ข้อเท็จจริงอย่างหนึ่ง นั่นคือ ไม่ว่าสัญญานั้นจะเป็นแบบใด จะดีหรือธรรมดา น่ายินดีหรือไม่น่าสนใจ ทั้งหมดนี้ล้วนอยู่ภายในอธิปไตย การจัดการเตรียมการ และการกำหนดพิจารณาของพระผู้สร้าง  มีเพียงการติดตามและการไล่ตามเสาะหาตามทิศทางและเส้นทางที่ถูกต้องซึ่งบ่งชี้โดยพระผู้สร้างเท่านั้น ที่เป็นหน้าที่และภาระผูกพันของสิ่งมีชีวิตทรงสร้าง  สำหรับเรื่องสิ่งที่เจ้าได้รับในท้ายที่สุด และส่วนแบ่งซึ่งเจ้าได้จากสัญญาของพระเจ้า ทั้งหมดนี้ย่อมเป็นไปตามการไล่ตามเสาะหาของเจ้า เส้นทางที่เจ้าใช้ และอธิปไตยของพระผู้สร้าง(พระวจนะฯ เล่ม 4 การเปิดโปงพวกศัตรูของพระคริสต์, ประการที่เก้า (ภาคที่เก้า))  ฉันได้เรียนรู้ผ่านพระวจนะว่า จุดจบและบั้นปลายสุดท้ายของฉัน จะไม่ถูกกำหนดผ่านการอธิษฐาน และจะไม่ได้มาด้วยการแลกเปลี่ยนกับพระเจ้า แต่พระเจ้าจะทรงกำหนดจุดจบของฉันตามการไล่ตามของฉัน การกระทำของฉัน และเส้นทางที่ฉันเดิน แต่ฉันไม่ได้ไล่ตามความจริง และไม่เข้าใจพระอุปนิสัยของพระเจ้า เวลาเห็นพระเจ้าประทานบั้นปลายอันรุ่งโรจน์ให้ผู้คน ฉันก็คิดว่าตราบใดที่ฉันมุ่งมั่นไล่ตาม ทำหน้าที่ให้ลุล่วง ทนทุกข์และยอมลำบากได้ รวมถึงทำหน้าที่ให้ลุล่วงต่อไป ไม่ว่าจะเจอกับการข่มเหงและความยากลำบากอะไรฉันก็จะถูกช่วยให้รอดและเป็นคนที่เหลืออยู่ หลายปีมานี้ ฉันไม่หยุดแสวงหาและเพียรพยายามเพื่อจุดจบและบั้นปลายตามที่ฉันเชื่อและปรารถนา ฉันเดินบนเส้นทางของเปาโล ถ้ายังทำแบบนั้นต่อไป ไม่ใช่แค่ฉันจะไม่ได้รับบั้นปลายที่ดี แต่ฉันจะถูกเปิดโปงและกำจัดออกไปเพราะอุปนิสัยอันเสื่อมทรามของฉัน ยังไม่ได้ถูกชำระให้บริสุทธิ์ ในที่สุดฉันก็หายดีจากโรคมะเร็ง พระเจ้าไม่ทรงปล่อยให้ฉันตาย และทรงให้โอกาสฉันกลับใจ นี่คือความรอดของพระเจ้าค่ะ! ฉันคิดกับตัวเองว่า “นับจากนี้ในหน้าที่ ฉันต้องไล่ตามความจริงและการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย ฉันจะมัวแลกเปลี่ยนกับพระเจ้าเพื่อพระพรไม่ได้ ฉันต้องเป็นคนหนึ่งที่มีสภาวะความเป็นมนุษย์และมีเหตุผลซึ่งนบนอบพระเจ้า ไม่ว่าพระเจ้าจะทรงจัดการเตรียมการจุดจบที่ดีหรือร้ายให้ฉัน ก็ขึ้นอยู่กับพระเจ้าทรงตัดสิน สิ่งที่ฉันต้องไล่ตามคือความจริง และการเปลี่ยนแปลงทางอุปนิสัย”

เก้าปีผ่านไป อาการป่วยของฉันไม่เคยกลับมาอีกเลย ฉันได้ค้นพบผ่านประสบการณ์นี้ว่า ถึงแม้การเจ็บป่วยนี้เป็นภัยคุกคามชีวิต แต่พระเจ้าก็ไม่เคยต้องการฉกฉวยชีวิตหรืออนาคตของฉันไป พระเจ้าทรงใช้การเจ็บป่วยนี้เพื่อชำระฉันให้บริสุทธิ์ และเปลี่ยนแปลงฉัน เปิดเผยความไม่บริสุทธิ์ในความเชื่อ และเปลี่ยนแปลงมโนคติอันหลงผิดไร้สาระที่ฉันมี สิ่งนี้ยังทำให้ฉันได้รับความรู้และประสบการณ์ที่แท้จริงเกี่ยวกับพระมหิทธิฤทธิ์และอธิปไตยของพระเจ้า ได้มีท่าทีที่ถูกต้องต่อชีวิตและความตาย และได้นบนอบ สำหรับฉัน การเจ็บป่วยครั้งนี้คือทางของพระเจ้าในการประทานพระคุณ และมอบความรอดให้ฉันค่ะ! เหมือนที่พระเจ้าตรัสว่า “หากคนเรามีความเชื่อในพระเจ้าจริงในหัวใจของพวกเขา พวกเขาต้องรู้เป็นอย่างแรกเลยว่าอายุขัยของบุคคลหนึ่งนั้นอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า  พระเจ้าทรงลิขิตเวลาแห่งการเกิดและความตายของคนเราไว้ล่วงหน้าแล้ว  เมื่อพระเจ้าทรงให้ความเจ็บป่วยแก่ผู้คน ย่อมมีเหตุผลซ่อนอยูเบื้องหลังความเจ็บป่วยนั้น—ความเจ็บป่วยนั่นมีความหมาย  ผู้คนรู้สึกเหมือนนั่นเป็นอาการป่วย แต่ในข้อเท็จจริงที่จริงแล้ว สิ่งที่พวกเขาได้รับคือพระคุณหาใช่ความเจ็บป่วยไม่  ประการแรกมนุษย์จำเป็นต้องรับรู้คุณค่าและมั่นใจในข้อเท็จจริงนี้และจริงจังกับมัน(พระวจนะฯ เล่ม 3 บทเสวนาโดยพระคริสต์แห่งยุคสุดท้าย, ภาคที่สาม)

ปี 2022 โรคระบาดร้ายแรงมากขึ้นเรื่อยๆ และภัยพิบัติต่างๆ เช่น แผ่นดินไหว การกันดารอาหาร และสงครามยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน พระเจ้าทรงมีพระประสงค์อะไรเบื้องหลังภัยพิบัติเหล่านี้? เข้าร่วมการเทศนาออนไลน์แล้วจะบอกคำตอบให้แก่คุณ

เนื้อหาที่เกี่ยวข้อง

เส้นทางแห่งการเผยแพร่ศาสนา

จำได้ว่าครั้งแรกตอนที่ผมเรียนรู้ที่จะแบ่งปันข่าวประเสริฐ ผมบังเอิญได้เจอกับพี่สวี สมาชิกของคริสตจักร ที่มณฑลหูเป่ย์...

Leave a Reply

ติดต่อเราผ่าน Messenger